บทที่ 911 ยอมรับกัน
……….
แม่นางเหยาก้มหน้ามองบุตรชายในอ้อมอก พูดนำให้เขาพูดตาม “เสี่ยวเป่าไม่เกียจคร้าน แล้วเสี่ยวเป่าอะไร”
กู้เสี่ยวเป่ากางนิ้วทั้งห้าออก ตบลงอกน้อยๆ ของตัวเองเบาๆ “เสี่ยวเป่าฉลาด”
คนทั้งห้องต่างขบขันกับเขา
กู้เจียวมองกู้เสี่ยวเป่าด้วยความสนใจใคร่รู้ “พูดเก่งเพียงนี้แล้ว ตอนข้าไปเสี่ยวเป่ายังเอาแต่ร้องแงๆ อยู่เลย”
แม่นางเหยาหัวเราะ “หนึ่งขวบ แปดเดือนแล้ว”
เขาหัดเดินช้า หนึ่งขวบ สองเดือนเพิ่งจะยืนได้ เดือนที่แล้วเพิ่งจะเริ่มเดินเอง
แต่เขาพูดได้ไว สิบเอ็ดเดือนก็เรียกแม่ครั้งแรกแล้ว นางจำได้ว่าเหยี่ยนเอ๋อร์กับจิ่นอวี๋ครบขวบแล้วถึงจะเริ่มพูด
ไม่รู้ว่าเจียวเจียวนาง…
นึกถึงบุตรสาวที่เติบโตมาในชนบท ตนไม่รู้การเติบโตของนางเลย แม่นางเหยารู้สึกผิดและเสียใจ
เสี่ยวจิ้งคงก้มหน้าดวงน้อยลงอย่างหมดอาลัยตายอยาก “อาจารย์ ท่านปล่อยข้าลงนะ ข้าโดนท่านเขย่าจนมึนหัวหมดแล้ว”
“อาจารย์เขย่าเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน” เขาหิ้วจิ้งคงอยู่ ไม่ได้ขยับอะไรเลย
เสี่ยวจิ้งคงแบมือถอนใจ “เฮ้อ อาจารย์รูปงามเกินไป ข้าย่อมโดนความงามของท่านเขย่าจนมึนน่ะสิ!”
เหลี่ยวเฉิน “…”
ทุกคน “…”
แม่นางเหยารู้ว่าเซวียนหยวนฉีและบุตรชายจะมารับจิ้งคงเข้าตระกูล นางอุ้มกู้เสี่ยวเป่าลุกขึ้น เอ่ยกับทั้งสอง “ข้าไปดูที่ครัวสักหน่อย”
เอ่ยจบ นางก็ส่งสายตาให้กู้เสี่ยวซุ่นและกู้เหยี่ยน
“พวกเราไปด้วย” กู้เหยี่ยนกระจ่างแจ้ง ลากกู้เสี่ยวซุ่นที่ยังเลื่อมใสผู้บัญชาการใหญ่อยู่ให้ไปหลังเรือนด้วย
“เยวียนยาง เจ้าก็มาด้วย” แม่นางเหยาเรียกเยวียนยาง
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
ห้องที่เดิมทีคึกคักพลันเงียบงันลง
ก่อนจะมาที่นี่ เซวียนหยวนฉีและเหลี่ยวเฉินได้ปรึกษากันกับกู้เจียวเรื่องยอมรับเสี่ยวจิ้งคงเข้าตระกูล
ระหว่างปิดบังเขากับบอกความจริงเขา ทั้งสามเลือกอย่างหลังกันอย่างเอกฉันท์
จิ้งคงไม่ใช่เด็กน้อยธรรมดา เขาฉลาดเฉลียวแต่เด็ก ปราดเปรื่อง สติปัญญาโดดเด่น แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็มีจิตใจที่ไวต่อความรู้สึกมากด้วย
ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งสามขวบ เขาถูกทิ้งไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว
กู้เจียวจำได้ว่าตอนพบหน้าสนทนากับเขาครั้งแรก เขาเก็บข้าวของใส่ห่อสัมภาระใบน้อยเรียบร้อยแล้ว เตรียมจะลงเขาไปให้คนรับเลี้ยง สุดท้ายครอบครัวนั้นกลับคำ ไม่ต้องการเขาแล้ว
จนบัดนี้กู้เจียวมานึกย้อนถึงเงาร่างน้อยนั่งบนม้านั่งหินอย่างโดดเดี่ยว ก็ยังรู้สึกถึงความอ้างว้างของเสี่ยวจิ้งคงได้
เขาถึงขนาดคิดว่าพ่อแม่ก็ไม่ชอบเขาถึงได้ไม่ต้องการเขา
หลังจากถูกกู้เจียวรับมาเลี้ยง เขาก็ไม่เคยเผยความในใจออกมา ห่วงว่าตัวเองจะกลายเป็นภาระให้กู้เจียว กลัวว่าตัวเองจะถูกส่งกลับไป…
เขาอายุเท่านี้ แบกรับสิ่งที่เขาไม่ควรแบกรับไว้
เขาจำต้องเข้าใจ ว่าเขามีพ่อแม่ที่รักเขามาก เขาเป็นเด็กที่พ่อแม่เฝ้ารอให้เกิดมา
เขาไม่ได้ถูกทิ้ง
เหลี่ยวเฉินปล่อยศิษย์ลง
กู้เจียวจูงมือเขา ให้เขาหันไปมองเซวียนหยวนฉีที่อยู่ตรงข้าม เอ่ยเสียงเบา “จิ้งคง นั่นคือท่านปู่ลุงของเจ้า”
“ท่านปู่ลุง” เสี่ยวจิ้งคงตกใจเบิกตากว้างโต เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเข้าใจในคำเรียกนี้
กู้เจียวชะงักพลางเอ่ย “ก็คือเป็นลุงแท้ๆ ของพ่อเจ้า”
เสี่ยวจิ้งคงเบิกตากว้างโต “ข้ามีท่านพ่อ”
กู้เจียวลูบศีรษะน้อยๆ ของเขา “ใช่ เจ้ามีท่านพ่อท่านแม่ที่รักเจ้ามาก”
กู้เจียวมองเขาด้วยความจริงใจ หยิบกลีบดอกไม้ที่ติดหัวเขาออก เอ่ยเสียงแผ่ว “พวกเขาต้องการเจ้านะ แต่พวกเขาไปในที่ที่ไกลแสนไกลมาก พาเจ้าไปด้วยไม่ได้”
เสี่ยวจิ้งคงโคลงศีรษะครุ่นคิด “เหมือนอย่างที่เจียวเจียวไปทำสงคราม พาข้าไปด้วยไม่ได้แบบนั้นหรือ”
เซวียนหยวนฉีหันไปมองกู้เจียวด้วยความเคร่งเครียด
เดิมทีกะว่าจะบอกให้หมดเปลือกไปเลย พอเอาเข้าจริงทุกคนต่างรู้สึกว่าโหดร้าย
เขาเพิ่งจะหกขวบเอง
เขาไม่ควรเติบโตไปกับความเจ็บปวดที่บิดามารดาจากโลกนี้ไปแล้ว
กู้เจียวหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนค่อยๆ พยักหน้า “อืม ประมาณนั้นล่ะ”
“อ้อ” เสี่ยวจิ้งคงคล้ายคิดบางอย่างอยู่แล้วพยักหน้า
เซวียนหยวนฉีลอบพรูลมหายใจโล่งอก
“เหตุใดเจ้าไม่ยอมหลอกเขาเล่า”
“หลอกเขาไปจะมีประโยชน์รึ ล้มเหลวก็คือล้มเหลว คำโกหกด้วยเจตนาดีเป็นสิ่งที่ไร้สาระที่สุดในโลก”
นางเปลี่ยนไปมากจริงๆ
มีความเห็นอกเห็นใจ สามารถเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นได้ และเปลี่ยนหลักการที่ยึดถือของตัวเองเพื่อการนี้
เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กที่ฉลาดมาก เขามีพรสวรรค์ในการเรียนรู้อันน่าทึ่ง เพียงแต่เรื่องบางเรื่องก็เกินกว่าความรู้ความเข้าใจของเขา เขาไม่สามารถเกิดข้อสงสัยกับเรื่องนี้ได้
“แล้วพวกเขาจะมาหาข้าหรือไม่” เขาถามกู้เจียว
กู้เจียวเอ่ยเสียงเบา “พวกเขามาไม่ได้แล้ว พวกเขาจึงขอร้องให้ท่านปู่ลุงมาเยี่ยมเจ้าแทน เจ้า…ผิดหวังหรือไม่”
“นิดหน่อยนะ” เสี่ยวจิ้งคงเกาศีรษะ เอ่ยตามตรง “แต่ว่า เห็นแก่ที่พวกเขาไม่ได้ไม่ต้องการข้า ข้าจะฝืนให้อภัยพวกเขาก็ได้!”
กู้เจียวหยักยกมุมปากขึ้น
เซวียนหยวนฉีกับเหลี่ยวเฉินสีหน้าคลายลง
ให้เขาใช้ชีวิตด้วยความหวังดีกว่า
เสี่ยวจิ้งคงมาหยุดตรงหน้าเซวียนหยวนฉี ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ มองเขา เอ่ยด้วยความหวังเต็มเปี่ยม “ท่านปู่ลุง รอให้ข้าโตขึ้นแล้ว ท่านพาข้าไปเจอท่านพ่อท่านแม่ได้หรือไม่”
เซวียนหยวนฉียกมือที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นขึ้นวางบนศีรษะของเขาอย่างระมัดระวัง ก้อนสะอื้นจุกในลำคอเขา แขนสั่นเล็กน้อย
เขาแย้มยิ้มเอ่ย “ได้สิ”
“ท่านปู่ลุง ข้าชื่อจิ้งคงขอรับ” เสี่ยวจิ้งคงแนะนำตัวอย่างจริงจัง
เซวียนหยวนฉีมองเขา ราวกับเห็นเสี่ยวลิ่วตอนเด็กๆ ขอบตาพลันแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว “เจ้ากี่ขวบแล้ว”
เสี่ยวจิ้งคงยืดอกน้อยๆ ขึ้น “ข้าเก้าขวบแล้ว!”
เหลี่ยวเฉินมองเขาอย่างหมดคำจะพูด
เสี่ยวจิ้งคง “ก็ได้ ข้าจะครบสามขวบแล้ว”
เสี่ยวลิ่วตอนเด็กๆ ตัวเล็กอ่อนแอ และชอบเติมอายุให้ตัวเอง… เซวียนหยวนฉีมองจิ้งคง ข่มก้อนสะอื้นที่มาจุกลำคอ ยิ้มเอ่ย “จิ้งคงคือฉายาทางธรรมของเจ้า เจ้ามีชื่อแซ่”
“หืม” เสี่ยวจิ้งคงโคลงหัวมองเขา
ในที่สุดเซวียนหยวนฉีก็วางมือลงบนศีรษะของเขา ลูบศีรษะเขาเบาๆ กอดเขาเข้าสู่อ้อมอกกว้างของตัวเอง “…เจ้านามว่าเซวียนหยวนซี”
เซวียนหยวนฉีในยามนี้ไม่รู้เลยว่า ชื่อนี้ที่ฟังดูแล้วสุขุมรู้ความ หลายปีให้หลังจะ…ทำให้เจ็ดแคว้นสั่นสะเทือน!
…
อีกด้านหนึ่ง แม่นางเหยาไปสั่งแม่ครัวที่ห้องครัวให้ทำอาหารดีๆ ต้อนรับแขกมากหน่อย
กู้เสี่ยวเป่าถูกกู้เหยี่ยนอุ้มไปแล้ว
นางกลับไปที่ห้องตัวเอง
ในขณะที่กำลังเก็บข้าวของ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“ประตูเปิดอยู่ เข้ามาสิ” นางเอ่ย
กู้เจียวเดินเข้ามา
แม่นางเหยามองนาง ชะงักไปเล็กน้อย “เจียวเจียว”
กู้เจียวเอาสองมือไพล่หลัง ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนเดินไปข้างกายนาง “คือว่า…”
นางอยากเอื้อนเอ่ยแต่ยั้งไว้
แม่นางเหยามองนางแวบหนึ่ง หลบตาลง แย้มยิ้มเอ่ย “กินข้าวแล้วก็จะไปใช่หรือไม่”
นางพับผ้าต่อ แสงเทียนสลัว ทำให้มองไม่เห็นว่านางกำลังพับเสื้อผ้าของผู้ใด
นางตั้งสมาธิ ข่มความขมขื่นในใจเอาไว้ เอ่ย “ไม่เป็นไร แม่รู้”
“ข้าว่าท่านอาจจะไม่รู้”
“อะไรหรือ”
“ข้าไม่ไปวังหลวงไม่ใช่เพราะจะพาพวกเขามาพบจิ้งคง” กู้เจียวเม้มปาก “ข้า อยากเจอท่าน”
แม่นางเหยาตกใจอย่างมาก มองบุตรสาวด้วยความเหลือเชื่อ
กู้เจียวยกมือขึ้นข้างหนึ่ง ชี้หัวใจตัวเอง “ตรงนี้ คิดถึง”
แม่นางเหยาขอบตาแดงก่ำ
นางคิดมาตลอดว่าบุตรสาวห่างเหินกับตนมาก ใช่ว่าบุตรสาวดีกับตนไม่มากพอ แต่เหมือนระหว่างพวกนางมีช่องว่างที่มองไม่เห็นอยู่
นางลองเข้าใกล้บุตรสาว
นางสัมผัสได้ถึงความหวังดีของบุตรสาวที่มีต่อนาง
แต่นางไม่อาจเข้าไปในใจบุตรสาวได้เลย
จนกระทั่งบัดนี้บุตรสาวก็ยังไม่เรียกนางว่าแม่สักคำ
เมื่อครู่ตอนที่แนะนำตนให้กับผู้บัญชาการใหญ่ บุตรสาวก็ชะงักไป ตนรู้ว่าบุตรสาวเรียกคำว่าแม่ไม่ออก แต่ก็ไม่อยากเรียกนางว่าฮูหยินอย่างห่างเหินให้ตนขายหน้าต่อหน้าคนนอก
แม่นางเหยาเคยปลอบใจตัวเอง บุตรสาวไม่พึ่งพิงนาง เป็นเพราะนางไม่เคยได้เลี้ยงบุตรสาวสักวัน นางสามารถยอมรับความโดดเดี่ยวนี้ไว้เงียบๆ ได้
ต่อให้ชั่วชีวิตนี้นางไม่เรียกแม่ก็ไม่เป็นไร
แต่เมื่อครู่นี้บุตรสาวบอกว่า นางคิดถึงตนจากใจ
ตนไม่อาจข่มความรู้สึกในใจได้อีกแล้ว
น้ำตานางกลอกกลิ้งในขอบตา “เจียวเจียว…แม่ไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไรดี…ข้าไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไรจึงจะทำให้เจ้าเรียกข้าว่าแม่ได้…”
“ท่านแม่”
กู้เจียวเรียกนาง
แม่นางเหยาหันมองกู้เจียวอย่างเหลือเชื่อ สีหน้าตื่นตะลึงงัน
“ไม่ใช่ว่าไม่ชอบท่าน” กู้เจียวเอ่ย “ข้า เคยมีอดีตที่ไม่ดี เรียกไม่ออก”
“อดีตไม่ดีอะไรหรือ” แม่นางเหยาพลันปวดใจขึ้นมา นึกถึงพ่อแม่แท้ๆ ของกู้จิ่นอวี๋ขึ้นมา
“ไม่ใช่กู้ซานกับภรรยาหรอกเจ้าค่ะ” มากกว่านี้ กู้เจียวไม่อยากจะเอ่ยต่อแล้ว
“ได้ แม่ไม่ถามแล้ว” แม่นางเหยาน้ำตาคลอสะอื้นเอ่ย “เช่นนั้นเพราะเหตุใดยามนี้จึงเรียกได้แล้วเล่า”
กู้เจียวเอ่ย “ไม่รู้ ก็แค่ได้แล้ว”
อดีตที่สุดทานทนเมื่อชาติก่อนคล้ายกำลังถูกบางอย่างรักษาอยู่
เป็นจิ่งยินยิน เป็นกู้เจียวเหนียง หรือว่าเป็นคนกระหายการเข่นฆ่าที่ไม่ถูกสิ่งใดสนใจและถูกทอดทิ้งเหมือนสัตว์ประหลาด
นางตอบไม่ได้
ความรู้สึกของมนุษย์ซับซ้อนเกินไป นางยากจะหยั่งถึง
เพียงแค่ลางสังหรณ์รู้สึกอย่างไร นางก็ทำอย่างนั้น
ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกหรือไม่
“เช่นนั้น ท่าน ชอบให้ข้าเรียกท่านเช่นนี้หรือไม่” กู้เจียวนั่งอยู่บนม้านั่ง นิ่งงันไม่ขยับไหว นอกจากขยับดวงตาไปมา
เทพสังหารหนุ่มผู้น่าพรั่นพรึงในสมรภูมิ บัดนี้เหมือนเด็กที่รอคอยคำตอบที่ถูกต้อง
แม่นางเหยาหลุดหัวเราะ ยิ้มทั้งน้ำตา เดินไปโอบบุตรสาวเข้าสู่อ้อมกอด “ชอบสิ แม่ชอบมาก เรียกแม่อีกคราได้หรือไม่”
กู้เจียวถูกนางกอดไว้แน่น โดนเบียดจนแก้มยู่ไปข้างหนึ่ง
ปากนางโดนเบียดยู่ “ท่านแม่”
นี่มันช่างเป็นเสียงที่น่าฟังที่สุดในโลกจริงๆ
แม่นางเหยาใจละลายหมดแล้ว ความเจ็บปวดทั้งปวงถูกเยียวยาหาย
นางน้ำตาคลอยิ้มให้ กระชับกอดบุตรสาวแน่นขึ้น “เฮ้อ! ระ…เรียกอีกที!”
กู้เจียวที่ปากน้อยๆ ถูกเบียดจนเปลี่ยนรูป “…ย่านแย่”
……….