บทที่ 727 พระนัดดาองค์โต
หลังจากออกมาจากตำหนักฉีหลิน ฮ่องเต้ออกไปหาองค์หญิงน้อย ไท่จื่อจึงทูลลาฮ่องเต้ ขึ้นนั่งรถม้ากลับจวน
รถม้าเคลื่อนออกจากตำหนักกั๋วซือไปไกลแล้ว สีหน้าเดือดดาลพลุ่งพล่านของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเก็บอารมณ์
รถม้าควบขับไปบนถนนสายกว้าง
เขาเอ่ยเสียงขรึม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่นี้ข้าเจอใครที่ตำหนักกั๋วซือมา”
บนม้านั่งยาวข้างกายเขาจู่ๆ มีบุรุษในเครื่องแบบขุนนางจวนแม่ทัพนั่งอยู่ แซ่เซ่า นามว่าเสวียอี้ มีตำแหน่งนายกองทหารม้า ดูแลรถม้าและม้าศึกทั้งหมดของราชสำนักต้าเยี่ยน
อำนาจหน้าที่ของนายกองแต่ละคนไม่แน่นอน บางครั้งก็จะแทรกแซงซึ่งกันและกัน
เซ่าเสวียอี้ก็เคยรับผิดชอบการตรวจสอบคดีลอบสังหารของจวนไท่จื่อเช่นกัน
ไม่ว่าใครก็ต่างคิดว่าเขาเป็นคนสนิทของตระกูลหวัง แต่ไม่รู้ว่าเขากลายเป็นคนของไท่จื่อตั้งแต่เมื่อใด และเขายังเคยปลอมตัวเป็นสามัญชนไปดูการแข่งตีคลีที่สำนักบัณฑิตเทียนฉงด้วยกันกับไท่จื่อด้วย
“ไท่จื่อเจอผู้ใดมาหรือ” เซ่าเสวี่ยอี้ถาม
ไท่จื่อตรัส “ข้าเจอพระนัดดาองค์โตมา”
“พระนัดดาองค์โตกลับเซิ่งตูแล้วหรือ” เซ่าเสวียอี้เอ่ยด้วยความตกใจ
ไท่จื่อยิ้มจาง “น่าตกใจมากใช่หรือไม่ นึกไม่ถึงว่าข้าจะไม่ได้ข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย ข้าสงสัยว่าเขาไม่ใช่ซ่างกวานชิ่งตัวจริง เขาคือเซียวเหิง”
เซ่าเสวียอี้ถาม “เซียวลิ่วหลังนั่นน่ะหรือ”
ไท่จื่อพยักหน้า “เขานั่นแหละ”
ในฐานะที่เซ่าเสวียอี้เป็นคนสนิทของไท่จื่อ ย่อมรู้เรื่องที่เซียวเหิงมายังเซิ่งตู เขาถาม “เขาเปิดเผยตัวตนของตัวเอง หรือว่ากำลังปลอมตัวเป็นซ่างกวานชิ่ง”
“ปลอมตัวเป็นซ่างกวานชิ่ง” ไท่จื่อเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
เซ่าเสวียอี้มองไท่จื่ออย่างไม่เข้าใจ “ไท่จื่อไม่แน่ใจเรื่องใด”
ไท่จื่อทอดถอนใจตรัส “ไม่แน่ใจว่าคนผู้นั้นเป็นเซียวเหิงหรือว่าซ่างกวานชิ่งกันแน่ ใบหน้าของพวกเขาละม้ายคล้ายคลึงกันนัก แทบจะถอดแบบกันมา ข้าแยกแยะไม่ได้”
ไท่จื่อไม่ได้เจอซ่างกวานชิ่งมาสิบกว่าปีแล้ว เขาอาศัยช่วงที่ซ่างกวานชิ่งกลับเซิ่งตูแอบไปดูแถวๆ ตำหนักกั๋วซือ หรือไม่ก็ดูจากภาพเหมือน เขาไม่เคยเห็นซ่างกวานชิ่งตอนโต จึงไม่อาจแยกแยะจากกิริยาท่าทางและน้ำเสียงของทั้งสองคนนี้ได้
ไท่จื่อเอ่ย “เสด็จพ่อยังแยกไม่ออก นับประสาอะไรกับข้า”
เซ่าเสวียอี้เอ่ย “นี่คือความปราดเปรื่องของอดีตองค์หญิง นางให้ซ่างกวานชิ่งอยู่ให้ห่างเซิ่งตู ไม่ไปมาหาสู่กับผู้ใด น้อยนักที่ผู้ใดจะระบุลักษณะอื่นนอกเหนือจากใบหน้าได้ พอซ่างกวานชิ่งป่วยตายจาก นางก็สามารถรับเซียวเหิงกลับมาอยู่ข้างกายได้ ไม่มีใครรู้ได้ว่าเปลี่ยนตัวแล้ว”
ไท่จื่อชะงักพลางเอ่ย “แม้ในหมู่ชาวบ้านจะลือกันว่าเสด็จพ่อเอ็นดูซ่างกวานชิ่งเพียงเพราะเขาอายุไม่ยืน แต่เกิดพระนัดดาองค์โตหาย ‘ป่วย’ แล้ว เสด็จพ่อยังจะเอ็นดูเขาอยู่หรือไม่ ข้าจะเสี่ยงกับเรื่องนี้ไม่ได้”
เซ่าเสวียอี้เอ่ย “ถูกต้อง ฮ่องเต้พระชนมายุมากขึ้น ความเหี้ยมโหดไร้ปรานียามสมัยหนุ่มๆ ก็พลอยลดลงไปด้วย พระองค์สังหารตระกูลเซวียนหยวนฮองเฮาทั้งตระกูล ยากจะรับประกันได้ว่าพระองค์จะไม่ชดใช้ความผิดต่อหลานชายของเซวียนหยวนฮองเฮาในช่วงที่พระองค์เป็นไม้ใกล้ฝั่งเช่นนี้”
ไท่จื่อแววตาดุดันขึ้น “ดังนั้น เซียวเหิงต้องตาย!”
พอเซียวเหิงตายแล้ว ซ่างกวานเยี่ยนก็จะอยู่ได้ไม่นานเช่นกัน
เซ่าเสวียอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งพลางเอ่ย “อันที่จริงการจะแยกแยะว่าอีกฝ่ายคือเซียวเหิงหรือไม่นั้นไม่ยาก มีสองคนที่เคยพูดคุยกับซ่างกวานชิ่งอยู่”
ไท่จื่อครุ่นคิด “เจ้าหมายถึงกั๋วซือหรือ เขาอาจจะไม่ช่วยข้า คนผู้นั้นหัวแข็ง ไม่สมัครพรรคพวกกับกลุ่มอำนาจใด”
เซ่าเสวียอี้คิดในใจว่า นั่นเพราะไม่มีกลุ่มอำนาจใดสามารถแทนที่ตำหนักกั๋วซือได้น่ะสิ พูดให้ชัดก็คือไม่มีใครมีคุณสมบัติดีพอมาลากเขาเป็นพวก
ไท่จื่อส่ายหน้า “ยิ่งไปกว่านั้น เขากับซ่างกวานชิ่งก็พบหน้ากันแค่สองปีหนเท่านั้น จะเรียกว่าสนิทก็คงไม่ได้ ส่วนความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ในน้ำเสียง ก็อ้างได้ว่าเพราะเสียงเปลี่ยน”
เซียวเหิงเป็นบุรุษ เสียงวัยเด็กของเขาจะเหมือนยามนี้ได้อีกหรือ
เซ่าเสวียอี้เอ่ยอย่างมีเลศนัย “ไท่จื่อทรงลืมใครไปหรือไม่”
ไท่จื่อ “ใคร”
เซ่าเสวียอี้ “หวังซวี่”
ไท่จื่ออึ้งชะงักไปเล็กน้อย “เขาทำไมรึ”
“เขาเคยรักษาการณ์ที่สุสานกษัตริย์มาตั้งหลายปี เคยสอนวรยุทธ์ซ่างกวานชิ่งด้วยตัวเอง หากว่ากันเรื่องสามารถแยกแยะซ่างกวานชิ่งว่าเป็นตัวจริงหรือปลอมได้ เขาก็คือหนึ่งในนั้น!” เซ่าเสวียอี้เอ่ย “ฝ่าบาททรงไม่ชอบที่มีคนหลอกลวงพระองค์เป็นที่สุด หากคนที่ไท่จื่อเจอวันนี้คือเซียวเหิงจริง เช่นนั้นเซียวเหิงก็ต้องโทษดูหมิ่นเบื้องสูงแน่แล้ว”
“เจ้าพูดถูก” ไท่จื่อแสดงความเห็นด้วยยิ่ง “เพียงแต่มีข้อหนึ่งที่ข้ายังคิดไม่ตก ไยเซียวเหิงจึงไม่ยอมรับนับญาติกับฮ่องเต้โดยตรงไปเลย แต่กลับใช้ตัวตนของซ่างกวานชิ่งแทนเล่า”
เซ่าเสวียอี้เอ่ย “เพราะใช้ตัวตนของซ่างกวานชิ่งมันสะดวกแสนสะดวกอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
หากใช้ตัวตนของเซียวเหิงเอง เช่นนั้นก็เกี่ยวเนื่องไปถึงว่าซ่างกวานชิ่งเป็นใคร องค์หญิงมีจุดประสงค์ใด หลายปีมานี้ฮ่องเต้เจอการโกหกหลอกลวงมาเท่าใดแล้ว
องค์หญิงย่อมบอกได้ว่านางทำเช่นนี้เพราะมีคนคิดร้ายกับเซียวเหิง ปัญหาคือนางไม่มีหลักฐานมายืนยัน กล่าวอ้างปากเปล่า ฮ่องเต้จะเชื่อนางรึ
จากนิสัยขี้ระแวงของฮ่องเต้ จะคิดว่าแม่ลูกคู่นี้กำลังวางแผนบางอย่างลับหลังอยู่
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เซียวเหิงจึงปลอมตัวเป็นซ่างกวานชิ่งเลยจะปลอดภัยที่สุด
ไม่มีปัญหาใหม่แทรกซ้อนมาไม่พอ ทั้งยังได้รับความโปรดปรานทั้งหมดของฮ่องเต้อีก
นอกจากนี้ยังมีอีกข้อ เซ่าเสวียอี้รู้สึกลางๆ ว่าบางทีเซียวเหิงอาจจะไม่อยากเข้าราชวงศ์ต้าเยี่ยน หากใช้ตัวตนของซ่างกวานชิ่ง หลังจากการใหญ่สำเร็จเขาก็จากไปได้โดยไม่ต้องรับภาระใด
แต่เพียงไม่นาน เซ่าเสวียอี้ก็ปฏิเสธการคาดเดานี้
นั่นเป็นถึงพระนัดดาองค์โตแห่งแคว้นเบื้องบนที่แข็งแกร่งที่สุดเชียวนะ ใครบ้างจะไม่อยากมีตัวตนนี้
ตนอย่าได้ประเมินนิสัยของเซียวเหิงสูงเกินไปเลยดีกว่า เขาไม่ใช่คนไม่สนใจชื่อเสียงเงินทองเพียงนั้น ทั้งหมดมันก็แค่ชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียเท่านั้น
ไท่จื่อทำอะไรไม่ถูก “เจ้าว่ามาก็ไม่ผิด เพียงแต่ว่า เกิดเขาเป็นซ่างกวานชิ่งจริงๆ เล่า”
เซ่าเสวียอี้ยิ้มเย็น “เช่นนั้นก็จัดการได้ง่ายขึ้นแล้ว การเปิดโปงซ่างกวานชิ่งง่ายดายเสียยิ่งว่าเปิดโปงเซียวเหิงอีก ก่อนหน้านี้พวกเราไม่เปิดโปง ก็เพราะไม่จำเป็น อย่างไรซ่างกวานชิ่งก็อายุสั้นอยู่แล้ว ซ้ำเขาก็ไม่ได้ก่อเรื่องในเซิ่งตู ขอแค่เขาอยู่ที่สุสานกษัตริย์แต่โดยดี พวกเราสามารถทำเป็นว่าเขาไม่มีตัวตนได้ ตั้งแต่ต้นจนจบคนที่พวกเราต้องการจะกำจัดก็คือเซียวเหิง แต่ถ้าหาก…ซ่างกวานชิ่งไม่กลัวตายวิ่งมาก่อความวุ่นวายที่เซิ่งตู เช่นนั้นก็อย่ามาหาว่าพวกเราไม่เกรงใจแล้วกัน!”
ไท่จื่อแย้มยิ้มอย่างชื่นชม “ข้างกายข้าขาดเจ้าไปไม่ได้จริงๆ ด้วย”
เซ่าเสวียอี้ประสานมือ “ไท่จื่อชมเกินไปแล้ว”
หลักการเหล่านี้ไท่จื่อจะไม่รู้หรือ ก็แค่ยืมปากเขาพูดออกมาเท่านั้นเอง
ไท่จื่อดูเหมือนไม่เจ้าแผนการ แต่ความจริงลึกล้ำกว่าทุกคนในเมืองอีก
ไท่จื่อตรัส “ยังมีปัญหาใหญ่อีกเรื่อง ตระกูลหวังจงรักภักดีเพียงเสด็จพ่อข้า ข้าอยากให้หวังซวี่มาทำงานให้ข้า หวังซวี่คงไม่ยอมตกลง”
เซ่าเสวียอี้แย้มยิ้ม “ไท่จื่อพูดเอาใจหน่อยก็พอ ข้าน้อยได้ยินว่าหวังซวี่ถูกใจร้านวัตถุโบราณแห่งหนึ่ง ยามนี้ร้านแห่งนี้อยู่ในมือนายท่านใหญ่ตระกูลหัน”
ไท่จื่อยิ้มเอ่ย “อยู่ในมือของท่านน้าข้า เช่นนั้นก็จัดการง่ายมาก”
….
ณ ห้องผู้ป่วยตำหนักฉีหลินในตำหนักกั๋วซือ เซียวเหิงหยิบภาพเหมือนของซ่างกวานชิ่งมาพินิจดูอย่างละเอียดอีกหน
กู้เฉิงเฟิงใช้วิชาตัวเบามาที่เรือน เปิดหน้าต่างออกกว้างจนสุด แล้วปีนข้ามหน้าต่างเข้ามา
“เรื่องคืบหน้าอย่างไรบ้าง ไม่ได้เผยพิรุธกระมัง”
“ไม่ได้เผย” เซียวเหิงบอก
กู้เฉิงเฟิงมานั่งลงข้างกายเซียวเหิง มองซ่างกวานเยี่ยนที่สลบไสล แล้วหันไปมองกู้เจียวที่หลับปุ๋ย ก่อนยื่นมือไปหาเซียวเหิง
เซียวเหิงมองเขาอย่างแปลกใจ “อะไร”
กู้เฉิงเฟิงยกมือขึ้น “สองตำลึง เสื้อผ้าบนตัวเจ้าข้าไม่ได้ซื้อให้เปล่าๆ นะ หนึ่งตำลึงเป็นค่าเสื้อผ้า อีกตำลึงเป็นค่าเดินทาง เจ้าก็ไม่คิดดูบ้างเจ้าทำสำเร็จได้ เสื้อผ้าชุดนี้ช่วยเอาไว้ตั้งเท่าใด ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง วันนี้เจ้าแสดงละคร หากไม่มีเสื้อผ้าชุดนี้ละครเรื่องนี้ของเจ้าก็เล่นไม่ได้หรอก! การจะหาเสื้อผ้าที่มันเหมือนในภาพทั้งชุดมันยากเย็นเพียงใดเจ้ารู้บ้างหรือไม่”
เซียวเหิงเอ่ย “ข้าไม่ได้พกเงินติดตัว เดี๋ยวเจียวเจียวตื่นมา ข้าจะให้นางเอาให้เจ้า”
กู้เฉิงเฟิงสะอึก “ชะ…เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด”
หากเด็กนั่นเป็นคนควักเงิน นั่นไม่ใช่เอาชีวิตนางหรอกนะ เขาไม่โดนขูดรีดคืนจนเกลี้ยงกระเป๋าก็ไม่เลวแล้ว
กู้เฉิงเฟิงเบนสายตามาตกบนภาพเหมือน “คนในภาพเหมือนนี้คือพระนัดดาองค์โตจริงๆ น่ะหรือ ไยข้ายิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าเหมือนเจ้าเลยเล่า พวกเจ้าคงไม่ใช่ฝาแฝดกันหรอกนะ”
“ไม่ใช่” เซียวเหิงเอ่ย
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่” กู้เฉิงเฟิงถาม
“วันเกิดไม่เหมือนกัน วันเกิดของเขาเร็วกว่าข้าสิบกว่าวัน” เขาถามเย่ชิงที่หอตำรามา
กู้เฉิงเฟิงเอ่ย “วันเกิดมันปลอมกันได้ หมิงจวิ้นอ๋องอายุเท่ากันกับซ่างกวานชิ่งมิใช่หรือ ข้าเดาว่า แก่กว่าสิบกว่าวัน ก็ข่มหมิงจวิ้นอ๋องไม่ให้เป็นพระนัดดาองค์โตได้พอดีเลยนี่”
เซียวเหิงสีหน้าเหม่อลอย “อย่างนั้นหรือ”
“ใช่น่ะสิ!” กู้เฉิงเฟิงพูดจนตัวเองก็เชื่อไปด้วยแล้ว
“อย่าเพิ่งสนเรื่องนี้เลย” รอซ่างกวานเยี่ยนฟื้นแล้ว ความจริงทั้งหมดก็จะกระจ่าง ยามนี้มีเรื่องสำคัญยิ่งกว่าที่พวกเขาต้องจัดการ
เซียวเหิงเอ่ย “มีคนหนึ่งที่สามารถมองออกว่าข้าไม่ใช่ซ่างกวานชิ่ง”
กู้เฉิงเฟิงที่เทชาอยู่พลันชะงัก “ใครรึ”
เซียวเหิงทอดมองใบไม้เขียวขจีเต็มกิ่งไม้นอกหน้าต่าง แววตาเย็นเยียบเอ่ย “แม่ทัพ หวังซวี่”