บทที่ 955 ชีวิตหลังแต่งงานใหม่
……….
ณ เรือนฝูโซ่ว เหล่าฮูหยินกู้ตื่นนอนแต่เช้า แต่งกายอย่างประณีตงดงาม นั่งรอหลานชายและหลานสะใภ้มาคารวะอยู่ตรงห้องโถงหลัก
แต่รอจนเลยเวลาสายแล้วก็ยังไร้วี่แวว เหล่าฮูหยินกู้จึงกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ได้
แม่นมจางมองเหล่าฮูหยินกู้ด้วยความงุนงง “เหล่าฮูหยิน…”
เหล่าฮูหยินกู้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากพลางเอ่ย “เมื่อคืนใครเข้าเวรที่เรือนฉังชิง เรียกนางมาหน่อย”
แม่นมจางรีบไปที่เรือนกู้ฉังชิง ตามหาแม่นมแซ่อู๋ผู้รับผิดชอบเตรียมน้ำและเชือกให้กับกู้ฉังชิง
หลังจากแม่นมอู๋ก้าวเข้าเรือนฝูโซ่ว ก็รีบรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนถึงความต้องการน้ำหลายรอบและอุปกรณ์เล็กๆ ของท่านชายใหญ่ให้เหล่าฮูหยินกู้ฟัง “…มองไม่ออกเลยว่าท่านชายใหญ่จะทรมานกันเช่นนี้”
เมื่อได้ฟังแล้ว เหล่าฮูหยินกู้กลับหุบยิ้ม คิ้วขมวดเอ่ย “นางไม่ได้เป็นอะไรใช่หรือไม่”
หลานชายของนางจะมีความชอบประหลาดเช่นนี้ไม่ได้! ข่าวลือนี้แพร่กระจายออกไปจะเสียชื่อเสียงเอาได้ ยิ่งไปกว่านั้น สะใภ้ของนางยังมาจากตระกูลหยวน เป็นถึงคุณหนูผู้สูงศักดิ์ เพียบพร้อมไปด้วยทุกสิ่ง
หากเกิดเรื่องขึ้นมา อย่าบอกตระกูลหยวนเล่า
แม่นมจางเหลือบมองเหล่าฮูหยินกู้ รับใช้เหล่าฮูหยินมานาน นางรู้นิสัยของเหล่าฮูหยินกู้เป็นอย่างดี เหล่าฮูหยินกู้ให้ความสำคัญภูมิหลังมาก โดยไม่ชอบสตรีชาติตระกูลต่ำต่อย แม้จะมีนิสัยดีเพียงใดก็ตาม ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือแม่นางเหยา
แต่สำหรับคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ เหล่าฮูหยินกู้กลับใจกว้างและอดทนมากกว่า
ในช่วงแรกที่ไม่ได้ดองกับตระกูลหลิง เหล่าฮูหยินกู้เกรี้ยวโกรธอย่างมาก แต่พอได้ยินว่าจะได้แต่งงานกับหลานสาวสายตรงของราชเลขาธิการหยวน ความโกรธเคืองของเหล่าฮูหยินกู้ก็หายไปในทันที
แม่นมอู๋ไม่กล้าเอ่ยอะไรต่อ
ไม่รู้ว่าเล่นพิเรนทร์จนนางเป็นอะไรไปหรือไม่ นางก็ไม่ได้เข้าไปดู ได้ยินแต่เสียงที่ดังมาก
นางนมจางยิ้มตอบ “เหล่าฮูหยินวางใจเถิด ท่านไม่รู้จักท่านชายใหญ่หรือเจ้าคะ เขารู้จักเห็นอกเห็นใจคน”
“เจ้าออกไปเถิด” เหล่าฮูหยินกู้เอ่ยกับแม่นมอู๋
“เจ้าค่ะ” แม่นมอู๋ถอยออกไปอย่างนอบน้อม
เหล่าฮูหยินกู้เอ่ยอย่างเป็นกังวล “มิใช่ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้วกระมัง…”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ” นางนมจางยิ้มเอ่ยและยื่นถ้วยน้ำชาให้เหล่าฮูหยินกู้ดื่มคลาย
เหล่าฮูหยินกู้รับถ้วยน้ำชามาจิบ “ได้ยินมาว่าเป่าหลินเป็นหญิงสาวผู้มากความสามารถ”
หลานของนางจะแต่งงานกับบุตรีของตระกูลหยวน นางย่อมต้องสืบหาข้อมูลของอีกฝ่ายอย่างละเอียด ไม่สืบคงไม่ทราบ พอสืบถึงกับตกใจ แม่นางผู้นั้นกลับมีการศึกษา รู้ภาษาถึงหกภาษา
ในอดีตเมืองหลวงเล่าลือกันว่าเวินหลินหลังคือสตรียอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง แต่หากเทียบกับหยวนเป่าหลินแล้ว นางยังห่างชั้นนัก
หยวนเป่าหลินเป็นคนถ่อมตัว เก็บอาการเก่ง แต่ด้วยบุคลิกที่ไม่โอ้อวดนี้เอง ยิ่งทำให้เหล่าฮูหยินกู้โปรดปราน
นางนมจางหัวเราะ
พูดไปก็พูดมา สิ่งสำคัญคือฮูหยินท่านชายใหญ่มีชาติตระกูลดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางเป็นสตรีผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ ถึงจะไม่ใช่ เหล่าฮูหยินก็คงไม่สนใจ
ตรงกันข้าม หากนางมีชาติตระกูลต่ำต้อย แม้จะปราดเปรื่องเพียงใด เหล่าฮูหยินคงไม่ชมเชยสักคำ
เหล่าฮูหยินกู้เอ่ย “เจ้าไปบอกเรือนฉังชิงว่าไม่ต้องมาคารวะแล้ว พักผ่อนให้เต็มอิ่ม”
แม่นมจางเอ่ยอย่างลังเล “แล้วฝั่งฮูหยิน…”
ฮูหยินหมายถึงแม่นางเหยา เพื่องานแต่งของกู้ฉังชิง แม่นางเหยาได้ย้ายกลับมาที่จวนชั่วคราว รอจนกว่าจะได้ดื่มน้ำชาของลูกสะใภ้ถึงค่อยกลับ
เหล่าฮูหยินกู้เปล่งเสียงด้วยความไม่พอใจ “ฝั่งของนางไม่ต้องกังวล นางไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอก”
เหล่าฮูหยินกู้ไม่ชอบแม่นางเหยาเป็นเรื่องหนึ่ง แต่รู้จักนิสัยแม่นางเหยาดีก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แม่นางเหยาไม่มีทางกลั่นแกล้งลูกสะใภ้อย่างแน่นอน
…
กู้ฉังชิงตื่นนอน รู้สึกเหมือนมีคนนอนซุกในอ้อมอก เขามึนงงไปชั่วขณะ ความทรงจำเลือนรางและยากจะอธิบายหลั่งไหลเข้ามาในสมองราวกับคลื่นซัด เมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เขาอยากต่อยตัวเองสักที
หยวนเป่าหลินตื่นสายกว่ากู้ฉังชิง พอนางลืมตาขึ้น กู้ฉังชิงก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว เสื้อผ้าของนางก็ยังคงอยู่ครบถ้วน ไม่รู้ว่าใครเป็นคนใส่ให้
นางตั้งใจจะเรียกสาวใช้ประจำกายเข้ามาปรนนิบัติ แต่พบว่าเสียงของนางแหบแห้งจนพูดไม่ออก อยากลุกจากเตียง ขาก็ไม่ใช่ของนางเองแล้ว
กู้ฉังชิงเปิดประตูเข้ามา
แสงจันทราส่องตามหลังเขาเข้ามา ใบหน้าถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด แต่กลับยังมองเห็นเค้าโครงที่ชัดเจน
เขาที่ฝึกยุทธมานาน รูปร่างสูงโปร่ง ไหล่กว้าง เอวแคบ สัดส่วนดีเยี่ยม
เขาถือชามโจ๊กลูกเดือยอยู่ในมือ เมื่อเห็นม่านถูกเปิดออก พบว่าหยวนเป่าหลินนั่งอยู่บนเตียงอย่างทุลักทุเล สายตาของเขาสั่นไหว เอ่ยนิ่งเรียบ “เจ้าตื่นแล้ว”
หยวนเป่าหลินพยักหน้า
กู้ฉังชิงก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ปิดประตูห้อง
“ข้าจุดเทียนนะ” เขาเอ่ยถามความเห็นจากนาง
หยวนเป่าหลินบีบคอไอค่อกแค่ก เอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง “ยังไม่สว่างหรือ”
กู้ฉังชิงอ้าปาก “ค่ำแล้ว”
หยวนเป่าหลินใบหน้าแดงก่ำ
กู้ฉังชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ “ไม่ต้องกังวลไป ฝั่งผู้ใหญ่จัดการเรียบร้อยแล้ว ผ้าพรหมจรรย์ก็เก็บไปแล้ว ท่านย่าดีใจมาก”
เขาตั้งใจจะให้หยวนเป่าหลินสบายใจ แต่พอเอ่ยถึงผ้าพรหมจรรย์ ทั้งคู่ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที
งานแต่งจอมปลอมที่ตกลงกันไว้ กลับล้มเหลวตั้งแต่คืนแรก และยังพลิกคว่ำลงไปในคูน้ำอีกด้วย
“อัน…อันนั้น” หยวนเป่าหลินใบหน้าแดงก่ำ ไม่กล้ามองหน้ากู้ฉังชิง
กู้ฉังชิงเองก็ไม่ได้สงบนิ่งกว่านางเท่าใด เพียงแต่เขาเป็นผู้ชาย ไม่อาจไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาทำได้
เขายกโจ๊กลูกเดือยและเอ่ยอย่างจริงจัง “เรื่องเมื่อคืนเป็นความผิดของข้า ข้าผิดสัญญาก่อน จากนี้ไปข้าจะไม่รับสนม จะไม่ชอบใครอีกเลย หากเจ้าอยากจากไป ข้ายอมหย่าให้ทุกเมื่อ หากเจ้ายังไม่มีคู่ครองที่เหมาะสม ข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง”
หยวนเป่าหลินเงยหน้ามองเขาอย่างไม่ละสายตา “จะไม่…ชอบคนอื่นจริงๆ หรือ”
“ไม่แน่นอน” กู้ฉังชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่ “เจ้าวางใจได้”
หยวนเป่าหลินก้มศีรษะ เสียงของนางดูเสียใจ “อ้อ”
“กินข้าวต้มก่อนเถิด” กู้ฉังชิงเอ่ยกับนาง
เขาคือบุรุษผู้ตรงไปตรงมา จึงไม่ทันสังเกตว่าน้ำเสียงของหยวนเป่าหลินผิดปกติไป คิดว่านางหงุดหงิดเพราะโกรธเขาเมื่อคืน
เมื่อครู่นางไม่ได้บอกว่าให้เขาจุดเทียนหรือไม่ กู้ฉังชิงจึงเดินไปที่เตียงท่ามกลางความมืด
โชคดีที่ระเบียงทางเดินยังพอมีแสงไฟสลัว และบนท้องฟ้ามีแสงจันทราเย็นเยือกสาดส่อง พอจะมองให้เห็นทางอยู่บ้าง
เขายื่นข้าวต้มให้กับนาง
“เจ้าป้อนข้า” หยวนเป่าหลินเอ่ยเสียงเบา
กู้ฉังชิงตกตะลึง
หยวนเป่าหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ข้าไม่มีแรง เจ้าทรมานข้าเมื่อคืน”
กู้ฉังชิง “…”
…
วันรุ่งขึ้น หลังจากนอนหลับมาทั้งวันทั้งคืน หยวนเป่าหลินก็ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะยังเช้าอยู่ ท่านโหวผู้เฒ่ายังไม่ไปค่ายทหาร
นางและกู้ฉังชิงไปคาวระท่านเหล่าโหว
งานแต่งครั้งนี้ ท่านเหล่าโหวเป็นคนกำหนดเอง เขาพึงพอใจกับหยวนเป่าหลินอย่างยิ่ง ถึงแม้จะไม่พอใจ ก็คงไม่เข้มงวดกับหยวนเป่าหลิน
“ฉังชิง เจ้าจงดูแลเป่าหลินให้ดี อย่ารังแกนาง” เขาเอ่ยกับกู้ฉังชิง
กู้ฉังชิงโค้งคำนับรับคำ “ขอครับ หลานชายจะจดจำให้ขึ้นใจ”
“ไปคารวะย่าของพวกเจ้าเถิด” ท่านเหล่าโหวเอ่ย
หยวนเป่าหลินเอ่ยเสียงหวาน “ท่านปู่ เป่าหลินขอตัว ไว้วันหลังจะมาหาท่านอีกเจ้าค่ะ”
“อืม”
คำว่าท่านปู่ฟังดูสบายหูมาก
เหล่าฮูหยินกู้จับมือหยวนเป่าหลินมองซ้ายมองขวา ยิ่งมองยิ่งชอบ
ในรูปวาดก็งามแล้ว ตัวจริงยิ่งงามกว่าสิบเท่า
หยวนเป่าหลินใช้ความได้เปรียบจากการเป็นนักอ่านนิยายระดับสิบ แสดงบทบาทเป็นหลานสะใภ้กุลสตรีผู้เพียบพร้อมได้อย่างกลมกลืน
เหล่าฮูหยินกู้ถูกเอาใจจนยิ้มไม่หุบ มอบเครื่องประดับศีรษะให้กับหยวนเป่าหลินถึงห้าชุดรวด
หยวนเป่าหลินไม่เคยเห็นอัญมณีเงินทองมาก่อน และรู้สึกประหลาดใจที่ได้รับความโปรดปรานเช่นนี้ จึงเอ่ย “ท่านย่า ของนี่แพงเกินไป เป่าหลินรับไม่ได้เจ้าค่ะ!”
เหล่าฮูหยินกู้ตบมือนางเบาๆ พลางเอ่ย “รับ! ต้องรับ! เจ้าน่ะต้องรีบมีลูกให้ตระกูลกู้สืบสกุล ข้ารออุ้มหลานตัวอ้วนๆ อยู่นะ!”
หยวนเป่าหลินยิ้มเล็กน้อย “เป่าหลินจะพยายามอย่างเต็มที่เจ้าค่ะ”
กู้ฉังชิงที่นั่งจิบน้ำชาอยู่ด้านข้าง สำลักน้ำชาออกมาด้วยความประหลาดใจ
หลังออกจากเรือนฝูโซ่ว ทั้งสองมุ่งหน้าไปหาแม่นางเหยา
ท่านโหวกู้ก็อยู่ที่นั่นด้วย
แม่นางเหยาชอบหยวนเป่าหลินมาก มิใช่เพราะชาติตระกูล แต่เพราะอุปนิสัยของนาง ซึ่งแตกต่างจากคุณหนูจากตระกูลอื่นที่มีทั้งความเฉยชาและน่ารัก มีไหวพริบแต่ไม่โอ้อวด ตรงไปตรงมาไม่เจ้าเล่ห์ เข้ากันได้ดีกับทุกคนในตรอกปี้สุ่ย
“หยวนเป่าหลินคารวะท่านพ่อ ท่านแม่”
หยวนเป่าหลิงโค้งคำนับต่อทั้งสอง
กู้ฉังชิงก็โค้งคำนับคนทั้งสอง “ท่านพ่อ… ท่านแม่”
แม่นางเหยานับตั้งแต่แต่งเข้ามาในจวนโหว กู้ฉังชิงก็เรียกนางว่าฮูหยินมาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกนางว่าแม่
แม่นางเหยาจ้องกู้ฉังชิงด้วยความงุนงง สงสัยว่าตนฟังผิดไป
หยวนเป่าหลินเหลือบมองทั้งสอง แล้วดึงแขนเสื้อกู้ฉังชิง “ต้องคารวะน้ำชาท่านพ่อท่านแม่หรือไม่”
กู้ฉังชิงขนตาสั่นไหว “ใช่”
บ่าวรับใช้เทน้ำชาใส่ถ้วย ทั้งคู่คุกเข่าบนเบาะรอง น้อมมือถวายถ้วยน้ำชา
เมื่อกู้ฉังชิงยื่นถ้วยชาให้กับแม่นางเหยา ก็เอ่ยอย่างจริงจังและจริงใจ “ท่านแม่เชิญจิบชา”
เขาเรียกนางว่าแม่จริงๆ ด้วย ตนมิได้ฟังผิด
จู่ๆ อารมณ์ความรู้สึกก็พลุ่งพล่านในใจแม่นางเหยา ปลายจมูกรู้สึกแสบร้อน
นับตั้งแต่วันที่นางแต่งเข้าจวนโหว นางก็ไม่เคยคาดหวังสิ่งใด ต่อมาก็ไม่เคยคาดหวัง แต่เมื่อถึงเวลา จริงๆ หัวใจของนางก็ยังคงเต็มไปด้วยตื้นตันสุดจะบรรยาย
ท่านโหวจ้องนางอย่างนิ่งเฉย นางค่อยๆ ยื่นมือออกไปรับถ้วยน้ำชาจากลูกชายคนโต รอยยิ้มปรากฏบนดวงตาที่แดงก่ำ “เฮ้อ”
……….