บทที่ 1000 เจ้ายอมแพ้แล้วหรือ?
บทที่ 1000 เจ้ายอมแพ้แล้วหรือ?
หากเป็นเพียงฟ่านหยวนซี เพียงแค่ทานอาหารสักมื้อร่วมกันก็ย่อมได้ อย่างไรก็ตาม ฉีเซียวบอกว่าต้องเข้าร่วมงานเลี้ยง นั่นหมายถึงฟ่านหยวนซีจัดงานเลี้ยงในพระราชวังแล้ว
เซี่ยเฉิงจิ่นกับลู่จื่ออวิ๋นไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนอาณาจักรเฟิ่งหลินเท่านั้น ยังเป็นถึงสัญลักษณ์การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรเฟิ่งหลินกับอาณาจักรฮุ่ย อย่างไรเสียลู่จื่ออวิ๋นก็มีบรรดาศักดิ์เป็นองค์หญิง บัดนี้กลับมาถึงอาณาจักรฮุ่ยแล้ว ย่อมต้องรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองอาณาจักรให้ขุนนางวางใจ
คืนนั้น ทุกคนในสกุลลู่เข้าวังไปร่วมงานเลี้ยง
งานเลี้ยงจัดอย่างยิ่งใหญ่ ขุนนางขั้นสี่ขึ้นไปต่างพาครอบครัวมาร่วมงานเลี้ยง
เมื่อลู่จื่ออวิ๋นและเซี่ยเฉิงจิ่นปรากฏกายในงานเลี้ยงในวัง ผู้คนที่ไม่เคยพบเห็นต่างตกตะลึง
“ท่านนั้นคือหญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงตอนนั้น” มีคนเอ่ยกับหรงซื่อ “เห็นนางแล้ว รู้สึกอย่างไร?”
หรงซื่อเหลือบมองเจียงหว่านเฉินที่อยู่ข้าง ๆ แวบหนึ่ง
เขาดูปกตินับแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้ มองความคิดของเขาไม่ออกแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามในฐานะคนร่วมเรียงเคียงหมอน หรงซื่อรู้สึกได้ว่าทั่วทั้งร่างของสามีเกร็งเครียดขึ้นมา
เขาคิดว่าตนปกปิดได้มิดแล้ว ทว่าไม่อาจซุกซ่อนจากสายตาของนางได้
หรงซื่อรู้สึกอิจฉาขึ้นมา
ก่อนหน้านี้นางไม่เคยพบกับลู่จื่ออวิ๋น หลังจากแต่งให้เจียงหว่านเฉิน นางถึงได้รู้ว่าตนมีศัตรูที่ไม่อาจเอาชนะได้ผู้หนึ่ง
นางเป็นลูกพี่ลูกน้องห่าง ๆ ของเจียงหว่านเฉิน ก่อนหน้านี้อาศัยอยู่นอกเมืองหลวง เพราะฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเห็นความสัมพันธ์ของญาติ การแต่งงานครั้งนี้จึงหล่นมาถึงหัวนาง หลังจากแต่งงาน นางมีความสุขได้เพียงไม่กี่วัน เพราะเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งแรกไปทะเลาะกับผู้อื่นเข้า ชื่อของคุณหนูใหญ่สกุลลู่ผู้นี้โผล่เข้าหู นับแต่นั้นอีกฝ่ายจึงกลายมาเป็นฝันร้ายของนาง
“ได้ยินว่าวังหลังของฮ่องเต้อาณาจักรเฟิ่งหลินว่างเปล่า” ฮูหยินอีกผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “คุณหนูใหญ่สกุลลู่เป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวของเขา ในอาณาจักรฮุ่ย ผู้คนทั้งแผ่นดินอิจฉาสตรีที่ได้แต่งเข้าสกุลลู่ ในอาณาจักรเฟิ่งหลิน สตรีทั่วหล้าอิจฉาฮองเฮา”
“หากเปลี่ยนเป็นชายอื่น ถ้าแต่งคุณหนูใหญ่ลู่ได้ก็คงไม่มีสตรีอื่นเช่นกัน อย่างไรเสียเขาก็เก็บบุปผาที่งดงามที่สุดในใต้หล้าได้แล้ว ไยต้องหันไปสนใจดอกหญ้าริมทางเล่า?” ชายหนุ่มที่ยังไม่ได้แต่งงานผู้หนึ่งเอ่ยปาก
“เจ้าเด็กเหม็นโฉ่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ให้เจ้าพูด” สตรีที่นั่งอยู่ข้างชายหนุ่มผู้นั้นรีบห้ามปรามเขาไว้
“อย่างไรก็เป็นความจริง”
“ไม่ต้องพูดแล้ว นั่นเป็นคุณหนูใหญ่สกุลลู่ ฮองเฮาอาณาจักรเฟิ่งหลิน ใช่ผู้ที่เราควรกล่าวถึงหรือ? หากถูกได้ยินเข้า ถือว่าล่วงเกินสกุลลู่ เจ้าอยากให้พ่อแม่เจ้าตายเร็วขึ้นใช่หรือไม่?”
ลู่จื่ออวิ๋นสวมใส่ชุดผ้าแพรไหม ดูหรูหราสง่างาม
อย่างไรก็ตามในสายตาผู้คน เสื้อผ้าเครื่องประดับที่สวยงามเหล่านั้นเป็นเพียงของตกแต่งเท่านั้น ตัวนางต่างหากที่ทำให้ผู้อื่นตกตะลึงอย่างแท้จริง
ลู่จื่ออวิ๋นและลู่ฉาวอวี่ยืนอยู่ด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าใบหน้าคล้ายคลึงกันทว่าบรรยากาศรอบกายกลับแตกต่าง
เสน่ห์น่าหลงใหลของลู่จื่ออวิ๋น ความเย็นชาอย่างผู้สูงศักดิ์ของลู่ฉาวอวี่ ก่อให้เกิดความงามสองชนิดที่ผู้คนไม่อาจละสายตา
“วันนี้เป็นงานเลี้ยงต้อนรับ” ฟ่านหยวนซีกล่าว “ขุนนางที่รักทั้งหลาย ยกจอกของพวกท่านขึ้นเถิด พวกเรามาร่วมถวายความเคารพแด่ฮ่องเต้แห่งเฟิ่งหลิน”
“ถวายความเคารพฮ่องเต้เฟิ่งหลิน”
เซี่ยเฉิงจิ่นยกจอกขึ้นแล้วกล่าว “วันนี้หวนกลับมาที่นี่อีกครั้ง วันเวลาที่ผันผ่านไปไม่เมตตาคน ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปมาก ทว่ายังทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคย วันนี้เป็นงานเลี้ยงของครอบครัว ทุกคนตามสบาย”
“ขอบพระทัยฮ่องเต้เฟิ่งหลิน”
ฟ่านหยวนซีและเซี่ยเฉิงจิ่นนั่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ทั้งสองพูดคุยกันหลายเรื่อง
ลู่จื่ออวิ๋นไม่อยากฟังพวกเขาพูดคุยเรื่องแนวทางการปกครองแคว้น จึงไปหาพี่หญิงน้องหญิงสองสามคนดื่มสุราอย่างครื้นเครง
“หลิงหลง ไม่พบกันนาน” ลู่จื่ออวิ๋นไปพบเจี่ยหลิงหลงก่อน
เจี่ยหลิงหลงเอ่ยทั้งน้ำตา “ไม่ได้พบนานมากแล้วจริง ๆ ตอนนี้ข้ายังเรียกเจ้าว่าอวิ๋นเอ๋อร์ได้หรือไม่?”
“แน่นอน” ลู่จื่ออวิ๋นจูงมือนางมานั่งลง มองแม่นางน้อยสองคนข้าง ๆ อีกฝ่าย “นี่ลูกสาวเจ้าหรือ?”
“ใช่แล้ว” เจี่ยหลิงหลงแนะนำบุรุษที่อยู่ข้าง ๆ ให้นาง
บุรุษผู้นี้สงวนท่าทีอยู่บ้าง ทว่าสามารถบอกได้ว่าเขาเป็นคนเรียบง่ายและซื่อสัตย์
หลังจากลู่จื่ออวิ๋นมา เขาก็รีบค้อมคำนับทันที
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยกับเขาเพียงไม่กี่คำ จากนั้นเขาก็เอ่ยปากขอตัวไปดื่มสุราทักทายคน ปล่อยให้พี่หญิงน้องหญิงทั้งสองได้มีพื้นที่ส่วนตัว
สหายสนิทหลายคนที่เคยมีความสัมพันธ์อันดีกับลู่จื่ออวิ๋นก็รวมตัวกันอยู่ที่นั่นเช่นกัน เหมือนตอนที่นางยังไม่ได้ออกเรือนไม่มีผิด
ในยามนี้ไม่มีผู้ใดขวางสตรีเหล่านั้นจากการผูกมิตรกับลู่จื่ออวิ๋นแล้ว นับประสาอะไรกับผู้ที่เดิมทีมีความสัมพันธ์อันดีกับนาง เพราะแม้กระทั่งผู้ที่ไม่ได้มีมิตรไมตรีก็ยังเป็นฝ่ายเริ่มเข้ามาพูดคุย โดยหวังว่าจะหลงเหลือความประทับใจไว้ให้ลู่จื่ออวิ๋นบ้าง
“พระนางไม่เคยพบข้า ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง เพิ่งกลับมาได้ไม่นานเพคะ” ฉีซืออี้กล่าว “ท่านแม่ข้าเป็นสหายกับพระชายาลู่ ท่านพ่อข้าชื่อฉีเจิน เป็นพี่ชายของท่านอาฉีเซียว”
เมื่อเอ่ยถึงมารดา นางก็เหลือบมองไปทางฉู่หนิงจูแวบหนึ่ง
ลู่จื่ออวิ๋นจำได้ในทันที
ฉู่หนิงจูในตอนนั้นมักมาเยี่ยมเยือนสกุลลู่บ่อยครั้ง ลู่จื่ออวิ๋นแน่นอนว่าต้องจำนางได้
“ที่แท้เป็นคุณหนูฉี” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ไม่ได้กลับมาเมืองหลวงเนิ่นนาน หลาย ๆ คนล้วนไม่รู้จัก คุณหนูฉีอย่าได้ถือสา”
ฉีซืออี้พูดจาฉะฉานมีหลักการ นางพูดคุยกับลู่จื่ออวิ๋นเรื่องขนบธรรมเนียมของที่ต่าง ๆ มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนรอบรู้
การพูดคุยกับฉีซืออี้นั้นน่าสนใจมาก อีกฝ่ายเข้ากันได้กับทุกคน เมื่อเห็นว่านางไม่สนใจในหัวข้อนั้นก็เปลี่ยนเรื่องทันที จึงทิ้งความประทับใจให้ลู่จื่ออวิ๋นไว้ไม่น้อย
“ว่าที่พี่สะใภ้ของข้าคือท่านใดหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถามเจี่ยหลิงหลง
เจี่ยหลิงหลงกล่าว “นางไม่อยู่ที่นี่”
“เหตุใด?”
“สกุลสิงไม่มีตำแหน่งขุนนาง” เจี่ยหลิงหลงกล่าว
“ฮองเฮาเพิ่งกลับมาจึงยังไม่ได้พบคุณหนูสกุลสิง เพียงแต่อยากจะพบนางนั้นไม่ยาก ได้ยินว่าหมู่นี้นางมักจะไปที่ถนนหลินหลางทุกวัน”
“ถนนหลินหลางอยู่ที่ใดหรือ?”
“นั่นเป็นตลาดที่เปิดทำการได้เพียงไม่กี่ปี ขายสินค้าแปลกใหม่ทุกชนิดโดยเฉพาะ ที่นั่นมีชาวต่างแดนค้าขายมากที่สุด”
“ได้ยินมานานว่านางก็ชอบทำการค้าเช่นกัน สกุลเราดูแล้วยังเหมือนสกุลพ่อค้าเสียมากกว่าอีก” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “เช่นนั้นข้ายิ่งอยากรู้จักแล้ว”
“คุณหนูสกุลสิงตั้งแต่เล็กก็ต้องทนทุกข์กับการเปลี่ยนแปลงของครอบครัว พาน้องชายออกจากบ้านไป นางรอบรู้เสียยิ่งกว่าสตรีที่อยู่แต่ในห้องหออย่างเราเสียอีก กล่าวตามตรง ข้านับถือนางยิ่งนัก น่าเสียดาย แต่ละครั้งที่พบกันล้วนไม่มีโอกาสได้พูดคุย” ฉีซืออี้เอ่ย
เซี่ยเฉิงจิ่นเดินเข้ามา พาลู่จื่ออวิ๋นและลูกทั้งสองเข้าไปพูดคุยดื่มกินกับฟ่านหยวนซีทางนั้นแล้ว
“อิจฉาคุณหนูใหญ่สกุลลู่เสียจริง” มีคนมองคู่กิ่งทองใบหยกคู่นั้นแล้วกล่าว “ตอนนั้นซื่อจื่ออู่อันโหวเป็นชายหนุ่มรูปงามชื่อดังในเมืองหลวง ไม่เคยนึกว่าจะจับพลัดจับผลูได้เป็นผู้ครองอาณาจักร มิหนำซ้ำยังรักใคร่โปรดปรานแต่นางเพียงผู้เดียว”
“ซืออี้” คุณหนูสูงศักดิ์ผู้หนึ่งเดินเข้ามาเอ่ย “ไยเจ้ายังช่วยพูดให้ห้าสิงเล่า?”
“ที่ข้ากล่าวนั้นเป็นความจริง ช่วยนางที่ใดกัน?” ฉีซืออี้เอ่ย “นางเป็นสตรีที่แปลกจริง ๆ นี่”
“เจ้ายอมแพ้แล้วหรือ?”
“ข้าฉีซืออี้เกิดในสกุลทหาร หลายปีมานี้ไม่เคยพบคนที่พึงใจ จะยอมแพ้ได้อย่างไร? ถึงแม้เขาจะแต่งนางไปเป็นภรรยา ทว่าผู้ที่ลงเอยกับเขาใช่ว่าจะเป็นคนผู้นั้น ข้ายังมีโอกาสไม่ใช่หรือ?”
“ซืออี้ คำพูดนี้ของเจ้า… หากถูกผู้ใดได้ยินเข้า เกรงว่าชื่อเสียงเจ้าจะแปดเปื้อนแล้ว จากที่ข้าดู ลืมเสียเถิด เจ้าเป็นถึงคุณหนูใหญ่สกุลฉี อยากแต่งบุรุษเช่นใดยังจะไม่ได้หรือ ไม่จำเป็นต้องเสียสละตนเองเพียงนั้น”