สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 913 เห่อลูกสาว

บทที่ 913 เห่อลูกสาว

บทที่ 913 เห่อลูกสาว

……….

“เจ้ารู้จักด้วยรึ” เหลี่ยวเฉินหันมาทางกู้เจียว

กู้เจียวตอบ “อ้อ ข้าเคยเห็นเขามาด้อมๆ มองๆ ที่ตรอกปี้สุ่ยนี่หลายหนแล้ว แถมมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเคยซื้อลูกคิดของจิ้งคงไปด้วย ซ้ำยังเรียกชื่อตัวเองว่าท่านชายหมิงเย่ว์อะไรนี่ล่ะ”

แววตาเหลี่ยวเฉินเปลี่ยนไปทันที “มาหาจิ้งคงงั้นรึ นี่เจ้าเป็นเป็นใครกันแน่”

ท่านชายหมิงเย่ว์รู้จักกู้เจียวอยู่แล้ว จึงหันไปทางเหลี่ยวเฉินพร้อมกับเอ่ย “ข้ามิได้มาหาเณรน้อยนั่น! แต่ข้ามาหาเจ้าต่างหาก!”

“ข้ารึ” เหลี่ยวเฉินถาม

ท่านชายหมิงเย่ว์ตอบด้วยท่าทางโมโหขุ่นเคือง “ข้าตามสืบเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว! ใช้เวลาตั้งนานกว่าจะหาวัดของเจ้าเจอ แถมเจ้ายังไม่ค่อยชอบปรากฏตัวออกมาอีก ข้าก็เลยทำได้แค่ตามสืบจากลูกศิษย์ของเจ้า! ข้าอุตส่าห์ตามมาตั้งแต่แคว้นเจาจนถึงแคว้นเยี่ยน แล้วจากแคว้นเยี่ยนจนมาถึงที่นี่…”

เหลี่ยวเฉินเป็นคนที่ระวังตัวมาก แม้ท่านชายหมิงเย่ว์จะจับตาดูจิ้งคงอย่างไม่ละสายตาแล้วก็ตาม แต่ไม่วายก็พลาดอยู่ดี

เหลี่ยวเฉินทำหน้างุนงง “เจ้าจะสะกดรอยตามข้าทำไม เราไม่รู้จักกันเสียหน่อย”

ท่านชายหมิงเย่ว์เถียงกลับ “จริงอยู่ที่เจ้าไม่รู้จักข้า แต่เจ้าเคยทำร้ายคนของข้า เคยขโมยของของข้าไป! เจ้ารีบคืนมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ! ไม่อย่างนั้นเจอดีแน่!”

“อ้อ ที่แท้พวกเจ้ามีคดีกันมาก่อนนี่เอง” กู้เจียวค่อยๆ ผ่อนรังสีอำมหิตของตัวเองลง มองดูพวกเขาทั้งสองพร้อมกับถือทวนไว้ในมือ

เหลี่ยวเฉินหาใช่คนที่ถูกข่มได้ง่ายๆ เขายกริมฝีปากขึ้นในลักษณะเยาะเย้ย พร้อมตอกกลับไป “อ้อ เจ้าบอกว่าข้าขโมยของของเจ้าไป มีหลักฐานไหมล่ะ”

ใบหน้าของท่านชายหมิงเย่ว์ขรึมลงกว่าเดิม “ทหารคนนั้นตายแล้ว ข้าไม่มีพยาน แต่เจ้าน่าจะรู้อยู่แก่ใจดี!”

เหลี่ยวเฉินหัวเราะ “แล้วข้าขโมยอะไรไปล่ะ”

“กระบี่ไงล่ะ!” ท่านชายหมิงเย่ว์ตะโกนด้วยความโมโห

“กระบี่อย่างนั้นรึ…” เหลี่ยวเฉินยิ้มอย่างสบายๆ พร้อมตอบไป “ก็เคยมีคนมอบกระบี่ให้ข้าอยู่บ่อยครั้งไป สงสัยเหลือเกินว่าทหารของเจ้านายไหนเคยมอบกระบี่ให้ข้า”

ท่านชายหมิงเย่ว์เอ่ยด้วยความโกรธ “ให้อะไรกัน เจ้าเป็นคนขโมยมันไปชัดๆ !”

เหลี่ยวเฉินมองเขาด้วยสีหน้ายกยิ้มโดยแทบไม่รู้สึกหงุดหงิดกับคำเอ่ยของอีกฝ่ายแม้แต่นิด

ท่านชายหมิงเย่ว์รู้ดีว่าด้วยพละกำลังของตัวเองตอนนี้ ยังไม่อาจสู้อีกฝ่ายได้

ในเมื่อใช้กำลังไม่ได้ ก็ใช้เหตุผลแล้วกัน

ท่านชายหมิงเย่ว์หันไปมองกู้เจียว “แม่สาวน้อย ข้าใช้เงินไปห้าร้อยตำลึงเพื่อซื้อลูกคิดจากน้องชายของเจ้า แต่ภายหลังเจ้าก็ดันขโมยลูกคิดกลับไป โดยไม่ได้คืนเงินให้ข้าแม้แต่อีแปะเดียว ในเมื่อเจ้าเคยรับเงินของข้ามาก่อน อย่างน้อยเจ้าช่วยยืนยันให้ข้าบ้างจะได้ไหม”

“อ้อ” จากนั้นกู้เจียวก็หันไปหาเหลี่ยวเฉิน “ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั่นแหละ เจ้านี่น่าจะทนหมัดเก่งอยู่”

ท่านชายหมิงเย่ว์ “…”

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ช่างเถอะ ข้าจะไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าหรอก กระบี่นั่นเป็นกระบี่ที่พ่อของข้าใช้ความพยายามอย่างมากในการค้นหา พ่อของข้าเสียชีวิตแล้ว และมันเป็นของต่างหน้าเพียงชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ เจ้าว่ามาเลยว่าอยากได้เท่าไหร่ ข้ายินดีที่จะทำข้อตกลงกับเจ้า”

เหลี่ยวเฉินเริ่มรู้สึกสนุกขึ้นมาทันที “หน้าตาของกระบี่นั่นเป็นอย่างไร”

ท่านชายหมิงเย่ว์เอ่ย “กระบี่เหล็กสีดำ ที่ด้ามจับมีขนนกยูงสีน้ำเงิน!”

เหลียวเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยและเอ่ยอย่างครุ่นคิด “ฟังดูแล้ว เหมือนว่าข้าจะเคยเห็นกระบี่นั้นจริงๆ ”

อีกฝ่ายเริ่มกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “ตราบใดที่เจ้าเต็มใจคืนให้ข้า! ข้าจะจ่ายให้อย่างงามเลย!”

ทว่าเหลี่ยวเฉินทำท่าแบมือพร้อมเอ่ย “น่าเสียดายที่เจ้ามาช้าไป กระบี่นั่นไม่ได้อยู่ที่ข้าแล้ว ตอนนั้นข้าคิดว่ามันหนักเกินไป ก็เลยโยนมันทิ้งไปแล้ว”

“ทะ ทะ ทิ้งแล้ว… อย่ามาหลอกกันหน่อยเลย!” ท่านชายหมิงเย่ว์ออกอาการตกใจ

กู้เจียวเอ่ยในใจ เรื่องแบบนี้มีอะไรให้น่าหลอก จะเอาอะไรมากกับคนที่เคยโยนกู่ฉินลงกองไฟเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงละ คนแบบนั้น โยนกระบี่ทิ้งอีกสักเล่มก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

เหลี่ยวเฉินตอบกลับไป “ข้าไม่ได้หลอกเจ้า จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ ข้าทิ้งมันไปแล้ว”

“แล้วเจ้าเอามันไปทิ้งที่ไหน” องค์ชายถาม

เหลี่ยวเฉินหัวเราะ “ข้าจำไม่ได้หรอก ข้าทิ้งของไปตั้งมากมาย จะให้จำทั้งหมดได้อย่างไร”

“ไปเถอะ” เหลี่ยวเฉินเอ่ยกับกู้เจียว

“เจ้าจำไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม” กู้เจียวถาม

“ถึงจำได้ข้าก็ไม่บอกหรอก” เหลี่ยวเฉินตอบเบาๆ

บังอาจมาโจมตีศิษย์ของเขา ช่างไม่รู้หัวนอนปลายเท้า!

บุญของเจ้านั่นที่ข้าไว้ชีวิต!

“เข้าไปสิ” เหลียวเฉินเดินมาส่งกู้เจียวที่หน้าประตู เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเล่าความจริงไป “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนที่แคว้นเยียน ข้าไม่ได้ขโมยอาวุธของเขา แต่ทหารของเขาน่ะหาเรื่องก่อน ตอนนั้นทหารของเขารังแกชายชราในโรงน้ำชา ข้าก็เลยสั่งสอนเจ้านั่นไป ข้าไม่สนใจอาวุธหรอก ก็เลยขายมันให้กับร้านขายเหล็กแถวๆ นั้น”

กู้เจียวร้องอ๋อ “ที่แท้ก็แบบนี้เอง”

ในตรอกแห่งหนึ่ง ทหารยามในชุดสีเทากำลังพบปะท่านชายของเขา

เมื่อเห็นเจ้านายตัวเองอยู่ในสภาพเอามือกุมอกพร้อมยันกับกำแพง ก็รีบวิ่งเข้ามาถามไถ่ทันที “ท่านชาย! เกิดอะไรขึ้นขอรับ อาการกำเริบอีกแล้วรึขอรับ”

ท่านชายหมิงเย่ว์เอ่ยด้วยใบหน้าซีดเซียว “ตอนแรกข้ากำลังตามเจ้าเณรน้อยนั่นอยู่ แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ เจ้านั่นจะปรากฏตัว…”

ทหารขมวดคิ้วและเอ่ย “ท่านชายถูกทำร้ายหรือขอรับ”

“ร่างกายของข้าเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้านั่นหรอก” ท่านชายหมิงเย่ว์สูดลมหายใจ “เจ้านั่นบอกว่ากระบี่ไม่ได้อยู่กับมัน และดูเหมือนไม่ได้โกหกด้วย”

ทหารทำหน้าตกใจ “อะไรนะขอรับ กระบี่นั่นหายไปแล้วอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นที่ผ่านมาก็เปล่าประโยชน์น่ะสิขอรับ ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เรากลับกันดีไหมขอรับ”

ท่านชายหมิงเย่ว์แหงนมองฟ้ามืด และเอ่ยด้วยสีหน้าซับซ้อน “พวกเราไม่สามารถกลับไปได้ หากไม่มีกระบี่”

คืนนั้น กู้เจียวนอนพักที่ตรอกปี้สุ่ย

หลังจากอันกั๋วกงออกจากวังแล้วก็นั่งรถม้ากลับไปยังจวนที่เขาวานให้คนไปช่วยจัดหามาให้

ผู้ดูแลเจิ้งเองก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน “ท่านชาย.. เอ่อ… ไม่สิ ต้องเรียกว่าคุณหนูแล้วสินะขอรับ คืนนี้คุณหนูไม่น่าจะกลับมาที่นี่ ท่านจะไม่รู้สึกเหงาใช่ไหมขอรับ”

กั๋วกงยิ้มพร้อมกับเอ่ย “จะเหงาอะไรอีกล่ะ พวกเราก็อยู่ด้วยกันมาตั้งนานแล้ว ให้นางได้กลับไปใช้เวลากับครอบครัวของนางเถิด อ้อ จริงสิ อย่าลืมนับเงินสินสอดด้วย ข้ารู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยพอเท่าไหร่ เดือนหน้าก็จะถึงวันงานแล้ว ต้องเร่งมือแล้วล่ะ!”

ผู้ดูแลเจิ้งได้ยินดังนั้นก็อ้าปากค้าง

เดี๋ยวก่อนนะ แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ

นี่ก็เยอะมากแล้วนะ

เยอะกว่าตอนงานแต่งขององค์หญิงเสียอีก

สินสอดที่เขานำมานั้นไม่เพียงแต่ทรัพย์สินของครอบครัวที่เขาได้รับตลอดหลายปีที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินสอดที่เซวียนหยวนจื่อนำมาไว้ในจวนกั๋วกง ขนาดตอนงานศพของลูกเขยเขาแทบไม่ได้แตะต้องสินสอดนั่นเลย

แต่ตอนนี้ ทุกอย่างนำมาใช้กับงานของกู้เจียวทั้งหมด

ถึงกระนั้น เขายังคงรู้สึกว่าไม่พอ

วันรุ่งขึ้น ผู้ดูแลเจิ้งมาที่ตรอกปี้สุ่ย

ตามหลักแล้ว อันกั๋วกงจะต้องไปสู่ขอกับแม่นางเหยาถึงที่ แต่ด้วยความที่แม่นางเหยาเป็นสตรี ตามขนบธรรมเนียมแล้วอาจดูไม่เหมาะสมนัก จึงวานให้ผู้ดูแลเจิ้งนำของฝากจากแคว้นเยี่ยนส่งไปให้แทนคำทักทาย

“ลำบากท่านกั๋วกงแย่เลย ฝากขอบคุณด้วยนะ” แม่นางเหยาตอบรับอย่างอบอุ่น

แม่นางเหยาจึงวานให้บ่าวเตรียมของขวัญและให้นำติดตัวไปตอนที่กู้เจียวไปเยี่ยมกั๋วกงครั้งหน้า

พอผู้ดูแลเจิ้งออกไป กู้เจียวก็เตรียมตัวเดินทางเสร็จพอดี

เมื่อคืนกู้เจียวไปเยี่ยมท่านปู่แล้ว แต่ยังไม่ได้ไปทักทายท่านย่าเลย

อีกทั้งวันนี้แม่นางเหยาอยากออกไปซื้อเครื่องประดับใหม่ๆ ให้กู้เจียวอยู่พอดี อันที่จริงที่มีอยู่ก็เยอะแล้ว เพียงแต่มันเก่าแล้ว และนางอยากให้ลูกสาวเป็นคนเลือกเองกับมือ

แม่นางเหยาและกู้เจียวช่วยกันอุ้มกู้เสี่ยวเป่ารวมถึงขวดโหลที่บรรจุผลไม้อบแห้ง แล้วเดินไปขึ้นรถม้า

พวกเขาจะไปที่ร้านเครื่องประดับก่อน จากนั้นค่อยเข้าไปที่วัง

“ท่านย่า” กู้เสี่ยวเป่าเอ่ยขึ้น

กู้เจียวมองเจ้าตัวน้อยด้วยความประหลาดใจ

แม่นางเหยาหัวเราะ “เวลาไทเฮามาที่นี่มักจะชอบซื้อของกินให้เสี่ยวเป่า จนตอนนี้เสี่ยวเป่าเริ่มจะติดไทเฮาเข้าแล้วละ”

วันนี้เสี่ยวเป่าสวมชุดลายเสือ รองเท้าทรงอุ้งเท้าเสือ รวมถึงหมวกหัวเสือ เหมือนเจ้าลูกเสือน้อยไม่มีผิด

กู้เจียวหมั่นเขี้ยวไม่ไหว และจิ้มแก้มเสี่ยวเป่าเบาๆ หนึ่งที

“ให้พี่สาวอุ้มไหม” แม่นางเหยาถาม

กู้เสี่ยวเป่ารีบมุดหน้าหนีเข้าอ้อมอกของแม่นางเหยาทันที

ไม่นานพวกเขาก็เดินทางมาถึงร้านเป่าหลินเซวียน ร้านขายเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในเมือง

กู้เสี่ยวเป่าไม่ชอบเดิน เมื่อวานที่เขาเดินไปเปิดประตูให้กู้เจียวนับว่าเกินขีดจำกัดของเขาแล้ว

แม่นางเหยาพยายามให้เขาเดิน แต่เจ้าตัวเล็กทำท่าหดตัวเกร็งเข่าไม่ยอมเอาเท้าแตะพื้น

เมื่อความพยายามไม่เป็นผล สุดท้ายก็ต้องอุ้มต่ออยู่ดี

ด้วยความที่กู้เจียวถูกหมั้นหมายไว้แล้ว จึงต้องสวมผ้าคลุมหน้าตามธรรมเนียม

รอยปานที่แก้มถูกปกคลุมด้วยผ้า เผยให้เห็นดวงตาคู่สวยจนผู้คนไม่สามารถละสายตาได้ แต่เมื่อผ้าคลุมถูกลมพัดเผยให้เห็นปานสีแดงบนใบหน้าซ้าย ทุกคนก็ส่ายศีรษะด้วยความผิดหวังทันที

แม่นางเหยาขมวดคิ้วและรีบบีบมือลูกสาวทันที

“ข้าไม่เป็นไร” กู้เจียวเอ่ย

สายตาแบบนี้ ชินแล้วละ

แม่นางเหยาสูดหายใจลึก แล้วเอ่ย “ดีแล้วที่เลื่อนงานแต่งเร็วขึ้น”

รอยโส่วกงซานั่นกำลังจะหายไปแล้ว…ใกล้แล้ว…

“อะไรรึ” กู้เจียวถาม

แม่นางเหยารีบเปลี่ยนท่าทีพร้อมกับยิ้มเจื่อน “อ้อ ข้าหมายถึง…ดีเหมือนกันนะ ที่เลื่อนงานแต่งให้เร็วขึ้น”

“ฮูหยิน!” ทันทีที่แม่นางเหยาเอ่ยจบ จู่ๆ ก็มีเด็กสาวคนหนึ่งเข้ามาทัก

แม่นางเหยาหยุดฝีเท้าลง แล้วหันไปทางต้นเสียง

“ใช่ฮูหยินจริงด้วย! อ้าว ท่านชายน้อยก็มาด้วยหรือนี่!” เด็กสาวโน้มตัวอย่างเคารพพร้อมกับเอ่ยทักทาย

ทว่ากู้เสี่ยวเป่ากลับทำหน้าบึ้งทันที

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : สามีข้าคือขุนนางใหญ่ ชื่อภาษาอังกฤษ : The Grand Secretary's Pampered Wife ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง(偏方方) ในอนาคตเขาจะได้เป็น 'ขุนนางใหญ่' อย่างนั้น 'เจ้' คนนี้จะประคอง 'สามี' คนนี้ ให้ไปถึงฝั่งฝันนั้นเอง! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม! จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้จียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เชียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ เพราะบุญคุณเชียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ แต่พราะ "ฝันบอกเหตุ' ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนหม่ได้รู้ว่าเขี้ยวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ยทั้งหลายเพื่อประคองเขาชื้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

Options

not work with dark mode
Reset