สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 877 ปกป้องลูก!

บทที่ 877 ปกป้องลูก!

บทที่ 877 ปกป้องลูก!

แม้เขาจะเป็นมือกระบี่ฝีมือดีของแคว้นจิ้น แต่กลับถูกเซวียนผิงโหวถีบจนร่างกระเด็นอย่างน่าอาย

นักสู้มือดีของกงซุนอวี่ถูกโค่นสองคนในชั่วพริบตา

กงซุนอวี่มีสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย เขาเป็นคนมีใบหน้าที่หล่อคมคายเช่นกัน เขามีประสบการณ์คล้ายกับเซวียนหยวนเซิ่งเมื่อตอนที่เขายังเด็ก นั่นก็คือถูกล้อเลียนว่าเป็นเด็กผู้หญิง

เมื่อพวกเขาโตขึ้น ทั้งสองก็กลายเป็นนักรบที่มีชื่อเสียงในสนามรบ

จะต่างกันก็ตรงที่เซวียนหยวนเซิ่งเข้าทางธรรมมะ ส่วนกงซุนอวี่ฝันใฝ่อธรรม

กงซุนอวี่มองดูคนสองคนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยสายตาเหยียดหยาม คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี เขาสวมชุดสีดำและมีกระบี่ยาวอยู่ที่เอวของเขา ซึ่งก็คือคนที่ตัดมือของลูกน้องเขา

การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มนั้นรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

ส่วนชายอีกคนหนึ่งสวมชุดเกราะของแคว้นเยี่ยนพร้อมกับถืออาวุธกระบี่ยาวที่สะท้อนแสงวาบสีดำ

กระบี่นั้นถูกปักอยู่บนพื้นพร้อมกับมือทั้งสองข้างของเขาที่กำลังจับด้ามของมัน

ร่างของเขาที่สูงโปร่งทำให้อุโมงค์นี้ดูเล็กลงไปถนัดตา ใบหน้าของเขาแม้จะเข้มงวด แต่นัยน์ตานั้นกลับแฝงไปด้วยความจองหอง!

รังสีที่แผ่ซ่านออกมาจากเขาคนนั้นทำให้กงซุนอวี่รู้สึกราวกับถูกกดขี่อย่างบอกไม่ถูก

นึกไม่ออกว่าเขาผู้นี่เป็นแม่ทัพคนไหนของแคว้นเยี่ยน

“ฉังจิ่ง เจ้าพาเขาออกไปก่อน” เซวียนผิงโหวเอ่ย

“อ้อ” ฉังจิ่งตบปากรับคำ จากนั้นก็อุ้มร่างของซ่างกวานชิ่งแล้วออกไป

ผู้อาวุโสลู่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาก็ถึงกับชะงัก “ฉังจิ่งรึ หรือว่าเขาคือ ฉังจิ่งจากสำนักอั้นเย่”

กงซุนอวี่ย่นคิ้วลงแล้วมองมาที่ผู้อาวุโสลู่

แล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองตามเด็กหนุ่มคนนั้นพร้อมกับเอ่ย “ก็ว่าอยู่ว่าเหตุใดข้าถึงคุ้นกับกระบวนกระบี่ของเขานัก ใช่…ใช่ฉังจิ่ง ลูกชายเจ้าสำนักอั้นเย่ใช่ไหม”

ไม่แปลกที่กงซุนอวี่จะทำหน้ามึนงง สำนักอั้นเย่เป็นลัทธิในยุทธภพ แทบไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับราชสำนักเลยแม้แต่นิดเดียว ขณะที่เจี้ยนหลูยังพอคุ้นเคยกับยุทธภพบ้าง

ผู้อาวุโสลู่เคยไปเยือนที่สำนักอั้นเย่ด้วยตัวเขาเอง แถมยังเคยเจอกับฉางคุนและฉังจิ่งด้วย

ตอนนั้นฉังจิ่งอายยังไม่ถึงเจ็ดขวบด้วยซ้ำ ต่างจากปัจจุบันอย่างลิบลับ

แต่เขาจำกระบี่จากสำนักอั้นเย่ได้เป็นอย่างดี

ฉังจิ่งหันมาพูดกับผู้อาวุโสลู่ “เจ้าอย่าพูดจาพล่อยๆ เป็นอันขาด”

เซวียนผิงโหวรีบหันมาถามฉังจิ่งทันที “ที่เขาพูดหมายความอันใดรึ”

ฉังจิ่งตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เขากุเรื่องขึ้น”

“เจ้ารีบออกไปก่อนเถอะ ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้ทีหลัง” เซวียนผิงโหวเอ่ย

ฉังจิ่งจึงเตรียมออกเดินทาง!

กงซุนอวี่แทรกขึ้นทันที “คิดจะหนีรึ ฝันไปเถอะ! จับมันไว้!”

ลูกน้องกงซุนอวี่ที่เหลืออีกหกคนรีบพุ่งตัวไปทางศัตรูทันที

เซวียนผิงโหวยืนขวางปากทางเข้าไว้พร้อมกับจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา

คนเหล่านี้ไม่ใช่ทหารธรรมดา พวกเขาล้วนเป็นปรมาจารย์ชั้นสูงในแคว้นจิ้น ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้มีโอกาสรับใช้กงซุนอวี่อย่างแน่นอน

กระนั้น พวกเขาทั้งหกไม่มีใครรู้จักเซวียนผิงโหวเลยแม้แต่คนเดียว

คนที่มักใช้วิธีแอบซุ่มโจมตีมาโดยตลอดเช่นเขา ไม่รู้ว่าพอต้องมาสู้กันซึ่งๆ หน้าแบบนี้จะไหวหรือไม่!

ทหารคนแรกพุ่งเข้ามาพร้อมแสดงกระบวนกระบี่ “ดูข้าซะ!”

เซวียนผิงโหวคว้ากระบี่ขึ้นด้วยหลังมือก่อนจะเหวี่ยงออกไปอย่างสุดแรง!

ร่างของทหารคนแรกกระเด็นออกไป

พร้อมกับของเหลวที่ไหลออกมาจากกระโหลก

เซวียนผิงโหวไม่ใช่คนที่นิยมสังหารคน ไม่ชอบวิธีการนองเลือดและรุนแรง แต่ไม่มีความเมตตาในสนามรบ และการฆ่าเป็นทั้งภารกิจและเพื่อความอยู่รอด

หากทิ้งช่องโหว่ให้ศัตรูมากเท่าไหร่ โอกาสที่ตัวเองจะถูกฆ่าก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้ การทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสะเทือนขวัญก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน!

แน่นอนว่าหลังจากการเคลื่อนไหวนี้ คนที่เหลือต่างก็ตกใจและเริ่มเกิดความลังเล

ตอนนี้ล่ะ!

เซวียนผิงโหวเหวี่ยงกระบี่ขึ้นมาจัดการลูกน้องของกงซุนอวี่ทีละคนโดยไม่ทิ้งช่องโหว่ให้อีกฝ่ายได้โจมตีกลับ

เขารู้ดีว่าเดี๋ยวสักพักจะต้องต่อสู้กับกงซุนอวี่ ดังนั้นเขาจึงต้องใช้โอกาสนี้จัดการกับลูกสมุนพวกนี้ให้หมด เพื่อที่พวกมันจะได้ไม่ไปตามรังควานฉังจิ่งและลูกชายของเขา

“ถึงคราวเจ้าแล้ว” เซวียนผิงโหวชี้กระบี่ไปที่ผู้อาวุโสลู่

กงซุนอวี่เห็นดังนั้นก็รีบออกคำสั่ง “ข้าจะจัดการเขาเอง เจ้าไปตามตัวพระราชนัดดาแคว้นเยี่ยนกลับมา”

ผู้อาวุโสลู่พยักหน้า

ก่อนจะหยิบบ้องไฟที่อยู่บนพื้นติดไปด้วย

อาวุธชิ้นนี้น่ากลัวเกินกว่าจะไปอยู่ในมือของชายคนนี้!

และแล้วการต่อสู้ระหว่างเซวียนผิงโหวและกงซุนอวี่ก็เริ่มขึ้น

กงซุนอวี่เป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขาม เขามีความสามารถอย่างแท้จริงในศิลปะการต่อสู้ และศิลปะการต่อสู้ของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเซวียนหยวนเซิ่งในอดีต

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาได้พัฒนาศิลปะการต่อสู้มาโดยตลอด จนเรียกได้ว่าหาคู่ต่อสู่ที่ทัดเทียมกับเขานั้นได้ยาก

เขามีความชำนาญในทุกยุทโธปกรณ์ และในครั้งนี้ เขาจะใช้กระบี่ของเขา

กงซุนอวี่ชักกระบี่ขึ้น โยนปลอกกระบี่ทิ้ง แล้วพุ่งตรงเข้าไปทางเซวียนผิงโหวทันที!

แม้จุดที่พวกเขายืนอยู่จะมีพื้นที่กว้างกว่าจุดอื่นๆ ในอุโมงค์ แต่ก็ยังคงมีความลำบากในการออกกระบวนท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกระบี่ยาวของเซวียนผิงโหว

การต่อสู้รอบแรกผ่านไป พวกเขาเสมอกัน

พอสบโอกาส ผู้อาวุโสลู่จึงรีบไล่ตามฉังจิ่งออกไป

ขณะที่เซวียนผิงโหวกำลังจะโจมตีผู้อาวุโสลู่ กงซุนอวี่ก็ใช้กระบี่ของเขาสกัดไว้

“คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้าต่างหาก” กงซุนอวี่เอ่ย

เซวียนผิงโหวแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพร้อมกับจ้องหน้าอีกฝ่าย “กงซุนอวี่ คิดว่าข้าจะเอาชนะเข้าไม่ได้หรือไร”

เขาเอ่ยด้วยภาษาแคว้นเจา

กงซุนอวี่นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง

จากนั้นเซวียนผิงโหวก็ชี้ปลายกระบี่ไปที่เขา “คนของตระกูลเจ้าเคยพ่ายแพ้แก่ข้ามาก่อน วันนี้ก็เช่นกัน!”

สายตาที่เย่อหยิ่งเช่นนี้ น้ำเสียงที่จองหองแบบนี้มัน…

ดวงตาของกงซุนอวี่เบิกกว้างทันใด “เจ้าคือ…หมิงอ๋องรึ”

ต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน มีเด็กหนุ่มชื่อดังอยู่คนหนึ่งเป็นที่น่าเกรงขามในแวดวงศิลปะการต่อสู้ในสนามประลองใต้ดิน ผู้ที่สามารถเอาชนะปรมาจารย์ระดับสูงจากหกแคว้น และกงซุนหลิงเองก็เป็นหนึ่งในนั้นปรมาจารย์ระดับสูง

กงซุนหลิงเป็นอัจฉริยะศิลปะการต่อสู้อีกคนจากตระกูลกงซุน แต่เขากลับพ่ายแพ้ให้แก่เด็กหนุ่มจากแคว้นเจาคนนั้นถึงเจ็ดครั้งเจ็ดหน!

พอผ่านเหตุการณ์นี้ไป ทำให้กงซุนหลิงหมดความมั่นใจและจิตวิญญาณที่จะเป็นนักสู้ไปโดยปริยาย ส่งผลให้ตระกูลกงซุนได้สูญเสียอนาคตแม่ทัพใหญ่ไปอีกหนึ่งคน

ส่วนชื่อหมิงอ๋องนั้น คือชื่อที่ทุกคนใช้เรียกเด็กหนุ่มคนนั้น

ชื่อนี้นอกจากจะเป็นสมญานามที่เหมาะสมกับเด็กคนนั้นแล้ว ยังมีเหตุผลสำคัญอีกประการนั่นก็คือไม่มีใครกล้ำกลืนเรียกสมญานามที่เขาตั้งเองได้ลง โดยชื่อที่เขาตั้งก็คือ ‘ข้าคือหมายเลขหนึ่ง’

“เจ้า เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย…” กงซุนอวี่รู้สึกถึงคำว่าโชคชะตาทันที “วิเศษมาก ข้าละอยากเจอหน้าคนที่เอาชนะกงซุนหลิงมาโดยตลอด จากนั้นก็ฆ่ามันด้วยมือของข้าเอง เพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่าตระกูลกงซุนไม่ได้อ่อนแอ แต่เป็นตัวกงซุนหลิงผู้เดียวต่างหากที่อ่อนแอ!”

“งั้นรึ” เซวียนผิงโหวหัวเราะแบบขอไปที

กงซุนอวี่เอ่ยต่อโดยไม่สนใจท่าทีเมินของอีกฝ่าย “ว่าแต่ เจ้าเป็นคนแคว้นเจามิใช่รึ ไยถึงอยู่ในเครื่องแบบของแคว้นเยี่ยนล่ะ”

เซวียนผิงโหวยกกระบี่ขึ้นมาพาดที่ไหล่ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย จะสู้ไม่สู้ ถ้าไม่สู้ก็ถอยออกไป!”

ดวงตาของกงซุนอวี่เริ่มส่องประกาย ก่อนจะเหวี่ยงกระบวนท่าสังหารไปทางเซวียนผิงโหวอีกครั้ง

เนื่องจากพื้นที่มีจำกัด เขาไม่สามารถใช้กระบวนท่าที่ซับซ้อนได้ สิ่งที่สำคัญคือความเร็วและความแข็งแกร่งภายใน!

แม้กงซุนอวี่จะเร็วปานสายฟ้า ทว่าเซวียนผิงโหวกลับมองเห็นได้อย่างมุทะลุจนแทบจะเห็นเป็นภาพช้า

“กงซุนอวี่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็มิอาจขวางทางระหว่างข้ากับลูกชายของข้าได้”

เซวียนผิงโหวถอยหลังหนึ่งก้าวเข้าไปในอุโมงค์พร้อมกับใช้กระบี่ต้านเอาไว้ ทว่ากงซุนอวี่บุกโจมตีและฟันกระบี่ของเซวียนผิงโหวจนหักเป็นสองท่อนทันที!

“แค่นี้เองหรือ…” กงซุนอวี่พึมพำ

ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ เซวียนผิงโหวก็ใช้กระบี่ที่ตอนนี้กลายเป็นมีดสั้น ฟันไปที่กงซุนอวี่ด้วยท่าหลังมือ!

“เจ้า…” สีหน้าของกงซุนอวี่เปลี่ยนไปทันที

นี่เป็นความตั้งใจของเซวียนผิงโหว ด้วยความที่กระบี่ของเขายาวเกินจนเป็นอุปสรรค คราวนี้พอกระบี่สั้นลง ก็โจมตีได้ง่ายขึ้นแล้ว

ด้วยข้อจำกัดของอุโมงค์ ทำให้กงซุนอวี่หาที่หลบไม่ได้ เขาจำต้องเหวี่ยงกระบี่ขึ้นมาต้านไว้!

กระบี่ทั้งสองปะทะกันจนเกิดประกายไฟ!

กงซุนอวี่รู้สึกได้ถึงแรงมหาศาลที่มาจากกระบี่ของอีกฝ่าย

นี่คือพลังแห่งความโกรธแค้นของคนเป็นพ่อ

“กงซุนอวี่ ทำร้ายลูกชายข้ารึ มีสิทธิ์อะไรถึงทำแบบนั้น!”

เซวียนผิงโหวชักกระบี่อีกอันที่ซ่อนอยู่ออกมาแล้วแทงเข้าไปที่ท้องของกงซุนอวี่!

ในสถานการณ์การต่อสู้ ต่างฝ่ายต่างมักจะไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายโจมตีตัวเอง จะชนะหรือจะแพ้ ใช้เวลาตัดสินเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น!

ทว่าร่างของกงซุนอวี่ที่อยู่ในชุดเกราะคุณภาพเดียวกันกับที่กู้เจียวใส่สามารถป้องกันกระบี่ของเซวียนผิงโหวได้อย่างทันท่วงที!

กงซุนอวี่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “หมิงอ๋อง มีน้ำยาแค่นี้เองหรือ!”

จากนั้นเขาดึงกริชออกมาจากเอว แล้วแทงไปที่เซวียนผิงโหวเช่นกัน!

แก๊ง!

เสียงคมมีดที่แทงทะลุเข้าชุดเกราะดังขึ้น

คราวนี้กงซุนอวี่เริ่มหัวเราะไม่ออกเสียแล้ว

เขาก้มหน้าลง มองดูชุดเกราะของตัวเองที่ถูกแทงทะลุด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

เป็นไปไม่ได้…

ชุดเกราะของเขาออกจะแข็งแรงคงกระพัน ไม่มีสิ่งใดทะลุมันได้!

ขณะที่กริชในมือของเขากำลังแทงเข้าไปที่หัวไหล่ของเซวียนผิงโหว แต่ดูเหมือนเซวียนผิงโหวจะไม่สนใจร่างกายตัวเองเลยสักนิด เขาใช้พลังภายในทั้งหมดของเขาในการโจมตีครั้งนี้!

“เจ้า…”

เจ้าบ้าไปแล้ว!

บ้าเสียยิ่งกว่าบ้า!

ดวงตาของเซวียนผิงโหวเต็มไปด้วยความเย็นชา: “ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจทำร้ายลูกชายของข้าได้!”

กงซุนอวี่ถูกกระบี่แทงเข้าเต็มๆ !

“นายท่าน!”

ทันใดนั้นจูจางขวงรีบพุ่งตรงเข้ามาแยกพวกเขาออกจากกัน ก่อนจะคว้าร่างกงซุนอวี่ที่ได้รับบาดเจ็บแล้วรีบหนีเข้าไปในอุโมงค์อื่น!

จากนั้นไม่นานก็มีอีกร่างหนึ่งปรากฏกายออกมาจากซอกในถ้ำ

เป็นฉังจิ่งนี่เอง

อันที่จริงพวกเขาไม่ได้นี้ไปไหนไกล และใช้วิธีหาที่หลบซ่อนแทน

ผู้อาวุโสลู่ที่ไม่ทันมองป่านนี้คงตามหาพวกเขาไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้

“ไม่ตามไปรึ” ฉังจิ่งถาม

“เจ้านั่นไม่สมควรตายด้วยมือของข้า มีคนที่คู่ควรที่จะปลิดชีพเจ้านั่นมากกว่าข้าเสียอีก” เซวียนผิงโหวเอ่ย

ฉังจิ่ง “ท่านขี้เกียจไล่ตามไปละสิ”

เซวียนผิงโหวทำหน้าจริงจัง “…เห็นข้าเป็นคนแบบนั้นหรือไง”

ฉังจิ่ง ขืนเจ้ายังพูดมากอีก ข้าจะยึดลูกแก้วของเจ้าให้หมดเลย!

เขาไม่มีกะใจต่อสู้กับกงซุนอวี่อีกแล้วหลังจากที่ได้เห็นสภาพของลูกชาย

อีกทั้งก็เป็นเรื่องจริงที่บอกว่ามีคนที่คู่ควรที่จะปลิดชีพกงซุนอวี่มากกว่าเขา

เซียนผิงโหวมาหยุดอยู่ที่ปากทางเข้าซอกถ้ำด้วยความตื่นเต้น

จะได้เจอกับลูกชายแล้วสินะ

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : สามีข้าคือขุนนางใหญ่ ชื่อภาษาอังกฤษ : The Grand Secretary's Pampered Wife ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง(偏方方) ในอนาคตเขาจะได้เป็น 'ขุนนางใหญ่' อย่างนั้น 'เจ้' คนนี้จะประคอง 'สามี' คนนี้ ให้ไปถึงฝั่งฝันนั้นเอง! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม! จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้จียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เชียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ เพราะบุญคุณเชียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ แต่พราะ "ฝันบอกเหตุ' ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนหม่ได้รู้ว่าเขี้ยวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ยทั้งหลายเพื่อประคองเขาชื้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

Options

not work with dark mode
Reset