บทที่ 759 ชนะ ชนะ ชนะ! (1)
การประลองสนามนี้ของกู้เจียวเกิดขึ้นหลังจากการประลองของนักบวชชิงเฟิง ทั้งยังเป็นการประลองที่ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงตาค้าง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
หันเซ่าอวี่กระเด็นออกไปได้อย่างไร
“เจ้าเห็นชัดหรือไม่” ทหารม้าที่หนึ่งถามทหารม้าที่สอง
“ข้าไม่เห็น เจ้าเห็นชัดหรือไม่” ทหารม้าที่สองถามทหารม้าที่สาม
ทหารม้าที่สาม “ข้าก็ไม่!”
บนอัฒจันทร์สูงด้านหลังฝูงชน หันเหล่ยกับนายท่านห้านิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใด พลางมองตาม ‘เซียวลิ่วหลัง’ ที่ควบม้ามายังขอบสนาม
นายท่านห้าหันเอ่ย “พี่ใหญ่ มิน่าเย่เอ๋อร์ถึงได้พลาดท่าให้เจ้าเด็กนี่ตั้งหลายครา เขามีฝีมือจริงๆ ”
หันเหล่ยสีหน้าเคร่งขรึม “เมื่อครู่นี้หันเซ่าอวี่เป็นอะไรไป ข้าไม่รู้สึกถึงกำลังภายในจากตัวเจ้าเด็กนั่นเลยแท้ๆ หันเซ่าอวี่ถูกเขาซัดกระเด็นไปได้อย่างไร กระบวนท่านั้นของเขาเป็นวรยุทธ์จากสำนักไหน”
ผมสีเงินของนายท่านห้าหันเปล่งประกายระยับภายใต้ตะวันเดือด ทว่าสีหน้าเขากลับเย็นเยียบเฉกเช่นเดียวกันกับสีผม
สายตาเขาหยุดลงบนร่างเด็กหนุ่มที่ควบอยู่บนม้า ลูกหลานคหบดีมากมายในสนามประลอง ทว่าท่ามกลางผู้คนมากมายกลับสะดุดกับคนธรรมดาเช่นเขา
“ไม่ใช่วรยุทธ์ของยุทธภพหรอก แค่วิชาชาวบ้านต่ำต้อยก็เท่านั้น” เขาเอ่ย
หันเหล่ยขมวดคิ้วมุ่นอย่างฉงน “วิชาชาวบ้านต่ำต้อยอย่างนั้นรึ”
นายท่านห้าหันเอ่ย “พี่ใหญ่ยังจำเครื่องโยนหินได้หรือไม่”
หันเหล่ยสองมือไพล่ไว้ด้านหลัง ก่อนพยักหน้า “จำได้ เป็นหนึ่งในรถที่ใช้โจมตีเมือง กำลังทำลายล้างสูงมาก สามารถใช้โจมตีประตูเมืองและคูเมืองได้ และสามารถใช้โจมตีทหารรักษาเมืองได้เช่นกัน หรือว่าเมื่อครู่นี้เขา…”
นายท่านห้าหันส่งเสียงในลำคอ “ถูกต้อง เขาเห็นหันเซ่าอวี่เป็นก้อนหินจึงงัดกระเด็นออกมา หลักการนี้ใครๆ ก็รู้ แต่ยามต่อสู้ระยะประชิดน้อยนักที่จะมีผู้ใดสามารถสร้างสถานการณ์และจังหวะที่เอื้อในการลงมือได้เช่นนี้ ตั้งแต่ลงสนามมา เขาก็เริ่มคำนวณระยะการโจมตี ระดับความสูงในการกระโดด มุมในการโค้งเอว ถึงขนาด… คำนวณความเร็วที่หันเซ่าอวี่แทงทวนด้วย ทุกอย่างล้วนมีภาพแจ่มชัดอยู่ในหัวเขาหมดแล้ว”
หันเหล่ยเอ่ย “ข้ายังไม่ค่อยกระจ่างเท่าใดนัก”
นายท่านห้าหันเอ่ย “พี่ใหญ่ไม่ต้องเข้าใจหรอก พี่ใหญ่แค่รู้ไว้ว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นผู้มีพรสวรรค์ก็พอ”
หันเหล่ยหันไปมองนายท่านห้าหัน คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้าชมคนเป็นด้วยหรือ”
นายท่านห้าหันเอ่ยต่อประโยคเมื่อครู่ของตัวเองเพิ่ม “แต่ผู้มีพรสวรรค์ก็ต้องมีโชคด้วยเช่นกัน หากไม่มีเกราะศึกตัวนั้นบนตัวเขา เขาคงได้ตายใต้คมทวนของหันเซ่าอวี่ไปนานแล้ว”
สายตาของหันเหล่ยหยุดลงบนร่างเด็กหนุ่มอีกหน เด็กหนุ่มอาภรณ์สีชาดเกราะสีนิล เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง มาดองอาจนั้นข่มลูกหลานเหล่าคหบดีจนคอหด
หันเหล่ยขมวดคิ้วมุ่น “ข้าก็สังเกตเห็นเหมือนกัน นั่นคือเกราะอะไร เหตุใดจึงได้แข็งแกร่งเพียงนี้”
นายท่านห้าหันถาม “พี่ใหญ่ยังจำเกราะของเซวียนหยวนลี่ได้หรือไม่ ข้าหมายถึงตัวที่เยี่ยมที่สุดของเขาน่ะ”
หันเหล่ยถูกกระตุ้นความทรงจำบางอย่างเข้า หัวคิ้วขมวดน้อยๆ พลางเอ่ย “จำได้ ตอนนั้นเขาใช้เกราะตัวนั้นบุกค่ายศัตรูแคว้นจิ้นเพียงลำพัง ช่วยฝ่าบาทที่ถูกจับเป็นตัวเชลยออกมา แต่หลังจากที่เขาสู้รบจนตัวตาย พวกเรากลับหาเกราะตัวนั้นไม่พบ ที่เขาสวมอยู่บนร่างเป็นเกราะธรรมดา เจ้าคงไม่ได้คิดว่าเกราะศึกบนตัวเซียวลิ่วหลังคือตัวเดียวกันกับเซวียนหยวนลี่หรอกกระมัง ดูๆ ไปแล้วก็ไม่เหมือนกันเสียหน่อย”
นายท่านห้าหันเอ่ย “อาจใช้วัสดุเดียวกัน หรืออาจจะหลอมเกราะตัวนั้นของเซวียนหยวนลี่ทำขึ้นใหม่ก็ได้”
หันเหล่ยสะทกสะท้อนใจเอ่ย “เมื่อสิบห้าปีก่อน หากเซวียนหยวนลี่ไม่เปลี่ยนเกราะ บางทีอาจจะไม่ตายเร็วถึงเพียงนั้นก็ได้”
นายท่านห้าหันเอ่ย “ความเป็นความตายของเขาเพียงคนเดียวมิได้เปลี่ยนแปลงสิ่งใดยิ่งใหญ่ ตระกูลเซวียนหยวนพ่ายแพ้คือชะตาฟ้าลิขิต”
จุดนี้หันเหล่ยกลับไม่โต้แย้ง “ก็จริง ดาวแห่งจักรพรรดิปรากฏ จักรพรรดิมาจากเซวียนหยวน ฮ่องเต้จะไว้ชีวิตตระกูลเซวียนหยวนได้อย่างไร น่าเสียดายเกราะตัวนั้น ไม่อาจตกมาถึงมือพวกเราตระกูลหันได้ คุยกันออกทะเลเสียแล้ว กลับมาเรื่องการคัดเลือกครานี้ดีกว่า เซียวลิ่วหลังคือก้างชิ้นโต เจ้าไม่ได้ปะทะกับเขาในรอบแรก รอบต่อไปก็ไม่แน่”
กู้เจียวขี่ม้าไปยังเขตผู้ชมแล้ว ราชาม้าเฮยเฟิงแผ่รังสีรอบตัวไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้ แวกพื้นที่ให้มันเดินเข้ามาอย่างสะดวก
นายท่านห้าหันมองกู้เจียวพลางเอ่ย “เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
หันเหล่ยหันกลับมา ยิ้มพลางตบบ่าเขา “อย่าได้ประมาทศัตรู น้องห้า”
นายท่านห้าหันทอดมองกู้เจียว เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ใหญ่วางใจ ข้าไม่ประมาทศัตรูง่ายๆ หรอก หากเจอกับเซียวลิ่วหลัง ต่อให้รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่ใช่ศัตรูข้า ข้าก็จะลงมืออย่างเต็มที่อยู่ดี”
รอบต่อจากกู้เจียวเป็นมู่ชิงเฉิน
คู่ต่อสู้ของเขาคือหวังอี้ น้องชายหวังซวี่ ตามลำดับอาวุโสนั้นเขาต้องเรียกอีกฝ่ายว่าท่านลุง
หวังอี้ยิ้มเอ่ย “เจ้าอย่าได้เห็นว่าข้าเป็นผู้อาวุโสแล้วไม่กล้าลงมือกับข้าเชียวล่ะ!”
มู่ชิงเฉินถือกระบี่ยาวประสานมือคำนับ “ผู้น้อยจะทำเต็มที่ขอรับ ขอท่านลุงสี่โปรดชี้แนะด้วย”
หวังอี้หุบยิ้ม ชักดาบโค้งออกจากบั้นเอว เอ่ยด้วยท่าทางน่าเกรงขาม “เช่นนั้นก็ให้ข้าลองดูหน่อยว่าวรยุทธ์ไม่กี่ปีของเจ้าก้าวหน้าบ้างหรือไม่”
เสียงฆ้องดังขึ้น ทั้งคู่ควบม้าเข้าห้ำหั่นกัน
อาวุธของมู่ชิงเฉินเป็นกระบี่ยาว ของหวังอี้เป็นดาบโค้ง ต่างว่ากันว่ากระบี่ไม่ถูกกับดาบ ดาบไม่ถูกกับทวน แต่ความจริงหาใช่เช่นนั้นไม่
ยามทำศึก อาวุธทุกชนิดล้วนมีข้อดีข้อด้อยของตัวเอง ขึ้นอยู่กับการฝีมือทั้งสิ้น
หวังอี้ใช้วิถีดาบข่มศัตรู พละกำลังอันแข็งแกร่งสามารถกำราบคู่ต่อสู้ได้ในชั่วพริบตา ส่วนมู่ชิงเฉินเป็นวิถีกระบี่ที้เน้นความปราดเปรียวหนักเบา
มู่ชิงเฉินวาดกระบี่ออกไป ดาบโค้งของหวังอี้ต้านไว้ได้อย่างง่ายดาย
แต่หากหวังอี้ฟันดาบลงมา มู่ชิงเฉินเข้าไปรับโดยตรงก็อาจจะตั้งรับไม่ไหว
มู่ชิงเฉินเพื่อหลบกระบวนท่าของหวังอี้ พอเข้าสู่สนามก็เริ่มเปิดการโจมตีหวังอี้ในทันที การเคลื่อนไหวอันทรงพลังทั้งหมดของการฟาด การฟัน การกวัดแกว่งล้วนเปล่าประโยชน์ทุกกระบวน กระบวนท่ารวดเร็วอย่างการแทง การปาด และการเฉือนล้วนมีมุมเล่ห์เหลี่ยมที่ไม่อาจป้องกันได้
หวังอี้รู้สึกเพียงหน้ามืดตาลาย ไม่อาจใช้กำลังในร่างกายได้
สุดท้ายมู่ชิงเฉินก็เหยียบโกลนม้าทะยานตัวขึ้น ตีลังกากลางอากาศฟันอานหนังสัตว์ของหวังอี้สะบั้น
หลังจากที่มู่ชิงเฉินใช้ปราณกระบี่ฟาดฟันม้า ม้าก็ตื่นตกใจ ยกขาหน้าควบตะบึงจากไป
หวังอี้เอียงตัว ร่วงลงมาจากหลังม้าพร้อมกับอานอย่างไม่ทันตั้งตัว
ในขณะที่เขาร่วงลงพื้นอย่างอนาถนั้น มู่ชิงเฉินกลับมานั่งบนหลังม้าของตัวเอง ยื่นมือไปคว้าแขนเขาเอาไว้ “ท่านลุงสี่!”
หวังอี้ทรงตัวให้มั่นคง ทั้งโมโหทั้งขันพลางมองมู่ชิงเฉิน ก่อนตบม้าของเขาไปมา หอบกระชั้นเอ่ย “ข้าแพ้แล้ว! ยอมรับความพ่ายแพ้จากใจจริง!”
มู่ชิงเฉินพลิกตัวลงจากหลังม้า เก็บกระบี่ประสานมือคำนับผู้อาวุโส “เป็นเพราะท่านลุงสี่ออมมือขอรับ”
หวังอี้โบกมือ “เอาละ เอาละ เดิมทีข้าก็ไม่อยากมาหรอก แต่ในเมื่อเจ้าชนะข้าแล้ว ก็ไม่ต้องพ่ายแพ้ให้กับผู้อื่นอีก! รับปากข้าว่าเจ้าจะไม่ชนะข้าอย่างเสียเปล่า!”
มู่ชิงเฉินสีหน้าซับซ้อนหรี่ตาลง “ขอรับ!”
จากนั้นก็มีอีกสามคู่ แต่เนื่องจากหนึ่งในทหารม้าลำดับที่เจ็ดเกิดเรื่องนิดหน่อย จึงมาถึงสนามแข่งไม่ทันเวลา
ปกติแล้วสถานการณ์เช่นนี้สามารถถือเป็นการสละสิทธิ์ได้เลย ทว่านายท่านห้าหันใจกว้าง บอกว่ายินดีรอคู่ต่อสู้
จวบจนกระทั่งบัดนี้
“มาแล้ว มาแล้ว!”
“ผู้ใดมาแล้ว”
“คู่ต่อสู้ของนายท่านห้าหัน!”
“อ๊ะ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา!”
กู้เจียวนั่งอยู่บนหลังราชาม้าเฮยเฟิง หูผึ่งฟังบทสนทนาเป็นคุ้งเป็นแควของพวกเขา “ใครกัน เสียงดังครึกโครมเพียงนี้”
“เป็นหนานกงจิ้ง! บุตรสาวตระกูลหนานกง!”
ได้ยินดังนั้น กู้เจียวก็ส่งเสียงอ๋อ มองอีกฝ่ายเหมือนสนใจใคร่รู้ เห็นสตรีในชุดเกราะควบม้าทะยานมายังสนามรบ