สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 835 ศึกแคว้นเหลียง

บทที่ 835 ศึกแคว้นเหลียง

บทที่ 835 ศึกแคว้นเหลียง

Ink Stone_Romance

ยามเหม่า ทหารม้าเฮยเฟิงทั้งหลายที่ล้มระเนระนาดพักผ่อนอยู่บนพื้นนอกเมืองต่างตื่นกันแล้ว พากันเข้าแถวจัดทัพยืนต้านลม

ไม่ว่าร่างกายจะยังเหนื่อยล้าเพียงใด อ่อนแรงเพียงไหน พอจัดทัพ พวกเขาก็สามารถเข้าสู่สภาพพร้อมรบได้อย่างรวดเร็ว

กู้เจียวที่วุ่นมาทั้งคืน ไม่เคยได้หลับแม้แต่เค่อเดียวยามนี้กำลังนั่งอยู่บนหลังราชาม้าเฮยเฟิงในชุดศึกสีชาดดุจเพลิง ชุดเกราะสีนิลดุจคมดาบ ลมแรงหวีดหวิวระหว่างฟ้าดินไม่อาจพัดไอสังหารและเจตนารบของเด็กหนุ่มไปได้เลย

ผ่านศึกใหญ่เมื่อวานมา ทุกคนต่างมองผู้บัญชาการน้อยคนนี้ใหม่

จะมอบความจงรักภักดีให้เขาได้หรือไม่นั้นเอาไว้ก่อน แต่สามารถหันหลังให้เขาได้อย่างวางใจเลย เมื่อเข้าสนามรบ เขาคือราชา!

กู้เจียวมือหนึ่งกุมบังเหียน มือหนึ่งถือหมวกเหล็กของตัวเอง สายตราบเรียบทอดมองทหารม้าเฮยเฟิงทั้งหลายพลางเปล่งเสียงขึ้น “กฎทหารข้อที่สิบ ข้อที่เก้า!”

ทุกคนยืดสันหลังตั้งตรง ท่องขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ…

“การขโมยทรัพย์สินของชาวบ้านเพื่อประโยชน์ส่วนตัว การเด็ดหัวผู้อื่นมาเป็นคุณูปการของตน ที่กล่าวข้างต้นนี้เรียกว่าทหารโจร ผู้กระทำผิดมีโทษประหาร!”

“ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ข่มเหงปวงประชา ข่มขืนสตรี เรียกว่าทหารเลว ผู้กระทำผิดมีโทษประหาร!”

กู้เจียวเอ่ย “ดีมาก พวกเจ้าเป็นทหารต้าเยี่ยน ในเมืองฉวี่หยางก็คือปวงชนของต้าเยี่ยน จดจำหน้าที่บนบ่าตัวเองเอาไว้ ห้ามทำร้ายชาวบ้านในเมืองด้วยวิธีใดก็ตามเป็นอันขาด”

เอ่ยจบนางก็ทอดมองธงแคว้นต้าเยี่ยนกับธงนกอินทรีย์เซวียนหยวนที่ชูขึ้นสูงในมือบรรดาทหารม้า “เข้าเมือง!”

กองทัพเกือบห้าหมื่นนายเข้าเมืองอย่างเอิกเกริก บัดนี้ฟากฟ้ายังไม่สาง ชาวบ้านในเมืองยังคงหลับใหล เสียงกีบเท้าม้าของม้าเฮยเฟิงแผ่วเบามาก พวกทหารก็พยายามลดเสียงเสียดสีของเกราะให้น้อยลง

แต่ถึงกระนั้น เมื่อเดินมาครึ่งทางในเมืองก็เริ่มมีชาวบ้านที่ตื่นเช้ามาทำมาหากินแล้ว

พวกเขาเห็นทหารม้าเฮยเฟิงดุจเทพสังหาร ตกใจนิ่งอึ้งอยู่กับที่กันหมด

ภายในตลาดมีพ่อค้าสะพายของป่าเอ่ยกับสหายข้างกายเสียงเบา “ข้าบอกแล้วว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงกระแทกประตูเมือง พวกเจ้าก็ไม่เชื่อ! พวกเจ้าดูสิ โจมตีเข้ามาแล้วเห็นหรือไม่”

ความแตกต่างของทหารม้าเฮยเฟิงกับกองทัพใหญ่หนานกงนั้นเห็นได้ชัดเจน อันดับแรกมีมาดที่แตกต่างกัน รองลงมาเป็นชุดเกราะกับม้าศึกที่ต่างกันลิบลับ

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงธงที่แนวทัพหน้าชูขึ้นเลย

กู้เจียวขี่ม้านำหน้าสุด นางสวมหมวกเหล็ก แต่ไม่ได้ปิดหน้ากากลง เผยดวงหน้าเยาว์วัยและอ่อนต่อโลกของนางออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย ที่ปรากฏขึ้นยังมีปานบนซีกหน้าด้านซ้ายด้วย

พวกชาวบ้านตกอกตกใจไม่เบา

ราชาม้าเฮยเฟิงเดิมทีก็เป็นราชาในบรรดาม้าศึกอยู่แล้ว มาดของมันไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้

คนผู้มีรูปโฉมแปลกประหลาดนี้ กอปรกับม้าศึกดุร้ายน่ากลัว มีเด็กร้องไห้จ้าขึ้นมาตรงนั้นเลย

มารดาของเด็กรีบปิดปากลูกของตนเอาไว้ กลัวว่าเทพสังหารน้อยผู้นั้นไม่พอใจขึ้นมาจะฆ่าลูกชายนาง!

กู้เจียวไม่ได้สนใจ ขี่ราชาม้าเฮยเฟิงตรงไปข้างหน้า

ปั้ง!

ไม่รู้ว่าบ้านไหนปิดหน้าต่าง

ปั้ง!

ไม่รู้ว่าใครปิดประตูใหญ่!

ราวกับชาวบ้านบนท้องถนนได้สติกลับคืนมาในที่สุด อุ้มลูก เข็นแผงลอยแยกย้ายกันไปหมด ถนนอันคึกคักพลันไร้เงาคน

ที่ปรึกษาหูที่ไสม้าเดินอยู่ด้านหลังกู้เจียวอ้าปากขึ้น “ใต้เท้า เหมือนว่าพวกเรา…จะไม่เป็นที่ต้อนรับเท่าใดเลยนะ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็เป็นคนที่จัดการคนของทัพกบฏต่อราชสำนัก ช่วยชาวเมืองฉวี่หยางจากภัยร้าย ชาวบ้านพวกนี้ไม่ควรเรียงแถวต้อนรับอยู่สองข้างทางหรอกหรือ”

กู้เจียวเอ่ยอย่างเอ้อระเหย “ในสายตาพวกเขา พวกเราต่างหากที่เป็นทัพกบฏ”

ที่ปรึกษาหู “เอ่อ…”

เด็กน้อยวัยราวหนึ่งขวบคนหนึ่งถูกวางอยู่ในตะกร้าข้างแผงผัก ตะกร้าล้มคว่ำผู้ใหญ่ไม่เห็น เจ้าหนูน้อยก็ไม่ร้อง

เขาใช้ทั้งมือทั้งเท้าปีนออกมาจากตะกร้า คลานไปคลานก็มายังถนนหลวง

เฉิงฟู่กุ้ยเดินอยู่ริมสุดของหน้าขบวน เขาเห็นจึงรีบออกจากแถว พลิกตัวลงจากหลังม้า อุ้มเด็กขึ้นมา

เฉิงฟู่กุ้ยเดิมทีหน้าตาไม่โหด จนด้วยเกล้าที่ผ่านศึกมา จมูกช้ำหน้าบวมซ้ำยังมีบาดแผล ดูแล้วค่อนข้างดุร้ายน่ากลัวทีเดียว

เจ้าหนูน้อยร้องไห้จ้า ยื่นมือไปหาบิดามารดาที่อยู่ไม่ไกล

บิดามารดาตกใจหน้าถอดสี เข้าไปในห้องด้านข้าง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ปิดประตูทันที!

เฉิงฟู่กุ้ยงงงวย “ไม่สิ พวกเจ้าไม่ต้องการลูกแล้วรึ”

เจ้าหนูน้อยร้องไห้เสียงดัง ราวกับใจจะขาดปอดจะฉีก ก้องกังวานไปทั่ว ยังไม่วายใช้มือป้อมไร้เทียมทานของตัวเองไปดึงหูของเฉิงฟู่กุ้ยด้วย

เฉิงฟู่กุ้ยโดนดึงหูก็ร้องโอดโอย “โอ๊ยๆๆ ! เจ็บๆๆ !”

สุดท้ายเป็นมู่ชิงเฉินควบม้ามาหา เขาลงจากม้ามาข้างกายเฉิงฟู่กุ้ย “ส่งมาให้ข้าเถิด”

เจ้าหนูน้อยครั้นเข้ามาในอ้อมอกเขาก็หยุดร้องและเชื่อฟังอย่างยิ่ง มือป้อมๆ ก็สงบเสงี่ยมขึ้นยิ่งนัก

สมกับเป็นท่านอารูปงามที่แม้แต่ท่านหญิงน้อยก็ยังปลอบให้สงบได้

มู่ชิงเฉินอุ้มเจ้าหนูน้อยเดินไปเคาะประตูเบาๆ

สามีภรรยาทั้งสองมองลอดช่องประตูมา หากเป็นเฉิงฟู่กุ้ย พวกเขาคงตกใจไม่กล้าเปิดเด็ดขาด มู่ชิงเฉิงไม่ค่อยมีกลิ่นอายสังหารเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้ต่อให้สวมชุดเกราะ แต่อากัปกิริยาก็ยังดูสูงส่งมีกิริยามารยาทของคุณชายผู้เพียบพร้อม

ทั้งสองเรียกความกล้าเปิดประตูออก

มู่ชิงเฉินส่งเด็กคืนให้พวกเขา

“ต่อไปก็ระวังหน่อย” เขาเอ่ยเตือน

สองสามีภรรยามองคุณชายรูปงามตรงหน้าอย่างนิ่งอึ้ง “อ่า ขะ…ขอรับ…”

มู่ชิงเฉินหันหลังจากไป ก่อนจะเข้าไปในแถวด้วยกันกับเฉิงฟู่กุ้ย

เห็นลูกชายในอ้อมอกปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ทั้งสองก็ต่างรู้สึกเหลือเชื่อ

ข่าวที่เมืองฉวี่หยางถูกชิงคืนแพร่สะพัดไปถึงด่านเทียนซานที่ไกลออกไปกว่าร้อยลี้ภายในวันเดียว

ณ จวนเจ้าเมืองหลินเฟิง นายท่านอาวุโสหันกับลูกหลานทั้งหลานรวมตัวกันอยู่ในห้องโถง ครั้นฟังรายงานจบ บรรยากาศภายในห้องบุปผาก็ค่อนข้างหนักอึ้ง

บุตรชายคนโตของนายท่านอาวุโสหันและบิดาของหันเย่ หันเหลย สะทกสะท้อนใจเอ่ย “คิดไม่ถึงว่ากองทัพหันถิงจะมาถึงเร็วปานนี้”

นายท่านห้าหันผมสีเงินยวงทั้งศีรษะที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับหันเหลย เขาเอ่ย “กองกำลังหลักยังไม่ถึง มีเพียงทหารม้าเฮยเฟิงที่มาถึงแล้ว”

หันเหลยปรายตามองน้องชาย “ข้าก็หมายความแบบนี้แหละ ทหารม้าเฮยเฟิงก็เป็นกองทัพของราชสำนักเช่นกัน”

เมื่อก่อนตระกูลหันไม่มีกลิ่นอายดินปืนปะทุเข้มข้นเพียงนี้ พอสงครามเริ่มขึ้น จิตใจของทุกคนจึงตึงเครียดมาก อารมณ์ขึ้นลงย่อมมีมากกว่าแต่ก่อน

นายท่านห้าหันไม่ใคร่ใส่ใจกับน้ำเสียงของพี่ชายนัก เอ่ยเสียงนิ่งเรียบ “ทหารม้าเฮยเฟิงห้าหมื่นนาย ทหารม้าที่ทำศึกไม่ถึงสองหมื่น แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังโจมตีเมืองฉวี่หยางที่มีกองทัพใหญ่แปดหมื่นนายเฝ้ารักษาการณ์ให้แตกได้”

หันเหลยเอ่ยเสียงเย็น “นั่นมันเพราะกลลวงของเซียวลิ่วหลัง!”

นายท่านห้าหันเอ่ย “ศึกไม่หน่ายเล่ห์ แม้แต่ฉังเวยยังพ่ายแพ้ ตระกูลหันข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสชนะเท่าใดแล้ว”

หันเหลยขมวดคิ้วเอ่ย “น้องห้า เจ้ายกยอปณิธานผู้อื่นเกินไปจนทำลายความน่าเกรงขามของตัวเองยิ่งนัก!”

นายท่านห้าหันเอ่ยเสียงนิ่ง “หากเป็นพี่ใหญ่ จะสามารถนำทัพเฮยเฟิงเอาชนะทหารแปดหมื่นนายของฉังเวยได้หรือไม่”

หันเหลยสะอึก

พักใหญ่ทีเดียว เขาพึมพำ “นั่นก็เพราะทหารม้าเฮยเฟิงเก่งกาจ เขาได้ประโยชน์จากส่วนนี้ จะว่าไปแล้ว ทหารม้าเฮยเฟิงในยามนี้ก็ยังเป็นตระกูลหันของพวกเราที่ฝึกออกมา! ราชสำนักช่างหน้าด้านไร้ยางอายนัก! แย่งชิงทหารของพวกเรา มาสังหารคนของเรา!”

นายท่านห้าหันเอ่ยเสียงนิ่ง “พี่ใหญ่ลืมแล้วหรือ พวกเราก็ไปแย่งมาจากมือตระกูลเซวียนหยวนอีกทีนะ”

นายท่านสามหันเป็นคุณชายเจ้าสำราญ เขาดูแลศึกสงครามไม่ได้ เดี๋ยวเขาหันมองพี่ใหญ่ เดี๋ยวก็หันมองน้องห้า ไม่รู้ว่าควรช่วยใครพูดดี

นายท่านอาวุโสหันกระแทกไม้เท้า “พอแล้ว พวกเจ้าหยุดทะเลาะกันได้แล้ว! เซียวลิ่วหลังคนเดียวก็ทำให้พวกเจ้าเสียกระบวนกันแล้ว ช่างเป็นเกียรติของตระกูลหันเสียจริง! ทหารม้าเฮยเฟิงเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าเยี่ยน เดิมก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะจัดการได้ง่ายอยู่แล้ว กอปรกับตระกูลหนานกงประมาทดูเบาศัตรู จึงทำให้เซียวลิ่วหลังชนะ! เด็กคนนี้มีความสามารถอยู่จริงๆ แต่กำลังทหารในมือเขามีจำกัด คิดจะเฝ้ารักษาการณ์เมืองฉวี่หยางไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกตั้งสิบกว่าวันกองทัพของราชสำนักจึงจะมาถึง แต่กองทัพของแคว้นเหลียงจะมาเหยียบย่ำด่านเยี่ยนเหมินภายในสามวันนี้แล้ว กองทัพแคว้นเหลียงครานี้มีผู้นำทัพคือฉู่เฟยเผิง เขาถูกขนานนามว่าขุนพลเทพ ตอนนั้นมีชื่อเสียงพอๆ กันกับเซวียนหยวนเฉิง เซียวลิ่วหลังรอถูกเขาจัดการได้เลย!”

หลังจากทหารม้าเฮยเฟิงเข้าปักหลักในเมืองฉวี่หยางแล้ว กู้เจียวก็ไม่ได้เข้าไปพักในจวนเจ้าเมือง แต่พักในค่ายทหารด้วยกันกับทหารทั้งหลาย

มู่ชิงเฉินถูกนางส่งออกไปเป็นสหายของสตรีออกเรือน ไปเผยแพร่ว่าทหารม้าเฮยเฟิงเป็นทหารน้ำดีมีคุณธรรมให้กับบรรดาชาวบ้านสตรีโน่น

กู้เจียวนั่งอยู่ในกระโจม มองแผ่นไม้เล็กๆ แต่ละอันบนกระบะทราย ทุกแผ่นเป็นตัวแทนของกองกำลังทหารหนึ่งพันนาย พวกมันถูกวางไว้ในป้อมปราการต่างๆ ภายในเมือง

“ยังไม่ค่อยพออยู่ดี”

นางลูบคาง

เมื่อกองทัพแคว้นเหลียงโจมตีมา ทหารม้าหมื่นสองหมื่นนายไม่พอต้านรับ

โดยเฉพาะแคว้นเหลียงวิทยาการเลิศล้ำ รถศึกโจมตีเมืองของพวกเขามีอานุภาพรุนแรง แรงกำลังถึงสามเท่าของรถศึกแคว้นเยี่ยน ไหนจะบันไดลิงปีนกำแพงเมืองที่ใช้สลิงแล้ว สามารถดึงคนขึ้นมาด้วยได้ ธนูก็ยิงไม่โดน

ข้อได้เปรียบของทหารม้าคือโจมตีเมือง น้อยนักที่จะใช้ทหารม้ารักษาเมือง

หากกล่าวว่าทำศึกกับกองทัพใหญ่แปดหมื่นนายของตระกูลหนานกง ทหารม้าเฮยเฟิงแสดงข้อได้เปรียบทั้งหมดออกมาแล้ว เช่นนั้นต่อไปนี้ต้องทำศึกเฝ้าปกป้องเมืองกับกองทัพแคว้นเหลียง ทหารม้าเฮยเฟิงก็ไม่ใช่เจ้าบ้านอีกต่อไป

นั่นจะเป็นศึกโหดที่ยากยิ่งกว่าเดิม

เมื่อเข้าสู่หน้านิยายที่ถูกล็อกด้วยเหรียญระบบจะใช้เหรียญปลดล็อกตอนต่อไปโดยอัตโนมัติ

• เมื่อเหรียญทองหมด สามารถเติมเงินแล้วอ่านต่อได้เลย ไม่สะดุด

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : สามีข้าคือขุนนางใหญ่ ชื่อภาษาอังกฤษ : The Grand Secretary's Pampered Wife ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง(偏方方) ในอนาคตเขาจะได้เป็น 'ขุนนางใหญ่' อย่างนั้น 'เจ้' คนนี้จะประคอง 'สามี' คนนี้ ให้ไปถึงฝั่งฝันนั้นเอง! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม! จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้จียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เชียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ เพราะบุญคุณเชียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ แต่พราะ "ฝันบอกเหตุ' ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนหม่ได้รู้ว่าเขี้ยวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ยทั้งหลายเพื่อประคองเขาชื้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

Options

not work with dark mode
Reset