บทที่ 736 เสี่ยวจิ้งคงผู้กล้าหาญ (2)
พวกเขาทั้งสามเดินออกมาจากจวน
ซูหยวนบอกให้ซูเฮ่าขึ้นรถม้าไปก่อน
ตอนนี้เหลือแค่พ่อลูกสองคน ซูหยวนจึงเปิดประเด็นถามก่อน “เหตุใดเจ้าถึงไม่ห้ามมู่ชวนไว้”
“ไยข้าต้องทำด้วย” มู่ชิงเฉินถามย้อน
“เจ้า…” ซูหยวนกัดฟันแน่น “เขาเป็นพี่ของเจ้านะ!”
“ข้าไม่เคยนับเขาเป็นพี่เลย”
พอพูดจบ มู่ชิงเฉินก็เดินขึ้นรถม้าของเขาทันที
มู่ชวนที่นั่งรออยู่ข้างในแล้วจึงรีบเขยิบที่นั่งให้ “นั่งนี่สิพี่สี่!”
เขาเปิดหน้าต่างรถออก มองไปทางฝั่งตรงข้าม และเห็นซูเฮ่าที่นั่งอยู่บนรถม้าของตระกูลซู จึงแลบลิ้นใส่ด้วยความรังเกียจ “แบร่!”
“ไปกันเถอะ” มู่ชิงเฉินเอ่ยกับสารถี
สิ้นเสียงแส้ม้า รถก็เคลื่อนตัวออกไป
“พี่สี่จะไปคุยกับลิ่วหลังจริงๆ รึ ข้าว่าคนอย่างเขาคงไม่สนใจข้อเสนอของพวกเราหรอก เจ้าซูเฮ่าสู่รู้นัก!”
“ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องมีคนไปหาเขาอยู่ดี” มู่ชิงเฉินเอ่ย
หากไม่ใช่เขา ก็ต้องเป็นคนอื่นอยู่ดี
“ก็จริง” มู่ชวนพยักหน้า “แต่จะว่าไปแล้ว มาทำงานอยู่กับตระกูลมู่ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ ตระกูลมู่ของพวกเราให้ความสำคัญกับคนเก่งๆ จะตาย คนของเราเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันอยู่แล้ว เป็นอย่างที่ท่านปู่พูดไว้นั่นแหละ ถ้าเป็นไปได้จริงๆ ก็คงต้องฝากเรื่องนี้กับพี่สี่แล้วล่ะ พวกเจ้าสนิทกัน ข้าเชื่อว่าเขาฟังคำพูดของพี่สี่แน่นอน”
สนิทกันอย่างนั้นรึ
อันที่จริงพวกเขา… ห่างกันตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ
…
ณ ตำหนักกั๋วซือ
ซ่างกวานเยี่ยนฟื้นตัวแล้ว แต่ยังมีผ้าพันแผลพันไว้รอบตัวจึงไม่สามารถขยับร่างกายได้เหมือนปกติ
กู้เจียวต่อสายน้ำเกลือให้นาง
กู้เจียวได้ทำการแทงเข็มทางหลอดเลือดดำส่วนปลายที่ข้อมือของนางแล้ว พอมาวันนี้ที่ต้องต่อท่อน้ำเกลือจึงไม่รู้สึกเจ็บแล้ว
ซ่างกวานเยี่ยนมองดูถุงน้ำเหลือด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ที่อยู่ในนี้มันคือน้ำรึ นี่เจ้ากำลังอัดฉีดน้ำใสข้ารึ ตอนข้าอยู่ชนบท ข้าเคยเห็นคนเขาทำแบบนี้กับหมู จากนั้นก็ฆ่าหมูตัวนั้นแล้วเอาไปขายตลาด”
กู้เจียว “…”
“เวลาฉีดสารใส่หมูเขาไม่ได้ทำแบบนั้นสักหน่อยเจ้าค่ะ” กู้เจียวเอ่ย
ลูกศิษย์ของกั๋วซือที่กำลังทำความสะอาดห้องอยู่ดันได้ยินเข้าพอดี “…”
การผ่าตัดของซ่างกวานเยี่ยนเป็นไปด้วยดี หากไม่ติดว่าเนื้อตัวของนางยังมีรอยแผลอยู่ก็คงให้นางลุกเดินในชุดเกราะได้แล้ว
จางเต๋อฉวนเข้ามาดูอาการนาง พร้อมกับเล่าเรื่องที่จับกุมคนร้ายตัวจริงได้ รวมถึงข่าวที่หวั่นเฟยถูกขังในตำหนักเย็น
เหล่านี้คือบทเรียนที่ซ่างกวานเยี่ยนได้รับ
เซียวเหิงมุ่งหน้าไปยังห้องสมุด
ในฐานะหลานของฮ่องเต้ นอกจากบริเวณชั้นสามแล้ว เขาสามารถเปิดหนังสือที่บริเวณชั้นอื่นๆ ได้อย่างอิสระ
หลังจากที่เดินวนไปรอบนึง เขาก็เดินเข้าไปถามลูกศิษย์กั๋วซือที่เฝ้าอยู่หน้าประตู “ข้าขอถามได้ไหมว่าพระราชสาส์นตราตั้งของแคว้นเยี่ยนอยู่ที่ไหน”
ลูกศิษย์ตอบ “ทูลพระราชนัดดา อยู่ที่ชั้นสามขอรับ”
เซียวเหิงถามต่อ “นอกจากกั๋วซือกับฝ่าบาทแล้ว ยังมีใครที่สามารถเข้าไปได้อีกหรือไม่”
“ยังมีศิษย์พี่ที่เฝ้ายามอีกสองคนที่เข้าไปได้ขอรับ” ลูกศิษย์ตอบ
“แล้วนอกจากพวกเขาล่ะ”
“ไม่มีแล้วขอรับ” ลูกศิษย์เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจเอ่ยต่อ “หากได้รับอนุญาตจากท่านกั๋วซือก็สามารถเข้าไปได้ขอรับ แอบเข้าไปเองมิได้ขอรับ”
เซียวเหิง “ถ้าแอบเข้าไปจะเกิดอะไรขึ้น”
ลูกศิษย์ “รอบ ๆ ห้องสมุดจะมีทหารพลีชีพแปดนายซ่อนตัวอยู่ หากมีคนแอบเข้าไป พวกเขาก็จะจัดการกับคนผู้นั้นขอรับ”
เซียวเหิง “มีคนเคยบุกเขาไปหรือไม่”
ลูกศิษย์ “มีขอรับ จะว่าไปก็ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ไม่มีใครรอดออกมาได้แม้แต่คนเดียวขอรับ”
ดูทรงแล้วคงจะไม่ใช่ทหารพลีชีพกระจอกๆ สินะ
ในเมื่อที่นั่นถูกคุ้มกันแน่นหนาขนาดนั้น คำถามก็คือ เสี่ยวจิ้งคงไปได้พระราชสาส์นตราตั้งมาได้อย่างไร
คงไม่ใช่ว่า กั๋วซือเป็นคนให้เขาหรอกนะ
……
“ตั้งใจเรียนล่ะ เดี๋ยวกลางวันมารับ” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยขณะพาเสี่ยวจิ้งคงไปส่งที่สำนักบัณฑิตหลิงโป
เสี่ยวจิ้งคงทำหน้าเคร่งขรึมพร้อมเอ่ยถาม “จะมารับข้าไปตำหนักกั๋วซือแล้วกินข้าวด้วยกันกับเจียวเจียวใช่ไหม”
เสี่ยวจิ้งคงถามคำถามนี้มาประมาณร้อยแปดสิบครั้งได้แล้ว เขาเริ่มถามตั้งแต่ตอนกลับมาที่หอพักหลิงหลงเมื่อคืน ตอนเข้าห้องน้ำกลางดึกก็ถาม ตอนกินข้าวเช้าก็ถาม ไม่เว้นแม้แต่ตอนกำลังเดินอยู่บนถนน
กู้เฉิงเฟิงไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงแบบเซียวเหิง และตอนนี้เขาใกล้จะเป็นบ้าแล้ว
“ก็ได้ ก็ได้ ก็ได้ ข้าจะพาเจ้าไป พอใจรึยัง!”
เด็กอะไร เลี้ยงยากชะมัด!
เสี่ยวจิ้งคงพองหน้าอกเล็กๆ ของเขาอย่างภาคภูมิใจ แน่นอนว่าเขาสามารถรับมือกับใครก็ได้ ยกเว้นพี่เขยตัวแสบ!
เขาถือกระเป๋าหนังสือแล้วเดินเข้าไปในสำนักบัณฑิตด้วยความพึงพอใจ!
พอมาถึงห้อง ก็นั่งลงบนที่ประจำ
ผลสอบเมื่อวานถูกประกาศในชั้นเรียน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครได้ที่หนึ่ง แน่นอนว่าเป็นเสี่ยวจิ้งคง
ทว่าคนที่ได้ที่โหล่กลับเป็นเยี่ยนเสวี่ย
องค์หญิงน้อยทำข้อสอบโดยการวาดรูปเต่าลงในกระดาษคำตอบแทน แถมยังวาดได้เหมือนจริงเสียด้วย
เสี่ยวจิ้งคงนั่งอยู่พักนึง ก็เห็นว่าเพื่อนร่วมโต๊ะของเขายังไม่มาเสียที
เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจลุกออกไปจากห้องเรียน
แล้วมาที่ประตูหลังของสำนักบัณฑิต
ทุกวัน รถขององค์หญิงน้อยจะต้องวิ่งผ่านตรงนี้ เข้าตรอกซอย แล้วส่งองค์หญิงลงที่ประตูหน้า
เสี่ยวจิ้งคงมองว่าเป็นอะไรที่เสียเวลามาก ส่งที่ประตูหลังแต่แรกก็จบ จะอ้อมทำไม
ฮ่องเต้ต้องเข้าท้องพระโรง จึงไม่มีเวลามาส่งองค์หญิงน้อย และให้ทหารองครักษ์มาส่งแทน
วันนี้ก็เช่นกัน
“ถังหูลู่ ถังหูลู่อร่อยๆ มาแล้ว”
องค์หญิงน้อยได้ยินเสียงเร่ขายถังหูลู่ก็เริ่มน้ำลายสอ
“ข้าอยากกินถังหูลู่” องค์หญิงเอ่ยกับนางข้าหลวงที่อยู่ข้างๆ ดวงตาของนางเบิกกว้างและน่ารัก น้ำเสียงแหลมเล็กที่ไม่ใช่น้ำเสียงเจ้ากี้เจ้าการ แต่เป็นไปในทางที่ทำให้ใจอ่อนเสียมากกว่า
นางข้าหลวงหัวเราะ “องค์หญิงรออยู่นี่นะเพคะ”
จากนั้นนางหยุดรถม้าและตะโกนบอกคนขายที่อยู่ตรงหน้า “ข้าขอซื้อถังหูลู่หน่อย”
คนขายได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยท่าทียิ้มแย้ม “ฮูหยินท่านนี้ต้องการกี่ไม้ขอรับ อยากได้แบบไหน มีทั้งเซียงจา ฮวยซัว ส้ม แตงโมขอรับ!”
นางข้าหลวงหัวเราะ “ข้าไม่ใช่ฮูหยิน เจ้านายของข้าอยากกินน่ะ”
จากนั้นนางหันมาทางองค์หญิงน้อย “องค์หญิงเลือกเลยเพคะ”
องค์หญิงน้อยมองถังหูลู่ทุกไม้จนตาลุกวาว อันนี้ก็น่ากิน อันนั้นก็น่ากิน น่ากินหมดทุกไม้เลย
ในตอนนั้นเองที่เสี่ยวจิ้งคงเห็นองค์หญิงแล้ว จึงพยายามโบกมือให้
แต่อีกฝ่ายกลับมองไม่เห็นเขา
เสี่ยวจิ้งคงจึงรีบวิ่งออกไป
ทหารยามที่เฝ้าประตูอยู่แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเด็กออกมา
“ข้าเอาหมดนี่เลย…” องค์หญิงเอ่ย
และในตอนนั้นเอง ดวงตาของพ่อค้าหาบเร่ก็เปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว
เขาคว้าคอเสื้อองค์หญิงน้อยแล้วลากนางออกนอกหน้าต่างรถ!
“องค์หญิง! มีคนลอบทำร้าย!” นางข้าหลวงตะโกนร้อง
องครักษ์ชักดาบขึ้น
ทว่าพ่อค้านักฆ่าโยนถังหู่ลู่ไปทางองครักษ์ ก่อนจะอุ้มองค์หญิงตัวน้อยแล้วกระโดดลอยตัวขึ้นไป!
“งั่ม!”
ทันใดนั้น เสี่ยวจิ้งคงกระโดดไปข้างหน้าและงับต้นขาของเขาด้วยฟันเล็กๆ อันแหลมคมดั่งเหล็กกล้า!