บทที่ 729 พวกคลั่งน้องสาว
กู้เฉิงเฟิงรออยู่นอกวังพักใหญ่ รอจนอารมณ์เดือดปุดไปหมดแล้ว
“หวังซวี่เจ้าพอได้แล้วกระมัง อีกเดี๋ยวข้าต้องไปรับเด็กอีกนะ!”
ถ่วงเวลาคนเขาจะทำธุระ!
ข้านับถึงสามนะ หากเจ้ายังไม่ออกมาข้าจะเข้าวังไปหาเจ้าแล้ว!
หวังซวี่ออกมาแล้ว
หวังซวี่เพิ่งจะพาคนไปตรวจสอบที่หอเทียนเซียงเมื่อวานนี้ กู้เฉิงเฟิงเคยเจอเขา เครื่องแบบขุนนางกวนตูเว่ยบนตัวเขาชัดเจนมาก จะจำไม่ได้ก็แปลก
หลังจากหวังซวี่ออกจากประตูเกาเหมินมาก็ขึ้นรถม้ากลับจวน
กู้เฉิงเฟิงแอบตามไปเงียบๆ
หวังซวี่ไม่รีบ รถม้าเคลื่อนตัวไม่ไวนัก กอปรกับเริ่มมีร้านรวงและผู้คนสัญจรบนถนนหลังวังมากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้รถม้าของหวังซวี่ยิ่งช้าลงกว่าเดิม
กู้เฉิงเฟิงตามไปไม่ให้ไกลหรือใกล้จนเกินไป
ยามรถม้าของหวังซวี่เคลื่อนผ่านหอสุราแห่งหนึ่ง ก็ถูกรถม้าอีกคันขวางไว้
ชายวัยกลางคนแต่งตัวเหมือนพ่อบ้านเดินลงมาจากรถม้าคันนั้น เขายิ้มแย้มประสานมือให้รถม้าของหวังซวี่ ไม่รู้ว่าคุยอะไรกับหวังซวี่ หวังซวี่จึงลงจากรถม้า เข้าไปในหอสุราด้วยกันกับอีกฝ่าย
กู้เฉิงเฟิงไม่ได้ตรงเข้าไปด้วย แต่ซื้อชุดสตรีจากร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปร้านเยื้องกัน เขาหักใจซื้อเครื่องประดับไม่ได้ จึงใช้แค่ผ้าผูกผมเส้นหนึ่ง สวมผ้าคลุมหน้า กลายเป็นเด็กสาวธรรมดาๆ ในชนบทคนหนึ่ง
เขาเข้ามาในหอสุรา บอกว่ามาตามหาคน คนงานเห็นนางแต่งตัวเรียบๆ ไม่เหมือนคุณหนูตระกูลร่ำรวย จึงคร้านจะสนใจนาง ให้นางไปหาเอาเอง
เพียงไม่นานกู้เฉิงเฟิงก็เจอชายวัยกลางคนคนเมื่อครู่ที่ห้องปีกข้างบนชั้นสองฝั่งตะวันออก
เขาเฝ้าประตู คนที่เฝ้าด้วยกันกับเขายังมีหน่วยกล้าตายอีกสองนาย
เอิกเกริกเพียงนี้เลยรึ จะทำอะไรกันน่ะ
มีหน่วยกล้าตายเฝ้าอยู่ กู้เฉิงเฟิงคิดจะไปแอบฟังที่ทางเดินนั้นคงเป็นไปไม่ได้
เขาเข้ามาในห้องปีกข้างที่ว่างอยู่ห้องหนึ่ง ผลักหน้าต่างเปิด ปีนออกไปอยู่บนหลังคา
เขาใช้วิชาตัวเบาขึ้นมาบนหลังคาห้องที่หวังซวี่อยู่ ก่อนจะหมอบตัวลงแล้วเลิกแผ่นกระเบื้องขึ้นกึ่งหนึ่ง ก่อนทอดมองลงไปตามช่องนั้น
เอ๊ะ
ตาเฒ่าคนหนึ่งอย่างนั้นรึ
แต่งตัวสูงศักดิ์ นั่งอยู่บนเก้าอี้มีพนักพิงทรงไท่ซือ สองมือวางบนด้ามจับของไม้เท้าที่ทำจากไม้หวงฮวาหลี
กู้เฉิงเฟิงบังเอิญอยู่เหนือหัวเขาพอดี จึงมองไม่เห็นใบหน้าอีกฝ่าย
กลับเป็นหวังซวี่ที่นั่งตรงข้ามเขา ด้วยมุมเอย องศาเอย กู้เฉิงจึงเห็นใบหน้าครึ่งซีกของหวังซวี่ได้
“นายใหญ่หันคิดจะทำอะไรน่ะ”
หวังซวี่เอ่ยขึ้น
นายใหญ่หันรึ ปู่ของหันเย่ ประมุขตระกูลหันอย่างนั้นรึ
กู้เฉิงเฟิงหูผึ่ง
นายใหญ่หันส่งสายตาให้บ่าวรับใช้ข้างกาย
บ่าวรับใช้สองมือประคองกล่องไหมใบหนึ่งเดินมาหาหวังซวี่
หวังซวี่มองกล่องไหมแวบหนึ่ง เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ต้องการอะไรหรือ”
นายใหญ่หันยกมือขึ้น บ่าวรับใช้เปิดกล่องออก
กู้เฉิงเฟิงอยากดูของข้างในกล่องผ้าไหม จนด้วยเกล้าที่ถูกท้ายทอยของบ่าวรับใช้บังมิด
กู้เฉิงเฟิงกัดฟันกรอด
แต่ว่า เขากลับเห็นหวังซวี่ตัวเกร็งขึ้นมา ไม่รู้ว่าตื่นเต้นหรือว่าตกใจ
หรือว่าตาเฒ่านี่คิดจะซื้อใจหวังซวี่
ตระกูลหันเป็นตระกูลมารดาของหันกุ้ยเฟย เป็นฝักฝ่ายเดียวกันกับไท่จื่อ
เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วกู้เฉิงเฟิงก็จำต้องสะทกสะท้อนใจกับความซับซ้อนของราชวงศ์ต้าเยี่ยน ที่แคว้นเจานั้น ในบรรดาองค์ชายไม่อนุญาตให้คบพรรคสมัครพวกกันลับหลัง ฮ่องเต้ต้าเยี่ยนเหมือนจะไม่ได้ใส่พระทัย สิบตระกูลใหญ่สนับสนุนองค์ชายของตระกูลตัวเองกันโต้งๆ ไม่เห็นฮ่องเต้ต้าเยี่ยนจะกริ้วอะไร
ตระกูลเดียวที่ฮ่องเต้เคยปราบปรามก็คือตระกูลเซวียนหยวน
สังหารล้างตระกูล
นายใหญ่หันยิ้มเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากได้ของล้ำค่านี้ของข้ามานานแล้ว วันนี้จึงได้มอบให้เจ้า”
หวังซวี่ดึงสายตากลับจากในกล่อง เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ได้รับสิ่งตอบแทนโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย นายใหญ่หันทำเช่นนี้ ผู้น้อยหวาดกลัวขอรับ”
นายใหญ่หันหัวเราะยกใหญ่ “ไม่ต้องตื่นตระหนกเพียงนั้น ก็แค่ของโบราณชิ้นเดียวเอง ข้าให้ได้ หากเจ้าชอบ จวนข้ายังมีอีกมาก”
หวังซวี่ถาม “นายใหญ่หันมีสิ่งใดจะชี้แนะหรือ”
นายใหญ่หันเอ่ย “เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าก็ขอพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่ค่อยเข้าใจ อยากจะขอให้แม่ทัพหวังไขข้อข้องใจให้ข้าที”
หวังซวี่เอ่ย “ขอแค่ไม่เกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก ผู้น้อยย่อมตอบทุกอย่างที่รู้”
ตระกูลหวังกับตระกูลหันเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้นๆ ของเซิ่งตู กระทั่งเส้นสนกลใน ตระกูลหวังก็ยังลึกล้ำกว่าตระกูลหัน เพียงแต่หวังเสียนเฟยไม่มีโอรส มีแต่องค์หญิงสองพระองค์
ด้วยเหตุนี้ในสายตาปวงชน ตระกูลหันที่มีไท่จื่อจึงยิ่งใหญ่กว่า
แต่ความเป็นจริงแล้ว จากที่กู้เฉิงเฟิงไปสืบถามมาจากหลายด้าน ตระกูลหวังได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้มากกว่า
นายใหญ่หันเอ่ยเสียงเนิบ “ข้าได้ยินว่าพระนัดดาองค์โตกลับมาแล้ว”
หวังซวี่ขมวดคิ้ว “เอ่อ เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้ข่าเลยขอรับ ข่าวของท่านช่างไวยิ่งนัก”
นายใหญ่หันแย้มยิ้ม “เจ้าไม่ต้องเสียดสี อย่างไรข้าก็เป็นลุงของไท่จื่อ เมื่อครู่ไท่จื่อไปเยี่ยมอดีตองค์หญิงที่ตำหนักกั๋วซือมา ฝ่าบาทก็ทรงอยู่ด้วย พระนัดดาองค์โตก็อยู่”
ความนัยในถ้อยคำนี้ ไม่ใช่ว่าเขาใส่ใจความเคลื่อนไหวของอดีตองค์หญิง แต่นี่แค่บังเอิญ ไท่จื่อบังเอิญเจอพระนัดดาองค์โตพอดี
ไท่จื่อเป็นหลานของนายใหญ่หัน จะไม่บอกข่าวสำคัญเพียงนี้ให้นายใหญ่หันได้หรือ
หวังซวี่มองนายใหญ่หันอย่างลุ่มลึก “เช่นนั้นยามนี้ท่านมาหาข้า เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เล่า”
นายใหญ่หันเอ่ย “พูดตรงๆ เลยว่า ข้าสงสัยว่าพระนัดดาองค์โตคนนี้จะเป็นตัวปลอม”
หวังซวี่สีหน้าพลันเปลี่ยน “ไยจึงพูดเช่นนั้น”
นายใหญ่หันเอ่ยแฝงความนัยล้ำลึก “คนในจวนข้าขนส่งแร่ไปยังฉีตู เมื่อวานส่งนกพิราบสื่อสารกลับมา บอกว่าเจอพระนัดดาองค์โต ฉีตูห่างจากที่นี่อย่างน้อยๆ เจ็ดแปดวัน ข้าไม่คิดว่าพระนัดดาองค์โตจะมีปีกบินกลับมาได้”
หวังซวี่ขมวดคิ้ว “คนในจวนท่านรู้จักพระนัดดาองค์โตด้วยรึ”
นายใหญ่คล้ายเดาไว้แล้วว่าเขาจะถามเช่นนี้ จึงยิ้มเอ่ย “เจ้าคงไม่คิดว่าความสามารถของพวกเราตระกูลหัน จะหาอีแค่ภาพเหมือนของพระนัดดาองค์โตมาไม่ได้หรอกกระมัง”
ภาพเหมือนน่ะมี แต่นกพิราบสื่อสารที่บอกว่าเจอพระนัดดาองค์โตน่ะแต่ง
แต่หากไม่บอกเช่นนี้จะเรียกความสงสัยของหวังซวี่ได้อย่างไร
ไม่ว่าหวังซวี่จะเชื่อตนหรือไม่ เขาก็จะไปตรวจสอบที่ตำหนักกั๋วซือเองอยู่ดี
กู้เฉิงเฟิงกำหมัดแน่น ตาเฒ่านี่ แผนการล้ำลึกนัก
หวังซวี่มองนายใหญ่หันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ดังนั้นนายใหญ่หันอยากจะให้ข้าไปเปิดโปงพระนัดดาองค์โต”
นายใหญ่หันพยักหน้าโดยไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย “เปิดโปงเขาจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเราตระกูลหัน ใช่แล้ว นี่ล่ะจุดประสงค์ข้า”
สารภาพเจตนาของตัวเองออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ว่าข้าจะเก็บกวาดสิ่งกีดขวางทุกอย่างให้ไท่จื่อ ทุกคนต่างเป็นคนฉลาด ไยต้องเสแสร้งจอมปลอมด้วยเล่า
หวังซวี่เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเขาเป็นตัวปลอมจริง เช่นนั้นก็เป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องเปิดโปงเขา ของของนายใหญ่หันนำกลับไปดีกว่า!”
หวังซวี่ทำเช่นนี้ หาใช่เพื่อตระกูลหันไม่ แต่เพื่อฝ่าบาท!
นายใหญ่หันจะไปส่งถึงสามครั้ง หวังซวี่ก็ยืนหยัดไม่รับน้ำใจทั้งสามครั้ง สุดท้ายหวังซวี่ก็ขอตัวลาจากไป พร้อมกับนายใหญ่หันที่ทอดถอนใจด้วยความจนปัญญา
กู้เฉิงเฟิงค่อยๆ วางกระเบื้องกลับคืน กำลังจะจากไปเช่นกัน
ในขณะนั้นเอง เขาได้ยินเสียงบทสนทนาลอยมาจากในห้อง
“นายท่าน เหตุใดเขาจึงไม่รับไว้เล่า เขาคงไม่ได้ปฏิเสธพวกเราหรอกกระมัง”
เป็นพ่อบ้านวัยกลางคนคนนั้น เมื่อครู่เขาเฝ้าอยู่บนทางเดินนอกประตูตลอด ไม่ได้ยินบทสนทนาด้านใน
นายใหญ่หันแย้มยิ้ม ลูบของโบราณในกล่องผ้าไหม “ไท่จื่อยังเด็กเกินไปหน่อย มอบสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการเพื่อประจบให้อีกฝ่ายช่วยจัดการธุระจึงเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก เปลี่ยนจากฝ่ายถูกกระทำมาเป็นฝ่ายกระทำ โจมตีจุดอ่อนอีกฝ่ายต่างหากที่เป็นยอดกลยุทธ์ ของล้ำค่านี้ ข้าจะหักใจมอบให้ได้อย่างไรกันเล่า”
กู้เฉิงเฟิงคิดในใจ สหาย ตกหลุมพรางจิ้งจอกเฒ่ามือเปล่าเสียแล้ว
พ่อบ้านวัยกลางคนเอ่ยอย่างกังวล “เช่นนั้นเขาจะทูลฝ่าบาทเรื่องที่พวกเราวางแผนติดสินบนหรือไม่”
นายใหญ่หันมาเหน็บแนม “หากเขารับไว้ด้วยใจจริง ก็คงไม่ทูลหรอก ไท่จื่อก็คงจะพิจารณาถึงจุดนี้แล้วถึงได้คิดว่าควรติดสินบนเขา แต่ข้าคิดว่า ถึงเขาจะทูลฝ่าบาทไปก็ไม่เป็นไร เดิมทีอดีตองค์หญิงกับพระนัดดาองค์โตก็เป็นภัยคุกคามใหญ่ของไท่จื่ออยู่แล้ว พวกเราตระกูลหันไม่ทำอะไรเลยแล้วคนจะเกิดความสงสัยได้หรือ บางทีการเผยพิรุธบ้างกลับจะทำให้ฝ่าบาทคิดว่าทุกอย่างของพวกเราอยู่ในเงื้อมมือของฝ่าบาท พวกเราตระกูลหันจัดการง่าย ไม่ใช่ภัยคุกคามใหญ่”
พ่อบ้านวัยกลางคนประสานมือเอ่ยอย่างตื่นเต้น “นายท่านปราดเปรื่องนัก!”
กู้เฉิงเฟิงมุมปากกระตุก ไท่จื่อเจ้าเล่ห์เพทุบายเพียงนี้ล้วนได้จากพวกเจ้าตระกูลหันมากระมัง
พวกเจ้าตระกูลหันใช้กลศึกกันเช่นนี้หมดเลยรึ
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ !
กู้เฉิงเฟิงมองตาเฒ่านี่แล้วขัดหูขัดตา อยากจะต่อยเขายิ่งนัก แต่ด้วยกำลังยามนี้ของเขาเกรงว่าแค่จัดการหน่วยกล้าตายสองนายหน้าประตูคงกินแรงมากเกินไปหน่อย
…ไม่มีทางยอมรับเด็ดขาดว่าสู้ไม่ได้
วันหน้าจะเรียกเด็กสาวนางนั้นมา คลุมกระสอบเจ้า!
กู้เฉิงเฟิงไล่ตามหวังซวี่ไป
เดิมหวังซวี่จะกลับจวน ทว่าหลังจากสนทนากับนายใหญ่หันแล้ว หวังซวี่จึงตัดสินใจไปตำหนักกั๋วซือแทน
หวังซวี่เคยอยู่ที่สุสานกษัตริย์มาหลายปี เคยสอนวรยุทธ์พระนัดดาองค์โต แม้ว่าพระนัดดาองค์โตจะเรียนไม่ได้สักกระบวนท่าก็ตาม
แต่ระหว่างพวกเขาอย่างไรก็อยู่ร่วมกันมานาน มีบางเรื่องที่รู้กันแค่พวกเขา อีกฝ่ายจะเป็นพระนัดดาองค์โตจริงหรือไม่ เขาลองหยั่งเชิงดูก็รู้
รถม้าเคลื่อนไปได้สักพัก เขาก็ขมวดคิ้ว เอ่ยกับคนขับรถ “หยุดก่อน”
“ขอรับ” คนขับรถจอดรถม้าข้างทาง
หวังซวี่ลงจากรถม้า ไปซื้อขนมท้อที่พระนัดดาองค์โตโปรดปรานที่ร้านขนมแห่งหนึ่ง
“ไม่ทราบว่ามีห้องน้ำหรือไม่” เขาถามเถ้าแก่ร้าน
“มีขอรับ อยู่เรือนท้าย” เถ้าแก่บอก
“เช่นนั้น ข้าวางขนมท้อไว้นี่ก่อน”
“ได้ขอรับ!”
กู้เฉิงเฟิงรออยู่นอกร้าน รออยู่นานก็ไม่เห็นหวังซวี่จะออกมา
“เกิดอะไรขึ้น ตกส้วมในห้องน้ำไปแล้วรึ”
กู้เฉิงเฟิงตัดสินใจไปหา
เขารื้อหาทั่วเรือนท้ายทั้งนอกทั้งใน กลับไม่เห็นเงาหวังซวี่
กู้เฉิงเฟิงตบหัวตัวเอง “แย่แล้ว เขารู้ตัว จึงหนีไปแล้ว!”
“ช้าก่อน ช้าก่อน ข้าจะรีบร้อนไม่ได้”
“เขาจะไปไหนได้”
“เขา…เขา… ข้ารู้แล้ว! เขาต้องไปตำหนักกั๋วซือแน่!! เขาไปหาพระนัดดาองค์โต”
กู้เฉิงเฟิงติดต่อกับเซียวเหิงอยู่เป็นนิจ มักได้ยินเซียวเหิงวิเคราะห์ตระกูลขุนนางใหญ่และสถานการณ์ปัจจุบันของเซิ่งตูให้ฟัง จึงพอจะจำได้เลือนลาง การคิดวิเคราะห์ของเขาก็พัฒนาขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้วในระดับหนึ่ง
จากนั้นนิสัยของเขาก็สุขุมขึ้นบ้างแล้ว
เขาสูดหายใจลึก
ข้าไม่รีบ
ข้าไม่รีบ…
ไม่รีบบ้านปู่เจ้าสิ!
เขาเจอเซียวเหิงเข้าได้จบเห่แน่!
กู้เฉิงเฟิงสาวเท้าวิ่งทันที!
เซียวเหิงเจ้าทนหน่อยนะ! ต้องหลบเลี่ยงหวังซวี่ให้ได้! หลบไม่ได้เจ้าก็แกล้งตายไปเลย!
หวังซวี่สวมเครื่องแบบขุนนางของกวนตูเว่ย หากเซียวเหิงเห็นเขาก็จะไหวตัวทัน
จนด้วยเกล้าที่หวังซวี่ไม่ได้โง่
เขาเข้าตำหนักกั๋วซือโดยอ้างว่าขอพบฮ่องเต้ อาศัยจังหวะที่คนไม่ระวังทำเสื้อผ้าตัวเองเปื้อน แล้วขอยืมเสื้อผ้าของตำหนักกั๋วซือจากลูกศิษย์
ณ มุมหนึ่งที่ไร้ผู้คน หวังซวี่เกล้าผมยกสูง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นลูกศิษย์สูงวัยของตำหนักกั๋วซือ
“ฝ่าบาทกับพระนัดดาองค์โตอยู่ที่ตำหนักฉีหลินหรือ” เขาเรียกศิษย์ที่ผ่านมาคนหนึ่งไว้
เขามีมาดที่แข็งแกร่ง ลูกศิษย์นึกว่าเป็นศิษย์พี่คนหนึ่งที่ตนไม่รู้จัก
ลูกศิษย์เอ่ยอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาทกับองค์หญิงน้อยไปหากั๋วซือแล้ว พระนัดดาอยู่ที่ตำหนักฉีหลินขอรับ”
“ขอบใจมาก” หวังซวี่กล่าวขอบคุณ แล้วสาวเท้าไปทางตำหนักฉีหลิน
ยามนี้เป็นยามโหย่ว
วสันต์ฤดูยามกลางวันนั้นยาวนาน แสงแดดสาดส่องทั่วถึง ฟากฟ้ายังคงสว่างอยู่
เขามาหยุดอยู่บนทางเดินตำหนักฉีหลิน
ทางเดินว่างเปล่า ดูเหมือนไร้คน แต่ในที่ลับกลับมีสายตามากมาย
หวังซวี่กระจ่าง สายตาเหล่านี้มาจากหน่วยกล้าตายของตำหนักกั๋วซือ
เขาไม่ได้มาฆ่าคน บนตัวเขาก็ไม่ได้มีไอสังหาร หน่วยกล้าตายไม่มีทางเปิดการโจมตีใส่เขา
เขาไล่หาไปทีละห้อง ในที่สุดก็เจอห้องปีกข้างก่อนสุดทางเดินที่ประตูใหญ่แง้มอยู่
เขามาหยุดอยู่หน้าห้องปีกข้าง เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งหันหลังให้ประตูอยู่ข้างโต๊ะแปดเซียน บนโต๊ะมีแป้ง ชาม ไส้และอื่นๆ
ชายหนุ่มคล้ายว่ากำลังนวดแป้งอยู่ การเคลื่อนไหวดูเก้กัง แค่ดูก็รู้ว่าทำครั้งแรก
บนเตียงข้างๆ มีองค์หญิงที่ได้รับบาดเจ็บนอนอยู่ เตียงเล็กอีกหลังไม่รู้ว่าใครกำลังหลับอยู่
หวังซวี่คิดว่า ชายหนุ่มคนนี้คงจะเป็นพระนัดดาองค์โตที่นายใหญ่หันเอ่ยถึง
เขากับพระนัดดาองค์โตมีรหัสลับระหว่างกัน เขาใช้แค่ประโยคเดียวก็สามารถหยั่งเชิงได้แล้วว่าพระนัดดาองค์โตเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม
เขาต้องทำให้ไว เปล่งเสียงให้ดัง จะได้ทำให้อีกฝ่ายตั้งตัวไม่ทัน
ความคิดวาบผ่าน หวังซวี่ผลักประตูห้องออกอย่างแรง กระโดดเข้าไปในห้อง ตวาดขึ้นด้วยเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยม “กษัตริย์คลุม…”
ปั้ง!
ชายหนุ่มคว้าไม้นวดแป้งในมือฟาดเขาสลบในไม้เดียว!
ไม้นวดแป้งที่เจือกำลังภายในฟาดหวังซวี่แล้วก็บินกลับมาอยู่ในมือเขา
กู้ฉังชิงไม่ได้หันไปมอง
ใบหน้าเขาเลอะแป้งจนขาวโพลน เขานวดแป้งต่ออย่างเงอะงะ “น้องสาวหลับอยู่ ห้ามเสียงดัง”