สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 981 หลงเหมิงเหมิงมาแล้ว (ฉบับซิ่นหยาง vs เซียวจี่)

บทที่ 981 หลงเหมิงเหมิงมาแล้ว (ฉบับซิ่นหยาง vs เซียวจี่)

บทที่ 981 หลงเหมิงเหมิงมาแล้ว (ฉบับซิ่นหยาง vs เซียวจี่)

……….

หลงอีออกตามหาทั่วหมูบ้านหลังจากเซียวจี่และองค์หญิงซิ่นหยางจากไป

กระท่อมฟางของหญิงชราอยู่ใกล้กับปากถ้ำมากที่สุด เขาออกไปตามหาทางบ้านของหญิงชราก่อน เขาเป็นองครักษ์ข้างกายองค์หญิงซิ่นหยางมาหลายปี จึงคุ้นเคยกับกลิ่นขององค์หญิงซิ่นหยาง

เมื่อเขาเข้ามาในบ้านก็รู้ในทันทีว่านางเคยมาเยือนที่นี่

เขาถามหญิงชราว่าพวกเขาไปที่ไหน

เขาสวมหน้ากาก สองตารังสีอำมหิตแผ่ซ่าน

เหมิงเหมิงโหดมากนะรู้ไหม!

ทางที่ดีเจ้าจงบอกความจริงมา!

ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้า!

เขาข่มขู่หญิงชราได้สำเร็จ หญิงชรายกมือชี้ไปยังเนินเขาท้ายเรือน “พวกเขาเดินไป ทางนั้น”

ไปที่ไหนนั้นเซียวจี่ไม่ได้บอกแน่ชัด ประการแรกเป็นเพราะกลัวว่าหญิงชราพลอยซวยไปด้วย ประการที่สองเพื่อป้องกันไม่ให้หญิงชราขายข่าวพวกเขา

ปกป้องก็เรื่องหนึ่ง ความไว้เนื้อเชื่อใจก็เรื่องหนึ่ง หากเขาไม่รอบคอบเช่นนี้ คงไม่มีชีวิตรอดอยู่จนถึงตอนนี้

หลงอีเดินไปตามเบาะแสบริเวณหลังเขาแล้วก็มาถึงทีพักอาศัยของท่านชายผู้นั้น ประสาทสัมผัสของคนมีวรยุทธ์นั้นแตกต่างจากคนทั่วไป เพียงชั่ววินาทีเขาก็รับรู้ได้ว่ามีเสียงหายใจอยู่ในกล่อง

เขาเปิดกล่องดูก็เห็นชายสองคนถูกมัดมือมัดเท้าแถมยังถูกอุดปากอีกด้วย

ทั้งสองคนได้สติแล้ว แต่น่าเสียดายที่ขยับตัวไม่ได้ ร้องก็ไม่ออก

ในที่สุดก็มีคนมาเจอเสียที ทั้งสองคนจึงตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก

หลงอีหรี่ตามอง ดึงผ้าที่อุดปากท่านชายที่หน้าตาค่อนข้างถูกชะตาออก ก่อนจะเอ่ยถาม “ผู้ใดทำพวกเจ้า”

ท่านชายร้องทุกข์ในทัน “คนหนึ่งเป็นผู้ชาย คนหนึ่งเป็นผู้หญิง! พวกเขาสวมชุดทหารตงอี๋ แต่สำเนียงของพวกเขาทั้งสองฟังดูก็รู้ว่าไม่ใช่ชาวตงอี๋แน่นอน!”

เดี๋ยวนะ สำเนียงเจ้าก็ไม่เหมือนชาวตงอี๋!

“พวกเขาไปที่ไหน” หลงอีกำรอบคำเขา

ท่านชายสำลักในทันใด “ไป…ไป…ไปตำหนักของเทพธิดา…”

เขาได้ยินเองกับหู สองคนนั้นปลอมตัวเป็นนายบ่าวก่อนจะถูกองครักษ์ของกษัตริย์ตงอี๋คุ้มกันขึ้นรถม้าไป เพราะอย่างนั้นคงไปยังตำหนักเทพธิดาเป็นแน่

“ตำหนักเทพธิดาอยู่ที่ใด” หลงอีถามต่อ

ท่านชายเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “ข้า…ข้าเองก็ไม่เคยไป…”

เขาไม่เคยไปจริงๆ

ตำหนักเทพธิดาเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวตงอี๋ คนนอกไม่มีทางเข้าใกล้ได้ หากไม่ใช่เพราะเขานั้นเกิดมาพร้อมรูปงาม ทั้งยังชะตาเกิดเป็นมงคล คงไม่มีโอกาสได้แต่งงานกับเทพธิดา

แต่ใครจะไปคาดคิดกันว่า จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ระหว่างทาง

หลงอีมั่นใจแล้วว่าคงถามอะไรไม่ได้แล้ว จึงซัดทั้งสองคนจนสลบด้วยฝ่ามือแล้วปิดกล่องลง

เขาตามรอยล้อรถม้าและรอยเท้าคนมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ขณะที่กำลังผ่านต้นไม้ต้นหนึ่งก็ได้ยินเสียงจีบปากจีบคอดังขึ้นเหนือศีรษะ “เจ้าตัวสูง เจ้าจะไปตำหนักเทพธิดารึ”

เขาเงยหน้าขึ้น สายตาสอดส่องมองไปทางองค์หญิงตงอี๋บนกิ่งไม้

องค์หญิงตงอี๋ค่อยๆ กระโดดลงมา มองเขาอย่างมีเลศนัย “ข้ารู้ทางไปตำหนักองค์หญิงนะ”

หลงอีปรายตามองนาง ก่อนจะเอ่ยอย่างประหยัดถ้อยคำ “นำทางสิ”

องค์หญิงตงอี๋มองตาถมึงทึง “นี่เจ้าจะไม่ถามเลยหรือว่ารู้จริงหรือไม่ อีกอย่าง เจ้าจะไม่ถามเลยหรือว่าเหตุใดข้าถึงช่วยเจ้า”

“นำทางสิ” หลงอีเอ่ยเพียงเท่านี้

องค์หญิงตงอี๋เบ้ปาก “ข้าไม่นำทางหรอก”

หลงอีเดินจากไป

ดวงตาเรียวยาวขององค์หญิงตงอี๋ถลึงตามองแผ่นหลังของเขาที่เดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับ นางเอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่น “ข้า ข้า ข้า… ข้าบอกว่าจะไม่นำทางไงเล่า!”

จากนั้นก็เป็นนางที่เดินตามไป

ตำหนักของเทพธิดาตั้งอยู่ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ของชาวตงอี๋บนเขาของตงอี๋

แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องของชาวตงอี๋

แต่ในสายตาของเซียวจี่และองค์หญิงซิ่นหยางแล้ว นั่นเป็นเพียงตำหนักแสนธรรมดา แถมฝีมือก็มิได้ประณีตขนาดนั้นด้วย

แต่บรรยากาศภายในตำหนักนั้นแสนประหลาด

มีเพียงสตรี ไม่มีบุรุษ ทุกคนต่างใบหน้าไร้อารมณ์ ราวกับไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์ของมนุษย์อย่างไร้อย่างนั้น

นอกจากนี้ยังมีเครื่องหอมถูกจุดไว้ทั่วทุกหนแห่งในตำหนัก หน้าประตูก็มี ทางเดินก็มี แม้แต่ตอนเข้ามาในห้องแล้ว สิ่งที่สะดุดตาอย่างแรกก็คือเตาเครื่องหอมสองเตาขนาดใหญ่

“ฮัดชิ่ว!”

องค์หญิงซิ่นหยางคันจมูกจนจามออกมา

หญิงชุดแดงขมวดคิ้วหันมามองนาง

เซียวจี่เอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อใดข้าจะได้เจอกับองค์เทพธิดา”

เขาดึงความสนใจของหญิงชุดแดงได้สำเร็จ สายตาย้ายจากใบหน้าขององค์หญิงซิ่นหยางมาหยุดอยู่บนหมวกคลุมหน้าของเซียวจี่ “ตามกฎแล้ว ท่านต้องรออีกสามวันหลังจากพิธีแต่งงานแล้วถึงจะได้พบกับองค์เทพธิดา ระหว่างนั้นหากองค์เทพธิดาอยากพบท่าน นางก็จะมาหาเอง”

ดูท่าทางแล้วคนพวกนี้คงจะไม่เคยได้ยินเสียงของท่านชายผู้นั้น แถมไม่แน่ว่าอาจจะไม่เคยเจอหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

ช่างเถอะ อย่างไรก็เสียอย่าเผยหน้าโดยไม่จำเป็นจะดีกว่า

“ข้าขอเข้าไปพักผ่อนข้างในได้หรือไม่”

“ได้เจ้าค่ะ” หญิงชุดแดงตอบ

เซียวจี่พาองค์หญิงซิ่นหยางเข้ามาในห้อง เขาเข้ามาแล้วแต่องค์หญิงซิ่นหยางกลับถูกรั้งไว้ด้านนอก

“เจ้าคิดจะทำอะไร” เขาเอ่ยเสียงเยือกเย็น

หญิงชุดแดงคิดไม่ถึงเลยว่าท่านชายจะวางอำนาจขนาดนี้ น้ำเสียงเคร่งขรึม นางแทบตั้งรับไม่ทัน

มิใช่ว่าเป็นเด็กหนุ่มยากจนจากบ้านนอกคอกนาหรอกหรือ

เพียงแค่ใบหน้าหล่อเหลาจึงได้รับฉายานามว่าชายงามอันดับหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วมิได้มีความสามารถอันใด องค์เทพธิดาเลือกเขาจากรูปร่างหน้าตาและชะตาเกิด

เหตุใดคนที่ตรงหน้าตัวเองตอนนี้ถึงได้ให้ความรู้สึกแตกต่างจากคำร่ำลือ

สงสัยก็ส่วนสงสัย แต่ก็ไม่ได้สงสัยถึงขั้นว่าเขาเป็นตัวปลอม ในเมื่อทหารตงอี๋คุ้มกันมาส่งถึงที่

นางค้อมคำนับพลางเอ่ย “กฎของจวนองค์เทพธิดา ไม่อนุญาตให้ชายจากภายนอกเข้ามาในตำหนัก เขาต้องรออยู่กับข้าด้านนอกเจ้าค่ะ”

เซียวจี่เอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว “เขาคือคนสนิทของข้า ข้าเคยชินเสียแล้วว่าต้องมีเขาคอยปรนนิบัติ เขาต้องติดตามข้าไปด้วย”

ในฐานะที่เป็นขุนนางบู๊ ไม่มีผู้ใดมาดน่าเกรงขามไปกว่าเขาอีกแล้ว ไม่จำเป็นต้องตะเบ็งเสียงตะคอก เพียงแค่น้ำเสียงนิ่งเรียบก็เพียงพอที่จะทำให้คนหวาดเกรง

หญิงชุดแดงชาไปทั่วทั้งตัว พยายามเอ่ยเสียงนิ่งเรียบ “ข้าจะไปรายงานองค์เทพธิดา หากนางคัดค้าน เขาต้องออกไปจากที่นี่”

มาดเกรงขามของเซียวจี่นั้นใช้ได้ผล อย่าน้อยก็พาอีกคนเข้ามาได้

ทั้งสองเข้ามาในห้อง

หญิงชุดแดงสั่งการให้องครักษ์หญิงเฝ้าประตูเอาไว้ ส่วนตัวเองออกไปจัดการเรื่องพิธีแต่งงาน

เรื่องแค่นี้มิจำเป็นต้องผิดใจกับสามีขององค์เทพธิดาหรอก กับอีแค่บ่าวคนเดียว อยากอยู่ก็อยู่ไปเถิด

อย่างไรเสียนางก็บอกกฎเกณฑ์ไปแล้ว หากวันหนึ่งองค์เทพธิดาลงโทษขึ้นมา ก็มิใช่นางที่ฝ่าฝืนแต่เป็นท่านชายต่างหาก

ตำหนักนี้ใหญ่โตโอ่อ่า แบ่งเป็นห้องนอกกับห้องใน ทั้งสองนั่งลงกลางห้องชั้นใน แม้เอ่ยเพียงเสียงกระซิบ คนด้านนอกก็สามารถได้ยิน

เซียวจี่ถอดเสื้อคลุมและหมวกคลุมหน้าออก โยนลงบนโต๊ะอย่างรังเกียจ

ชายฉกรรจ์แต่ต้องปกปิดหน้าตาเช่นนั้น กระตุ้งกระติ้งเสียพับผ่า

องค์หญิงซิ่นหยางเห็นเขาที่อดทนไม่ไหว ก็นึกอยากหัวเราะจนอดไม่ได้ “องค์เทพธิดานั้นตำแหน่งสูงส่งในเผ่าตงอี๋ นางแต่งงานเหมือนชายสู่ขอหญิง สามีของนางต้องถือศีล ไม่สามารถเปิดเผยใบหน้าให้คนนอกได้เห็น”

เซียวจี่มองนางอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ฉินเฟิงหวั่น เจ้าเหมือนจะอิจฉาเหลือเกินนะ ทำไมรึ เจ้าอยากจะขังข้าไว้รึ เป็นนกน้อยในกรงทองเขาเจ้า”

องค์หญิงซิ่นหยางโมโหจนหายใจถี่รัว “ข้าเคยพูดเช่นนั้นตอนไหนมิทราบ!”

เซียวจี่เลิกคิ้ว “ก็แค่ไม่เคยพูด แต่ในใจเคยคิดใช่หรือไม่ เฮ้อ ฉินเฟิงหวั่น คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้”

องค์หญิงซิ่นหยางถูกเขายั่วโมโหจนหน้าดำหน้าแดงอีกครั้ง “…!!”

กลางดึก หญิงชุดแดงส่งมอบชุดเข้าพิธีด้วยตัวนางเอง ให้เจ้าบ่าวได้ลองสวมว่าพอดีหรือไม่

“พวกจ้าออกไป เขาจะช่วยข้าเปลี่ยนชุด” เซียวจี่เอ่ยกับบรรดาคนที่ถือชุดและเครื่องหัวผ่านม่านกั้น

หญิงชุดแดงสั่งให้คนรับใช้วางชุดไว้บนโต๊ะในห้อง ก่อนจะออกไปตามคำสั่ง

ประตูห้องเปิดอ้า พวกนางต้องการรู้ว่าพอดีตัวหรือไม่ ถึงจะสามารถกลับไปได้

องค์หญิงซิ่นหยางหอบชุดและเครื่องประดับเข้ามาในห้อง ก่อนกระซิบเอ่ย “ต้องลองจริงหรือ”

เซียวจี่ตอบเสียงแผ่วเบา “หากไม่ลองให้พวกนางดู พวกนางไม่มีทางกลับ”

นั่นเป็นหน้าที่ของพวกนาง ต้องรับรองว่าทุกรายละเอียดของพิธีแต่งงานนั้นสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

หากชุดเจ้าบ่าวไม่พอดีตัว พวกนางจะถูกตำหนิ

องค์หญิงซิ่นหยางเข้าใจเหตุผลดี จึงไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ นางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามเขา “เจ้า…”

เซียวจี่ยิ้มมองนาง “ข้าเปลี่ยนเองไม่ได้หรอก ช่วยหน่อยสิ”

องค์หญิงซิ่นหยางนึกขึ้นได้ว่าเขาบาดเจ็บหนัก เปลี่ยนชุดเองไม่ไหวจริงๆ จึงเดินเข้าไปเงียบๆ แล้วปลดเชือกรัดเสื้อของเขา

บาดแผลบนร่างกายเขาใช้ผ้าพันแผลพันไว้อย่างหนาแน่น คราบเลือดซึมออกมาเล็กน้อย ริ้วกล้ามเนื้อชัดเจน สัมผัสได้ถึงพลังโจมตีอันรุ่นแรงทุกวินาที

องค์หญิงซิ่นหยางกะพริบแพขนตาถี่ สายตาของนางกวาดมอง หันไปหยิบชุดเจ้าบ่าวมา ทั้งหมดมีสามชั้น เสื้อตัวใน เสื้อตัวนอก และชุดเจ้าบ่าว

เขากางสองแขน เพื่อให้นางสวมชุดได้สะดวก

นางอยู่ใกล้เพียงแค่คืบ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบุรุษเฉพาะตัวของเขาได้อย่างชัดเจน ชวนให้หลงใหลไม่น้อย

สองมือของนางโอบรอลำตัวด้านหลังของเขาเพื่อผูกเข็มขัด ท่านี้เหมือนกำลังกอดเขาอย่างไรอย่างนั้น

ใบหน้าของนางชนเข้ากับแผงอกหนาของเขาโดยไม่ทันระวัง

เขาพลัดสูดปาก

นางชะงักไป รีบถอยผละหนี เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตื่นตกใจ “ข้าทำเจ้าเจ็บหรือ โดนแผลเจ้ารึ”

เขาสูดลมหายใจลึก ยกผ่ามือที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนขึ้นมาประคองแก้มของนาง นิ้วหัวแม่มือกดลงบนริมฝีปากอ่อนนุ่มของนางอย่างเบามือ

แววตาของเขาลึกซึ้ง น้ำเสียงแหบพร่า “ฉินเฟิงหวั่น เจ้าคิดอยากจะให้ข้าทำกับเจ้าที่นี่หรือ”

นางมองใบหน้าที่หล่อเหลาจนเดือดร้อนไปทั้งแดนสวรรค์และแผ่นดินมนุษย์ สัมผัสได้ถึงลมหายใจอันเย้ายวนของเขา ความคิดหนึ่งแวบเข้ามา นางเอ่ยถาม “แล้วเจ้า… อยากหรือไม่”

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : สามีข้าคือขุนนางใหญ่ ชื่อภาษาอังกฤษ : The Grand Secretary's Pampered Wife ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง(偏方方) ในอนาคตเขาจะได้เป็น 'ขุนนางใหญ่' อย่างนั้น 'เจ้' คนนี้จะประคอง 'สามี' คนนี้ ให้ไปถึงฝั่งฝันนั้นเอง! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม! จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้จียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เชียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ เพราะบุญคุณเชียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ แต่พราะ "ฝันบอกเหตุ' ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนหม่ได้รู้ว่าเขี้ยวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ยทั้งหลายเพื่อประคองเขาชื้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

Options

not work with dark mode
Reset