สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 777-2 พบพานท่านย่า (2)

บทที่ 777-2 พบพานท่านย่า (2)

บทที่ 777-2 พบพานท่านย่า (2)

สวี่เกาเอ่ย “กุ้ยเฟย เบื้องหลังขององค์หญิงสามเกรงว่าจะมียอดฝีมือชี้แนะอยู่”

หันกุ้ยเฟยคล้ายว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “เจ้าพูดเช่นนี้ก็มีเหตุผลอยู่บ้าง ข้าเป็นคนเห็นซ่างกวานเยี่ยนเติบโตมา นิสัยตรงไปตรงมาอย่างนาง ไม่ค่อยมีเล่ห์กลอะไร ไม่เช่นนั้นตอนนั้นคงไม่โดนคนเล่นงานเอาหรอก”

สวี่เการีบเอ่ย “ก็นั่นน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ กุ้ยเฟย หากนางมีเล่ห์กลถึงเพียงนี้ ยังจะต้องรอให้ถึงวันนี้เพื่อการใด คงจะกลับเซิ่งตูมาชิงตำแหน่งรัชทายาทกับองค์ชายรองตั้งนานแล้ว ซ้ำนิสัยของพระนัดดาก็แตกต่างไปจากแต่ก่อนด้วย คนหนึ่งเปลี่ยนไปยังพอจะฝืนยอมรับได้ แต่นี่สองคนเปลี่ยนไปหมดเลย หากบอกว่าไม่มียอดฝีมืออยู่เบื้องหลัง ใครจะไปเชื่อ”

หันกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเย็น “ต้องลากตัวยอดฝีมือเบื้องหลังพวกเขาออกมาให้ได้! ข้าจะดูซิว่าใครมันกินดีหมีมาถึงกล้ามาต่อกรกับข้า!”

สวี่เกายิ้มอย่างลำพอง “กุ้ยเฟยโปรดวางพระทัย คนของเราไปถึงตำหนักกั๋วซือแล้ว”

หันกุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นก็แย้มยิ้ม “หึ เร็วเพียงนี้เชียวรึ คงไม่เกิดช่องโหว่อะไรหรอกกระมัง”

สวี่เกาแย้มยิ้มพลางเอ่ย “ล้วนเป็นคนที่จางเต๋อเฉวียนเลือกด้วยตัวเอง แต่ละคนเป็นคนสนิทของเขาทั้งสิ้น ต่อให้สืบบรรพบุรุษสิบแปดโคตรก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”

หันกุ้ยเฟยยิ้มเย็น “จะส่งคนสนิทไปแทรกซึมข้างกายจางเต๋อเฉวียนไม่ใช่เรื่องง่าย หมากที่ซุกซ่อนไว้หลายปีเพียงนี้ เดิมทีกะว่าจะใช้กับเรื่องที่สำคัญกว่านี้ แต่ใครให้ซ่างกวานเยี่ยนกับลูกของมันน่ารำคาญเพียงนี้กันเล่า คงต้องยืมมือจางกงกงกำจัดเสี้ยนหนามสองชิ้นนี้ให้ข้าเสียแล้ว!”

สวี่เกาประจบ “กุ้ยเฟยปราดเปรื่องนัก!”

หันกุ้ยเฟยเริ่มเพ้อฝันถึงผลลัพธ์หลังได้รับชัยชนะแล้ว “เมื่อสำเร็จ…จะยัดความผิดให้ใครดีล่ะ ข้าดูแล้วหวังเสียนเฟยไม่เลว ต่งเฉินเฟยก็ไม่เลวเช่นกัน”

นางเอ่ยพลางหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ

อีกด้านหนึ่ง จางเต๋อเฉวียนพานางกำนัลสี่คนไปยังตำหนักกั๋วซือ

กู้เจียวไปที่หอตำราแล้ว มีเพียงเซียวเหิงที่อยู่ในห้องซ่างกวานเยี่ยน

จางเต๋อเฉวียนคำนับให้เซียวเหิงบนที่นั่งอย่างนอบน้อม “พระนัดดา ที่อยู่ด้านนอกนี้เป็นนางกำนัลที่บ่าวเลือกมา มือเท้าคล่องแคล่ว ทำงานว่องไว และมีความเฉลียวฉลาด ให้พวกเขารับใช้องค์หญิงสามกับพระนัดดาไปก่อน พระนัดดาโปรดวางพระทัย เบื้องหลังพวกเขาสะอาดสะอ้านดี”

“ทราบแล้ว” เซียวเหิงเอ่ย

จางเต๋อเฉวียนแย้มยิ้ม “หากไม่มีอะไรจะรับสั่งแล้ว บ่าวขอกลับวังก่อน”

เซียวเหิงพยักหน้า

ครั้นจางเต๋อเฉวียนจากไปแล้ว เซียวเหิงก็เลิกม่านขึ้น มองซ่างกวานเยี่ยนที่นั่งขัดสมาธิบนเตียงกอดแตงโมครึ่งลูกใช้ช้อนขูดกินอยู่ “จางเต๋อเฉวียนไว้ใจได้หรือไม่”

ซ่างกวานเยี่ยนกินก้อนแตงโมช้อนหนึ่ง “อ้อ เขาไม่เลว”

เซียวเหิงเอ่ย “ถ้าอย่างนั้น ที่อยู่ด้านนอกนี้รับไว้ได้ใช่หรือไม่”

ซ่างกวานเยี่ยนครุ่นคิด “รับไว้ก่อนแล้วกัน จางเต๋อเฉวียนเป็นคนในวังเพียงคนเดียวที่ไม่มีทางทำร้ายข้า”

ณ สำนักบัณฑิตหลิงโป

รถม้าคันหนึ่งจอดลงในตรอกฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กัน

ตรอกนี้เดิมทีมีไว้เพื่อให้นักเรียนของสำนักบัณฑิตจอดรถม้า และเพราะว่ารถม้าคันนี้มาไวที่สุด จึงได้ครองแถวแรก

เมื่อมาถึงที่นี่ หน้าที่ของสารถีก็เสร็จสิ้นแล้ว จี้จิ่วอาวุโสจึงมอบเงินค่ารถให้กับเขา

สารถีรับค่าแรงตัวเองแล้วจากไปด้วยความพอใจ

จี้จิ่วอาวุโสกับจวงไทเฮานั่งคอยอยู่ในรถม้า

“แน่ใจหรือว่าจะรอที่นี่” จวงไทเฮาถาม

จี้จิ่วอาวุโสเอ่ย “จิ้งคงมาเรียนที่สำนักบัณฑิตหลิงโป อีกเดี๋ยวเขาก็เลิกเรียนแล้ว อาเหิงต้องมารับเขาแน่ อาเหิงไม่มาเจียวเจียวก็ต้องมา”

ฤดูร้อนของแคว้นเยี่ยนร้อนยิ่งกว่าแคว้นเจา กอปรกับวันนี้อากาศร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ รถม้าจึงอบอ้าวเป็นเข่งนึ่งในเวลาไม่นาน

จวงไทเฮากลายเป็นกุ้งนึ่งตัวน้อย เหงื่อท่วมประหนึ่งเปียกฝน

นางพิงผนังรถอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ตอนกลางคืนฝนเพิ่งจะตกไปมิใช่หรือ เหตุใดยังไม่ทันจะเย็นเท่าใด ก็ร้อนขึ้นมาอีกแล้วเล่า”

จวงไทเฮาไม่มีแม้แต่แรงจะพูดจา นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นไข้แดดเสียแล้ว อ่อนเปลี้ยราวกับกุ้งอยู่บนที่นั่ง

จี้จิ่วอาวุโสเห็นนางมีสภาพเช่นนี้ ก็อดสงสารไม่ได้ก่อนจะเอ่ย “ข้างๆ เป็นร้านน้ำชา เจ้าไปดื่มชาสักถ้วยที่ร้านน้ำชาสิ ข้ารอในนี้ได้”

จวงไทเฮาถลึงตาใส่เขา เอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง “ดื่มชาไม่ต้องใช้เงินหรือไร”

แคว้นเยี่ยนค่าครองชีพสูง ค่าเดินทางที่พวกเด็กๆ พกมาคงไม่พอใช้แน่ นางต้องประหยัดไว้ให้เจียวเจียว

แน่นอนว่ายังมีสาเหตุสำคัญอีกอย่าง นางต้องการเห็นเจียวเจียวทันที

แม้ว่าคนที่มารับจิ้งคงอาจจะไม่ใช่เจียวเจียวก็ตาม

ทั้งคู่รอกันตั้งแต่เช้าจนบ่าย ร้อนจนหมดอารมณ์แล้ว

ในที่สุด สำนักบัณฑิตหลิงโปก็ทะยอยเลิกเรียน นักเรียนแต่ละคนในเครื่องแบบเดินออกมาจากสำนักบัณฑิตอย่างมีชีวิตชีวา

จวงไทเฮาทอดมองออกไป “ไยจึงไม่เห็นเด็กเล็กเลยเล่า เจ้าไปถามทีซิ ชั้นเรียนเด็กอัจฉริยะเลิกหรือยัง” จี้จิ่วอาวุโสเข้าไป

ทว่าตั้งแต่องค์หญิงน้อยโดนลักพาตัวแถวๆ สำนักบัณฑิต ระดับความระแวดระวังของสำนักบัณฑิตก็เพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย ท่าทางที่มีต่อคนที่มาถามข่าวคราว โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่มาถามข่าวของชั้นเรียนเด็กอัจฉริยะจึงยิ่งระแวดระวังกว่าเดิม

ยามตวาด “ห้ามถามข่าวของสำนักบัณฑิต! หากยังไม่ไป ระวังข้าจะแจ้งทางการมาจับเจ้า!!”

แถวๆ นี้มีเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนเพิ่มขึ้นมาจริงๆ นั่นแหละ

จี้จิ่วอาวุโสเป็นบุคคลที่ไม่มีชื่อปรากฏตามทะเบียนบ้าน ย่อมไม่อาจตกอยู่ในมือของทางการได้ เขาอยากบอกว่าเขาเป็นคนในครอบครัวของนักเรียนบางคน แต่ก้มหน้าลงมองการแต่งตัวอัตคัดขัดสนของตัวเองแล้ว จึงกลืนคำพูดที่ปลายลิ้นกลับคืน

ระหว่างทางมานี้พวกเขาแต่งตัวกันยากจนข้นแค้นมาก เพื่อไม่ให้สะดุดตาโจรผู้ร้าย เสื้อผ้าจึงธรรมดายิ่ง รถม้าก็เก่าโทรมสุดแสนจะเปรียบ

จี้จิ่วอาวุโสกำลังจะไปถามร้านรวงแถวๆ นี้แทน เพิ่งหันหลังกลับเขาก็ได้ยินยามคนนั้นเอ่ยกับเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆ “จับตามองตาเฒ่านั่นไว้หน่อย”

จี้จิ่วอาวุโสมุมปากกระตุก เขาถูกคิดว่าเป็นโจรไปแล้วรึ

เกิดอะไรขึ้นกับสำนักบัณฑิตแคว้นเยี่ยนกัน!

เมื่อถามข่าวมาไม่ได้ จำต้องเอ่ยไปตามตรง “เจ้าวางใจได้ ข้าถามที่โรงเตี๊ยมมาแล้ว หลังเลิกเรียนมีเพียงบานประตูเดียวที่เปิด จิ้งคงต้องออกมาจากด้านในแน่”

“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ขยับไปโน่น!” จวงไทเฮาจับหน้าเขาหันไปอย่างไร้ปรานี จ้องประตูใหญ่ของสำนักบัณฑิตหลิงโปไว้ตาไม่กะพริบ

ในที่สุดสวรรค์ก็เมตตาผู้ที่มีความเพียร เด็กอายุราวๆ สิบขวบคนหนึ่งออกมาแล้ว

นางแววตาเป็นประกาย “ชั้นเรียนเด็กอัจฉริยะเลิกเรียนแล้ว!”

ชั้นเรียนเด็กอัจฉริยะเลิกแล้วก็จริง

แต่เสี่ยวจิ้งคงกับองค์หญิงน้อยเป็นสองคนที่อืดอาดที่สุด ทั้งคู่เก็บกระเป๋าจนอาจารย์หลี่ว์สงสัยในชีวิต

องค์หญิงน้อยเอ่ยกับสหายร่วมชั้น “จิ้งคง วันนี้เจ้าไปเล่นบ้านข้าเถอะ!”

เสี่ยวจิ้งคงถาม “บ้านเจ้าอยู่ที่ไหน”

“อืม…อยู่ที่นั่น!” องค์หญิงน้อยชี้ไปทาง (ที่คิดเองว่า) เป็นวังหลวง “ข้าไปเล่นที่บ้านเจ้าตั้งหลายครั้งแล้ว เจ้ายังไม่เคยไปเล่นที่บ้านข้าเลยนะ!”

เสี่ยวจิ้งคงคิดๆ ดูก็จริงตามนั้น

“ก็ได้ แต่ข้าต้องไปบอกอาจารย์เฉิงก่อนนะ”

วันนี้เลิกเรียนแล้วเขามีคาบเรียนเสริมของอาจารย์เฉิง

แต่ในสายตาเขา การเรียนเสริมนั้นลาหยุดได้ อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้อยากไป

เจ้าหนูน้อยทั้งสองสะพายกระเป๋า ไปขอลาหยุดกับอาจารย์เฉิง

องค์หญิงน้อยเท้าเอว จ้องอาจารย์เฉิงดุๆ อาจารย์เฉิงอยากจะไม่เห็นด้วยก็ไม่กล้า

“เมื่อครู่นี้มีคนมาถามว่าชั้นเรียนเด็กอัจฉริยะเลิกยามใด ไม่ทราบว่ามีผู้ร้ายอยากจะจับตัวองค์หญิงน้อยอีกหรือไม่ คำนึงถึงความปลอดภัยแล้ว พวกเราไปรับองค์หญิงน้อยในสำนักบัณฑิตเลยดีกว่า”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

รถม้าคันหนึ่งที่ดูธรรมดาแต่ความจริงแล้วภายในหรูหราสุดจะเปรียบได้รับอภิสิทธิ์จากฮ่องเต้เข้าไปในสำนักบัณฑิตหลิงโป ตรงมาจอดหน้าชั้นเด็กอัจฉริยะ

ยอดฝีมือจากวังหลวงสี่นายพากันหลีกทาง

แม่นมลงจากรถม้าไปรับกระเป๋าขององค์หญิงน้อยมาถือ “องค์หญิงน้อย พวกเราควรกลับแล้วเจ้าค่ะ”

องค์หญิงน้อยตรัส “วันนี้ข้าจะเชิญเสี่ยวจิ้งคงไปเล่นที่บ้านข้า!”

แม่นมแย้มยิ้ม “หากคนที่บ้านของท่านชายน้อยไม่ว่าอะไร ย่อมได้เจ้าค่ะ”

“ไม่ว่าหรอก ไม่ว่าหรอก” เสี่ยวจิ้งคงตัดสินใจเองเลย

อย่างไรเสียก็ไม่ใช่พี่เขยนิสัยไม่ดี พี่เฉิงเฟิงเอาเขาไม่อยู่หรอก

หนูน้อยทั้งสองขึ้นมาบนรถม้า

ยอดฝีมือจากวังหลวงทั้งสี่แบ่งเป็นสองคนขึ้นนั่งบนรถม้า อีกสองคนขี่ม้าคุ้มกันส่งขนาบข้าง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : สามีข้าคือขุนนางใหญ่ ชื่อภาษาอังกฤษ : The Grand Secretary's Pampered Wife ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง(偏方方) ในอนาคตเขาจะได้เป็น 'ขุนนางใหญ่' อย่างนั้น 'เจ้' คนนี้จะประคอง 'สามี' คนนี้ ให้ไปถึงฝั่งฝันนั้นเอง! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม! จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้จียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เชียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ เพราะบุญคุณเชียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ แต่พราะ "ฝันบอกเหตุ' ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนหม่ได้รู้ว่าเขี้ยวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ยทั้งหลายเพื่อประคองเขาชื้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

Options

not work with dark mode
Reset