บทที่ 775 ท่านย่าขาใหญ่ (1)
กู้เจียวไปดูเสี่ยวจิ้งคงที่ห้องเซียวเหิงก่อน เจ้าหนูน้อยทั้งสองเล่นกันมาทั้งคืนแล้ว เหนื่อยจนผล็อยหลับกันไปนานแล้ว
เนื่องจากฮ่องเต้อาการปวดพระเศียรกำเริบจึงบรรทมที่ห้องปีกข้างของตำหนักฉีหลินแล้ว องค์หญิงน้อยก็ไม่ได้กลับวังด้วย เจ้าหนูน้อยทั้งสองหลับสนิทกันอยู่บนเตียง
กู้เจียวโน้มตัวลงไปลูบหน้าผากเสี่ยวจิ้งคง แล้วลูบหัวองค์หญิงน้อยต่อ ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ขอบใจนะ เสี่ยวเสวี่ย”
หากไม่ได้องค์หญิงน้อยจับพลัดจับผลูพาฮ่องเต้มาล่วงหน้า เพื่อช่วงชิงเวลาครึ่งชั่วยามให้กู้ฉังชิง พอพวกเขาสู้กับไท่จื่อจบ กู้ฉังชิงคงกลายศพเป็นเย็นเยียบเป็นน้ำแข็งไปแล้ว
แม้ว่ากู้ฉังชิงจะยังไม่พ้นขีดอันตราย แต่อย่างน้อยก็ได้ให้โอกาสนางในการช่วยชีวิต
องค์หญิงน้อยย่อมไม่ได้ยินว่าอาจารย์กำลังพูดอะไร นางหลับสนิทนัก ปากน้อยๆ อ้าๆ หุบๆ กรนคร่อกๆ อย่างมีความสุข
กู้เจียวกลับมาที่ห้องตัวเอง อาบน้ำสระผมจากห้องปีกข้างเสร็จก็เปลี่ยนเป็นอาภรณ์สะอาดสะอ้าน
เพิ่งจะรัดเข็มขัดเสร็จก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังปึงปัง
“ข้าเอง”
เซียวเหิงเอ่ย
กู้เจียวเดินไปเปิดประตูให้เขา
นางเพิ่งอาบน้ำมา บนร่างสวมชุดนอนหลวมโคร่ง ดึกดื่นแล้ว ผมดำขลับของนางถูกนางใช้ผ้าห่อไว้บนศีรษะลวกๆ ปอยผมเส้นหนึ่งร่วงลงมา ปรกลงข้างแก้มซ้ายของนาง
ผมดำขลับดุจน้ำหมึก หยดน้ำพราวเกาะปลายผม
ผิวพรรณเนียนละเอียดผุดผ่อง ปานแดงบนแก้มงดงามดุจลูกท้อ
เซียวเหิงเพียงแค่มองนางอย่างเดียวเท่านั้น แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ากลับโจมตีเขาอย่างรุนแรง
ลมหายใจของเขาสะดุด ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง
กู้เจียวก้มหน้ามองเสื้อส่วนหน้าของตัวเอง ก็ใส่มิดชิดดีนี่นา ไม่ได้โป๊เสียหน่อย
เซียวเหิงกระแอมในลำคอ บังคับให้ตัวเองสงบลง เขายื่นน้ำขิงในมือมาตรงหน้านาง ปิดบังท่าทางเสียอาการของตัวเองไว้ “ห้องครัวเพิ่งต้มน้ำขิงมา เมื่อครู่เจ้าเพิ่งตากฝน ดื่มเสียหน่อย จะได้ไม่เป็นหวัด”
“อ้อ” กู้เจียวเอื้อมมือไปรับน้ำขิง
“ข้าถือให้” เซียวเหิงเอ่ยจบก็ชะงักไป “สะดวกให้เข้าไปหรือไม่”
“สะดวก” กู้เจียวหลบให้ ผายมือเชิญเขาเข้ามา
เซียวเหิงถือน้ำขิงเข้ามาในห้อง
กู้เจียวเพิ่งจะอาบน้ำที่ห้องปีกข้างมา ในอากาศจึงอวลกลิ่นหอมสบู่และกลิ่นกายสาวชวนหลงใหลของนางอยู่รำไร
เซียวเหิงพยายามอย่างสุดกำลังไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน
กู้เจียวเปิดหน้าต่างออก ยามนี้ฝนหยุดลงแล้ว กลิ่นไอดินและกลิ่นหญ้าชื้นลอยเข้ามาในห้อง ชวนให้สดชื่นสบายอุรา
“ดื่มน้ำขิงเสียสิ” เซียวเหิงเอ่ย
“ได้” กู้เจียวเดินมานั่งลงบนม้านั่ง ยกชามน้ำขิงใส่น้ำตาลแดงกระดกดื่มอึกๆ “ใส่น้ำตาลด้วยหรือ”
“ไหนเจ้า…” สายตาเซียวเหิงหยุดลงบนท้องน้อยราบเรียบของนาง ก่อนเอ่ยอย่างไม่กระโตกกระตาก “อืม ใส่ไปนิดหน่อย”
ระดูของกู้เจียวใกล้จะมาแล้ว แต่นางเองยังจำไม่ได้เลย
กู้เจียวส่งเสียงอ้อ
ดีจริง ๆ เรื่องนี้ก็จำได้ด้วย
เซียวเหิงยกม้านั่งมานั่งลงตรงหน้านาง “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
กู้เจียวยื่นมือให้ดู “ไม่เป็นอะไรแล้ว”
อาการบาดเจ็บของนางหายเร็วมาก ฝ่ามือถูกเชือกรัดจนบริเวณบาดแผลตกสะเก็ดแล้ว ยามทำการผ่าตัดแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย
“ขาเจ้า” เซียวเหิงเอ่ยขึ้นอีก
ตอนกลางวันยังขาอ่อนจนต้องนั่งรถเข็นอยู่เลย
คนคนหนึ่งสามารถปลดปล่อยศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดในช่วงเวลาวิกฤติได้อย่างมั่นคง แต่หลังจากนั้นก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นสองเท่าอยู่ดี
กู้เจียวมองขาทั้งสองข้างที่จู่ๆ ก็ไม่รักดี พลางขมวดคิ้ว “เจ้าไม่พูดก็ยังพอทำเนา พอพูดถึงขึ้นมาก็มีเจ็บนิดหน่อยแล้ว”
เซียวเหิงไม่รู้ว่าควรโกรธหรือควรขำดี
เขาโน้มตัวลงจับขาของกู้เจียวมาวางบนขาตัวเอง นิ้วเรียวยาวดุจหยกเจือความอ่อนโยนบีบนวดให้นางเบาๆ
เขานวดดียิ่งนัก กู้เจียวจึงหลับตาพริ้มอย่างเพลิดเพลินอย่างอดไม่ได้ ราวกับแมวน้อยที่ถูกลูบเกาจนหาวหวอดๆ
เซียวเหิงมองนางพลางหัวเราะ นึกบางอย่างขึ้นมาได้ อยากจะเอื้อนเอ่ยแต่ยั้งไว้
กู้เจียวสังเกตเห็นสีหน้าเขา จึงถามขึ้น “เจ้ามีอะไรจะถามข้าใช่หรือไม่”
เซียวเหิงครุ่นคิด ก่อนพยักหน้า “มีความสงสัยอยู่จริงๆ นั่นแหละ”
กู้เจียวเอ่ย “เกี่ยวกับห้องผ่าตัดรึ”
เซียวเหิงเอ่ย “ใช่”
กู้เจียวพอจะเดาได้แล้ว สิ่งที่นางแสดงออกมาในวันนี้มันเกินขอบเขตความเข้าใจในยุคสมัยนี้ พวกเขาไม่ถามตั้งแต่ตอนนั้นก็น่าแปลกใจมากแล้ว กู้เฉิงเฟิงเข้าห้องลับเป็นครั้งที่สองก็ทนไม่ไหวถามขึ้นมาเสียแล้ว
เขาค่อนข้างเก่งเลยที่อดทนมาจนถึงตอนนี้ได้
“เจ้าคิดว่าอย่างไร” กู้เจียวถาม
เซียวเหิงนึกถึงประโยคที่ได้ยินตรงทางเดิน กู้เฉิงเฟิงถามนางว่าใช่เทพเซียนหรือไม่ เขาจึงเอ่ย “เกือบจะคิดว่าเจ้าเป็นเทพเซียนจากสวรรค์อยู่เช่นกัน ที่ใช้วิชาเซียนจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า”
กู้เจียวหัวเราะ “อันที่จริงนั่นไม่ใช่วิชาเซียนอะไรเลย นั่นเป็นวิทยาศาสตร์ต่างหาก”
เซียวเหิงชะงักเล็กน้อย หันมามองนางอย่างไม่เข้าใจ “วิทยาศาสตร์อย่างนั้นหรือ”
กู้เจียวใคร่ครวญคำพูดก่อนเอ่ย “จักรวาลมีมิติมากมาย และแต่ละมิติก็มีพื้นที่ของตัวเอง ไม่แน่ว่าข้างหน้าพวกเราตอนนี้อาจมีรถกำลังแล่นผ่านอยู่ก็ได้ แต่เนื่องจากมิติมีห้วงที่แตกต่างกัน พวกเราจึงมองไม่เห็นกัน”
เซียวเหิงเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
แต่อย่างไรเสียเขาก็อ่านตำราของแคว้นเยี่ยนมาทั้งเล่มแล้ว ยอมรับความรู้ทางคณิตศาสตร์มากมายซึ่งไม่ใช่ห้วงเวลาและสถานที่แห่งนี้ได้ไม่น้อยแล้ว เมื่อเทียบกับกู้เฉิงเฟิงที่ไม่อาจย่อยข้อมูลประเภทนี้ได้แล้ว เขามีความสามารถในการยอมรับได้มากกว่าไม่น้อย
“เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่” ความอยากรู้อยากเห็นของเขาพลุ่งพล่านขึ้นแล้ว
กู้เจียวเอ่ย “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าขอคิดก่อนนะ ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี”
ความแตกต่างระหว่างพวกเขาไม่ใช่ตัวตนของห้วงเวลาทั้งสอง แต่เป็นโลกทัศน์ทางวิทยาศาสตร์และปรัชญาที่มีมาตั้งแต่เด็กจนโต กู้เจียวตัดสินใจอธิบายตั้งแต่ทฤษฎีบิ๊กแบงซึ่งเป็นต้นกำเนิดของจักรวาล
นางพยายามละคำศัพท์เฉพาะพวกนั้นทิ้ง แล้วใช้คำพูดง่ายๆ เหมือนเล่านิทานให้เด็กฟังมาเล่าเรื่องจักรวาลที่ไม่เหมือนใครให้เขาฟัง
แต่ถึงกระนั้น เซียวเหิงก็ยังมีหลายจุดที่ไม่อาจเข้าใจในทันทีได้อยู่ดี เขาจึงแอบทดไว้ในใจ
เขาไม่ใช่คนประเภทที่ไม่เคยเห็นก็ปฏิเสธทันทีว่าไม่มีอยู่จริง เมื่อเทียบกับเรียงความแปดขาในการสอบขุนนางแล้ว สิ่งที่กู้เจียวเล่ามาดึงดูดความสนใจจากเขาได้มากกว่าอีก
“และมีบางคนที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับทฤษฎีบิ๊กแบงนี้” กู้เจียวเอ่ย
“แล้วเจ้าเห็นว่าอย่างไร” เซียวเหิงถาม
“อะไรก็ได้ทั้งนั้น อย่างไรเสียข้าก็ไม่ได้ชอบอยู่แล้ว” กู้เจียวเอ่ย
เซียวเหิง “…”
ไม่ชอบยังจำได้ตั้งมากมายเพียงนี้ หากเจ้าชอบคงไม่สำเร็จเป็นเซียนเลยหรือ