บทที่ 852 ราชาผีออกโรง (1)
ณ เมืองฉวี่หยาง
ซ่างกวานเยี่ยนออกมาจากจวนเจ้าเมือง ขึ้นนั่งรถม้ามุ่งไปยังค่ายทหาร
ซึ่งห่างจากวันที่กู้เจียวออกเดินทางไปเมืองผู่หนึ่งวันหนึ่งคืน นางอยากดูว่ากู้เจียวกลับมาหรือยัง นอกจากนี้ วันมะรืนนี้กองทัพใหญ่ราชสำนักก็จะไปโจมกองทัพใหญ่แคว้นเหลียง นางไปเดินเล่นในค่ายทหารให้มากๆ หน่อย ถือว่าปลุกขวัญกำลังใจทหารด้วย
เมืองฉวี่หยางกลับมาสงบสุขอีกครา
แม้ว่าความหวาดหวั่นของสงครามยังคงปกคลุมเหนือศีรษะประชาชนอยู่ แต่นึกถึงองค์หญิงต้าเยี่ยนนำทัพออกรบเอง เหล่าชาวบ้านก็มั่นใจและศรัทธาเต็มเปี่ยมต่อราชวงศ์และราชสำนัก
ล้อรถหมุนเคลื่อนเอี๊ยดอ๊าด ตัวรถโคลงเคลงไปมา
ซ่างกวานเยี่ยนนั่งเงียบๆ อยู่ในรถม้า ไม่เอ่ยคำใด
หวนเอ๋อร์กลับดูเหมือนจะเพลิดเพลินวิถีชีวิตชาวบ้านด่านชายแดนอย่างสนอกสนใจ นางไม่เคยออกไปไหนไกล เห็นอะไรก็ตื่นตาตื่นใจไปหมด
“องค์หญิง ขนมเปี๊ยะที่พวกเขาขายแปลกพิกลนัก” หวนเอ๋อร์เอ่ยพลางทอดมองซ่างกวานเยี่ยนที่นั่งอยู่บนที่นั่ง
ซ่างกวานเยี่ยนไม่ได้ยินที่นางเอ่ย เพราะกำลังใจลอยอยู่
หวนเอ๋อร์ค่อยๆ ปล่อยม่านลง เหลือเพียงช่องแคบๆ ให้แสงสว่างจากโคมตามบ้านเรือนส่องลอดเข้ามาได้
นางลังเลครู่หนึ่ง เอ่ยถามเสียงแผ่วเบา “องค์หญิง ท่านกำลังคิดถึงใต้เท้าท่านนั้นอยู่หรือ”
“หืม” ซ่างกวานเยี่ยนหลุดจากภวังค์ “อย่างไรนะ”
“ใต้เท้าท่านนั้น… อืม… บิดาของพระนัดดาน่ะเพคะ” หวนเอ๋อร์เอ่ย
ในฐานะนางกำนัลคนสนิทขององค์หญิง หวนเอ๋อร์เริ่มเอาชนะใจของซ่างกวานเยี่ยนได้ จึงทราบตัวตนของเซียวเหิงกับซ่างกวานชิ่งแล้ว และรู้ว่าบุรุษรูปงามคนนั้นคือบิดาแท้ๆ ของฝ่าบาทน้อยทั้งสอง
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ย “ข้าจะคิดถึงเขาไปไย”
หวนเอ๋อร์เอ่ย “คืนนั้นท่านออกมาไวนัก เหมือน…”
หนีเตลิดเปิดเปิงออกมา
ถ้อยคำนี้ หวนเอ๋อร์ยั้งเอาไว้
ซ่างกวานเยี่ยนพึมพำ “ไวหรือ ข้ารู้สึกว่า ข้าคุยกับเขานานมากทีเดียว”
หวนเอ๋อร์เอ่ยตามตรง “นั่นเป็นเพราะท่านกำลังหลบเขา จึงรู้สึกว่าทุกประโยคเหมือนยาวนาน แต่ความจริงแล้ว พวกท่านไม่ได้ถามอีกฝ่ายแม้กระทั่งหลายปีมานี้สบายดีหรือไม่ด้วยซ้ำเพคะ”
หวนเอ๋อร์เป็นคนใสซื่อ แต่ก็ไม่ได้โง่งม ในฐานะคนนอกอย่างนางย่อมมองได้แจ่มชัดกว่าซ่างกวานเยี่ยน
คืนนั้นทั้งสองไม่รู้สักนิดว่าควรเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างไร ล้วนแต่บื้อใบ้กันทั้งคู่
เดิมทีองค์หญิงจะค้างแรมที่ค่ายทหาร สาเหตุที่ย้ายเข้าไปในจวนเจ้าเมือง ก็เพื่อหลบหน้าใต้เท้าท่านนั้นกระมัง
ซ่างกวานเยี่ยนหลบตาลง จัดแขนเสื้อกว้างนิ่งๆ พลางเอ่ย “มีอะไรน่าถามกัน สบายดีไม่ดีก็เหมือนกันหมดนั่นล่ะ”
หวนเอ๋อร์เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นอีก “เช่นนั้นท่านยังชอบเขาอยู่หรือไม่เพคะ”
ซ่างกวานเยี่ยนยืดตัวนั่งตรง ราวกับกำลังบอกหวนเอ๋อร์ และคล้ายกับบอกตัวเอง “ข้าเป็นองค์หญิงแห่งต้าเยี่ยน ข้าไม่มีทางชอบบุรุษคนใดได้”
เมื่อรถม้ามาถึงค่ายทหาร ซ่างกวานเยี่ยนก็ถามทหารเฝ้าประตูก่อนจะได้รู้ว่ากู้เจียวยังไม่กลับมา นางจึงตรงไปที่ที่เหล่าทหารกำลังฝึกรบ
หวนเอ๋อร์มองนายหญิงตัวเองเดินห่างจากกระโจมของใต้เท้าท่านนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
“ซ่างกวานเยี่ยน!”
ทว่าสุดท้ายก็หลบหน้าไม่สำเร็จ
เซวียนผิงโหวสาวเท้าก้าวยาวๆ ราวกับดาวตกเดินมาหา
ซ่างกวานเยี่ยนสีหน้านิ่งอึ้ง คล้ายลังเลหลายส่วน ก่อนจะเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ต่อ
เซวียนผิงโหวตามนางมาทัน ขวางทางไปของนางไว้ คล้ายว่าจะมองนางอยู่แวบหนึ่ง และคล้ายว่าไม่ใช่ เขาหรี่ตาเอ่ย “ซ่างกวานเยี่ยน เจ้ากำลังหลบหน้าข้าใช่หรือไม่”
ซ่างกวานเยี่ยนทอดมองบรรดาทหารที่กำลังฝึกรบท่ามกลางราตรี สีหน้าไม่สะทกสะท้านเอ่ย “หลบหน้าเจ้ารึ อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญเพียงนั้น เจ้ามีอะไรควรค่าให้ข้าหลบด้วย”
เซวียนผิงโหวสีหน้าหมดคำจะพูด “เช่นนั้นคืนนั้นเจ้าหนีเสียไวเพียงนั้น อย่างกับอันนั้นแหน่ะ”
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยเสียงนิ่ง “ใครให้เจ้าน่ารำคาญเพียงนั้นกันเล่า”
“ก็ได้ ก็ได้ ก็ได้ ข้าน่ารำคาญเอง” เซวียนผิงโหวยกสองมือไพล่หลัง มองนางอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก “ขอแค่เจ้าบอกข้าว่าลูกชายข้าอยู่ที่ใด ข้าจะไม่มากวนเจ้าให้รำคาญอีกเลย”
ซ่างกวานเยี่ยนแค่นเสียงเอ่ย “ลูกชายเจ้าไปด่านชางเสวี่ยเพื่อเจรจาสงบศึกกับกองทัพแคว้นเฉินมิใช่หรือไร”
เซวียนผิงโหวเอ่ย “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายถึงลูกชายคนนั้น”
ซ่างกวานเยี่ยนยิ้มเย็นเอ่ย “ใช่สิ เจ้ามันเจ้าชู้ประตูดินเป็นนิสัย เจ้าไข่ทิ้งไปเรื่อย ไม่ได้มีลูกชายอย่างอาเหิงแค่คนเดียวหรอก”
เซวียนผิงโหวมองนางอย่างลุ่มลึกก่อนจะเอ่ยแฝงความนัย “ซ่างกวานเยี่ยน เจ้าคงไม่ได้กำลังหึงหวงอยู่กระมัง”
ซ่างกวานเยี่ยนตีหน้าเคร่งเอ่ย “ข้าเป็นองค์หญิง วังหลังของข้ามีบุรุษนับพัน ข้าจะไปหึงหวงเจ้าเพื่อการใด”
“เช่นนั้นก็ดี”
ซ่างกวานเยี่ยนถลึงตาใส่เขาอย่างเย็นชา เดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
เซวียนผิงโหวเบนฝีเท้าไปดักนางไว้ แววตาเจือความจริงจังหลายส่วน แตกต่างจากท่าทางเอ้อระเหยอิสระเสรีอย่างเมื่อก่อนเป็นพิเศษ “เซียวชิ่งอยู่ที่ใดกันแน่”
ซ่างกวานเยี่ยนหันหน้าหนี ทอดมองขบวนทัพเบื้องหน้า “อยากรู้ว่าลูกชายเจ้าอยู่ไหน ก็เอาฉู่เฟยเผิงมาแลก”
เซวียนผิงโหวโมโหจนหัวเราะ “ฉู่เฟยเผิงใช่หรือไม่ ได้ เจ้าเอาไป”
เอ่ยจบ เขาก็หุบยิ้ม “ลูกชายของข้าอยู่ที่ใด”
ซ่างกวานเยี่ยนกำมือแน่น สีหน้าเคร่งขรึมเอ่ย “ชิ่งเอ๋อร์อยู่ในหมู่บ้านหุบเขาแห่งหนึ่งละแวกเซิ่งตู รอให้สถานการณ์มั่นคงก่อน ข้าจะไปรับเขากลับมา”
…
“บัดซบ!”
อีกด้านหนึ่ง ภายในเขาผีของเมืองผู่ หมิ่นหงอีพาลูกน้องไปค้นหาในป่า สุดท้ายบรรดาชายฉกรรจ์ทั้งกลุ่มต่างก็พากันหลงทางกันหมดแล้ว
ทหารนายหนึ่งชี้รอยมีดบนต้นไม้ใหญ่ด้านข้างพลางเอ่ย “แม่ทัพหมิ่น! ที่นี่มีสัญลักษณ์ที่พวกเราทำไว้เมื่อครู่นี้อยู่! พวกเราอ้อมมาที่เดิมอีกแล้ว!”
หมิ่นหงอีขมวดคิ้ว
คนที่นำทัพออกศึกย่อมแยกแยะทิศทางได้บ้าง แต่ป่าผืนนี้ก็ไม่รู้ว่ามันอย่างไร ต้นไม้ล้วนหน้าตาเหมือนกันหมด ตะวันบนฟ้าก็ลับเขาไปแล้ว แสงจันทรากับดาวรุ่งก็หายลับไปแล้ว ทำให้แยกแยะทิศทางไม่ได้
อาศัยแค่ประสบการณ์ก้มหน้าก้มตาเดินไปข้างหน้าอย่างเดียว ตามหลักการแล้วควรจะออกไปได้ แต่เดินไปเรื่อยๆ นึกไม่ถึงว่าจะกลับมาที่เดิม
ช่างแปลกพิกลนัก!
ฟุ่บ!
จู่ๆ ทหารนายหนึ่งก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าเยื้องๆ นี้มีเงาดำสายหนึ่งเร้นวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาหันหน้าขวับ “ผู้ใดน่ะ!” ทว่าสิ่งที่สะท้อนเข้าม่านตามีเพียงป่าไม้ดำทะมึนเงียบสงัดเท่านั้น
“เจ้าห้า เจ้าเป็นอะไรไป” สหายตบแขนเขาอย่างขบขัน “ตระหนกถึงเพียงนี้ เจ้าคงไม่ได้ขี้ขลาดถึงเพียงนี้กระมัง”
สหายอีกคนหนึ่งก็ขบขันเช่นกันก่อนจะเอ่ย “นั่นสิ ที่นี่มีนามว่าภูเขาผีแล้วจะมีผีจริงๆ หรือไร ต่อให้มีเรื่องนี้จริง พวกเราติดตามใต้เท้าหมิ่น จะกลัวภูตผีปีศาจไปไย”
ประโยคนี้พูดแทงใจหมิ่นหงอีเข้าแล้ว
ใช่ เขาหมิ่นหงอีฟ้าไม่กลัว ดินไม่กลัว ทะลุฟ้า สะเทือนดิน ภูเขาผีขี้สุนัขอะไร ก็แค่ข่าวลือที่ถูกสร้างขึ้นโดยพวกขี้ขลาดตาขาวเท่านั้น มีสิ่งใดต้องกลัวกัน!
ความรู้สึกแปลกประหลาดในใจหมิ่นหงอีถูกขับไล่หายไปหมด ไม่รู้เพราะความกล้าหาญของตัวเองทำฟ้าดินตื่นตะลึงหรือไม่ นึกไม่ถึงว่าเมฆดำเหนือศีรษะจะโดนลมเย็นพัดหายไปสิ้น
ชั่วขณะที่แสงจันทร์ปรากฏขึ้น ทุกคนต่างพรูลมหายใจโล่งอก กลับมาแดนหยางแล้ว
ใครจะคิดว่ายังไม่ทันถอนจนสุดปอด ด้านหลังพวกเขาก็มีเสียงกรีดร้องของทหารคนหนึ่งดังขึ้น “เสี่ยวหลัวหายไป! เมื่อครู่ยังคุยกับข้าอยู่เลย! จู่ ๆ…จู่ ๆ ก็หายไปแล้ว!”
ทุกคนต่างหนักใจขึ้นมา หมิ่นหงอีสายตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็งกุมดาบพกตรงบั้นเอวไว้ “แบ่งกลุ่มห้าคน เดินกันเป็นกลุ่ม!”
เหล่าทหารจิ้นพากันเก็บอาวุธในมือ คล้องแขนกันไว้ เช่นนั้นก็ปลอดภัยแล้ว อย่างไรเสียก็คงไม่หายไปพร้อมกันห้าคนหรอก
…
“นี่ แม่หนู พวกเรายังต้องเดินกันอีกนานเท่าใด”
ถังเย่ว์ซานที่โดนหลอกผีจนเกือบตายนั่งกลับบนหลังม้าตัวเองด้วยสีหน้าเรียบนิ่งได้แล้ว ซ้ำยังเผยสีหน้าเมื่อครู่นี้เพื่อปกป้องนาง ไม่ใช่เพราะตนหวาดกลัวเด็ดขาด!
“ใกล้แล้ว” กู้เจียวเอ่ย “ข้างหน้าน่าจะมีถ้ำ พวกเราไปหลบในถ้ำกันสักคืน”
กู้เจียวคุ้นเคยกับภูมิประเทศของชายแดนดีจนชวนสงสัย ถังเย่ว์ซานยังนึกว่านางศึกษามาล่วงหน้า จำแผนที่ทั้งหมดได้
ถังเย่ว์ซานกุมบังเหียนแน่น ถอนหายใจเฮือกเอ่ย “จะว่าไปแล้ว พวกเราเข้าเมืองผู่มาหนึ่งวันแล้ว ยังไม่เจอเหล่ากู้เลย เจ้าคิดว่าเขาไปไหน จะไปค่ายทหารหรือไม่ กงซุนอวี่วันนี้ก็ไปค่ายทหาร เหล่ากู้เขาไม่มีทางซวยถึงขั้นเจอกับกงซุนอวี่หรอกกระมัง”
“นี่ แม่หนู ไยเจ้าไม่พูดเล่า”
“ดีร้ายอย่างไรเจ้าก็จิ๊ปากสักหน่อยสิ…”
ถังเย่ว์ซานหันมามองกู้เจียวอย่างขุ่นเคือง สิ่งที่เห็นกลับเป็นป่าอันว่างเปล่า วาจาทั้งหมดของเขาติดอยู่ในลำคอ
…
ในป่าเริ่มมีหมอกแล้ว
เริ่มไม่เห็นแสงจันทร์เหนือศีรษะอีก
หลังจากสูญเสียสิ่งส่องแสงได้ไป ความรู้สึกต่อทิศทางก็เริ่มเปลี่ยนแปร
ราชาม้าเฮยเฟิงเป็นม้าที่ห้าวหาญชำนาญศึก กลับไม่ได้เติบโตในป่า
สำหรับราชาม้าเฮยเฟิงแล้ว ที่นี่ก็เป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยสุดจะเปรียบเช่นกัน
กู้เจียวรู้ตัวไวกว่าถังเย่ว์ซานว่าพวกนางพลัดกัน เพียงแต่นางจะแหกปากโวยวายไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะเรียกถังเย่ว์ซานได้หรือเรียกทหารจิ้นมาก่อนก็ยังไม่แน่
“สถานที่แห่งนี้ไม่ค่อยปกติ”
กู้เจียวมองไปรอบๆ
นางไม่มีอะไรให้อ้างอิง เป็นเพียงสัญชาตญาณที่ถูกฝึกได้เมื่อตกอยู่ในอันตราย
ฟุ่บ!
เงาดำสายหนึ่งเร้นผ่านด้านหลังนางไป
สองหูกู้เจียวขยับไหว สีหน้ากลับไร้การเปลี่ยนแปลง
นางสั่งให้ราชาม้าเฮยเฟิงเดินหน้าต่อ
ฟุ่บ!
เงาดำสายหนึ่งเร้นผ่านหลังนางไปอีกหน
กู้เจียวยังคงไม่หยุด
หนึ่งคน หนึ่งม้ามุ่งไปข้างหน้าอย่างสงบนิ่ง
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!
เงาร่างหลายสายคล้ายโดนยั่วโมโห เร้นผ่านไปมา พยายามเรียกความหวาดกลัวจากกู้เจียว
กู้เจียวไม่เหลือบตาขึ้นมองสักนิด
“เจี๋ยเจี๋ย คนเป็นที่ภูเขาผีของพวกเราคราวนี้เก่งกาจนัก… เจ้าดูสิเขาไม่กลัวเลย… ม้าของเขาก็ไม่กลัว…”
“ข้าจะกินม้าของเขา…”
“เจ้าโง่ ม้าไหนเลยจะอร่อยเท่าคน อยู่ในแดนหยินมาตลอด ข้าไม่ได้กลิ่นอายของคนเป็นมานานมากแล้ว…ช่างหอมจริงๆ …”
“คืนนี้ประตูผีเปิด พญายมมา ผีน้อยอย่างพวกเราก็สามารถลิ้มรสชาติของคนเป็นได้เช่นกัน…เจี๋ยเจี๋ย…”
ผีน้อยรึ
ถูกต้อง
กู้เจียวคล้ายไม่ได้ยินบทสนทนาของชวนสยองขวัญเหล่านี้ เดินไปในส่วนลึกของป่าไม้ด้วยกันกับราชาม้าเฮยเฟิง
ไปได้ไม่กี่ก้าว ตาข่ายใหญ่ก็ร่วงลงจากเหนือศีรษะนาง
กู้เจียวดึงแส้ตรงบั้นเอวออกมา ฟาดไปยังทิศทางหนึ่งท่ามกลางราตรีสีมืด แส้ฟาดลงกลางอากาศเสียงดังเพียะ!
แทบจะในขณะเดียวกัน เงาร่างเล็กสีหน้าซีดขาวสายหนึ่งก็ถูกแส้ของกู้เจียวตลบม้วนเข้ามา
กู้เจียวพลิกมือมัดเขาไว้บนหลังม้า
ใต้ตาข่ายผืนใหญ่ กู้เจียวยกมือขึ้นคว้า แล้วโยนตาข่ายใหญ่ออกไปไกลลิ่ว!
ฝีมือกระจอกๆ พรรค์นี้ จัดการกับคนกลัวผีอย่างถังเย่ว์ซานยังพอทำเนา แต่นางกลัวผีที่ไหนกัน
กู้เจียวมองยะ…ยมทูตเฮยอู๋ฉางน้อย(กระมัง)ที่อยู่บนหลังม้าตัวเอง
นางถาม “พวกเจ้าคือผู้ใด”
ผึ่ง!
เงาร่างหลายสายที่เหลือในป่าพลันแตกกระเจิง เผ่นหนีกันไร้เงา
ในปากยมทูตเฮยอู๋ฉางน้อยอมลิ้นใหญ่และยาวเฟื้อยเอาไว้ ดิ้นขลุกขลักเอ่ย “ข้าคือยมทูตเฮยอู๋ฉาง! เจ้าอย่าคิดล่วงเกินข้าเชียว! องค์ราชาผีได้กินเจ้าแน่!”
ชื่อเฮยอู๋ฉางจริงๆ ด้วย
กู้เจียวดีดหน้าผากเขา
เฮยอู๋ฉางน้อยถูกดีดจนร้องโอดโอย “โอ๊ย!”
กู้เจียวแค่นเสียงเอ่ย “ผีกลัวเจ็บด้วยรึ”
เฮยอู๋ฉางน้อยบื้อใบ้อยู่เนิ่นนาน บ้วนลิ้นยาวเฟื้อยเกะกะในปากทิ้ง แล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้ายังเด็ก เจ้าเป็นผู้ใหญ่ ไอหยางบนร่างเจ้าเข้มข้นนัก เจ้าแตะต้องข้าร่างกายข้าจะแผดเผาบาดเจ็บ ข้าจึงได้ร้อง!” เขาเอ่ยจบก็ยัดลิ้นกลับคืนไป
ทำเสียสมเหตุสมผลทีเดียว กู้เจียวยกนิ้วให้เขาอยู่ในใจ
“เจ้ากี่ขวบแล้ว” กู้เจียวถาม
“เจ็ดขวบ”
เพิ่งจะเอ่ยจบ เฮยอู๋ฉางน้อยก็นึกเสียใจขึ้นมาแล้ว เขารีบเอ่ยแก้ “เจ็ดร้อยปี!”
มุมปากกู้เจียวกระตุกยิกๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ให้เจ้าเลือกสองทาง หนึ่ง พาข้าไปพบราชาของพวกเจ้า”
“เป็นราชาผีต่างหาก!” เฮยอู๋ฉางน้อยดึงลิ้นยาวเฟื้อยออกมาก่อนจะเอ่ยอย่างดุดันโหดเหี้ยม “องค์ราชาผีผู้สูงสุดในยมโลก! มีพลังอันศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทาน! กิน…กินผู้ใหญ่ตัวเป็นๆ เยี่ยงเจ้าได้เป็นร้อยคน!”
“ก็เหมือนกันละน่า” กู้เจียวโบกมืออย่างไม่ใคร่ใส่ใจ “สอง ส่งตัวสหายของข้ามา”
เฮยอู๋ฉางน้อยเอ่ย “พวกเราไม่ได้จับสหายของเจ้าไป!”
กู้เจียวเอ่ยนิ่งๆ “ดูท่าเจ้าจะอยากเลือกประการแรก”
เฮยอู๋ฉังน้อยแค่นเสียงเฮอะเอ่ย “เจ้าต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์พบองค์ราชาผีของพวกเรา! องค์ราชาผีของพวกเรา…ว้ากกก…”
เขาเอ่ยไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็ถูกกู้เจียวคว้าตัวขึ้นมา เขาตกใจจนหลุดร้องเสียงหลง
ธนูดอกหนึ่งแฉลบอานม้าไป ยิงมาจากบริเวณที่เขาหมอบเมื่อครู่ ปักเข้าต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างอย่างจัง
ขนไก่ตรงปลายหางธนูสั่นระริกจนเป็นเงาติดตา เห็นได้ชัดว่าเป็นพละกำลังมหาศาลมาก เมื่อครู่หากกู้เจียวไม่ได้มีปฏิกิริยาว่องไว เฮยอู๋ฉางน้อยคงโดนยิงกลายเป็นเนื้อเสียบไม้ไปแล้ว