บทที่ 991 เทพเจ้าแห่งสงคราม (ฉบับจิ้งคง)
……….
ฤดูหนาวสุดหฤโหดได้วนมาเยือนแคว้นเยี่ยนอีกครา
การสู้รบที่ซือหม่าโพดำเนินมาเป็นเวลาสองเดือนแล้ว และไม่สามารถยึดครองได้เป็นเวลานาน เนื่องจากหิมะที่ตกหนักกีดขวางถนน ทำให้ไม่สามารถจัดส่งสัมภาระของสำนักได้ ทำให้ทหารที่ชายแดนหิวโหยเป็นเวลาหลายวัน และทำได้แค่ขุดรากหญ้าและเคี้ยวเปลือกไม้เพื่อสนองความหิว
หรือไม่ก็นำศพม้าที่ตายแล้วมาทำอาหารประทังชีวิต
ณ ค่ายแม่ทัพ ทหารทุกคนล้วนตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา บรรยากาศชวนอึดอัดยิ่งนัก
เหตุการณ์ทั้งหมดต้องเท้าความไปที่เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้า ทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเยี่ยนได้เกิดกองทัพกบฏที่ต่อต้านจักรพรรดินีขึ้นอย่างฉับพลัน พวกเขาแพร่ข่าวลือไปทั่วว่าการขึ้นครองบัลลังก์ของจักรพรรดินีนั้นไม่ชอบธรรม
จักพรรดิองค์ก่อนไม่ได้ประสงค์จะมอบบัลลังก์ให้กับนาง นางเป็นคนที่บังคับให้จักรพรรดิของลงจากบัลลังก์และกักขังเขาไว้ในวังหลังก่อนจะยึดบัลลังก์ไป
นางมิใช่จักรพรรดิที่สวรรค์ประทานให้
ซ้ำยังเป็นคนที่ไม่ปราณี แย่เสียยิ่งกว่าจักรพรรดิองค์ก่อน รังแกราษฎร ลดทอนคนดี
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แคว้นจะต้องตกอยู่ในอันตราย
คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นข่าวลือที่พวกกบฏสร้างขึ้น มีทั้งความจริงและคำโกหก เป็นเรื่องจริงที่ซ่างกวานเยี่ยนบังคับให้ฮ่องเต้องค์ก่อนสละบัลลังก์ และเป็นเรื่องจริงที่นางกักขังเขาไว้ในวังหลัง อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้ปกครองแบบกดขี่ข่มเหงและไม่ได้ทำร้ายผู้ภักดีและราษฎร
ส่วนเรื่องที่ว่านางใช่หรือไม่ใช่จักรพรรดินีที่สวรรค์ประทานนั้น คนที่รู้ก็จะรู้ ส่วนคนที่ไม่รู้ก็ไม่รู้ต่อไป
ผู้คนทางตะวันตกเฉียงใต้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซ่างกวานเยี่ยนเป็นคนเช่นไร พวกกบฏแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับความโหดร้ายของนาง และนั่นทำให้ผู้คนตั้งคำถาม
ช่วงเวลาของการผงาดขึ้นของกลุ่มกบฏนั้นละเอียดอ่อนมาก ทั้งหกแคว้นยังคงรักษาสันติภาพอย่างสันติ แต่พวกเขากลับแอบทำสงครามกันอย่างลับๆ ทำให้สถานการณ์ที่ชายแดนนั้นเกิดความตึงเครียด ทว่ากลับถูกราชสำนักละเลย
และนั่นก็คือต้นตอของปัญหา
ซือหม่าโพอยู่ภายใต้เขตอำนาจของชางโจว ในฐานะหัวหน้านายพลของชางโจว กัว หม่าง ได้รับคำสั่งจากสำนักให้นำกองกำลังหมื่นนายไปยังซือหม่าโพทันทีเพื่อกวาดล้างกลุ่มกบฏ
ในตอนแรกเขาคิดว่าพวกกบฏเป็นเพียงกลุ่มคนทั่วไปที่ไร้พิษสง
เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น พวกเขาพบว่าจำนวนทหารของฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมากกว่า
ไม่มีใครรู้ว่ากองทหารเหล่านี้มาจากไหน พวกมันเติบโตเหมือนดั่งวัชพืชในชั่วข้ามคืน
กัวหม่างเป็นคนมีประสบการณ์ เขาคิดว่าความได้เปรียบเชิงตัวเลขไม่ได้มีผลกระทบมากพอ กองทัพของเขาทั้งแข็งแกร่งและมีอาวุธที่ทรงพลัง และไม่น่ามีอะไรผิดพลาด
เพียงแต่อาจต้องใช้เวลาหน่อยก็เท่านั้น
แต่พอเอาเข้าจริง นับวันกัวหม่างก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดแปลกไป
เขาพบว่าทหารกบฏกลุ่มนี้ชำนาญการสู้รบเป็นอย่างยิ่ง!
ชุดเกราะของอีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งพอๆ กับของกองทัพของเขา!
หลังจากต่อสู้กัน ปรากฏกัวหม่างเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการยึดค่ายกบฏ แต่เขายังสูญเสียเมืองอีกด้วย
เมืองนี้ไม่มีป้อมปราการใดๆ บริเวณใกล้เคียงมีซื่อหม่าโพ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สามารถใช้ได้ทั้งการโจมตีและป้องกัน
กัวหม่างจึงต้องเปลี่ยนยุทธวิถีรบ เพื่อรอกำลังเสริมจากอวิ๋นโจวมาสมทบ ทว่าด้วยสภาพอากาศที่ร้ายแรง หิมะเกิดถล่มปิดภูเขา ทำให้ทุกอย่างล่าช้า
อย่าว่าแต่กองกำลังเสริม แม้แต่เสบียงก็ขนมาไม่ทัน
เหล่าทหารทั้งหนาวทั้งหิวโหย และทหารที่บาดเจ็บไม่สามารถรับการรักษาได้ จนขวัญกำลังใจเริ่มเสีย
และในวันนี้ กัวหม่างก็ได้เรียกพลทหารมาเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนต่อไป
“กองกำลังของพวกเราเริ่มไม่ไหวแล้ว”
นี่คือประโยคแรกที่ออกจากปากกัวหม่าง
ทุกคนต่างหมดแรงจะโต้แย้ง
ครั้งนี้พวกเขาประมาทและประเมินศัตรูต่ำไป พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่ากลุ่มกบฏชางโจวจะสร้างปัญหาขนาดนี้
เป็นบทลงโทษจากสวรรค์หรืออย่างไรกัน
“ข้ามีแผนแผนหนึ่ง” กัวหม่างเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีขึงขัง
หลังจากที่แพ้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ท่าทีของทุกคนไม่กระตือรือร้นเท่าไหร่นัก
กัวหม่างเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาเป็นอย่างดี อันที่จริงคนที่รู้สึกพังทลายที่สุดก็คือเขานั่นแหละ ในฐานะผู้บัญชาการรบครั้งนี้ เขาย่อมหลีกเลี่ยงความผิดไม่ได้ ส่วนคนอื่นๆ ยังสามารถพูดได้ว่าพวกเราทำตามคำสั่งข้างบนให้สู้ยังไง เราก็สู้ไปตามนั้น
แต่กัวหม่างล่ะ เขาสามารถปลอบใจตัวเองด้วยคำพูดเช่นนี้ได้หรือ
แน่นอนว่าไม่ได้
เขาใช้ความพยายามอย่างมากในการรักษาอารมณ์ของเขาที่ใกล้จะพังทลาย เขาเลียริมฝีปากที่แตกและเลือดออกแล้วเอ่ย “กองกำลังของฝ่ายตรงข้ามมีความแข็งแกร่งมากกว่ากองทัพของเรามากกว่าสองเท่า นอกจากนี้ พวกเขามีอาหารที่เพียงพอ อาจไม่เหมาะที่เราจะโจมตีจากแนวหน้า”
ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่าไม่มีใครตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาเอ่ย
กัวหม่างหันไปมองหิมะที่ตกนอกหน้าต่าง แล้วเอ่ยต่อ “คืนนี้ เราจะบุกรังของโจวฉงเย่ว์ และจับมันมาให้ได้ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย!”
โจวฉงเย่ว์ หัวหน้ากบฏ
ตามตำนาน ชายผู้นี้เกิดมาพร้อมกับพลังเหนือธรรมชาติ ศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง และกล้าหาญและมีไหวพริบ เขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีในการสร้างกองทัพกบฏที่ไม่มีนัยสำคัญให้กลายเป็นกองกำลังสองหมื่นนายได้ด้วยเวลาอันสั้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
โชคดีที่มีข่าวมาจากสายลับเมื่อไม่นานมานี้ว่า โจวฉงเย่ว์บังเอิญตกจากหลังม้าระหว่างฝึกทหาร ถูกกีบม้าเหยียบย่ำ และได้รับบาดเจ็บสาหัส
นี่จึงเป็นโอกาสอันดีของพวกเขา
กัวหม่างมองไปที่ทุกคนอย่างจริงจังเอ่ย “ข้ารู้ว่างานนี้ยากมาก แต่เรามีทางรอดเดียวเท่านั้น โจวฉงเย่ว์ได้รับบาดเจ็บ หากเราไม่ฆ่าเขาตอนนี้ เราจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว! เมื่อเขาหายดีและนำทัพมาโจมตีเรา เราจะไม่สามารถต้านทานได้! ไม่ต้องรอถึงวันนั้น พวกเราทุกคนจะต้องอดตายและหนาวตายที่นี่ ยังไงเราก็ต้องตาย ทำไมไม่ตายบนสนามรบล่ะ ฆ่าแค่คนคนเดียวก็คุ้มแล้ว! ฆ่าสองคนก็กำไร! เมื่อตายไปสู่ปรโลก อย่างน้อยก็ไม่อับอายบรรพบุรุษ! เราจะไม่เสียชาติเกิด!”
คำพูดเหล่านี้อาจฟังดูเหมือนธรรมดา แต่ในใจของทหารทุกคนที่รับใช้ชาติอย่างภักดี พวกเขาจุดประกายจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ครั้งสุดท้ายอย่างไม่ต้องสงสัย
พวกเขาไม่กลัวความตาย
แต่กลัวการตายอย่างไม่สมเกียรติมากกว่า
…
หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เป็นสภาพอากาศที่เหมาะสำหรับการซุ่มโจมตี
กลุ่มกบฏคงไม่คิดฝันว่ากองทัพชางโจวผู้หิวโหยจะกล้าโจมตีพวกเขาในคืนที่หิมะตกเช่นนี้
รนหาที่ตายชัดๆ
กัวหม่างคัดเลือกทหารที่แข็งแกร่งที่สุดร้อยนาย ทหารทุกคนต่างสละอาหารที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้กับพวกเขา
การต่อสู้คืนนี้เดิมพันด้วยชีวิตของทุกคน
หลังจากอิ่มท้องแล้ว กัวหม่างก็ออกไปพร้อมกับทหารนับร้อยคน ก่อนออกเดินทาง เขาได้แต่งตั้งรองแม่ทัพหลินเป็นแม่ทัพสำรอง หากเขากลับมาไม่ได้ เขาจะปล่อยให้รองแม่ทัพหลินเป็นผู้นำทุกคนในการต่อสู้ต่อไป
พวกเขาขี่ม้าและฝ่าหิมะหนาในยามค่ำคืน
พวกเขาเดินทางอ้อมเป็นเวลานานผ่านป่าตะวันออก ผ่านทะเลสาบน้ำแข็ง และไปจนถึงปีกขวาของค่ายกบฏ
ทุกอย่างเป็นไปโดยราบรื่น
จากนั้นพวกเขาก็พักม้าไว้ที่ป่า กัวหม่างนำทางพวกทหารไปยังฐานทัพของพวกกบฏ
และในตอนนั้นเอง เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
จู่ๆ นักธนูจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้นจากทั่วทุกมุม พร้อมกับชักคันธนูล้อมรอบพวกเขา
กัวหม่างหน้าเสียทันที!
จากนั้นเสียงหัวเราะของใครบางคนดังมาจากด้านหลัง ปรากฏชายร่างสูงในวัยสามสิบสวมชุดเกราะและมีหนวดเคราเดินพุ่งตรงไปทางกัวหม่าง
ก่อนจะหยุดแล้วยืนห่างจากกัวหม่างราวสิบก้าว
“โจวฉงเย่ว์” กัวหม่างอุทานทันที
แย่ละ ถูกหลอกแล้ว!
แท้จริงแล้วโจวฉงเย่ว์ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย แต่จงใจปล่อยข่าวเท็จเพื่อหลอกล่อให้พวกเขาติดกับ!
แม้ว่ากลุ่มกบฏจะมีกองกำลังจำนวนมาก มีอาหารและหญ้าเพียงพอ และมีโอกาสสูงที่จะชนะในการต่อสู้ แต่กัวหม่างไม่ใช่คนโง่ เขาป้องกันเก่ง ไม่เช่นนั้นป่านนี้พวกโจวฉงเย่ว์คงเอาชนะพวกเขาได้ไปนานแล้ว!
โจวฉงเย่ว์หัวเราะชอบใจ “แม่ทัพกัว กว่าข้าจะหลอกล่อท่านให้มาถึงตรงนี้ได้นั้นไม่ง่ายเลย อย่าเพิ่งรีบกลับสิ ฟังข้าพูดให้จบก่อน ข้าน่ะชื่นชมแม่ทัพกัวมานานแล้ว ข้ามีเงื่อนไขมาเสนอด้วยล่ะ หากท่านแม่ทัพยอมจำนนต่อพวกเรา ข้ารับรองว่าจะไม่ฆ่าท่านและทหารของท่าน แถมจะให้ท่านได้กินของดีๆ ด้วย พวกท่านน่าจะหิวโซกันมาหลายวันแล้วใช่ไหมล่ะ!”
เอ่ยจบ เขาก็ตบมือให้สัญญาณ
ไม่นานก็มีทหารเดินเข้ามาพร้อมกับถาดแพะย่าง
กลิ่นของเนื้อแพะย่างผสมกับกลิ่นหอมของเครื่องเทศ ทำให้กองทหารชางโจวที่หิวโหยอยู่แล้วน้ำลายไหลทันที
แม้แต่กัวหม่างเองก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้
“ไม่ต้องเกรงใจนะท่านแม่ทัพ” โจวฉงเย่ว์หัวเราะพร้อมกับผายมือไปทางแพะย่าง
กัวหม่างจ้องไปที่แพะย่างตาเป็นมันพร้อมกับทำท่าน้ำลายไหล แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าเดิน
โจวฉงเย่ว์หัวเราะอย่างพึงพอใจ
จังหวะที่เดินผ่านโจวฉงเย่ว์ กัวหม่างก็ใช้โอกาสนี้พุ่งดาบแทงโจวฉงเย่ว์ทันที!
ทว่าโจวฉงเย่ว์ไหวตัวทัน!
เขารีบคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้ทันที
ด้วยความที่กัวหม่างไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ทำให้เรี่ยวแรงของเขาอ่อนลง ไม่สามารถใช้กำลังเต็มที่ได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงกำจัดโจวฉงเย่ว์ได้สำเร็จไปนานแล้ว!
“ขอดีๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลังใช่ไหม” โจวฉงเย่ว์คลี่ยิ้มอย่างเย็นชาก่อนเตะกัวหม่างเข้าที่หน้าอกและฟาดเขาด้วยดาบ
ทหารชาวโจวคนอื่นๆ พอได้สติก็รีบพุ่งดาบไปทางโจวฉงเย่ว์ทันที
“ฆ่าทิ้งให้หมด! อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!” โจวฉงเย่ว์ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม
สิ้นเสียงปล่อยธนู ทหารของชางโจวก็ล้มลงทีละคน ในไม่ช้าพื้นหิมะก็เต็มไปด้วยเลือด
กัวหม่างมองไปที่ทหารที่นอนจมกองเลือด และกำดาบในมือของเขาด้วยแววตาโกรธแค้น “โจวฉงเย่ว์ ไปตายซะ!”
“เฮอะ เจ้าน่ะหรือจะฆ่าข้าได้”
เขาคว้าลำคอของกัวหม่างและยกขึ้น
สภาพกัวหม่างตอนนี้ หาใช่คู่ต่อสู้ของโจวฉงเย่ว์ไม่
และในขณะที่โจวฉงเย่ว์กำลังจะบีบคอของเขา ทันใดนั้นก็มีเสียงนกอินทรีคำรามอันแหลมคมดังมาจากท้องฟ้า
รังสีอำมหิตได้แผ่ซ่านไปทั่ว ราวกับหยุดเวลาไว้ชั่วขณะ
โจวฉงเย่ว์ย่นคิ้วลงทันที
วินาทีต่อมา นกอินทรีผู้สง่างามก็กางปีกที่เต็มไปด้วยหิมะและลมแรง โฉบลงมาอย่างรวดเร็ว
“อ๊าก”
เสียงกรีดร้องอันโหยหวนดังขึ้นราวกับมีใครบางคนถูกนกอินทรีจิกลูกตาออกไป!
โจวฉงเย่ว์หันไปมองพลธนูที่กำลังล้มกลิ้งอยู่บนพื้นพร้อมกับมือที่ปิดตาขวา เขาขมวดคิ้วอย่างแรงแล้วโยนกัวหม่างที่อยู่ในมือทิ้ง จากนั้นรีบคว้าธนูจากพลธนูคนหนึ่ง ง้างสายธนูออก แล้วเล็งไปที่นกอินทรีตัวนั้น
ทว่า ลูกธนูในมือยังไม่ทันได้ยิงออกไป หอกพู่แดงที่เต็มไปด้วยความอาฆาตพุ่งทะลุผ่านไหล่ของโจวฉงเย่ว์ในทันที!
โจวฉงเย่ว์ไม่ทันระวังตัวและล้มลงกับพื้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ
ท่ามกลางหิมะที่ปลิวไปทั่วท้องฟ้า ชายหนุ่มสวมชุดเกราะสีเงินขี่ม้าเข้ามาพร้อมด้วยแววตาที่แน่วแน่และเยือกเย็น
กองทหารและม้าหลายพันคนไม่สามารถหยุดเขาได้ เขากระชับบังเหียนราวกับว่าเขาอยู่ในสถานที่รกร้าง ผ้าคลุมสีแดงบนชุดเกราะสีเงินปลิวไสวไปตามลม
ลูกศรจำนวนมากพุ่งไปทางเขา แต่ไม่มีร่องรอยของความกลัวในดวงตาเลยสักนิด
โจวฉงเย่ว์ได้แต่มองอัศวินที่ว่องไวปานสุนัขจิ้งจอกอย่างไม่เชื่อสายตา
อายุเท่าไหร่กันเชียว
ไม่ถึงสิบสามด้วยซ้ำกระมัง
กล้าดีอย่างไรถึงทำเขาบาดเจ็บ!
หนอย เมื่อครู่นี้เขาแค่ประมาทไปนิดเดียวเท่านั้น อย่าเพิ่งได้ใจนัก!
เขาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กหรือไม่!
เขาจะฆ่าเจ้าเด็กนั้น และควักสมองของมันออกมา!
โจวฉงเย่ว์กัดฟันแล้วดึงหอกพู่แดงที่อยู่บนไหล่ของเขาออกมา
สิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือ หอกนี้มีน้ำหนักกว่าหอกของเขาหลายเท่า!
เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่ามันเป็นหอกประเภทใดกัน
พอเขาลองสังเกตดีๆ ก็พบว่า
ให้ตายเถอะ!
หอกอะไร อุบาทว์ชะมัด!
โจวฉงเย่ว์รู้สึกรังเกียจและขยะแขยงกับลายดอกไม้และพู่เปียที่ผูกอยู่กับหอกนั้น
ในชั่วขณะนั้นเองที่เขาเผลอ อีกฝ่ายก็ฝ่าดงนักธนูและเข้ามาประชิดตัวเขาได้ในที่สุด
เด็กหนุ่มเหวี่ยงแส้ออกไปเพื่อเก็บหอกกลับคืน
จากนั้นม้าศึกของเด็กนุ่มก็ยกกีบสูงและก้าวถอยหลังใส่โจวฉงเย่ว์ที่กำลังแอบโจมตีอย่างไร้ความปรานี!
โจวฉงเย่ว์กระอักเลือดทันที!
ชายหนุ่มถือหอกพู่แดงพลางย่นคิ้ว
โจวฉงเย่ว์มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตะลึง พลางคิดในใจ คนอย่างเขาที่แทบไม่เคยพ่ายแพ้ใคร แต่กลับต้องมาแพ้ให้เจ้าเด็กนี่หรอกหรือ!
เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มผู้เย็นชาบนหลังม้า
ดวงตาขอเด็กหนุ่มทั้งเย็นชาและเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต
“เจ้า…คือผู้ใด” โจวฉงเย่ว์ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เด็กหนุ่มเอ่ยช้าๆ ชัดๆ ทีละคำ “ข้า คือเซวียนหยวนซี แห่งกองทัพเฮยเฟิง!”