บทที่ 975 หวั่นไหว (ฉบับเซียวจี่ vs ซิ่นหยาง)
……….
“องค์หญิงน้อย!”
เสียงรายงานขององครักษ์ดังมาจากเรือนชั่วคราว
“หลีกไป! ข้าจะพบท่านโหว!”
องค์หญิงน้อยแห่งตงอี๋เอ่ยด้วยความดื้อรั้นเอาแต่ใจ
องค์หญิงซิ่นหยางเหลือบมองเซียวจี่ เซียวจี่หยิบผ้าและยาจินฉวงจากมือของนาง เช็ดหยดน้ำให้นางอย่างไม่เร่งรีบ จากนั้นจึงเริ่มทายาให้นาง
“เจิน…” องค์หญิงซิ่นหยางเปิดปากเอ่ย “นางจะเข้ามา”
“เข้ามาไม่ได้” เซียวจี่เอ่ยเสียงราบเรียบ เขาจุ่มปลายนิ้วลงบนยาแล้วทาทั่วรอยแผลอย่างสม่ำเสมอ ยานี้มีสรรพคุณดีเยี่ยม ข้อเสียคือสีไม่สวยและเหนียวเหนอะหนะมาก ทำให้ทาแล้วล้างออกยาก
องค์หญิงซิ่นหยางปลายนิ้วบอบบาง และรักความสะอาด หากให้นางล้างออก คงต้องล้างผิวออกชั้นหนึ่งเป็นแน่
ไม่ช้า เสียงกระทืบเท้าและเสียงตะโกนขององค์หญิงน้อยแห่งตงอี๋ดังมาจากนอกเรือนชั่วคราว “พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาขวางข้า! อยากตายกันหรือไง! ประเดี๋ยวท่านโหวออกมา ข้าจะให้เขาจัดการกับพวกเจ้า!”
องค์หญิงซิ่นหยางเหลือบมองเซียวจี่อย่างแนบเนียน เซียวจี่ทายาให้นางอย่างตั้งใจ แต่ดูเหมือนจะรับรู้ถึงถึงสายตาสงสัยและมองสำรวจของนาง และเอ่ยเสียงราบเรียบ “ค่ายทหารมีกฎระเบียบของค่ายทหาร ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออกเรือนชั่วคราวของแม่ทัพโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นอันขาด”
เขาไม่ได้คุ้นชินกับองค์หญิงน้อยแห่งตงอี๋ มิเช่นนั้นองครักษ์รอบกายเขาคงไม่กล้าขวางนางไว้ด้านนอก
เพียงแต่คนอื่นไม่รู้เรื่องนี้ เห็นเขามีความอดทนต่อองค์หญิงน้อยแห่งตงอี๋ ทว่าลับหลังกลับคาดเดาไปต่างๆ นานา
“มีเพียงเจ้าและฉางจิงเท่านั้นที่เคยเข้ามา” เซียวจี่เอ่ย
ทันทีที่เอ่ยจบ หลงอีก็ชะโงกศีรษะเข้ามา
องครักษ์…องครักษ์รั้งเขาไม่ได้
ทายาเสร็จแล้ว เซียวจี่ดึงผ้าห่มมาคลุมเท้าแล้วเอ่ยกับหลง “หิวแล้วหรือไม่”
หลงอีเอ่ย “อืม หิวแล้ว”
เซียวจี่เอ่ยกับนาง “ข้าจะพาหลงอีไปหาอะไรกิน เจ้าอยากกินอะไร”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยถาม “ที่นี่มีอะไร”
เซียวจี่หัวเราะประชดตัวเอง ใช่ ในค่ายทหารจะมีอะไร
ทางตะวันออกเผชิญกับพายุหิมะถล่ม อาหารและเสบียงไม่อาจจัดส่งได้อย่างราบรื่น กินอิ่มก็ดีมากแล้ว จะเลือกได้ที่ไหนเล่า
เขาเอ่ย “เจ้าพักก่อน ประเดี๋ยวจะยกมาให้”
…
“ท่านโหว ดึกดื่นขนาดนี้ท่านจะออกไป…” หน้าประตู องครักษ์มองเซวียนผิงโหวที่ถือธนูและขี่ม้าศึกสูงใหญ่ด้วยความแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเซวียนผิงโหวที่แต่งกายเต็มยศพร้อมรบในยามดึก
หรือว่าจะลอบโจมตีค่ายศัตรู
แต่เหตุใดถึงบุกเดี่ยว
สอดแนมทางทหารรึ
แล้วเหตุใดต้องเอาธนูไปด้วย
เซียวจี่รัดสายบังเหียนและเอ่ยเสียงราบเรียบ “อืม ข้าจะออกไปสักพัก ห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้ค่ายทหารในระยะร้อยก้าวเด็ดขาด ใครขัดขืน ฆ่าไม่เว้น!”
“ขอครับ!” องครักษ์ประสานมือ ขานรับอย่างนอบน้อม
เซียวจี่ขี่ม้าหายเข้าไปในพายุหิมะ
เขาไม่ได้ไปสอดแนมทางทหาร และไม่ได้ลอบโจมตีค่ายศัตรูกลางดึก แต่เขาขี่ม้าเข้าไปในป่าภูเขาลึกและล่ากวางป่า
ยามค่ำคืน บนโต๊ะขององค์หญิงซิ่นหยางปรากฏแป้งแช่น้ำแกงกวางร้อนๆ เพิ่มขึ้นมา
องค์หญิงซิ่นหยางเริ่มกินมังสวิรัติเมื่อหลายปีก่อน แต่หลังจากตั้งครรภ์อีอี นางเริ่มกลับมากินเนื้อสัตว์ควบคู่ผักเพื่อเสริมสร้างโภชนาการ อีอีหย่านมช่วงอายุหนึ่งขวบ และหลังจากหยุดให้นมอีอี นางก็กลับมาไม่กินสัตว์ใหญ่
แต่ในสถานที่ที่มีอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ การดื่มน้ำแกงและกินเนื้อสัตว์มากๆ จะต้านทานความหนาวเย็นที่รุนแรงได้ดีกว่า
องค์หญิงซิ่นหยางก็เข้าใจเรื่องนี้ดี จึงยกถ้วยและตะเกียบขึ้นมาอย่างเงียบๆ แล้วเริ่มกิน
ทว่าเมื่อนึกบางอย่างออก นางมองเซียวจี่ที่นั่งเช็ดอาวุธอยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยถาม “เจ้าไม่กินหรือ”
“ข้ากินแล้ว” เซียวจี่ตอบ
หลังจากกินน้ำแกงกวางไปหลายคำ องค์หญิงซิ่นหยางก็รู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่างกาย หน้าผากเหงื่อออก ปลายจมูกก็เปล่งประกาย
“ที่นี่…เป็นอย่างไรบ้าง” นางเอ่ยถาม
เซียวจี่ใช้ผ้าเช็ดดาบยาวและตอบสั้นๆ “สงครามใกล้ยุติแล้ว”
“แล้วพวกเซียวหมิงล่ะ” นางถามต่อ
นางเรียกใช้พวกเขา และเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ถามถึงเพียงเซียวหมิงเท่านั้น
เซวียนผิงโหวมีบุตรที่เกิดจากอนุอยู่สองคน เมื่อครั้นองค์หญิงซิ่นหยางปฏิเสธที่จะมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับเขา เหล่าฮูหยินก็ทนเห็นเขาไร้ทายาทสืบสกุลไม่ได้ จึงยัดเยียดอี๋เหนียงให้เขาสองคน ถึงมีเซียวเอินและเซียวเจ๋อในเวลาต่อมา
แม้จะเป็นบุตรของอนุ แต่เหล่าฮูหยินที่แทบจะรอคอยหลานจากชายาหลักไม่ได้นั้น นางก็รักและเอ็นดูพวกเขาทั้งสองอย่างมาก และเลี้ยงดูปูเสื่อเด็กทั้งสองเป็นอย่างดีมาโดยตลอด
ในอดีต ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองสามีภรรยาเย็นชาดุจน้ำแข็ง องค์หญิงซิ่นหยางไม่สนใจและไม่ใส่ใจบุตรของอนุของเขาเลย
ต่อมาสุขภาพของเหล่าฮูหยินทรุดลง เซียวเอินและเซียวเจ๋อไปที่ค่ายทหาร ไม่กี่ปีก็กลับมาทางตะวันออก อีกครั้ง และพวกเขาก็ยิ่งไม่ได้ติดต่อกับองค์หญิงซิ่นหยางอีกเลย
เซียวจี่เอ่ย “เซียวหมิงถูกวางยาและหมดสติไป ยาแก้พิษอยู่ในมือของชาวตงอี๋ เซียวเอินและเซียวเจ๋อเฝ้าด่านตงหลินอยู่”
องค์หญิงซิ่นหยางพยักหน้า ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “ข้าคิดมาตลอดว่าเซียวหมิงแค่ได้รับบาดเจ็บอย่างเดียวเสียอีก”
เซียวจี่เอ่ยเสียงราบเรียบ “ชาวตงอี๋เจ้าเล่ห์มาก บาดแผลดูไม่ออกในช่วงแรก แต่เริ่มแสดงอาการหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยถาม “เจ้ายอมตกลงเจรจากับชาวตงอี๋เพื่อยาแก้พิษของเซียวหมิงใช่หรือไม่”
เซียวจี่ที่เช็ดดาบอยู่หยุดชะงักครู่หนึ่ง “คนตระกูลเซียวไม่เคยถูกท้าท้าย เซียวหมิงตายได้ แต่กระดูกสันหลังของทหารแคว้นเจาจะโค้งงอไม่ได้”
องค์หญิงซิ่นหยางรู้สึกถึงความองอาจสง่างามของทหารจากตัวเขา ดวงตาของนางสั่นไหว และเอ่ยถาม “แล้วเจ้ายังจะ…”
“แผนถ่วงเวลา” เซียวจี่มองดาบที่เช็ดจนวาววับ แสงเย็นสะท้อนเข้าในดวงตาหงส์เรียวแหลมของเขา ทำให้ดวงตาประกายแสงเย็นเยือก “พรุ่งนี้ข้าจะบุกโจมตีชาวตงอี๋ เจ้ารออยู่ที่ค่ายทหาร ห้ามไปไหนเด็ดขาด!”
“ให้หลงอีไปกับเจ้า”
“ไม่ต้อง”
เซียวจี่เก็บดาบยาวกลับเข้าฝัก และเมื่อเห็นนางกินเสร็จ เขาก็ยกถ้วยและตะเกียบขึ้น
องค์หญิงซิ่นหยางมองที่พักชั่วคราวอันเรียบง่าย เซวียนผิงโหวเติบโตมาอย่างสุขสบาย ยากจะจินตนาการได้ว่าเขาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ที่ชายแดนเช่นนี้
ในที่พักชั่วคราวมีรูขนาดเล็กหลายรู แสงจันทราสลัวๆ สาดส่องมาพร้อมกับสายลมหนาว ทันใดนั้นก็มีสิ่งของบางอย่างมาปิดรูเหล่านั้น
…เซียวจี่ซ่อมแซมที่พักชั่วคราว
องค์หญิงซิ่นหยางนั่งอยู่บนเตียงแข็ง ได้ยินเสียงเซียวจี่พูดคุยกับทหารดังมาจากด้านนอก
“คราหน้าท่านอย่าทำเช่นนี้อีกเลย อันตรายมาก หากพบกับดักของชาวตงอี๋เข้าจะลำบากเอาได้!”
องค์หญิงซิ่นหยางเหลือบมองชิ้นเนื้อกวางย่างบนโต๊ะที่เสี่ยวจีเก็บไว้ให้นาง
“ตกลงคนผู้นั้นคือใครหรือ” ทหารถามต่อ
“ภรรยาข้า” เซียวจี่ตอบ
หลังจากนั้น ทหารก็หยุดบ่น
เมื่อเซียวจี่กลับมายังที่พักชั่วคราวที่ซ่อมแซมเสร็จแล้ว องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยถามด้วยสีหน้าปกติ “หลงอีไปไหนหรือ”
เซียวจี่ตอบ “ไปที่พักชั่วคราวของฉางจิง อยู่ข้างๆ น่ะ”
“คืนนี้ข้า…”
“เจ้านอนที่นี่”
“แล้วเจ้า…”
“แน่นอนก็ต้องนอนที่นี่สิ”
ขนตาขององค์หญิงซิ่นหยางสั่นไหวเล็กน้อยและริมฝีปากของนางก็กระตุกหลายที ทว่ามิได้เอ่ยว่าไม่ให้เขาร่วมนอนในห้องเดียวกัน
ของใช้ในค่ายทหารมีจำกัด เตียงนอนทั้งเย็นและแข็ง ผ้าห่มก็ทั้งบางและชื้น
องค์หญิงซิ่นหยางนอนอยู่ข้างกายเขาอย่างแข็งทื่อ มือเท้าก็เย็นเฉียบ
บรรยากาศในค่ายทหารค่อนข้างแตกต่างจากในเมืองหลวง เขาสูญเสียความเจ้าชู้และความเหลวไหลลง แต่กลับปรากฏความจริงจังและความดุดันของแม่ทัพในสมรภูมิรบมากขึ้น
ในยามนี้ เขาหยอกล้อนางสองประโยคโดยไม่ลังเล
เขาหลับตา วางแผนการเคลื่อนพลในวันพรุ่งนี้ในใจ
“เซียวจี่” องค์หญิงซิ่นหยางเรียกเสียงทุ้มต่ำ
“มีอะไรหรือ” เขาเลิกคิดเรื่องศึกสงครามทันที
ลำคอขององค์หญิงซิ่นหยางขยับ บีบนิ้วอย่างประหม่า และกระซิบ “…ข้าหนาว”
หากเป็นในอดีต เขาคงเย้าแหย่นางแน่นอน “ฉินเฟิงหวั่น อยากให้ข้ากอดก็พูดมาตรงๆ ”
ทว่าเขาไม่
เขาเพียงจับมือนางใต้ผ้าห่ม พบว่านางหนาวมาก จึงย้ายผ้าห่มของข้างเขาไปห่มร่างกายของนาง “ดีขึ้นหรือไม่”
“ยังหนาวอยู่” องค์หญิงซิ่นหยางตอบ
ท่ามกลางความมืดมิด เขาลังเลครู่หนึ่ง ถึงเหยียดแขนอันแข็งแกร่งออกไปสวมกอดนางไว้ในอ้อมอก
กลิ่นอายแห่งความเป็นชายที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาถูกปลดปล่อยออกมา ปกคลุมนางไว้ในพริบตา
เขาปลดเสื้อผ้าของตนออก และนำมือเย็นเฉียบของนางวางบนหน้าอกอันอบอุ่น จากนั้นก็ขยับขาของตน และวางเท้าเย็นเฉียบของนางไว้บนขาเรียวยาวที่อบอุ่นของเขา
“ดีขึ้นหรือไม่” เขาเอ่ยถาม
แก้มขององค์หญิงซิ่นหยางรู้สึกร้อนผ่าวไม่น้อย นางคิดว่าคงเป็นเพราะความร้อนของร่างกายชายหนุ่ม
นางพยักหน้าตอบอย่างอ่อนแรง “อืม”
“ฉินเฟิงหวั่น อย่าขยับ”
“ข้าไม่ได้ขยับ”
“เท้าของเจ้า”
“ข้าคันที่เท้าเปื่อยน่ะ” นางอดเขี่ยน่องของเขาไม่ได้ แต่นี่ไม่ได้เรียกว่าขยับหรอกหรือ
นางเอื้อมมือลงไปเกา แต่ขณะที่เลื่อนลงไป กลับบังเอิญสัมผัสอสูรร้ายโดยไม่ตั้งใจ นางตกใจจนเนื้อตัวสั่นและใบหน้าแดงก่ำทันที!
เสียงของเซียวจี่แหบแห้ง “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าขยับ”
นางอึกอัก ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธแล้วเอ่ย “ข้าไม่ได้สัมผัสตรงนั้นของเจ้าสักหน่อย!”
เซียวจี่จ้องนางอย่างลึกซึ้งท่ามกลางความมืดมิดและเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง “ฉินเฟิงหวั่น เจ้าหายดีแล้วใช่หรือไม่”
องค์หญิงซิ่นหยางสะดุ้ง
อาการป่วยของนาง…นางไม่อาจแนบชิดกับชายหนุ่มได้…
ยามนี้ นางถูกชายหนุ่มกอดไว้ในแน่นจนไม่เหลือช่องว่าง
นางไม่ได้แสดงอาการ
ไม่ถูก ดูเหมือนจะแสดงอาการแล้ว
หัวใจนางเต้นแรง ตึกๆ ราวกับเป็นกวางน้อยที่วิ่งพล่านเข้ามาไม่หยุด
นางสมองตื้อ ปากแหบแห้ง และหายใจแทบไม่ออก
……….