สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 991 เทพเจ้าแห่งสงคราม (ฉบับจิ้งคง)

บทที่ 991 เทพเจ้าแห่งสงคราม (ฉบับจิ้งคง)

บทที่ 991 เทพเจ้าแห่งสงคราม (ฉบับจิ้งคง)

……….

ฤดูหนาวสุดหฤโหดได้วนมาเยือนแคว้นเยี่ยนอีกครา

การสู้รบที่ซือหม่าโพดำเนินมาเป็นเวลาสองเดือนแล้ว และไม่สามารถยึดครองได้เป็นเวลานาน เนื่องจากหิมะที่ตกหนักกีดขวางถนน ทำให้ไม่สามารถจัดส่งสัมภาระของสำนักได้ ทำให้ทหารที่ชายแดนหิวโหยเป็นเวลาหลายวัน และทำได้แค่ขุดรากหญ้าและเคี้ยวเปลือกไม้เพื่อสนองความหิว

หรือไม่ก็นำศพม้าที่ตายแล้วมาทำอาหารประทังชีวิต

ณ ค่ายแม่ทัพ ทหารทุกคนล้วนตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา บรรยากาศชวนอึดอัดยิ่งนัก

เหตุการณ์ทั้งหมดต้องเท้าความไปที่เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้า ทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเยี่ยนได้เกิดกองทัพกบฏที่ต่อต้านจักรพรรดินีขึ้นอย่างฉับพลัน พวกเขาแพร่ข่าวลือไปทั่วว่าการขึ้นครองบัลลังก์ของจักรพรรดินีนั้นไม่ชอบธรรม

จักพรรดิองค์ก่อนไม่ได้ประสงค์จะมอบบัลลังก์ให้กับนาง นางเป็นคนที่บังคับให้จักรพรรดิของลงจากบัลลังก์และกักขังเขาไว้ในวังหลังก่อนจะยึดบัลลังก์ไป

นางมิใช่จักรพรรดิที่สวรรค์ประทานให้

ซ้ำยังเป็นคนที่ไม่ปราณี แย่เสียยิ่งกว่าจักรพรรดิองค์ก่อน รังแกราษฎร ลดทอนคนดี

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แคว้นจะต้องตกอยู่ในอันตราย

คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นข่าวลือที่พวกกบฏสร้างขึ้น มีทั้งความจริงและคำโกหก เป็นเรื่องจริงที่ซ่างกวานเยี่ยนบังคับให้ฮ่องเต้องค์ก่อนสละบัลลังก์ และเป็นเรื่องจริงที่นางกักขังเขาไว้ในวังหลัง อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้ปกครองแบบกดขี่ข่มเหงและไม่ได้ทำร้ายผู้ภักดีและราษฎร

ส่วนเรื่องที่ว่านางใช่หรือไม่ใช่จักรพรรดินีที่สวรรค์ประทานนั้น คนที่รู้ก็จะรู้ ส่วนคนที่ไม่รู้ก็ไม่รู้ต่อไป

ผู้คนทางตะวันตกเฉียงใต้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซ่างกวานเยี่ยนเป็นคนเช่นไร พวกกบฏแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับความโหดร้ายของนาง และนั่นทำให้ผู้คนตั้งคำถาม

ช่วงเวลาของการผงาดขึ้นของกลุ่มกบฏนั้นละเอียดอ่อนมาก ทั้งหกแคว้นยังคงรักษาสันติภาพอย่างสันติ แต่พวกเขากลับแอบทำสงครามกันอย่างลับๆ ทำให้สถานการณ์ที่ชายแดนนั้นเกิดความตึงเครียด ทว่ากลับถูกราชสำนักละเลย

และนั่นก็คือต้นตอของปัญหา

ซือหม่าโพอยู่ภายใต้เขตอำนาจของชางโจว ในฐานะหัวหน้านายพลของชางโจว กัว หม่าง ได้รับคำสั่งจากสำนักให้นำกองกำลังหมื่นนายไปยังซือหม่าโพทันทีเพื่อกวาดล้างกลุ่มกบฏ

ในตอนแรกเขาคิดว่าพวกกบฏเป็นเพียงกลุ่มคนทั่วไปที่ไร้พิษสง

เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น พวกเขาพบว่าจำนวนทหารของฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมากกว่า

ไม่มีใครรู้ว่ากองทหารเหล่านี้มาจากไหน พวกมันเติบโตเหมือนดั่งวัชพืชในชั่วข้ามคืน

กัวหม่างเป็นคนมีประสบการณ์ เขาคิดว่าความได้เปรียบเชิงตัวเลขไม่ได้มีผลกระทบมากพอ กองทัพของเขาทั้งแข็งแกร่งและมีอาวุธที่ทรงพลัง และไม่น่ามีอะไรผิดพลาด

เพียงแต่อาจต้องใช้เวลาหน่อยก็เท่านั้น

แต่พอเอาเข้าจริง นับวันกัวหม่างก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดแปลกไป

เขาพบว่าทหารกบฏกลุ่มนี้ชำนาญการสู้รบเป็นอย่างยิ่ง!

ชุดเกราะของอีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งพอๆ กับของกองทัพของเขา!

หลังจากต่อสู้กัน ปรากฏกัวหม่างเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการยึดค่ายกบฏ แต่เขายังสูญเสียเมืองอีกด้วย

เมืองนี้ไม่มีป้อมปราการใดๆ บริเวณใกล้เคียงมีซื่อหม่าโพ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สามารถใช้ได้ทั้งการโจมตีและป้องกัน

กัวหม่างจึงต้องเปลี่ยนยุทธวิถีรบ เพื่อรอกำลังเสริมจากอวิ๋นโจวมาสมทบ ทว่าด้วยสภาพอากาศที่ร้ายแรง หิมะเกิดถล่มปิดภูเขา ทำให้ทุกอย่างล่าช้า

อย่าว่าแต่กองกำลังเสริม แม้แต่เสบียงก็ขนมาไม่ทัน

เหล่าทหารทั้งหนาวทั้งหิวโหย และทหารที่บาดเจ็บไม่สามารถรับการรักษาได้ จนขวัญกำลังใจเริ่มเสีย

และในวันนี้ กัวหม่างก็ได้เรียกพลทหารมาเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนต่อไป

“กองกำลังของพวกเราเริ่มไม่ไหวแล้ว”

นี่คือประโยคแรกที่ออกจากปากกัวหม่าง

ทุกคนต่างหมดแรงจะโต้แย้ง

ครั้งนี้พวกเขาประมาทและประเมินศัตรูต่ำไป พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่ากลุ่มกบฏชางโจวจะสร้างปัญหาขนาดนี้

เป็นบทลงโทษจากสวรรค์หรืออย่างไรกัน

“ข้ามีแผนแผนหนึ่ง” กัวหม่างเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีขึงขัง

หลังจากที่แพ้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ท่าทีของทุกคนไม่กระตือรือร้นเท่าไหร่นัก

กัวหม่างเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาเป็นอย่างดี อันที่จริงคนที่รู้สึกพังทลายที่สุดก็คือเขานั่นแหละ ในฐานะผู้บัญชาการรบครั้งนี้ เขาย่อมหลีกเลี่ยงความผิดไม่ได้ ส่วนคนอื่นๆ ยังสามารถพูดได้ว่าพวกเราทำตามคำสั่งข้างบนให้สู้ยังไง เราก็สู้ไปตามนั้น

แต่กัวหม่างล่ะ เขาสามารถปลอบใจตัวเองด้วยคำพูดเช่นนี้ได้หรือ

แน่นอนว่าไม่ได้

เขาใช้ความพยายามอย่างมากในการรักษาอารมณ์ของเขาที่ใกล้จะพังทลาย เขาเลียริมฝีปากที่แตกและเลือดออกแล้วเอ่ย “กองกำลังของฝ่ายตรงข้ามมีความแข็งแกร่งมากกว่ากองทัพของเรามากกว่าสองเท่า นอกจากนี้ พวกเขามีอาหารที่เพียงพอ อาจไม่เหมาะที่เราจะโจมตีจากแนวหน้า”

ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่าไม่มีใครตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาเอ่ย

กัวหม่างหันไปมองหิมะที่ตกนอกหน้าต่าง แล้วเอ่ยต่อ “คืนนี้ เราจะบุกรังของโจวฉงเย่ว์ และจับมันมาให้ได้ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย!”

โจวฉงเย่ว์ หัวหน้ากบฏ

ตามตำนาน ชายผู้นี้เกิดมาพร้อมกับพลังเหนือธรรมชาติ ศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง และกล้าหาญและมีไหวพริบ เขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีในการสร้างกองทัพกบฏที่ไม่มีนัยสำคัญให้กลายเป็นกองกำลังสองหมื่นนายได้ด้วยเวลาอันสั้น

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

โชคดีที่มีข่าวมาจากสายลับเมื่อไม่นานมานี้ว่า โจวฉงเย่ว์บังเอิญตกจากหลังม้าระหว่างฝึกทหาร ถูกกีบม้าเหยียบย่ำ และได้รับบาดเจ็บสาหัส

นี่จึงเป็นโอกาสอันดีของพวกเขา

กัวหม่างมองไปที่ทุกคนอย่างจริงจังเอ่ย “ข้ารู้ว่างานนี้ยากมาก แต่เรามีทางรอดเดียวเท่านั้น โจวฉงเย่ว์ได้รับบาดเจ็บ หากเราไม่ฆ่าเขาตอนนี้ เราจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว! เมื่อเขาหายดีและนำทัพมาโจมตีเรา เราจะไม่สามารถต้านทานได้! ไม่ต้องรอถึงวันนั้น พวกเราทุกคนจะต้องอดตายและหนาวตายที่นี่ ยังไงเราก็ต้องตาย ทำไมไม่ตายบนสนามรบล่ะ ฆ่าแค่คนคนเดียวก็คุ้มแล้ว! ฆ่าสองคนก็กำไร! เมื่อตายไปสู่ปรโลก อย่างน้อยก็ไม่อับอายบรรพบุรุษ! เราจะไม่เสียชาติเกิด!”

คำพูดเหล่านี้อาจฟังดูเหมือนธรรมดา แต่ในใจของทหารทุกคนที่รับใช้ชาติอย่างภักดี พวกเขาจุดประกายจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ครั้งสุดท้ายอย่างไม่ต้องสงสัย

พวกเขาไม่กลัวความตาย

แต่กลัวการตายอย่างไม่สมเกียรติมากกว่า

หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เป็นสภาพอากาศที่เหมาะสำหรับการซุ่มโจมตี

กลุ่มกบฏคงไม่คิดฝันว่ากองทัพชางโจวผู้หิวโหยจะกล้าโจมตีพวกเขาในคืนที่หิมะตกเช่นนี้

รนหาที่ตายชัดๆ

กัวหม่างคัดเลือกทหารที่แข็งแกร่งที่สุดร้อยนาย ทหารทุกคนต่างสละอาหารที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้กับพวกเขา

การต่อสู้คืนนี้เดิมพันด้วยชีวิตของทุกคน

หลังจากอิ่มท้องแล้ว กัวหม่างก็ออกไปพร้อมกับทหารนับร้อยคน ก่อนออกเดินทาง เขาได้แต่งตั้งรองแม่ทัพหลินเป็นแม่ทัพสำรอง หากเขากลับมาไม่ได้ เขาจะปล่อยให้รองแม่ทัพหลินเป็นผู้นำทุกคนในการต่อสู้ต่อไป

พวกเขาขี่ม้าและฝ่าหิมะหนาในยามค่ำคืน

พวกเขาเดินทางอ้อมเป็นเวลานานผ่านป่าตะวันออก ผ่านทะเลสาบน้ำแข็ง และไปจนถึงปีกขวาของค่ายกบฏ

ทุกอย่างเป็นไปโดยราบรื่น

จากนั้นพวกเขาก็พักม้าไว้ที่ป่า กัวหม่างนำทางพวกทหารไปยังฐานทัพของพวกกบฏ

และในตอนนั้นเอง เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

จู่ๆ นักธนูจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้นจากทั่วทุกมุม พร้อมกับชักคันธนูล้อมรอบพวกเขา

กัวหม่างหน้าเสียทันที!

จากนั้นเสียงหัวเราะของใครบางคนดังมาจากด้านหลัง ปรากฏชายร่างสูงในวัยสามสิบสวมชุดเกราะและมีหนวดเคราเดินพุ่งตรงไปทางกัวหม่าง

ก่อนจะหยุดแล้วยืนห่างจากกัวหม่างราวสิบก้าว

“โจวฉงเย่ว์” กัวหม่างอุทานทันที

แย่ละ ถูกหลอกแล้ว!

แท้จริงแล้วโจวฉงเย่ว์ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย แต่จงใจปล่อยข่าวเท็จเพื่อหลอกล่อให้พวกเขาติดกับ!

แม้ว่ากลุ่มกบฏจะมีกองกำลังจำนวนมาก มีอาหารและหญ้าเพียงพอ และมีโอกาสสูงที่จะชนะในการต่อสู้ แต่กัวหม่างไม่ใช่คนโง่ เขาป้องกันเก่ง ไม่เช่นนั้นป่านนี้พวกโจวฉงเย่ว์คงเอาชนะพวกเขาได้ไปนานแล้ว!

โจวฉงเย่ว์หัวเราะชอบใจ “แม่ทัพกัว กว่าข้าจะหลอกล่อท่านให้มาถึงตรงนี้ได้นั้นไม่ง่ายเลย อย่าเพิ่งรีบกลับสิ ฟังข้าพูดให้จบก่อน ข้าน่ะชื่นชมแม่ทัพกัวมานานแล้ว ข้ามีเงื่อนไขมาเสนอด้วยล่ะ หากท่านแม่ทัพยอมจำนนต่อพวกเรา ข้ารับรองว่าจะไม่ฆ่าท่านและทหารของท่าน แถมจะให้ท่านได้กินของดีๆ ด้วย พวกท่านน่าจะหิวโซกันมาหลายวันแล้วใช่ไหมล่ะ!”

เอ่ยจบ เขาก็ตบมือให้สัญญาณ

ไม่นานก็มีทหารเดินเข้ามาพร้อมกับถาดแพะย่าง

กลิ่นของเนื้อแพะย่างผสมกับกลิ่นหอมของเครื่องเทศ ทำให้กองทหารชางโจวที่หิวโหยอยู่แล้วน้ำลายไหลทันที

แม้แต่กัวหม่างเองก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้

“ไม่ต้องเกรงใจนะท่านแม่ทัพ” โจวฉงเย่ว์หัวเราะพร้อมกับผายมือไปทางแพะย่าง

กัวหม่างจ้องไปที่แพะย่างตาเป็นมันพร้อมกับทำท่าน้ำลายไหล แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าเดิน

โจวฉงเย่ว์หัวเราะอย่างพึงพอใจ

จังหวะที่เดินผ่านโจวฉงเย่ว์ กัวหม่างก็ใช้โอกาสนี้พุ่งดาบแทงโจวฉงเย่ว์ทันที!

ทว่าโจวฉงเย่ว์ไหวตัวทัน!

เขารีบคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้ทันที

ด้วยความที่กัวหม่างไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ทำให้เรี่ยวแรงของเขาอ่อนลง ไม่สามารถใช้กำลังเต็มที่ได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงกำจัดโจวฉงเย่ว์ได้สำเร็จไปนานแล้ว!

“ขอดีๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลังใช่ไหม” โจวฉงเย่ว์คลี่ยิ้มอย่างเย็นชาก่อนเตะกัวหม่างเข้าที่หน้าอกและฟาดเขาด้วยดาบ

ทหารชาวโจวคนอื่นๆ พอได้สติก็รีบพุ่งดาบไปทางโจวฉงเย่ว์ทันที

“ฆ่าทิ้งให้หมด! อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!” โจวฉงเย่ว์ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม

สิ้นเสียงปล่อยธนู ทหารของชางโจวก็ล้มลงทีละคน ในไม่ช้าพื้นหิมะก็เต็มไปด้วยเลือด

กัวหม่างมองไปที่ทหารที่นอนจมกองเลือด และกำดาบในมือของเขาด้วยแววตาโกรธแค้น “โจวฉงเย่ว์ ไปตายซะ!”

“เฮอะ เจ้าน่ะหรือจะฆ่าข้าได้”

เขาคว้าลำคอของกัวหม่างและยกขึ้น

สภาพกัวหม่างตอนนี้ หาใช่คู่ต่อสู้ของโจวฉงเย่ว์ไม่

และในขณะที่โจวฉงเย่ว์กำลังจะบีบคอของเขา ทันใดนั้นก็มีเสียงนกอินทรีคำรามอันแหลมคมดังมาจากท้องฟ้า

รังสีอำมหิตได้แผ่ซ่านไปทั่ว ราวกับหยุดเวลาไว้ชั่วขณะ

โจวฉงเย่ว์ย่นคิ้วลงทันที

วินาทีต่อมา นกอินทรีผู้สง่างามก็กางปีกที่เต็มไปด้วยหิมะและลมแรง โฉบลงมาอย่างรวดเร็ว

“อ๊าก”

เสียงกรีดร้องอันโหยหวนดังขึ้นราวกับมีใครบางคนถูกนกอินทรีจิกลูกตาออกไป!

โจวฉงเย่ว์หันไปมองพลธนูที่กำลังล้มกลิ้งอยู่บนพื้นพร้อมกับมือที่ปิดตาขวา เขาขมวดคิ้วอย่างแรงแล้วโยนกัวหม่างที่อยู่ในมือทิ้ง จากนั้นรีบคว้าธนูจากพลธนูคนหนึ่ง ง้างสายธนูออก แล้วเล็งไปที่นกอินทรีตัวนั้น

ทว่า ลูกธนูในมือยังไม่ทันได้ยิงออกไป หอกพู่แดงที่เต็มไปด้วยความอาฆาตพุ่งทะลุผ่านไหล่ของโจวฉงเย่ว์ในทันที!

โจวฉงเย่ว์ไม่ทันระวังตัวและล้มลงกับพื้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ

ท่ามกลางหิมะที่ปลิวไปทั่วท้องฟ้า ชายหนุ่มสวมชุดเกราะสีเงินขี่ม้าเข้ามาพร้อมด้วยแววตาที่แน่วแน่และเยือกเย็น

กองทหารและม้าหลายพันคนไม่สามารถหยุดเขาได้ เขากระชับบังเหียนราวกับว่าเขาอยู่ในสถานที่รกร้าง ผ้าคลุมสีแดงบนชุดเกราะสีเงินปลิวไสวไปตามลม

ลูกศรจำนวนมากพุ่งไปทางเขา แต่ไม่มีร่องรอยของความกลัวในดวงตาเลยสักนิด

โจวฉงเย่ว์ได้แต่มองอัศวินที่ว่องไวปานสุนัขจิ้งจอกอย่างไม่เชื่อสายตา

อายุเท่าไหร่กันเชียว

ไม่ถึงสิบสามด้วยซ้ำกระมัง

กล้าดีอย่างไรถึงทำเขาบาดเจ็บ!

หนอย เมื่อครู่นี้เขาแค่ประมาทไปนิดเดียวเท่านั้น อย่าเพิ่งได้ใจนัก!

เขาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กหรือไม่!

เขาจะฆ่าเจ้าเด็กนั้น และควักสมองของมันออกมา!

โจวฉงเย่ว์กัดฟันแล้วดึงหอกพู่แดงที่อยู่บนไหล่ของเขาออกมา

สิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือ หอกนี้มีน้ำหนักกว่าหอกของเขาหลายเท่า!

เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่ามันเป็นหอกประเภทใดกัน

พอเขาลองสังเกตดีๆ ก็พบว่า

ให้ตายเถอะ!

หอกอะไร อุบาทว์ชะมัด!

โจวฉงเย่ว์รู้สึกรังเกียจและขยะแขยงกับลายดอกไม้และพู่เปียที่ผูกอยู่กับหอกนั้น

ในชั่วขณะนั้นเองที่เขาเผลอ อีกฝ่ายก็ฝ่าดงนักธนูและเข้ามาประชิดตัวเขาได้ในที่สุด

เด็กหนุ่มเหวี่ยงแส้ออกไปเพื่อเก็บหอกกลับคืน

จากนั้นม้าศึกของเด็กนุ่มก็ยกกีบสูงและก้าวถอยหลังใส่โจวฉงเย่ว์ที่กำลังแอบโจมตีอย่างไร้ความปรานี!

โจวฉงเย่ว์กระอักเลือดทันที!

ชายหนุ่มถือหอกพู่แดงพลางย่นคิ้ว

โจวฉงเย่ว์มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตะลึง พลางคิดในใจ คนอย่างเขาที่แทบไม่เคยพ่ายแพ้ใคร แต่กลับต้องมาแพ้ให้เจ้าเด็กนี่หรอกหรือ!

เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มผู้เย็นชาบนหลังม้า

ดวงตาขอเด็กหนุ่มทั้งเย็นชาและเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต

“เจ้า…คือผู้ใด” โจวฉงเย่ว์ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

เด็กหนุ่มเอ่ยช้าๆ ชัดๆ ทีละคำ “ข้า คือเซวียนหยวนซี แห่งกองทัพเฮยเฟิง!”

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : สามีข้าคือขุนนางใหญ่ ชื่อภาษาอังกฤษ : The Grand Secretary's Pampered Wife ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง(偏方方) ในอนาคตเขาจะได้เป็น 'ขุนนางใหญ่' อย่างนั้น 'เจ้' คนนี้จะประคอง 'สามี' คนนี้ ให้ไปถึงฝั่งฝันนั้นเอง! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม! จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้จียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เชียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ เพราะบุญคุณเชียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ แต่พราะ "ฝันบอกเหตุ' ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนหม่ได้รู้ว่าเขี้ยวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ยทั้งหลายเพื่อประคองเขาชื้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

Options

not work with dark mode
Reset