บทที่ 800 ความจริง (1)
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นไปทั่วเมืองเซิ่งตูในช่วงกลางดึก
องค์หญิงน้อยตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกปวดห้องน้ำ เพราะเสวยองุ่นช่วงก่อนนอนมากไป
องค์หญิงน้อยดวงตาเบิกกว้าง “แม่นม ข้าอยากไปเข้าห้องน้ำ”
ทว่าไม่มีใครขานตอบเลยสักคน
องค์หญิงน้อยขี้เกียจลุกอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เลยจำต้องลงมาจากแท่นบรรทม
องค์หญิงน้อยเป็นผู้อาวุโสรุ่นเล็กที่ขี้อายมาก ตั้งแต่อายุได้สองพรรษาจนถึงตอนนี้ พระองค์ก็ไม่เคยปัสสาวะรดที่นอนเลย
แต่ด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่น องค์หญิงน้อยจึงเกิดความกลัว
“เสด็จลุง เสด็จลุง”
องค์หญิงร้องเรียกอยู่สองครั้ง แต่ไม่มีใครตอบ
เริ่มจะอั้นไม่อยู่แล้วสิ
ใบหน้าน้อยขององค์หญิงเริ่มย่นกิ่ว พยายามกลั้นปัสสาวะอย่างหนัก ก่อนจะตัดสินใจปีนลงจากเตียงและเดินบนพื้นด้วยเท้าเปล่า “จางกงกง…”
ราวกับว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่เลยสักคน เหลือแค่เพียงองค์หญิงน้อยที่อยู่ในห้อง แสงสว่างจากสายฟ้าส่องมาที่ร่างเล็กๆ ของพระองค์ที่ยืนนิ่งอยู่บนพื้น ราวกับหุ่นเชิดตัวน้อยที่น่าสงสาร
และในตอนนั้นเอง เงาดำสูงชะลูดในชุดกี่เพ้ายาวของใครบางคนกำลังเคลือบคลานเข้ามาใกล้ประตูห้อง
ร่างนั้นปรากฏขึ้นพร้อมกับแสงสว่างอันน่าขนลุกจากสายฟ้าแลบ
องค์หญิงน้อยตกใจจนตัวสั่นกับร่างสูงโปร่งอันน่ากลัวของเสด็จลุง
…ในที่สุด ก็อั้นไม่ไหวอีกต่อไป
–
เมื่อคืนมีพายุฝนฟ้าคะนอง ทำให้อุณหภูมิตอนเช้าเย็นลงมาก
จิ้งคงไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่จวนเหมือนกับคนอื่นๆ เขาแค่แวะมาเยี่ยมบ่อยๆ ตามโอกาส ซึ่งเมื่อคืนนี้เขาไม่ได้มาที่นี่
ท่านย่ากับกู้เหยี่ยนยังไม่ตื่น ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นกับอาจารย์หลู่ตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อแกะสลักไม้ พรสวรรค์ของกู้เสี่ยวซุ่นนั้นดีเกินเสียจนอาจารย์หลู่ไม่อยากสอนงานฝีมือง่ายๆ ให้เขาอีกต่อไป และเริ่มค่อยสอนทักษะทางกลต่างๆ ที่ซับซ้อนให้เขามากขึ้น
ขณะที่อาจารย์แม่หนานเซียงตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปเก็บวัตถุดิบสำหรับทำยา เนื่องจากที่นี่มีคนครัว จึงไม่ต้องรับหน้าที่ทำกับข้าวเองแล้ว
กั๋วกงอันกินข้าวเช้าด้วยกันกับกู้เจียว กู้เสี่ยวซุ่น และอาจารย์หลู่
ในช่วงที่ผ่านมา จวนกั๋วกงมักมีคนแปลกหน้ามาเข้าหาบ่าวของที่จวน หรือไม่ก็ชอบมีคนมาเดินป้วนเปี้ยน
บริเวณรอบๆ จวนอยู่บ่อยครั้ง เดาว่าคนที่ปล่อยข่าวคงเป็นมู่หรูซิน จนเรื่องไปถึงหูพวกตระกูลหันในที่สุด
พ่อบ้านเจิ้งได้เตรียมการรับมือเรื่องนี้ไว้อย่างดี โดยให้พวกบ่าวเก็บเงินกับพวกตระกูลหันและปล่อยข่าวเท็จให้พวกเขาไป
“ท่านกั๋วกงมีบ่าวที่ร้องรำทำเพลงเก่งอยู่จำนวนหนึ่ง…วันๆ เอาแต่ร้องเพลงเฮๆ ฮาๆ ที่ลานอยู่อย่างนั้น”
“ข้าเกรงว่าท่านกั๋วกงจะไม่ทันอีกฝ่ายเอาน่ะสิ”
ซึ่งกั๋วกงอันเจ้าตัวยังไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ
มีเพียงพ่อบ้านเจิ้งที่เป็นคนคอยจัดการ เพราะอย่างไรกั๋วกงก็เคยสั่งกับเขาไว้แล้วว่าทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้พวกตระกูลหันสับสน ส่วนจะใช้วิธีใดนั้น ให้พ่อบ้านเจิ้งคิดหาทางเอาเอง
หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ กั๋วกงอันพากู้เจียวไปส่งที่หน้าประตู และเช่นเคยที่กู้เจียวช่วยเข็นรถให้เขา
ตั้งแต่กู้เจียวย้ายมาอยูที่จวนกั๋วกง เขาฟื้นตัวได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การตอบสนองที่แขนและลำตัวต่างๆ ดีวันดีคืน จากตอนแรกที่เขายกได้แค่ข้อมือ มาตอนนี้เขาเริ่มยกแขนขึ้นได้แล้ว
ขณะที่ขาของเขาเริ่มขยับได้มากขึ้น อาจยังไม่ถึงขั้นลุกขึ้นยืนได้ แต่สามารถขยับเล็กๆ น้อยๆ ได้ทั้งตอนนั่งและตอนนอน
อีกทั้งเขาเริ่มส่งเสียงได้บ้างแล้ว แม้ว่าจะได้แค่โทนเสียงเดียว แต่ก็ถือว่ามีพัฒนาการที่ดี
สองพ่อลูกเดินมาถึงหน้าประตู
“พ่อบุญธรรม ข้าไปที่ค่ายทหารก่อนล่ะ” กู้เจียวคว้าสายบังเหียนเจ้าเฮยเฟิงพร้อมกับเอ่ยลา
กั๋วกงอัน “อา”
อื้อ
เดินทางปลอดภัย
ขณะกู้เจียวกำลังจะออกตัว จู่ๆ ร่างสะบักสะบอมของใครบางคนก็ทำท่าจะพุ่งเข้ามาทางนี้
ทหารยามของกั๋วกงรีบวิ่งเข้าไปคุ้มกันกู้เจียวและกั๋วกงอันโดยทันที
“ข้า…ข้าเอง…”
น้ำเสียงของคนคนนั้นเริ่มขาดตอน แล้วร่างของเขาก็ร่วงดิ่งลงพื้นทันที
“จางกงกงรึ” กู้เจียวจำเขาได้ จึงรีบลงจากม้าแล้วคุกเข่าก้มลงไปดูอาการของเขา “ไปทำอะไรมาถึงได้เป็นเช่นนี้ล่ะ”
จางเต๋อเฉวียนอยู่ในอาภรณ์ที่เปื้อนเปรอะหลุดรุ่ย อีกทั้งรองเท้าของเขาเหลือเพียงแค่ข้างเดียวเท่านั้น
“ท่านชายเซียว…รีบ…ไปบอก…องค์หญิงสาม…กับพระนัดดาที…เกิดเรื่อง…กับฝ่าบาท…” เขาคว้าข้อมือของกู้เจียวและพยายามสื่อสารด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
เมื่อคืน ฝ่าบาทเข้าไปที่ตำหนักเย็นเพื่อพบหันกุ้ยเฟยเพื่อสนทนาเกี่ยวกับความลับของฮองเฮาเซวียนหยวน จางเต๋อเฉวียนไม่กล้าเข้าไปด้านใน เลยขอยืนเฝ้าอยูด้านนอกแทน
เขาไม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรกันบ้าง แค่รู้สึกว่าฝ่าบาทเข้าไปนานมาก จางเต๋อเฉวียนรู้ดีว่าฝ่าบาทมิได้พิศวาสอะไรหันกุ้ยเฟยนัก เลยรู้สึกตงิดใจเล็กน้อย
เกิดอะไรขึ้นกันนะ
จางเต๋อเฉวียนจึงตัดสินใจแอบมองเข้าไปด้านใน
ต้องขอบคุณความอยากรู้อยากเห็นของเขาที่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้!
เพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้น คือภาพของชายในชุดยาวสีดำกระโดดเข้ามาจากนั้นก็ตีฝ่าบาทจนสลบ
เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะหนีเมื่อเจ้านายของเขามีภัย แต่ถ้าเขารีบตายตามเจ้านายทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ นั่นไม่ใช่ความภักดี แต่คือเสียสติ
จางเต๋อเฉวียนตัดสินใจวิ่งหนี!
มือสังหารที่คอยเฝ้าอยู่บริเวณรอบๆ ตำหนักเย็นเมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวจากด้านใน ก็รีบทะยานตัวเข้าไปด้านใน และด้วยเหตุนี้ทำให้จางเต๋อเฉวียนทางสะดวก
เดิมเขาตั้งใจว่าจะกลับไปขอความช่วยเหลือที่ตำหนักฝ่าบาท แต่พอไปถึงกลับพบว่ามือสังหารของที่นี่ถูกฆ่าจนไม่เหลือ
จางเต๋อเฉวียนสันนิฐานเอาเองว่าพวกเขาน่าจะถูกฆ่าตอนที่ฝ่าบาทออกไปตำหนักเย็น
พอฆ่าเสร็จก็กลับมาที่ตำหนักเย็นเพื่อจัดการฝ่าบาทต่อ
ทั้งชีวิตของจางเต๋อเฉวียนไม่เคยประสบโชคอย่างใครเขามาก่อน ดูเหมือนว่าแต้มบุญทั้งหมดของเขาถูกเอามาใช้กับวันนี้จนหมดแล้ว
วินาทีนั้นเองที่เขารู้ตัวว่าวังหลวงแห่งนี้ไม่ใช่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป จึงคิดหลบหนีออกมา
ที่เขาเลือกไม่ไปตำหนักกั๋วซือเพราะเขากังวลว่าหันกุ้ยเฟยจะต้องเดาว่าเขาจะต้องไปหาองค์หญิงสามกับพระนัดดาที่นั่น
จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าท่านชายเซียวย้ายเข้ามาอยู่ที่จวนกั๋วกง เลยตัดสินใจมาที่นี่
พอเขาเล่าทุกอย่างจบก็เป็นลมไปทันที พ่อบ้านเจิ้งที่กำลังตั้งใจฟังถึงกับหน้าเหวอ “นี่ จางกงกง มาพูดให้ชัดก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาท”
ส่วนกู้เจียวไม่ได้เอ่ยอะไร
หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่คิดนะ
“ท่านชาย จะทำอย่างไรดีขอรับ” พ่อบ้านเจิ้งถาม
กู้เจียวตอบเขาหลังวัดชีพจรให้จางเต๋อเฉวียนเสร็จ “ไม่มีอะไรน่าห่วง แค่พักผ่อนน้อย เจ้าพาเขาไปพักก่อนเถิด ข้าจะไปที่ตำหนักกั๋วซือ”
“อา” กั๋วกงอันพยายามออกเสียง
กู้เจียวหันไปหาเขา
และเห็นว่าเขากำลังเขียนบนพนักเก้าอี้ “ให้ข้าไปที่นั่นจะดีกว่า ส่วนเจ้าไปที่ค่ายทหารเหมือนเดิม ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ถ้ามีเรื่องอะไรข้าจะให้คนส่งข่าวให้เจ้า”
กู้เจียวเห็นด้วย “ก็ดีเหมือนกัน”
“ห้ามให้เรื่องนี้เล็ดลอดออกไปได้เป็นอันขาด!” พ่อบ้านเจิ้งย้ำกับบ่าวและทหารทุกคนที่เห็นเหตุการณ์
“ขอรับ!”
จากนั้นกั๋วกงเดินทางไปยังตำหนักกั๋วซือ ก่อนจะให้เซียวเหิงแอบขึ้นรถม้าของเขาเพื่อเดินทางไปยังจวนกั๋วกง
พอเซียวเหิงมาถึงที่หมาย ก็พบว่าจางเต๋อเฉวียนฟื้นด้วยการฝังเข็มของหนานเซียง
ภายในห้องข้างๆ ซึ่งเป็นห้องของกู้เฉิง มีทั้งท่านย่า จี้จิ่วอาวุโส รวมถึงกู้เฉิงเฟิงและกู้เหยี่ยนที่กำลังดักฟังพวกเขา
หนานเซียงที่ง่วนกับการเอายาสมุนไพรมาผึ้งแดดก็พยายามเอาตัวเข้าไปใกล้ๆ หน้าต่างห้อง
เช่นกันกับอาจารย์หลู่ที่ค่อยๆ ขยับที่นั่งมาใกล้หน้าต่างขณะที่มือกำลังประดิษฐ์หน้าไม้
ทั้งสองประสานสายตากันหนึ่งที “…”
หลังจางเต๋อเฉวียนเล่าเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืน ก็ไม่ลืมที่จะออกความเห็นของตัวเองทิ้งท้าย “…ข้ามองว่าที่ตัวเองทำไปนั้นไม่เหมาะสมก็จริง แต่พระนัดดาคงรู้ถึงอุปนิสัยของฝ่าบาทเป็นอย่างดี ไม่มีทางที่พระองค์จะปฏิเสธเรื่องของฮองเฮาเซวียนหยวนได้อยู่แล้วขอรับ”
ใช้วิธีล่อเสือออกจากถ้ำสินะ
ไม่มีใครคาดถึงหรอกว่าหันกุ้ยเฟยจะกล้าทำการใหญ่ปองร้ายฝ่าบาทได้ลงคอ
“ตอนนั้นเจ้าได้ยินบทสนทนาบ้างไหม” เซียวเหิงถาม
“ข้ามิบังอาจแอบฟังหรอก…จะมีก็แค่…” จางเต๋อเฉวียนพยายามนึก “มีบางคำพูดที่เสียงดังจนข้าเผลอได้ยิน หันกุ้ยเฟยพูดว่า ‘ความผิดของฝ่าบาทที่บีบบังคับให้หม่อมฉันต้องทำเช่นนี้!’”
เซียวเหิงนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนถามต่อ “ได้ยินอะไรอีกไหม”
“มีอีกขอรับ…ฝ่าบาททรงตรัสอีกว่า ‘เจ้าเองรึ’ ‘เราจะฆ่าเจ้า’ จากนั้นข้าก็ไม่ได้ยินแล้วขอรับ”
ดูเหมือนพวกเขากำลังทะเลาะกัน
เซียวเหิงเดินไปที่ห้องข้างๆ แล้วถามพวกเขา “ท่านย่า มีความเห็นอย่างไร”
“รักมากก็แค้นมากอย่างไรเล่า” จวงไทเฮาพูดขึ้นเสียงดัง มือก็พลางกอดขวดโหลผลไม้อบแห้ง
นี่มันจิ้งไท่เฟยคนที่สองชัดๆ เพียงแต่เลือกใช้วิธีที่โหดเหี้ยมกว่า
จิ้งไท่เฟยครั้งหนี่งเคยรักอดีตฮ่องเต้มากจนเกิดความแค้น แต่สุดท้ายกลับไม่กล้าลงมือทำร้ายคนรัก และเลือกมาลงกับลูกหลานแทน
ดังสำนวนที่ว่า ปิดประตูตีแมว แต่จิ้งไท่เฟยคงคาดไม่ถึงว่าไทเฮานั้นหาใช่แมวธรรมดาไม่
จวงไทเฮาหยิบผลไม้อบแห้งขึ้นมาเคี้ยวหนุบหนับ ก่อนพูดต่อ “จะจัดการผู้ชายห่วยๆ ก็ต้องใช้วิธีแบบนี้ล่ะ”
เซียวเหิง “…”
สรุปท่านย่าจะเข้าข้างใครกันแน่
กู้เฉิงเฟิงถามขึ้น “ในเมื่อหันกุ้ยเฟยมีนักฆ่ามือดีอยู่ในมือ เหตุใดถึงเพิ่งมาลงมือเอาตอนนี้ล่ะ ไม่รีบทำตั้งแต่ตอนก่อนที่ตัวเองกับไท่จื่อถูกปลดตำแหน่ง”
ด้วยความที่กู้เฉิงเฟิงเป็นเด็กผู้ชายทื่อๆ ไม่มีทางเข้าใจความคิดของหันกุ้ยเฟย
ขณะที่จวงไทเฮามีประสบการณ์ในวังหลังมานานหลายปี จึงเข้าใจหัวอกของหันกุ้ยเฟยอยู่บ้าง
ตระกูลหันเตรียมแผนการที่จะจัดการกับฮ่องเต้มานานแล้ว เพียงแต่เหตุผลที่หันกุ้ยเฟยไม่รีบดำเนินการ นอกจากคำนึงถึงความเสี่ยงที่น่าจะเกิดขึ้นแล้ว อีกเหตุผลสำคัญคือนางยังมีความรู้สึกต่อฝ่าบาทอยู่
หันกุ้ยเฟยมีความหวังเล็กๆ ในใจว่าฮ่องเต้จะแต่งตั้งให้นางขึ้นเป็นฮองเฮา และอยู่ด้วยกันไปจนแก่จนเฒ่าในฐานะพระสวามีและพระชายา
แต่น่าเสียดายที่การกระทำฮ่องเต้ล้วนเป็นการหักหามความตั้งใจของนางทั้งสิ้น
ที่นางให้ฮ่องเต้เดินทางมาที่ตำหนักเย็น ความตั้งใจเดิมคงเพื่อที่จะให้โอกาสฮ่องเต้อีกครั้ง หากฮ่องเต้ยังมีพระทัยให้นางบ้าง นางก็จะอดทนรอไปเรื่อยๆ
แต่แล้วนางก็ต้องผิดหวัง
ในพระทัยของฮ่องเต้ ไม่มีที่เหลือให้หันกุ้ยเฟยสักนิด
สตรีที่จริงจังกับอาชีพการงานเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด ซึ่งฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนก็กำลังทุกข์ทรมานจากเรื่องนี้
ในตอนนั้นเองที่พ่อบ้านเจิ้งกลับมาจากการไปสืบข่าวที่วังพอดี
“…วันนี้ช่วงเช้า ฝ่าบาทขึ้นว่าราชการตามปกติ ไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืนเลย กลับกันพวกเขาพูดถึงเรื่องที่จางกงกงแอบหนีออกจากวังยามวิกาล… เป็นเพราะกลัวจะได้รับโทษเรื่องที่จางกงกงแอบมีสัมพันธ์ลับกับนางข้าหลวง”
“…!!” จางเต๋อเฉวียนเผลอได้ยินเข้าขณะที่กำลังเดินไปทางประตู
เขารีบแก้ต่างทันที “ฝ่าบาทรู้เรื่องของข้ากับชิวเย่ว์ตั้งนานแล้ว! ข้าได้สารภาพทุกอย่างหมดแล้ว! ฝ่าบาทไม่มีทางจะลงโทษข้าได้เพราะเรื่องนี้! ข้าไม่ได้แอบหนีออกมาเพราะเรื่องนี้นะ!”
“…” ทุกคนกระตุกยิ้มที่มุมปาก
แอบไปมีสัมพันธ์กับนางข้าหลวงเลยรึ
เรื่องนี้เป็นความลับที่รู้กันแค่ฝ่าบาทกับจางเต๋อเฉวียนเท่านั้น
เขาตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินเสียจนไม่ทันสังเกตว่ามีคนจำนวนมากอยู่ในห้องนี้ รวมถึงคนไข้สองคนที่เขาเคยเจอที่ตำหนักกั๋วซือด้วย
“แย่ละ ชิวเย่ว์กำลังตกอยู่ในอันตราย!”
ทุกคนแสดงท่าทีเห็นใจเขา
“เหตุใดถึงมองข้าแบบนั้น” จางเต๋อเฉวียนถาม
จี้จิ่วยื่นถ้วยชาให้เขา “ดื่มชาใบบัวบกแก้ช้ำในก่อนสิ”
ตามมาด้วยเซียวเหิงที่ยื่นจานของว่างให้เขา “กินแห้วสักหน่อยไหม”
กู้เจียวแบมือออกพร้อมกับพูด “เดี๋ยวข้าไปปอกลูกท้อให้”
จางเต๋อเฉวียน “…”