บทที่ 769 ทวงคืนทุกสิ่ง
หลังจากที่เซียวเหิงและใต้เท้ารองจิ่งคืนหนังสือแก่ตำหนักฉีหลินแล้ว ก็ประจวบเหมาะกับช่วงที่อันกั๋วกงกับกู้เจียวกำลังจะจบบทสนทนา
ช่วงนี้ฮูหยินรองไม่สบาย ใต้เท้ารองจิ่งจึงต้องรีบกลับ เขาเข็นรถเข็นของพี่ใหญ่พร้อมกับร่ำลากู้เจียวและเซียวเหิง
เซียวเหิงเอ่ยความคิดตัวเองออกมาขณะมองตามหลังสองพี่น้องคู่นั้น “แม้จะไม่ได้กำเนิดจากมารดาคนเดียวกัน แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่เลวเลยทีเดียว”
ใต้เท้ารองจิ่งไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น แถมยังได้ภรรยาที่เป็นแม่ศรีเรือน นับว่าเป็นโชคดีของกั๋วกงที่มีผู้คนเช่นนี้อยู่ข้างกาย
ขณะเดียวกัน ก็นับว่าเป็นบุญของพวกเขาไม่น้อยที่มีคนใหญ่โตอย่างอันกั๋วกงเป็นพี่ชาย
อันที่จริง ความเป็นหนึ่งเดียวกลมเกลียวกันของครอบครัวเรียกได้ว่าล้ำค่าเสียยิ่งกว่าเงินทองและชื่อเสียงด้วยซ้ำ
เมื่อเซียวเหิงเห็นว่ากู้เจียวเงียบไปจึงเดินไปดู แล้วก็พบว่านางกำลังนั่งอยู่บนรถเข็นพร้อมกับเหม่อมองทิวทัศน์ข้างนอกอย่างใจลอย
เซียวเหิงคว้าผลส้มที่อยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็เข้ามานั่งข้างๆ
“คิดอะไรอยู่หรือ” เขาถามขณะที่มือกำลังปอกส้ม
“ข้าแค่สงสัยว่า ข้าเป็นใครกันแน่” กู้เจียวตอบ
เซียวเหิงรู้เรื่องที่นางไม่ใช่กู้เจียวคนเดิม แต่เป็นใครอีกคนที่เดินทางมาจากดินแดนอันไกลโพ้น ทว่าก่อนหน้านี้ไม่ยักเห็นนางจะถามคำถามเช่นนี้ออกมา
“ไยจู่ๆ ถึงถามเช่นนี้เล่า เป็นเพราะท่านกั๋วซือรึ”
หลังจากที่นางไปหากั๋วซือมา ท่าทีของนางก็แปลกไป ไหนจะที่นางตัดสินใจขอพูดคุยกับอันกั๋วกงเป็นการส่วนตัวอีก
บวกกับคำถามเมื่อครู่นี้ของนาง เซียวเหิงจึงมองว่ากั๋วซืออาจพูดอะไรกับนางเกี่ยวกับสถานที่ที่นางจากมา
กู้เจียวนิ่งเงียบไป
เขาไม่อยากบังคับนาง จึงได้แต่หัวเราะแล้วยื่นส้มที่ปอกแล้วให้นาง “ที่จริง มันไม่สำคัญหรอกว่าก่อนหน้านี้เจ้าเป็นใคร สำคัญแค่ว่าตอนนี้ เจ้ากำลังเป็นตัวของเจ้าเอง”
กู้เจียวได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าตกใจเล็กน้อย “ข้า… เป็นตัวของข้าเองรึ”
เขายกปลายนิ้วเรียวยาวดั่งหยกแตะลงหน้าผากกู้เจียวเบาๆ “ตัวเจ้าในตอนนี้ต่างหากคือของจริง”
ทว่าเขากลับถูกคนตรงหน้ามองด้วยสายตาประหลาด “นับวันเจ้ายิ่งพูดจาเหมือนนักบวชบำเพ็ญเพียรไปทุกที”
เซียวเหิงถอนหายใจ “เฮ้อ ทำอย่างไรได้เล่า อยู่กับเจ้าเณรน้อยแทบทุกวัน มันก็เลยซึมซับไปเองน่ะสิ”
กู้เจียวหัวเราะร่วนกับคำพูดของเขา ก่อนจะคว้าส้มแล้วเคี้ยวกลืนเข้าปากเกือบครึ่งลูก
“อร่อยไหม” เซียวเหิงถาม
กู้เจียวพยักหน้า “อร่อย”
เขารู้ดีว่านางยังมีเรื่องที่ต้องการพูดอีก
กู้เจียวไม่ใช่คนที่มีนิสัยโลเล ที่นางเป็นแบบนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่นอน
เซียวเหิงไม่แสดงท่าทีใจร้อน หรือเร่งเร้าใดๆ เขาได้แต่นั่งเงียบๆ เป็นเพื่อนนาง
เฉกเช่นตอนที่นางอยู่เป็นเพื่อนเขาทั้งคืนจนฟ้าสาง
พวกเขาเชื่อใจและรู้ใจกันอย่างดีโดยไม่ต้องพูดอะไรเยอะ
หลังจากกินส้มลูกสุดท้ายจนหมด กู้เจียวก็ได้ถามเขา “ยังมีอีกเรื่องที่ข้าต้องบอกเจ้า เป็นเรื่องสำคัญที่ข้าตั้งใจจะพูดแต่ทีแรก”
โดยปกติคนเราเวลาเจอคนพูดแบบนี้ใส่มักจะมีปฏิกิริยาตีตัวออกห่าง
แต่เซียวเหิงไม่ทำเช่นนั้น เขาเลือกที่จะเขยิบเข้ามานั่งใกล้ๆ นางมากขึ้นพร้อมกับจดจ้องใบหน้าด้านข้างที่เรียวงามของนาง “ได้สิ ข้าจะตั้งใจฟังอย่างดี”
กู้เจียวเบนตามองเข้าหนี่งที ก่อนตอบ “ไม่ใช่ข่าวดีหรอก ไม่ต้องตั้งใจฟังขนาดนั้นก็ได้”
เซียวเหิงหัวเราะ “เช่นนั้นข้าก็จะฟังอยู่ดี”
กู้เจียวนิ่งไปพักหนึ่ง จากนั้นถามเขา “เจ้ารู้เรื่องความผิดของตระกูลเซวียนหยวนทั้งหมดแล้วรึ”
เซียวเหิงพยักหน้า “ข้าเห็นเอกสารสำคัญของตระกูลเซวียนหยวนในห้องสมุด ซึ่งบันทึกอาชญากรรมร้ายแรงหลายสิบคดี… สมรู้ร่วมคิดกับแคว้นจิ้น ร่วมมือกับศัตรูและทรยศต่อแคว้น ทำให้แคว้นสูญเสียเมืองชายแดน ลอบสังหารผู้จงรักภักดี ยักยอกเงินภัยพิบัติเป็นการส่วนตัว รวมตัวก่อกบฏ…ตราบาปของตระกูลเซวียนหยวนมีมากมายเกินกว่าจะบรรยายได้”
กู้เจียว “เรื่องที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ เกี่ยวข้องกับตระกูลเซวียนหยวน”
เซียวเหิงมองนางด้วยแววตาอ่อนโยนราวกับกำลังบอกว่าให้นางเอ่ยต่อ
กู้เจียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าจะทวงคืนความยุติธรรมให้ตระกูลเซวียนหยวน ต่อสู้กับฮ่องเต้แคว้นเยี่ยน”
นี่ไม่ใช่การตัดสินใจหลังจากรู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของจิ่งยินยิน แต่เป็นความตั้งใจเล็กๆ ที่อยู่ในใจกู้เจียวมานานแล้ว
นางเอ่ยกับเซียวเหิง “เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม ฮ่องเต้ไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายเจ้าแต่แรก ต่อให้ตัวตนของเจ้าถูกเปิดเผยก็ตาม เพราะไม่ว่าอย่างไร เจ้ายังคงเป็นพระราชนัดดาที่แท้จริงของเขา เขาจะไม่ทำร้ายเจ้า และเขาจะไม่ทำร้ายซ่างกวนเยียนด้วย ศัตรูที่แท้จริงในตอนนี้ มีเพียงไท่จื่อและผู้ที่โลภในราชบัลลังก์เท่านั้น”
แต่พวกคนโลภเหล่านั้นรับมือง่ายกว่าฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนผู้ซึ่งเป็นศัตรูที่ทรงพลัง
การจะโค่นบัลลังก์เขานั้นไม่ใช่เรื่องที่สามารถกระทำได้อย่างฉาบฉวย ขนาดกองทัพนับหมื่นของเซวียนหยวนก็ยังพลาดมาแล้ว
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
นางแทบไม่มีโอกาสชนะเขาด้วยซ้ำ กู้เจียวยอมตัวตายคนเดียวดีกว่าลากเซียวเหิงมาเอี่ยวด้วย
“พวกเราก็ทำแบบนี้กันมาตลอดมิใช่รึ” เซียวเหิงกุมมือนางพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาที่รู้สึกผิดของนาง “ไม่ใช่เจ้าคนเดียวสักหน่อยที่อยากส่งเจ้าเณรน้อยกลับบ้าน”
“การที่เราทำทุกอย่างเพื่อคนที่เรารัก ไม่ได้เป็นความสามารถเดียวของเจ้าเสียหน่อย”
“ต่อให้เจ้ายอมตายเพื่อข้า แต่เจ้าจะไม่ให้ข้าลุยน้ำลุยไฟเพื่อเจ้าบ้างเลยหรือ”
ในตอนท้ายของประโยค ดวงตาของเขาจ้องลึกราวกับว่ากำลังถูกคนตรงหน้าทำร้าย “เราเป็นสามีภรรยากันนะ เจ้า… จะทิ้งข้าไว้ตามลำพังหรือ”
กู้เจียวมิอาจต้านทานสายตาดั่งลูกสุนัขน้อยของเขาได้
เมื่อเห็นสายตาของเขา กู้เจียวถึงกับลืมว่าจะต้องพูดอะไรต่อพร้อมกับนั่งอยู่ในรถเข็นด้วยความงุนงง
เซียวเหิงถอนหายใจอย่างขุ่นเคือง “เจ้าไม่มั่นใจในตัวข้า หรือเจ้าไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ของเราเลย”
กู้เจียว “เอ่อ คือ…”
กู้เจียวเป็นคนเน้นใช้กำลัง ถนัดพูดคำสวยๆ เสียที่ไหน
ต่อให้มีสิบปากก็เถียงเขาไม่ออกอยู่ดี
“แต่เขาเป็นเสด็จปู่ของเจ้า”
เซียวเหิงโต้กลับ “เสด็จปู่ที่ฆ่าล้างตระกูลของเสด็จย่า”
…ก็ถูกของเขา
“เจ้าจะไม่เสียใจทีหลังใช่ไหม” กู้เจียวถาม
“ไม่” เซียวเหิงตอบพร้อมกับนวดที่ปลายนิ้วของนางเบาๆ “แปลว่าตอนนี้ข้าสามารถเข้าร่วมได้ไหม ท่านผู้บัญชาการ”
นี่เขากำลังอ่อยนางอยู่หรืออย่างไร ตอนแรกก็จริงจังดีอยู่หรอก ไหงไปๆ มาๆ ถึงได้เลี่ยนแบบนี้
กู้เจียวมองไปที่ฝ่ายมือของเขาพร้อมกับกลอกตาใส่ “ข้าต้องคิดให้รอบคอบและทบทวนคุณสมบัติของเจ้าในฐานะพันธมิตร”
“ยังมีข้าอีกคนนะ”
ทันใดนั้น ซ่างกวานเยี่ยนก็เดินเข้ามาพร้อมกับไม้เท้าของนาง
เซียวเหิงที่กำลังได้จังหวะหว่านเสน่ห์ใส่ภรรยาก็เป็นอันเกือบพลัดตกจากเก้าอี้เพราะการปรากฏตัวกะทันหันของซ่างกวานเยี่ยน!
“ท่านแม่! มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ให้สุ้มให้เสียงกันเลย”
“ก็เห็นเจ้าเงอะๆ งะๆ ไม่ยอมทำอะไรเสียที ก็นึกว่ารู้แล้วเสียอีกว่าข้าอยู่นี่” ซ่างกวานเยี่ยนบ่นอุบอิบพร้อมกับเดินมาที่ด้านหน้าพวกเขา “ข้าจะร่วมด้วยเหมือนกัน”
กู้เจียวเงยหน้ามอง “ท่านแน่ใจรึ”
“ข้าแน่เสียยิ่งกว่าแน่ ตัวข้าเมื่อสิบห้าปีก่อนไม่ได้มีความกล้าเท่าตอนนี้ ทำให้ข้าต้องสูญเสียตระกูลเซวียนหยวน สูญเสียตำแหน่งองค์หญิงและรัชทายาท ข้าสูญเสียทุกอย่างราวกับนกที่ถูกถอดปีกและขนออก ไร้ซึ่งจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่จะบินต่อ ข้าได้แต่หวังอย่างสุดหัวใจว่าลูกสองคนของข้าจะมีชีวิตที่ดี แต่เมื่อได้พบเจ้า ข้าถึงได้รู้ว่าตัวเองผิดมหันต์แค่ไหน”
“เกิดเป็นคน มีชีวิตอยู่อย่างเดียวไม่พอ แต่ยังต้องอยู่อย่างสง่าผ่าเผย ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวตนของคนอื่น”
“ข้าเคยล้มเหลว แต่ข้าก็หวังว่ามันยังไม่สายเกินไปที่จะแก้ไข”
แม้จะละทิ้งความภาคภูมิใจในตนเองไปนานแล้ว แต่ซ่างกวานเยี่ยนยังคงยืนกรานที่จะสานต่อในสิ่งที่ตัวนางเมื่อสิบห้าปีก่อนไม่ได้ทำให้สำเร็จ
“แม่สาวน้อย เจ้าเก่งมาก” นางเอ่ยปากชมกู้เจียว
“อันนี้ข้ารู้” กู้เจียวตอบ
ซ่างกวานเยี่ยนถึงกับกระตุกมุมปาก
พลางนึก นึกว่ามีแต่นางคนเดียวที่หลงตัวเองเป็นเสียอีก คาดไม่ถึงว่าแม่สาวน้อยคนนี้จะหลงตัวเองมากกว่าเสียอีก… ช่วงเวลาที่ประทับใจและคำพูดที่น่าจดจำเช่นนี้ทำเอานางเกือบน้ำตาเล็ด แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ เพราะเด็กสาวตรงหน้า
พวกลุงๆ คงเคยรู้สึกแบบเดียวกับที่นางรู้สึกตอนนี้สินะ
วิถีสวรรค์นั้นเกิดใหม่ได้ง่าย ไม่มีใครรอดจากสวรรค์
จากนั้นซ่างกวานเยี่ยนก็เหลือบมองทั้งสองคน “พวกเจ้ามีแผนรับมือแล้วหรือยัง ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าเริ่มต้นด้วยอำนาจทางการทหาร ทหารม้าเฮยเฟิงจำนวนห้าหมื่นคนยังไม่เพียงพอ”
กู้เจียวตอบกลับ “ทหารม้าเฮยเฟิงห้าหมื่นนายเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ข้าจะรวบรวมกำลังทหารที่เหลือกลับมาให้ได้”
แม้ซ่างกวานเยี่ยนต้องใช้ไม้เท้าค้ำร่างไว้ แต่รัศมีความสง่างามของนางกลับดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
นางพยักหน้าอย่างมีอำนาจ “ดีมาก ข้าจะรอดู พวกเจ้าวางแผนของพวกเจ้าไป และข้าจะเอามาปรับใช้เอง”
“ท่านแม่มีแผนอันใดรึ” เซียวเหิงถาม
ซ่างกวานเยี่ยนกำไม้เท้าแน่นพร้อมด้วยดวงตาวาวโรจน์ “ชิงตำแหน่งรัชทายาทกลับคืนมาให้ได้น่ะสิ!”
…
ตกกลางคืน ทุกคนนั่งกินข้าวกันในห้องของซ่างกวานเยี่ยน จิ้งคงเล่นหยอกล้อในอ้อมกอดกู้เจียว ก่อนจะออกไปเล่นกับเจ้าสืออี
อวี้เหอยกถ้วยน้ำแกงที่ตุ๋นเสร็จแล้วให้กู้เจียว
กู้เจียวมองถ้วยน้ำแกงพร้อมกับเหม่อ
“เกิดอะไรขึ้น” เซียวเหิงถาม
กู้เจียวขมวดคิ้ว “ข้ารู้สึกสงสัยบางอย่าง”
“เรื่องอะไรรึ”
กู้เจียว “ตำหนักกั๋วซือจะให้การรักษาแก่ลูกศิษย์ทุกคนที่เข้าร่วมในการคัดเลือก ใต้เท้าห้าหันได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก แต่ทำไมเขาไม่ถูกส่งไปรักษาที่นั่นล่ะ”
“คนของตระกูลหันมารับเขากลับไปแล้ว…ว่าแต่ เขาบาดเจ็บสาหัสมากเลยรึ” เซียวเหิงไม่รู้รายละเอียดเรื่องนี้ ส่วนตระกูลหันเองก็ไม่อยากให้โลกภายนอกรู้ เซียวเหิงเลยนึกว่าอาการคงไม่หนักเท่าไหร่
“ข้าเองที่ทำให้เขาบาดเจ็บ ตอนนั้นเขาไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำ ถ้าอาการหนักขนาดนั้น ส่งตัวไปรักษาที่ตำหนักกั๋วซือก็น่าจะดีกว่าสิ” กู้เจียวเอ่ย
เซียวเหิงขมวดคิ้ว ”ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แสดงว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมใน”
กู้เจียวเอามือลูบคางตัวเอง “เจ้าหันฉือนั่น… ต้องกุมความลับอะไรไว้อยู่แน่!”