บทที่ 978 สามีภรรยารวมใจ (ฉบับซิ่นหยาง vs เซียวจี่)
……….
บนผืนแผ่นดิน พื้นหิมะที่ผ่านเหตุการณ์ดินถล่มอันน่าสะพรึงกลัวบัดนี้โกลาหลวุ่นวาย
จางหูเกือบจะตกลงไปจนถูกหินก้อนหนึ่งทับไว้ แต่หลงอีเข้าไปช่วยเขาได้ทันเวลา
ในตอนนั้นทั้งสองคนยืนอยู่ห่างจากจุดดินถล่มไปยี่สิบก้าว ด้านหลังของพวกเขาคือองครักษ์นับร้อยที่ยังคงหันหลังหลับตาให้
จางหูไม่ทันได้ออกคำสั่งให้พวกเขาลืมตาขึ้น เขามองพื้นหิมะที่ถล่มลงมา สองขาอ่อนยวบทรุดลงกับพื้น
จบกัน จบสิ้นแล้วชีวิตเขา!
เซวียนผิงโหวและองค์หญิงซิ่นหยางประสบภัยต่อหน้าต่อตาเขา
หากเรื่องนี้แพร่ไปถึงเมืองหลวง ผู้พิทักษ์อย่างเขาคงไม่มีทางรอดแน่ ปกป้องคนอื่นไม่ได้ บางทีอาจยังมีโอกาสมีชีวิตรอดอยู่บ้าง แต่สองคนนี้ คนหนึ่งคือพี่ชายแท้ๆ ที่เซียวฮองเฮาไว้ใจที่สุด อีกคนหนึ่งคือน้องสาวแท้ๆ ที่ฮ่องเต้เอ็นดูที่สุด
หากต้องหาใครสักคนมาชดใช้เรื่องที่เกิดขึ้น ชีวิตของเขากับชาวบ้านนับร้อยยังคงยังไม่สาแก่ใจสำหรับฝ่าบาท
สายตาของกวาดมองไปทางหลงอี
แม้ว่าจะไม่ควรเอ่ยเช่นนี้ แต่มีวูบหนึ่งเขาคิดจะฆ่าปิดปากอีกฝ่ายจริงๆ
แน่นอนว่าเขาทำได้แค่คิด เขากับทหารด้านหลังอีกร้อยนายรวมกันเกรงว่าจะไม่คนณามืออีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ
สวรรค์จะเอาชีวิตเขา… สวรรค์จะเอาชีวิตเขา!
หลงอีจ้องมองดินที่ถล่มลงมาบนพื้นหิมะ นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังเดินตรงไปข้างหน้า
“ใต้…ใต้เท้าหลงอี!” จางหู่ตะโกนเรียกเขาเสียงห้าวหาญ “นี่ท่านจะ…กลับเมืองหลวงไปมอบตัวหรือ”
รออีกสักสองวันมิได้หรือ ข้ายังมีเรื่องที่ต้องสั่งเสียคนที่บ้าน
“หาทางออก ช่วยคน” หลงอีเอ่ยเสียงเย็นชา
จางหูได้ยินดังนั้นก็ชะงักไป จากนั้นหัวใจก็เต้นถี่รัวด้วยความเริงร่า ทว่าแม้จะพอเดาออก ก็ยังอยากจะถามให้มั่นใจ “ใต้เท้าหลงอี ท่านหมายความว่า… ท่านโหวกับองค์หญิง… ยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ”
“ใช่” หลงอีพยักหน้า
ปากถ้ำที่ถูกปิดตายเป็นอุปสรรคต่อการผ่านของเสียงในระดับหนึ่ง ทว่าองค์หญิงซิ่นหยางร้องไห้เสียงโหยหวนเสียขนาดนั้น แม้แต่คนหูหนวกก็คงได้ยิน
จางหู่ที่ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น… กระทบข้าอยู่เหมือนกันนะ
จางหู่ตัดสินใจออกตามหากับเขา แต่กลับถูกหลงอีปฏิเสธ “อย่าเดินข้ามา เดี๋ยวจะถล่มเอา”
เท้าข้างหนึ่งของจางหู่ค้างเติ่งกลางอากาศ เขาชักเท้ากลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ เอ่ยกับหลงอี “เช่นนั้นข้าทำอะไรได้บ้าง”
หลงอีครุ่นคิด ก่อนจะตอบตามความจริง “หายตัวไปเสีย”
จางหู่ “…”
…
ณ ใต้พื้นดิน สองคนที่ติดอยู่ในถ้ำหินอันมืดมิดไม่ได้รับรู้ถึงบทสนทาบนพื้นดินเลยแม้แต่น้อย
ร่างแข็งทื่อขององค์หญิงซิ่นหยางถูกใครคนหนึ่งโอบกอดเอาไว้
รอบด้านมืดสนิท ยื่นมือออกไปมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ทว่าการมองเห็นที่สูญเสียไปกลับแลกมาด้วยประสาทสัมผัสอื่นที่อ่อนไหวยิ่งขึ้น
ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาเบารดเหนือศีรษะของนาง เสียงหัวใจเต้นหนักแน่นของเขาลอยเข้ามาในหู สะท้านไปถึงดวงใจของนาง
ประโยคที่ว่า ‘ฉินเฟิงหวั่น ข้าได้ยินหมดแล้ว’ เหมือนกับเชื้อไฟที่ลุกโชนจากส่วนลึกในจิตใจของนาง ความกระอักกระอ่วนที่สั่งสมมานานนับสามสิบปีกลืนกินนางทั้งร่าง แม้กระทั่งใบหน้ายังแดงก่ำ
นางเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี
นางเป็นองค์หญิง
นางคิดว่าเขาตายแล้วถึงได้ร้องไห้ถึงได้คร่ำครวญเช่นนั้น เอ่ยคำพูดที่ไม่อาจเอากลับคืนมาได้
หากรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ นาง… นางคง…
คนเราก็แบบนี้แหละหนา ทั้งๆ ที่พรั่งพรูถ้อยคำเหล่านั้นออกมาเองแท้ๆ แต่พอถูกได้ยินเข้ากลับให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับ
“ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น” นางปากแข็ง “เจ้าหูฟาดแล้ว”
เซียวจี่ทวนซ้ำประโยคนั้นของนางอีกครั้งโดยไม่มีตกหล่น เขามันหน้าไม่อาย ทำเรื่องแบบนี้ได้โดยไม่รู้สึกกระดากใจอะไรทั้งสิ้น
ตอนเรียนหนังสือไม่ยักเห็นเจ้าจะความจำดีเช่นนี้!
ใบหน้าของเซียวจี่ซีดขาว ยิ้มอย่างอ่อนแรง “แล้วยังมีประโยคสุดท้ายอีกว่า ‘ข้าชอบเจ้า’”
องค์หญิงซิ่นหยางแก้ตัวในทันใด “ไม่มีประโยคนั้นเสียหน่อย! พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า!”
เซียวจี่ร้องอ๋อ “เช่นนั้นเจ้าก็ยอมรับแล้วว่า มีประโยคก่อนหน้านั้นจริงๆ ”
องค์หญิงซิ่นหยางที่ติดกับดักเข้าอย่างจัง “…!”
“แค่กๆ ” เซียวจี่ไอโขลกขึ้นมาอย่างรุนแรง เขาบาดเจ็บสาหัสนัก ไม่อาจพูดได้มากนัก การพูดหลายประโยคติดต่อขนาดนั้น เรียกได้ว่าหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ
“เจ้า… เจ้าเป็นถึงขนาดนี้ ยังไม่รู้จักพูดให้มันน้อยๆ บ้าง!” ความโกรธขององค์หญิงซิ่นหยางกลายเป็นความสงสาร นางกลัวว่าตนจะทับแผลของเขา จึงยืนมือออกไปยันแผงอกของเขาไว้
ทว่าเขากลับกระชับแขนซ้ายที่กระดูกหักให้แน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม รวบนางเข้ามาไว้ในอ้อมอก สีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน “หากต้องตายใต้ร่างสาวงาม ต่อให้เป็นผีข้านั้นยินดี”
องค์หญิงซิ่นหยาง ข้าว่าเข้ากำลังหาเรื่องเจ็บตัว
“แค่กๆ ๆ !”
คนเจ็บแสร้างทำได้ไม่ถึงสามวินาทีก็กระอักเลือดออกมา
องค์หญิงซิ่นหยางผละตัวออกจากอ้อมกอดของเขาแล้วหยัดตัวขึ้น ลูบไปตามแผงอกเขาแล้วก็เจอตะบันไฟในที่สุด
ระหว่างนั้นเขาพยายามเปล่งเสียง ราวกับอยากจะเอ่ยอะไรสักอย่าง แต่กลับถูกอาการไอโขลกยั้งเอาไว้
องค์หญิงซิ่นหยางเดาออกว่าเขากำลังจะพูดอะไรว่าข้าเป็นถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังคิดจะทำมิดีมิร้ายกับข้าอีกหรือ ฉินเฟิงหวั่น เจ้ามันวิตถาร
เมื่อนึกถึงว่าเขาอยากพูดแต่พูดไม่ได้ แกล้งคนไม่สำเร็จ องค์หญิงซิ่นหยางก็นึกขำ
ทว่าเมื่อไฟจากตะบันไฟส่องสว่าง มองเห็นบาดแผลของเขาแล้ว นางกลับหัวเราะไม่ออกเลยสักนิด
เขาบาดเจ็บสาหัสนัก รุนแรงกว่าที่นางคาดการณ์ไว้เสียอีก
เมื่อครู่ที่เขาคว้ามือนางไว้ จงใจยั่วยุนางด้วยวาจา แต่แท้จริงแล้วเขานั้นไม่อยากให้นางจับโดนแผลบนบั้นเอวของเขา
ผิวหนังเปิดอ้า เลือดสดไหลอาบ ลึกจนเห็นกระดูก
นั่นไม่ใช่บาดแผลเดียวบนร่างกายของเขา ปากแผลบางแห่งยังพอมองเห็น บางแห่งไม่รู้ว่าปากแผลอยู่ตรงไหน เพราะเลือดนั้นอาบไหลไปทั่ว
ภาพตรงหน้านั้นเรียกได้ว่าสะเทือนขวัญ
“เหตุใดเจ้าถึง… เจ็บหนังเช่นนี้” นางพยายามข่มใจสงบนิ่ง ทว่าน้ำเสียงนั้นยังคงสั่นเครืออย่างไม่อาจควบคุมได้
เซียวจี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็บอกความจริง “พวกเขาจับเซียวเอินกับเซียวเจ๋อไป”
เป้าหมายของกับดักนี้คือสองพี่น้อง เขาเสี่ยงตายลากพวกเขาสองคนขึ้นมา แลกมาด้วยการที่ตัวเองตกลงไป
องค์หญิงซิ่นหยางไม่อาจตำหนิเขาว่าไม่รักตัวกลัวตายในเหตุการณ์นี้ได้ เพราะอย่างไรเสียเซียวเอินกับเซียวเจ๋อก็เป็นลูกชายของเขา
“เซียวเอินกับเซียวเจ๋อเป็นอย่างไรบ้าง” นางถาม
ศีรษะของเขาพิงอยู่กับกำแพงด้านหลัง ทอดถอนใจพลางเอ่ย “ถูกคนตงอี๋จับตัวไปแล้ว”
องค์หญิงซิ่นหยางวิเคราะห์พลางเอ่ย “คนตงอี๋จับตัวพวกเขาไปเพื่อข่มขู่เจ้า แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่ไหน คนตงอี๋หาเจ้าไม่เจอ ไม่รู้ว่าเจ้าเดือดเนื้อร้อนใจหรือไม่ ตอนนี้คงยังไม่ทำอะไรเซียวเอินกับเซียวเจ๋อ”
“แค่กๆ !” เซียวจี่กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
องค์หญิงซิ่นหยางรีบคว้าผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเลือดให้เขา แต่พอล้วงเข้าไปในกระเป๋ากลับเจอยาสองขวดเข้าโดยบังเอิญ
นางจำไม่ได้ว่าตัวเองพกยาสองอย่างนี้ติดตัวมา แต่นางจำมันได้ว่านี่คือตำรับลับของเจียวเจียว ขวดสีเขียวคือยาทาแผล ขวดสีขาวคือยารักษาแผลแบบกิน มีฤทธิ์ช่วยลดอาการอับเสบและห้ามเลือด
ตอนที่เซียวจี่พักฟื้นอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ย นางเคยเห็นเจียวเจียวใช้ยาสองชนิดนี้กับเซียวจี่
น่าจะเป็นหลงอีที่ยัดมันใส่กระเป๋านางตอนที่โยนเสื้อให้นาง
นางดีใจเป็นอย่างมาก เปิดฟาขวดสีขาวแล้วเทยาเม็ดสีน้ำตาลออกมาสองเม็ด ก่อนจะป้อนถึงปากเขา “เจ้ากินยาก่อน”
นางจำได้ว่าต้องกินเท่าไร
เซียวจี่ไม่กิน แต่ขมวดคิ้วมองมือนาง
ฝ่ามือของนางเสียดสีกับขอบจนถลอกปลอกเปิก องค์หญิงราชนิกูลผู้สูงส่ง นอกจากตอนที่แบกอาเหิงออกจากกองไฟครั้งนั้น ก็ไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน
“รีบกินสิ มัวนิ่งอยู่ทำไม” องค์หญิงซิ่นหยางเร่งเร้า
ยามปกตินั้นเขาปากคอเราะรายยิ่งกว่าใคร ทว่าพอได้เห็นหลักฐานว่านางนั้น ‘รักเขามากเพียงใด’ เขากลับไม่กล้าหยอกแม้สักคำ
เขากินยาอย่างว่าง่าย
องค์หญิงซิ่นหยางเก็บขวดสีขาว แล้วเปิดยาทาแผลขวดสีเขียวต่อ
“ช้าก่อน” เขาเอ่ย “ยานี้เหมือนจะหมดอายุแล้ว”
“ไม่หมด”
“หมด กลิ่นแปลกไป”
“แปลกไปอย่างไร หลงอีเป็นคนให้ข้ามา ไม่มีทางเป็นยาหมดอายุอย่างแน่นอน หากไม่เชื่อข้าจะทาให้เจ้าดูก็ได้” นางว่าพลางเปิดฝาจุด แล้วใช้ปลายนิ้วปายยาออกมาทาแผลของตัวเอง “ไม่แดง ไม่บวม!”
เซียวจี่เบ้ปากเอ่ย “ที่มือหนังหนาจะตายไป ลองไม่ได้ผลหรอก ลองที่หัวเข่าสิ”
“เรื่องมากนัก” องค์หญิงซิ่นหยางถลกขากางเกงขึ้น แล้วทายาบนแผลบริเวณหัวเข่า “ไม่ได้หมดอายุ ยาดี!”
เซียวจี่เห็นว่านางทาแผลในที่ที่ควรทาเรียบร้อยแล้ว จึงขานตอบอย่างว่าง่าย
องค์หญิงซิ่นหยางเพิ่งรู้ตัวว่ายานั้นมีไม่มาก ทั้งยังถูกหลอกเข้าให้แล้ว
เซียวจี่รับยามา เอ่ยด้วยสีหน้าเมินเฉย “เจ้ามือหนัก ข้าทาเอง”
องค์หญิงซิ่นหยางกำลังจะอ้าปากพูดแต่เขาไม่เปิดโอกาสเลย “หันหลังไป ห้ามแอบมองร่างกายข้านะ”
องค์หญิงซิ่นหยาง “…”
นางหันหลัง
เขาดับตะบันไฟ
องค์หญิงซิ่นหยางกำหมัดแน่น “ข้าไม่ดูหรอก!”
เซียวจี่ “ข้าไม่ไว้ใจเจ้าหรอก”
องค์หญิงซิ่นหยาง “…” อีกครั้ง
บาดแผลบนร่างกายเขามีมากกว่าที่องค์หญิงซิ่นหยางเห็นอีกมาก ท่วงท่ายามถอดชุดเกราะแทบจะเอาชีวิตเขาไปครึ่งหนึ่ง
เขากัดฟันเอาไว้ ไม่ส่งเสียงโอดโอยออกมา
หลังจากนั้นเขาก็ทายาในบริเวณที่ทาถึง ส่วนแผลที่ลึกมากหรือตื้นมากนั้น กรณีแรกไม่จำเป็นต้องทา กรณีที่สองทาไปก็ไม่มีประโยชน์
องค์หญิงซิ่นหยางรออยู่นาน จึงถามด้วยความสงสัย “เจ้าเสร็จหรือยัง ให้ข้าช่วยหรือไม่”
เซียวจี่อดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ เอ่ยกับนางทั้งที่เหงื่อผุดท่วมกาย “เจ้าคิดจะ… แอบมองร่างกายของข้า…”
เขาใช้กริชตัดชายผ้า แล้วใช้กริชเป็นไม้ดามพยุงท่อนแขนที่ของตัวเองที่กระดูกหักเอาไว้ สุดท้ายก็ปากกัดแถบผ้านั้นแล้วผูกปมเอาไว้
เขาไม่ยอมคล้องแขนซ้ายไว้กับลำคอ
เขารู้สึกว่าไม่น่ามอง
เขาพิงกำแผงหินอยู่ครู่หนึ่ง ฝืนความอ่อนล้าและเจ็บปวดอันรุนแรงที่แผ่ซ่านไปทั้งกายแล้วเอ่ยออกไป “เสร็จแล้ว”
องค์หญิงซิ่นหยางหันกลับมา ยื่นมือออกไปพยุงแขนของเขาท่ามกลางความมืดมิด “ด้านหน้าเหมือนจะมีทางเดิน ข้าจะไปดูก่อนว่าไปได้หรือไม่ เจ้ารออยู่ที่นี่”
“ไปด้วยกัน” เขาเอ่ยเสียงอ่อนแรง
“เจ้าไหวหรือ” องค์หญิงซิ่นหยางสงสัยในสภาพร่างกายเขา
เซียวจี่ใช้ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายทดแทนกำลังที่ขาดหาย “ฉินเฟิงหวั่น ไม่มีใครบอกเจ้าหรือว่าอย่าถามบุรุษว่าไหวหรือไม่ อีกอย่าง ข้าไหวหรือไม่ เจ้าเองก็เคยทดสอบด้วยตัวเองแล้วมิใช่หรือ”
ฉินเฟิงหวั่นกำหมัดแน่น
“สองคืน”
เขาชูสองนิ้วที่เห็นข้อกระดูกอย่างชัดเจน เมื่อเสแสร้งแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด “จะให้ข้าย้ำเตือนเจ้าอีกครั้งหรือไม่ว่า… ทั้งหมดกี่ครั้ง”
องค์หญิงซิ่นหยางระเบิดในทันใด!
นี่นางชอบเจ้าหมอนี่ได้อย่างไร!
มานึกเสียใจเอาตอนนี้ยังทันไหม!
อยากตีให้ตายเสียจริง!
…
ตอนนี้ยังตีเขาไม่ได้ องค์หญิงซิ่นหยางยังพอทนไว้
ลูกผู้ชายล้างแค้น สิบปีก็ไม่สาย
รอเจ้าแผลหายก่อนเถอะ ค่อยดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร
องค์หญิงซิ่นหยางสูดหายใจลึก กลับมาเป็นองค์หญิงผู้แสนสง่างามอีกครั้ง นางพยุงเขาลุกขึ้นก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ไปกันเถอะ”
เซียวไม่ต้องมองก็สัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตของนาง ทว่านางไม่อาจแสดงอาการออกมาได้เพราะกังวลถึงอาการเจ็บของเขา
แค่นึกถึงท่าทางของนางตอนอยากจะอาละวาดและกลับทำไม่ได้ เซียวจี่ก็หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
องค์หญิงซิ่นหยางกัดฟัน “หากยังหัวเราะอีก ข้าจะทิ้งเจ้าไว้ที่นี่!”
…
ทั้งสองคนเดินไปตามทาง ไม่รู้ว่านานเท่าใด จนกระทั่งแสงหนึ่งมาเยือน
องค์หญิงซิ่นหยางตื่นเต้นดีใจ “มีปากถ้ำ พวกเราออกไปได้แล้ว”
ทว่าเซียวจี่กลับจ้องมาไปยังที่มาของแสง ตามด้วยท่วงท่าเตรียมพร้อมตั้งรับ
ความจริงพิสูจน์แล้วว่าสัญชาตญาณตื่นตระหนกของเขาถูกต้อง วินาทีทั้งสองเดินออกมาหน้าปากถ้ำ ทหารตงอี๋สองนายก็พลันปรากฏตัวขึ้น ชักพร้าออกมาแล้วพุ่งมาทางพวกเขาทั้งสอง
เซียวจี่สวมเสื้อเกราะของทหารแคว้นเจา แยกแยะได้อย่างชัดเจน
สองคนถลาเข้ามาหมายจะจับเป็นพวกเขา เซียวจี่รั้งร่างขององค์หญิงซิ่นหยางไว้ข้างหลังตัวเอง ยื่นมือออกไปแย่งพร้าจากหนึ่งในนั้น จากนั้นก็ง้างพร้าขึ้นปาดคออีกฝ่ายเลือดกระจาย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ทหารทั้งสองนายแทบจะหายใจไม่ทันด้วยซ้ำก็ล้มตัวลงนอนบนพื้นหิมะไปแล้ว
เซียวจี่ปวดร้าวทั่วทั้งอก ล้มลงอย่างสิ้นแรง เขาชันเข่าข้างหนึ่งกับพื้นหิมะ ใช้พร้าค้ำยันร่างกายของตัวเองเอาไว้
“เซียวจี่!” องค์หญิงซิ่นหยางเดินมาข้างหน้า นางย่อตัวลงมองเขาอย่างเป็นกังวล
“ข้าไม่เป็นไร” สายตาระแวดระวังกวาดมองก่อนจะเอ่ยขึ้นในทันใด “รีบสลับชุดกับพวกเขา!”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่มีทางสวมชุดของชายอื่น ทว่าเมื่อถึงคราวเข้าตาจน นางไม่ทันได้สนใจเรื่องพวกนี้
นางถอดเสื้อเกราะของทหารตงอี๋ทั้งสองคนออกมา
ทั้งสองคนเปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที
เซวียนผิงโหวถอดชุดเกราะและเสื้อผ้าฝังกลบในพื้นหิมะ ศพของทหารตงอี๋ทั้งสองก็โยนทิ้งลงไปในคูน้ำ หวังให้หิมะที่ทับถมช่วยปกปิด
องค์หญิงซิ่นหยางก็ช่วยสุดกำลัง ขณะที่นางกำลังถลกแขนเสื้อขึ้น ขณะที่กำลังจะปาดเหงื่อบนหน้าผาก ก็นึกขึ้นได้ว่านั่นเป็นเสื้อผ้าของคนอื่นจึงหยุดการกระทำในทันใด
นางหอบกระชั้นเอ่ย “เท่านี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วกระมัง”
เพิ่งจะเอ่ย เมื่อทั้งสองหันหลังกลับก็เห็นหญิงชราถือไม้เท้าคนหนึ่ง ยืนอยู่บนพื้นหิมะที่ห่างออกไปไม่ไกล กำลังจ้องมองมาที่พวกเขาทั้งสองตาไม่กะพริบ
……….