บทที่ 722 พี่น้องพบพาน
สนามประลองใต้ดิน สถานที่ลับที่รวบรวมนักสู้จากแต่ละแคว้นไว้ด้วยกันอย่างนั้นรึ
หันเย่เคยเจอกับนักสู้ฝีมือดีจากที่นั่นมาบ้าง คู่ฝึกต่อสู้ของเขาบางส่วนก็มาจากที่นั่น แต่ส่วนใหญ่จะเก่งแค่เปลือกนอกเท่านั้น หาใช่คู่ต่อสู้ของเขาไม่
และดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะอายุน้อยกว่าเขาเสียอีก
หันเย่ไม่เชื่อว่าคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันจะมีใครเก่งไปกว่าเขาได้!
หันเย่จนอยู่กับความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียเย็น “เจ้าเป็นทหารขององค์หญิงรึ เหอะ สงสัยข้าจะประเมินนางต่ำไป ระหว่างที่ถูกเนรเทศคงสะสมกำลังพลไว้ไม่น้อยเลย! เจ้าใช่ไหมที่เป็นคนลอบสังหารทหารองครักษ์ของจวนไท่จื่อ”
ลอบสังหารทหารองครักษ์ของจวนไท่จื่ออย่างนั้นรึ
กู้ฉังชิงเหลือบมองไปทางด้านหลังก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ พร้อมกับเอานิ้วชี้จิ้มเข้าหากัน
ข้าเปล่า ข้าไม่ได้ทำ ไม่ใช่ข้า!
แม้กู้ฉังชิงมาอยู่ที่แคว้นเยียนพักใหญ่แล้ว สามารตอบโต้ด้วยภาพแคว้นเยียนได้อย่างคล่องแคล่ว เพียงแต่เขาไม่มีพรสวรรค์ด้านภาษา จึงยังคงติดสำเนียงเดิมอยู่อย่างชัดเจน
“เจ้ามาจากแคว้นไหน” หันเย่ถาม
เวลาเขาเจอคนเก่งๆ มักจะอยากเก็บไว้ใช้งานเอง หารู้ไม่ว่ากู้ฉังชิงเป็นพี่ชายของกู้เจียว และมองว่าทั้งสองเป็นแค่ลูกสมุนอีกคนขององค์หญิงก็เท่านั้น
ความสัมพันธ์แบบนี้มักจะแตกหักง่ายที่สุด
กู้ฉังชิงหาได้สนใจจะเปลืองน้ำลายไม่ คนที่ทำร้ายน้องสาวของเขาจะต้องถูกเอาคืนร้อยเท่าพันเท่า!
เขาเป็นคนคิดจริงทำจริง
อีกฝ่ายทำกับน้องสาวเขาเท่าไหร่ เขาจะเอาคืนให้หนักกว่าเดิม
กู้ฉังชิงใส่ทุกกระบวนท่าไม่ยั้งจนอีกฝ่ายเริ่มนองเลือด
หันเย่ถูกโจมตีอย่างน่าสมเพช แทบจะถูกกู้ฉังชิงรัวกระหน่ำอยู่ฝ่ายเดียว
กู้เจียวเปิดถุงผ้าของกู้ฉังชิง ในนั้นบรรจุห่อเนื้อแห้ง (ของโปรดของนาง) ขนมกรุบกรอบ (นี่ก็ของโปรดของนาง) และลูกพรุนกล่องเล็ก (ก็ของโปรดของนางอีกเช่นกัน)
กู้เจียวคว้าเนื้ออบแห้งขึ้นมากินพร้อมกับรับชมการต่อสู้ของทั้งสอง
เห็นได้ชัดว่าฝีมือการต่อสู้ของพี่ใหญ่พัฒนาขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับตอนอยู่ที่แคว้นเจา ดูท่าที่ผ่านมาคงฝึกฝนจากโรงประลองใต้ดินมาไม่น้อยเลยทีเดียว
ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ได้มาโดยปราศจากความทุ่มเท ความสำเร็จทั้งหมดล้วนมีความยากลำบากนับไม่ถ้วนอยู่เบื้องหลัง
“เจ้าไม่มีสิทธิ์มากลั่นแกล้งน้องสาวข้า!”
กู้ฉังชิงเอ่ยจบก็ใช้เท้าถีบเข้าที่หน้าอกของหันเย่จนร่างกระเด็น
เมื่อครู่นี้กู้ฉังชิงพูดด้วยภาษาแคว้นเจา หันเย่ย่อมฟังไม่ออก เขารู้เพียงแค่ว่าฝีมือการต่อสู้ของคนผู้นี้แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ
สำหรับหันเย่แล้ว ตั้งแต่เล็กจนโต เขาไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมเช่นนี้มาก่อน
กู้ฉังชิงคือคนแรกที่เขาเจอ
กู้ฉังชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาราวกับอ่านใจของอีกฝ่ายได้ “เจ้าคิดผิดแล้วล่ะ เจ้าน่ะคือที่สอง”
ถ้าไม่ติดว่าน้องสาวของเขาถูกระงับพลังไว้ ป่านนี้เจ้าเละเป็นโคลนแล้ว!
ในขณะที่หันเย่ต้องการล่าถอย แต่กู้ฉังชิงไม่ให้โอกาสนั้นและใช้กระบี่ฟันแผ่นหลังของเขาเต็มแรง!
ร่างของหันเย่เซล้มกลิ้งอยู่หลายตลบก่อนหยุดลงเพราะชนเข้ากับตอไม้
เลือดของเขาไหลเจิ่งนองเต็มพื้น
กู้เจียวที่นั่งมองฉากต่อฉากก็กำลังเคี้ยวเนื้ออบแห้งอย่างเพลิดเพลิน
เจริญอาหารดีจริงๆ
อันจริงความสามารถของพวกเขาไม่ได้ต่างกันมากนัก ที่หันเย่สะบักสะบอมเช่นนี้ เป็นเพราะกู้ฉังชิงใช้ความโกรธแค้นเป็นตัวขับเคลื่อนจากการที่อีกฝ่ายกลั่นแกล้งกู้เจียวก่อน
คนเราเวลาโกรธถึงขีดสุดมักจะดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
หันเย่ที่นอนปางตายบนพื้นพยายามเอื้อมมือคว้ากระบี่ของตัวเอง ทว่ากลับถูกกู้ฉังชิงสกัดไว้
กู้ฉังชิงเหวี่ยงกระบี่และเล็งไปที่ศีรษะของอีกฝ่าย!
หันเย่หลับตาลง
ทันใดนั้น อาวุธประหลาดสามชิ้นปรากฏขึ้นและพุ่งมาทางด้านข้าง
กู้เจียวเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะเหวี่ยงเข็มพิษออกไปในทันที
อาวุธลับสองชิ้นถูกสกัดเอาไว้ได้ ส่วนอีกชิ้นถูกสกัดไว้โดยกระบี่ของกู้ฉังชิง
และในจังหวะที่กู้ฉังชิงกำลังถูกเบี่ยงเบนความสนใจ จู่ๆ ก็ปรากฏบุรุษในชุดสีเงินเข้ามาช้อนร่างของหันเย่แล้วกระโดดหายตัวไป
กู้ฉังชิงหันไปหากู้เจียวที่อยู่ใต้ต้นไม้ ข่มใจไม่ตามคนพวกนั้นไป แต่เป็นไปไม่ได้ที่เขาปล่อยหันเย่ไปอย่างง่ายดาย
กู้ฉังชิงยกกระบี่ขึ้นแล้ววาดฟันลงกลางอากาศ
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นนึกไม่ถึงว่ากู้ฉังชิงจะมาไม้นี้จึงหลบไม่ทัน
“อ๊ากกก”
สิ้นเสียงร้องโหยหวน กลายเป็นว่าเอ็นร้อยหวายของหันเย่ถูกตัดขาดทันที!
“นั่นฉีเซวียนนี่” กู้เจียวเอ่ย
“ฉีเซวียนจากสำนักถังรึ” กู้ฉังชิงขมวดคิ้ว
“ใช่เขาแน่ๆ ” กู้เจียวพยักหน้า
กู้ฉังชิงเอ่ย “ข้าเคยได้ยินชื่อของเขาตอนอยู่ที่สนามประลองใต้ดิน”
ฉีเซวียนเองก็เป็นอีกคนที่เดินทางมาแคว้นเยี่ยนโดยผ่านการประลอง ชื่อของเขาอยู่อันดับที่เจ็ด
ส่วนกู้ฉังชิงอยู่ที่อันดับสิบเอ็ด
แต่กว่าฉีเซวียนจะไต่ลำดับขึ้นมาได้ต้องใช้เวลาถึงสองปี ขณะที่กู้ฉังชิงใช้เวลาเพียงแค่สองเดือนเท่านั้น
ในช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมา กู้ฉังชิงเอาแต่ฝึกฝนจนลืมวันลืมคืน เพื่อที่เขาจะได้เดินทางมายังเมืองเซิ่งตู
กู้ฉังชิงเก็บกระบี่ลง แล้วย่อเข่าพูดคุยกับน้องสาวของตัวเอง “เจ็บไหม”
“อะไรรึ อ๋อ แผลนี่หรือ ไม่เจ็บหรอก” กู้เจียวส่ายหน้าอย่างเรียบเฉย
อาการบาดเจ็บของกู้เจียวส่วนใหญ่อยู่ที่ที่แขนและหัวไหล่หน้า เห็นได้ชัดว่ากู้เจียวต้องแข็งแกร่งแค่ไหนขณะที่ต่อสู้กับหันเย่
กู้ฉังชิงไม่ได้พกยาติดตัวไว้
“ข้าพาเจ้าไปโรงหมอเอง” เขาเอ่ย
กู้ฉังชิงแบกกู้เจียวขึ้นหลัง
“ข้าเดินเองได้”
ทว่าเขายังคงแบกนางไว้ดังเดิม “แต่เท้าเจ้าแพลงอยู่นะ”
“จริงรึ” กู้เจียวยื่นเท้าข้างขวาของตัวเองออกแล้วพลิกไปมา
“อีกข้างต่างหาก” กู้ฉังชิงเอ่ยโดยแทบไม่ต้องมอง
จากนั้นกู้เจียวยกเท้าซ้ายขึ้น
จริงด้วย ข้อเท้าซ้ายเริ่มมีอาการบวมแล้ว
กู้เจียวแทบไม่รู้ตัวเลย
กู้ฉังชิงรู้ดีว่านางจะต้องเป็นแบบนี้ ไม่เคยใส่ใจความปลอดภัยของตัวเองและเจ็บตัวจนเคยชิน
กลับกัน หากคนของนางเกิดเป็นอะไรไป ต่อให้ผมร่วงแค่เส้นเดียว นางจะเอาคืนผู้กระทำให้เจ็บปวดกว่านั้น
รถม้าของกู้เจียวใช้การไม่ได้แล้ว ม้าก็วิ่งหนีไปแล้ว เหลือแต่สารถีที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นคนเดียว
กู้ฉังชิงเดินเข้าไปปลุกเขาที่กำลังสะลึมสะลือให้ตื่น
“สารถีของใครรึ” กู้ฉังชิงถาม
“ของข้าเอง” กู้เจียวใช้น้ำเสียงเด็กหนุ่มตอบกลับ
“เจ้า ตามมา” กู้ฉังชิงเอ่ยกับสารถี
สารถีไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เห็นว่าจุดเกิดเหตุเละเทะเพียงใด ก็ได้แต่หดคอแล้วเดินตามอย่างเร่งรีบ
ระหว่างทาง สองพี่น้องพูดคุยกันเป็นภาษาแคว้นเจา สารถีจึงฟังบทสนทนาไม่เข้าใจ
ร่างสูงใหญ่ของกู้ฉังชิงกำลังแบกร่างเล็กไว้บนหลัง พอเทียบกันแบบนี้แล้วกู้เจียวดูตัวเล็กลงกว่าเดิมหลายเท่า
ขณะที่กำลังเดิน เส้นผมของกู้เจียวก็ปลิวไปตามจังหวะเดินด้วย
กู้ฉังชิงอดหัวเราะไม่ได้ขณเที่มองดูเงาบนพื้น
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่” กู้เจียวถามเขา
ทักษะการดัดเสียงของกู้เจียวดูเป็นธรรมชาติขึ้นกว่าตอนที่อยู่ชายแดนเสียอีก
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าแค่เห็นม้าสองตัววิ่งออกมา ก็เลยมาดูลาดเลาน่ะ” กู้ฉังชิงตอบ
ด้วยสัญชาติญาณของคนเคยเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในแคว้นเจา เป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องตรวจความเรียบร้อยของบ้านเมือง
แต่ที่นี่ไม่ใช่แคว้นเจา
จุดประสงค์เดียวที่เขามาที่นี่คือเพื่อช่วยเหลือน้องสาวของเขา ส่วนเรื่องอื่นนั้นไม่เกี่ยวกับเขา
อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ มีอะไรบางอย่าวดึงดูดให้เขาเข้าไปในเหตุการณ์
“นี่เจ้า… มีแผลหลายที่เลยใช่ไหม” กู้เจียวทักขึ้นเพราะเห็นรอยแผลเป็นบริเวณหลังคอของเขา
ดูก็รู้ว่าเพิ่งหายได้ไม่นาน
และไม่ได้มีเพียงแค่รอยนี้รอยเดียวแน่ๆ
“เปล่านี่ ข้าไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลย” กู้ฉังชิงปฏิเสธเสียงแข็ง
กู้เจียวก็เลยไม่ถามเขาต่อ
“ว่าแต่ เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ได้ล่ะ” กู้ฉังชิงถาม
ตอนที่กู้ฉังชิงออกเดินทางมาที่นี่ยังไม่มีเรื่องเกิดขึ้นกับกู้เหยี่ยน กู้เจียวเองก็ไม่เคยเอ่ยถึงแผนการที่จะเดินทางมายังแคว้นเยี่ยน
กู้เจียวจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างกู้เหยี่ยนและหนานกงลี่ให้เขาฟัง “…กู้เหยี่ยนต้องได้รับการผ่าตัดภายในครึ่งปี ตอนนั้นข้าเคยได้ยินมาว่าที่นี่อาจมีห้องผ่าตัดที่ข้าต้องการ ก็เลยคิดว่าจะออกเดินทางกับเจ้าด้วย แต่ก็ไม่ทันแล้ว”
สถานการณ์ของกู้เหยี่ยนในเวลานั้นไม่เหมาะกับการเดินทาง โชคยังดีที่จิ้งคงมีเอกสารรับเข้าเรียนของสำนักบัณฑิตของที่นี่
กู้ฉังชิงไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะเกิดเรื่องเยอะขนาดนี้หลังจากเขาออกมา
เขาไม่ใช่คนที่ชอบคิดเสียดายกับเรื่องในอดีต แต่ตอนนี้เขากลับอดไม่ได้ที่จะคิดว่าถ้าเขาออกเดินทางช้ากว่านี้อีกนิด พวกเขาอาจได้เดินทางออกมาด้วยกันก็ได้
แต่พอมาคิดอีกที ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอาจเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว
เขาเองก็ไม่อยากให้พวกเด็กๆ มาเห็นสภาพของเขาตอนอยู่ในสนามประลองใต้ดินนัก
“แล้วอาเหยี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง” กู้ฉังชิงถาม
“การผ่าตัดลุล่วงได้ด้วยดี” กู้เจียวเอ่ย
กู้ฉังชิงตกใจเล็กน้อย “ผ่าตัดเสร็จแล้วรึ”
กู้เจียวพยักหน้า “ใช่สิ ข้าเป็นคนผ่าตัดให้เขาเองกับมือเลยนะ”
กู้ฉังชิงรู้สึกโล่งใจและอดไม่ได้ที่จะถามต่อ “อาการของเขาจะกำเริบอีกไหม”
“ถ้าพักฟื้นได้ดี โอกาสจะกำเริบอีกก็คงน้อย” กู้เจียวตอบอย่างหนักแน่น
กู้ฉังชิงคลี่ยิ้ม พร้อมกับเอ่ยชมน้องสาว “เจียวเจียวเก่งจริงๆ ”
“อื้อ ข้าก็ว่างั้นแหละ” กู้เจียวตอบรับเสียงหนักแน่น
กู้ฉังชิงถึงกับหลุดหัวเราะ
พวกเขาเดินมาเรื่อยๆ จนถึงสระบัวแห่งหนึ่ง กู้ฉังชิงเด็ดใบบัวที่ใหญ่ที่สุดในบ่อ แล้วยื่นให้สารถีพร้อมกับพูดภาษาแคว้นเยี่ยน “กางให้น้องสะ…น้องชายของข้าด้วยล่ะ”
เกือบหลุดพูดว่าน้องสาวแล้วไหมล่ะ
สารถีร้องอ๋อในใจ
ที่แท้ก็เป็นพี่น้องกันนี่เอง
เป็นแค่พี่น้องกัน ต้องดูแลกันดีขนาดนี้เชียวรึ
ให้เดินเองก็ไม่ให้!
กางร่มเองก็ไม่ได้!
พิลึกคนยิ่งนัก!
สารถีมีทางเลือกเสียที่ไหน สุดท้ายก็ต้องทำตามแต่โดยดี
เมื่อได้ร่มแล้ว ความร้อนบริเวณศีรษะจึงค่อยๆ คลายลง กู้เจียวเริ่มหายใจได้โล่งปอดมากขึ้น