บทที่ 968 มุ่งหน้าสู่เกาะอั้นเย่
……….
สามวันผ่านไปหลังจากงานฉลอง หัวหน้าตระกูลมู่ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ได้ข่าวมาว่าเป็นเพราะคนของเขาไปก่อเรื่องไว้ เขามิอาจแบกความรับผิดชอบทั้งหมดได้ จึงทูลฝ่าบาทให้ปลดตนออกจากหน้าที่การงาน
ซ่างกวานเยี่ยนอนุมัติ
นอกจากนี้ทางภาคใต้ยังเกิดน้ำท่วมอีกด้วย ตระกูลมู่ได้บริจาคเงินจำนวนห้าร้อยตำลึงเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
ซึ่งนั่นเป็นเงินก้อนสุดท้ายของตระกูล
ตระกูลมู่ไม่ได้ถือเงินมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ได้แค่ผืนไร่ ร้านค้า และทรัพย์สินหลักอื่นๆ ของตระกูลมาค้ำประกัน
การบริจาคอาจฟังดูดีในนาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็ไม่ต่างจากการยึดเรือน
มู่ชวนนั่งอยู่ในห้องของเขา มองดูทหารยามเข้ามาขนย้ายของมีค่าในห้องออกไป
“เฮ้! อย่าเอาอันนี้ไปนะ!” คนรับใช้ของเขาปรามขึ้น แล้วอธิบาย “นี่คือของขวัญวันเกิดของนายน้อย! นายน้อยชอบใช้มันเลี้ยงปลาตัวเล็ก!”
เป็นความทรงจำในวัยเด็กของเขา
ตอนที่เขายังเด็ก เขาทั้งซนและไม่สามารถนั่งนิ่งอยู่กับเรือนได้ และมักจะชอบเคาะแจกันนี้หรือทำลายเครื่องลายครามนั้น ต่อมาใต้เท้าใหญ่มู่ได้แจกันเคลือบราคาแพงมาจากที่ไหนสักแห่ง
เดิมทีมันเป็นแจกันไว้ใส่ดอกไม้ แต่มู่ชวนน้อยเกิดหัวใส นำแจกันมาใส่ปลาแทน
“ให้พวกเขาเอาไปเถอะ” มู่ชวนเอ่ยเบาๆ
“แต่ว่า นายน้อย…” บ่าวโอดครวญ “พวกเขาขนของๆ เราออกไปหมดเกลี้ยงแล้ว อย่างน้อยเก็บแจกันนี้ไว้ดูต่างหน้าก็ยังดีนะขอรับ…”
มู่ชวนจึงตอบด้วยน้ำเสียงเบาบาง “ไม่เป็นไร ข้าไม่อยากได้ของไว้ดูต่างหน้า ปล่อยมันไปเถอะ”
แล้วพวกทหารก็นำแจกันและเข็มขัดหยกที่หุ้มทองคำของเขาออกจากตู้เสื้อผ้า ทิ้งไว้เพียงข้าวของที่ไม่มีราคาบางส่วนไว้เท่านั้น
“นายน้อย…” บ่าวเริ่มสะอื้น
ปกติมู่ชวนจะเป็นคนที่ขี้โวยวายที่สุดในตระกูล แต่พอมาวันนี้ เกิดเรื่องแบบนี้ เขากลับกลายเป็นคนที่ทำใจนิ่งที่สุด
เขาลุกขึ้นอย่างช้าๆ และเดินออกจากจวนที่เขาอาศัยอยู่มายี่สิบปีโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
…
สิ่งที่ตระกูลมู่ทำกับตระกูลเซวียนหยวนนั้นไม่ได้เบาไปกว่าตระกูลหันและตระกูลหนานกงมากนัก แม้พวกเขาไม่ได้วางแผนต่อต้านพวกเขาในสนามรบ แต่พอมีเรื่องของการดูหมิ่น และการใส่ร้ายตระกูลเซวียนหยวนเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเขามิอาจหนีความผิดไปได้
และซ่างกวานเยี่ยนเองก็จะไม่ออมมือกับพวกเขาเด็ดขาด
ตระกูลมู่นั่งอยู่ในรถม้าที่ขาดรุ่งริ่งและออกจากเมืองชั้นในอย่างเงียบๆ ในตอนเช้าก่อนรุ่งสาง
คนรับใช้ในครอบครัวถูกไล่ออก เหลือเพียงทาสแก่ๆ เพียงไม่กี่คนที่ไม่ยินยอมจะลาออก
สมาชิกมากกว่าสามสิบคนระหกระเหินไปอยู่บ้านเก่าในเมืองรอบนอก ซึ่งเป็นสินสอดของฮูหยินใหญ่มู่ในสมัยนั้น และเป็นทรัพย์สินชิ้นเดียวที่ไม่ถูก “ยึดคืน”
จากที่เคยชินกับการมีเสื้อผ้าและอาหารดีๆ จู่ๆ ต้องมาตกที่นั่งลำบาก
อยู่มาวันหนึ่ง ฮูหยินใหญ่มู่เกิดล้มป่วยในคืนที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง มู่ชวนจำต้องฝ่าฝนไปยังทุกหนแห่งเพื่อหาหมอ
ทว่าไม่มีใครกล้าทำการรักษาให้คนของตระกูลมู่
ทุกคนรู้ดีว่าตระกูลมู่ทำกับตระกูลเซวียนหยวนไว้อย่างไร ตอนนี้เมื่อตระกูลซวนหยวนได้รับการพิสูจน์แล้ว จักรพรรดินีได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว และตระกูลมู่ก็ตกอยู่ในหายนะ ใครก็ตามที่กล้าช่วยเหลือตระกูลมู่เท่ากับเป็นปรปักษ์ต่อราชวงศ์
มู่ชวนรับรู้ได้ถึงความทรมานอันแท้จริงของการเป็นตระกูลตกอับ
เขาลากร่างที่เหนื่อยล้าแล้วเดินโซเซกลับไปที่เดิม
ทันทีที่เขาไปถึงประตู เขาก็ได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคยจากด้านหลังเขา
“มู่ชวน”
เขาหันกลับมาตามเสียง แต่สายฝนทำให้เขามองคนตรงหน้าได้ไม่ชัดนัก
กู้เจียวในอาภรณ์กระโปรงยาวสีเขียว มือข้างหนึ่งถือร่ม ส่วนอีกข้างถือกล่องยาขนาดเล็ก และเดินช้าๆ มาหาเขา
แม้น้ำฝนจะเย็นแค่ไหน แต่มิอาจกลบอุณหภูมิของน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเขาได้
เขารู้สึกจุกอยู่ในลำคอ
หลังจากที่กู้เจียวออกไป ฮูหยินใหญ่มู่ก็ได้ยื่นกล่องผ้าให้มู่ชวน “หวงจื่อเฟยทรงฝากสิ่งนี้มาให้เจ้า”
มู่ชวนอึ้งไปครู่หนึ่ง “นาง…บอกตัวตนที่แท้จริงให้ท่านทราบแล้วรึ”
ฮูหยินใหญ่มู่ยิ้มอ่อน “ใช่แล้ว ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่านางคือคนเดียวกับผู้บัญชาการน้อยแห่งค่ายเฮยเฟิง ทรงไม่ได้ด้อยกว่าสตรีคนอื่นเลย”
“ทรงเป็นทั้งหวงจื่อเฟย และผู้บัญชาการน้อยผู้ยิ่งใหญ่ การที่พระองค์ทรงมาเยือนบ้านของเราอย่างเปิดเผย อาจต้องการสื่อว่าฝ่าบาทและตระกูลเซวียนหยวนไม่ได้จะล้างโคตรตระกูลมู่ของเรา พวกชาวบ้านคนอื่นๆ จะได้ไม่ดูถูกดูแคลนพวกเราอีก” ฮูหยินใหญ่มู่เป็นคนฉลาดและมองขาด
มู่ชวนพยักหน้า จากนั้นค่อยๆ เปิดกล่องผ้าออก
พบว่าในนั้นมีเงิน เอกสารแนะนำการสอบบรรจุเข้าตำหนักราชครู รวมถึงจดหมายจากกู้เจียว
“มู่ชวน อย่ายอมแพ้นะ”
น้ำตาของเขาไหลอาบแก้มทันที
…
ช่วงเวลาที่กู้เจียวอยู่ที่เซิ่งตู นางได้ไปเยี่ยมชมชมรมหมากรุกด้วย น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสเมิ่ง ปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้น ตั้งแต่กลับไปแคว้นจ้าวเพื่อเจรจาสงบศึกครั้งที่แล้ว ก็อยู่ที่บ้านเกิดตลอดและยังไม่ได้มาที่แคว้นเยี่ยนเลย
กู้เจียวเดาว่าท่านผู้อาวุโสอาจปลอมตัวเป็นขอทานไปทั่วทุกแคว้นเพื่อเสาะหาผู้มีพรสวรรค์เหมือนกับที่เคยทำมา ขอแค่มีความสุขก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่ตามแบบแผนของคนทั่วไปเพื่อพักผ่อนในบั้นปลายชีวิต
ต้นเดือนแปด กู้เจียวและเสียวเหิงออกเดินทางไปยังเกาะอั้นเย่ ทิ้งลูกๆ ไว้ที่พระราชวัง จิ้งคงก็อยู่ที่เซิ่งตูด้วย เซวียนหยวนฉีคาดหวังว่าจะได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้าตัวน้อยมากขึ้น
เกาะอั้นเย่เป็นสถานที่ปลีกจากโลกภายนอก กู้เจียวมิอาจนำกองกำลังจำนวนเยอะไปที่นั่นได้ จึงเลือกที่จะพาไปแค่เหลี่ยวเฉินและทหารเงามืดจำนวนหนึ่ง
“คนแค่นี้จะไปพออะไร” ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ย “เดี๋ยวข้าจะจัดให้อีก”
เขาผู้นั้นก็คือเฟิงอู๋ซิว
เฟิงอู๋ซิ่วถือห่อผลไม้ กินไปหนึ่งชิ้นแล้วจึงยื่นที่เหลือให้กู้เจียว “จะกินไหม”
กู้เจียว “…”
นักบวชชิงเฟิงไม่สบายใจเรื่องความปลอดภัยของน้องชาย จึงได้แต่แอบติดตามไปด้วย
ส่วนเหลี่ยวเฉินกลับต้องมาเจอกับนักบวชชิงเฟิงอีกครั้ง จากที่คิดว่าจะหนีคนคนนี้ได้พ้นถาวรแล้ว
…
ครั้งนี้ไม่ใช่การเดินทัพไปสู้รบ จึงไม่จำเป็นต้องเร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน พวกเขาใช้เวลาหนึ่งเดือนครึ่งในการเดินทางไปถึงเมืองผู่
พวกเขาพักที่เมืองผู่สองคืน หลังจากได้พบปะพูดคุยกับแม่ทัพชางเวยแล้ว ก็ฝากเจ้าเฮยเฟิงให้แม่ทัพชางเวยดูแลชั่วคราว พอถึงเช้าวันที่สาม พวกเขาก็ออกเดินทางจากเมืองผู่
สามวันถัดมา พวกเขาเดินทางผ่านชายแดนที่อยู่เหนือสุดของแคว้นเยียน จนในที่สุดก็มาถึงที่ธารน้ำแข็ง
“ฉังจิ่งบอกว่ามีหมาป่าน้ำแข็งนำทางให้ใช่ไหมนะ” กู้เจียวพยายามหาอะไรบางอย่าง “ข้าทำแผนที่หาย”
“ไม่เป็นไร ข้ารู้ว่าอยู่ไหน” เซียวเหิงกล่าว
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” กู้เจียวถาม
“ข้าเคยอ่านแผนที่น่ะ” เขาตอบ
กู้เจียวพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “อ้อ งั้นเจ้านำทางไปเลย แล้วท่านนักบวชล่ะ จะไปด้วยกันไหม”
พวกเขาไปตามหาเลื่อนหิมะและหมาป่าน้ำแข็ง เฟิงอู๋ซิ่วห่อตัวด้วยหนังสัตว์หนา นั่งยองๆ อยู่หน้ารูน้ำแข็ง มองน้ำแข็งที่ไหลเอื่อยๆ ข้างล่างแล้วกลืนน้ำลายตลอด
“มองอะไรรึ” เหลี่ยวเฉินสังเกตท่าทางตลกของอีกฝ่าย
เฟิงอู๋ซิวทำท่าน้ำลายสอ “ข้างล่างนั่นมีปลาเต็มเลย ไม่รู้ว่าจะรสโอชาหรือไม่”
…
พวกหมาป่าน้ำแข็งของถูกเลี้ยงอย่างอิสระบนทุ่งน้ำแข็ง เนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาแล้ว นอกจากการล่าอาหาร พวกมันมักจะไม่วิ่งไปไกลนัก เมื่อได้ยินเสียงนกหวีดที่คุ้นเคย พวกมันจะรีบมาทันที
กู้เจียวหยิบนกหวีดที่ฉังจิ่งเคยมอบให้ขึ้นมา แล้วเป่ามัน
“เอ๋ ไม่เห็นมีเสียงเลย”
นกหวีดนี้มีเพียงหมาป่าเท่านั้นที่จะได้ยิน
ต่อให้มันใช้งานไม่ได้แล้ว มนุษย์อย่างเราๆ ก็ฟังไม่ออกอยู่ดี
กู้เจียวลองเป่าอีกครั้ง
แต่ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไหนขอข้าลองบ้าง” เซียวเหิงเอ่ย
กู้เจียวยื่นนกหวีดให้เขา เซียวเหิงหยิบมันขึ้นมาเป่าอย่างเป็นจังหวะ และไม่นาน หมาป่าน้ำแข็งหนึ่งตัวปรากฏขึ้น
ตามมาด้วยตัวที่สอง ตัวที่สาม…พวกมันวิ่งตรงมาทางเซียวเหอิง
ท่ามกลางลมหนาวพัดแรง สามีของนางยืนอยู่บนทุ่งน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ ดวงตาของเขาทั้งเย็นชาแต่ก็ดูทรงพลังในคราวเดียวกัน
กู้เจียวเอียงหัวชื่นชมคนตรงหน้าอย่างพึงพอใจ
โอ้ว สามีของข้าหล่อจริงๆ
เป็นอีกวันที่ตกหลุมรักคุณสามีเข้าเต็มเปา
ตอนนี้หมาป่าทั้งหมดนับได้ราวยี่สิบเอ็ดตัว หนึ่งในนั้นมีจ่าฝูงน้อยด้วย
ทว่าจ่าฝูงตัวน้อยนั้นมีนิสัยดุร้ายมาก โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า
มันแยกเขี้ยว และเริ่มแสดงความก้าวร้าว
เซียวเหิงไม่ได้แสดงความหวาดกลัวใดๆ เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ นั่งยองๆ คุกเข่าข้างหนึ่ง ยกมือเรียวยาวเหมือนหยก และลูบหัวเจ้าจ่าฝูงตัวน้อยเบาๆ
และแล้ว ก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ความดุร้ายของจ่าฝูงตัวน้อยพลันหายไปในทันที
“เจ้าฝึกหมาป่าเป็นด้วยรึ” กู้เจียวตกตะลึง
“ฉังจิ่งเคยสอนข้าไว้”
จากนั้นเจ้าจ่าฝูงก็พาพวกเขาไปยังที่ซ่อนของรถเลื่อนหิมะ
ดวงตาของกู้เจียวเป็นประกายทันที “เลื่อนหิมะนี่นา ท่านอาจารย์ต้องเป็นคนสอนให้พวกเขาทำมันขึ้นมาแน่ๆ !”
พอได้ยินชื่อคนคนนี้ เซียวเหิงก็หน้าบูดบึ้งทันที
อีกแล้วรึ!
ขณะที่ทั้งสามคนช่วยกันลากรถเลื่อนกลับมาที่เดิม ก็พบว่าเหลี่ยวเฉินและเฟิงอู๋ซิวกำลังนั่งย่างปลาอยู่บนหิมะ
เฟิงอู๋ซิ่วหยิบปลาเสียบไม้ขึ้นมาเป่าให้เย็นก่อนจะเอาเข้าปาก เสร็จแล้วก็พูดกับเหลี่ยวเฉิน “พี่ชาย มันหอมมากเลยละ!”
แววตาของนักบวชชิงเฟิงวูบไหวทันที เจ้าเรียกใครว่าพี่ชายนะ!