สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 842 ทหารม้าเฮยเฟิงออกโรง!

บทที่ 842 ทหารม้าเฮยเฟิงออกโรง!

บทที่ 842 ทหารม้าเฮยเฟิงออกโรง!

สิ้นเสียงคำสั่ง ฝนลูกธนูได้ก่อตัวขึ้นเต็มท้องฟ้า พร้อมทั้งพลังทำลายล้างอันมหาศาล และเต็มไปด้วยเสียงยิงอันดังระงม

เมื่อพลธนูแถวแรกยิงเสร็จก็รีบถอยกลับเพื่อเติมลูกธนู พลธนูแถวหลังก้าวไปข้างหน้าและเริ่มการยิงอย่างไร้ความปรานี!

มีพลธนูด้วยกันทั้งหมดสามแถว ความร่วมมือของพวกเขาไม่เพียงแต่ทำให้พวกเขาโจมตีได้อย่างไร้รอยต่อ แต่ยังช่วยให้ความแข็งแรงของแขนของพวกเขาฟื้นคืนมาได้อย่างเต็มที่อีกด้วย

กองทัพเหลียงก็รีบยกโล่ขึ้นเพื่อป้องกันฝนธนูที่พุ่งตรงมาอย่างไม่ขาดสาย

แต่ด้วยความที่โล่นั้นกันได้แค่ด้านเดียว หากยกโล่ขึ้นสูงก็จะกันได้แค่ช่วงหัว ยกต่ำก็จะกันได้แค่ช่วงตัว ฝนธนูโจมตีพวกเขาทุกซอกทุกมุม อย่างน้อยต้องมีโดนกันบ้าง

ธนูชุดแรกผ่านไป ทหารแคว้นเหลียงล้มบาดเจ็บจำนวนราวหลักสิบ

ฉังเวยยังคงออกคำสั่งโจมตีต่อ ฝนลูกธนูชุดใหญ่ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องและคร่ำครวญจากทหารแคว้นเหลียง

หลังจากการโจมตีสามรอบ คราวนี้ทหารแคว้นเหลียงที่ถูกยิงเริ่มเพิ่มเป็นจำนวนหลักร้อย

การสูญเสียทหารหลักร้อยอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับกองทัพแคว้นเหลียงที่มีกองกำลังแนวหน้าสองหมื่นนาย แต่หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เกรงว่าสถานการณ์จะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

โดยเฉพาะกับการที่อีกฝ่ายแทบไม่สูญเสียกำลังพลเลยแม้แต่คนเดียว ถ้าเสียก็มีแค่ลูกธนูจำนวนมหาศาลที่ใช้ยิงก็เท่านั้น

ซ่งข่ายเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันจากอีกฝ่าย

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ

ฉังเวยเป็นคนของหนานกงมิใช่รึ เหตุใดถึงโจมตีแคว้นเหลียงล่ะ

หรือว่า คืนนั้นที่หนานกงเจวี๋ยมาขอเจรจากับเขาจะเป็นแค่การเล่นละครตบตาเพื่อดึงความสนใจของเขา และปูทางสะดวกให้ฉังเวยได้เข้ามาทำลายยุทโธปกรณ์ของพวกเขา

ที่ผ่านมาตระกูลหนานกงหลอกใช้พวกเราอย่างนั้นรึ

ซ่งข่ายหรี่ตาลงด้วยความคับแค้นใจ ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อวันนี้ฉังเวยเลือกที่จะโจมตีเขา ก็อย่าหาว่าพวกเราเล่นไม่ซื่อก็แล้วกัน!

จากนั้นซ่งข่ายรวบรวมกำลังภายในทั้งหมดที่มี หักก้านธนูที่ปักอยู่ที่หัวไหล่ออก จากนั้นออกคำสั่ง “ทุกคน อย่าเพิ่งขวัญเสีย! ฟังคำสั่งของข้า! กองหน้าฝั่งซ้าย จัดขบวนทัพให้เป็นรูปนกกระเรียน!”

ขบวนรูปนกกระเรียนเป็นวิธีจัดขบวนทัพที่บุกเบิกขึ้นโดยฉู่เฟยเผิง ที่ตั้งชื่อนี้เพราะเมื่อมองจากที่สูงจะดูเหมือนนกกระเรียนบิน

เมื่อนำโล่ทั้งหมดมาประกบเข้าด้วยกันก็จะกลายเป็นหลังคาเหล็ก โดยแถวหน้าเองก็ถูกบังด้วยโล่แนวตั้งเช่นกัน

ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถป้องกันการโจมตีจากลูกธนูได้

แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะคิดน้อยกันเกินไป

“ใช้รถยิงหิน!”

ฉังเวยออกคำสั่ง

พลธนูถอยออกไปด้านข้างด้วยท่าทางที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ไม่นานรถยิงหินก็ถูกเข็นเข้ามาบริเวณหอคอย พวกเขาบรรจุกระสุนหิน กดเครื่องลง และทำการยิงทันที

โดยมีทหารม้าเฮยเฟิงบางส่วนเข้ามาช่วยเหลือด้วย

เฉิงฟู่กุ้ยถึงกับอ้าปากค้างอยู่นาน “เจ้าพวกนี้…ไม่เลวเลยนี่นา…”

ตอนแรกที่ทหารกบฏกลุ่มนี้ถูกคนของพวกเขาจัดการ ยังแอบคิดอยู่เลยว่าจะเอาคนพวกนี้มาใช้งานอะไรได้อีก

กู้เจียวเอ่ย “แต่ละคนย่อมมีความถนัดแตกต่างกันไป พวกเขาอาจไม่ถนัดต่อสู้ระยะประชิด แต่ชำนาญด้านการป้องกันเมืองมากกว่า”

เมืองฉวี่หยางมีป้อมปราการที่แข็งแกร่ง รวมถึงกลยุทธ์การป้องกันเมืองที่เหนือชั้น

ถ้าเมืองเยว่กู่ในแคว้นเจามีกองกำลังทหารดีๆ แบบนี้บ้าง คงจะเหนื่อยน้อยกว่านี้

แม้ว่ากองทัพแคว้นเหลียงจะมีจำนวนมาก แต้ตราบใดที่ประตูเมืองไม่เปิดและหอคอยของเมืองไม่พังทลายลง พวกเขาก็ไม่สามารถทะลุแนวป้องกันของฉังเวยไปได้

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม กองกำลังทหารของแคว้นเหลียงเริ่มล้มเจ็บหลักพัน ซ่งข่ายกัดฟันสั่งให้กองทัพล่าถอยอย่างไม่เต็มใจ

ในการโจมตีระลอกแรก พวกเขาแทบไม่ได้เข้าใกล้กำแพงเมืองด้วยซ้ำ

ขนาดว่าพวกเขาเลือกที่จะโจมตีกลับด้วยรถยิงหิน แต่เพราะการโจมตีอย่างรุนแรงและต่อเนื่องจากฝั่งฉังเวยที่แทบไม่มีช่องว่างให้พวกเขาได้ยิงตอบเลยด้วยซ้ำ กลายเป็นว่าสิ้นเปลืองทรัพยากรเข้าไปอีก

หลังจากกองทัพแคว้นเหลียงหยุดพักเป็นเวลาสองชั่วยาม พวกเขาก็เริ่มการโจมตีระลอกที่สองในเวลากลางคืน

คราวนี้พวกเขาเตรียมการมาอย่างดี ในที่สุดรถยิงหินของพวกเขาก็ถูกใช้งาน และสร้างความเสียหายให้กับทหารบนหอคอย

ขณะที่ฉังเวยใช้ดินปืนโจมตีกลับ

เนื่องจากแคว้นเยี่ยนไม่มีเหมืองดินประสิวขนาดใหญ่ ทำให้ดินปืนมีจำกัดมาก และยากต่อการนำไปใช้ในกองทัพ

ฉังเวยงัดทุกอย่างที่มีอยู่ในกล่องอุปกรณ์ออกมาใช้ เมื่อเห็นว่าแรงระเบิดจากดินปืนที่มีอยู่ไม่แรงพอ เขาจึงเลือกผสมยาขับเหงื่อลงไปด้วย

และแล้วกองทัพเหลียงก็ถูกขับไล่อีกครั้ง

ซ่งข่าบอับอายมากจนเดือดดาล!

เขาลากแขนที่บาดเจ็บ ขี่ม้าศึก ชักดาบขึ้นแล้วชี้ไปที่หอคอย “ฉังเวย! แน่จริงก็ลงมาสู้กันตัวต่อตัวสิ! เอาแต่หลบอยู่บนหอคอยอยู่ได้”

“ยิง” นี่คือคำพูดที่ฉังเวยตอบกลับ

โชคดีที่มีทหารคนสนิทคอยคุ้มกัน ไม่เช่นนั้นซ่งข่ายคงได้กลายเป็นเม่นไปแล้ว

ซ่งข่ายผู้ไม่ยอมแพ้ยังคงยืนหยัดโจมตีฉังเวยต่อ แต่ไม่นานเขาก็ถูกฉังเวยโจมตีกลับจนต้องถอยทัพหนีไปอีกครั้ง

และแล้ว การป้องกันเมืองวันแรกก็ผ่านไปด้วยดี!

ทหารทุกคนเริ่มได้ความมั่นใจกลับคืนมามากขึ้น หลังจากที่เคยแพ้ให้กับทหารม้าเฮยเฟิงจนเสียกำลังใจ

ถึงอย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงเป็นกองกำลังของตระกูลหนานกง ที่พวกเขาเลือกฟังคำสั่งฉังเวยนั้นก็เพราะอานิสงส์จากตระกูลหนานกงในอดีต

แต่ตอนนี้ ตระกูลหนานกงไม่ได้อยู่ที่เมือง ฉังเวยจึงกลายเป็นกุญแจสำคัญ และพวกเขาเลือกที่จะทำตามสั่งฉังเวย

เมื่อฉังเวยเดินลงมาจากหอคอย ก็เจอกับกู้เจียวพอดี

กู้เจียวที่อยู่ในท่ายืนกอดอกและพิงไหล่ขวาบนกำแพงเมืองเอ่ยขึ้น “ทำได้ดีมาก เหล่าฉัง”

ฉังเวยเหลือบมองกู้เจียวด้วยสายตาเย็นชา “เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น นอกจากนี้ ข้าทำเพื่อราษฎร ไม่ได้ทำเพื่อขอความร่วมมือจากเจ้า”

กู้เจียวแบมือ “ก็เรื่องของเจ้า อย่างน้อยก็ดีที่เจ้าไม่ได้ร่วมมือกับแคว้นเหลียง”

จากนั้นก็ยกมือป้องปากแล้วอ้าปากหาวต่อ “นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าไปพักผ่อนล่ะ ฝากภารกิจปกป้องเมืองไว้กับแม่ทัพฉังด้วยนะ”

ฉังเวยขมวดคิ้วพร้อมกับมองอีกฝ่ายเดินไปจนลับสายตา จากนั้นเขาจึงไปที่ค่ายพยาบาลเพื่อเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บในวันนี้

หลังจากเข้ามาในค่ายพยาบาล นายหมอจึงได้เล่าให้เขาฟังว่าทหารหลายนายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกือบเสียชีวิตล้วนได้รับการช่วยเหลือโดยแม่ทัพกองทัพม้าเฮยเฟิง

แม่ทัพหนุ่มลงแรงในค่ายพยาบาลเพื่อรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บตราบเท่าที่การต่อสู้ยังดำเนินต่อไปบนหอคอย และอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งการต่อสู้ได้สิ้นสุดลง

“เข้าใจแล้ว” ฉังเวยเอ่ย

สามวันถัดมา กองทัพแคว้นเหลียงได้เปิดการโจมตีไม่น้อยกว่าสิบครั้ง แต่กลับถูกกองกำลังของฉังเวยสกัดกั้นออกไปได้ทุกครั้ง

ในเมืองมีเสบียงที่กู้เจียวปล้นมาจากหนานกงเจ๋อ ซึ่งเพียงพอต่อการจุนเจือปากท้องทหารทุกคน ต่อให้ต่อสู้กันไปอีกสิบวันหรือครึ่งเดือนก็ไม่มีปัญหา นอกจากนี้ ยังมีกองกำลังจักรวรรดิอีกหนึ่งแสนนายที่กำลังจะมาสมทบภายในอีกห้าถึงเจ็ดวัน

สถานการณ์ที่เมืองฉวี่หยางเริ่มดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยชัยชนะอย่างมีความสุข ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

ประตูเมืองทางตอนเหนือถูกพังทลาย!

ไม่ใช่ฝีมือของทหารแคว้นเหลียง แต่เป็นเป็นลูกน้องตระกูลหนางกงที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเมืองใช้ดินปืนระเบิดจนประตูเมืองเกิดความเสียหาย

ลูกน้องที่ว่าเป็นทหารในกองทัพที่ได้รับหน้าที่ให้เฝ้าประตูเมืองทางเหนือ คืนเกิดเหตุซึ่งตรงกับเวรของเขา ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะก่อเรื่องแบบนั้นขึ้น

ทันทีที่ประตูเมืองทางเหนือพังทลายลง ทุกคนก็รีบรุดไปจับตัวเขา แต่เขาได้จุดสัญญาณพลุแล้ว

“อะไรน่ะ” ณ ค่ายทหาร เฉิงฟู่กุ้ยมองดูพลุที่อยู่บนฟ้า “สวยดีนี่”

หลี่จิ้นขมวดคิ้วทันที “มาจากทิศเหนือ”

เถิงชงถามด้วยความสงสัย “เกิดเรื่องขึ้นที่ประตูเมืองทิศเหนือรึ”

“พลุนี้ ไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร รีบส่งคนไปตรวจเร็ว” หลี่จิ้นเอ่ย

พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร แต่ฉังเวยรู้อย่างดี นี่เป็นสัญญาณชัดเจนว่าประตูเมืองถูกบุกรุกแล้ว!

พวกทหารแคว้นเหลียงอยู่ที่นอกประตูเมืองตะวันตกมิใช่รึ แล้วใครกันที่บุกเข้ามาทางทิศเหนือ

หรือว่า

จะมีไส้ศึก!

หัวใจฉังเวยแทบตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม!

กู้เจียวที่กำลังทำแผลให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อได้ยินเสียงดังจากข้างนอก ก็รีบขึ้นไปที่หอคอยแล้วถามฉังเวยทันที “เกิดอะไรขึ้น”

“ประตูเมืองทิศเหนือถูกบุกรุกแล้ว” ฉังเวยตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

“บุกรุกอย่างนั้นรึ มีใครคุ้มกันอยู่ที่นั่นบ้างหรือไม่” กู้เจียวถาม

ฉังเวยลองคาดการณ์จากประสบการณ์ที่เคยพบเจอ “ไม่มีเลย อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าทุกอย่างจะเลวร้ายลงกว่าเดิม”

“พวกนั้นถอยทัพไปแล้ว” ทันใดนั้น นายทหารคนหนึ่งตะโกนขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วไปทางกองทัพแคว้นเหลียง

“ไม่ใช่ถอยทัพหรอก แต่มุ่งหน้าไปทางประตูเมืองทิศเหนือต่างหาก” กู้เจียวเอ่ย

พวกเขากำลังจะบุกเข้าไปทางทิศเหนือแล้ว

กู้เจียวและฉังเวยรีบลงจากหอคอยทันที

กู้เจียวเป่านกหวีดเรียกเจ้าเฮยเฟิง จากนั้นกระโดดขึ้นมันอย่างรวดเร็ว

ฉาังเวยสั่งให้รองแม่ทัพรับผิดชอบป้องกันประตูเมืองตะวันตกชั่วคราว จากนั้นเขาก็ขี่ม้าตามกู้เจียวไปทางประตูเมืองทิศเหนือ

ระหว่างที่พวกเขาไปได้ครึ่งทาง ก็มีรายงานเข้ามา “แม่ทัพฉัง เกิดเรื่องแล้วขอรับ ประตูเมืองทลายแล้วขอรับ!”

“เล่าให้ชัดเจนกว่านี้!” ฉังเวยเอ่ย

สายข่าว “มีนายทหารที่ชื่อจางต้าหม่านแอบลักลอบระเบิดกระเดื่องประตูระหว่างที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ขอรับ!”

กระเดื่องประตูหมายถึงบานพับประตู หากไม่มีบานพับ ประตูจะไม่สามารถใช้งานได้

ซึ่งกระเดื่องประตูเมืองที่ว่าทำจากหิน มันถูกรวมเข้ากับประตูเมืองทั้งบาน เมื่อถูกทำลาย เป็นไปไม่ได้เลยที่จะซ่อมขึ้นใหม่ แม้จะสร้างใหม่ได้ แต่ไม่สามารถทำให้เสร็จได้ภายในหนึ่งหรือสองวัน

ฉังเวยถึงได้ตระหนักในทันทีว่าสถานการณ์อาจเริ่มแย่ลง

หากกองทัพแคว้นเหลียงฉวยโอกาสนี้บุกเข้าไปในเมืองจะต้องเกิดหายนะขึ้นอย่างแน่นอน

กองทหารของประตูเมืองอีกสามประตูที่เหลือไม่สามารถถอนกำลังออกได้ เพราะศัตรูของพวกเขาไม่ได้มีเพียงกองทัพแคว้นเหลียงเท่านั้น แต่ยังมีตระกูลหันและแคว้นจิ้นที่กำลังจับตาดูพวกเขาอยู่ด้วย

เท่ากับว่าตอนนี้กองกำลังทหารเริ่มไม่เพียงพอ…

“แม่ทัพฉังกลับไปป้องกันประตูเมืองตะวันตกเช่นเดิมเถิด ฝั่งเหนือปล่อยให้ทหารม้าเฮยเฟิงจัดการเอง” กู้เจียวเอ่ย

ฉังเวย “แต่ว่า…”

กู้เจียวกระชับสายบังเหียนและมองไปทางเหนือของเมือง “จากนี้ไป พวกเราม้าเฮยเฟิงจะใช้ร่างกาย เลือดเนื้อ และจิตวิญญาณทั้งหมดทำหน้าที่เป็นประตูเมืองให้เอง!”

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : สามีข้าคือขุนนางใหญ่ ชื่อภาษาอังกฤษ : The Grand Secretary's Pampered Wife ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง(偏方方) ในอนาคตเขาจะได้เป็น 'ขุนนางใหญ่' อย่างนั้น 'เจ้' คนนี้จะประคอง 'สามี' คนนี้ ให้ไปถึงฝั่งฝันนั้นเอง! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม! จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้จียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เชียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ เพราะบุญคุณเชียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ แต่พราะ "ฝันบอกเหตุ' ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนหม่ได้รู้ว่าเขี้ยวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ยทั้งหลายเพื่อประคองเขาชื้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

Options

not work with dark mode
Reset