บทที่ 773 เพื่อน้องสาว (2)
“เสด็จพ่อ! กระหม่อมไม่ได้ทำจริงๆ ! เสด็จพ่อได้โปรดช่วยกระหม่อมด้วย! เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้หาใช่กระหม่อมไม่! กระหม่อมไม่รู้เรื่องแม้แต่นิด!”
กระนั้น ฮ่องเต้ยังคงไม่เชื่ออยู่ดี
กู้เจียวพยายามอ่านสถานการณ์ และพบว่าฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและหูเบาเอามากๆ
แต่จะว่าไปแล้ว หากมิใช่เพราะพระอุปนิสัยเช่นนี้ของเขา คงไม่กล้าตัดสินพระทัยกวาดล้างตระกูลเซวียนหยวนจนหมดเพียงเพราะคำทำนายแค่สองประโยค
ทุกอย่างมักเป็นดาบสองคม ทั้งองค์หญิงและตระกูลเซวียนหยวนต่างก็ถูกพระองค์ทำร้ายเพียงเพราะความหูเบา วันนี้ถึงคราของพวกเขาเสียบ้าง
กงเกวียนกำเกวียน
ฮ่องเต้จ้องมองไท่จื่อด้วยแววตาที่ผิดหวัง “เจ้ามันคนไร้คุณธรรม! บังอาจคิดการชั่ว! ผิดที่ข้าเอง ที่เลี้ยงดูเจ้าไม่ดี ปล่อยให้เจ้าทำตัวกำเริบเสิบสานเช่นนี้จนกู่ไม่กลับ! ตัดไฟเสียแต่ต้นลมคงไม่สายเกินไป! จางเต๋อเฉวียน!”
เซียวเหิงมองซ้ายขวา ก่อนจะเอ่ยกับฮ่องเต้ “ทูลเสด็จปู่ จางกงกงไม่อยู่ขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนลงอาลักษณ์แทนเขาแล้วกัน!” ฮ่องเต้ออกคำสั่งอย่างไม่ลังเล
เซียวเหิงได้แต่น้อมรับคำสั่งอย่างงุนงง “เอ่อ ขอรับ ฝ่าบาทมีรับสั่งอันใดขอรับ”
แม้ประตูเหล็กจะหนาและกันเสียง แต่สำหรับผู้ที่มีกำลังภายในแข็งแกร่ง การได้ยินบทสนทนาจากข้างในจึงไม่ใช่เรื่องยาก
เสียงร้องโหยหวนอันสิ้นหวังของไท่จื่อดังขึ้นหลังจากฮ่องเต้เอ่ยประโยคสุดท้าย “เสด็จพ่อ ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้”
เย่ชิงหันไปมองท่านอาจารย์ของเขาอย่างอดไม่ได้
“ทำอย่างไรดี เปิดประตูไม่ได้ เอ๋ เปิดออกแล้วนี่นา!”
เป็นเพราะเซียวเหิงปลดกลไกออก ประตูจึงถูกเปิดออก
เซียวเหิงจัดการมันได้อย่างรอบคอบ คนที่ไม่รู้เรื่องนี้คงเป็นเหมือนกับอวี้เหอ ต้องไปหาอุปกรณ์มาช่วยเปิด
แต่เย่ชิงรู้ชัดเจนดีว่าประตูเหล็กนี้ไม่สามารถเปิดออกได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้อุปกรณ์ช่วย
เซียวลิ่วหลังและพระราชนัดดาคงคิดว่าการลงกลอนจากด้านในจะป้องกันไม่ให้พวกเขาพังประตูเข้าไป แต่อันที่จริงแล้ว กลไกหลักของประตูอยู่ที่ด้านนอก การดึงเล็กน้อยอาจทำให้ประตูเหล็กพังทลายลงในทันที
นี่เป็นกลไกที่มีเพียงแค่เย่ชิงและกั๋วซือเท่านั้นที่รู้
เขาอยากจะถามอาจารย์ของเขาใจจะขาด เหตุใดไม่ยอมเปิดประตูแต่แรก
แต่ท้ายที่สุด เขาก็ไม่ได้ถาม
เขาเป็นลูกศิษย์ หน้าที่ของเขาคือเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของท่านอาจารย์ก็เป็นพอ
หลังจากที่ทุกคนเข้าไปในห้องลับ กู้เจียวจึงบอกกับทุกคนด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “พวกท่านออกไปก่อนเถิด อาการขององค์หญิงสาหัสจนไม่สามารถเคลื่อนย้ายร่างกายได้ ข้าต้องเย็บแผลให้พระองค์ที่นี่ พระราชนัดดาโปรดไปที่ห้องของข้าแล้วหยิบกล่องยามาให้ทีพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้เลย” เซียวเหิงตอบ
“กั๋วซือ” ฮ่องเต้ตรัส
กู้เจียวกลัวเหลือเกินว่าเขาจะขอดูอาการของนาง พวกเขาอาจถูดเปิดโปงได้
แต่กั๋วซือกลับตอบออกไป “ฝ่าบาท พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อนเถิด”
ในเมื่อกั๋วซือพูดขนาดนี้ เขาจึงไม่รบเร้าให้กั๋วซือช่วยทำการรักษา อีกทั้งเป็นเพราะคราวก่อนซ่างกวานเยี่ยนก็ได้ความช่วยเหลือและการรักษาจากเซียวลิ่วหลังผู้นี้เช่นกัน
ดูเหมือนทักษะทางการแพทย์ของเซียวลิ่วหลังจะเหนือกว่ากั๋วซือจริงๆ
แล้วพวกเขาก็เดินออกไป
เซียวเหิงเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องยากู้เจียว จากนั้นเขาก็เดินออกไปนอกห้องเหมือนกับคนอื่นๆ
แม้เขาไม่จำเป็นต้องออกไป มีเหตุผลมากมายที่เขาสามารถอยู่ด้านในต่อได้ แต่เขามองว่าอยู่ข้างนอกอาจปลอดภัยกว่า หนึ่งเพื่อกันคนเข้าไป สองเพื่อจัดการเก็บ ‘ศพ’ ของกู้เฉิงเฟิง
หลังจากผ่านเรื่องหนัก ทำให้อาการปวดพระเศียรของฮ่องเต้ปะทุอีกครั้ง
เซียวเหิงเข้าไปประคองตัวให้เขา “เสด็จปู่ เข้าไปนั่งพักที่ห้องก่อนเถิด เดี๋ยวกระหม่อมจัดการตรงนี้เองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า จากนั้นไปที่ห้องรับรองที่อยู่เยื้องตรงข้าม
เซียวเหิงตามสารถีรถมาเพื่อช่วยเคลื่อนย้าย ‘ศพ’ และนำไปฝัง
ส่วนในห้องลับ ซ่างกวานเยี่ยนกำลังหลับลึก
นางลงทุนกินยาที่ทำให้อุณหภูมิร่างกายเย็นลง รวมถึงส่งผลให้ชีพจรเต้นช้าลง เพื่อให้ทุกอย่างดูสมจริงที่สุด
กู้เจียวคาดไม่ถึงว่านางจะหลับได้ลงในสถานการณ์แบบนี้
ต้องเป็นคนแบบไหนกันนะ
ซ่างกวานเยี่ยน เฮอะ ร้องไห้ก็ต้องใช้พลังงานเยอะเหมือนกันนะ
กู้เจียวเก็บกวาดถุงเลือดและเนื้อหมูออกไป จากนั้นจัดแจงเปลี่ยนชุดให้นาง แล้วใส่กล่องยาเข้าไปในร่องผนัง
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้ล้วนเป็นการจัดฉาก
ตั้งแต่วินาทีที่กู้ฉังชิงไปหากู้เจียวหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงตัดสินใจใช้อาการบาดเจ็บของเขาเพื่อเป็นประโยชน์
ใช้อุบายทำร้ายองค์หญิง แล้วโยนความผิดให้กับไท่จื่อ
เพราะทุกคนรู้ดีว่ากู้ฉังชิงเป็นคนของไท่จื่อ แถมยังเคยลงแข่งคัดเลือกในนามของตระกูลหันอีกด้วย
ต่อให้ไท่จื่อกล่าวหาว่าเขาเป็นคนทรยศ แต่ก็ใช่ว่าจะมีคนเชื่อคำพูดเขา
แต่หลังจากที่ทุกคนลองเล่นบทนี้ดูแล้ว ก็พบว่ายังมีช่องโหว่อยู่ เนื่องจากกู้ฉังชิงเคยเข้าออกที่ตำหนักกั๋วซือ ลูกศิษย์ของกั๋วซือก็รู้จักเขา ผังไห่เองก็รู้เรื่องที่เขาเคยช่วยเหลือเซียวลิ่วหลังไว้
กู้ฉังชิงรู้จักกับเซียวลิ่วหลังก่อนที่จะเข้าไปทำงานในจวนไท่จื่อ ดังนั้นเขาอาจถูกสงสัยว่าเป็นสายลับได้
หลังจากระดมความคิดกันอยู่นาน ในที่สุดเซียวเหิงก็คิดแผนการใหม่ขึ้นได้ จึงให้เสี่ยวจิ่วส่งข่าวให้กู้เฉิงเฟิงเข้ามาที่ตำหนักกั๋วซือ
กู้เฉิงเฟิงต้องเดินทางมาถึงที่นี่ก่อนไท่จื่อเพื่อเตรียมปลอมตัวเป็นกู้ฉังชิง
ด้วยความที่พวกเขาเป็นพี่น้องกัน ลักษณะใบหน้าของพวกเขาจึงมีความคล้ายกัน ทั้งยังเสริมด้วยการแต่งหน้าของกู้เจียว ถ้าคนที่ไม่คุ้นเคยกับกู้ฉังชิงมาเห็นก็แทบจะแยกไม่ออกเลย
นอกจากทักษะการปลอมตัวแล้ว จุดเปลี่ยนสำคัญของการเล่นละครตบตาครั้งนี้มีอยู่สองประการ
ประการแรกคือการล่อทหารหน่วยกล้าตายให้ออกมาจากการเฝ้าประตู แม้เซียวเหิงจะไม่ถนัดบู๊ แต่ด้วยตำแหน่งพระราชนัดดาแล้ว ย่อมไม่เหนือบ่ากว่าแรง
สมกับเป็นลูกศิษย์ของจี้จิ่วอาวุโส
หลังจากที่ทหารหน่วยกล้าตายถูกล่อเสร็จ กู้เจียวจึงพากู้เฉิงเฟิงและกู้ฉังชิงเข้ามายังห้องลับ โดยให้กู้ฉังชิงนอนอยู่ในห้องผ่าตัด
ด้วยความห้องมีกลไกลับ จึงไม่มีใครสามารถมองเห็นห้องผ่าตัดได้
ส่วนกู้ฉังชิงได้แต่รอแสดงอยู่ในห้องลับ
และด้วยเวลาที่กระชั้น กู้เจียวจึงไม่ได้ลงกลอนประตู
กู้เจียวกังวลมากว่ากั๋วซือจะเห็นเบาะแสและเดาว่าเป็นฝีมือนาง แต่กลับกลายเป็นว่ากั๋วซือช่วยเหลือนางด้วยการล่อฮ่องเต้ออกไปที่อื่น
กู้เจียวยังคงคิดไม่ตกว่าเหตุใดกั๋วซือถึงช่วยเหลือนาง ทั้งๆ ที่เป็นคนเหลี่ยมจัดขนาดนั้น จนกู้เจียวอดคิดไม่ได้ว่ากั๋วซือมีแผนอะไรต่อจากนี้
นี่เป็นความกังวลอันแสนแปลกของกู้เจียว
โชคดีที่กั๋วซือไม่ได้พูดอะไรกับเย่ชิง
ทำให้แผนการดำเนินไปอย่างราบรื่น
ส่วนปัจจัยสำเร็จประการที่สองก็คือฮ่องเต้
ตามแผนแล้ว พวกเขาต้องเปิดฉากทะเลาะกับไท่จื่อที่ตำหนักฉีหลินเพื่อให้เรื่องสะเทือนไปถึงวัง แต่กลายเป็นว่าฮ่องเต้ทรงเสด็จมาที่นี่เอง
ทำให้แผนการของพวกเขาดำเนินเร็วไปราวครึ่งชั่วยาม
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็มิอาจประมาทได้ ยิ่งแผนสำเร็จเร็วเท่าไร กู้เจียวก็สามารถเข้าห้องผ่าตัดและเช่วยเหลือกู้ฉังชิงได้เร็วเท่านั้น
พวกเขากำลังแข่งเวลากับยมทูต ต้องขอบคุณองค์หญิงน้อยที่ช่วยกอบกู้เวลาในการรักษาของกู้ฉังชิง
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด…
เสียงอุปกรณ์ดังมาจากห้องผ่าตัด
กู้เจียวเดินเข้าไป
กู้ฉังชิงที่อยู่ในชุดผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแรง
อาการของเขาสาหัสจนไม่ได้สติ ทว่าตอนที่กู้เจียวเดินเข้ามาใกล้ๆ เขา ร่างกายของเขาเริ่มตอบสนองได้ด้วยการกระตุกเปลือกตา
เขาสวมหน้ากากออกซิเจน ไร้เรี่ยวแรงจะเอื้อนเอ่ยคำใดๆ
“ห้ามพูดนะ” กู้เจียวสังเกตลมหายใจของเขา “เจ้าต้องเก็บแรงไว้ เดี๋ยวจะผ่าตัดแล้ว”
เอ่ยจบ กู้เจียวก็เตรียมวางยาสลบ ปรากฏว่ากู้เจียวไม่พบยาสลบในกล่องยา
ทันใดนั้น กู้เจียวก็จำได้ว่าร่างกายของเขาสามารถต้านทานต่อยาสลบได้ น้อยคนนักที่จะเป็นแบบนี้
กล่องยาได้ทำการประเมินร่างกายเขาแล้ว จึงไม่ปรากฏยาสลบ คราวก่อนที่ชายแดน กู้เจียวก็เย็บแผลให้เขาแบบสดๆ ไปครั้งหนึ่ง
แต่แผลของเขาไม่สาหัสเท่าครั้งนี้
จู่ๆ กู้เจียวก็รู้สึกว่ามีดผ่าตัดในมือเริ่มหนักขึ้น หนักราวกับทองคำพันแท่ง
จากนั้นสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์
อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตของเขาเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว มีเส้นสีแดงปรากฏบนเครื่องวัดชีพจรพร้อมกับเสียงสัญญาณเตือนที่ดังขึ้น
กู้เจียวขมวดคิ้ว แล้วตระหนักได้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาทรุดลงกว่าตอนแรก
กู้ฉังชิง… ใช้กำลังภายในเฮือกสุดท้ายเพื่อข่มความเจ็บปวด และทำให้ดูเหมือนว่ามันไม่ร้ายแรงขนาดนั้น!
เวลาของเขาเหลือไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เขาอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ!
กู้เจียวกำมีดในมือแน่น “เจ้าทำแบบนี้ทำไม”
หากรู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมากแต่แรก นางคงไม่เข้าไปร่วมแผนการโค่นล้มไท่จื่อ นางคงมุ่งมั่นผ่าตัดให้เขาที่นี่เพียงอย่างเดียว เพราะถึงอย่างไรคนอื่นก็ตามหาพวกเขาไม่พบอยู่ดี!
กู้ฉังชิงพยายามลืมตาและหันไปมองน้องสาวของเขาพร้อมกับยกมุมปากที่ซีดเผือดของเขาขึ้นเล็กน้อย
เจ้าอยากส่งจิ้งคงกลับบ้านใช่ไหม ข้า ข้าเองก็อยากส่งเจ้ากลับบ้านเหมือนกัน
แม้ว่าข้าจะล้มลง ข้าก็จะเป็นอิฐใต้เท้าของเจ้า ปูทางกลับบ้านให้เจ้า