บทที่ 977 สารภาพรัก (ฉบับซิ่นหยาง vs เซียวจี่)
……….
ปากถ้ำสูงขนาดหนึ่งคนยืนน่าจะได้ ขณะที่นางถอดเสื้อออก หลงอีได้ทำสองสิ่งนี้ อย่างแรกคือกลบหิมะลงพื้น อย่างที่สองคือหากนางถอดหนึ่งชิ้น หลงอีก็จะโยนเสื้อผ้าลงไปสมทบอีกหนึ่งชิ้น
…มือหนึ่งทำงาน มือหนึ่งปิดตาเอาไว้ หลงเหมิงเหมิงไม่ใช่องครักษ์หลงอิ่งนิสัยไม่ดีที่ชอบถ้ำมองหรอกนะ
องค์หญิงซิ่นหยางกระโจนตัวลงอย่างแรงลงบนเสื้อผ้าและพื้นหิมะ แรงกระแทกถูกลดทอนลงไปมาก จึงไม่ได้บาดเจ็บมากนัก เพียงแต่ผิวของนางนั้นบอบบางเกินไป ทั้งศอกทั้งขาจึงถูกปากถ้ำผิวขรุขระเสียดสีจนเป็นแผลใหญ่
นางไม่สนใจความหนาวเหน็บหรือบาดแผลบนร่างกาย รีบปีนเข้าไปตามหาคนเจ็บ
ทว่าเพราะอากาศหนาวเย็นเกินไป ครั้นนางย่ำลงไป เท้าทั้งเท้าก็ปวดร้าวเหมือนดั่งมีเข็มทิ่มแทง
นางสูดปากด้วยความเจ็บปวด
ทว่านางนั้นไม่ได้หยุดเพื่อบรรเทาความเจ็บของตัวเอง แต่กลับอาศัยแสงรำไรของปากถ้ำมองเข้าไป “เซียวจี่! เซียวจี่!”
นั่นเป็นถ้ำหินคับแคบที่ทอดลึกเป็นทางยาว สองฝั่งมีปากทาง ทว่ายิ่งลึกเข้าไปก็ยิ่งมืด นางมองไม่เห็นเลยสักนิด
“หลงอี เจ้าอยู่ที่ไหน” นางเงยหน้าถามหลงอี
“หนาว ใส่เสื้อก่อน” หลงอีเตือน
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยต่อ “ข้ากลัวว่าจะไม่ทันการณ์”
“เขายังไม่ตาย” หลงอีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสริม “ตายแล้วข้าจะบอกท่าน”
องค์หญิงซิ่นหยาง “…”
นางสวมเสื้อ ทว่าร่างกายไม่ได้กลับมาอบอุ่นเร็วปานนั้น นางยังคงหนาวจนตัวสั่น
ตอนนั้นหลงอีเอ่ยขึ้น “ขวามือของท่าน”
องค์หญิงซิ่นหยางเริ่มเดินไปทางขวา
พื้นที่ในภายในนั้นซับซ้อนเป็นอย่างมาก มองตาเปล่าเหมือนใกล้เพียงเอื้อม ทว่ากว่าจะเดินไปถึงช่างยากเย็นนัก นางล้มไม่รู้กี่หน จนหัวเข่าถลอกปลอกเปิก ฝ่ามือก็เสียดสีจนเป็นแผล
นางฝืนทนความเจ็บปวดพยุงตัวขึ้น
ภายในหัวของนางยามนี้มีเพียงความคิดเดียว ต้องตามหาเซียวจี่ให้พบ
สุดท้ายนางก็ล้มลงอีกครั้ง ทว่าคราวนี้นี้นางสะดุดเพราะขาข้างหนึ่ง
นางไม่แม้แต่จะคิดว่านั่นใช่คนหรือไม่ หรือว่ามีชีวิตอยู่หรือเปล่า
องค์หญิงผู้สูงศักดิ์ใช้สองมือของตัวเองคลำศพเย็นชืด นั่นจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากเพียงใดสำหรับนาง
มือของนางสัมผัสท่อนแขนของอีกฝ่าย เลือด เลือดที่อุ่นร้อน
นางหัวใจกระตุกวูบ คลำไต่ขึ้นไปลูบใบหน้าของเขาที่เปื้อนไปด้วยคราบเลือดเช่นกัน
เสียงของนางสั่นเครือ “เซียวจี่ เซียวจี่ใช่เจ้าหรือไม่”
เขานั่งอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ แผ่นหลังพิงผนังหินแข็ง ศีรษะลู่ลงเพราะรับน้ำหนักไม่ไหว ลมหายใจกระชั้นรวยริน
นางลูบไปโดนสันจมูกเรียวโด่ง และโหนกคิ้วงามของเขา “เซียวจี่ ใช่เจ้าหรือไม่”
เขาไม่ตอบกลับ
นางลูบไล้ไปตามท่อนแขนของเขา สัมผัสฝ่ามือที่กำกระบี่มานานหลายปีนั้น ข้อนิ้วมีตาปลาหนาด้าน บนฝ่ามือมีรอยแผลประปราย
เป็นเขากระมัง
แล้วจะรู้ได้อย่างไร
เมื่อถึงเวลาสำคัญเช่นนี้ นางถึงได้รู้ว่าตัวเองนั้นรู้จักอีกฝ่ายน้อยเสียจนน่าสงสาร
มีเพียงสองคืนที่ได้แนบเนื้อกับเขาขณะที่นางเมายามิได้สติ บนร่างกายของเขามีแผลตรงไหน มีรอยตรงไหน นางไม่รู้เลยแม้แต่นิด
เขาไม่เคยให้นางได้เห็น
“เอว… เอวมีบาดแผล!”
นางรู้เรื่องนี้ ฉังจิ่งมักเตือนอยู่เสมอ บอกว่าเขามีแผลเก่า ชนิดที่ว่าไม่อาจกลับมาสมานได้
อาเหิงเองก็เคยขอร้องให้เจียวเจียวรักษาเขา แต่เจียวเจียวบอกว่าต้องพักฟื้นเท่านั้น
“แผล… แผลที่เอวอยู่ไหน”
นางยื่นมือออกไป ปลดเสื้อเกราะอย่างเงอะงะท่ามกลางความมืด นางปลดอยู่นางสองนาน จนสุดท้ายไม่รู้ว่าตัวเองปลดออกสำเร็จหรือเป็นเพราะมันหลุดออกเอง
ลมหายใจของเขาถูกกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งกลบจนมิด จนนางไม่แยกไม่ออก
นางจึงทำได้เพียงใช้วิธีการโง่ๆ
มือของนางคลำไปทั่วบั้นเอวของเขา จากนั้นฝ่ามือก็พลันสัมผัสได้ถึงเลือดคาวเหนียวเหนอะหนะ
ตรงนี้ก็มีแผลหรือ
ฝ่ามือของนางชะงักไป จังหวะที่กำลังจะลูบไปถึงบาดแผลที่ฉกรรจ์ยิ่งกว่า ข้อมือบอบบางของนางกลับถูกฝ่ามือหนาคว้าเอาไว้ก่อน
จากนั้นนางก็ได้ยินน้ำเสียงแหบพร่าอันอ่อนแรง “ฉินเฟิงหวั่น เจ้าจะทำอะไร”
องค์หญิงซิ่นหยางตกตะลึง “เซียวจี่ นั่นเจ้า… จริงๆ ใช่ไหม”
ขอบตาของนางพลันแดงก่ำ น้ำอุ่นร้อนเอ่อคลอหางตา
เซียวจี่บาดเจ็บสาหัสนัก มีแรงพูดแต่ไร้แรงขยับ แต่ยังพูดจายียวนชวนโมโหดังเดิม “ฉินเฟิงหวั่น… เจ้าอย่าคิดว่าข้าบาดเจ็บแล้ว… จะฉวยโอกาส… ทำอะไรตามใจชอบกับข้าก็ได้…”
องค์หญิงซิ่นหยางร้องไห้ไม่ออกในทันใด
ร่างกายของเขาร้อนผ่าว สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนราง ทว่าฝ่ามือที่กำข้อมือของนางเอาไว้ยังไม่ยอมคลาย
พละกำลังทั้งหมดของเขาเหมือนจะหมดไปที่นั่น
องค์หญิงซิ่นหยางยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมาลูบหน้าผากเขา “ร้อนมาก เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ เจ้ามิได้ตกลงไปในหลุมหิมะข้างหน้าพร้อมกับฉังจิ่งหรือ”
ด้านล่างของหลุมหิมะก็คือถ้ำแห่งนี้ เขาดันตัวฉังจิ่งขึ้นไป ส่วนตัวเองพลัดตกลงมา หินสองก้อนในถ้ำถล่มลง ปิดปากถ้ำเอาไว้
เขาหอบร่างบาดเจ็บของตัวเองเดินออกไปอีกทาง ไม่รู้ว่าเดินมาไกลแค่ไหน แรงเรี่ยวถูกใช้จนหมดจนเดินต่อไปอีกไม่ไหว
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยกับเขา “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปเรียกหลงอี”
เขากลับไม่ยอมปล่อยมือ
องค์หญิงซิ่นหยางสัมผัสได้ถึงแรงดึงบนข้อมือ จึงขมวดคิ้วในทันใด เพียงแต่นางไม่อาจบังคับให้เขาปล่อย นางเหลียวกลับไปทางที่นางเดินมาหน้า ก่อนจะร้องตะโกน “หลงอี! ข้าเจอเซียวจี่แล้ว!”
แครก!
เสียงแตกร้าวดังมาจากบนเพดาน
ที่นี่กำลังจะถล่มลงมา!
“เจ้ายังเดินไหวหรือไม่ ถ้ำนี้จะถล่มแล้ว” องค์หญิงซิ่นหยางถามเขา
เซียวจี่ค่อยๆ ปล่อยมือนาง
เขาเดินไม่ไหวแล้ว
แต่นางยังเดินไหว
หลงอีและพวกจางหย่งไม่กล้าวู่วาม เพราะหากไม่ระวังทั้งถ้ำอาจจะถล่มลงมาก็เป็นได้ เซียวจี่และองค์หญิงซิ่นหยางอาจจะถูกขังอยู่ข้างใน
จางหย่งแทบจะสติแตก “องค์หญิง แม่เจ้าโว้ย เหตุใดท่านต้องลงไปด้วย”
แค่ท่านโหวตายคนเดียว เขาก็ต้องโทษมหันต์แล้ว แล้งยังจะเพิ่มองค์หญิงแห่งแคว้นมาอีกคน ตระกูลเขาจะรอดชีวิตได้อย่างไร!
หลงอีได้ยินเสียงแตกร้าวจึงลากจางหย่งถอยหลังในทันใด
จากนั้นก็ได้ยินเสียงโครมครามดังกึกก้อง ถ้ำหินถล่มแล้ว!
หากยึดปากถ้ำคับแคบนั้นเป็นจุดศูนย์กลาง ถ้ำหินนั้นทอดยาวออกไปสองฟากฝั่ง ฝั่งหนึ่งถูกหินทับถมถล่มลงมา องค์หญิงซิ่นหยางออกแรงดึงแขนของเซียวจี่ หมายจะพยุงเขาขึ้น
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะถูกทับตาย เซียวจี่ที่ไร้เรียวแรงไม่รู้ว้าไปเอาพละกำลังมาจากไหน ถึงได้โอบเอวบางของนางจนลอยหวือหันกลับมาอีกทาง
โครม!
ตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่เมื่อครู่ถูกถล่มทับ
เศษหินร่วงลงข้างกายทั้งสอง เซียวจี่ใช้ร่างสูงใหญ่อันอ่อนแรงบังร่างของนางเอาไว้ สองแขนโอบหุ้มสีข้างของนาง
เศษหินเล็กๆ ร่วงกรูลงมาตกกระแทกกระดูกสันหลังของเขา เขากัดฟันฝืนทน เส้นเอ็นบนหน้าผากและท่อนแขนปูดโปน เหงื่อเม็ดโตไหลลงมาเป็นสาย
ผ่านไปกว่าหลายลมหายใจ ทั้งหมดถึงได้สงบลง
เส้นทางเดิมถูกปิดตายโดยสมบูรณ์แบบ พวกเขาเหลือเพียงเส้นทางเดียวให้เดินต่อ หรือจะหลับตานอนลงที่นี่ด้วยกัน
องค์หญิงซิ่นหยางยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของเขา “เซียวจี่”
เซียวจี่ไม่ไหวติง
เขาหมดแรงสิ้นแล้ว อาศัยเพียงท่าตระกองกอดนี้ปกป้องนางเอาไว้
เขาหมดสติ เหลือเพียงร่างกายที่แข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
“เซียวจี่… เซียวจี่… เซียวจี่เจ้าได้ยินข้าพูดหรือไม่”
องค์หญิงซิ่นหยางเรียกอย่างไรเขาก็ไม่ตื่น อุณหภูมิร่างกายของเขาลดฮวบ ลมหายใจอ่อนแรงลง
ฝ่ามือสั่นเครือของนางลูบใบหน้าเขา
นางไม่รู้สึกถึงชีพจรของเขาเลย
หัวใจของเขา… หยุดเต้นแล้ว
องค์หญิงซิ่นหยางนอนทาบทับร่างของเขา หยาดน้ำตาเอ่อล้นออกมา “เซียวจี่… เซียวจี่เจ้าห้ามตายนะ… เจ้าห้ามตาย”
นางเสียเขาไปแล้ว
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เขาเข้ามาอยู่ในใจของนาง
เป็นเขาที่ฆ่าเหล่าเหลียงอ๋อง แล้วก็เป็นเขาที่นำยาถอดพิษมาให้ชิ่งเอ๋อร์ ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ เขาเฝ้ารอนางอยู่นอกเรือนตลอดทั้งคืน…
นางพูดไม่ออก รู้เพียงแต่ว่า ทุกสิ่งสายเกินไปแล้ว
“ข้ายังไม่ได้บอกเจ้าเลย… ว่าข้าหายป่วยแล้ว… ข้าจะไม่ผลักไสเจ้าอีก… เจ้าลืมตามามองข้าสิ…”
“เซียวจี่ เจ้ามองข้าสิ…”
น้ำตาของนางไหลริน
ที่แท้แล้วยามสูญเสียคนที่ตัวเองรักนั้นมันเจ็บปวดเหมือนดั่งถูกมีดแทงเช่นนี้เองหรือ
เจ็บปวดนัก
เหตุใดนางถึงเพิ่งมารู้เอาป่านนี้
เหตุใดนางถึงไม่รู้ใจตัวเองเร็วกว่านี้
“เซียวจี่…” นางกำเสื้อของเขาแน่ เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระงม
“แค่กๆ ”
เซียวจี่ที่นอนรวยรินอยู่ใต้ร่างนางจู่ๆ ก็สำลัก ไอโขลกอย่างหนัก!
องค์หญิงซิ่นหยางตกตะลึง ดวงตาชุ่มน้ำทั้งสองข้างเบิกโต กะพริบถี่มองเขาท่ามกลางความมืด “เซียวจี่! เซียวจี่!”
เซียวจี่เหลียวหน้ามา ไอโขลกแรงยิ่งกว่าเดิม แทบจะกระอักเอาปอดตัวเองออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
องค์หญิงซิ่นหยางรีบประคองเขาลุงนั่งพิงผนัง เอ่ยถามเสียงสะอื้น “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
เซียวจี่เอ่ยหอบ “เมื่อครู่หายใจไม่ออก… เกือบตายแล้ว…”
น้ำตาขององค์หญิงซิ่นหยางพรั่งพรูออกมายิ่งกว่าเดิม
นางไม่ใช้คนขี้แง แล้วนางก็ไม่ได้ตั้งท้องด้วย แต่นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดวันนี้ถึงได้น้ำตาไหลไม่หยุด
เซียวจี่พิงผนังอย่างไร้เรี่ยวแรง เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาเพราะความเจ็บปวด “ฉินเฟิงหวั่น เมื่อครู่ที่เจ้าเอ่ยพึมพำ… เจ้าพูดว่าอะไร”
“เปล่าเสียหน่อย” องค์หญิงซิ่นหยางเช็ดน้ำตาด้วยสีหน้าจริงจัง พยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ “ในตัวเจ้ามีตะบันไฟหรือไม่ เจ้าบาดเจ็บตรงไหน ขอข้าดูหน่อย”
เซียวจี่ยกแขนข้างเจ็บสาหัสกว่าทว่าไม่มีเลือดไหลขึ้นมา ฝืนเจ็บรั้งนางเข้าหาอ้อมกอดอย่างเอาแต่ใจ
หัวใจของนางเต้นถี่รัว ได้ยินเสียงแผ่วเบาของเขาเอ่ยขึ้นข้างหู “ข้าได้ยินหมดแล้ว ฉินเฟิงหวั่น”
……….