บทที่ 1005 ใครก็ชอบของสวยงามเป็นธรรมดา
บทที่ 1005 ใครก็ชอบของสวยงามเป็นธรรมดา
ลู่ฉาวอวี่พาสิงเจียซือไปทานอาหารที่หอเซียวเหยา
หอเซียวเหยาเป็นกิจการของสกุลฉิน ลู่ฉาวอวี่ออกเงินจำนวนหนึ่งจึงได้รับเงินปันผลทุกปี นับว่าเป็นเถ้าแก่รอง
ไม่เช่นนั้นภัตตาคารมากมายเพียงนี้ หอเซียวเหยาที่เป็นภัตตาคารใหม่แห่งหนึ่ง หลายปีมานี้จะเจริญเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้อย่างไร เหตุที่กิจการประเภทเดียวกันไม่กล้าสร้างปัญหาให้พวกเขา เป็นเพราะมีผู้หนุนหลังที่มีอำนาจมากพอ
“ใต้เท้า คราก่อนท่านบอกให้เปลี่ยนภาพอักษรในห้องปีกข้าง ภาพนั้นเปลี่ยนแล้ว ไม่รู้ว่าตรงกับความต้องการของท่านหรือไม่” คนงานกล่าว
“ได้ ข้ารู้แล้ว”
สิงเจียซือมองดูการตกแต่งของห้องปีกข้าง
ที่นี่ไม่เหมือนที่กินข้าว หากแต่ดูเหมือนที่อยู่อาศัยส่วนตัวเสียมากกว่า
“ห้องนี้เป็นห้องพิเศษเฉพาะข้าคนเดียว” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “หากต่อไปเจ้าจะมาเจรจาการค้าที่หอเซียวเหยา สามารถใช้ห้องนี้ได้ เพียงแค่บอกกล่าวคนงาน ไม่ต้องจองล่วงหน้า”
“สถานที่ดี ๆ เช่นนี้ ข้าจะยินดีทำลายความโอ่โถงหรูหราของมันได้อย่างไร?” คุณภาพของลูกค้าในแวดวงการค้านั้นมีหลากหลายประเภท หากมีคนตาบอดโลภมากคิดฉกฉวยของสักชิ้นสองชิ้นไป เช่นนั้นนางคงร้องไห้เป็นแน่
“ไม่เป็นไร” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยอย่างใจเย็น “เจ้าบอกพวกเขาว่าที่นี่เป็นที่ที่ข้าใช้ ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าสร้างความเสียหาย”
สิงเจียซือยกมือขึ้นเท้าแก้ม นึกถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าการแต่งงานกับลู่ฉาวอวี่นั้นช่างมีประโยชน์มากมายจริง ๆ ไม่ต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น เพียงตัวตนของฮูหยินลู่ก็เพียงพอข่มขู่ผู้อื่นแล้ว
เพียงแต่ ผลดีมีมากเกิน นางรู้สึกว่าการเอาเปรียบเขาเช่นนี้ไม่ค่อยดีนัก เพื่อช่วยเหลือนางแล้ว นึกไม่ถึงว่าเขาจะสละเรื่องสำคัญของชีวิตตน ครั้นคิดถึงเรื่องนี้ สิงเจียซือก็รู้สึกราวกับตนนับวันยิ่งติดหนี้ชายหนุ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
“คุณหนู นี่เป็นรายการอาหารเจ้าค่ะ” คนงานส่งรายการอาหารให้กับสิงเจียซือ
สิงเจียซือรับมา แล้วสั่งอาหารจานโปรดของลู่ฉาวอวี่สองอย่าง อีกอย่างหนึ่งเป็นจานโปรดของตน จากนั้นจึงสั่งน้ำแกงใสมาหนึ่งอย่าง
ลู่ฉาวอวี่มองดูอาหารที่นางสั่ง แล้วจึงสั่งจานโปรดสิงเจียซือเพิ่มอีกสามอย่าง
“พวกเราสองคนทานไม่ได้มากเพียงนั้นนะเจ้าคะ”
“ลานข้างหลังหอเซียวเหยารับเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว ทานไม่หมดก็เอาไปให้พวกมันได้” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “นี่เป็นจานเด็ดของหอเซียวเหยา เจ้าลองชิมดู ครั้งหน้าพาแขกมาจะได้รู้ว่าควรสั่งอะไร”
“ใต้เท้าคิดเผื่อข้าอยู่เรื่อย ข้าไม่รู้ว่าควรขอบคุณเช่นไรจริง ๆ”
“เพียงแค่สั่งเพิ่มไม่กี่จาน เจ้าต้องซาบซึ้งใจเพียงนั้นเชียวหรือ?” ลู่ฉาวอวี่ยิ้มบาง ๆ
“ไม่ใช่เพียงเพราะอาหารไม่กี่จาน แต่เป็นเพราะท่านช่วยให้ข้ารอดพ้นวิกฤตในครั้งนี้” สิงเจียซือเอ่ย “ข้าพยายามหาทางขัดขวางการแต่งงานกับคุณชายใหญ่หัว ตอนที่ข้ารู้ว่าคุณชายใหญ่สกุลหัวชอบพอกับคุณหนูสกุลทัง ภายหลังยังหมั้นหมายกัน ข้าคิดว่าคงพ้นวิกฤตครั้งนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่าที่พวกเขาหารือเรื่องการแต่งงานของข้าจะเป็นการแต่งงานกับคุณชายรองสกุลหัว เพราะข่าวสารไม่ถูกต้อง ข้าจึงไม่ทันได้ตั้งตัว เดิมทีก็ไม่เวลาให้ตอบสนองแม้แต่น้อย”
“ไม่โทษเจ้า อันที่จริง ก่อนหน้านี้ข้าก็ตรวจสอบไม่พบข่าวนี้”
“ใต้เท้าช่วยข้าสืบดูหรือ?”
“มิเช่นนั้น เจ้าคิดว่าไยสกุลหัวจึงแต่งกับสกุลทังเร็วเพียงนี้? ความลับเรื่องที่คุณหนูสกุลทังกับคุณชายใหญ่สกุลหัวพึงใจกันเหตุใดจึงเผยออกมา?”
สิงเจียซือพลันหวั่นไหวขึ้นมา
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา ลู่ฉาวอวี่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างผ่อนคลาย น้ำเสียงของเขาเรียบเรื่อย ราวกับกำลังเอ่ยถึงเรื่องง่าย ๆ
เพียงแต่ เขายุ่งเพียงนั้น
ในเมืองหลวงแห่งนี้ ผู้ใดบ้างไม่รู้ว่าลู่ฉาวอวี่งานรัดตัวเพียงใด? เกรงว่าแม้กระทั่งเด็กน้อยสามขวบยังรู้ว่าคดีในสำนักตรวจการมีให้ตรวจสอบอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ในช่วงเวลาที่วุ่นวายเพียงนี้ เขายังคิดถึงเรื่องของนาง อีกทั้งยังให้ลูกน้องไปช่วยสอบถามข่าวคราวให้ แถมยังช่วยนางจัดการเรื่องในภายหลัง แล้วจะไม่ให้นางหวั่นไหวได้อย่างไร?
“เจ้าทำสีหน้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ลู่ฉาวอวี่หันกลับมา เห็นแววตาของนางวาวน้ำ สีหน้าพลันเต็มไปด้วยความประหลาดใจปนขบขัน “สมองของเจ้าคิดอะไรอีก?”
“ขอบคุณใต้เท้า”
“เจ้าไม่โทษข้าที่ทำตามอำเภอใจ บีบให้เจ้าขี่หลังเสือแล้วลงยากก็พอแล้ว”
“จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าไม่ใช่คนมองข้ามความหวังดีของผู้อื่นเช่นนั้น”
อาหารจานแล้วจานเล่าถูกยกมา
ทั้งสองรู้จักกันมานานหลายปี กลับมีโอกาสกินข้าวโต๊ะเดียวกันไม่มากนัก อย่างไรก็ตามในโอกาสเพียงน้อยนิดเหล่านั้น พวกเขาต่างจดจำความชอบของกันและกันได้ แม้กระทั่งตัวพวกเขาทั้งคู่ยังไม่ทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
“อีกไม่กี่วันก็ถึงวันแต่งงานของเราแล้ว เจ้ามีคำร้องขออะไรหรือไม่?”
“ใต้เท้า ท่านตัดสินใจแล้วจริง ๆ หรือ?”
“อืม”
“ใต้เท้าเคยคิดหรือไม่ หากท่านพบสตรีที่ตนพึงใจ เช่นนั้นท่านจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?”
“ถ้ามีวันนั้นจริง ๆ ข้าจะกล่าวให้ชัดเจน เพียงแต่ นั่นไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลตอนนี้ เทียบกับเจ้าแล้ว เจ้ากลับถูกเอาเปรียบยิ่งกว่าข้า อย่างไรในสายตาผู้อื่น เจ้าก็เป็นคนที่ผ่านการแต่งงานแล้ว”
“ข้าไม่สนใจ” สิงเจียซือคิดในใจ ‘เช่นนั้นก็ดีน่ะสิ! อย่างนี้ก็ไม่มีคนรบกวนนางแล้ว’
“ในเมื่อเจ้าไม่สนใจ เช่นนั้นข้าก็ไม่สนใจ เอาอย่างนี้ พวกเราทำข้อตกลงกันหนึ่งปี หลังจากหนึ่งปีแล้ว พวกเราค่อยหารือกันว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร หากเจ้าต้องการจากไป ข้าจะหาวิธีตระเตรียมตัวตนใหม่ให้เจ้า”
“คำไหนคำนั้น”
ลู่ฉาวอวี่รินชาแล้วชนถ้วยกับนาง
“ใต้เท้าเคยไปอารามจิ้งอวิ๋นหรือเจ้าคะ?” จู่ ๆ สิงเจียซือก็เอ่ยทักขึ้นมา “ไม้จันทน์ของอารามจิ้งอวิ๋นมีกลิ่นเฉพาะตัวทำให้คนสงบใจเป็นพิเศษ ข้าเคยขอเครื่องหอมจากเจ้าอาราม เจ้าอารามกล่าวว่ามีไว้ให้อารามแม่ชีใช้เท่านั้น ไม่อนุญาตให้คนนอกใช้ แม้กระทั่งผู้ที่ไปกราบไหว้สักการะก็ใช้ไม่ได้”
“เจ้าบอกว่าร่างกายข้ามีกลิ่นของอารามจิ้งอวิ๋นหรือ?” ลู่ฉาวอวี่ที่กำลังคีบลูกชิ้นขึ้นมา ยังไม่ทันได้นำเข้าปาก ได้ยินนางกล่าวเช่นนั้นมือที่ถือตะเกียบก็ชะงักทันที
“คงใช่เจ้าค่ะ” สิงเจียซือดมกลิ่นกลางอากาศ “ถึงแม้จะเบาบาง ทว่ากลิ่นนี้หอมเป็นเอกลักษณ์ ข้าชอบมาก ดังนั้นจึงประทับใจไม่ลืมเลือน”
ลู่ฉาวอวี่ยื่นมือออกไปจ่อตรงจมูกสิงเจียซือ “เจ้าดมอีกที”
สิงเจียซือถูกนิ้วงามเหล่านั้นทำให้ตกตะลึงแล้ว
นิ้วยาวยิ่งนัก
มิหนำซ้ำแต่ละนิ้วยังเรียวเสลาถึงเพียงนั้น
เมื่อเห็นคู่สนทนานิ่งงันไป ลู่ฉาวอวี่จึงโบกมือไปมาตรงหน้านาง “น่ามองมากหรือ?”
สิงเจียซือ “…”
ลู่ฉาวอวี่มองนางด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
สิงเจียซือกระแอมเบา ๆ จากนั้นจึงได้สติกลับคืนมา นางกล่าวว่า “มือใต้เท้างาม ผู้ใดก็ชอบของสวยงาม ข้ามองนานหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมดา”
“แน่นอน นี่เป็นโชคดีของเจ้า เพียงแต่ตอนนี้เจ้าตอบข้าก่อน บนตัวข้ามีกลิ่นของเครื่องหอมนั้นจริง ๆ หรือ?”
“มีเจ้าค่ะ” สิงเจียซือตอบชัดถ้อยชัดคำ “ถึงแม้จะเบาบางมาก แต่เป็นกลิ่นนั้นจริง ๆ”
“ดี ข้าเข้าใจแล้ว” ลู่ฉาวอวี่ลุกขึ้นยืน “วันนี้ข้าทานอาหารเย็นกับเจ้าไม่ได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคดีที่ข้ากำลังสืบเมื่อไม่นานมานี้จึงต้องรีบไปจัดการก่อน”
เดิมทีเขาก็ไม่เคยไปอารามจิ้งอวิ๋น เครื่องหอมที่ว่าคงเป็นของที่เขาหยิบขึ้นมาขณะสืบสวนคดี
ในเมื่อบังเอิญติดมา กลิ่นจึงเบาบางมาก เขาจึงไม่ได้รู้สึก สิงเจียซือประสาทสัมผัสไวต่อเครื่องหอม จึงสังเกตเห็นความแตกต่าง นางช่วยเขาได้มากจริง ๆ
“ใต้เท้าไปจัดการธุระของท่านเถิดเจ้าค่ะ”
หลังจากลู่ฉาวอวี่ไป สิงเจียซือเห็นอาหารมากมายเพียงนี้ นางกินไม่หมด พลันรู้สึกว่าสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว
นางเรียกคนงานเข้ามา ให้คนงานห่ออาหารสองสามอย่างไปให้ขอทานตามท้องถนน
ถึงแม้ว่าอาณาจักรฮุ่ยจะเจริญรุ่งเรือง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีผู้ประสบภัยหรือขอทาน ผู้ประสบภัยและขอทานเหล่านั้นมาจากที่อื่นเป็นระยะ
แน่นอนว่าหากมีทางออก ย่อมไม่มีใครอยากเป็นขอทาน หลังจากผู้ประสบภัยเข้าใจสถานการณ์ภายในเมืองหลวง เพียงแค่ลงทะเบียนข้อมูลของตนกับทางการในท้องถิ่นก็จะสามารถหางานในท้องถิ่นทำได้