……….
แปลกๆ ปฏิกิริยาของทุกคนแปลกพิกลกันหมดเลย
กู้เจียวกะซิบถามเซียวเหิง “เจ้าพลั้งปากบอกไปแล้วหรือ”
เซียวเหิงกระแอมเบาๆ กระซิบ “ไม่ใช่”
คำครหานี้เขาแบกไม่ไหว
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น” กู้เจียวพึมพำด้วยความฉงน
ต่อให้นางฉลาดกว่านี้ ก็เดาไม่ออกว่าปานบนหน้าตัวเองเป็นจุดแดงพรหมจรรย์จริงๆ อย่างไรเสียใครมันจะไปแต้มจุดแดงพรหมจรรย์ไว้ตรงนั้น แถมใครมันจะแต้มเสียใหญ่ปานนั้นกันเล่า
เซียวเหิงทนเห็นนางงุนงงไม่รู้เรื่องต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ กำลังจะบอกเรื่องจุดแดงพรหมจรรย์กับนางไปตามตรง ไหนเลยจะว่าครั้นกำลังจะจะเอ่ยปาก กู้เสี่ยวเป่าก็ถูกนางกำนัลน้อยคนหนึ่งอุ้มมาหา
กู้เสี่ยวเป่าตากแดดจนเหงื่อท่วมตัว นางกำนัลน้อยอุ้มเขามาเปลี่ยนเสื้อผ้า
เขามองปราดไปเห็นกู้เจียวมีกลิ่นอายนางฟ้าเปล่งปลั่ง
เด็กน้อยมักจะไร้แรงต้านต่อสิ่งสวยงามเป็นพิเศษ จึงโดนดึงดูดอย่างห้ามไม่ได้
เขาเอี้ยวร่างน้อยลงมาจากอ้อมแขนนางกำนัลน้อย
เขาเป็นเด็กน้อยนุ่มนิ่ม วันๆ หนึ่งเดินไม่เกินห้าก้าว สามารถทำให้เขาเป็นฝ่ายลงพื้นได้ เห็นได้ชัดว่าเขาโดนดึงดูดเพียงใด
เขามาหยุดด้านหลังกู้เจียว อ้อมกู้เจียวมา แล้วเงยศีรษะน้อยๆ ของตนมองดู
จากนั้นเขาก็ร้องตกใจ “โอ้”
“เสี่ยวเป่า” กู้เจียวหยักยกมุมปาก โน้มตัวลงพลางเอื้อมมือไปอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมา
ดวงตากลมโตของกู้เสี่ยวเป่าดำขลับดุจนิล มองกู้เจียวตาปริบๆ เดี๋ยวมองหน้าข้างซ้าย เดี๋ยวมองหน้าข้างขวา คนตรงหน้านี้คือพี่สาวของตนชัดๆ เพียงแต่เหมือนจะมีบางอย่างหายไปจากหน้าของพี่สาวแล้ว
เขาหันไปมองพวกแม่นางเหยาและท่านย่า ก่อนจะโบกมือน้อยๆ ของตัวเองไปมา พลางเอ่ยอย่างจริงจัง “ไม่มี”
“เสี่ยวเป่า อะไรไม่มีหรือ” กู้เจียวถามเขา
กู้เสี่ยวเป่าหันมามองนางอีกหน ชี้ที่หน้านาง โบกมือน้อยๆ พลางเอ่ย “ไม่มีแล้ว บินบินแล้ว”
“อะไรบินหรือ” กู้เจียวยังคงประติดประต่อไปถึงปานของตัวเองไม่ได้ แต่ปฏิกิริยาของกู้เสี่ยวเป่าเห็นได้ชัดเลยว่าใบหน้านางมีปัญหา
นางส่งกู้เสี่ยวเป่าให้เซียวเหิงที่อยู่ข้างๆ ก่อนหันหลังเดินเข้าไปในห้องของตำหนักเหรินโซ่ว
ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากัน
กู้เหยี่ยนนับ “สาม สอง หนึ่ง…”
เพิ่งจะนับจบ เสียงหวีดร้องลั่นฟ้าสะเทือนดินก็ลอยมาจากในห้อง “กรี๊ดดด”
ปึ้ง!
ดังเสียยิ่งกว่าอีอีน้อยมากนัก หลังคาเกือบจะกระเจิง นกบนต้นไม้กระพือปีกบินหนีแตกกระเจิง ใบไม้ร่วงใส่ตัวทุกคน
เซียวเหิงหยิบใบไม้ออกจากปากกู้เสี่ยวเป่า เลิกคิ้วเอ่ย “ปฏิกิริยารุนแรงกว่าข้าเสียอีก”
…
เมื่อเซียวเหิงจูงมือกู้เสี่ยวเป่าเข้าไปในห้อง กู้เจียวก็หยุด นางนั่งเงียบๆ อยู่หน้าคันฉ่องที่เว้าลงไป
อันที่จริงก็เป็นแค่ปานเท่านั้น แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดมีมันกับไม่มีนั้นต่างกันลิบลับ ถึงขนาดที่ทำให้กู้เจียวเองจำตัวเองไม่ได้ ตอนที่มองปราดไปเห็นใบหน้าไม่คุ้นตานั่น กลับล้มล้างความเข้าใจของนางไป
นางนึกว่าเห็นผี จึงซัดกำปั้นลงไป…
พอซัดเสร็จแล้วจึงได้พบว่าคนคนนั้นก็คือตัวนางเอง
นางค่อยๆ หันกลับมา ทอดมองเซียวเหิงอย่างเหม่อลอยพลางเอ่ย “สามี ว่ากันว่าสตรีที่ผ่านความรักชโลมฉ่ำจะงดงามที่สุด แต่ข้ากำลังคิดว่า นี่มันชโลมมากเกินไปหรือไม่”
เซียวเหิงหัวเราะเบาๆ โน้มตัวลงเล็กน้อย สองมือปิดหูน้อยๆ ทั้งสองข้างของกู้เสี่ยวเป่า กลั้นหัวเราะเอ่ย “เป็นจุดแดงพรหมจรรย์ต่างหาก”
ดวงตาเมล็ดซิ่งของกู้เจียวเบิกกว้าง “จะ…จุดแดงพรหมจรรย์รึ”
เซียวเหิงหลุดยิ้มอย่างจนด้วยเกล้า “เรื่องนี้ ท่านแม่รู้ค่อนข้างดีทีเดียว”
กู้เจียวรีบไปถามแม่นางเหยา โชคดีของนาง กู้เสี่ยวซุ่นก็ได้ยินที่มาที่ไปของเรื่องไปรอบหนึ่งเช่นกัน
กู้เจียวหน้าทะมึน “ที่แท้ก็เป็นเจ้าอาวาส”
ทำอะไรน่ะ
ภิกษุในวัดอย่างพวกเจ้าก็ดื่มสุรากันรึ
ดื่มเสร็จยังแต้มจุดแดงพรหมจรรย์ให้คนอื่นด้วย พอมือสั่น จึงแต้มใหญ่เป็นปื้นเพียงนี้!
กู้เจียว “กลับไปจะไปคิดบัญชีกับเขา!”
“แต่อาเหยี่ยนรู้ได้อย่างไรกัน” กู้เสี่ยวซุ่นถาม
วันนั้น ตอนที่แม่นางเหยาไปสารภาพเรื่องนี้กับเซียวเหิง กู้เสี่ยวซุ่นกับกู้เหยี่ยนไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย คนที่อยู่ด้วยมีท่านย่า จี้จิ่วอาวุโส กู้ฉังชิงและกู้เฉิงเฟิง
“เดาเอาน่ะสิ” กู้เหยี่ยนเอ่ย
เขาไม่ชอบเรียนหนังสือ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าสมองจะช้าเสียหน่อย ตรงกันข้าม เขาชอบสังเกตอย่างละเอียดรอบคอบ ประณีตพิถีพิถัน เรื่องราวต่างๆ ในบ้านล้วนปิดบังเขาไม่ได้
กู้เจียวเบ้ปาก “ก็ไม่บอกข้าตั้งแต่ทีแรก”
นึกถึงที่ตนแบกจุดแดงพรหมจรรย์บนหน้าเอ่ยปาวๆ อย่างไม่ละอายว่าตนเข้าห้องหอแล้วต่อหน้าพวกเขา ช่างเป็นวีรกรรมที่ลบล้างไม่ได้จริงๆ !
แม่นางเหยากุมมือบุตรสาว เอ่ยด้วยความปลาบปลื้มยากจะปิดบัง “ในที่สุดเจียวเจียวของแม่ก็สะสวยขึ้นมาแล้ว”
อันที่จริงไม่ว่ากู้เจียวจะหน้าตาอย่างไร ในสายตานางล้วนดีที่สุด ทว่าหากสามารถมีรูปโฉมที่ดีได้ ผู้ใดจะไม่อยากได้กันเล่า
นางเคยโกรธเจ้าอาวาสเช่นกัน แต่พอนางมาคิดๆ ดูแล้ว สถานที่อย่างชนบทที่ไม่มีผู้ใดปกป้องลูกสาวนางได้ รูปโฉมอัปลักษณ์กลับไม่ใช่เรื่องแย่
ไม่เช่นนั้นหากใช้โฉมหน้านี้ ยังไม่รู้เลยว่าจะนำพาหายนะมาเท่าใด
“ท่านย่า” กู้เจียวหันมองจวงไทเฮาอย่างมีชีวิตชีวา “ข้างามหรือไม่”
นี่เริ่มโอ้อวดแล้วรึ
จวงไทเฮาแค่นเสียงขึ้นจมูก “หน้าเหม็นกว่าเจ้าเณรน้อยอีก”
ย่อมงามอยู่แล้ว
ถึงแม้จะเดาได้แต่แรกว่าหลังจากปานของนางหายไปจะไม่อัปลักษณ์อีก แต่ก็ไม่คาดคิดจริงๆ ว่าจะงดงามได้ปานนี้
รูปโฉมอันงดงามของนางถูกจุดแดงพรหมจรรย์ผนึกเอาไว้อย่างสมบูรณ์
ตอนนี้นางยังเด็ก เครื่องหน้ายังไม่ชัดเจนเต็มที่ เมื่อนางโตขึ้นอีกหน่อย จะยิ่งงามขึ้นเรื่อยๆ บางทีวันใดอาจจะงามเพริศแพร้วที่สุดก็เป็นได้
ตนอายุปูนนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะอยู่กับนางได้นานเพียงนั้นหรือไม่
…
กู้เจียวกับเซียวเหิงไปคารวะฮ่องเต้และฮองเฮาต่อ
ไม่ผิดจากที่คาดไว้ ฮ่องเต้กับเซียวฮองเฮาต่างตกตะลึงกันยกใหญ่ ซักถามว่าเกิดอะไรกับใบหน้าของกู้เจียว กู้เจียวนั้นหน้าบาง ย่อมไม่มีทางบอกว่านั่นเป็นจุดแดงพรหมจรรย์ของตนอยู่แล้ว
“ใช้ยาต้มนิดหน่อยกำจัดออกเพคะ” กู้เจียวเอ่ย
“ยาอะไรรึ…มหัศจรรย์เพียงนี้” เซียวฮองเฮาแสดงออกว่านางก็อยากได้เช่นกัน
กู้เจียว ไม่ ท่านห้ามอยากได้
“ท่านอา หมู่นี้เสี่ยวชีเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อเห็นว่าหัวข้อสนทนาจะมุ่งไปในสิ่งที่ไม่ควรบรรยาย เซียวเหิงก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที ถามถึงเรื่องของฉินฉู่อวี้ขึ้นมา
ฉินฉู่อวี้กับเสี่ยวจิ้งคงเรียนหนังสือที่ห้องเด็กอัจฉริยะของกั๋วจื่อเจียนด้วยกัน เป็นสหายที่สนิทกันมาก นอกจากนี้ยังมีสวี่โจวโจวบุตรชายคนเล็กของเจ้ากรมกลาโหมด้วย
เอ่ยถึงโอรสขึ้นมา ความสนใจของเซียวฮองเฮาก็ถูกเบี่ยงเบนสำเร็จ “เขาใกล้จะสิบขวบแล้ว ยังเหมือนตอนเพิ่งเข้ากั๋วจื่อเจียนอยู่เลย วันๆ ไม่เป็นโล้เป็นพาย…”
ทั้งสองออกมาจากทางฮ่องเต้และฮองเฮา ก็ไปอยู่ที่ตำหนักเหรินโซ่วทั้งวัน ฟ้าใกล้จะมืดจึงได้ขอตัวลาท่านย่ามา
กู้เสี่ยวเป่าโอ้เอ้อยู่ในอ้อมอกกู้เจียวไม่ยอมลง
“กลับไปกับพี่ดีหรือไม่” กู้เจียวหยอกเขา
แม่นางเหยา “…” เจ้าไม่ต้องการแม่แล้วหรือ
กู้เจียวยิ้มมองเขา “เมื่อครู่นี้เจ้าเรียกพี่สาวแล้ว”
กู้เสี่ยวเป่า “ข้าเปล่า”
กู้เจียว “เจ้าทำ เจ้าเรียกแล้ว”
กู้เสี่ยวเป่า “ข้าไม่ได้เรียก”
กู้เจียว “เจ้าไม่ได้เรียกอะไร”
กู้เสี่ยวเป่า “พี่สาว”
กู้เจียว “ว่าอย่างไร!”
กู้เสี่ยวเป่าที่โดนหลอกให้เรียก “…”
กู้เจียวหัวเราะยกใหญ่ อุ้มกู้เสี่ยวเป่าที่นิ่งอึ้งอย่างน่ารักขึ้นรถม้า รถม้าโคลงเคลงอยู่ครึ่งชั่วยาม กู้เสี่ยวเป่าก็หลับไปในอ้อมอกนาง
แม่นางเหยาอุ้มกู้เสี่ยวเป่ามา เอ่ยกับทั้งคู่ “มืดแล้ว พวกเจ้ารีบกลับเถิด”
ทั้งคู่บอกลาแม่นางเหยา กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่น ก่อนจะนั่งรถม้าอีกคันกลับจวนองค์หญิง
ทั้งคู่เดิมทีหมายจะไปคารวะองค์หญิงกับท่านโหวก่อน เพิ่งเข้าเรือนมาจึงได้ทราบว่า เซวียนผิงโหวกับองค์หญิงซิ่นหยางพาอีอีน้อยไปเที่ยวเทศกาลโคมไฟแล้ว
กู้เจียวส่งเสียงอ้อ “วสันต์ที่สองมาแล้ว[1]”
“มันใช้แบบนี้หรือ” เซียวเหิงมองนางด้วยความขบขัน สายตานี้ ทำให้เขาไม่อาจเบนหนีไปได้อีก
นางเหมือนท้อหวานที่เพิ่งสุกงอม ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย้ายวนคน
กู้เจียวรู้สึกถึงสายตาอันร้อนแรงของเขา จึงถามอย่างประหลาดใจ “เหตุใดจึงมองข้าเช่นนี้”
“ยังเหนื่อยอยู่หรือไม่” เขาถามเสียงเบา
เขาใช้คำว่า ‘ยัง’ กู้เจียวไม่ทันจะฟังความออก นึกว่าเขาหมายถึงเข้าวังเหนื่อยหรือไม่ นางส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย “ไม่เหนื่อย”
หนึ่งชั่วยามต่อมา สาวใช้ของเรือนหลันถิงก็พากันหน้าแดงหูแดงออกมาจากเรือน
คืนนี้ พวกนางไม่จำเป็นต้องเฝ้ายามอีกแล้ว
…
ณ เรือนชางผิงโหว
กู้จิ่นอวี๋เพิ่งอาบน้ำเสร็จ สวมชุดนอนสีชาดแนบตัวเย็นสบาย นั่งอยู่บนเตียงมงคลของตัวเอง
“ชุนหลิ่ว สภาพข้าเช่นนี้ งามหรือไม่” นางถาม
“งามเจ้าค่ะ!” ชุนหลิ่วเอ่ยจากใจ
มิใช่คำเยินยอเอาใจ แต่คุณหนูของนางหน้าตางดงามดุจนางฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ
รูปร่างก็โตขึ้น ทรวดทรงอรชร ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา จะบรรยายด้วยคำว่างามอย่างเดียวจะพอได้อย่างไร
“เจ้าไปดูนายท่านสามที่ห้องหนังสือที” กู้จิ่นอวี๋เอ่ย
“เจ้าค่ะ” ชุนหลิ่วไปอย่างว่องไว
ราวๆ เกือบครึ่งชั่วยามต่อมา ชุนหลิ่วก็กลับมาด้วยหน้าเจื่อนๆ
“นายท่านสามยังไม่มาหรือ” กู้จิ่นอวี๋ถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ชุนหลิ่วเอ่ยอย่างลำบากใจ “นายท่านสามไอหนักมาก บอกว่ากลัวจะแพร่โรคให้คุณหนู ให้คุณหนูเข้านอนก่อนเลย คืนนี้เขาจะนอนที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ”
“ป่วย! ป่วยอีกแล้ว!” กู้จิ่นอวี๋กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น
คืนวันแต่งงานของนางแต่งเข้าจวนชางผิงโหวพร้อมกับกอดภาพฝันหวานไว้ เจ้าบ่าวไม่มารับก็แล้วไปเถิด นึกไม่ถึงว่าคืนวันแต่งงานยังจะไม่มาอีก!
[1] วสันต์ที่สองมาแล้ว การตกหลุมรักอีกครั้งในวัยล่วงกลางคนไปแล้ว และสมหวังในความรักอย่างที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อน