บทที่ 783 ศึกชิงบัลลังก์
เมื่อซ่างกวานเยี่ยนจัดการธุระเสร็จก็มุดออกจากรูสุนัขของกำแพงตำหนักเย็น มุ่งหน้าไปรวมตัวกับกู้เฉิงเฟิงที่รออยู่
การขี่ม้าหรือใช้รถม้าจะส่งเสียงดังเกินไป การใช้วิชาตัวเบาจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการปฏิบัติการยามค่ำคืน
กู้เฉิงเฟิงใช้วิชาตัวเบาพาซ่างกวานเยี่ยนกลับไปยังตำหนักกั๋วซือ
กู้เจียวพร้อมด้วยท่านย่าและท่านปู่รออยู่ที่ห้องของกู้เจียว ส่วนเซียวเหิงก็กลับมาจากออกหาบ้านเช่าเรียบร้อยแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงนอนหลับสนิทบนเตียงหลังจากอาบน้ำ
เมื่อทั้งสองคนเข้ามาในเรือน กู้เจียวก็รีบไปตรวจดูบาดแผลของซ่างกวานเยี่ยนหลังฉากกั้น
ซ่างกวานเยี่ยนเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดดามเหล็กที่กระดูกสันหลัง แม้จะใช้ยาที่ดีที่สุด และฟื้นตัวเป็นอย่างดีแล้ว แต่จู่ๆ ก็ต้องมาออกแรงเช่นนี้ก็นับว่าฝืนไม่น้อย
“ข้าไม่เป็นไร” ซ่างกวานเยี่ยนตบชุดเกราะบนตัว “เจ้าสิ่งนี้ทุ่นแรงไปได้เยอะ”
กู้เจียวถอดชุดเกราะออก ตรวจดูแผลผ่าตัด พบว่าบริเวณที่เย็บแผลไม่มีรอยแดงหรือบวม
“เจ็บตรงไหนอีกหรือไม่” กู้เจียวถาม
“ไม่มี”
แค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย
แต่ซ่างกวานเยี่ยนไม่ได้เอ่ยประโยคนี้ออกไป
ทุกคนต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อเป้าหมายเดียวกัน ซ่างกวานเยี่ยนจะบ่นเพียงเพราะเหนื่อยล้าหรือเจ็บปวดได้อย่างไร
มันคุ้มที่จะแลกอยู่แล้ว
ซ่างกวานเยี่ยนกำลังจะสวมชุดเกราะอีกครั้ง แต่กู้เจียวห้ามไว้
กู้เจียวเอ่ย “ท่านกลับไปพักผ่อนในห้องเถิด ตอนนี้ไม่ควรนั่งหรือยืนแล้ว”
“ข้าอยากฟัง” ซ่างกวานเยี่ยนไม่ยอม
นางต้องการร่วมวงสนทนา
นางชอบความคึกคัก หลังจากถูกขังอยู่ในสุสานกษัตริย์มาหลายปี นางก็ไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบครอบครัวเช่นนี้มานานแล้ว
นางอยากอยู่ร่วมกับทุกคน
กู้เจียวครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “เช่นนั้นท่านไปนอนเบียดกับเสี่ยวจิ้งคงก่อน พวกเราคุยเรื่องนี้ให้จบ แล้วให้อาเหิงไปส่งท่านกลับห้อง แต่ท่านต้องระวังเขาเตะโดนนะ”
เสี่ยวจิ้งคงมีท่าทางการนอนที่แปลกประหลาด บางครั้งก็เรียบร้อยเหมือนตัวไหม บางครั้งก็เหมือนปีศาจน้อยผู้ทำลายล้าง
“ได้เลย!” อย่างน้อยนางก็มีวิชาติดตัวบ้าง!
ซ่างกวานเยี่ยนนอนลงบนเตียงหลังฉากกั้น กู้เจียวช่วยนางปล่อยม่านลง
นางเล่าเรื่องราวการวางแผนส่งขันทีน้อยเข้าวังผ่านม่านและฉากกั้น
แม้กู้เฉิงเฟิงจะรู้แผนคร่าวๆ อยู่แล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งกับกลวิธีอันแยบยลนี้
เหล่าพระสนมคงไม่มีทางคาดคิดได้ว่าซ่างกวานเยี่ยนจะเล่นไม้เดียวกันกับทุกคน
แถมยังเขียนสัญญาเป็นหลักฐานอีกต่างหาก ช่างดูจริงใจเสียจริง!
“แต่พวกนางจะเชื่อจริงๆ หรือนี่” กู้เฉิงเฟิงกังวลว่าพวกนางจะเปลี่ยนใจหรือจับพิรุธได้
ท่านย่ายิ้มบางพลางตอบ “พวกนางระแวงกันเอง ไม่มีทางแลกเปลี่ยนข้อมูลกันหรอก คงไม่มีทางความแตก ส่วนเรื่องจะเชื่อหรือไม่… เราก็หว่านแหไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ต้องมีติดบ้าง ยิ่งตำแหน่งฮองเฮาช่างเย้ายวนใจเสียเหลือเกิน”
เซียวฮองเฮาแห่งแคว้นเจามีตำแหน่งที่มั่นคง ไท่จื่อมีเซวียนผิงโหวคอยหนุนหลัง แทบไม่มีทางที่ใครจะมาสั่นคลอนได้ ราชสำนักจึงนับว่ามั่นคงยิ่งนัก
หลังจากกู้เฉิงเฟิงมาถึงต้าเยี่ยนก็ตระหนักได้ว่าในวังหลังมีแต่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจมากมาย “ข้ายังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่ ข้าเข้าใจว่าหวังเสียนเฟยกับเฟิ่งเจาอี๋อยากได้ตำแหน่งฮองเฮา เพราะพวกนางไม่มีพระโอรส การอาศัยองค์หญิงสามขึ้นเป็นฮองเฮาเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาอำนาจ แต่ว่าอีกสามคน นางมีพระโอรสที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่หรือ”
เซียวเหิงเอ่ย “พวกนางต้องการอาศัยซ่างกวานเยี่ยนขึ้นเป็นฮองเฮาก่อน ใช้ซ่างกวานเยี่ยนเป็นเครื่องมือเพื่อขึ้นเป็นฮองเฮา จากนั้นหาโอกาสกำจัดซ่างกวานเยี่ยน ในฐานะฮองเฮา พระโอรสของพวกนางก็จะกลายเป็นองค์ชายใหญ่ จากนั้นก็จะสืบราชบัลลังก์ได้อย่างสมเกียรติ”
จวงไทเฮาพยักหน้าเห็นด้วย “อืม สมเหตุสมผล”
กู้เฉิงเฟิงอึ้งชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะตระหนักขึ้นมา “แสดงว่าทุกคนก็ต่างใช้ประโยชน์จากกันและกันนั่นเอง”
ในวังหลังไม่มีหญิงใดใสซื่อ ใครอายุยืนกว่าก็ขึ้นอยู่กับกว่าใครมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวกว่า
จวงไทเฮาหาวหวอด “เอาละ ไปนอนกันเถอะ ต่อไปนี้เป็นเรื่องของพวกนางแล้วว่าจะทำอย่างไร จะสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพวกนางเอง”
“อ้อ” กู้เจียวลุกขึ้นยืน เก็บกวาดโต๊ะ เตรียมเข้านอน
“เช่นนั้นข้าจะกลับมาพรุ่งนี้” เซียวเหิงเอ่ยกับนางเบาๆ
กู้เจียวพยักหน้า ยิ้มบาง “พรุ่งนี้เจอกัน”
จี้จิ่วอาวุโสลุกขึ้นยืนจากโต๊ะเช่นกัน “ข้าเองก็เหนื่อยแล้ว ขอกลับไปนอนก่อนก็แล้วกัน”
กู้เฉิงเฟิงมองทุกคนทยอยจากไปด้วยความงุนงง
ไม่สิ พวกท่านแยกย้ายกันเช่นนี้เลยหรือ
ไม่กังวลอะไรเลยหรืออย่างไร
ใจเย็นขนาดนั้นเลยหรือ
กู้เจียวเอ่ยขึ้น “พวกท่าน พักผ่อนเถอะ คืนนี้ข้าไปจะหากู้ฉังชิง”
จวงไทเฮาโบกมือ “รู้แล้ว เจ้าไปเถอะ”
กู้เฉิงเฟิงรู้สึกสงสัยในตัวเองอย่างมาก “ตกลงแล้วข้าผิดปกติหรือพวกเจ้าผิดปกติกันแน่”
….
ตำหนักเสียนฝู
หวังเสียนเฟยปล่อยผมยาวสยาย สวมชุดนอนไหม นั่งนิ่งอยู่หน้าต่าง
“พระสนม” แม่นมหลิวถือเทียนไขเดินเข้ามา
แม่นมหลิวคือคนที่จำได้ว่าขันทีน้อยผู้นั้นคือซ่างกวานเยี่ยน นางเป็นสาวใช้จากตระกูลฝั่งแม่ของเสียนเฟยที่ติดตามนางเข้าวังมา อายุประมาณสิบเอ็ดสิบสองปีก็เริ่มรับใช้เสียนเฟย
เรียกได้ว่าเสียนเฟยไว้ใจนางมากที่สุด
“ชุนซิ่ว เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องเมื่อเย็นนี้” หวังเสียนเฟยถาม
แม่นมหลิววางเทียนลงบนขอบหน้าต่างอย่างเบามือ “ยากจะคาดเดาเพคะ”
หวังเสียนเฟยเอ่ย “ระหว่างข้ากับเจ้ามีอะไรที่พูดไม่ได้หรือ ในใจเจ้าคิดอย่างไรก็ว่ามาตามตรง”
แม่นมหลิวเอ่ย “หม่อมฉันรู้สึกว่าองค์หญิงสามเปลี่ยนไปจากเดิมมาก นางเปลี่ยนแปลงไปมาก ยิ่งกว่าที่ลือกันเสียอีก”
แววตาของหวังเสียนเฟยแฝงไปด้วยความเห็นด้วย “ข้าก็รู้สึกเช่นกัน ค่ำคืนนี้ท่าทางของนางมีพิรุธนัก”
แม่นมหลิวมองหวังเสียนเฟย “แต่ว่าพระสนมทรงตัดสินใจที่จะเสี่ยงดูสักตั้งไม่ใช่หรือ”
แม่นมหลิวเข้าใจหวังเสียนเฟยมากที่สุดในโลก หวังเสียนเฟยคิดอะไร นางย่อมรู้ดี
หวังเสียนเฟยไม่ได้ปฏิเสธ “นางเหมาะสมกว่าองค์ชายหกจริงๆ โอกาสที่จะช่วยข้าขึ้นเป็นฮองเฮาสูงกว่า”
เมื่อแม่นมหลิวได้ยินเช่นนี้ รู้ดีว่าหวังเสียนเฟยตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จึงไม่ได้โต้แย้งหรือห้ามปรามอีก แต่กลับถาม “แต่หันกุ้ยเฟยนั้นไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่าย”
หวังเสียนเฟยเอ่ยเรียบเฉย “ถ้ามันง่าย นางคงไม่มาหาข้าหรอก นางคงทำเองได้”
แม่นมหลิวครุ่นคิดถึงเรื่องบางเรื่องแล้วถามด้วยความสงสัย “เรื่องที่กำจัดตระกูลเซวียนหยวนในครั้งนั้น ตระกูลขุนนางชั้นสูงหลายตระกูลมีส่วนร่วม เหตุนางถึงจ้องแต่ตระกูลหันไม่ปล่อย”
หวังเสียนเฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดสี “ไม่ใช่ว่าไท่จื่อเป็นคนริเริ่มก่อนหรือ ส่งคนไปลอบสังหารนางที่สุสานกษัตริย์ยังไม่พอ ยังส่งตระกูลหันไปลอบสังหารลูกชายของนางอีก หากนางไม่คิดแค้นเลยต่างหากถึงจะเรียนกว่าไม่ปกติ”
แม่นมหลิวพยักหน้า “ไท่จื่อใจร้อนเกินไป ซ่างกวานชิ่งเป็นเหมือนคนใกล้ตายอยู่แล้ว มีอะไรต้องจัดการกับเขาอีก”
หวังเสียนเฟยมองแสงจันทร์นอกหน้าต่าง “ไท่จื่อคงกังวลว่าซ่างกวานชิ่งจะใช้ความเห็นอกเห็นใจของฮ่องเต้ที่มีต่อเขาก่อนตาย ช่วยให้ไท่หนี่ว์กลับมาขึ้นครองราชย์กระมัง”
มิฉะนั้น หวังเสียนเฟยก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดไท่จื่อถึงไปแตะต้องพระราชนัดดา
“เอาละ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว” หวังเสียนเฟยเอ่ยพลางกวาดสายตามองไปที่กระดาษบนโต๊ะ บนกระดาษนั้นไม่เพียงแต่มีรายละเอียดการตกลงร่วมกันของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น ยังมีลายมือชื่อและลายนิ้วมือประทับอยู่ เป็นการตกลงอย่างลับๆ
แต่ทว่า มันก็เป็นการตกลงที่มีผลผูกพัน
นางเอ่ยต่อ “บอกให้คนของข้าที่แทรกซึมอยู่ในตำหนักกุ้ยอี๋ลงมือได้เลย”
แม่นมหลิวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “พระสนม นั่นคือไพ่ตายของพวกเรานะเพคะ ต้องใช้นางในเรื่องนี้จริงๆ หรือ หากถูกเปิดโปง พวกเราจะไม่สามารถสอดแนมความเคลื่อนไหวของตำหนักกุ้ยอี๋ได้อีกต่อไปนะเพคะ”
หวังเสียนเฟยหยิบสัญญาที่เขียนด้วยลายมือของซ่างกวานเยี่ยนขึ้นมา สายตาของนางแฝงไปด้วยความเฉยชา “ตราบใดที่หันกุ้ยเฟยสิ้นชื่อ ตำหนักกุ้ยอี๋ก็ไม่มีความจำเป็นต้องสอดแนมอีกต่อไป ไม่ใช่หรือ”
วันต่อมา
หวังเสียนเฟยเริ่มดำเนินการตามแผนของตัวเอง
นางสั่งให้แม่นมหลิวไปติดต่อสายลับที่แทรกซึมอยู่ในตำหนักกุ้ยอี๋ นางเหมือนกับเสี่ยวลี่จื่อที่เป็นสายลับที่ถูกส่งมาฝังตัวมานานหลายปี
หันกุ้ยเฟยคิดเสมอว่าตนเองฉลาดที่สุด แต่บางครั้งก็มีคำกล่าวที่ว่าตั๊กแตนตำข้าวสะกดรอยตามจั๊กจั่น โดยมีนกขมิ้นตามหลัง ภูเขาลูกหนึ่งมักมีภูเขาที่สูงใหญ่กว่า
อย่างไรก็ตาม หันกุ้ยเฟยเป็นคนที่ระมัดระวังมาก แม้จะผ่านมาหลายปี แต่สายลับคนนี้ก็ยังไม่สามารถได้รับความไว้วางใจจากหันกุ้ยเฟยทั้งหมด
แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นคนสนิทที่สุดของหันกุ้ยเฟยที่ทำได้
“คำสั่งของพระสนมเจ้าเข้าใจทั้งหมดแล้วหรือไม่” แม่นมหลิวเอื้อมมือไปหยิบกล่องผ้าไหมทรงยาวจากแขนเสื้อแล้วส่งให้เขาหลังก้อนหิน
ขันทีรับของไว้แล้วซ่อนไว้ในแขนเสื้อ เอ่ยเสียงเบา “พระสนมโปรดทรงวางพระทัย ข้าน้อยจะจัดการเรื่องนี้สุดความสามารถ ขอพระนาง…ทรงเมตตาต่อครอบครัวของข้าน้อยด้วย!”
แม่นมหลิวเอ่ยอย่างจริงจัง “เจ้าจงวางใจ พระสนมจะทรงเมตตา”
ขันทีมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ก่อนจะย่องกลับตำหนักกุ้ยอี๋
อีกด้านหนึ่ง ต่งเฉินเฟยและคนอื่นๆ ก็เริ่มลงมือ
ต่งเฉินเฟยไม่มีสายลับในตำหนักกุ้ยอี๋ แต่ข่าวกรองของตระกูลต่งนั้นไม่ด้อยไปกว่าหวังเสียนเฟย
นางติดต่อกับตระกูลต่ง ยืมมือยอดฝีมือมาคนหนึ่ง
องครักษ์หยิงที่ติดตามยอดฝีมือเอ่ย “นายท่านบอกว่า ข้างกายหันกุ้ยเฟยมีขุนศึกผู้เก่งกล้าคนหนึ่ง พวกเราควรหลีกเลี่ยงเขา”
ต่งเฉินเฟยเสียดสีอย่างเย็นชา “นางช่างไร้ยางอายเสียจริง! ถึงกับให้ชายแปลกหน้าเข้าออกห้องโถงนอนของตัวเองได้ตามใจชอบ!”
องครักษ์หญิงตอบ “ชายผู้นั้นไม่ได้มาที่วังบ่อยนัก เพียงแต่มาปรึกษากับหันกุ้ยเฟยในบางโอกาสเท่านั้น”
ต่งเฉินเฟยเอ่ยเสียงเรียบ “ช่างเถอะ พวกเจ้าจัดการเองก็แล้วกัน ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีไหน แต่สิ่งนี้ต้องถูกวางไว้ในห้องนอนของนางแซ่หันนั่นให้ได้!”
….
วันที่หนึ่งผ่านไป ไร้เสียงข่าวใดๆ จากวัง
วันที่สองผ่านไป ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นในวัง
กู้เฉิงเฟิงอดทนไม่ไหว ในที่สุดก็แอบย่องเข้าไปในตำหนักกั๋วซือตอนกลางคืน อดไม่ได้ที่จะถามกู้เจียว “เจ้าคิดว่าพวกนางลงมือหรือยัง เหตุใดยังไม่มีข่าวอะไรเลย”
แน่นอนว่าพวกเขาลงมือทำแล้ว แต่ว่าจะสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกนางเอง
ดังสุภาษิตที่ว่าสุดมานะคนแล้วล้วนแต่ขึ้นอยู่กับสวรรค์ ก็คงจะเป็นเช่นนั้น
ในวันที่สี่ ฮ่องเต้เสด็จมาตำหนักกั๋วซือพร้อมกับองค์หญิงน้อย เพื่อเยี่ยมเยียนเซียวเหิงและซ่างกวานเยี่ยน
หลังจากที่นั่งลงได้ไม่นาน จางเต๋อเฉวียนก็รีบเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ฝ่าบาท! เกิดเรื่องขึ้นในวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ!”