สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 988 รักเอยเตยหอม (ฉบับซิ่นหยาง VS เซียวจี่)

บทที่ 988 รักเอยเตยหอม (ฉบับซิ่นหยาง VS เซียวจี่)

บทที่ 988 รักเอยเตยหอม (ฉบับซิ่นหยาง VS เซียวจี่)

……….

หลังจากเซียวหมิงได้ยาถอนพิษไป ในที่สุดเขาก็ฟื้นขึ้นช่วงกลางดึกของคืนข้างแรม

แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่า คือเขาไม่พบเจอใครเลยสักคน

…ช่างแปลกยิ่งนัก

อย่าบอกนะว่า พวกตงอี๋ยึดชายแดนไปได้ แล้วฆ่าล้างทหารของเขาไปจนสิ้นซากแล้ว

ไม่หรอกมั้ง หรือว่า ทหารทุกคนออกไปกันหมดแล้ว

แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเลยมิใช่รึ

และขณะที่เขากำลังครุ่นคิดหาความเป็นไปได้อยู่นั้น จู่ๆ เงาปริศนาก็ปรากฏขึ้นข้างๆ ค่ายพักแรมของเขา ก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาแล้วแบกร่างของเขาแล้วโฉบออกไปทันที!

อ้อ ที่แท้ก็หลงอีนั่นเอง

พวกเขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าลืมเซียวหมิงไว้ที่ค่ายทหาร หลังจากออกเดินทางไประยะไกลพอสควร

หลงอีรีบกลับมารับตัวเซียวหมิงออกไป

หลงอีคิดในใจ เขามิใช่ทหารหลงอิ่งที่ชอบสอดรู้สอดเห็นนะ เขายัดสำลีไว้ในหูของเขาแต่แรกแล้ว!

เหล่าทหารออกเดินทางเป็นเวลาสามวันเต็มก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้กลับเข้าค่าย ในระหว่างสามวันนี้ พวกเขาไม่สามารถกลับไปที่ค่ายได้และไม่สามารถออกไปเดินเล่นข้างนอกได้ ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจไปปล้นพวกตงอี๋

ฉังจิ่งกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับกองกำลังอันมหาศาลขององค์ชายใหญ่ตงอี๋ที่เคลื่อนพลเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง

ขณะที่ฉังจิ่งกำลังง้างมือเตรียมจะฟาดดาบลงไปที่องค์ชายรองตงอี๋ ก็ดันถูกดาบคนที่สามห้ามไว้

พอหันไป พบว่าเป็นคนกันเอง

เขาต้องหยุดการโจมตี

ฉังจิ่งเบือนหน้าลงทันที

พิษของเซียวหมิงถูกแก้แล้ว เซียวเอินและเซียวเจ๋อก็สามารถหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย ชาวตงอี๋ไม่มีวิธีใดที่จะควบคุมแคว้นเจาอีกต่อไป เหล่าทหารที่เก็บกดมาหลายวันและความโกรธที่ถูกปลุกกลางดึกและไล่ออกจากค่ายทหาร พวกเขาได้ระบายทั้งหมดลงกับพวกตงอี๋

และไม่นาน พวกตงอี๋ก็ได้ประกาศยกธงขาว

ชาวตงอี๋มองไปที่กองทัพแคว้นเจาที่ไม่ยอมถอยทัพกลับไปเสียที พลางคิดในใจ ในเมื่อเรายอมแพ้แล้ว และสนธิสัญญาก็ได้ลงนามไปแล้ว แล้วทำไมถึงยังไม่ยอมออกไปล่ะ

พวกทหารรู้สึกขมขื่นในใจ แต่พวกเขาไม่เอ่ยมันออกมา

เซียวจี่ได้รับบาดเจ็บ แม้จะได้รับยาจากวิหารนักบุญและฟื้นตัวได้ดีมาก แต่การใช้ร่างกายเกินขีดจำกัดเช่นนั้นย่อมส่งผลกระทบ

นอกจากปากแผลจะเปิดจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้แล้ว เขายังติดเชื้อหวัดแทรกซ้อนอีกด้วย

องค์หญิงซิ่นหยางเองก็ไม่แพ้กัน เพราะนางคือคนที่แพร่เชื้อหวัดให้เขา

“ฮัดเช้ย!”

เสียงจามของเซียวจี่ดังลั่นทั่วค่ายของเซียวหมิง

เซียวหมิงหันมามองพี่ชายของตัวเองด้วยความละเหี่ยใจ “ท่านพี่ ข้าไม่ได้จะอย่างนั้นอย่างนี้หรอกนะ อายุอานามก็ไม่ได้น้อยแล้ว ไยยังถึงใจร้อนขนาดนี้ ดูสภาพเข้าสิ”

“ก็คนมันกำลังมีความรักนี่นา เจ้าไม่เข้าใจหรอก” เซียวจี่โต้หลับด้วยเสียงอู้อี้

เซียวหมิงคิดในใจ แต่งงานมาสิบสองปีแล้วเนี่ยนะ เหอะๆ !

“ฮัดเช้ย! ฮัดเช้ย! ฮัดเช้ย!”

ในค่ายอีกหลัง เจ้าหญิงซิ่นหยางก็กำลังนั่งจามบนเตียงพร้อมกับเอาตัวขดในผ้านวม

อวี้จิ่นรู้สึกใจคอไม่ดี จึงรีบหยิบน้ำขิงที่อยู่บนโต๊ะแล้วยื่นให้นาง “ดื่มในขณะที่ยังร้อนอยู่นะเพคะ เหงื่อจะได้ออก”

องค์หญิงซินหยางยกมือขึ้นตั้งใจจะคว้าถ้วยน้ำขิง แต่พบว่าตัวเองไม่มีแรงแม้แต่จะขยับแขน

อวี้จิ่นถึงกับยกมือกุมขมับ นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย

อวี้จิ่นส่ายศีรษะ หยิบช้อนขึ้นมาป้อนน้ำขิงให้องค์หญิง และเริ่มเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “จริงๆ เลยนะท่านโหว ก็รู้อยู่ว่าองค์หญิงไม่ค่อยมีประสบการณ์เรื่อง…เรื่องพรรค์นั้น ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจบ้างเลย”

องค์หญิงซิ่นหยางหลับตาลงขณะดื่มยาและส่งเสียงอืมคลุมเครืออย่างรู้สึกผิด พลางคิดในใจ

ไม่ใช่แค่เซียวจี่คนเดียวหรอก

ที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ

ณ ชายแดน

หลังจากได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ เซียวจี่ก็ได้ปล่อยตัวองค์ชายใหญ่ตงอี๋ไป หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน องค์ชายใหญ่ตงอี๋ก็เกิดล้มป่วยหนัก ยังไม่ทันได้ประกาศราชโองการแต่งตั้งผู้สืบทอดก็ได้สวรรคตไปโดยปริยาย

ศึกภายนอกเพิ่งคลี่คลายไปหมาดๆ ศึกภายในก็เกิดปะทุขึ้น

เจ้าชายหลายองค์ต่างพากันโกรธแค้น แต่ผลลัพธ์สุดท้ายทำให้ทุกคนประหลาดใจ กลายเป็นว่าคนที่ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของตงอี๋คือนักบุญแทน

โดยสามีของนางเป็นบุตรชายของขุนนางผู้มีอำนาจในแคว้นเจา

“ไม่เลวนี่ ฉินเฟิงหวั่น” เซียวจี่กอดอกและมองดูองค์หญิงซินหยางอย่างสบายๆ บนรถม้ากลับไปยังเมืองหลวง

ใครว่าผู้หญิงผู้ชายไม่เท่าเทียมกัน

ฉินเฟิงหวั่นหาใช่คนที่สนใจเรื่องการเมืองไม่ ไม่เช่นนั้นป่านนี้คงได้ปกครองหลังม่านไปนานแล้ว

คืนนั้น ทุกคนล้วนเข้าใจว่าฉินเฟิงหวั่นเป็นคนวางยาให้นักบุญหญิง แต่ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น ฉินเฟิงหวั่นได้ยื่นเสนอทางเลือก โดยทางแรกคือการวางยาและบังคับให้ยอมสยบต่อนาง ทางที่สองคือพวกนางจะทำข้อตกลงกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะได้รับสิ่งที่ต้องการ

เมื่อนักบุญหญิงรู้ว่าฉินเฟิงหวั่นใช้บัลลังก์ขององค์ชายใหญ่ตงอี๋เพื่อแลกกับโอกาสในการแต่งงานกับเซียวจี่ ก็มองว่าอีกฝ่ายคงเป็นบ้าไปแล้ว

อันที่จริง ฉินเฟิงหวั่นไม่ได้เสียสติหรืออย่างไร แต่มองว่า ผู้ชายคนนี้ นางคุ้มที่จะเสี่ยง

และที่นางกล้าเสนอเงื่อนไขเช่นนี้ ก็เป็นสิ่งที่นางตรึกตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว นักบุญหญิงเป็นคนมีอุดมการณ์ มีความสามารถ ต่อให้องค์ชายคนไหนได้ขึ้นครองราชย์ ไม่นานจะต้องถูกนักบุญหญิงกบฏอยู่วันยังค่ำ

ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็สู้เลือกที่จะช่วยนักบุญขึ้นสู่บัลลังก์จะดีกว่า นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขเพิ่มเติม นั่นก็คือ นักบุญหญิงจะต้องสมรสกับคนของแคว้นเจา

ซึ่งฉินเฟิงหวั่นเป็นผู้เลือกคู่ครองให้นาง

หลังจากที่เซียวหมิงฟื้นคืนสติ เขาก็จำลูกสาวของเขาได้ ไม่มีอีกแล้วองค์หญิงน้อยแห่งตงอี๋ ต่อจากนี้ มีเพียงแค่เซียวเจิน บุตรสาวของตระกูลเซียว

ตามกำหนดการเดิม เซียวเจินจะต้องกลับไปยังเมืองหลวงพร้อมกับเซียวจี่และฉินเฟิงหวั่น

ทว่า มีเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นหนึ่งวันก่อนออกเดินทาง

เซียวหมิงยกดาบขึ้น แล้ววิ่งไล่หลงอีอย่างบ้าคลั่ง

“เจ้า หยุดเดี๋ยวนี้นะ มาให้ข้าจัดการเสียดีๆ !”

แต่ไม่ว่าเขาจะวิ่งเร็วแค่ไหน ก็สู้หลงอีไม่ได้อยู่ดี เขาวิ่งจนหายใจหอบและแทบจะเป็นลม ขณะที่หลงอียังวิ่งได้สบายๆ โดยที่เหงื่อไม่ออก และหน้าไม่แดงสักนิด

เรื่องนี้ต้องย้อนไปวันที่หลงอีและเซียวเจินไปหาเซียวจี่และฉินเฟิงหวั่นที่ตำหนักของนักบุญหญิง

วันนั้น เซียวจี่ถูกวางยา ฉินเฟิงหวั่นเลยบอกให้เซียวเจินพาหลงอีไปพักที่ห้องอื่น

ใครจะคิดว่าหลังจากค้นหาจนทั่วแล้ว มีเพียงห้องเดียวที่อยู่ใกล้กับตำหนักชั้นใน มิหนำซ้ำแทบไม่มีใครผ่านไปมาเลย

เซียวเจินลังเลอยู่นาน ก่อนตัดสินใจยอมพักห้องเดียวกับหลงอี เพราะไม่อยากเป็นก้านขวางคอระหว่างท่านลุงกับองค์หญิง

แต่นางกล้าสาบานกับฟ้าดินได้เลยว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างนางและหลงอีจริงๆ !

หลงอีไม่ใช่คนที่นอนแปลกที่ได้อยู่แล้ว เขาอยู่บนคานตลอดทั้งคืน คอยระวังความเคลื่อนไหวในตำหนัก

หลงอีเป็นคนซื่อๆ ไม่ได้คิดเยอะ เซียวเจินเองก็เช่นกัน ก็เลยปล่อยให้เรื่องผ่านไป

ทว่าคืนนั้น นางดื่มแล้วบังเอิญบอกให้พ่อของนางรู้เรื่องนี้

แล้วเซียวหมิงก็ดันคิดไปแล้วว่าหลงอีกับเซียวเจินต้องมีอะไรกันแล้วแน่ๆ

หลงอีทั้งวิ่งทั้งหลบจนเซียวหมิงโกรธหนักกว่าเดิม

ส่วนเซียวเอินและเซียวเจ๋อก็ไปเข้าเฝ้าฉินเฟิงหวั่น หลังจากที่พวกเขาหายดีแล้ว

“องค์หญิงขอรับ” ทั้งสองถวายบังคมให้นาง

องค์หญิงซินหยางไม่ยอมรับพ่อของพวกเขา รวมถึงตัวลูกด้วย

ฉินเฟิงหวั่นไม่ได้บังคับให้พวกเขาต้องเรียกตัวเองว่าแม่ แต่นางก็ทำเสื้อให้พวกเขาใส่

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับของขวัญจากนาง นั่นทำให้พวกเขาสับสนเล็กน้อย

ฉินเฟิงหวั่นเอ่ยอย่างอบอุ่น “พวกเจ้าโตแล้ว และถึงเวลาแต่งงานแล้ว มีสตรีที่หมายปองไว้ในใจหรือไม่ ถ้ามี ข้าจะได้จัดเตรียมพิธี”

ทั้งสองมองหน้านางด้วยสายตาตะลึง

“ถ้ายังไม่มี ข้าจะหาให้พวกเจ้าเอง แต่แน่นอนว่าข้าย่อมต้องฟังความเห็นของพวกเจ้าเป็นหลัก”

นี่องค์หญิงทรง…ยอมรับพวกเขาแล้วอย่างนั้นรึ

“ข้าได้ยินจากลุงรองของพวกเจ้าว่า พวกเจ้าจะกลับไปเมืองหลวงได้ในปลายปีนี้ ดีเลย จะได้ไปเจอน้องๆ ของพวกเจ้าด้วย ทั้งชิ่งเอ่อร์และอีอีจะได้เห็นหน้าค่าตาพวกเจ้าเสียที”

ความรู้สึกตื้นตันใจจุกขึ้นมาอยู่ที่ลำคอพวกเขา ทั้งสองกอดเสื้อผ้าที่นางให้มาพร้อมกับโค้งคำนับขอบคุณ

ปลายเดือนสี่ รถม้าของเซียวจี่และฉินเฟิงหวั่นก็ได้เดินทางมาถึงเมืองหลวง

“ถนนสายนี้ที่ครึกครื้น”

“เปิดหน้าต่างทุกบาน”

“ดึงม่านขึ้นให้หมด”

เซียวจี่ออกคำสั่ง

ฉังจิ่งสงสัยจึงถาม “ไยต้องทำเช่นนี้ล่ะ”

“ก็ข้าหล่อขนาดนี้ ราษฎรจะได้ยลโฉมข้าได้ชัดๆ ” เซียวจี่ตอบอย่างมั่นใจ

ฉังจิ่ง “…”

สิ่งที่เซียวจี่ทำให้ผู้คนจับตามองหาใช่ใบหน้าของเขาไม่ แต่เป็นความรักที่เขามีต่อฉินเฟิงหวั่น

เขาต้องพิสูจน์ให้ราษฎรได้เห็น

ว่าข่าวลือพวกนั้นไม่จริงเลยสักนิด

“วนเส้นนี้อีกรอบ” เขาออกคำสั่ง

ฉังจิ่งเริ่มทนไม่ไหว จึงแขวะ “นี่รอบที่สามแล้วนะ พวกเขาเห็นกันหมดแล้ว!”

“ไม่ ยังมีคนไม่เห็น” เซียวจี่เอ่ยพลางชี้ไปที่ขอทานที่นั่งริมถนน

ฉังจิ่งกลอกตาใส่ทันที “นั่นมันคนตาบอด”

เซียวจี่ “งั้นเจ้าเดินไปบอกเขาที”

ฉังจิ่ง “…”

หลังจากวนอยู่ถนนเส้นเดิมถึงสามรอบ ฟ้าก็มืดแล้ว จนในที่สุดเซียวจี่พอใจและหยุดเดินรถ

“กลับจวนรึ” ฉังจิ่งถามอย่างเหนื่อยหน่าย

“ไม่กลับจวน ไปวังต่อเลย”

ทันทีที่พวกเขามาถึงประตูพระราชวัง เว่ยกงกงและซูกงกงก็ออกมารับพวกเขา

ณ ห้องทรงงาน ฮ่องเต้ยังคงทรงงานอยู่

“ฝ่าบาทมีเรื่องอันใดหรือ” ฉินเฟิงหวั่นหรี่ตามองและถาม

ฮ่องเต้คิดในใจ ความรู้สึกราวกับกำลังถูกจับผิดแบบนี้กลับมาอีกแล้วสินะ

ฮ่องเต้ปาดเหงื่อออกจากหน้าผากอย่างเงียบๆ พลางคิด เป็นแค่น้องสาว แต่ไยถึงทำตัวเหมือนเป็นพี่สาวเฉยล่ะ

ฮ่องเต้ถอนพระทัยหนึ่งทีก่อนจะตรัส “ซิ่นหยาง ข้าได้ยินว่าเจ้าได้คู่ครองใหม่แล้วอย่างนั้นรึ”

“ไยฝ่าบาททรงตรัสเช่นนั้น” ฉินเฟิงหวั่นทำหน้าประหลาดใจ

“อย่าปิดบังข้าเลย ในวังเล่าลือกันทั่วว่าเจ้าลงไปที่ชายแดนและไปพบเห็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของเซียวจี่จนโกรธจัด จากนั้นเจ้าก็หาเด็กหนุ่มที่หน้าตาคล้ายเซียวจี่มา แล้วพาเขาเดินขบวนรอบเมืองหลวงทั้งวันเพื่อเป็นการเยาะเย้ยเซียวจี่”

มุมปากฉินเฟิงหวั่นกระตุกขึ้นทันที ที่ทำมาทั้งหมดนั้น เปล่าประโยชน์หมดเลยรึ

ไยเซียวจี่ถึงกลายเป็นคู่ครองใหม่ของนางเฉยเลยล่ะ

ณ ตำหนักคุนหนิง เซียวจี่เองก็เจอคำถามทำนองเดียวกัน “ท่านพี่ต้องเล่าความจริงมานะ ท่านพี่พาสตรีแปลกหน้ากลับมาเมืองหลวงใช่หรือไม่ ท่านพี่ทนองค์หญิงไม่ไหวแล้วรึ ถึงใช้วิธีนี้เพื่อต่อต้านนาง!” เซียวฮองเฮาถามเขา

เซียวจี่ย่นคิ้วทันที เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย

จากนั้น เซียวฮองเฮาเอ่ยต่อ “แต่ก็นะ ที่ผ่านมานนางไม่เคยทำดีกับท่านพี่เลย ควรรับอนุภรรยาอีกคนมาได้แล้ว! แล้วคนใหม่ของท่านพี่ นางเป็นคนที่ไหน ฐานะเป็นอย่างไร ถ้าไม่ดีพอ ข้าจะช่วยยกฐานะให้ รับรองว่าคนรักของท่านพี่จะได้เป็นใหญ่เป็นโตสมฐานะแน่นอน”

เซียวจี่มองหน้าน้องสาวตัวเองด้วยสายตากังวล

เจ้าทำแบบนี้ ไม่กลัวฉินเฟิงหวั่นยัดพระสนมอีกร้อยคนให้พระสวามีของเจ้าหรืออย่างไร

อุตส่าห์ตั้งใจพิสูจน์ความรักแท้ๆ แต่เรื่องดันกลายมาเป็นแบบนี้ไปเสียได้

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : สามีข้าคือขุนนางใหญ่ ชื่อภาษาอังกฤษ : The Grand Secretary's Pampered Wife ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง(偏方方) ในอนาคตเขาจะได้เป็น 'ขุนนางใหญ่' อย่างนั้น 'เจ้' คนนี้จะประคอง 'สามี' คนนี้ ให้ไปถึงฝั่งฝันนั้นเอง! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม! จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้จียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เชียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ เพราะบุญคุณเชียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ แต่พราะ "ฝันบอกเหตุ' ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนหม่ได้รู้ว่าเขี้ยวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ยทั้งหลายเพื่อประคองเขาชื้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

Options

not work with dark mode
Reset