บทที่ 862 ความจริงในครั้งนั้น
เซวียนหยวนฉีไม่ได้ยินชื่อนี้ มานานหลายปี อย่างไรก็ตาม ความทรงจำของเขายังไม่หายไปทั้งหมด เหมือนกับเศษไม้ที่ลอยอยู่ใต้น้ำที่รอใครสักคนหยิบมันขึ้นมาให้พ้นผิวน้ำ
“ข้าเคย ต่อสู้ กับเขา”
การต่อสู้ครั้งนั้นถือเป็นการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิตของเซวียนหยวนฉี
พิชิตเวหามีอายุเพียงสิบสามหรือสิบสี่เท่านั้น แต่พลังที่เขาแสดงออกมากลับน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเซวียนหยวนลี่ด้วยซ้ำ
ภายหลังเซวียนหยวนฉีได้มารู้ว่าที่จริงแล้วพิชิตเวหาได้รับยาพิษถึงได้สำแดงฤทธิ์ออกมาขนาดนั้น
เขาไม่รู้เลยว่าจะมีใครสามารถสู้กับเจ้าเด็กคนนั้นได้อีกนอกจากเจ้าแห่งเงาทมิฬ
“ข้า แพ้”
เซวียนหยวนฉีเอ่ย
“ดังนั้น ท่านเคยต่อสู้กับเขา ในเมื่อท่านแพ้เขา แล้วท่านหนีออกมาได้อย่างไร” ที่กู้เจียวถามเช่นนี้เพราะจำได้ว่าเป้าหมายของพิชิตเวหาคือกำจัดเจ้าแห่งเงาทมิฬ ซึ่งเจ้าแห่งเงาทมิฬในตอนนั้นก็คือเซวียนหยวนฉี
กู้เจียวสันนิษฐานว่าภารกิจของเจี้ยนหลูในตอนนั้นคือทำลายเครือข่ายของเจ้าแห่งเงาทมิฬทั้งหมด ซึ่งรวมไปถึงตำหนักราชครูและตระกูลเซวียนหยวน
ไม่มีเหตุผลที่พิชิตเวหาจะปล่อยเซวียนหยวนฉีหลุดมือ
นอกเสียจากอีกฝ่ายจะบาดเจ็บปางตาย
“เขา ไม่โจมตีต่อ” เซวียนหยวนฉีกล่าว
“เพราะเหตุใด”
“ไม่รู้” เซวียนหยวนฉีส่ายศีรษะ
เหตุการณ์ตอนนั้น เซวียนหยวนฉีอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสจนล้มลงกับพื้น พิชิตเวหาใช้ดาบจ่อมาที่ลำคอของเขา
เขามองพิชิตเวหาด้วยความตกใจ แต่ด้วยความที่ใบหน้าของเขาอาบไปด้วยโลหิต จึงทำให้เขามองพิชิตเวหาได้ไม่ชัดนัก
ท้ายที่สุด พิชิตเวหาก็จากไปโดยไม่พูดอะไร
“เดินออกไปเลยรึ”
นี่ไม่ใช่วิถีของพิชิตเวหาเอาเสียเลย ต่อให้เป็นหลงอีหรือพิชิตเวหาคนใดก็ตาม เมื่อพวกเขารับคำสั่งแล้ว ย่อมจะทำมันให้สำเร็จทุกวิถีทาง
“น่าแปลกนัก ท่านบอกว่าพิชิตเวหาจ้องมาที่ท่าน แสดงว่าเขาอาจเห็นอะไรบางอย่างในตัวท่าน ถึงได้ตัดสินใจไม่ปลิดชีพท่านอย่างนั้นรึ”
“ไม่รู้” เซวียนหยวนฉีกล่าว
“มีของอะไรติดตัวท่านในตอนนั้นหรือไม่”
“ไม่มี”
ของชิ้นเดียวที่เขามีติดตัวในตอนนั้นนอกจากอาวุธก็คือตราอาญาสิทธิ์เงาทมิฬ แต่เขาจำได้ว่าเขาเอามันให้เซวียนหยวนเจิงก่อนที่เขาจะสู้กับพิชิตเวหา
กู้เจียวไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดพิชิตเวหาถึงหยุดการโจมตีของเขาโดยไม่มีเหตุผล
“หลังจากที่พิชิตเวหาต่อสู้กับท่านเสร็จไม่นานก็เกิดความจำเสื่อม และจับพลัดจับผลูมาเป็นองค์รักษ์ขององค์หญิงซิ่นหยางแห่งแคว้นเจา ก็ยังนึกว่าท่านเป็นคนที่ทำให้เขาความจำเสื่อมเสียอีก”
เซวียนหยวนฉีเอ่ยต่อ “ถ้าเป็นตอนนี้ ก็คงทำได้นะ”
เขาจะสื่อว่า ในตอนนั้นเขายังทำแบบนั้นไม่ได้ แต่ถ้าเป็นตอนนี้ เขาสามารถทำได้แล้ว
“แล้วภายหลังล่ะ หลังจากพิชิตเวหาหนีไป ท่านก็มาที่ภูเขาผีเลยรึ”
เซวียนหยวนฉี “ไม่ใช่”
หลังจากนั้น เขาถูกเจี้ยนหลูตามล่าเป็นเวลาหลายปี จนเขาต้องเล่นละครตบตาแกล้งตายในฐานะเจ้าแห่งเงาทมิฬคนที่สอง พอเขากลับมาที่แคว้นเยี่ยนอีกครั้ง ก็เจอกับเหตุการณ์ตระกูลเซวียนหยวนถูกตั้งข้อหากบฏและถูกฆ่าล้างชั่วโคตร
ทุกคนในตระกูลตายหมด ทั้งพี่ใหญ่ พี่สะใภ้ อาจื่อ อาเซิ่ง แม้แต่องค์หญิงก็ถูกปลด ส่วนพี่สาวของเขาถูกขังในตำหนักเย็น
เขาติดต่อใครไม่ได้เลย จึงคิดไปว่าเซวียนหยวนเจิงและคนอื่นๆ ตายกันหมดแล้ว
“ตั้งแต่ที่เซวียนหยวนเจิงแยกกันกับท่าน เขาไม่เคยกลับไปที่แคว้นเยี่ยนอีกเลย เขาอยู่ที่แคว้นเจามาตลอด บางทีเครือข่ายเก่าของท่านก็อาจจะอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน” กู้เจียวอธิบาย
“มิน่าล่ะ ถึงหาไม่เจอ” เซวียนหยวนฉีเริ่มเห็นภาพมากขึ้น
“ท่านเล่าต่อสิ” กู้เจียวเอ่ย
แต่เซวียนหยวนฉีก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
หลังจากที่เขากลับไปที่แคว้นเยี่ยน เมื่อเห็นว่าตระกูลเซวียนหยวนได้รับความทุกข์ทรมานอย่างหนัก ทำให้จิตใจของเขาได้รับกระทบกระเทือนอย่างมาก บวกกับบาดแผลที่ยังไม่หายดี ทำให้เขาล้มป่วยครั้งใหญ่
เขาสูญเสียเป้าหมายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ และในวันหนึ่งที่เขากำลังเข้าใกล้ความตาย จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงประหลาดของใครบางคนกำลังพูดกับเขา
“เซวียนหยวนฉี ข้าต้องการความช่วยเหลือของท่าน… โปรดไปที่เขาภูเขาผีเพื่อรอข้า และปฏิบัติภารกิจแทนข้า”
“ภารกิจอันใดรึ”
“ท่านจะรู้เองเมื่อถึงเวลา”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรถ้าเวลานั้นมาถึง”
“ท่านจะรู้ได้เอง ถ้าหาก…โอกาสนั้นไม่มาถึง พวกเราคงจะเสียใจไปตลอดชีวิต”
ตอนนั้นเขามีไข้สูงและอยู่ในอาการสับสน เขามองเห็นได้เพียงเงาที่คลุมเครือ ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองฝันไป แต่พอตื่นขึ้นมาแล้วเจอสิ่งของบางอย่างที่อยู่ข้างมือ เขาจึงรู้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน
คนที่หายตัวไปอยู่นานหลายปี จู่ๆ กลับมาปรากฏกายอีกครั้ง
แต่แล้วก็หายไปอีกครั้งหลังจากมอบภารกิจประหลาดให้เขา
แต่ถึงกระนั้น มันทำให้เขากลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง แล้วเขาก็เดินทางมาที่เขาภูเขาผีแห่งนี้อย่างไม่ลังเล
เดิมทีเขาภูเขาผีแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ฝังศพของกองทัพเซวียนหยวน แต่เป็นสถานที่ที่กองทัพซวนหยวนทิ้งศพของพวกเขา
เขาฝังศพทีละศพด้วยมือเปล่า
ตอนแรกเขาคิดว่านี่คือภารกิจที่คนผู้นั้นมอบให้เขา
แต่ต่อมา ทหารจากแคว้นเหลียง แคว้นจิ้น รวมถึงพวกโจรป่าจำนวนนับไม่ถ้วนต่างบุกเข้ามายังบริเวณนี้ ทำให้สุสานได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง และเขารู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องปกป้องสุสานแห่งนี้
เมื่อเผชิญหน้ากับงานในสุสานที่ไม่มีที่สิ้นสุดตลอดทั้งวัน เขาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาลืมไปแล้วว่าตัวเองยังไม่ตาย
แต่ยิ่งเขาอยู่นานเท่าไร เขาก็ยิ่งสับสนมากขึ้นว่าภารกิจของเขาคืออะไร
ชีวิตของเขาใกล้จะเดินมาถึงทางตันแล้ว แต่คนผู้นั้นก็ยังไม่มาหาเขา
นี่เป็นความลับระหว่างเขากับคนผู้นั้น และไม่สามารถเล่าให้บุคคลที่สามฟังได้ เขาจึงไม่ได้เล่าให้กู้เจียวฟัง
กู้เจียวที่เห็นว่าเขาเงียบไปพักใหญ่ จึงไม่คะยั้นคะยอถามเขาต่อ ทุกคนล้วนมีความลับเป็นของตัวเอง อีกอย่าง วันนี้ข้อมูลที่ได้มาก็เยอะพอแล้ว
ความจริงทุกอย่างค่อยๆ ปรากฏขึ้น ถ้าไม่นับเรื่องที่หลงอีความจำเสื่อม
“แม่หนู! ต้องรออีกนานแค่ไหน” ถังเย่ว์ซานเร่งเร้า
“ใกล้แล้ว” กู้เจียวตอบเขา ก่อนจะหันไปถามเซวียนหยวนฉี “หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าให้รอครึ่งชั่วยาม”
เซวียนหยวนฉีเอ่ย “ในอีกครึ่งชั่วยาม ทางเดินจะเปิดออก เดินทาง ด้วย ม้า ได้”
“อย่างนี้นี่เอง” กู้เจียวพึมพำ
ถ้าเราออกจากภูเขาผีโดยตรง ก็สามารถเลี่ยงกองทัพแคว้นจิ้นที่อยู่ในป่าได้ นี่คงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้
ยิ่งได้เฮยเฟิงเข้ามาช่วย ก็จะไปถึงที่เมืองฉวี่หยางได้เร็วขึ้น
หลังจากนึกอยู่พักหนึ่ง กู้เจียวจึงถามเขาไป “ท่าน…ไปด้วยกันกับพวกเราไหม หรืออยากจะอยู่ที่นี่เพื่อรอคนผู้นั้น”
เซวียนหยวนฉีไม่ตอบ
กู้เจียวรู้ทันทีว่าเขาเลือกอะไร
เขาใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อรอคนผู้นั้นมานานกว่าสิบปี และเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“เช่นนั้น ท่านก็รักษาเนื้อรักษาตัวด้วย” กู้เจียวเอ่ย
“แม่หนู! ที่ใส่ดาบของข้าพังแล้ว!” ถังเย่ว์ซานเดินเข้ามาพร้อมกับยืนที่ใส่ดาบที่ขาดวิ่นให้กู้เจียว
“ทำไมถึงพังล่ะ” กู้เจียวถาม
“ไม่… ไม่รู้สิ จู่ๆ ก็พังเองน่ะ”
จะไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าที่มันพังเพราะเขาพยายามขึ้นขี่เจ้าเฮยเฟิง แต่มันไม่ยอมและกัดที่ใส่ดาบของเขาจนขาด
กู้เจียวหยิบที่ใส่มีดมา ในกระเป๋ามีเข็มและด้ายอยู่ แต่เพราะอุ้มเจ้าตัวเล็กอยู่จึงไม่สะดวกหยิบ เลยเกิดพลั้งมือทำกระเป๋าตกบนพื้น ทำให้สมุดที่อยู่ในกระเป๋าร่วงหล่นลงมาด้วย
เซวียนหยวนฉีจึงช่วยเก็บมันขึ้นมา
เขาไม่ตั้งใจจะแอบดู แต่สมุดเล่มนั้นถูกเปิดออกอยู่แล้ว เขาจึงเห็นลายมือไก่เขี่ยที่อยู่บนสมุดเล่มนั้น
‘มาที่แคว้นเยียนเป็นเวลาหนึ่งเดือน ไม่อยากทำการบ้านเลย’
“หากแข่งตีคลีได้ที่สอง จะได้เงินรางวัลเป็นทองคำหนึ่งพันตำลึง ฮ่องเต้นี่ใจป้ำจริงๆ
“อยากจะตีเจ้ามู่ชวนให้ตายจริงๆ ”
“ได้จับเจ้าหันเย่ยัดถุงกระสอบแล้ว เย้!”
…
นี่เป็นบันทึกเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่กู้เจียวเดินทางมาถึงแคว้นเยี่ยน และเขียนด้วยภาษาแคว้นเยี่ยน
เซวียนหยวนฉีนิ่งลงทันที
กู้เจียวเห็นดังนั้นจึงคิดว่าเขาติดชุดเกราะและไม่สามารถก้มลงได้ “เดี๋ยวข้าเก็บเอง”
กู้เจียวหยิบสมุดขึ้นมาแล้วเก็บใส่กระเป๋า
จากนั้นกู้เจียวก็เย็บที่ใส่มีดของถังเย่ว์ซาน เย็บเสร็จแล้วก็คืนให้เขา “อ่ะ”
ถังเย่ว์ซานมองดูที่ใส่มืด พร้อมกระตุกมุมปาก “แม่หนู เย็บกลับด้านแล้ว”
กู้เจียว “อ้อ”
กู้เจียวทิ้งวิชาการเย็บผ้าตั้งแต่ย้ายเข้ามาที่แคว้นเยี่ยน
“ใช้ๆ ไปก่อนเถอะ ถ้าไม่อยากใช้ก็โยนทิ้งไป” ไม่มีทางที่กู้เจียวจะเย็บให้เขาใหม่อีก
ถังเย่ว์ซานจึงจำใจรับมันมา
กู้เจียวเดินเข้าไปในถ้ำแล้วถาม “ต้องไปทางไหน”
ถังเย่ว์ซานเดินตามเข้ามา แล้วกระซิบถาม “ราชาผี…เขา ไม่มาด้วยกันกับพวกเรารึ”
กู้เจียวตอบพลางเอามือตบหลังเจ้าเฮยเฟิง “เขาจะอยู่เฝ้าที่นี่”
ทันใดนั้น กู้เจียวสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่พุ่งตรงเข้ามาจากทางด้านหลัง กู้เจียวไม่อาจหลบได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าเฮยเฟิงอาจได้รับอันตราย
กู้เจียวย่นคิ้วลง คว้าหอกเงินแล้วหันกลับไปต้านแรงโจมตีที่พุ่งเข้ามาอย่างทันท่วงที
“เซวียนหยวนฉี”
กู้เจียวมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา
ถังเย่ว์ซานมองไปที่พวกเขาสองคนและถามด้วยความสับสน “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจู่ๆ ถึงสู้กันละ ไม่ได้เป็นพวกเดียวกันหรอกรึ”
ดาบยาวของเซวียนหยวนฉีกดหอกเงินของกู้เจียวด้วยพลังมหาสาร กู้เจียวรู้สึกกดดันอย่างมาก แขนของนางเริ่มล้าขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เริ่มจะทนไม่ไหว
กู้เจียวปลดกระเป๋าใส่เด็กออก แล้วโยนให้ถังเย่ว์ซาน “รับเจ้าตัวเล็กนี่ไว้นะ!”
ถังเย่ว์ซานรับเด็กน้อยมาได้อย่างแม่นยำ
กู้เจียวยังคงใช้แขนอีกข้าวต้านแรงดาบของเซวียนหยวนฉี แต่แรงของเขาเยอะเสียจนเข่าขวาของกู้เจียวแทบจะย่อจนติดพื้น
ข้าจะไม่ยอมคุกเข่าต่อหน้าเขาเด็ดขาด!
กู้เจียวกัดฟันแน่น พยายามต้านแรงและลุกขึ้นมาให้ได้
เซวียนหยวนฉีเก็บดาบของเขาลง วินาทีต่อมา เขาก็โจมตีกลับด้วยกระบวนท่าที่ทรงพลังยิ่งขึ้น!
กู้เจียวไม่เข้าใจ
เกิดอะไรขึ้นกับเซวียนหยวนฉี
เหตุใดจู่ๆ ถึงมาทำร้ายกันแบบนี้เล่า