บทที่ 737 ความเดือดดาลของนาง!
พ่อค้าจอมปลอมถูกกัดอย่างไม่ทันตั้งตัว!
จนเขาเกือบทรงตัวไม่อยู่ล้มก้นจ้ำเบ้า!
เขาพยายามสะบัดเด็กน้อยแปลกหน้าออกไป แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็สลัดไม่ออก!
เหอะ!
ถึงข้าจะสู้ไม่เก่ง แต่อย่างน้อยข้ามีฟันที่แหลมคมเหมือนเหล็กนะ!
ต้องขอบคุณพี่เขยตัวแสบที่ไม่ปล่อยให้เขากินลูกอม
เสี่ยวจิ้งคงรู้จักขอได้เปรียบของตัวเอง หากเขาใช้วิธีเอามือคว้าไว้ป่านนี้คงถูกเหวี่ยงออกไปแล้ว
แต่เขาเลือกใช้ฟันที่แข็งแรงของเขาและงับจนสุดแรงเกิด
หากจะสลัดให้หลุด แปลว่าเนื้อหนังที่ถูกงับอยู่ย่อมต้องหลุดออกมาด้วย
ตอนนี้ขาของพ่อค้าจอมปลอมเริ่มเกร็งไปทั้งขา
เพราะกลัวว่าหากไม่เกร็งไว้ เนื้อของเขาอาจถูกเจ้าตัวเล็กใช้ฟันฉีกจนขาดได้
ไม่นานทหารองครักษ์ก็ได้ล้อมเขาไว้ เขาไม่มีปัญญาจะสู้ต่อ จึงได้แต่หนีออกไปโดยอุ้มองค์หญิงน้อยไว้ในอ้อมแขน และมีเสี่ยวจิ้งคงที่ยังคงงับขาเขาอยู่อย่างนั้นไม่ปล่อย พร้อมกับก่นด่าไม่รู้จบ
“พวกเจ้า ตามมันไป! ส่วนเจ้า รีบกลับวังรายงานฝ่าบาทให้เร็วที่สุด!”
“ขอรับ!”
ทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งไล่ตามไปในทิศทางที่พ่อค้าวิ่งหนีอออกไป แต่สุดท้ายก็ตามหาไม่พบ
ขณะเดียวกัน พ่อค้าจอมปลอมยังคงใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นลงข้ามกำแพงไปเรื่อยๆ
เมื่อมาถึงลานเล็กๆ อันเงียบสงบ เขาพบว่าขาขวาของเขาบวมเป่งจนกลายเป็นขาหมูพะโล้
ชายชุดดำคนหนึ่งปรากฏกายออกมาและมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น ให้ไปลักพาตัวมาแค่คนเดียวมิใช่รึ ไยถึงเพิ่มมาอีกคนเล่า”
พ่อค้าจอมปลอมสีหน้าเจ็บปวด “เจ้าคิดหรือว่าข้าอยากพาเจ้าเด็กคนนี้มา ดูสิ กัดข้าจนขาบวมหมดแล้ว!”
ชายชุดดำเพ่งสายตา เอ่อ จริงด้วย
พวกเขามองเสี่ยวจิ้งคงที่อยู่ในเครื่องแบบสำนักบัณฑิตหลิงโป จึงรู้ในทันทีว่าเด็กคนนี้เป็นบัณฑิต
ชายชุดดำนึกในใจ บัณฑิตอะไรตัวเล็กแค่นี้ ล้างก้นเองเป็นรึยังเถอะ
สำนักบัณฑิตหลิงโปก็เหมือนกัน ร้อนเงินมากหรือไงถึงรับเด็กอ่อนเข้าเรียน!
“พอแล้วไม่ต้องมองแล้ว! รีบเอาเด็กนี่ออกไปจากข้าที!” พ่อค้าปลอมเอ่ย
“รู้แล้วน่า” ชายชุดดำโบกมือแล้วก้าวไปข้างหน้าเพื่อดึงเสี่ยวจิ้งคงออกมา
กลายเป็นว่าเขาดึงเสี่ยวจิ้งคงให้หลุดออกได้อย่างง่ายดาย
เหตุผลมีเพียงหนึ่งเดียว เสี่ยวจิ้งคงหมดแรงงับเขาต่อแล้ว
เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีและทนมาจนถึงตอนนี้
แม้ว่าเขาจะมีฟันเหล็กอันทรงพลัง แต่กลับลืมไปว่าตัวเองเป็นคนไม่กินเนื้อ!
เสี่ยวจิ้งคงล้มลงกับพื้น นอนหงาย ลูกตาดำลอยขึ้นจนเหลือแต่เนื้อตาสีขาว และเขาก็แลบลิ้นออกมาอย่างดุเดือด
ขณะที่องค์หญิงน้อยขวัญเสียจนไม่กล้าขยับและไม่กล้าร้องไห้
และนั่นทำให้คนร้ายสองคนพอใจมาก
“เจ้าพาพวกเขาออกไปที ข้าขอทำแผลก่อน” พ่อค้าปลอมเอ่ยกับชายชุดดำ
“แล้วเจ้าเด็กนี่ล่ะ…” ชายชุดดำคว้าตัวองค์หญิงน้อย ก่อนจะชี้ไปทางเสี่ยวจิ้งคงที่นอนแอ้งแม้งบนพื้น
“ตามใจเจ้า เอาไปทิ้งเถอะ” พ่อค้าเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่ได้นะ” องค์หญิงน้อยโพล่งขึ้นกลางคันพร้อมกับคว้าคอเสื้อชายชุดดำด้วยมือทั้งสองข้างที่สั่นไม่หยุด และพูดด้วยคำพูดที่ดุร้ายที่สุดด้วยสีหน้าขี้ขลาดที่สุด “อย่าทิ้งเขาไป!”
ชายชุดดำตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจึงหันไปหาพ่อค้าพลางเอ่ย “ตอนก่อนหน้าไม่ทิ้ง จะให้มาทิ้งเอาตอนนี้เนี่ยนะ กลัวเรื่องแดงไม่พอรึไง ถ้าเกิดใครมาเห็นเข้า…”
“ก็ข้าบอกแล้วไงว่าตามใจเจ้า!” พ่อค้าปลอมตะโกนตัดบท “ข้าไปทำแผลก่อน ปวดจะตายแล้ว”
เอ่ยจบก็เดินกะเผลกเข้าไปยังห้องๆ หนึ่ง
ชายชุดดำขมวดคิ้ว ก่อนคว้าร่างเด็กทั้งสองไปไว้ที่ห้องเก็บฟืน
ณ วังหลวง ฮ่องเต้ทรงกำลังว่าราชกิจที่ท้องพระโรง
เมื่อเร็วๆ นี้ มีพายุฝนรุนแรงเกิดขึ้นบ่อยครั้งในพื้นที่ต่างๆ ของแคว้น ซึ่งทำให้เกิดน้ำท่วมบริเวณตอนกลางและตอนล่างของแม่น้ำ ศาลจากทั่วแคว้นจึงได้ขอความช่วยเหลือจากราชสำนักเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ
เนื่องจากพื้นที่ภัยพิบัติมีจำนวนมากและความร้ายแรงของสถานการณ์ภัยพิบัติ การบรรเทาสาธารณภัยจึงกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน
อย่างไรก็ตาม การบรรเทาภัยพิบัติไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการส่งทหารไปสู้กับน้ำท่วม สร้างเขื่อนเพิ่มเติม และตั้งถิ่นฐานของผู้ประสบภัยที่พลัดถิ่นอีกด้วย
ปีนี้น้ำท่วมหนักที่สุดในรอบยี่สิบห้าปี
และนั่นทำให้ฮ่องเต้ทรงล้าพระเศียรเป็นอย่างมาก
ทรงกดตรงพระขนงเบาๆ แล้วตรัสอย่างเย็นพระทัย “อะไรทำให้เกิดน้ำท่วมเมื่อยี่สิบห้าปีที่แล้ว”
ทุกคนในท้องพระโรงพากันเงียบกริบ
ข้าราชบริพารทุกคนถือแผ่นวัดในมือพร้อมใจกันก้มหน้าก้มตา
ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็ตระหนักได้ว่าเขาถามคำถามโง่ๆ เมื่อยี่สิบห้าปีที่แล้วครึ่งหนึ่งของดินแดนทางตอนใต้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติและเป็นซวนหยวนหลี่ที่นำกองกำลังของเขาไปบรรเทาภัยพิบัติอย่างรวดเร็ว
เขาไม่เพียงแต่ซ่อมแซมเขื่อน ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และกอบกู้พื้นที่อุดมสมบูรณ์หลายพันไร่เท่านั้น แต่ยังสังหารเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสิบแปดคนติดต่อกันที่ฉ้อโกงเงินหลวงเข้ากระเป๋าของตนเองและเอารัดเอาเปรียบราษฎร
เขาจัดการทุกอย่างได้อยู่หมัดโดยใช้วิธีเชือดไก่ให้ลิงดู
เบื้องหลังเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเหล่านั้นล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลหลักในเมืองเซิ่งตู ซึ่งก่อความวุ่นวายมาระยะหนึ่งแล้ว
บางคนพยายามออกอุบายให้เซวียนหยวนลี่ติดร่างแห บ้างก็พยายามข่มขู่เขา แต่ไม่มีใครทำสำเร็จ
พวกกลุ่มคนอิทธิพลถูกถอนรากถอนโคนกันหมดหรือไม่ก็ถูกตัดหางออกเพื่อความอยู่รอด
หลายปีต่อจากนั้นมาก็ไม่มีใครกล้าคิดที่จะจัดสรรเงินบรรเทาสาธารณภัย ส่วนผู้มีอิทธิพลที่รอดพ้นจากภัยพิบัติก็กลับตัวกลับใจเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์แทน
ในขณะที่ฮ่องเต้กำลังว้าวุ่นกับเรื่องภัยพิบัติอยู่นั้น ทหารองครักษ์และนางข้าหลวงที่ทำหน้าที่รับส่งองค์หญิงน้อยก็กลับมาที่วังพอดี
นางข้าหลวงคุกเข่าบนบันไดยาวด้านนอกท้องพระโณงและร้องอย่างขมขื่น “ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! องค์หญิงน้อยถูกลักพาตัวเพคะ…”
ดวงพระเนตรของฮ่องเต้พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที พร้อมกับรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมา “เจ้าว่าอย่างไรนะ เกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิง”
นางข้าหลวงร้องห่มร้องไห้ตัวสั่นเทา “ทูลฝ่าบาท เมื่อเช้า รถม้าของเราเดินทางไปถึงประตูหลังสำนักบัณฑิต…ทันใดนั้น พ่อค้าขายถังหู่ลู่ก็พุ่งเข้ามา…ลักพาตัวองค์หญิงตัวน้อยไปเพคะ…”
ฮ่องเต้ตบที่เท้าแขนของบัลลังก์และยืนขึ้นด้วยท่าทางขุ่นเคือง “พ่อค้าถังหู่ลู่เนี่ยนะสู้องครักษ์หลวงได้ แล้วเราจะมีทหารองครักษ์ไว้เพื่ออะไร!”
หันเหล่ย บิดาของหันเย่ ถึงกับตัวสั่นหลังจากที่ได้ยิน
ครึ่งหนึ่งของกองทัพองครักษ์เป็นของตระกูลหัน โดยมีหันเย่รับหน้าที่เป็นรองผู้บัญชาการ
หันเหล่ยได้แต่หวังว่าทหารองครักษ์ที่คุ้มกันเจ้าหญิงน้อยในครั้งนี้จะไม่ใช่คนที่รับการเลื่อนตำแหน่งโดยลำพังโดยลูกชายของเขาเอง
มิฉะนั้น ตระกูลหันอาจถูกลงโทษฐานละเลยในหน้าที่อย่างแน่นอน!
จากนั้นพวกเขาก็ได้เบิกตัวหัวหน้าทหารที่คุ้มกันองค์หญิงในวันนี้
ปรากฏว่าจางเฟิ่งผู้ซึ่งเป็นทหารรับใช้ของหันเย่เดินเข้ามา และนั่นทำให้หันเหล่ยผิดหวังอย่างมาก!
หัวใจของเขาดิ่งลงไปที่ตาตุ่มทันที
ฮ่องเต้ทำการไต่สวนถึงรายละเอียดในเหตุการณ์พร้อมทั้งให้ขุนนางฝ่ายราชเลขาจดบันทึกและวาดรูปเสมือนขึ้นจากคำบอกเล่าของจางเฟิ่ง
ไม่มีใครเคยพบเห็นใบหน้าของบุคคลนี้มาก่อน
การออกตามหาองค์หญิงน้อยนั้นไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร
ทั้งท้องพระโรงถูกปกคลุมด้วยรังสีอำหิตของฝ่าบาท
“ไปตามหาองค์หญิงน้อยมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหาก็ตาม!”
“ยังมีเด็กอีกคนที่ใส่เครื่องแบบเดียวกันกับองค์หญิงก็ถูกจับตัวไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” จางเฟิ่งรายงาน
ชัดเจนว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเสี่ยวจิ้งคง เขาเป็นสหายคนเดียวขององค์หญิงน้อยที่อายุไล่เลี่ยกัน
ณ ตำหนักราชครู
ขณะที่เซียวเหิงเดินออกมาจากห้องสมุด ก็เห็นเย่ชิงหัวหน้าลูกศิษย์ของราชครูพาลูกศิษย์อีกสิบสองคนพร้อมทั้งมือสังหารวิ่งผ่านหน้าเขาไปอย่างเร่งรีบ
“พวกเจ้าไปไหนกัน” เซี่ยวเหิงถามเย่ชิง
เย่ชิงหยุดฝีเท้าลง และโค้งคำนับให้เขา “ทูลพระนัดดา องค์หญิงน้อยและสหายร่วมชั้นของพระองค์ถูกลักพาตัวไป ตำหนักราชครูกำลังวางแผนที่จะออกไปตามหาพวกเขาขอรับ”
แววตาของเซียวเหิงนิ่งลงทันทีหลังจากที่ได้ยิน จึงเอ่ยถามต่อ “สหายร่วมชั้นคนไหนรึ”
“ทูลพระนัดดา เป็นเด็กผู้ชายคนเมื่อวานที่มายืนร้องเพลงที่ตำหนักฉีหลินขอรับ เหมือนว่าเขาจะชื่อ…เสี่ยวจิ้งคงนะขอรับ”
……
“เสี่ยวจิ้งคงถูกลักพาตัวรึ” ณ ห้องพัก กู้เจียวเอ่ยถามขึ้น
เซียวลิ่วหลังพยักหน้า “เดิมเป้าหมายของพ่อค้าคนนั้นคือองค์หญิงน้อย แต่เสี่ยวจิ้งคงดันเข้าไปงับขาเขาไว้ มันก็เลยพาพวกเขาหลบหนีไปทั้งสองคน”
ซ่างกวานเยี่ยนหลับสนิทแล้ว
ทั้งห้องจึงเงียบสงัด
กู้เจียวเองก็เช่นกัน
“เข้าใจแล้ว”
นางเอ่ยเบาๆ
จากนั้นมาที่ข้างเตียง มองดูน้ำเกลือที่ใกล้หมด แล้วทำการดึงท่อออก ก่อนจะฉีดเฮปารินโซเดียมเข้าไปในเข็มที่แทงทางหลอดเลือดดำส่วนปลายอย่างใจเย็น
เสร็จปุ๊บก็จัดแจงทำความสะอาดเครื่องมืออย่างระมัดระวัง
ทุกกรรมวิธีเป็นระเบียบไม่มีการตกหล่นหรือข้ามขั้น
ขณะที่เซียวเหิงรู้สึกเป็นทุกข์ตอนที่กำลังจ้องมอง จากนั้นจึงเล่าต่อ “ทหารองครักษ์ที่คุ้มกันองค์หญิงน้อยคือคนของหันเย่ เขาไม่กล้าทำอะไรองค์หญิงน้อยแน่นอน เรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีผลดีสำหรับเขา ข้าเดาว่าคงมีใครสักคนอยากเล่นงานฝ่าบาทหรือไม่ก็ตระกูลหัน”
องค์หญิงน้อยเปรียบเสมือนหัวใจของฝ่าบาท ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง
ส่วนสถานการณ์ของเสี่ยวจิ้งคงยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เขาเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ จากแคว้นระดับล่าง พวกมันคิดจะกำจัดเขาเมื่อไหร่ก็ได้
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้กับองค์หญิงน้อย อุบัติเหตุมักเต็มไปด้วยตัวแปร และตัวแปรใดๆ ก็อาจนำไปสู่ผลที่ตามมาที่คาดเดาไม่ได้
กู้เจียวใส่เกราะที่แขน
จากนั้นเดินมาที่ห้องอาวุธในตำหนักฉีหลิน ชี้ไปที่หอกพู่แดงสลับเงินด้วยสีหน้าราบเรียบ พร้อมเอ่ยขึ้น “ข้าขอยืมหน่อย”
ลูกศิษย์ที่กำลังเช็ดทำความสะอาดอาวุธหันมามองกู้เจียวตาค้าง
ท่าทางที่นิ่งสงบราวกับทะเลที่ไร้คลื่นแบบนี้
แต่ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรงราวกับคลื่นใต้น้ำอันรุนแรงที่พร้อมซัดเข้าฝั่ง
กว่าลูกศิษย์คนนั้นจะได้สติ ก็พบว่ากู้เจียวหยิบอาวุธชิ้นนั้นออกไปแล้ว
กู้เจียวยืมม้าจากตำหนักราชครูมาหนึ่งตัว
ดวงอาทิตย์แผดจ้าอยู่เหนือศีรษะกู้เจียว
จากนั้นเงยหน้าขึ้น วางนิ้วชี้และนิ้วโป้งเข้าปาก แล้วผิวปากไปทางท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
เสียงนกอินทรีคำรามมาจากนภาก็ดังขึ้น!
มันกระพือปีกและวนอยู่เหนือหัวของนางไปมา
มือข้างหนึ่งคว้าอาวุธ ส่วนอีกข้างถือบังเหียนม้า พร้อมกับแววตาที่มุ่งมั่น “ไปกันเถอะ!”