บทที่ 825 ชิงเมือง!
ท้องฟ้าวันนี้ขมุกขมัว ด้านทิศตะวันออกมีเมฆดำลอยมา ดูท่าคงจะเป็นวันฟ้าครึ้มอีกวัน
พอเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง สภาพอากาศในเมืองเซิ่งตูก็เริ่มเย็นลง แม้จะไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่สำหรับคนเมืองเซิ่งตูที่ชินกับอากาศอบอุ่นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงอาจไม่คุ้นเคยเท่าไหร่นัก
วันนี้เป็นวันแรกของการเดินทัพ การที่ท้องฟ้าเป็นสีเทาเช่นนี้ อาจไม่ใช่ลางดีเสียทีเดียว
ทหารบางส่วนเริ่มมีอาการหดหู่
ณ ตรอกเก่าๆ ที่ตั้งอยู่นอกเมืองเซิ่งตู หลี่เซินยังคงไม่หลับไม่นอน
เขานั่งเหม่อทั้งคืนพร้อมกับกำตราเหล็กหล่อที่อยู่ในสภาพแบนแต๊ดแต๋ไว้แน่น พอได้ยินเสียงพลิกตัวจากห้องข้างๆ เขาจึงเก็บมันลงไป แล้วเดินไปที่ห้องครัว
เช้านี้เขาต้มข้าวต้ม นึ่งหมั่นโถว อีกทั้งต้มไข่สองฟองให้แม่ของเขา
คราวก่อนที่มีคนจากค่ายทหารส่งเงินบำนาญเกษียณอายุและเงินชดเชยที่เกี่ยวข้องไปให้เขา เขาได้ชำระหนี้ของครอบครัวแล้วและยังมีเงินเหลืออยู่เล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องเข้มงวดเหมือนเมื่อก่อน
เขาไม่กินไข่เพราะเสียดาย และยกไข่ทั้งหมดให้มารดาของเขา
พอเขาเดินมาที่ห้องของนาง ก็พบว่านางตื่นแล้ว ซ้ำยังแต่งตัวเรียบร้อย หวีผมและติดปิ่นผมที่เคยใช้ในงานแต่งงานด้วย
“แม่…”
หลี่เซินรู้สึกไม่ชินเท่าไหร่ที่จู่ๆ ได้เห็นแม่ของตัวเองแต่วตัวเต็มยศเช่นนี้
“นั่งกินข้าวด้วยกันสิ” แม่ของเขาเอ่ยพร้อมกับหัวเราะ
“อื้อ” หลี่เซินนั่งลงข้างๆ นาง ยื่นช้อนให้ แล้วจับมืออีกข้างให้นางจับถ้วยโจ๊ก
“พอแล้ว ใช่ว่าข้ากินไม่ได้ซักหน่อย” แม่นางหลี่เอ่ย
จากนั้นหลี่เซินก็ปอกไข่ให้นางสองฟอง
แม่นางหลี่หยิบไข่หนึ่งฟองคืนให้เขาและใส่มันลงในชามของเขาอย่างแม่นยำ “เจ้าก็กินด้วยสิ”
“ถึงดวงตาของข้าจะมองไม่เห็น แต่ใจข้าเห็นนะ” แม่นางหลี่เอ่ย
“แม่!” หลี่เซินอ้าปากค้าง
แม่นางหลี่ยิ้มเศร้า “ข้าเก็บข้าวของของเจ้าเรียบร้อยแล้ว กินอาหารเช้าเสร็จก็เตรียมออกเดินทางได้แล้วนะ”
หลี่เซินตกตะลึงก่อนหันกลับไปมองในห้อง และพบมัดสัมภาระอยู่บนเตียง
“แม่…”
แม่นางหลี่ยังคมทำหน้ายิ้มแย้ม “ข้าช่วยเจ้าเก็บของตอนเจ้ากำลังทำกับข้าว ไปดูสิว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องบ้าง พอออกนอกเมืองแล้วจะกลับมาเอาไม่ได้แล้วนะ”
หลี่เซินหยิบหมั่นโถวขึ้นมาหนึ่งลูก “…ข้าไม่ได้เอ่ยซักนิดว่าจะออกไปนอกเมือง”
“ถึงเจ้าจะโกหกแม่ได้ แต่เจ้าโกหกตัวเองไม่ได้หรอกนะ ตั้งแต่สหายจากค่ายทหารคนนั้นมาหาเจ้า เจ้าก็เอาแต่หยิบตราเหล็กนั่นขึ้นมาเชยชม แม้ข้าจะมองไม่เห็น แต่ข้าสัมผัสได้ ตราเหล็กนั่นถูกเจ้าลูบไล้จนแหว่งหมดแล้ว”
แม้ประโยคสุดท้ายจะเกินจริงไปนิด แต่ทุกครั้งที่แม่นางหลี่ไปที่ห้องของเขา นางสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ถูกทิ้งไว้บนตราเหล็กนั้น ถ้าเป็นครั้งสองครั้งอาจไม่แปลกอะไร แต่พอบ่อยครั้งเข้า ก็เท่ากับว่าเขาคิดถึงมันอยู่ตลอดเวลา
แม่นางหลี่ถอนหายใจ “แล้วข้าก็ไม่ได้หูหนวกนะ ข้าได้ยินคนเขาเอ่ยกันว่าตระกูลหันน่ะล่มสลายแล้ว ผู้บัญชาการค่ายเฮยเฟิงก็เปลี่ยนคนแล้วด้วย ในเมื่อเขานำเงินบำนาญมามอบให้เจ้า แสดงว่าเขาเป็นคนมีคุณธรรม ลูกเอ๋ย เจ้าไปเถอะ…อย่าปล่อยให้พวกแคว้นจิ้นแคว้นเหลียงมารังแกแคว้นเยี่ยนของพวกเรา!”
“แม่…” หลี่เซินได้แต่มองดูผู้เป็นแม่ด้วยจิตใจที่สั่นไหว
“ที่ผ่านมา ข้ากลายเป็นภาระของเจ้า ข้าไม่เคยเรียนหนังสือ อ่านตัวอักษรไม่ออก แต่ข้าจำคำเอ่ยของเจ้าได้ก่อนที่เจ้าจะเข้ากรม เจ้าเอ่ยว่า เจ้าอยากตอบแทนแผ่นดิน เจ้าอยากเป็นทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้น หากไม่ใช่เพราะข้า ป่านนี้เจ้าคงทำได้แล้ว” แม่นางหลี่เอ่ยโทษตัวเอง
หลี่เซินรีบส่ายศีรษะ “ไม่ใช่เลยแม่ ข้า…”
“เอาละ ไม่ต้องเอ่ยอะไรแล้ว ประเดี๋ยวก็ไปไม่ทันหรอก รีบกินข้าวกินปลาแล้วออกเดินทางได้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าดูแลตัวเองได้” แม่นางหลี่ยื่นมือกุมที่หลังมือของลูกชาย
“แม่…”
หลี่เซินกลืนหมั่นโถวลงลำคอที่ปวดแสบพร้อมกับหดวงตาที่ร้อนผ่าว
เขาพยายามไม่ให้ตัวเองร้องไห้
ไม่มีใครเข้าใจความทรมานของเขาได้ แม่ของเขาฟูมฟักเลี้ยงดูเขาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ด้วยความที่พ่อของเขาด่วนจากไปตั้งแต่เขายังเล็ก เขาจึงมีแม่แค่คนเดียว แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่สามารถแสดงความกตัญญูกับแม่ได้อย่างเต็มที่
“แม่!”
เขาทรุดตัวลงคุกเข่าลงกับพื้น แตะหน้าผาก และคำนับสามครั้ง น้ำตาของเขาร่วงลงพื้นเสียงดัง
“ข้าเป็นลูกอกตัญญู! ข้าไม่อาจตอบแทนบุณคุณของแม่ได้!”
การเดินทางครั้งนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะมีชีวิตรอดกลับมาหรือไม่
เช่นนั้น ขอให้แม่คิดเสียว่า ไม่เคยให้กำเนิดลูกชายคนนี้มาก่อนในชีวิต
หากชาติหน้ามีจริง…ข้าอยากเกิดเป็นลูกของแม่อีกครั้ง!
…
ณ หอเซียนเหอ จ้าวเติงเฟิงถูกเรียกไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหารก่อนรุ่งสาง
นับตั้งแต่กู้เจียวมาซื้อภัตตาคารของเขาไป เขาถูกบังคับให้เป็นพ่อครัว
ทุกวันหน้าที่ของเขาคือหั่นผัก ผัดผัก วันนี้ก็เช่นกัน
ทว่าวันนี้จิตใจของเขากลับรู้สึกว้าวุ่นผิดปกติ
ทั้งตระกูลหันและตระกูลหนานกงก่อกบฏกันซึ่งๆ หน้า ซ้ำยังหลบหนีไปที่ชายแดน และเปิดประตูชายแดนต้อนรับศัตรู
ขนาดองค์หญิงเองยังต้องออกรบในนามของจักรพรรดิ
ทักษะศิลปะการต่อสู้ขององค์หญิงรัชทายาทถูกปลดไปนานแล้วและไม่ต่างจากคนทั่วไป ไม่สิ อาจยังคงมีความแตกต่างอยู่บ้าง คนทั่วไปไม่มีตะปูเหล็กหลายตัวตอกที่หลังนี่นา
กองทหารที่สามารถระดมกำลังจากส่วนต่างๆ ของเซิ่งตูกำลังรวมตัวกันที่ประตูทิศตะวันตก รวมถึงกองทัพจากเมืองชิวซานด้วย
เขาจำได้ว่านายพลของกองทัพนั้นเป็นแขกประจำของหอเซียนเหอ เป็นคนช่างเอ่ย ช่างโอ้อวด และประจบประแจง อีกทั้งยังชอบติดค่าข้าวและไม่เคยคืนเงินตรงเวลาเลย
ถ้าปล่อยให้คนแบบนี้ออกไปต่อสู้ ก็เท่ากับว่าเพิ่มคนให้พวกกบฏโดยเปล่าประโยชน์ไม่ใช่หรือ
จ้าวเติงเฟิงโมโหจนสับมีดรัวไม่หยุดมือ!
พ่อครัวเจิ้งที่อยู่ด้านข้างสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเขา จึงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “นี่! พ่อครัวจ้าว ทำไมเจ้าถึงดูโกรธขนาดนี้ ใครมายุ่งกับเจ้ารึ! อย่าทำมีดพังละ!”
“ไม่ต้องยุ่งกับข้า!” จ้าวเติงเฟิงถลึงตาใส่พร้อมตะโกน
พ่อครัวเจิ้งสะดุ้งกับมีดทำครัวที่เขายกขึ้น พลางนึกในใจว่าเขาจำได้ว่าชายคนนี้เคยฆ่าคนมาก่อน ก็เลยไม่เอ่ยอะไรต่อ ได้แต่กลอกตาแล้วเดินจากไป
เสียงเกือกม้าที่เดินมั่วซั่วบนถนนดังเข้ามาในร้าน…
อันที่จริงเสียงของมันฟังดูค่อนข้างปกติสำหรับหูของคนทั่วไป แต่สำหรับจ้าวเติงเฟิง อดีตทหารม้าอย่างเขาค่อนข้างอ่อนไหวกับเสียงของกีบม้าเป็นพิเศษ!
“นำทัพประสาอะไรเนี่ย ฝึกม้ากันมายังไง นี่ขนาดยังไม่เริ่มก็เละเทะขนาดนี้แล้วเรอะ!”
สับสับสับ!
สับ!
สับ!
ข้าจะสับสับสับสับสับสับ…
มัวแต่สับอยู่ได้!
ไม่สับมันแล้ว!
แล้วจ้าวเติงเฟิงก็เขวี้ยงมืดปักลงบนเขียง ก่อนจะเดินออกไป!
…
ณ ประตูเมืองด้านตะวันตก ฮ่องเต้ทรงนำขุนนางพลเรือนและทหารหลายร้อยนายไปฝึกซ้อมให้กับทหารทั้งสามค่าย
ก่อนหน้านี้มีข่าวลือในหมู่ราษฎรว่าแคว้นจิ้นและเหลียงกำลังรุกรานแคว้นเยี่ยน ฝ่าบาทรู้เข้าจึงตกใจและเป็นลมเนื่องจากโรคหลอดเลือดสมองกำเริบ
การรั่วไหลของข่าวนี้สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อขวัญกำลังใจของราษฎร
เดิมทีการต่อสู้ครั้งนี้มีโอกาสชนะน้อย หากแม้แต่ผู้นำของแคว้นยังหวาดกลัวขนาดนี้ เกรงว่าแคว้นเยียนคงใกล้จะถูกทำลายแล้วจริงๆ
แต่วันนี้ทุกคนได้เห็นจักรพรรดิผู้ทรงพลัง
ทรงปรากฏตัว ทำลายข่าวลือ และทำให้ราษฎรเห็นว่าเขายังจิตวิญญาณของเขาพร้อมที่จะต่อสู้!
ฮ่องเต้ผู้หยิ่งยโสปรากฏตัวอีกครั้งด้วยธงนกอินทรีเหินเวหา เป็นการจุดประกายความมั่นใจที่กำลังจะหายไปในใจของผู้คนอีกครั้ง
บางที อาจจะยัง…มีโอกาสชนะก็เป็นได้
ต้อง… ต้องชนะให้ได้สิ
หลังจากเฝ้าดูองค์หญิงรัชทายาทและกู้เจียวนำกองทัพออกจากประตูเมืองทางทิศตะวันตก เซียวเหิงซึ่งอยู่ด้านหลังฝูงชนก็เอ่ยกับหลงที่อยู่ข้างๆ เขา“พวกเราก็ควรออเดินทางได้แล้ว”
หลงอีถือกล่องดินสอถ่านที่ยังเขียนไม่เสร็จ มองเหม่ออยู่เป็นเวลานานจนกระทั่งแผ่นหลังของกู้เจียวลับสายตาไป
……
เซียวเหิง ท่านย่า และคนอื่นๆ มุ่งหน้าไปทางตะวันออก หลังพ้นเมืองเหลียวโจว พวกเขาก็แยกออกเป็นสองกลุ่ม กองกำลังของเซียวเหิง หลงอี และหวังซวี่มุ่งหน้าไปยังชายแดนชางเสวี่ยทางตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่กั๋วกงอัน ยายเฒ่า เฟิงอู๋ซิวมุ่งหน้าไปยังชายแดนชื่อสุ่ยทางตะวันออกเฉียงใต้
โดยมีนักพรตชิงเฟิงติดตามมาด้วย
หลังจากที่ซ่างกวานเยี่ยนและกู่เจียวออกจากเซิ่งตู ข่าวแรกที่พวกเขาได้รับจากชายแดนคือจากหยูโจวซึ่งอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้
ซึ่งตอนนั้นพวกเขาเพิ่งตั้งค่ายพักแรมนอกหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
มีชาวบ้านใจดีเชิญพวกเขามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน แต่ซ่างกวานเยียนปฏิเสธพวกเขา
ซ่างกวานเยี่ยนนั่งอยู่ในค่ายของตัวเอง ทางด้านซ้ายของนางคือนายพลทหารราบหวังหม่าน เขาเป็นลุงของหวังซวี่อีกทั้งยังเป็นนายพลทหารผ่านศึก
ตระกูลหวังไม่ใช่ตระกูลที่มีอำนาจทางทหาร เขาเป็นคนเดียวในรุ่นที่เดินสายนี้ และมีเพียงหวังซวี่คนเดียวเท่านั้นที่สามารถสืบทอดศิลปะการต่อสู้ของเขาได้
ครั้งหนึ่งหวังหม่านเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเซวียนหยวนลี่ในสงครามและมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับกองทัพของแคว้นจิ้นและแคว้นเหลียง ฮ่องเต้จึงเสนอให้เขาติดตามไปด้วยและแต่งตั้งให้เขาเป็นนายพลใหญ่
ตำแหน่งของเขาใหญ่ที่สุดในค่ายนี้
ด้วยความที่เขาเป็นคนมีประสบการณ์สูงและทะนงตัวเอง นอกจากองค์หญิงรัชทายาทแล้วเขาก็แทบไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลย โดยเฉพาะกู้เจียวผู้ซึ่งมีอายุน้อยที่สุดในค่าย
อีกฝั่งหนึ่งคนที่นั่งอยู่เป็นหัวหน้าพลธนูเว่ยจวิ้นถิง ปีนี้อายุสามสิบแปด
จากนั้นคนที่นั่งขนาบซ้ายขวาของซ่างกวานเยี่ยนรองลงมาคือกู้เจียวและมู่ชิงเฉิน
มู่ชิงเฉินมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยขององค์หญิงรัชทายาทเป็นหลักและไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการในค่ายทหาร
ครั้งนี้ กู้เฉิงเฟิงไม่ได้เดินทางมาด้วยกัน
แต่เขาต้องรับหน้าที่สำคัญคือการปลอมตัวเป็นฮ่องเต้ในช่วงที่ฮ่องเต้ตัวจริงยังไม่ฟื้นจากประชวร เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ทหารและราษฎร
“ทุกท่านคงได้อ่านจดหมายด่วนแปดร้อยลี้ที่ส่งมาแล้ว ข้าสงสัยว่าพวกท่านมีความเห็นอย่างไร” ซ่างกวานเยี่ยนถาม
หวังหม่านเอ่ยด้วยความโกรธ “หึ! ตระกูลหนานกงทำเกินไปแล้ว! พวกเขาใช้นามของเซวียนหยวนหลอกผู้คนที่ชายแดน! ช่างไร้ยางอายจริงๆ !”
เซิ่งตูไม่ค่อยมีสงครามเกิดขึ้นบ่อยนัก ต่างจากบริเวณชายแดน ราษฎรที่อยู่ตรงชายแดนต่างเคยได้ยินเรื่องส่วนใหญ่เกี่ยวกับตระกูลเซวียนหยวนมาบ้าง ทุกคนที่นั่นได้เห็นวิธีที่เซวียนหยวนต่อสู้ฟันฝ่าฟันเพื่อปกป้องผู้คนที่ชายแดน
หลังจากที่เซวียนหยวนสิ้นลง ราษฎรที่ชายแดนจึงเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
พวกตระกูลหนานกงใช้จุดอ่อนตรงนี้ปลุกปั่นความแค้นของราษฎรที่ชายแดนโดยการป่าวประกาศว่าฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนหลงเชื่อคำทำนายและสั่งฆ่าล้างโคตรตระกูลเซวียนหยวน อีกทั้งยังหลอกอีกว่าตัวเองเพิ่งจะรู้ข่าวนี้ ซ้ำยังบอกว่าตัวเองถูกฮ่องเต้หลอกใช้มาตลอดหลายปี
พวกเขาต้องการล้างแค้นให้เซวียนหยวน!
ที่แย่กว่านั้นคือ พวกเขาประกาศว่ายังมีคนของตระกูลเซวียนหยวนที่ยังมีชีวิตอยู่ และถูกพวกเขาคุ้มกันไว้ในที่ปลอดภัย
พวกเขาเต็มใจที่จะต่อสู้เพื่อลูกหลานของตระกูลเซวียนหยวน ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอีกเท่าไหร่ แต่พวกเขาต้องการทวงคืนจักรพรรดิที่แท้จริงของแคว้นเยี่ยน!
เหล่าราษฎรเชื่อพวกเขาสนิท จากนั้นจึงเปิดประตูเมืองต้อนรับกองทัพของตระกูลหนางกงเข้าไปในเมือง
มีทหารหลายนายที่ชายแดนเคยร่วมงานกับเซวียนหยวน และตอนนี้พวกเขาก็กำลังหาทางแก้แค้นให้กับตระกูลเซวียนหยวน
และแล้วพวกตระกูลหนานกงก็สามารถยึดเมืองฉวี่หยางที่ด่านเยี่ยนเหมินไปได้อย่างง่ายดาย