บทที่ 998 ความรักของพ่อจอมโหด (ฉบับจิ้งคง)
……….
แคว้นเยี่ยนก็มีประเพณีถวายธูปไหว้พระปีใหม่เช่นกัน ปีนเขาที่กู้เจียวพูดถึงคือไปไหว้พระที่วัด
พวกนางคงไปถวายเป็นคนแรกไม่ทัน จึงรีบไปให้ถึงก่อนช่วงบ่าย ถวายธูปแล้วก็กินอาหารเจกัน
เจ้าสามถั่วตั้งตารอว่าจะได้เล่นสนุก ตื่นตั้งแต่เช้า เซียวเหิงที่เหนื่อยมาค่อนคืน ตอนพวกเด็กๆ มาหาเขาก็ยังไม่ตื่น
เซียวเยียนเพิ่งเคยเห็นพ่อนอนขี้เกียจแบบนี้ครั้งแรก จึงอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อคืนนี้ท่านพ่อทำอะไร พอถามแม่จึงได้รู้ว่าพ่อแบกท่านน้าไม่ไหว ถึงได้บาดเจ็บ
หากท่านพ่อบาดเจ็บ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็คงไม่ได้ไปปีนเขาน่ะสิ
แต่เมื่อกี้ท่านพ่อบอกว่าไม่เจ็บนี่!
เย้!
ถ้าอย่างนั้นก็ปีนได้!
เซียวเยียนวิ่งฉิวออกไป ลากเซียวฉงมาก่อน หลังจากนั้นก็อุ้มเสี่ยวเซวียนวัยสองขวบตามมาอย่างทุลักทุเล
นางหัวเราะคิกคัก “ท่านพ่อเก่งจริง! ท่านน้าจิ้งคงตัวใหญ่ขนาดนั้น ท่านยังแบกไหว”
เมื่อได้รับคำชมแบบนั้น เซียวเหิงก็ไม่มีข้ออ้างให้ถอยแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะกลายเป็นท่านพ่อที่ไม่เก่งน่ะสิ
ต่อหน้าภรรยา ต่อหน้าลูกๆ ต้องไว้มาดสักหน่อย
เขากระแอมให้โล่งคอ เอ่ยสีหน้าเรียบเฉย “อะแฮ่ม แน่นอนอยู่แล้ว ท่านน้าพวกเจ้าไม่หนักสักเท่าใดหรอก”
“คิกๆ !” เซียวเยียนพาน้องชายสองคนออกจากบ้านอย่างมีความสุข “ไปปีนเขากัน”
กู้เจียวยิ้มตาหยีมองเขา
เซียวเหิงกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้ ก่อนจะพลิกร่างนางลงใต้ร่างตัวเอง กัดเบาๆ บนริมฝีเบานุ่มของนางอย่างคาดโทษ ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าตั้งใจใช่หรือไม่”
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ อย่างสำนึกผิด “แล้วเจ้าจะลงโทษข้าไหม”
เซียวเหิงที่ลงโทษนางไปแล้ว “…”
หากนี่ยังไม่นับว่าเป็นการลงโทษ เช่นนั้นก็ต้องสำเร็จโทษขั้นกว่า แต่หากลงโทษเสร็จแล้ววันนี้เขาคงไม่ได้ออกจากประตูบ้าน
เขาสูดหายใจลึก ก่อนจะกัดดึงริมฝีปากนางอย่างแรงเพื่อมัดจำเอาไว้ก่อน “ทดไว้ก่อน คืนนี้กลับมาค่อยลงโทษเจ้า”
เมื่อเอ่ยจบ เซียวเหิงปล่อยนางให้เป็นอิสระ พยายามอดกลั้นอารมณ์พุ่งพล่านที่เกิดขึ้นในยามเช้าอย่างง่ายเพียงเพราะแค่ถูกนางยั่วยวน
หลังจากนั้นเขาก็เห็นนางหยิบกล่องถุงยางออกมาจากกล่องยาใบน้อย กล่องที่หนึ่ง กล่องที่สอง และกล่องที่สาม
รับโทษเองแต่โดยดี ว่าง่ายเสียเหลือเกิน
เซียวเหิง “…”
…
เซวียนหยวนซีอยู่ที่ตำหนักเจาหยาง
หลังจากปลุกท่านพ่อแล้ว เจ้าสามถั่วก็ไปปลุกท่านน้าจิ้งคงต่อ
เซวียนหยวนซีถูกเหล้าแก้วเดียวเล่นงานจนเมาสลบไปทั้งคืน เมื่อตื่นขึ้นมา หัวสมองก็อื้ออึงไปหมด
“ท่านน้า ท่านน้า!” เซียวเยียนกระโดดโลนเต้นบนเตียงเขา “ตื่นเร็วๆ ! จะไปปีนเขากันแล้ว”
“อืม” เซวียนหยวนซียกมือขึ้นมาบังแสงที่แยงตาอย่างงัวเงีย
ในขณะเดียวกัน นางกำนัลที่เขามาปรนนิบัติอาบน้ำให้เขาก็ยกอ่างน้ำเข้ามาพอดี นางเห็นเด็กหนุ่มรูปหล่อภายใต้แสงอรุณ สายตากวาดมองไปเห็นลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงน้อยๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ หัวใจก็พลันสั่นไหว
ก้าวย่างของนางสั่นสะท้าน น้ำในอ่างกระฉอกออกมา!
“ตื่นได้แล้ว ตื่นได้แล้ว”
เซียวเยียนแปลงร่างเป็นโทรโข่งน้อย ตะโกนอยู่ข้างหูเซวียนหยวนซีไม่หยุด
เซวียนหยวนซีดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง นางก็มุดเข้ามาในผ้าห่มด้วย ก่อนจะร้องตะโกนอย่างไม่รู้จักเบื่อ
เวรกรรมเป็นเช่นนี้สินะ เซวียนหยวนซีที่เคยก่อกวนคนอื่นมาตลอดในที่สุดก็ได้ลิ้มรสความสิ้นหวังของท่านย่าแล้ว
เมื่อถูกเซียวเยียนโวยวายจนหมดอารมณ์ เขาก็ลุกขึ้นนั่งอย่างซังกะตาย “เอาละ เอาละ เอาละ น้าตื่นแล้ว”
…
ซ่างกวานเยี่ยนไม่ได้ตามมาด้วย มีเพียงลูกชายอย่างซ่างกวานชิ่งและเซียวเหิง
ศรัทธรามาไหว้พระที่วัดมากมาย ระยะทางหนึ่งลี้จากตีนเขา รถม้าก็ไม่สามารถเคลื่อนต่อไปได้แล้ว
ทุกคนลงจากรถเพื่อเดินต่อ
ที่นี่ผู้คนหลากหลาย ไม่อาจปล่อยให้เด็กๆ เดินเองได้ ซ่างกวานชิ่งอุ้มเซียวฉง เซียวเหิงอุ้มเสี่ยวเซียวเซวียน
ส่วนเซียวเยียนนั้นก็โผล่ศีรษะน้อยๆ ออกมาจากข้างหลังกู้เจียว หัวเราะคิกคักพลางเอ่ยกับเซวียนหยวนซี “ท่านน้าจิ้งคง”
เซวียนหยวนซีคิ้วกระตุก กัดฟันอุ้มเซียวเยียนขึ้นมา
เซียวเยียนโคลงศีรษะเจื้อยแจ้วตลอดทาง เซวียนหยวนซีหัวแทบจะระเบิดอยู่แล้ว
มือข้างของเซียวเหิงอุ้มเสี่ยวเซียวเซวียน ส่วนอีกข้างหนึ่งจูงมือกู้เจียวเอาไว้ เดินตามอยู่ข้างหลังอย่างไม่รีบร้อน
เมื่อเห็นอดีตเณรน้อยถูกเซียวเยียนก่อกวนจนหัวหมุน ใครคนหนึ่งก็รู้สึกมีความสุขอย่างประหลาด
“พี่เขยนิสัยไม่ดี ท่านจะมาหัวเราะเยาะกันเช่นนี้ไม่ได้นะ”
ใครบางคนหัวเราะเสียงเย็น
ใบหน้ายิ้มแย้มของเซียวเหิงชะงักไป เขามั่นใจว่าจิ้งคงไม่ได้เหลียวกลับมา เขาเอ่ยในใจ เจ้าเด็กนี่มีตาอยู่บนท้ายทอยหรือไร เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกเขาเข้าวัดไปถวายธูป เด็กน้อยสามคนโขกศีรษะไหว้พระ ทำท่าทำทางเสียงเป็นเรื่องเป็นราว โดยเฉพาะเสี่ยวซือซินที่สวมชุดนักบวชน้อย ใส่ลูกประคำอยู่แล้วด้วย
หากโขกหัวอีกครั้ง คนที่ไม่รู้คงคิดว่าเป็นอาจารย์น้อยของวัดนี้
แต่อาจารย์ตัวน้อยคนนี้ชักจะน่ารักเกินไปหน่อยไหม
“ปวด ฉิ้งฉ่อง” เณรน้อยเสี่ยวซือซินที่พูดถึงนั้นก็คือเสี่ยวเซียวเซวียนที่กำลังกระตุกเสื้อท่านพ่อ
เซียวเหิงชี้ไปที่เซวียนหยวนซี “อืม ไปหาท่านน้าสิ”
เสี่ยวเซียวเซวียนเดินมา เงยศีรษะน้อยๆ ขึ้น “ท่านน้า ฉี่”
“พี่เขยนิสัยไม่ดีชักจะเกียจคร้านเกินไปแล้ว” เซวียนหยวนซีรู้อยู่แล้วว่าพี่เขยนิสัยไม่ดีเป็นคนขี้เกียจ จึงไม่คาดหวังอะไรกับเขาอยู่แล้ว ก่อนจะอุ้มเสี่ยวเซียวเซวียนไปยังห้องน้ำ
“รอพวกเจ้าที่ห้องสวดมนต์นะ” เซียวเหิงบอก
“รู้แล้วน่า!” เซวียนหยวนซีเบ้ปาก
….
ระหว่างทางจากห้องน้ำไปยังห้องสวดมนต์ต้องผ่านสวนดอกเหมย ยามเซวียนหยวนซีอุ้มเสี่ยวเซียวเซวียนเดินบนทางที่ปูด้วยหิน ก็บังเอิญเจอกับหญิงสาวสวมผ้าปิดหน้าในชุดคลุมยาวสีชมพู
ทางเดินปูหินนั้นแคบเหลือเกิน
เซวียนหยวนซีเลี่ยงทางให้
แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายก็เลี่ยงให้เหมือนกัน จึงกลายเป็นว่าขยับไปทางเดียวกัน
เซวียนหยวนซีขยับขวาในทันใด
แต่เผอิญอีกฝ่ายก็ใจตรงกัน
ไปๆ มาๆ ก็ไม่มีใครได้ไปเสียที
เซวียนหยวนซีจึงใช้วิธีเบี่ยงตัวแทน “เชิญแม่นาง”
หญิงสาวค้อมตัวให้ แสดงออกว่าขอบคุณ
จากนั้นนางก็หันเดินไปข้างหน้า
วินาทีที่ทั้งสองเดินผ่านกันนั้น เสี่ยวเซียวเซวียนกลับนึกซนยื่นมือน้อยออกไปจับดอกไม้มุกประดับผมของนาง
เซวียนหยวนซี “…”
“ขออภัย” เซวียนหยวนซีขอโทษหญิงสาว จากนั้นก็มองเจ้าเด็กน้อยในอ้อมกอกของตัวเอง “เซวียนเอ๋อร์ คืนของให้แม่นางเสีย”
เซียวเซวียนน้อยไม่ยอมคืน
หญิงสาวเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แค่มุกประดับผม ไม่ได้มีราคาอะไร”
เซวียนหยวนซี “ไม่ได้หรอก หากคนอื่นรู้เข้า แม่นางจะเสียชื่อเสียง”
แต่เป็นตายร้ายดีอย่างไรเสี่ยวเซียวเซวียนก็ไม่ยอมคืน
เซียวเซวียนเป็นเด็กป่วยออดๆ แอดๆ เขาไม่อยากให้เขาร้องไห้ กลัวว่าร้องแล้วจะเป็นลมเป็นแล้งไป
สุดท้ายเซวียนหยวนซีก็ยังยืนกราน ใช้เงินสองตำลึงแลกซื้อดอกไม้มุกประดับผมของอีกฝ่าย
เมื่อกลับมาถึงห้องสวดมนต์ เขาก็ไม่ปิดบัง เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสวนดอกไม้อย่างละเอียด
เซียวเหิงมองลูกชายตัวน้อย
เสี่ยวเซียวเซวียนตกใจจนตัวสั่น โผเข้าหาซ่างกวานชิ่งราวกับขอความช่วยเหลือ
จะว่าเขาซื่อบื้อก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ยังรู้ว่าถึงโผเข้าอ้อมกอดแม่นั้นก็ไม่มีประโยชน์ ท่านแม่นั้นก็คงโกรธไม่แพ้ท่านพ่อ มีเพียงท่านลุงเท่านั้นที่ช่วยได้
ซ่างกวานชิ่งกอดเจ้าเด็กน้อยเอาไว้ในอก เอ่ยปลอบเสียงแผ่วเบา “เอาละ เอาละ เซวียนเอ๋อร์ไม่ต้องกลัวนะ ลุงจะปกป้องเจ้าเอง”
เซียวเหิงเอ่ย “ปืนไฟกระบอกใหม่ของเจ้าก็อย่าได้หวัง”
ซ่างกวานชิงคืนเสี่ยวเซียวเซวียนในทันที ก่อนจะเอ่ยกับเซียวเหิงเสียงเข้ม “ลูกใครก็เลี้ยงเอง”
เสี่ยวเซียวเซวียน “…”
เซียวเหิงพาลูกชายไปยังห้องสวดมนที่อยู่ถัดไป
เรื่องไหนผิดก็ต้องสอนให้แก้ไข เขามีกฎอยู่อย่างหนึ่งคือจะไม่ทำโทษลูกต่อหน้าคนอื่น
เวลาหนึ่งเค่อต่อมา สองพ่อลูกก็ออกมาจากห้องสวดมนต์
ไม่มีใครรู้ว่าเซียวเหิงเอ่ยอะไรกับเซียวเซวียนบ้าง แต่เอาเป็นว่าเสี่ยวเซียวเซวียนนั้นยอมคืนดอกไม้มุกประดับผมนั้นให้กับเซวียนหยวนซีแต่โดยดี
เซวียนหยวนซี เดี๋ยวสิ เจ้าไม่อยากได้แล้วเอาให้ข้าทำไม
เซวียนหยวนซีก็ไม่อยากได้เช่นกัน
ไม่ว่าพรหมลิขิตจะดลบันดาลทอดสะพานให้อย่างไรก็ไม่มีผลอันใดกับเซวียนหยวนซี เขารู้สึกว่าดอกไม้มุกนั้นไม่สวยเอาเสียเลย ประเดี๋ยวค่อยโยนทิ้งก็แล้วกัน
ระหว่างทางกลับ น้อยครั้งนักที่เซียวเหิงจะไม่นั่งรถม้า แต่ขี่ม้าไปพร้อมกับเซวียนหยวนซี
เซวียนหยวนซีเหลือบตามองพี่เขยนิสัยไม่ดีที่อยู่ข้างกัน “ลมแรงปานนี้ หากไม่สบายขึ้นมา ข้าไม่รับผิดชอบหรอกนะ”
เซียวเหิงไม่ได้อ่อนแอขนานั้น เขาเพียงแค่ไม่เก่งกาจด้านวรยุทธ์ก็เท่านั้น แต่ก็แอบฝึกร่างกายอยู่ลับๆ เหมือนกัน
แต่เซียวเหิงถึงกับสละโอกาสจู๋จี๋กับภรรยาเพื่อขี่ม้ากับเซวียนหยวนซีแบบนี้ ต้องมีอะไรจะบอกแน่นอน
“มีเรื่องอะไรกันแน่” เซวียนหยวนซีถาม
เซียวเหิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องแบบนี้ให้พูดเจียวเจียวคงลำบาก ให้เขาเอ่ยปากเองจะดีกว่า
เขานิ่งไป ขยับม้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย เอ่ยถามสีหน้าเรียบเฉย “ตอนเจ้าอยู่ในค่าย… ไม่ได้ซุกซนกับใครใช่หรือไม่”
“ซุกซนอะไรกัน” เซวียนหยวนซีไม่เข้าใจ
เซียวเหิงนึกถึงเรื่องดอกไม้มุกเมื่อครู่ก่อนจะเอ่ย “เจ้าโตแล้ว ท่านชายตระกูลใหญ่หลายคนต่างช่ำชองตั้งแต่อายุเท่าเจ้า แต่ข้าไม่เห็นด้วยที่จะทำเช่นนั้น”
เซวียนหยวนซีคาดเดาพร้อมทั้งเชื่อมโยงกับแววตามีเลศนัยนั้น ก็เข้าใจแล้วว่าเขาหมายความว่าอะไร
เซวียนหยวนซีหน้าถมึงทึง “พี่เขยนิสัยไม่ดี พูดอะไรน่ะ ข้าเพิ่งอายุเท่าไหร่เอง!”
ดูท่าแล้วคงเข้าใจอย่างที่คิดไว้จริงๆ ก่อนเข้าค่ายทหารยังเป็นเด็กน้อยใสซื่อแท้ๆ มั่วสุมกับพวกทหารเก่าได้แค่ปีเดียว คงเคยเปิดหูเปิดตาบ้างแล้วไม่น้อย
เด็กน้อยเติบโตเร็วยิ่งนัก เพียงชั่วพริบตา พวกเขาก็เกือบจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
เซียวเหิงเก็บคำตัดพ้อไว้ในใจ ก่อนจะเอ่ยหน้าตาย “เจ้าต้องรักนวลสงวนตัว จะมั่วไปทั่วไม่ได้”
เดิมทีข้าก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้หรอก!
ในใจของเซวียนหยวนซียังคิดว่าตัวเองเป็นเด็กน้อย
แต่เขาไม่ทางยอมรับหรอก เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ก็คงเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าลึกในใจจะยังเป็นเด็กแค่ไหน แต่ก็แสร้งแสดงออกมาอย่างเป็นผู้ใหญ่
เขาเชิดคางขึ้นส่งเสียงฮึดฮัด “ท่านเป็นห่วงข้าเช่นนี้ สู่เป็นห่วงตัวเองดีกว่าเถอะ”
เซียวเหิงถาม “ข้าทำไมรึ”
เซวียนหยวนซีเลิกคิ้วเอ่ย “ข้าได้ยินมาว่าที่แคว้นเว่ยมีเสนาบดีแซ่หลิ่ว มาจากแคว้นล่าง ตระกูลต่ำต้อย แต่อย่าหาว่าข้าไม่เตือนท่านล่ะ ตอนอยู่ที่แคว้นเจา เจียวเจียวเคยมีคนรู้ใจหนึ่งคน แซ่หลิ่ว! ชื่อว่าหลิ่วอีเซิง!”