บทที่ 757 ยินยินคือใคร
กู้เจียวอยู่กินมื้อกลางวันด้วยกันกับอันกั๋วกง
เขาเริ่มเจริญอาหารมากขึ้น นอกเหนือจากข้าวต้มที่เขากินเป็นปกติแล้ว ยังสามารถกินอาหารที่กู้เจียวคีบให้เขาได้อีกด้วย
ที่นางคีบอาหารให้เขาก็เพื่อทดสอบความสามารถในการเคี้ยว ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเห็นแก่นาง เขาคงจะไม่เอาอาหารเข้าปากด้วยซ้ำ
“ต่อไปท่านต้องกินให้ได้แบบนี้นะ” กู้เจียวกำชับเขา
จะกินแต่ข้าวต้มอย่างเดียวไม่ได้ ต้องฝึกกล้ามเนื้อกระเพาะให้คุ้นกับอาหารอื่นด้วย
“พี่ใหญ่ของข้าไม่…” ขณะที่ใต้เท้ารองจิ่งกำลังจะโต้กลับ ก็เห็นว่าพี่ใหญ่ของเขากำลังเขียนคำว่า ‘ตกลง’ บนพนักเก้าอี้
ใต้เท้ารองจิ่ง “…”
หลังทานข้าวเสร็จ อันกั๋วกงก็พากู้เจียวไปชมห้องเก็บอาวุธ
ที่นี่มีอาวุธแทบจะครบทุกประเภท ส่วนหนึ่งเป็นสมบัติของเซวียนหยวนจื่อ ภรรยาของเขา และอีกส่วนเป็นของขวัญที่นายพลเซวียนหยวนมอบให้แก่ยินยิน
อันกั๋วกงเป็นต้องหัวเราะงอหายทุกครั้งที่ได้รับของขวัญจากพ่อตา ยินยินของเขาเป็นเด็กผู้หญิงนะ เหตุใดถึงมอบอาวุธน่ากลัวเหล่านี้ให้นางด้วย
‘เจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว เด็กคนนี้โตไปจะได้เป็นทหารผู้ยิ่งใหญ่!’
‘แต่ยินยินเพิ่งจะขวบเดียวเองนะขอรับ อย่างน้อยก็รอให้นางโตขึ้นอีกสักหน่อยมิได้หรือ ขนาดอาจื่อเองยังฝึกวิทยายุทธ์ตอนสี่ขวบเลยนะขอรับ’
เซวียนหยวนจื่อ ภรรยาของอันกั๋วกง บุตรสาวของนายพลเซวียนหยวน
และทุกครั้ง นายพลเซวียนหยวนก็จะอุ้มยินยินตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนของเขาราวกับว่าไม่อยากให้ใครมาพรากหลานสาวคนนี้ไป ‘อย่างอาจื่อน่ะหรือจะสู้ยินยินได้! ยินยินเหมือนปู่ที่สุด! ยินยินจะฝึกวิทยายุทธ์กับปู่ใช่ไหม!’
ภายหลัง นายพลเซวียนหยวนก็จะเข้ามายืมตัวยินยินออกไป
เวลาที่กั๋วกงตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นยินยินอยู่บนเตียง เขาเดาได้ในทันทีว่านายพลเซวียนหยวนมาแอบยืมตัวนางไปอีกแล้ว
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่!”
ใต้เท้ารองจิ่งโบกมือเรียกอันกั๋วกง
พอเขาได้สติ ก็แอบหันไปมองกู้เจียวหนึ่งที ก็พบว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกันด้วยสีหน้างุนงง
สายตาของเขาฉายแววรู้สึกผิด พร้อมกับเขียน “จู่ๆ เกิดนึกเรื่องในอดีตขึ้นมา”
ใต้เท้ารองจิ่งเอ่ยกับเขา “เซียวลิ่วหลังถามพี่ใหญ่ว่าอาวุธพวกนี้เขาสามารถเลือกได้ตามใจชอบเลยหรือไม่”
อันกั๋วกงเขียนตอบอย่างมั่นใจ “ยกให้ทั้งหมดเลย”
ใต้เท้ารองจิ่งเริ่มน้อยใจ
เขาเล็งธนูของพี่สะใภ้มาตั้งหลายปี ไม่ยักเห็นพี่ใหญ่จะยกให้เขาบ้างเลย
กู้เจียวยกอาวุธมาไว้ที่ลานเพื่อทดสอบความถนัดมือ
อันกั๋วกงนั่งมองอยู่ห่างๆ ราวกับพ่อที่กำลังดูลูกของเขาเล่นของเล่นอย่างมีความสุข
ใต้เท้ารองจิ่งกระเถิบเข้ามาใกล้ๆ หันไปมองกู้เจียวที่กำลังดึงคันธนูขึ้น ก่อนจะหันมากระซิบกับพี่ใหญ่ “ลองเกลี้ยกล่อมให้นางไม่เข้าร่วมแข่งขันดีไหมพี่ใหญ่ มันอันตรายมากเลยนะ กว่าจะได้พบเจอคนที่ถูกชะตานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วต่อไปใครจะดูแลพี่ใหญ่ล่ะ”
ใต้เท้ารองจิ่งไม่ใช่คนเขลา เขามองออกว่าพี่ใหญ่มองเด็กคนนั้นเหมือนลูกคนหนึ่ง
ความรู้สึกของการสูญเสียคนที่รัก ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว
อันกั๋วกงรู้ดีว่าเขาจะต้องเผชิญกับสิ่งใดนับตั้งแต่วินาทีที่กั๋วซือเข้ามาหา
เขาชอบเด็กคนนี้มาก และแน่นอนเขาหวังจะให้นางอยู่เคียงข้างเขาไปตลอด
แต่เขาไม่อาจรั้งนางไว้ เพียงเพื่อความสุขของตัวเอง
กลับกัน หากนางอยากโบยบิน เขาจะอุ้มนางขึ้นไว้เหนือหัว ให้นางบินได้ไกลขึ้น บินไปยังนภาอันกว้างใหญ่
แม้เขาจะต้องเผชิญกับความกลัว แต่เขาจะไม่ทำตัวเป็นคนที่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำเด็ดขาด
กว่ากู้เจียวจะออกมาจากจวนได้ก็มืดค่ำแล้ว สุดท้ายกู้เจียวก็เลือกธนูอันที่ใต้เท้ารองจิ่งใฝ่ฝันอยากได้มาตลอดหลายปี
ระหว่างทางกลับตำหนักกั๋วซือ ใต้เท้ารองจิ่งเอาแต่จ้องเขม็งกู้เจียวราวกับวิญญาณแค้น
…
ทุกวันนี้กู้เจียวกลายเป็นคนคุ้นเคยของตำหนักกั๋วซือไปเสียแล้ว ไม่ต้องแสดงตราอาญาสิทธิ์ก็สามารถเข้าออกตำหนักได้อย่างสบาย กู้เจียวจูงเจ้าเฮยเฟิงเข้าไปในตำหนักฉีหลิน
พอเดินไปได้ครึ่งทาง กู้เจียวก็เจอกับอวี้เหอที่ดูเหมือนกำลังตามหาตัวเองอยู่ “ท่านชายเซียว!”
อวี้เหอเดินตรงเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว
แต่จู่ๆ เขาดันนึกถึงภาพเหตุการณ์วันนั้นจนเริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูก จากนั้นเอ่ยทักคนตรงหน้าอย่างเขินๆ “ท่านชายเซียว… กลับมาแล้วหรือ…”
กู้เจียวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และคิดไปว่าอวี้เหอทำผิดอะไรมาหรือไม่ถึงได้มีอาการแบบนี้
“มีธุระอะไรรึ” กู้เจียวถาม
อวี้เหอพยายามเข้าเรื่อง “อ๋อ เอ่อ คือ ท่านอาจารย์บอกว่าม้าของท่านยังอยู่ในระยะพักฟื้น ต้องให้ความสำคัญกับอาหารการกิน ก็เลยให้คนผสมอาหารสูตรใหม่มาให้ เลยจะถามท่านว่าจะลองไปดูหน่อยไหม”
กู้เจียวไม่ได้มีประสบการณ์ด้านการเลี้ยงม้าเท่าใดนัก และเห็นสมควรที่จะขอความช่วยเหลือจากกั๋วซือ
อวี้เหอพากู้เจียวไปยังป่าไผ่
ทุกวันนี้อวี้เหอไม่กล้ามองหน้ากู้เจียวตรงๆ เขามักจะนึกถึงภาพวันนั้นของกู้เจียวและเซียวเหิง พลางนึก พระราชนัดดายังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ ไยถึงมีใจไปรักชายได้เล่า
เฮอะ
หยุดคิดเรื่องนั้นได้แล้ว
อวี้เหอพยายามชวนคุยเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกกระอักกระอ่วน “ข้าว่าท่านก็เลี้ยงม้าเก่งใช่ย่อย ดูเจ้าสืออีสิ”
เจ้าอาชาไนยเพิ่งมาถึงเมื่อวาน ขนาดอวี้เหอยังรู้แล้วว่าชื่อของมันคือสืออี
เขาถามต่อ “ปกติให้มันกินอะไรรึ”
“ก็ อะไรก็ได้ที่มี” กู้เจียวตอบ
อวี้เหอหัวเราะ “มีอะไรบ้างล่ะ”
กู้เจียวครุ่นคิด “ก็ หญ้า บางครั้งก็หัวไชเท้า”
มุมปากของอวี้เหอกระตุกเล็กน้อย แน่ใจนะว่าเลี้ยงม้าไม่ใช่เลี้ยงลาน่ะ
เขาถามต่อ “จริงสิ ข้าได้ยินจากท่านอาจารย์ว่าท่านเข้ารอบแล้ว ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับท่านเลย”
กู้เจียว “อื้อ”
บทสนทนาถูกตัดจบทันที
อวี้เหอที่ไม่รู้จะเอ่ยอะไรต่อก็ได้แต่กลั้นความอึดอัดใจไว้จนกระทั่งมาถึงที่ป่าไผ่
เมื่อเห็นว่ากั๋วซือออกไปคัดต้นไผ่ อวี้เหอจึงให้กู้เจียวนั่งรอในห้อง ส่วนเจ้าเฮยเฟิงก็ออกไปเดินเล่นในป่าไผ่
อวี้เหอยื่นเหล้าหมักสูตรพิเศษประจำตำหนักให้กู้เจียวดื่ม
“หวานจัง” กู้เจียวเอ่ยหลังจากดื่มมัน
อวี้เหอหัวเราะ “นี่เป็นเหล้ากุ้ยฮวาที่ท่านอาจารย์ลงแรงหมักด้วยตัวเอง หนึ่งปีทำได้แค่ไหเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้ลิ้มรส”
“นี่เหล้าเรอะ” กู้เจียวออกอาการตกใจหลังจากที่ได้ยิน
อวี้เหอพยักหน้า “ใช่แล้ว แต่มันไม่ขมเลยใช่ไหม อาจารย์ของข้าหมักเหล้าได้…”
ตุ้บ!
ร่างของกู้เจียวพับลงไปบนโต๊ะเต็มแรง!
อวี้เหอ “…”
“ท่านชายเซียว! ท่านชายเซียว! ท่านชายเซียว!”
ไม่ว่าอวี้เหอจะเรียกกี่ครั้งก็ไม่เป็นผล “คออ่อนขนาดนี้เชียว ปกติคนที่เก่งวิทยายุทธ์ล้วนคอทองแดงกันทั้งนั้น แต่นี่แค่แก้วเดียวก็ล้มแล้ว แย่ละสิ แล้วข้าจะอธิบายกับท่านอาจารย์ว่าอย่างไรเล่า”
พอกั๋วซือกลับมา ก็เห็นกู้เจียวนอนฟุบบนโต๊ะอย่างหมดสภาพ
อวี้เหอยืนก้มหน้าสำนึกผิดพร้อมกับอธิบาย “ท่านอาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว ข้าให้…ท่านชายเซียวดื่มเหล้ากุ้ยฮวาเอง”
กั๋วซือขมวดคิ้ว “เจ้าให้เขาดื่มรึ”
อวี้เหออ้าปากพะงาบ “ข้า…”
ปกติเวลาท่านอาจารย์จะไม่ใส่อารมณ์เวลาเอ่ย แต่คราวนี้อวี้เหอฟังออกทันทีว่าเขากำลังไม่พอใจ “เขาดื่มเหล้าไม่ได้”
อวี้เหอก้มหน้าลงมากเสียยิ่งกว่าเดิม “…ขอรับ ข้าผิดไปแล้ว”
เหล้านั้นถูกวางไว้บนโต๊ะตั้งแต่ทีแรก และอวี้เหอก็นึกว่ากั๋วซือเตรียมไว้ให้เซียวลิ่วหลังเสียอีก
กั๋วซือวางท่อนไม้ไผ่ลง ก่อนจะเดินเข้าไปช้อนร่างของกู้เจียวแล้วเข้าไปในห้อง
ลูกตาของอวี้เหอแทบหลุดออกจากเบ้า
ท่านอาจารย์ไม่เคยอุ้มใครมาก่อน แต่เซียวลิ่วหลังกลับได้สิทธิ์นั้นไป!
แถม แถมยังพาเข้าห้องอีกด้วย
เขาวางร่างของกู้เจียวลงบนเตียงไผ่ แล้วให้ลูกศิษย์ไปต้มยาสร่างเมามาให้
อวี้เหอไม่เคยเห็นด้านนี้ของท่านอาจารย์ เขาไม่ใช่คนที่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก
แต่เมื่อครู่นี้ อวี้เหอได้เห็นอารมณ์ของเขาผ่านทางสายตา
“เจ้าออกไปก่อน” กั๋วซือเอ่ยกับอวี้เหอ
“…ขอรับ” อวี้เหอประสานมือและเดินออกไปอย่างไม่หันหลังกลับ
เขายังอยู่ในอาการงงงวยจนกระทั่งเดินออกมา
และอดคิดไม่ได้ถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างท่านอาจารย์และเซียวลิ่วหลัง
เหตุใดท่านอาจารย์ถึงมีข้อยกเว้นแค่กับเขากันนะ
…
ตอนแรกกู้เจียวอยู่ในสภาพเคลิ้มหลับอย่างคนเมา แต่ต่อมาก็เริ่มมีอาการฝันร้าย
ตอนแรกกู้เจียวฝันว่าถูกเด็กผู้ชายสวมรองเท้าบู๊ตทหารพามาที่องค์กรตอนอายุแปดขวบ
เด็กชายคนนั้นอายุสิบหกปี เป็นอาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดในองค์กรและเป็นนักฆ่าเลือดเย็นที่สุด
กู้เจียวเป็นศิษย์คนแรกที่เขาพากลับมา แต่เขาเป็นคนที่เย็นชาที่สุดและไร้มนุษยธรรมที่สุด
เขาเอาแต่ลงโทษนาง
นางมักจะวิ่งในสนามฝึกซ้อมอยู่คนเดียวตอนกลางดึก
เขาเป็นเหมือนเสือชีตาห์ที่หลับใหลอยู่ในความมืดเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกศิษย์เกียจคร้าน
กู้เจียวรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่เสมอ จนเขาต้องลากร่างของนางกลับเหมือนกับลากกระสอบ
เวลามีงานอันตราย เขาจะไม่เรียกคนอื่น
“อิ่ง เจ้าต้องไปกับข้า”
ครั้งหนึ่งกู้เจียวเคยสงสัยว่าเขาต้องการฆ่านางโดยใช้ภารกิจบังหน้า
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่กู้เจียวและเพื่อนในองค์กรถูกจับเป็นตัวประกัน เขากลับเลือกที่จะช่วยคนอื่น และแทบไม่แยแสนางแม้แต่หางตา
แล้วก็เป็นครั้งนั้นที่เพื่อนของเขาถูกคนฆ่าตาย กลายเป็นว่าคนที่เขาไม่เคยคิดจะเหลียวแลกลับมีชีวิตรอดแทน
แล้วกู้เจียวก็ได้รับบทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
“ตื่นมาดื่มยาแก้เมาก่อนแล้วค่อยนอนต่อ”
เสียงนั้นช่างเบาบางเสียจนไม่อาจทำให้กู้เจียวรู้สึกตัวได้
ภาพในความฝันแตกสลาย ก่อนจะลืมตาด้วยความงุนงง แล้วหลับไปอีกครั้ง
กู้เจียวฝันอีกครั้ง
ทว่าไม่ใช่ความฝันแบบเดิม
ในวันที่อากาศแจ่มใส กู้เจียวมาที่ลานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยดอกลิลลี่และต้นไผ่สีเขียวที่ปลูกอยู่ตรงมุมสวน
สายลมอ่อนพัดใบไผ่และดอกไป่เหอราวกับกำลังเต้นรำ
กู้เจียวจำได้ว่าเพิ่งไปที่นี่มาเมื่อตอนบ่าย
เหตุใดถึงวนกลับมาที่เดิมอีก
แล้วท่านกั๋วกงล่ะ
ทันทีที่ความคิดแล่นผ่านเข้ามาในหัว กู้เจียวเหลือบไปเห็นประตูห้องชั้นบนที่ถูกเปิดออก ทันใดนั้น มีคนก้าวเท้าออกมา คนคนนั้นไม่ใช่กั๋วกง แต่เป็นหญิงตั้งครรภ์คนหนึ่ง
สตรีผู้นั้นสวมชุดนักรบสีม่วง ชุดเกราะสีเงิน และถือธนูยาวราวกับกำลังจะทำสงคราม
กั๋วกงวัยหนุ่มเดิมเข้ามาพร้อมด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
สตรีผู้นั้นยิ้มให้เขา แล้วเอ่ย “ฝากดูแลยินยินด้วย แล้วข้าจะรีบกลับมา”
แต่แล้วนางก็ไม่กลับมาหาเขา
ประโยคนี้แวบเข้ามาในหัวของกู้เจียวโดยทันที
กู้เจียวมองตามแผ่นหลังของสตรีคนนั้น
อย่าไป…
เจ้าจะตายในสนามรบ
กู้เจียวต้องการห้ามสตรีคนนั้น
แต่ไม่ว่าจะพยายามเปล่งเสียงเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล
กู้เจียวพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า
ทันใดนั้น ปรากฏเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ วิ่งตุ้บปั๊ดตุ้บเป๋ออกมาจากห้องพร้อมเสียงเรียกที่ดังสนั่น “แม่จ๋า”
เนื้อตัวกู้เจียวเริ่มสั่นพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง
เสียงที่ดังก้องอยู่ในหูนั้น เริ่มแยกไม่ออกแล้วว่ามาจากตัวเอง หรือว่าเป็นเสียงจากในฝันกันแน่
“เจ้าตื่นแล้ว”
กั๋วซือนั่งบนเก้าอี้หน้าเตียงอย่างสงบ “อยากดื่มแก้เมาค้างไหม หรือว่าไม่จำเป็นแล้ว”
กู้เจียวมองไปรอบๆ และพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคย แต่เมื่อมองออกไปที่ประตูและเห็นห้องหลักที่คุ้นเคย ถึงได้รู้ว่าตัวเองยังอยู่ในป่าไผ่
“ไม่ต้องหรอก ข้าฟื้นแล้ว” กู้เจียวลุกขึ้นนั่ง แม้จะยังรู้สึกปวดหัว “เหล้าอะไรของท่าน แรงชะมัด”
“เจ้าต่างหากที่คออ่อนเกิน” กั๋วซือเอ่ย “ขนาดเย่ชิงยังดื่มได้ไหนึงสบายๆ เลย”
กู้เจียวรู้ตัวเองดี และไม่ปฏิเสธคำเอ่ยของเขา
“เมื่อครู่นี้เจ้าฝันรึ” กั๋วซือถาม
กู้เจียวขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะช่วงนี้นางฝันบ่อยและมักจะลืมความฝันเหล่านั้นเมื่อตื่นขึ้นมา แต่ครั้งนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของเหล้าหรือไม่ เลยทำให้กู้เจียวจำภาพฝันเหล่านั้นได้บ้าง
“อื้อ” กู้เจียวไม่ได้ปฏิเสธ
กั๋วซือวางถ้วยยาสร่างเมาไว้บนโต๊ะ พร้อมกับถาม “ฝันถึงเรื่องอะไร ถึงได้มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนั้น”
“ข้ามีปฏิกิริยา…รุนแรงรึ” กู้เจียวทำหน้าสับสน
กั๋วซือเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
แต่แล้ว กู้เจียวก็เลือกที่จะเล่าให้เขาฟัง “ข้าฝันถึงอันกั๋วกงตอนวัยหนุ่ม ฝันเห็นภรรยาและลูกของเขาด้วย”
กู้เจียวเคยเห็นรูปเสมือนของเซวียนหยวนซีในห้องสมุด ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จะฝันถึง
ส่วนเรื่องราวในฝัน บางทีอาจเป็นเพราะกู้เจียวได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลเซวียนหยวนมากเกินไป
ส่วนเด็กคนนั้น
กู้เจียวเคยเห็นภาพของเด็กคนนั้นจากห้องทำงานของกั๋วซือ!
ว่าแต่ เด็กคนนั้นคือจิ่งยินยินจริงๆ หรือกู้เจียวแค่สมมติภาพนั้นขึ้นมาจากความทรงจำระยะสั้น
กั๋วซือรู้สึกได้ว่ากู้เจียวกำลังเพ่งเล็งมาที่เขา “เหตุใดเจ้าถึงมองข้าแบบนั้น”
กู้เจียวถามเขา “รูปวาดของเด็กผู้หญิงในห้องทำงานของท่าน ใช่จิ่งยินยินหรือไม่”
“เจ้าเห็นแล้วรึ” ดูเหมือนกั๋วซือจะไม่มีท่าทีอ้ำอึ้งแต่อย่างใด
แปลว่าเขายอมรับแล้วรึ
กั๋วซือพยักพน้าพร้อมกับถอนหายใจ “ใช่แล้ว เด็กคนนั้นก็คือจิ่งยินยิน”
“ท่านเป็นอะไรกับจิ่งยินยินอย่างนั้นรึ” กู้เจียวถามอย่างจริงจัง
ใบหน้าของกั๋วซือพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “เจ้าอยากรู้จริงๆ ใช่ไหม”
กู้เจียว “ใช่”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นข้อเสนอให้กู้เจียว “ได้ ข้าจะเล่าความจริงทุกอย่างให้เจ้าฟังต่อเมื่อเจ้าชนะการแข่งขันและกลายเป็นแม่ทัพแห่งกองทหารม้าเฮยเฟิง”