บทที่ 966 สินสอด (เหลี่ยวเฉิน vs นักบวชชิงเฟิง)
……….
เซวียนหยวนฉีตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ป้ายคำสั่งเงาทมิฬเป็นสัญลักษณ์แทนตัวตนของจ้าวแห่งเงาทมิฬ เป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่าชีวิตเสมอ ป้ายคำสั่งเงาทมิฬอยู่ หน่วยเงาทมิฬก็สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าเหตุใดตอนที่เซวียนหยวนฉีถูกพิชิตเวหาไล่ล่า จะต้องส่งต่อป้ายคำสั่งเงาทมิฬให้เซวียนหยวนเจิงที่อายุเพียงแค่แปดขวบให้ได้
ในหัวใจเซวียนหยวนฉีนั้น นี่ไม่ใช่สมบัติตกทอดของตระกูลแล้วจะเป็นอะไรได้อีก
สิ่งของล้ำค่าปานนี้ไม่มีทางห่างกายเด็ดขาด
และนักบวชชิงเฟิงกำลังมองความสำคัญของมันออกแล้ว จึงได้ให้เหลี่ยวเฉินใช้มันมาเป็นหลักประกันกับตน
เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ได้ยินเหลี่ยวเฉินคล้ายเจอปัญหาบางอย่างจึงได้ออกมาดู
เหลี่ยวเฉินเขาย่อมต้องฆ่าอยู่แล้ว แต่คนอื่นจะมาแตะต้องไม่ได้ เหลี่ยวเฉินต้องตายด้วยน้ำมือตน
จากนั้นนักบวชชิงเฟิงก็เห็นเซวียนหยวนฉี
เซวียนหยวนฉีเห็นป้ายคำสั่งเงาทมิฬแล้ว เขาตกใจมาก ตกใจสุดๆ เลยทีเดียว และเขาก็อยากรู้ว่านักบวชจากที่ใดกันเก่งกาจเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าจะล่อลวงใจลูกชายเขาไป
เขาเหลือบตาขึ้น
ไอ้หยา!
เป็นนักบวชชาย!?
นักบวชชิงเฟิง?
พวกเขาร่วมต้านศัตรูอยู่ที่ด่านชายแดนด้วยกันมาตลอด สนิทกันเท่าใดไม่ต้องพูด อย่างน้อยๆ ก็เคยพบหน้ากันหลายครั้ง เขาจะไม่รู้จักนักบวชชิงเฟิงผู้กล้าหาญชำนาญศึก ที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่บุตรชายตนได้อย่างไรเล่า
เขายังเคยสะทกสะท้อนใจกับซ่างกวานเยี่ยนด้วย ว่าเป็นคนหนุ่มที่เก่งนำหน้าคนรุ่นก่อนไปแล้ว
หัวใจเขาคล้ายได้รับการกระทบกระเทือนมหาศาล เขาไม่อยากมีชีวิตต่อแล้ว
เขาหันมองลูกอกตัญญูของตนด้วยความเคียดแค้นชิงชัง “นี่คือ..สาเหตุที่เจ้าพูดถึง…ว่าจะให้จิ้งคง…สืบทอดตระกูลต่อหรือ”
เหลี่ยวเฉินมึนงงไปแล้ว ไม่สิ ท่านพ่อ ข้าคุยกับท่านตั้งมากมาย ไฉนท่านจำได้แค่ประโยคนี้เล่า
ข้าบอกว่าข้าไม่อยากแต่งงาน ข้าชอบอิสระเสรีเพียงคนเดียว เป็นภิกษุที่ท่องเที่ยวพเนจรไปทั่วทุกสารทิศต่างหาก!
เฮ้อ
กระโดดลงแม่น้ำฮวงโหวยังล้างมลทินไม่เกลี้ยงเลย
เซวียนหยวนฉีสีหน้าซับซ้อนหันมองนักบวชชิงเฟิง “พวกเจ้าสองคน อยู่ด้วยกัน…ตั้งแต่เมื่อใด”
บทสนทนาก่อนหน้านี้ของสองพ่อลูก นักบวชชิงเฟิงได้ยินชัดแค่ประโยคที่เกี่ยวกับสมบัติตกทอดของตระกูล เขาครุ่นคิด ตอบไปตามตรง “เขาหลบเลี่ยงข้ามาตลอด ข้าเพิ่งจะหาตัวเขาเจอ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาหนี จึงให้เขาเอาป้ายคำสั่งเงาทมิฬเป็นหลักประกันไว้กับข้า ในเมื่อเป็นสมบัติประจำตระกูล เช่นนั้นก็ขอคืนให้ผู้บัญชาการใหญ่แล้วกัน”
เซวียนหยวนฉีไม่ได้รีบร้อนคว้าป้ายคำสั่งเงาทมิฬคืน แต่หันหน้าไปถลึงตาใส่ลูกชายอย่างแรง กัดฟันกรอดเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เจ้ายังหลบเลี่ยงเขาด้วยรึ”
ชายชั่ว!
นักบวชชิงเฟิงไม่รู้ว่าสองพ่อลูกกำลังเข้าใจผิดกัน เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “ผู้บัญชาการใหญ่ ระหว่างข้ากับเขามีความแค้นส่วนตัวกัน ในเมื่อวันนี้ถูกท่านเห็นเข้าแล้ว ข้าก็ขอพูดตามตรงเลยแล้วกัน ชีวิตของเขา ข้าหมายไว้แล้ว”
เซวียนหยวนฉีปากอ้าตาค้าง นี่ลูกสะใภ้กำลังทั้งรักทั้งแค้นบุตรชายเขาหรือ
ไม่สิ ไม่ ไม่!
ลูกสะใภ้อะไรเล่า
เขาเป็นบุรุษนะ!
นักบวชชิงเฟิงเอ่ยต่ออีก “ข้าไล่ตามตั้งแต่แคว้นเยี่ยนไปจนถึงแคว้นเจา แล้วก็จากแคว้นเจามาจนถึงที่นี่ กว่าจะจับตัวเขาไว้ได้ ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่ยื่นมือมาขวาง ข้าก็คงต้องล่วงเกินแล้ว”
ไล่มาถึงแคว้นเจา…
หรือว่าที่ชิ่งเอ๋อร์บอกลูกสะใภ้เขาจะเป็นนักบวชชิงเฟิงจริงๆ
เซวียนหยวนฉีรู้สึกเพียงธนูนับหมื่นปักทรวง เขาซวนเซวูบจนเกือบล้มลงกับพื้น!
ในขณะที่เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับ ‘สองสามีภรรยา’ นี่ดี เซียวเยียนที่อยู่ในห้องก็ร้องไห้จ้าขึ้นมา
…พวกผู้ใหญ่อย่างพวกท่านชักช้ากันจริง หนูหิวแย้ว!
เซวียนหยวนฉีได้ยินเสียงร้องของเด็กจึงนึกขึ้นได้ว่าลูกชายบอกว่าพวกเขามีเด็กน้อยแล้ว เขาหันไปมองทั้งคู่อย่างสั่นเทา สีหน้าเหลือจะเชื่อไถ่ถามไปอย่างทรมาน “…พวกเจ้า…ใครเป็นคนคลอดกันรึ”
เหลี่ยวเฉิน “…”
นักบวชชิงเฟิง “…”
…
เซวียนหยวนฉีเคยติดตามเจ้าแห่งเงาทมิฬมานานหลายปี จึงมีความเข้าใจต่อกล่องใบน้อยลึกซึ้งกว่าเหลี่ยวเฉินมาก ด้วยเหตุนี้เขามองปราดเดียวก็จำมันได้แล้ว
จากนั้นก็มองเจียวเจียวน้อยกับอาเหิงน้อยคู่นี้ เขาจึงพอจะเข้าใจสถานะของทั้งสองคนขึ้นมาแล้ว
ซ้ำยังมาได้ยินว่าพวกเขาร่วงลงมาจากฟ้าพร้อมกับกล่องใบนี้ เขายิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตัวเอง
เขาเอ่ยกับทั้งคู่ “ข้าจะ…พาเด็กกลับไป เรื่องนี้ พวกเจ้า…เก็บเงียบให้มันตายไปในท้อง อย่างอื่น…ห้ามถามถึงทั้งสิ้น”
“ข้าไม่มีความเห็น” เหลี่ยวเฉินเอ่ยพลางมองนักบวชชิงเฟิงแวบหนึ่ง
นักบวชชิงเฟิงเอ่ย “ตามบัญชาของผู้บัญชาการใหญ่”
เซวียนหยวนฉีให้คนเช่ารถม้าคันหนึ่ง อุ้มฝาแฝดขึ้นไปนั่ง หิ้วกล่องใบน้อยมาด้วย
“ข้าไปแล้วนะ” เขาเอ่ย
เหลี่ยวเฉินอาศัยจังหวะนี้เผ่น “ท่านพ่อ ข้าขอกลับกับท่านด้วย”
เซวียนหยวนฉีถีบลูกชายลงไป จากนั้นก็นั่งรถม้าจากไปไม่ทิ้งฝุ่น!
เหลี่ยวเฉินที่โดนทิ้งให้อยู่ในเงื้อมมือนักบวชชิงเฟิง “…”
…
ทางด้านนี้ หลังจากฝาแฝดหายวับไปในอากาศ เหล่านางกำนัลขันทีก็รายงานอู๋ซื่อสี่ทันที อู๋ซื่อสี่มายังที่เกิดเหตุไต่สวนทุกคนในศาลารับลม จากนั้นก็ควบม้าเร่งรุดไปยังตำหนักกั๋วซือ
ทว่าเนื่องจากกล่องใบน้อยไม่อยู่ เส้นทางเชื่อมกับห้องผ่าตัดจึงปิด เย่ชิงเปิดประตูแล้วเห็นห้องลับว่างเปล่า
กู้เจียวกลับวังไป ก็ได้ยินข่าวเช่นกันจึงรีบมายังตำหนักกั๋วซือ
ในเมื่อกล่องยาใบน้อยไม่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นฝาแฝดก็น่าจะถูกมันเคลื่อนย้ายไปที่ไหนสักแห่งอีกแน่
“พวกเขาจะไปที่ใดกันนะ” เย่ชิงถาม
กู้เจียววิเคราะห์ “ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ที่ข้าเข้าใจ ปกติแล้วกล่องยาน้อยจะเคลื่อนย้ายไปยังบริเวณใกล้เคียงพิกัดเท่านั้น ที่แน่นอนมีอยู่สองแห่ง หนึ่งคือห้องผ่าตัดของตำหนักกั๋วซือ อีกแห่งน่าจะเป็นเกาะราตรีมืด พิกัดของการเคลื่อนย้ายก็มีสองคน หนึ่งคือข้า อีกคนก็เป็นอดีตอาจารย์ ตอนนี้น่าจะมีฝาแฝดเพิ่มขึ้นมา”
เย่ชิงคล้ายคิดบางอย่างอยู่ “ก็หมายความว่า หากมันไม่เคลื่อนย้ายไปข้างกายพวกเจ้าคนใดคนหนึ่ง ก็คงจะไปที่เกาะราตรีมืด?”
กู้เจียวครุ่นคิด “ไม่ใช่”
ทราบแล้วว่ากล่องยาใบน้อยต้องใช้พลังงานในการแหวกมิติ ดังนั้นยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง
พลังงานมันไม่พอ ระหว่างทางจึงสุ่มร่วง
เย่ชิงที่ฟังความคิดนางจบ “นี่มัน…”
กู้เจียวกับเย่ชิงกำลังจะพาคนของตำหนักกั๋วซือแยกกันไปตามหาฝาแฝด เซวียนหยวนฉีก็หิ้วเจ้าเด็กน่ารักข้างละคนเดินทางมาหาแล้ว
เห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสองปลอดภัย ทุกคนต่างพรูลมหายใจโล่งอก
“ผู้บัญชาการใหญ่” เย่ชิงคำนับให้เซวียนหยวนฉี
เซวียนหยวนฉีผงกหัว “เย่กั๋วซือ”
เย่ชิง ให้ข้าอุ้มสักคนสิ
เซวียนหยวนฉี ไม่ให้หรอก เจ้ามาแย่งสิ
กู้เจียวรับกล่องยาใบน้อยมอมแมมจากมือสารถี
อู๋ซื่อสี่ไต่สวนออกมาแล้ว เป็นความคิดชั่วร้ายของคนที่มีนามว่าจ้าวอวี้นั่น อยากจะลอบทำร้ายฝาแฝด
เห็นแก่ที่มันช่วยชีวิตฝาแฝดไว้ กู้เจียวจึงข่มความพลุ่งพล่านที่อยากจับมันไปผ่าเป็นฟืนแล้วเผาทิ้งเอาไว้
กู้เจียวเอากล่องยาใบน้อยไปยังห้องลับ หลังจากเชื่อมต่อกับห้องผ่าตัดแล้ว พวกนางก็เข้าไปเยี่ยมซ่างกวานเยี่ยน
ซ่างกวานเยี่ยนหลับไปแล้ว
เซียวเหิงลุกขึ้นหันไปมองทุกคน เขาประสานมือคำนับให้เซวียนหยวนฉี “ท่านปู่ก็มาแล้ว”
“อืม” เซวียนหยวนฉีผงกหัวให้ อุ้มฝาแฝดไว้ในอ้อมอกไม่ยอมปล่อย
ถึงเป็นบิดาแท้ๆ ก็ไม่ให้หรอกนะ
เฮ้อ แย่งไม่ได้ แย่งไม่ได้
เซียวเหิงถามกู้เจียวกับเย่ชิง “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นหรือ จู่ๆ ประตูห้องผ่าตัดก็เปิดไม่ออก”
เปิดไม่ออกก็หมายความว่าเส้นทางปิด เมื่อก่อนกู้ฉังชิงซ่อนตัวรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่นี่ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
กู้เจียวเล่าเรื่องที่ฝาแฝดไปเที่ยวเมืองหลวงมาครึ่งวันให้เซียวเหิงฟัง เซวียนหยวนฉีเสริมข้อมูลระหว่างทางให้ทั้งคู่ฟังทันที
พวกนางจึงได้รู้ว่าฝาแฝดร่วงลงไปในมือของเหลี่ยวเฉินกับนักบวชชิงเฟิง
กู้เจียวเบ้ปาก พึมพำ “เจ้าก็ช่างเลือกคนเก่งจริงๆ ”
ในระหว่างพลังงานหมดเกลี้ยง ก็ตั้งตำแหน่งใกล้ๆ กับกลิ่นที่ตัวเองคุ้นเคยแทน ฉลาดแล้วนี่
ฝาแฝดปลอดภัยไร้เรื่องราวเป็นเพราะฝาแฝดดวงแข็ง หากเป็นเด็กธรรมดา เกรงว่าคงโดนจ้าวอวี้ทำร้ายเอาแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ แววตาเซียวเหิงก็เย็นเยียบดุจน้ำแข็งขึ้นมา “ท่านแม่กำลังกลุ้มใจที่หาโอกาสลงมือกับตระกูลต่งไม่ได้อยู่พอดี จ้าวอวี้ก็มาหาถึงที่เลย ช่างยื่นมีดมาให้แทงเองโดยแท้!”
…
ในคืนนั้น เซียวเหิงไปไต่สวนจ้าวอวี้ถึงในคุกของวังหลวงด้วยตัวเอง
จ้าวอวี้ทนทัณฑ์ทรมานไม่ไหวอยู่แล้ว โดนบดข้อเท้าไปทีเดียวก็สารภาพผิดออกมาหมด ร้องไห้เสียงดังตะโกนว่าตระกูลต่งบงการ
ปองร้ายราชวงศ์มีโทษเดียวกันกับการก่อกบฏ ซึ่งต้องโดนตัดหัว นับประสาอะไรกับเป้าหมายในการปองร้ายเป็นพระนัดดาสายตรงที่ฝ่าบาททรงรักเอ็นดูที่สุด
ประมุขตระกูลต่งคุกเข่าอยู่ในตำหนักจินหลวนอันโอ่อ่าน่าเกรงขาม น้อยใจในความไม่เป็นธรรมเต็มอก ร้องห่มร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาไหล!
ซ่างกวานเยี่ยนวางมาดเต็มเปี่ยมเอ่ย “พาตัวจ้าวอวี้เข้ามา!”
จ้าวอวี้ถูกทหารรักษาพระองค์คุมตัวเข้ามา ชี้ตัวประมุขตระกูลต่งต่อหน้าธารกำนัล “ประมุขตระกูลต่ง…เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเหตุใดท่านยังไม่ยอมรับอีก ตอนนั้นท่านเป็นคนให้ข้าเข้าวัง… คอยต้องหาโอกาสทำร้ายฝ่าบาทแท้ๆ …ติดที่ข้าไม่ได้รับความโปรดปราน ไม่อาจใกล้ชิดฝ่าบาทได้ ท่านจึงคิดวางแผนไปทำร้ายท่านชายน้อยกับท่านหญิงแทน… ท่านบอกว่า… ฆ่าพวกเขา… ให้ฝ่าบาทโกลาหลไปเอง… ท่านค่อยคิดหาวิธีวางยาพิษฝ่าบาท… สร้างภาพลวงว่าฝ่าบาททรงซึมเศร้า ตรอมใจตายเอง!”
ประมุขตระกูลต่งเอ่ยด้วยความเดือดดาล “เจ้าเพ้อเจ้อ!”
จ้าวอวี้เอ่ยอย่างเคียดแค้น “ข้าไม่ได้เพ้อเจ้อท่านรู้อยู่แก่ใจดี! ท่านเอาครอบครัวข้ามาบีบบังคับข้า! ให้ข้าลงมือวางยาทารกน้อยในห่อผ้าอ้อมสองคนนี้! ประมุขตระกูลต่ง! จิตใจท่านมันดำอำมหิตนัก!”
“เจ้า… เจ้า… เจ้า” ประมุขตระกูลต่งโมโหหนัก เขาลุกพรวดขึ้นพุ่งมาตรงหน้าจ้าวอวี้ ชักกระบี่พกของทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ข้างๆ ออกมา!
เซวียนหยวนฉีซัดฝ่ามือให้เขากระเด็น เขาไม่มีแม้แต่ทางจะได้โต้คืน ก็ร่วงกระแทกพื้นเย็นเฉียบอย่างแรง กระอักเลือดออกมาแล้ว
ซ่างกวานเยี่ยนทุบกำปั้นใส่ที่เท้าแขนบัลลังก์ เอ่ยอย่างเย็นชา “ชักกระบี่ในท้องพระโรง เพิ่มโทษอีกขั้น! ใครก็ได้! ลากตัวเขาออกไป! รอเวลาลงโทษ!”
ประมุขตระกูลต่งไม่ใช่ตอซังดีอะไร ตอนที่ตามหาท่านหญิงน้อยในป่า เขาก็ลงมือสังหารท่านหญิงน้อยกับกู้เจียว
ซ่างกวานเยี่ยนอยากจะปลิดชีพของเขามาตั้งนานแล้ว!
ทหารรักษาพระองค์ลากตัวประมุขตระกูลต่งที่ถูกเซวียนหยวนฉีซัดสั่นสะเทือนจุดตันเถียนแหลกลาญออกไปอย่างไร้ปรานี
ด้านหลังเขาทิ้งคราบเลือดชวนสะพรึงไว้เป็นทาง
เหล่าขุนนางในท้องพระโรงเงียบเป็นจักจั่นฤดูหนาว
พวกเขารู้ดีว่าวันคืนของตระกูลต่งมาถึงกาลอวสานแล้ว
หากกล่าวว่าการล่มสลายของตระกูลหันกับตระกูลหนานกงมีสาเหตุจากการก่อกบฏและหาเรื่องใส่ตัวเอง เช่นนั้นการปิดฉากลงของตระกูลต่งก็เป็นดาบเล่มแรกที่ราชินีทรงริเริ่มโจมตีตระกูลใหญ่ๆ
การปรับโครงสร้างตระกูลใหญ่ของราชินี…ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว!
หลังจากเลิกประชุมเช้า เซวียนหยวนฉีก็เรียกซ่างกวานเยี่ยนไว้
“ฝ่าบาท”
“ท่านลุง มีอะไรหรือ” ซ่างกวานเยี่ยนน้ำเสียงลดความดุดันที่ใช้ในท้องพระโรงลง และมีความสนิทสนมกับผู้อาวุโสเพิ่มมากขึ้นแทน
เซวียนหยวนฉีหันมองนางอย่างเคร่งขรึม “เริ่ม…ลงมือ…กับตระกูลใหญ่แล้วหรือ”
ซ่างกวานเยี่ยนพยักหน้า “ตอนนั้นตระกูลเซวียนหยวนถูกทำร้าย สิบตระกูลใหญ่ไม่มีตระกูลใดมือสะอาดสักตระกูล”
เซวียนหยวนฉีเอ่ย “จะสั่นคลอน…รากฐานของบ้านเมืองไม่ได้”
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยคล้อยตาม “ข้าเข้าใจ ข้าไม่มีทางรีบฆ่าทิ้งให้หมดหรอก บางตระกูลก็จะให้ทำความดีชดใช้ ข้าจะใช้ดุลยพินิจตามความดีความชอบของพวกเขา”
อย่างเช่นตระกูลซู เดิมทีนางอยากถอนรากถอนโคนให้หมด แต่มู่ชิงเฉินจงรักภักดีรักชาติบานเมือง สร้างคุณูปการไว้ที่ชายแดน เห็นแก่เขา นางจะเหลือตระกูลซูไว้ โดยมีข้อแม้ว่าอำนาจใหญ่ของตระกูลซูจะต้องยกให้อยู่ในมือมู่ชิงเฉิน
นอกจากนี้ยังมีตระกูลหวัง หวังซวี่กับหวังหม่านจงรักภักดีต่อราชสำนัก ซึ่งเป็นคนที่ใช้งานได้
เซวียนหยวนฉีค่อนข้างลังเล “คือว่า…”
ซ่างกวานเยี่ยนแย้มยิ้ม “ท่านลุงมีอะไรก็พูดมาเถิดไม่เป็นไร”
“ตระกูลเฟิง” เซวียนหยวนฉีเอ่ย “ปกป้องตระกูลเฟิง ได้หรือไม่”
“ตระกูลเฟิงรึ” ซ่างกวานเยี่ยนครุ่นคิดก่อนพยักหน้า “เฟิงอู๋หมิงสร้างความดีความชอบไม่น้อยในศึกใหญ่แคว้นจิ้น ความดีความชอบเหล่านี้ข้าจะเห็นแก่ตระกูลเฟิง”
ผู้อาวุโสตระกูลเฟิงจากโลกนี้ไปแล้ว เหลือแต่บุตรชายสายตรงสองคน
ตอนเกิดเรื่องกับตระกูลเซวียนหยวน บุตรชายสายตรงสองคนนี้ยังเด็ก ไม่เคยเข้าร่วมการกระทำชั่วกับพวกบิดาและผู้ใหญ่
นางเอ่ย “ข้าไม่มีทางแตะต้องเฟิงอู๋หมิงและเฟิงอู๋ซิว แต่กิจการของตระกูลเฟิง…ข้าคงต้องรีบกลับมา”
“หลังจากริบมาแล้วเล่า” เซวียหยวนฉีถาม
“คืนให้ท่านลุงน่ะสิ” ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยอย่างแน่นอน
สิ่งที่ตระกูลเซวียนหยวนถูกพรากไป ย่อมต้องกลับคืนเจ้าของ
เซวียนหยวนฉีเอ่ยอย่างราบเรียบ “อ้อ เช่นนั้นไม่…ต้องหรอก”
ซ่างกวานเยี่ยนมองลุงตัวเองอย่างประหลาดใจ “ไม่ต้องแล้วหมายความว่าอย่างไร”
เซวียนหยวนฉีอธิบาย “เจ้าคืนให้… ข้าแล้ว ข้าก็ยัง… ต้องยกให้ต่ออีก”
ซ่างกวานเยี่ยนมึนงง
ส่งกันไปส่งกันมาอะไร ไยนางยิ่งฟังจึงยิ่งงงเล่า
เซวียนหยวนฉียืดเอวหลังตรง วางมาดใหญ่โตยิ่งก่อนจะเอ่ย “สินสอด”
ซ่างกวานเยี่ยน “…”