บทที่ 730 รุมรัก
เมื่อกู้เฉิงเฟิงพบว่าตนตามหวังซวี่ไม่ทัน จึงใช้กำลังทั้งหมดวิ่งไปยังตำหนักกั๋วซือ
เขาใช้วิชาตัวเบาขั้นสูงสุด ทว่าลมพัดแรงนักจนเขาแทบจะลืมตาไม่ไหว
แม้กระนั้นเขาก็ยังตามหวังซวี่ไม่ทัน เหตุผลเป็นเพราะที่นี่คือเมืองเซิ่งตู เขตเมืองชั้นใน ถิ่นของหวังซวี่
กู้เฉิงเฟิงมักอยู่ที่โรงละครเทียนเซียงซึ่งตั้งอยู่ในเมืองชั้นนอกที่ห่างไกลออกไป ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าไปในเมืองบ้าง แต่เขาก็แค่ไปเยี่ยมเซียวเหิงและเสี่ยวจิ้งคงเท่านั้น เขาไม่คุ้นเคยกับตัวเมืองมากนัก เทียบไม่ได้กับหวังซวี่ที่รู้จักเส้นทางลัด
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้เพื่อปกปิดตัวจากการแอบฟังหวังซวี่อยู่ข้างกำแพง กู้เฉิงเฟิงได้เปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงผู้หญิง ทำให้เขาลำบากยิ่งกว่าเดิม
สองมือของเขายกชายกระโปรงขึ้น แยกขาออกกว้าง ก่อนจะสับเท้ารัวไปข้างหน้า
ผู้คนบนถนนต่างมองเขาอย่างงงงวย ตกใจจนอ้าปากค้าง
ในที่สุดกู้เฉิงเฟิงก็มาถึงตำหนักกั๋วซือ เขาไม่สามารถเข้าไปอย่างเปิดเผยได้ ทำได้เพียงปีนกำแพงเข้าไป
แต่เพราะวิ่งมาตลอดทาง ทำเอาเขาเหนื่อยหอบแทบขาดใจ
“ข้าแค่จะ… ข้าแค่… แฮ่ก… แฮ่ก… อีกสองสามที…”
แม่เจ้าโว้ย
นี่มันเรื่องอะไรกัน
เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!
กู้เฉิงเฟิงโกยลมเข้าปอดได้พอประมาณ ก่อนจะอ้อมไปยังกำแพงด้านข้างของตำหนักกั๋วซือแล้วกระโดดขึ้น…
ยังอยู่ที่เดิม
กระโดดขึ้นอีกครั้ง
ก็ยังอยู่ที่เดิม
…หมดแรงแล้วจริงๆ
กู้เฉิงเฟิงจำต้องใช้วิธีดั้งเดิมที่สุดคือการปีนกำแพง
เขาปีนกำแพงอย่างเหนื่อยหอบ จากนั้นก็ตกลงมาจากกำแพงสูงเสียงดัง
นี่เป็นการทำภารกิจที่อเนจอนาถที่สุดก็ว่าได้
เมื่อกู้เฉิงเฟิงเดินเข้ามาในลานหน้าตำหนักฉีหลินพร้อมกับผมที่ยุ่งเหยิงและเสื้อผ้าที่หลวมโพรก ดูเหมือนกับเขาเพิ่งถูกคนรุมกระทืบมาอย่างไรอย่างนั้น
เขาเองก็ไม่รู้เรื่องนี้ เขามาถึงหน้าต่าง กำลังจะยกกระโปรงขึ้นแล้วปีนเข้าไป แต่กลับเห็นกู้ฉังชิงที่อยู่ภายในห้องเสียก่อน
กู้ฉังชิงนั่งอยู่ที่โต๊ะแปดเซียน ครึ่งหนึ่งของใบหน้าหันเข้าหาหน้าต่าง ใบหน้าที่งดงามราวกับหยกของเขามีแป้งเกาะอยู่ไม่น้อย บนโต๊ะวางก้อนแป้งและแป้งสาลี ทั้งยังมีวัตถุดิบอีกมากมาย เขากำลังใช้ไม้นวดแป้งนวดแป้งอย่างตั้งใจ
กู้เฉิงเฟิงมองอยู่หลายครั้งจึงจำได้ว่านี่คือพี่ใหญ่ของตนก่อนจะหยุดนิ่งไปทันที
เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
เกิดอะไรขึ้น
เหตุใดพี่ใหญ่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้
ถึงแม้จะรู้ว่าพี่ใหญ่มาแคว้นเยี่ยน แต่ไม่ได้มาเมืองเซิ่งตูนี่นา
ยิ่งกว่านั้น พี่ใหญ่ของเขาจะมานั่งนวดแป้งเงียบๆ ที่นี่ได้อย่างไร
แถมยังนวดแป้งได้…หน้าตาน่าเกลียดนัก เส้นบะหมี่เส้นเล็กเส้นใหญ่ไม่เท่ากัน ยาวบ้างสั้นบ้าง นี่มันไม่ใช่เส้นบะหมี่ แต่เป็นก้อนแป้งต่างหาก
เมื่อเทียบกับการปรากฏตัวของพี่ใหญ่แล้ว ภาพของพี่ใหญ่ที่กำลังนวดแป้งยังทำให้กู้เฉิงเฟิงประหลาดใจมากกว่า
นี่เป็นสิ่งที่พี่ใหญ่ของเขาไม่มีทางทำในชีวิตนี้ ให้พี่ใหญ่เขาจะไปเกิดเป็นผู้หญิงยังจะเป็นไปได้มากกว่า
ริมฝีปากของกู้เฉิงเฟิงกระตุกจนแทบจะบิดเบี้ยว เขาสงสัยว่าฝันไปหรืออย่างไร เขาจึงบีบขาตัวเองอย่างแรงแต่กลับเจ็บแทบจะยืนไม่ไหว
ไม่ใช่ความฝัน
นี่คือพี่ใหญ่จริงๆ
พี่ใหญ่มาหาเขาแล้ว พี่ใหญ่ยังทำเส้นบะหมี่ให้เขากิน
กู้เฉิงเฟิงรู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหล เขามองพี่ใหญ่ที่กำลังนวดแป้งอย่างเงอะงะด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผูกพัน เขาเอ่ยเสียงทราบซึ้ง “พี่…”
ปัง!
ไม้นวดแป้งพุ่งเข้ามา…
กู้เฉิงเฟิงถูกไม้นวดแป้งฟาดเข้าที่หัวเต็มๆ จนหงายหลังล้มลงกับพื้น
ไม้นวดแป้งพุ่งกลับไปหากู้ฉังชิง
“บอกแล้วไม่ให้เสียงดัง” กู้ฉังชิงจับไม้นวดแป้งที่พุ่งกลับมาแล้วนวดแป้งต่อ
กู้เฉิงเฟิงมองท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆสีขาว ใช้เสียงที่เพียงตัวเขานั้นที่ได้ยินก่อนจะเอ่ยอย่างสิ้นหวัง “พี่ใหญ่ ข้าคือน้องชายของท่านนะ กู้เฉิงเฟิงนะ…”
เซียวเหิงเพิ่งถูกฮ่องเต้เรียกตัวไป เขารู้ว่ากู้ฉังชิงมาแล้ว และเพราะกู้ฉังชิงอยู่ที่นี่ เขาออกไปได้อย่างวางใจ
เมื่อเขากลับมาที่ห้องผู้ป่วย เขาพบว่ามีศิษย์ตำหนักกั๋วซือคนหนึ่งล้มลงอยู่หน้าประตู ขณะที่กำลังจะปิดหน้าต่าง ก็พบว่ามีหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งหมดสติอยู่ในลานบ้าน
“เหมือนจะเป็นกู้เฉิงเฟิง”
เซียวเหิงดูออกแล้ว
การเคลื่อนไหวของการนวดแป้งของกู้ฉังชิงหยุดลง
เซียวเหิงสงสัย “เอ๊ะ เหตุใดเจ้าถึงเป็นลมไปเล่า”
ร่างกายของกู้ฉังชิงพลันแข็งทื่อ “…”
…
กู้เฉิงเฟิงถูกกู้ฉังชิงอุ้มเข้าไปในห้อง
กู้ฉังชิงบีบที่จมูกของเขา
หากน้องสาวนอนหลับ ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามรบกวนทั้งนั้น
หากน้องชายนอนหลับ เขาจะบีบจมูกจนอีกคนตื่นขึ้นมา
กู้เฉิงเฟิงค่อยๆ ฟื้นคืนสติบนเก้าอี้ ในตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าใบหน้าของเขามีรอยไม้นูนขึ้นเป็นแนวตรง หน้าด้านซ้ายและด้านขวาแยกกันชัดเจน
เขาเหลือบเห็นพี่ใหญ่ของเขาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเหมือนภูเขา จมูกของเขาก็เริ่มเจ็บ
ช่างอนาถใจนัก เพิ่งเจอหน้ากันพี่ใหญ่ก็ตีเขาเสียแล้ว
กู้ฉังชิงมองเขาจากหัวจรดเท้าก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ช่วงนี้เจ้าไม่ฝึกฝนวรยุทธ์หรืออย่างไร เหตุใดแม้แต่กระบวนท่าเดียวก็ยังรับไม่ได้”
กู้เฉิงเฟิงอึ้งชะงักไปครู่หนึ่ง เงยหน้ามองใบหน้าที่เคร่งขรึมของพี่ใหญ่อย่างตั้งมั่น
ที่แท้พี่ใหญ่ไม่ได้จำเขาไม่ได้ หรือตั้งใจตีเขา แต่เป็นเพราะต้องการทดสอบวรยุทธ์ของเขา พี่ใหญ่ยังคงจดจำวรยุทธ์ของเขาไว้ในใจ
เขาเข้าใจพี่ใหญ่ผิดไปแล้ว!
“พี่ใหญ่!”
กู้ฉังชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ต่อไปทุกวันเช้าตื่นมาฝึกฝนวรยุทธ์ครึ่งชั่วยาม”
“รับทราบขอรับ! พี่ใหญ่!”
กู้ฉังชิงหันหลังกลับไป ถอนหายใจอย่างโล่งอก
…
กู้เจียวตื่นขึ้นมาตอนพลบค่ำ นางนอนหลับสบายนัก นางรู้สึกเหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
นางลุกขึ้นนั่ง ยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะสังเกตเห็นสามอย่าง
อย่างแรก กู้ฉังชิงมาแล้ว
อย่างที่สอง กลิ่นตลบอบอวลของแป้ง
อย่างที่สาม……
กู้เจียวมองกู้เฉิงเฟิงที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ กู้ฉังชิงอย่างแปลกใจ “เอ๊ะ เหตุใดหน้าตาเละเทะเช่นนั้น”
กู้เฉิงเฟิงส่ายมือชี้ไปที่ชายคนหนึ่งที่นอนอยู่ข้างๆ “คนนั้นต่างหากที่เละเทะ! ไม่ใช่ข้า!”
กู้เจียวมองตามนิ้วชี้ของกู้เฉิงเฟิงไป เห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นข้างกำแพง เขาถูกมัดมือมัดเท้าและหมดสติไปแล้ว
ดูจากรอบเขียวช้ำของจมูกและใบหน้า ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะอ่วมยิ่งกว่า
นี่เป็นเพราะหวังซวี่ร้องเสียงดังกว่า และกู้ฉังชิงลงมือหนักกว่า
“เขาเป็นใคร” กู้เจียวถาม
“หวังซวี่” เซียวเหิงตอบ
“เจ้ากินบะหมี่ก่อน ข้าจะค่อยๆ เล่าให้เจ้าฟัง” กู้ฉังชิงเอ่ยกับกู้เจียว
กู้เจียวพยักหน้า ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมานั่งข้างๆ กู้ฉังชิง
ใช้บะหมี่เป็นข้ออ้างให้น้องสาวนั่งข้างตัวเอง เรียกได้ว่าเป็นแผนชั้นดีเลยทีเดียว
กู้เจียวมองดูกู้ฉังชิงที่อยู่ข้างนาง แล้วมองดูเซียวเหิงและกู้เฉิงเฟิงที่อยู่ตรงข้าม “พวกเจ้าอยู่ที่นี่กันหมด จิ้งคงล่ะ”
ในเวลานี้ จิ้งคงน่าจะเลิกเรียนแล้ว
เซียวเหิงเอ่ย “รับมาแล้ว ไปเล่นกับองค์หญิงน้อยที่สวนดอกไม้”
แผนเดิมคือให้กู้เฉิงเฟิงไปคนไปรับแล้วส่งกลับไปที่ตรอกหยางหลิ่ว อาจารย์แม่หนานกับอาจารย์หลู่จะช่วยดูแล คิดว่าคงไม่เกิดอะไรขึ้น
แต่ทว่ากู้เฉิงเฟิงกลับถูกตีจนหน้าบวมเหมือนหมู เซียวเหิงจึงจำใจต้องเปลี่ยนแผน พาองค์หญิงน้อยไปรับเพื่อนตัวน้อยของนางมาเอง
“รีบกินเถอะ” กู้ฉังชิงเอ่ย “เดี๋ยวแป้งจะเหนียว”
กู้เจียวมองดูชามแป้งร้อนๆ ในมือ นางไม่ได้ถามว่ามันคือเส้นบะหมี่หรือแผ่นแป้ง เพียงแต่เอ่ยขึ้น “เพิ่งตื่นมาก็มีของให้กิน ดียิ่งนัก”
กู้เฉิงเฟิงและเซียวเหิงเรอออกมาพร้อมกัน
ใช่ เจ้าโชคดียิ่งนัก
พวกข้าและศิษย์ตำหนักกั๋วซือในครัวก็กินกันจนแทบจุกแล้ว
กู้ฉังชิงกำลังฝึกฝนฝีมือการทำอาหารอยู่ เขานวดแป้งไปเรื่อยๆ ต้มเส้นไปเรื่อยๆ ชามนี้เพิ่งต้มเสร็จ
โชคดีที่ฝีมือการทำอาหารของกู้ฉังชิงก็ยังเหนือกว่าเซียวลิ่วหลังอยู่บ้าง แม้ว่าหน้าตาจะดูไม่สวยเท่าไหร่ แต่รสชาติก็ถือว่าไม่ได้มืดมน
ตอนกลางวันกู้เจียวไม่ได้กินอะไรเลย ลงจากเตียงผ่าตัดก็หลับทันที ตอนนี้จึงหิวมากจริงๆ
กู้เจียวเอ่ย “เส้นบะหมี่อร่อยดีนะ”
กู้ฉังชิง… ข้าทำเป็นเส้น…เส้นบะหมี่หยางชุน
ตอนกู้ฉังชิงกำลังเฝ้ากู้เจียว นางละเมอเอ่ยว่าเส้นบะหมี่ ทว่าพ่อครัวของสำนักกั๋วซือก็ทำเส้นบะหมี่แคว้นเจาแบบดั้งเดิมไม่เป็น เขาจึงตัดสินใจทำอาหารให้น้องสาวด้วยตัวเอง
ระหว่างที่กู้เจียวกำลังกินบะหมี่ กู้เฉิงเฟิงก็เล่าเรื่องที่ตนเห็นหวังซวี่กับนายใหญ่หันให้กู้เจียวฟังอีกครั้ง “…เรื่องก็เป็นอย่างที่ว่า นอกจากฮองเฮาองค์ก่อน หวังซวี่คือคนเดียวที่สามารถชี้ตัวพระนัดดาองค์โตได้”
กู้เจียวดูดเส้นบะหมี่เข้าปาก “อืม แบบนี้นี่เอง”
พอเอ่ยจบ หวังซวี่ก็ตื่นแล้ว
เขาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองถูกมัด เขามองคนในห้องด้วยสีหน้างุนงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อกี้มีแค่พระนัดดาองค์โต เหตุใดตอนนี้…ถึงได้มีคนเต็มไปหมดเลย
สายตาของเขามองสลับไปมาระหว่างเซียวเหิงและกู้ฉังชิง ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าชายที่นวดแป้งไม่ใช่ ‘พระนัดดาองค์โต’ แต่เป็นชายหนุ่มตรงหน้า
มิน่าล่ะแผ่นหลังของพระนัดดาองค์โตกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“พวกเจ้าเป็นใคร” เขาถามอย่างระแวง
กู้เจียวถือชามบะหมี่เดินเข้ามานั่งย่อตัวลงตรงหน้าหวังซวี่พลางเอ่ยขณะดูดเส้นบะหมี่ “เจ้าคือเจ้าคนเคราะห์ร้ายคนนั้นสินะ”
หวังซวี่ “…”
เซียวเหิงมองดูกู้เจียวกอดชามนั่งยองๆ กินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย เหตุใดถึงรู้สึกว่าท่าทางนี้ดูคุ้นตายิ่งนัก
เขามองดูซ่างกวานเยียนที่กำลังหลับสนิท มุมปากพลันกระตุก
เจ้าช่วยเรียนรู้อะไรที่ดีๆ บ้างไม่ได้หรือ
“ข้าถามเจ้าอยู่” กู้เจียวเอ่ย
โครก~
กระเพาะของหวังซวี่ร้องออกมา
หวังซวี่หันหน้าหนี พยายามไม่ดมกลิ่นหอมของบะหมี่ที่โรยไปด้วยต้นหอมสับ
แค่ไม่ดมก็ไม่เป็นไรแล้วหรือ
เสียงดูดบะหมี่ของกู้เจียวชวนให้คนน้ำลายสอนัก
กู้เจียวตั้งข้อหาเขา “เจ้าปลอมตัวเป็นศิษย์ของตำหนักกั๋วซือต้องการมาสังหารพระนัดดาใช่ไหม”
หวังซวี่หันหน้ากลับมา เอ่ยปฏิเสธเสียงดัง “เจ้าพูดจาเหลวไหล! ข้าจะสังหารพระนัดดาองค์โตได้อย่างไร!”
กู้เจียวขานตอบอย่างไม่แยแสก่อนจะถามต่อ “แล้วเจ้ามาทำอะไร”
หวังซวี่มองดูบะหมี่โรยต้นหอมสับในชามของนาง กลืนน้ำลายพลางเอ่ย “ข้า… ข้าได้รับข่าวว่ามีคนปลอมตัวเป็นพระนัดดาองค์โต ข้าจึงมาพิสูจน์ความจริง”
กู้เจียวถามต่อ “แล้วเจ้าพิสูจน์ความจริงได้ไหม”
หวังซวี่เอ่ยด้วยความอับอาย “ไม่ได้ ข้ายังพิสูจน์ความจริงไม่เสร็จก็ถูกคนของเจ้าชกสลบไปแล้ว”
กู้เจียวถามด้วยความอยากรู้ “รหัสลับอะไรกัน บอกให้ฟังหน่อยสิ”
ชายร่างใหญ่สามคนในห้องมองไปที่หวังซวี่อย่างพร้อมเพรียงกัน ในจำนวนนั้นก็มีเซียวเหิงที่ยืนนิ่งอยู่
หวังซวี่ประจำการอยู่ที่สุสานหลวงเมื่อตอนซ่างกวานชิ่งอายุได้สิบสามขวบ ในช่วงครึ่งปีแรกเขาและซ่างกวานชิ่งไม่ได้พบกันเลย จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้รับบาดเจ็บระหว่างเดินทางกลับค่ายและบังเอิญได้พบกับซ่างกวานชิ่ง ซ่างกวานชิ่งจึงให้คนส่งยาห้ามเลือดมาให้เขาในเวลากลางคืน
เขาคิดว่าเด็กคนนี้ไม่เลว เขาจึงจะสอนวิชายุทธให้
แต่เด็กคนนี้ก็ไม่ยอมตั้งใจเรียน กลับพาเขาไปในทางที่ผิดอยู่บ่อยครั้ง
ตัวอย่างเช่นสองปีผ่านไป เขาไม่ได้สอนซ่างกวานชิ่งท่าไม้ตายแม้แต่ท่าเดียว แต่ซ่างกวานชิ่งกลับสอนรหัสลับแปลกๆ มากมาย
หวังซวี่มองเซียวเหิงอย่างจริงจังพลางเอ่ย “กษัตริย์คลุมถิ่นพยัคฆา”
กู้เจียวตอบทันที “ส่วนเจ้าคือคนบ้า”
หวังซวี่ตกตะลึง มองกู้เจียวอย่างเหลือเชื่อ
กู้เจียวดูดเส้นบะหมี่เข้าปากหนึ่งคำ กินจนหมดแล้วเอ่ย “ข้าตอบถูกหรือเปล่า”
หวั่งซวี่ตกตะลึง “เจ้า…”
เป็นไปไม่ได้ นี่มันรหัสลับที่พวกข้าสองคนเท่านั้นที่รู้!
กู้เจียว พนันกับข้าสิว่ากั๋วซือรู้ทั้งหมด
กู้เจียวชี้ไปที่เซียวเหิง “เขาเป็นคนสอนข้าเอง ถ้ารหัสลับถูกหมด เขาก็คือพระนัดดาองค์โต”
หวังซวี่ขมวดคิ้วแน่น เหตุใดในใจข้าถึงไม่เชื่อพวกนางคนนี้กันนะ พวกนางดูน่าสงสัยกว่าใครๆ เสียอีก!
ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของหวังซวี่ เขาขมวดคิ้วแน่นแล้วเอ่ย “ข้ายังมีรหัสลับอีก ข้าไม่เชื่อว่าพวกนางจะตอบได้หมด!”
กู้เจียวดูดเส้นเข้าปากเสร็จ “เจ้าว่ามา”
หวังซวี่ “แดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ม่วง!”
กู้เจียว “ตะวันออก ตะวันตก ใต้ เหนือ กลาง กลายเป็นสีขาว”
หวังซวี่ตกใจอย่างแรง
“มีเหตุย่อมมีผล!”
“ผลตอบแทนของเจ้าก็คือข้าเอง”
หวังซวี่ตัวสั่นไปหมดทั้งตัว
เขากัดฟันอีกครั้งและใช้กลอุบายที่โหดเหี้ยม “ยา ยา”
กู้เจียวดูดเส้นบะหมี่ “ตรวจสอบ ตรวจสอบ”
หวังซวี่ตกใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
กู้เฉิงเฟิงตบที่ไหล่เซียวเหิงด้านข้างพลางกระซิบ “พวกเขากำลังพูดอะไรกัน เจ้าเข้าใจไหม”
เซียวเหิงคิดในใจว่า ถ้าฟังเข้าใจหมดก็แปลกแล้ว
อะไรกัน ยุ่งเหยิงไปหมด นี่ซ่างกวานชิ่งสอนจริงๆ ใช่ไหม เหตุใดฟังดูไม่จริงจังเลย
มีพ่อที่ไม่จริงจังคนหนึ่งก็เพียงพอแล้ว เขาจะยังมีพี่ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่องอีกหรือ
หวังซวี่โยนรหัสลับออกมาทีละน้อย กู้เจียวตอบถูกทั้งหมด ไม่มีข้อผิดพลาด
หวังซวี่สูดหายใจเข้าลึกพลางมองกู้เจียว จากนั้นจึงมองเซียวเหิงที่อยู่ไม่ไกล กำหมัดแน่นพลางเอ่ย “มาถึงตอนนี้แล้ว ข้าทำได้แค่ใช้ไม้ตายสุดท้าย ถ้าพวกเจ้าตอบได้แม้แต่อันนี้ ข้าก็จะเชื่อว่าเขาคือพระนัดดาองค์โตตัวจริง!”
“อืม” กู้เจียวดื่มน้ำซุปบะหมี่อย่างเฉยเมย บอกให้เขาเอ่ยต่อไป
หวังซวี่หรี่ตาลง ยกคางขึ้น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ครั้งนี้ไม่ใช่รหัสลับ แต่เป็นคำเรียกขาน! เป็นคำเรียกขานที่พระนัดดาองค์โตตั้งให้ข้าเอง! พระนัดดาองค์โตบอกว่า นี่คือสิ่งที่ผู้ชายทุกคนบนโลกนี้ใฝ่ฝัน… อยากเป็น…”
กู้เจียวเอียงศีรษะเล็กน้อย “ลุงหวังข้างบ้านน่ะหรือ”
หวั่งซวี่ “…!!”
เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องนี้ด้วย!