บทที่ 733 สองพี่น้องเค้นคำสารภาพ
เด็กน้อยทั้งสองร้องเพลงไม่หยุด ห้อมล้อมไปด้วยเหล่าศิษย์ตำหนักกั๋วซือ
ฮ่องเต้พลันรู้สึกสับสน
ไหนบอกว่าร้องไห้ฟูมฟายอยู่มิใช่หรือ ไหนบอกว่าฟ้ามืดแล้วต้องมาฝ่าบาทเสด็จลุง
เด็กคนนี้คงลืมไปแล้วสินะว่าตัวเองต้องมาหาเสด็จลุงอย่างเขา
หากไม่ขัดจังหวะนาง นางคงร้องเพลงไปเรื่อยๆ ถึงวันพรุ่งนี้เลยกระมัง
ฮ่องเต้ส่งเสียงฮึดฮัด “หึ ไม่เคยเห็นเจ้าเล่นสนุกขนาดนี้มาก่อนเลย!”
ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว ยังมาเล่นสนุกอยู่อีก
จางเต๋อเฉียนหัวเราะพลางเอ่ย “องค์หญิงน้อยได้เจอเพื่อนเล่นรุ่นราวคราวเดียวกันเสียที”
ฮ่องเต้หัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนไม่มีเพื่อนเล่นหรือ”
จางเต๋อเฉียนหัวเราะตอบ “จะเหมือนกันได้อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
เพื่อนเล่นคนก่อนๆ ล้วนแต่เป็นท่านชายหรือคุณหนูที่อารมณ์ดีและอ่อนโยนที่เหล่าตระกูลชั้นสูงส่งตัวมาโดยเฉพาะ แถมที่บ้านยังสอนกฎเกณฑ์มารยาทมาอย่างดู รู้ว่าซ่างกวนเสวี่ยเป็นองค์หญิงในราชสำนัก จึงห้ามทำให้นางขุ่นค้องหมองใจเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นหากฮ่องเต้สั่งลงโทษขึ้นมา ทั้งพ่อและแม่จะพานเดือดร้อนไปด้วย
ใครที่ไหนจะเล่นสนุกตามใจตัวเองได้เล่า
พวกเขาระมัดระวังตัวกันมาก องค์หญิงน้อยก็เล่นสนุกไม่เต็มที
เสี่ยวจิ้งคงไม่รู้ถานันดรขององค์หญิงน้อย เห็นนางเป็นเพียงเด็กธรรมดาคนหนึ่ง จึงเล่นกับนางอย่างไร้กังวล
ความจริงแล้วต่อให้เสี่ยวจิ้งคงรู้แต่ก็คงไม่เก็บมาใส่ใจ เพราะยามอยู่ที่แคว้นเจา เขาเคยเป็นเพื่อนกับองค์ชายฉินฉู่อวี้มาก่อน และฮ่องเต้แคว้นเจาก็ไม่เคยเอาฐานะมาเรียกร้องอะไรกับเขา เสี่ยวจิ้งคงจึงชินกับการใช้ชีวิตแบบไม่คำนึงถึงฐานะไปเสียแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นกู้เจียวยังสอนเขาที่บ้านว่าต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ไม่ควรเอาสายตาที่มีอคติไปมองผู้อื่น
ฮ่องเต้ยืนอยู่ตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจน
หากเด็กน้อยเห็นตัวเองย่อมวิ่งเข้ามาหาแน่นอน
ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้น
องค์หญิงน้อยกำลังสนุกกับการร้องเพลง ไม่ได้สนใจฮ่องเต้เลยสักนิด
นี่เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ถูกเด็กน้อยเมินเฉยอย่างไร้เยื่อใย
ตอนนั้นเองที่เสี่ยวจิ้งคงเห็นกู้เจียว เสียงเพลงที่อยู่สมองก็หยุดลงทันที
เซียวเหิงรับเสี่ยวจิ้งคงมาเมื่อครู่และได้กำชับเสี่ยวจิ้งคงเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน เสี่ยวจิ้งคงจึงรู้ว่าพี่เขยนิสัยไม่ดีได้เปลี่ยนตัวตนอีกครั้ง
เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่นิดทั้ง ทั้งยังยอมรับได้อย่างรวดเร็ว
รู้ดีว่าต้องควบคุมตัวเองไม่ให้ใกล้ชิดกับเจียวเจียวต่อหน้าคนอื่น
“จิ้งคง ทำไมเจ้าไม่ร้องเพลงแล้วเล่า” องค์หญิงน้อยก็หยุดลงเช่นกัน
จิ้งคงขานตอบเบาๆ ยกมือชี้ไปที่ท้องฟ้าเหนือศีรษะ “ดูสิ ดวงจันทร์ออกมาแล้ว ควรกลับบ้านได้แล้ว”
องค์หญิงน้อยเงยหน้าขึ้นมองแล้วพยักหน้าตาม “เช่นนั้นมาร้องเพลงกันต่อพรุ่งนี้นะ!”
ว่าจบองค์หญิงน้อยก็กระโดดลงจากขั้นบันได วิ่งไปหาฮ่องเต้อย่างรวดเร็วราวกับนกนางแอ่น
ใบหน้าของฮ่องเต้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขากางแขนออกเล็กน้อย รอรับเด็กน้อย
แต่ทว่าเด็กน้อยกลับผ่านเขาไปเสียอย่างนั้น
“อาจารย์!”
องค์หญิงน้อยมาถึงหน้ากู้เจียว นางโค้งคำนับอย่านอบน้อมยิ่งนัก
ฮ่องเต้กริ้วจนรอยย่นบนใบหน้ากระตุก “…”
…
องค์หญิงน้อยเป็นคนพาเสี่ยวจิ้งคงมาที่ตำหนักกั๋วซือ องค์หญิงน้อยกำลังจะกลับ แน่นอนว่าต้องพาเขากลับไปด้วย
เสี่ยวจิ้งคงโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้อง ไม่ต้อง พี่สาวข้าจะมารับข้าที่ตำหนักกั๋วซือเอง”
“เช่นนั้นก็ได้ คิดว่าจะได้กลับบ้านด้วยกันเสียอีก เช่นนั้นไปก่อนนะ! เจอกัน!”
“เจอกัน!”
สองเด็กน้อยบอกลากัน
องค์หญิงน้อยใช้เวลาอย่างสนุกสนานและอิ่มเอมใจทั้งวัน ระหว่างเดินทางกลับนางรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
นางลืมไปหมดแล้วว่ามาตำหนักกั๋วซือทำไม
เมื่อฮ่องเต้ที่พระพักตร์ดำคล้ำกำลังจะเอ่ยเตือนนาง นางก็นอนหงายลง นอนแผ่บนเตียงนุ่มก่อนจะหลับไป
เล่นทั้งมาทั้งวัน ไม่นอนหลับกลางวันด้วย เป็นเด็กช่างเหนื่อยจริงๆ
ฮ่องเต้ “…”
อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวจิ้งคงใช้เวลาอยู่ในห้องโถงกับกู้เจียวสักพัก ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับบ้านแล้ว
จิ้งคงกอดอก ฮึดฮัดใส่เซียวเหิง “แต่ตอนนี้เจ้ากลับไปที่สำนักบัณฑิตได้หรือ ไม่อย่างนั้นก็ลาเรียนให้ข้าสิ ข้าจะได้อยู่ที่นี่เหมือนกัน”
แบบนี้เขาก็จะได้อยู่กับเจียวเจียวทุกวันแล้ว ฮ่าๆ !
เขานี่ฉลาดจริงๆ !
เด็กน้อยดีใจจนเนื้อเต้น
เซียวเหิงที่ปลอมตัวอยู่ แน่นอนว่าไม่สามารถกลับไปที่สำนักบัณฑิตได้อีกต่อไป มิเช่นนั้นการที่เขาหายไปทั้งวันกลางวันแสกๆ จะน่าสงสัยเกินไป
แน่นอนว่าเซียวเหิงสามารถเลือกที่จะขอลาหยุดให้ตัวเองและเสี่ยวจิ้งคงได้สักสองสามวัน แต่เซียวเหิงไม่ได้ทำอย่างนั้น
“เป็นเด็กเรียนหนังสือจะลาหยุดพร่ำเพื่อไม่ได้” เซียวเหิงเอ่ยพลางหยิบชุดเครื่องแบบของสำนักบัณฑิตสตรีชังหลันที่เขานำมาจากหอหลิงหลงตอนไปรับเสี่ยวจิ้งคงออกมาจากกระเป๋า
เขาถือชุดเครื่องมาวางตรงหน้ากู้เฉิงเฟิง
กู้เฉิงเฟิงตื่นตระหนกหัวใจเต้นโครมคราม “ทำอะไรน่ะ”
เซียวเหิงชี้ไปที่เสี่ยวจิ้งคง “เจ้ามารับบทเป็นพี่สาวของเขา”
กู้เฉิงเฟิงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า เหตุใดต้องเป็นข้า!
กู้เฉิงเฟิงปฏิเสธ “ข้า… ข้ากับเจ้ารูปร่างไม่เหมือนกัน ข้าตัวเตี้ยกว่าเจ้า”
เซียวเหิงพยักหน้าเบาๆ แล้วหันหลังกลับอย่างใจเย็น หยิบรองเท้าส้นสูงออกมาจากกระเป๋า
กู้เฉิงเฟิง “…”
…กู้เฉิงเฟิงเริ่มต้นชีวิตอันแสนลำบาก ต้องเรียนหนังสือตอนกลางวันและร้องเพลงหาเงินตอนกลางคืน
….
หลังจากที่หวังซวี่ออกจากตำหนักกั๋วซือก็รีบมุ่งหน้าไปยังวังหลวง เขาได้รับคำสั่งให้สืบสวนคดีนี้ และได้รับอนุญาตให้สั่งการขันทีในวังหลวง
เขาเริ่มจากการสอบสวนขันทีทั้งสิบสองสำนักขันทีทุกคนที่สวมเสื้อผ้าชนิดนั้นจะต้องเข้ารับการสอบสวนจากจวนแม่ทัพ
เขานั่งในโถงใหญ่ของจวนแม่ทัพ ขันทีใหญ่จากสิบสองสำนักยืนเรียงรายอยู่ตรงกลางห้องโถง
จากทำให้การ ขันทีใหญ่ทั้งสิบสองคนนี้บอกว่าพวกเขาไม่มีวรยุทธ์ แต่จริงอย่างที่ว่าหรือไม่นั้น พวกเขามิใช่คนที่จะตัดสิน
หวังซวี่ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง
คนที่มีวรยุทธ์สูงย่อมต้องมีพลังปราณที่ดีเยี่ยม การทดสอบว่าคนคนนั้นมีพลังปราณหรือไม่นั้นมีอยู่สองวิธี วิธีแรกคือดูท่าทางการต่อสู้ของเขา วิธีที่สองคือส่งพลังปราณของตัวเองเข้าไปในชีพจรของอีกฝ่ายโดยตรง
วิธีที่สองในการทดสอบพลังปราณจะทำให้คนที่ถูกทดสอบรู้สึกเจ็บปวดในระดับหนึ่ง ยิ่งมีวรยุทธ์น้อยก็ยิ่งเจ็บปวดมาก
ตอนนี้เขาต้องทำเพื่อสืบคดี จึงไม่สนใจว่าใครจะเจ็บปวดเช่นไร
เขามองไปที่ทุกคนอย่างแน่วแน่ “ขออภัยด้วยขอนรับ ท่านใต้เท้าทั้งหลาย”
เขาเริ่มจากการสอบสวนขันทีใหญ่ของสำนักพิธีการ เขาจับข้อมือของขันทีใหญ่เอาไว้แล้วส่งพลังปราณเข้าไป ไม่นานก็พบว่าหน้าผากของอีกฝ่ายเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา
มือมีรอยหยาบกร้าน แสดงว่าฝึกวรยุทธ์มาบ้าง แต่พลังปราณยังไม่ลึกซึ้งพอ ไม่ใช่มือสังหารที่ลอบทำร้ายซ่างกวานเยี่ยน
จากนั้น เขาก็ทดลองกับขันทีใหญ่ของสำนักตำหนักใน สำนักโอสถ และสำนักอื่นๆ อีกเจ็ดคน ทว่าพวกเขาไม่มีพลังปราณเลย
ที่น่าประหลาดใจก็คือ ขันทีใหญ่จากสำนักพิธีบวงสรวง สำนักตำหนักกลาง สำนักราชองครักษ์ และสำนักขบวนยาตราทั้งสี่คนล้วนแต่เป็นยอดฝีมือ
นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เพราะคนที่สามารถไต่เต้าขึ้นมาถึงตำแหน่งนี้ในวังหลวงได้ ย่อมต้องซ่อนความสามารถไว้บ้าง
หวังซวี่เข้าใจกลไกอำนาจเป็นอย่างดี จึงไม่ตำหนิขันทีทั้งสี่ที่ปกปิด แต่อย่างไรก็ตาม ฮ่องเต้ต้องการให้เขาสืบหาตัวคนร้าย ซึ่งทั้งสี่คนก็มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ต้องสงสัย
แต่เมื่อเขาตรวจสอบเส้นทางการเดินของทั้งสี่คนแล้ว ก็พบว่าทั้งสี่คนมีหลักฐานการไม่ได้อยู่ที่เกิดเหตุในคืนนั้น
และเสื้อผ้าของพวกเขาก็ไม่มีร่องรอยความเสียหายใดๆ ที่น่าสงสัย
เสื้อผ้าที่เสียหายสามารถซ่อมแซมได้ ช่างฝีมือดีสามารถซ่อมแซมได้อย่างแนบเนียน
หวังซวี่สั่งให้ลูกน้องของเขา “เอากล่องแมงป่องมา
“ขอรับ” ลูกน้องลงไปในห้องเก็บของแล้วกลับมาพร้อมกล่องเหล็กใบหนึ่ง
หวังซวี่เอ่ยกับขันทีใหญ่ทั้งสี่คน “นี่คือแมงป่องหางฟ้า พิษร้ายแรงมาก กัดเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้หน่วยกล้าตายเสียชีวิตได้ ไม่มียาแก้พิษ”
เขาเอ่ยจบแล้วเปิดผ้าเช็ดหน้าออก เผยให้เห็นเส้นหม่อนไหม “นี่คือหลักฐานที่มือสังหารทิ้งไว้ที่เกิดเหตุ ตอนนี้ข้าจะใส่มันเข้าไปในกล่องแมงป่อง แมงป่องพิษที่อยู่ในกล่องจะจดจำกลิ่นของมันไว้สักครู่ แล้วขอรบกวนทั้งสี่ท่านยื่นมือเข้าไป สี่ท่านโปรดวางใจ พวกมันล้วนเป็นแมงป่องพิษที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี จะไม่กัดสิ่งที่ไม่มีกลิ่นเดียวกับหลักฐาน”
ขันทีใหญ่ทั้งสี่คนต่างก็ลังเล
หวังซวี่ยิ้มบางแล้วโยนเส้นใยเกสรเข้าไป แล้วยื่นมือเข้าไปในกล่องเหล็กก่อน
ครู่ต่อมา หวังซวี่ก็ดึงมือออกมา ปรากฎว่าไม่มีรอยกัดแม้แต่น้อย
ทุกคนต่างก็โล่งอก
“ข้าขอเป็นคนแรก” ขันทีใหญ่ของสำนักพิธีบวงสรวงเอ่ยขึ้น
หวังซวี่ส่งสายตาให้ลูกน้อง
ลูกน้องถือกล่องเหล็กมาให้เขา
ขันทีใหญ่ของสำนักพิธีบวงสรวงสอดมือเขาไปในรูบนฝากล่อง
“เรียบร้อยแล้ว” หวังซวี่เอ่ย
ขันทีใหญ่ของสำนักพิธีบวงสรวงโล่งอก
จากนั้น ขันทีใหญ่ของสำนักขบวนยาตราและสำนักราชองครักษ์ก็ยื่นมือเข้าไปในกล่องแมงป่องทีละคน
ทั้งสองคนปลอดภัยดี
ถึงคราวของขันทีใหญ่จากสำนักตำหนักกลางแล้ว สายตาของเขาเผยให้เห็นความลังเล เขาเกร็งท่อนแขนนิ่ง ไม่ยอมสอดมือเข้าไป
หวังซวี่ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “เขานี่เอง! จับตัวไว้!”
กล่องแมงป่องที่หวังซวี่ใช้ทดสอบนั้น แท้จริงแล้วมีพิษร้ายแรงน้อยกว่าที่คิด ทั้งยังไม่ได้มีแมงป่องหางฟ้าที่พิษร้ายแรงที่สุดอยู่ภายใน แต่เป็นเพียงแมงป่องพิษธรรมดาเท่านั้น นอกจากนี้ กล่องแมงป่องยังมีชั้นตาข่ายเหล็กปิดอยู่ด้านบนอีกด้วย
ดังนั้น แม้มือสังหารจะยื่นมือเข้าไปในกล่องแมงป่องจริงๆ ก็คงไม่ถูกกัด
นี่คือการโจมตีทางจิตวิทยาที่หวังซวี่นำมาใช้ และเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
เหล่าทหารองครักษ์จากจวนแม่ทัพทั้งสามคนก็ล้อมเข้าจับกุมขันทีใหญ่สำนักตำหนักกลางในทันที
ทว่าวิชาตัวเบาของคนผู้นี้นั้นเหนือชั้นยิ่งนัก เพียงกระโดดครั้งเดียวก็ทะยานตัวออกไปจากห้องโถง
หวังซวี่ตะโกนสั่ง “ตามจับตัวมาให้ได้!”
เหล่าองครักษ์จวนแม่ทัพไล่ตามทันที
แต่พวกเขาก็ไม่สามารถตามทันได้
เพียงชั่วพริบตา มือสังหารก็หลบหนีออกจากวังหลวงไปได้แล้ว
หวังซวี่โกรธจนกัดฟันเอ่ย “แยกทหารเป็นสามกลุ่ม! พวกเจ้าสองกลุ่มไปซุ่มดักรอจากสองถนนด้านหน้าและด้านหลัง อีกกลุ่มที่เหลือตามข้ามา!”
หวังซวี่อาศัยความคุ้นเคยกับเมือง หนึ่งชั่วยามต่อมาก็สามารถปิดล้อมอีกฝ่ายไว้ในตรอกตันได้สำเร็จ
หวังซวี่เอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าขอเตือนเจ้าให้ยอมจำนนเสีย อย่าต่อสู้ เจ้ารู้ดีถึงวิธีการของฮ่องเต้ ความตายก็ไม่น่ากลัวเท่ากับที่เจ้ารอดชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมาน!”
สายตาของขันทีใหญ่จากสำนักตำหนักกลางเริ่มดุดัน เขาพุ่งเข้าโจมตีทำร้ายทหารองครักษ์ของจวนแม่ทัพคนหนึ่ง ชิงกระบี่ของอีกฝ่ายมา แล้วเริ่มปะทะกับหวังซวี่และคนอื่นๆ
หวังซวี่เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองประเมินกำลังของอีกฝ่ายต่ำไป พวกเขาสิบกว่าคนต้านอีกฝ่ายไม่ได้เลย
หวังซวี่เข้าต่อสู้ด้วยตัวเอง แต่น่าเสียดายที่แพ้ในสิบกระบวนท่า
ช่างเป็นคู่ต่อสู่ที่แข็งแกร่งนัก!
สำนักตำหนักกลางมียอดฝีมือแบบนี้อยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่
หวังซวี่ใช้กระบี่ป้องกันการโจมตีของอีกฝ่าย กัดฟันเอ่ย “เจ้าเป็นใคร ใครส่งเจ้ามาลอบทำร้ายองค์หญิง!”
อีกฝ่ายไม่สนใจคำพูดชของหวังซวี่ ฟันกระบี่ไปที่แขนของหวังซวี่จนบาดเจ็บ
หวังซวี่ล้มลงกับพื้น เลือดสาดกระเซ็น
อีกฝ่ายชูกระบี่ขึ้นสูง แทงลงกลางหัวใจของหวังซวี่อย่างแรง!
ถึงตายก็ต้องลากคนผิดรับบาปให้ได้
หวังซวี่รู้แล้วว่าตัวเองหนีไม่พ้น เขาปิดตาลงโดยไม่รู้ตัว
กระบี่นั่นมิได้แทงทะลุลงมา ทว่ามีกระบี่อันทรงพลังและคมกริบอีกเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างฉับพลันราวกับสายฟ้า กระแทกอีกฝ่ายจนกระเด็นชนกำแพงด้านหลัง
หวังซวี่ลืมตาขึ้น หันไปมองก็เห็นชายหนุ่มในชุดสีดำถือกระบี่ยืนอยู่ปากทางเข้าตรอกภายใต้แสงจันทร์
นั่นมิใช่ยอดฝีมือข้างกายของพระนัดดาที่ฟาดเขาด้วยไม้นวดแป้งจนสลบไปหรอกหรือ
เขามาที่นี่ได้อย่างไร เพียงแค่กระบวนเดียวก็เจ้าตัวปัญหานั่นกระเด็นไปไกลแล้ว
ขันทีใหญ่จากสำนักตำหนักกลางบาดเจ็บที่หน้าอก เลือดไหลออกจากมุมปาก เขาทิ้งกระบี่ของเขาไว้ที่พื้นอย่างไม่ใบดี
เขาเห็นได้ชัดว่าสู้กับกู้ฉังชิงไม่ไหว จึงตัดสินใจหนีไป
เขากระโดดขึ้นหลังคาด้วยปลายเท้า เขาปีนกำแพงไปตามหลังคาและค่อยๆ หายไปในยามค่ำคืน
หวังซวี่ตกตะลึงพลางเอ่ย “เขาคือคนร้าย เจ้ารีบตามไปจับเขาเถอะ!”
กู้ฉังชิงเอ่ยเสียงเรียบ “เขาเป็นคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจคนหนึ่ง หากจับเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้จะไม่น่าเสียดายหรือ”
หวังซวี่มึนงงไปหมด เหตุใดข้าถึงไม่เข้าใจที่เจ้าพูด
ขันทีใหญ่จากสำนักตำหนักกลางหนีไปสักพักก็พบว่ากู้ฉังชิงไม่ได้ตามเขามา เขายิ้มเยอะพลางเอ่ย “เหอะ ต่อให้เก่งกาจกว่านี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร สุดท้ายข้าก็หนีออกมาได้อยู่”
พอเอ่ยจบ กระบองไม้ท่อนหนึ่งก็พุ่งเข้าหาเขา ก่อนจะเหวี่ยงร่างของเขาตกลงจากหลังคา!
“บัดซบ…”
เขาสถบด้วยความเจ็บปวด ล้มหน้าคะมำลงกับพื้น
กู้เจียวกระโดดลงมาจากหลังคา ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เคาะไม้นวดแป้งในมืออย่างสบายอารมณ์พลางเอ่ยถามเขา “ลองกันสักตั้งไหมล่ะ สหาย”
ขันทีใหญ่จากสำนักตำหนักกลาง “…”
…
หลังจากผ่านราวสิบหน้านาที เมื่อหวังซวี่มาถึงที่เกิดเหตุพร้อมกับแขนที่บาดเจ็บ ขันทีใหญ่จากสำนักตำหนักกลางก็ถูกทุบตีจนนิ้วมือกระดิกไม่ได้
เขามองไปที่หวังซวี่ด้วยสายตาที่ตื่นเต้นราวกับเห็นแสงดาวที่จะช่วยให้เขามีชีวิตรอด
กู้เจียวยืนอยู่ข้างกันอย่างอารมณ์ดี
กู้ฉังชิงเดินเข้าไปใกล้พลางกระซิบถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”
กู้เจียวตอบ “พอไหว ยังไม่ได้เอาจริงสักเท่าไหร่”
กู้ฉังชิงเอ่ยอย่างจริงจัง “คราวหน้าข้าจะระวังหน่อย จะไม่ให้เจ้าต้องเปลืองแรง”
หวังซวี่ทำหน้างงงวย พวกเจ้ากำลังเอ่ยอะไรกันอยู่กันแน่ ประเด็นหลักไม่ใช่คดีหรอกหรือ อะไรที่เจ้าระวังหน่อย พวกเจ้าคราวหน้าจะทำอะไรอีก!
กู้เจียวไม่ได้ฆ่าเขา แต่แค่ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส เพื่อให้สามารถสอบสวนอีกฝ่ายได้
เพียงแต่เจ้าหมอนี่กระดูกแข็งเหลือเกิน
เขายิ้มอย่างเหยียดหยาม “ข้า…ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่มีคน….สั่งข้า พวกเจ้า…ยอมแพ้เสียเถอะ… ข้าไม่รู้…อะไรเลย”
“จริงหรือ”
กู้เจียวมองขันทีใหญ่จากสำนักตำหนักกลางหัวจรดเท้า หยิบเข็มอาบยาหลอนประสาทออกมาจากกระเป๋าปฐมพยาบาลก่อนจะแทงเข็มลงไป!