บทที่ 759 ชนะ ชนะ ชนะ! (2)
หนานกงจิ้ง บุตรสาวสายที่สามของตระกูลหนานกง ปีนี้อายุสิบเจ็ด มีฝีมือวรยุทธ์เก่งกาจ
เอ๋ จำไม่เห็นได้ว่าทหารม้าที่เข้าร่วมการคัดเลือกเมื่อวานมีนางด้วย
หนานกงจิ้งควบม้ามาหยุดหน้าอัฒจันทร์ที่นายท่านห้าหันกับหันเหล่ยนั่งอยู่ แหงนหน้าขึ้นมองทั้งคู่ ก่อนเอ่ยวาจาที่ไม่ได้แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งเกินไป “บิดาข้ายังมาไม่ได้ ให้ข้าลงสนามแทนได้หรือไม่”
ตามกฎนั้นทำไม่ได้
ไม่เช่นนั้นทุกคนก็หาตัวช่วยภายนอกมากันสิ
นายท่านห้าหันกดตามองต่ำไปยังนาง เอ่ยเสียงนิ่ง “ได้”
หนานกงจิ้งเอ่ย “เชิญ!”
นายท่านห้าหันเดินลงจากอัฒจันทร์อย่างไม่รีบไม่ร้อน
กู้เจียวลูบคาง นางสงสัยมาตลอด ว่านายท่านห้าหันผู้นี้ยังหนุ่มยังแน่น เหตุใดผมเผ้าจึงได้หงอกขาวแล้ว
ครั้นนายท่านห้าหันลงสนามไม่ได้ขี่ม้าปีศาจดำของตัวเอง แต่เป็นม้าเฮยเฟิงธรรมดา
หนานกงจิ้งคิ้วเรียวขมวดมุ่น ถามอย่างฉงน “นายท่านห้าหัน เหตุใดไม่ใช้ม้าของท่านเล่า ท่านดูถูกข้าอยู่หรือ”
นายท่านห้าหันเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “คุณหนูหนานกงคิดมากเกินไปแล้ว ข้านึกว่ารอตั้งนานวันนี้ตระกูลหนานกงคงไม่มาเสียแล้ว จึงให้คนนำม้าของข้ากลับเรือนไปแล้ว หากไปเอามาอีกรอบ เกรงว่าจะทำให้คุณหนูหนานกงลำบากคอยเสียเปล่าๆ ”
ใจความในถ้อยคำนั้นเกรงอกเกรงใจไม่เบา ทว่าสีหน้าและน้ำเสียงกลับไม่ใช่
หนานกงจิ้งอับอายกลายเป็นโกรธ เอ่ยเสียงเย็น “ยังไม่ตีฆ้องอีก”
กรรมการส่งเสียงกระแอมก่อนจะตีฆ้อง
อาวุธของหนานกงจิ้งเป็นดาบคู่ ส่วนนายท่านห้าหันใช้มือเปล่า
เมื่อหนานกงจิ้งควบม้าทะยานไปหานายท่านห้าหัน นายท่านห้าหันยังคงนิ่งอยู่กับที่ไม่ไหวติง
วรยุทธ์ของหนานกงจิ้งอยู่คนละระดับกับนายท่านห้าหัน นางไม่อาจโจมตีนายท่านห้าหันได้ ดาบของนางยังไม่ทันแตะต้องผมสักเส้นของนายท่านห้าหันก็ถูกนายท่านห้าหันใช้กำลังภายใจสั่นสะเทือนให้ร่วงลงจากหลังม้าแล้ว
ม้าของนางเองก็ตื่นตระหนกอย่างรุนแรงเช่นกัน มันยกขาหน้าขึ้น แทบจะเหยียบนางอยู่รอมร่อ
นายท่านห้าหันก็เอื้อมมือไปคว้าหนานกงลี่ที่กำลังจะกระแทกลงพื้นให้ขึ้นมา
ดวงหน้างามของหนานกงจิ้งซีดเผือด กอดแขนเขาไว้แน่น โผเข้าหาอ้อมอกเขา
ทุกคนสีหน้าพลันเปลี่ยน
ไม่กระมัง
ต่อหน้าธารกำนัลมากมาย คุณหนูตระกูลหนานกงกับนายท่านห้าหัน…เอ่อ…นี่…
บริเวณที่ผู้คนมองไม่เห็น หนานกงจิ้งกลับแววตาเย็นเยียบ กอดนายท่านห้าหันแล้วดึงลงมา
นางกำลังจะให้เขาร่วมปราชัยไปด้วยกัน จึงลากนายท่านห้าหันให้ออกจากการแข่งขันด้วย!
เพื่อทำให้นายท่านห้าหันตกรอบ แม้แต่ชื่อเสียงสตรีของนางก็เอามาเดิมพันด้วยเสียแล้ว
กู้เจียวเลิกคิ้ว “อ่า ใช่แล้ว ตระกูลหนานกงมีคนผ่านเข้ารอบแล้ว”
ทุกคนประนามการกระทำนี้
“หญิงอสรพิษ! นางเล่นสกปรก!”
“จบเห่แล้ว จบเห่แล้ว! พวกเขาล้มลงไปแล้ว!”
“ไอ้หยา…”
ทั้งคู่ร่วงลงจากหลังม้าพร้อมกัน
หนานกงจิ้งกอดนายท่านห้าหันไว้แน่น มุมปากหยักยกเป็นรอยยิ้มเย็น “ลงนรกไปด้วยกันเถิด ใต้เท้าหัน”
นายท่านห้าหันสีหน้าเรียบนิ่ง ขยับริมฝีปาก “เจ้าด่วนดีใจเดินไป”
สีหน้าของหนานกงจิ้งพลันแข็งค้าง
นายท่านห้าหันแงะมือนางออกข้างหนึ่ง ก่อนจะฟาดฝ่ามือใส่นางร่วงลงไป!
ภายใต้แรงดีดนั้น นายท่านห้าหันก็กลับมาบนอานม้าได้อย่างราบรื่น
ส่วนหนานกงจิ้งร่วงลงพื้นอย่างแรง กระอักโลหิตออกมาทันที
นางปาดคราบเลือดตรงมุมปากออก ถลึงตาใส่นายท่านห้าหันอย่างขุ่นเคือง “เจ้ารู้แต่แรกแล้วว่าข้าจะเล่นงานเจ้า”
นายท่านห้าหันเอ่ยอย่างเย็นชา “ใช่”
หนานกงจิ้งขมวดคิ้ว “แล้วเจ้ายัง…”
นายท่านห้ายิ้มเย็น “คิดจะเล่นงานข้า ต้องกล้าที่จะแลก มิใช่หรือ”
นับแต่นี้ไป เรียกได้ว่าชื่อเสียงของหนานกงจิ้งป่นปี้จนหมดสิ้น
หากสามารถกำจัดคู่ต่อสู้ตัวฉกาจที่สุดของลูกหลานตระกูลหนานกงได้ การเสียสละนี้ของนางก็นับว่าคุ้ม
ทว่ายามนี้ นางเสียสละไปอย่างสูญเปล่า!
กู้เจียวได้รู้จักนายท่านห้าหันมากยิ่งขึ้น ช่างเป็นบุรุษที่หน้าเนื้อใจเสือจริง ๆ แม้แต่บุปผากับสาวงามอย่างหนานกงจิ้งก็ไม่ทนุถนอมเลยสักนิด
การประลองอีกสามสนามไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจเท่าใดแล้ว
จากนั้นก็เป็นการประลองสองเข้าหนึ่ง แต่กู้เจียวกับนายท่านห้าหันยังคงคลาดกันไปอย่างสิ้นเชิง
วันนี้ช่างดุเดือดเสียจริง นอกจากการดวลอาวุธสองรอบนี้แล้ว ยามบ่ายยังมีการแข่งขันวางแผนยุทธวิธีบนกระบะทรายที่ต้องประลองกันให้ครบแล้วจึงออกจากค่ายทหารได้
เมื่อการดวลอาวุธสิ้นสุดลง ยามอู่ก็มาถึง ยามนี้ทุกคนต่างนึกถึงอาหารเป็นอย่างแรก เหล่าม้าต่างถูกส่งให้ผู้ติดตามเพื่อให้อาหาร
เมื่อกู้เจียวจูงราชาม้าเฮยเฟิงเข้ามา คอกม้าก็ไม่มีคนแล้ว
กู้ฉังชิงก็จูงม้าเฮยเฟิงของตัวเองมาเช่นกัน เขาแสร้งทำเป็นป้อนหญ้าม้า พลางเอ่ยกับกู้เจียวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ยามบ่ายเป็นการแข่งขันวางแผนยุทธวิธีบนกระบะทรายลงสนามถึงค่อยจับสลาก”
กู้เจียวตรวจดูหญ้าในคอกม้าก่อน เมื่อมั่นใจว่าไม่มีปัญหาใด จึงป้อนให้ม้าเฮยเฟิง “สิบเอ็ดคน คนที่เป็นเศษจะทำอย่างไร”
กู้ฉังชิงเอ่ย “จะมีคนหนึ่งที่ได้ผ่านเข้ารอบได้เลย ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดจะจับสลากได้แล้วล่ะ”
“ตกลงกันภายในได้หรือไม่” กู้เจียวถาม
หากตกลงกันภายในได้ ต้องเป็นลูกหลานตระกูลหันอีกแน่
กู้ฉังชิงส่ายหน้า “ไม่ได้ จับสลากในสนามเลย แล้วก็ฝึกซ้อมรบบนสังเวียนทรายเลย ทุกคนต่างอยู่ในสนาม ไม่มีโอกาสได้เล่นตุกติกหรอก”
กู้เจียว “อ้อ”
กู้ฉังชิงเอ่ย “หลังจากฝึกซ้อมรบบนสังเวียนทรายเสร็จ ก็เหลือการคัดเลือกรอบสุดท้าย ขี่ม้าในระยะสามร้อยลี้ รอบบ่ายนี้สำคัญมากเชียวล่ะ”
รอบนี้เป็นการคัดเลือกเดียวที่ไม่ได้ใช้พาหนะ ถึงขนาดไม่ต้องใช้กำลังด้วย ที่แข่งกันคือยุทธวิธี
คนผู้หนึ่งฝีมือการต่อสู้แข็งแกร่งก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะถนัดนำทัพสู่สนามรบ
กู้เจียวเคยสู้รบมาก่อน แต่ผู้บัญชาการคือถังเย่ว์ซาน นางไม่ค่อยเด่นในด้านนี้เท่าใดนัก
แต่จากที่กู้ฉังชิงทราบมา ในบรรดาผู้เข้าคัดเลือกที่ได้เข้ารอบมานั้นไม่มีผู้ใดไม่ถนัดด้านพิชัยสงครามเลย แม้แต่นักบวชชิงเฟิงก่อนออกบวชยังเคยอ่านตำราศึกจนคล่องปร๋อแล้ว
“ไม่เช่นนั้นข้าลองกับเจ้าดีหรือไม่” กู้ฉังชิงเอ่ย
“ก็ดีเหมือนกัน” กู้เจียวตกลง
กู้ฉังชิงหักกิ่งไม้มาสองกิ่ง แบ่งให้กู้เจียวคนละกิ่ง เขานั่งวาดภาพร่างบนพื้น
“นี่เป็นคูเมืองที่แข็งแกร่งมากไม่สามารถตีให้แตกได้ ป้องกันง่ายแต่โจมตียาก มีทหารสองหมื่นนาย แต่เสบียงในเมืองพออยู่แค่สามวันเท่านั้น ทัพศัตรูมีแปดหมื่นนาย กุนซือของทัพศัตรูให้คำแนะนำว่า ให้ผู้บัญชาการหลักของทัพศัตรูนำทัพโจมตีคลังเสบียงของคูเมืองในยามวิกาล เผาเสบียงของพวกเขาทิ้ง ศึกนี้ไม่ต้องโจมตีเมืองก็แตกได้ เจ้าจะเป็นฝ่ายคูเมือง หรือเป็นฝ่ายทัพศัตรู”
นี่มัน ‘ยุทธการที่กัวต๋อ’ มิใช่หรือ
อ้วนเสี้ยวนำทหารแปดหมื่นนายโจมตีโจโฉที่มีกำลังทหารเพียงสองหมื่นนาย เขาฮิวเสนอแผนให้เผาเสบียงของโจโฉ
ไหนเลยจะรู้ว่าอ้วนเสี้ยวไม่เพียงไม่ฟังเท่านั้น ยังขังเขาฮิวไว้อีก
ภายหลังเขาฮิวไปสวามิภักดิ์กับโจโฉ ช่วยโจโฉใช้กำลังทหารสองหมื่นนายโจมตีกองทัพใหญ่แปดหมื่นของอ้วนเสี้ยวพ่ายยับ
“ข้าเป็นฝ่ายคูเมือง!” กู้เจียวบอก
ฉากนี้นางคุ้นดี!
กู้ฉังชิงพยักหน้า “ได้ กุนซือของข้าวางแผนให้ข้าไปเผาเสบียงเจ้า ข้าเห็นด้วยกับความเห็นเขาจึงนำทหารฝีมือดีห้าร้อยนายไปเผาเสบียงเจ้า”
กู้เจียว “?!”
กู้เจียวเอ่ยโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “อันนี้ไม่นับ เอาใหม่ ข้าจะเป็นฝ่ายทัพศัตรู ข้ารับความเห็นให้เผาเสบียง!”
กู้ฉังชิงเอ่ย “ข้าขุดหลุมกับดักไว้แต่แรกแล้ว ให้ทหารม้าฝีมือดีห้าร้อยนายของเจ้าไม่มีทางได้หวนกลับ ซ้ำยังปลอมตัวเป็นทหารทัพเจ้า อาศัยยามวิกาลมุ่งหน้าไปเผาเสบียงฝั่งเจ้าที่ค่ายทหารเจ้าด้วย”
กู้เจียว “…”