บทที่ 714 จุดจบ
เมื่อใกล้รุ่งอรุณ ขอบฟ้าทางทิศตะวันออกปรากฏแสงสลัวสีขาวคล้ายกับท้องปลา แสงแดดอ่อนส่องทะลุผ่านเมฆหนา สาดส่องลงมายังทุกมุมของเมืองเซิ่งตู
หันเย่นั่งอยู่บนเก้าอี้มาครึ่งค่อนคืนแล้ว
ฉีเซวียนกดเข้าที่จุดชีพจรของเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เขาไปขัดขวางท่านอารองหันหย่งที่จะเอาชีวิตเข้าแลกแทนเขา
แม้ว่าฤทธิ์ของการกดจุดจะคลายออกไปเองเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนแล้ว แต่เขาก็เข้าใจว่าทุกอย่างนั้นสายเกินไป
เขานั่งนิ่งงันอยู่ที่นั่น แสงแดดยามเช้าส่องผ่านช่องหน้าต่างมากระทบใบหน้าอันหล่อเหลาคมเข้มด้านข้างของเขา แสงสีรุ้งระยิบระยับล่องลอยอยู่ในฝุ่นละออง
แกรก
ประตูถูกเปิดออก
ผู้ที่เข้ามาคือฉีเซวียน
ฉีเซวียนจ้องมองเขาเพียงครู่เดียวก็เข้าใจว่าจุดชีพจรได้คลายลงแล้ว เขาปิดประตูลงพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านอารองของเจ้าไปแล้ว”
“ศพอยู่ที่ใด” หันเย่ถาม
วิญญาณของเขาเหมือนถูกกระชากออกจากร่าง แม้ได้ยินข่าวร้ายเช่นนี้แล้ว ก็ไม่อาจตกใจหรือสามารถหลั่งน้ำตาได้เลยแม้แต่นิด
สิ่งที่ควรเศร้าใจ ก็ได้เศร้าใจจนพอแล้วในช่วงสองชั่วยามที่ผ่านมา
ตอนนี้เขาเหลือแต่ความแค้นในอก เป็นความแค้นที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ฉีเซวียนเดินมาข้างหน้าเขา “ตระกูลหันจะจัดการเอง เจ้าไม่ต้องกังวลอีกต่อไป”
หันเย่แววตาว่างเปล่า ยิ้มเยาะพลางเอ่ย “ท่านปู่ของข้าถึงขั้นนี้จริงๆ หรือ แม้แต่ศพลูกชายแท้ๆ ยังไม่ให้ฝังอย่างเหมาะสมเลยหรือ”
ฉีเซวียนถอนหายใจ “ฮ่องเต้กริ้วมาก”
หันเย่กำหมัดแน่น “นั่นเป็นลูกชายแท้ๆ ของเขานะ!” เอ่ยถึงท่านปู่ตระกูลหัน
ฉีเซวียนเสริม “ลูกชายนอกสมรส”
หันเย่ปิดตาด้วยความโศกเศร้า เบือนหน้าหนี
ลูกชายนอกสมรส
ถูกต้อง ท่านอาของเป็นลูกชายนอกสมรส แต่เขาท่านอาเป็นลูกชายนอกสมรสที่ดีกว่าลูกชายแท้ๆ หากตระกูลหันเกื้อหนุนท่านอาของเขาบ้าง ท่านอาของเขายอมเก่งกาจสามารถยิ่งกว่าบรรดาแม่ทัพทั้งหลายเป็นแน่!
ท่านอาของเขาไม่เคยตัดพ้อแม้แต่คำเดียว ไม่ว่าให้เขาไปเป็นสายลับตระกูลเซวียนหยวน เขาก็ไปตระกูลเซวียนหยวนเป็นสายลับ ให้เขาวางยาลูกชายคนเล็กของเซวียนหยวนลี่ ก็วางยาลูกชายคนเล็กของเซวียนหยวนลี่
ท่านอาเคยทำสิ่งใดเพื่อตัวเองบ้าง
ไม่เลย แต่ท่านพ่อของเขากลับเป็นผู้ได้ครองความยิ่งใหญ่และความสำเร็จเหล่านั้น
ท่านอาของเขาเพียงแค่ปกป้องตระกูลอย่างเงียบๆ ปกป้องทุกคนอยู่เบื้องหลัง
หันเย่ยิ้มขื่น “ท่านรู้แล้วใช่ไหม ท่านอาของข้าเป็นอัจฉริยะด้านศิลปะการต่อสู้”
ฉีเซวียนพยักหน้า “เขาเรียนรู้เพลงกระบี่สำนักถังทั้งหมดในคืนเดียว ส่วนเจ้าใช้เวลาครึ่งเดือน”
หันเย่หัวเราะเยาะอย่างเย็นชา “ท่านปู่และท่านพ่อของข้าจะไม่มีวันเข้าใจว่าพวกเขากำลังสูญเสียสิ่งใดไป การสูญเสียท่านอาไปคือความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลหัน!”
ฉีเซวียนไม่ออกความคิดเห็นใด
ชีวิตเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน คนเรามิอาจเปรียบเทียบกันได้ ถึงแม้ว่านายรองของตระกูลหันจะเป็นอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติโดดเด่นกว่าหันเย่ แต่ชาติกำเนิดของเขากำหนดให้เขาเป็นเพียงบันไดเท่านั้น
หันเย่เป็นทายาทลำดับที่หนึ่ง การมีตัวตนของเขาเองคือความเชื่อมั่นและความแข็งแกร่งของตระกูลหัน เมื่อเขาอยู่ ความเชื่อมั่นของผู้คนตระกูลหันก็จะอยู่
ฉีเซวียนตบไหล่หันเย่เบาๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “เขาทำเพื่อเจ้าก็จริง แต่เขาก็ทำเพื่อตระกูลหันทั้งหมด เจ้าอย่าได้ให้เรื่องนี้ทำให้เจ้ากับท่านปู่ของเจ้าแตกหักกันเชียว องค์หญิงมิใช่คนที่ต่อกรด้วยได้ง่าย ศัตรูอยู่ตรงหน้า เจ้าจะต้องเข้มแข็ง
หันเย่ถาม “ท่านอาทูลกับฮ่องเต้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด”
ฉีเซวียนตอบ “เป็นเพราะมีความแค้นส่วนตัวกับองค์หญิง เขาบังเอิญพบเจอกับพระนัดดาพระองค์โตในเมืองเซิ่งตูจึงคิดร้าย เขาได้รับโทษทรมานเจ็ดร้อยเจ็ดสิบสี่ครั้ง พิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้โกหก”
หันเย่ถาม “ไม่ใช่ว่ารับโทษทรมานแล้วก็พ้นโทษหรอกหรือ”
นี่เป็นกฎที่ฮ่องเต้ทรงกำหนดไว้ การลงโทษทรมานมีไว้เพื่อบีบบังคับให้สารภาพ ไม่มีคนใดสามารถทนต่อครึ่งหนึ่งได้ หากทนได้จริง ฮ่องเต้จะนับถือเขาว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่ง และจะปล่อยตัวเขา
ฉีเซวียนเงียบ
หันเย่เข้าใจแล้ว “เป็นเพราะท่านปู่ของข้าใช่หรือไม่”
ลูกชายนอกสมรสคนหนึ่งที่พยายามลอบสังหารพระราชนัดดาจะทำลายล้างทั้งตระกูลหัน หากเขาตายเพราะพิษบาดเจ็บก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ทำให้ฮ่องเต้สงบลงได้ แต่เขาทนมาได้ ฮ่องเต้ไม่มีที่ระบายความโกรธของเขา ย่อมจะทำให้ตระกูลหันลำบากแน่นอน
ดังนั้น ปู่ของเขาจึงฆ่าลูกชายนอกสมรสของตนเอง! เพื่อแสดงให้ฮ่องเต้เห็นว่าตระกูลหันภักดี!
หันเย่ชกเสาที่อยู่ข้างตัว!
ฉีเซวียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบใจ “นายใหญ่ตระกูลหันย่อมคิดการณ์ไกลอยู่แล้ว”
หันเย่กำหมัดแน่น “ข้าไม่เชื่อว่าการปรากฏตัวของฮ่องเต้เป็นอุบัติเหตุ แผนการของข้าไม่ได้รั่วไหลออกไป”
ฉีเซวียนวิเคราะห์ “นั่นหมายความว่าข่าวกรองของไท่จื่อรั่วไหลออกไป มีคนรู้ว่าเจ้าจะไปลอบสังหารเซียวลิ่วหลัง จึงจงใจนำฮ่องเต้ไปทางนั้น อย่างไรก็ตาม เซียวลิ่วหลังก็โชคดีอยู่บ้าง ฮ่องเต้มาช้า เจ้าก็ถูกนกล่าเหยื่อขัดขวางเวลาอยู่ หากไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าก็จะสำเร็จลุล่วงไปนานแล้ว”
หันเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจะจับและฆ่านกนั่นให้ได้สักวัน!”
ฉีเซวียนนั่งลงข้างเขาก่อนจะเอ่ยขึ้น “นกอินทรีย์ตัวเดียวไม่น่ากลัว สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือคิดให้ออกว่าเหตุใดข่าวจึงรั่วไหลออกมาจากฝั่งไท่จื่อ ไท่จื่อคงไม่อยากให้เจ้าล้มเหลว แน่นอนว่าไม่ใช่ตัวเขาเองที่ทำ อาจเป็นเพราะคนของเขาทำพลาด หรืออาจเป็นเพราะตั้งใจทำ ถ้าเป็นอย่างหลัง เจ้าและไท่จื่อก็ต้องระวังตัว”
หันเย่กำหมัดแน่นพลางเอ่ย “มีหนอนบ่อไส้ข้างกายไท่จื่อ!”
ฉีเซวียนเอ่ย “มีโอกาสเป็นไปได้สูง เจ้าควรให้ไท่จื่อตรวจสอบคนรอบกายของเขา”
หันเย่เอ่ยด้วยเสียงต่ำ “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านอาจารย์ ท่านอาข้าจากไปแล้ว ต่อไปท่านอาจารย์ต้องลำบากมากขึ้น”
ฉีเซวียนเอ่ย “ข้าไม่ลำบากหรอก คนที่ลำบากคือตระกูลหันของเจ้า เรื่องเพราะนี้คงไม่จบลงง่ายๆ เพียงเพราะตระกูลหันรับโทษ ท่านอาสามของเจ้าถูกปลดออกจากตำแหน่ง ท่านลุงของเจ้าที่เพิ่งได้รับสัมปทานเมืองเหล็กก็ถูกบีบบังคับให้สละสิทธิ์ ได้ยินว่าทั้งตระกูลหนานกงและตระกูลมู่ต่างก็หมายปองม้าเฮยเฟิง เจ้าระวังตัวเอาไว้จะเป็นการดีที่สุด”
หันเย่หัวเราะเยาะ “น่าขันนัก วันก่อนตระกูลหันยังวางแผนแย่งชิงอำนาจทหารจากตระกูลหนานกงอยู่เลย ยามนี้ม้าเฮยเฟิงของตระกูลหันกลับกลายเป็นของกำนัลเสียแล้ว”
ฉีเซวียนเหลือบมองเขาพลางเอ่ย “ยามนี้ยังร้ายแรงถึงปานนั้น หากเจ้าพลาดอีกครั้งก็คงต้องว่ากันอีกที”
…
ณ วังหลัง
ในที่สุดฮ่องเต้ก็รู้แล้วว่าตัวเองศีรษะล้าน กว่าจะรู้ก็เมื่อพระองค์ด่าตระกูลหันและลงโทษลูกชายคนที่สองของตระกูลหัน
ทุกคนเห็น แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร
ท้ายที่สุดแล้ว นอกจากสารถีและจางเต๋อเฉวียนแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าฮ่องเต้ศีรษะล้านได้อย่างไร ในเมื่อพระองค์เป็นฮ่องเต้บ้ามิใช่หรือ พอเกิดบ้าขึ้นมาก็โกนหัวตัวเอง มีอะไรแปลกกัน
องค์หญิงน้อยที่กำลังจะไปสำนักบัณฑิต นางมาหาเสด็จลุงเพื่อรบเร้าให้ไปส่งนาง แล้วก็พบว่าเสด็จลุงของนางกลายเป็นพระไปแล้ว
ดวงตากลมโตไร้เดียงสาของนางเบิกกว้าง ปากน้อยอ้าค้างจนหุบไม่ลง “เสด็จลุง จะออกบวชหรือเพคะ”
ฮ่องเต้ถึงกับนิ่งอึ้งไป ก่อนจะบอกกลับไปว่าไม่ใช่เช่นนั้น องค์หญิงน้อยถามต่อ “แล้วเหตุใดผมของท่านถึง…”
ฮ่องเต้ยกมือลูบศีรษะ รู้สึกเหมือนร่างแหลกสลาย!
พระเกศาของฮ่องเต้มิได้โล้นเกลี้ยงเหมือนดั่งพระนักบวช แต่ยังมีผมอยู่ไม่สองสามเส้น
สามเส้น ไม่เกินไปกว่านี้
ฮ่องเต้เดือดดาลจนแทบจะระเบิด!
ครั้นนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคืนนี้ เขาก็ไม่เชื่อแล้วว่า ซ่างกวานเยี่ยนไม่ได้ตั้งใจล่อเขาออกไป
ตระกูลหันสมควรตาย ส่วนคนที่ใช้พ่อของตัวเองเป็นเครื่องมืออย่างซ่างกวานเยี่ยนไม่มียกโทษให้หรอก!
ฮ่องเต้สั่งให้คนอุ้มองค์หญิงน้อย ก่อนที่ตนเองจะคว้ากระบี่บนแท่นวาง แววตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวพลางตรัส “ซ่างกวานเยี่ยนอยู่ไหน เราจะฆ่านาง!”
จางเต๋อเฉวียนเอ่ยอย่างอึกอัก “ซ่างกวานเยี่ยนออกจากวังไปแล้ว…แล้วก็ยังไม่กลับเลยพ่ะย่ะค่ะ…”
นางจะกลับมาได้อย่างไรเล่า
เรื่องมันลุกลามใหญ่โตถึงขนาดนั้น พระองค์ก็กำลังเดือดดาล จะไม่ให้นางหนีไปได้อย่างไร
อันที่จริงตอนที่องค์หญิงยังเด็ก นางก็ค่อนข้างแก่นแก้ว แต่ตอนนั้นลูกชายของตระกูลเซวียนหยวนยังอยู่ครบ องค์หญิงไม่ได้ก่อเรื่องให้ฮ่องเต้เพียงแค่คนเดียว ทุกคนต่างแบ่งรับความซุกซนขององค์หญิง จึงทำให้ดูเหมือนว่านางไม่ซนมากนัก
แน่นอนว่าครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องซนอีกต่อไป องค์หญิงเหยียบหางสิงโตเข้าแล้วจริงๆ
ความโกรธกริ้วของฮ่องเต้ไม่อาจดับลงได้ในเวลาอันสั้น ขึ้นอยู่กับว่าองค์หญิงจะหนีพ้นหรือไม้
ฮ่องเต้ตัวสั่นด้วยความโกรธ เขาตะโกน “ตามตัวนางมาให้ได้! แม้ต้องขุดดินสามวาก็ต้องเอาตัวนางมาให้เรา!”
…
กู้เจียวไม่ได้ไปสำนักบัณฑิตมาหลายวันแล้ว
เช้านี้ กู้เจียวเย็บแผลให้กู้เหยี่ยน นางเย็บแผลอย่างแสนประณีต หลังจากถอดออกแล้วเหลือเพียงรอยแผลเล็กๆ ที่แทบมองไม่เห็น
เพื่อป้องกันการไม่ให้แผลนูนขึ้นมา กู้เจียวหยิบครีมลดรอยแผลเป็นราคาแพงที่สุดจากกล่องยาใบน้องของนาง
แปลกเหมือนกัน ไม่เคยมีครีมลดรอยแผลเป็นแบบนี้มาก่อน
“อีกห้าวันก็โดนน้ำได้แล้ว” กู้เจียวยื่นครีมลดรอยแผลเป็นให้กู้เหยี่ยน “ถ้ารู้สึกไม่สบายก็บอกข้าทันที อย่าเกาแผล”
“รู้แล้ว” กู้เหยี่ยนตอบ “รีบไปโรงเรียนเถอะ เดี๋ยวสายจะสายเอา”
“ได้” กู้เจียวเรียกกู้เสี่ยวซุ่น และทั้งสองก็ไปสำนักบัณฑิตเทียนฉงด้วยกัน
กู้เหยี่ยนเดินอย่างมีความสุขไปที่ลานท้ายเรือนเพื่อแปรงขนให้ราชาม้าเฮยเฟิง
กู้เจียวและกู้เสี่ยวซุ่นแยกย้ายกันไปในห้องหมิงซินและห้องหมิงเย่ว์
ทุกคนในห้องหมิงซินรู้ว่ากู้เจียวลาป่วยไปพร้อมกับกู้เหยี่ยนเพื่อไปผ่าตัดที่ตำหนักกั๋วซือ พวกเขาไม่รู้ว่ากู้เจียวเป็นคนทำการผ่าตัด พวกเขาคิดว่าเป็นกั๋วซือรักษากู้เหยี่ยน พวกเขาต่างรู้สึกโชคดีแทนกู้เหยี่ยน
มู่ชิงเฉินไม่มา
กู้เจียวนั่งอยู่คนเดียวหลังห้อง
ผู้คนต่างก็เข้ามาล้อมรอบ
“การผ่าตัดเป็นอย่างไรบ้าง สำเร็จหรือไม่” โจวถงที่นั่งอยู่แถวหน้าถาม
“ใช่แล้ว ลิ่วหลัง กู้เหยี่ยนผ่าตัดเป็นอย่างไรบ้าง” จงติ่งก็ถามด้วยความกังวล
กู้เหยี่ยนถึงแม้ไม่ได้มาเรียน แต่เขาก็เคยไปสนามตีคลี ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เคยเห็นเขา
นอกจากนี้ เขายังเป็นเพื่อนของเซียวลิ่วหลง ดังนั้นทุกคนจึงห่วงใยเกี่ยวกับอาการของเขา
“การผ่าตัดประสบความสำเร็จดี” กู้เจียวพยักหน้า
ทุกคนมองหน้ากันยิ้ม และรู้สึกยินดีแทนกู้เหยี่ยนจากใจจริง
โจวถงถาม “แล้วอีกไม่นานเขาก็จะกลับมาเรียนได้ใช่ไหม”
“อืม” กู้เจียวพยักหน้า “เร็วสุดก็ปลายเดือนนี้ ช้าสุดก็เดือนหน้า”
“เอ๊ะ ลิ่วหลัง” จงติ่งเอ่ยเบาๆ มองไปนอกประตู “ตอนเลิกเรียนแล้ว…ไปนั่นนั่นกันสักหน่อยไหม!”
“นั่นนั่นอะไร” กู้เจียวไม่เข้าใจ
เห็นได้ชัดว่าบัณฑิตทุกคนปรึกษาหารือกันมาก่อนแล้ว พวกเขาต่างก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง จงติ่งเป็นเพียงผู้เอ่ยแทนเท่านั้น
ทุกคนต่างก็ค่อนข้างเขินอาย โจวถงของก็ถึงกับหน้าแดง
กู้เจียวคิดอยู่อย่างหนึ่ง “ไปหอนางโลมรึ”
ทุกคนตกใจ!
จงติ่งรีบโบกมือ “ไม่ใช่อย่างนั้น…ไม่ใช่หอนางโลม…พวกเราเป็นบัณฑิต…จะกล้าไปสถานที่มั่วสุมแบบนี้ได้อย่างไร จะต้องสอบรับราชการได้ก่อนสิ”
อ๋อ งั้นไม่ใช่ว่าจะไม่ไป แต่ยังไม่ถึงเวลาไป
“ข้าบอกแล้วว่าอย่าไป!” โจวถงถอยทัพ
คนอื่นเข้า ข้าถอย คนอื่นถอย ข้าไม่ถอย เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์
จงติ่งกระแอมเล็กน้อย รวบรวมความกล้าเอ่ยอย่างจริงจัง “ตกลงกันนี่ จะไม่ไปได้อย่างไรเล่า อีกอย่างที่นั่นก็ไม่ได้เป็นสถานที่มั่วสุม พวกเราก็ไม่ได้ไปหาหญิงงาม เพียงแค่ไปดูละครเฉยๆ ไม่เห็นจะมีอะไรผิดเลย”
ทุกคนต่างก็ลูบหน้าลูบจมูก จับหูตัวเอง มองกู้เจียวด้วยความใจฝ่อปนตื่นเต้น
ถ้าหากเป็นเรื่องจริงที่ว่าแค่ไปดูละคร กู้เจียวก็จะบิดหัวมู่ชวนทิ้ง
จงติ่งหัวเราะเบาๆ “ก็…ก็โรงละครเทียนเซียงเหรอ เจ้ารู้จักไหม เมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งมีการแสดงละครเรื่องใหม่ สนุกมาก ข้าเลยอยากชวนเจ้าไปดู”
อ๋อ โรงละครเทียนเซียง
โจวถงรีบเอ่ย “พวกเจ้าอย่าพาลิ่วหลังเสียคน”
กู้เจียวเอ่ย “ดี ไปด้วย พวกเจ้าเลี้ยง”
ทั้งสองเอ่ยพร้อมกัน โจวถงตกตะลึง
จงติ่งหัวเราะเบาๆ “ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา! ข้าจะเลี้ยงเจ้า! เช่นนั้นตกลงกันแบบนี้แล้วนะ เลิกเรียนแล้วใครก็อย่าเดินหนี ไปดูละครด้วยกัน!”
โรงละครเทียนเซียงยิ่งทำธุรกิจก็ยิ่งดี ชื่อเสียงก็ยิ่งโด่งดังขึ้นทุกวัน ทุกวันไม่เพียงมีลูกค้าในตอนกลางคืน แต่ตอนกลางวันก็เต็มที่นั่งเช่นกัน
สวีเฟิ่งเซียนยิ้มจนมองไม่เห็นตา นั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของชั้นสอง กินถั่วลิสง ฟังเสียงดังอึกทึกด้านล่าง ในใจคิด ในที่สุดสวีเฟิ่งเซียนก็มีวันนี้กับเขาแล้ว!
ขณะที่สวีเฟิ่งเซียนกำลังหัวเราะอย่างมีความสุข ก็เห็นร่างของหญิงสาวที่เดินโซเซมายังหน้าโรงละครเทียนเซียง
นางไม่ได้มาโรงละครเทียนเซียงโดยเฉพาะ แต่แค่ผ่านไปเท่านั้น
แต่นางเดินอยู่ภายใต้แสงแดดที่แผดเผา ร่างกายเริ่มอ่อนแรงลงทีละน้อย ในที่สุดสองตาของนางก็พร่ามัวก่อนจะล้มลงไปข้างหน้า
“กรี๊ด!”
ประตูหน้าของโรงเตี๊ยมมีหญิงสาวหลายคนกำลังชักชวนลูกค้าอยู่ ใบหน้าของพวกนางต่างซีดเผือด
“ฮูหยิน! ฮูหยิน! แย่แล้ว! มีผู้หญิงชาวบ้านคนหนึ่งเป็นลมหมดสติอยู่ที่ประตูหน้า!”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของสาวใช้ สวีเฟิ่งเซียนวางเม็ดแตงโมในมือลง หยิบกระโปรงอันสวยงามของนางแล้วเดินลงบันได
หญิงคนหนึ่งมาถึงหน้าประตู แล้วสาวใช้และหญิงรับใช้ก็ได้ล้อมนางไว้จนแน่นขนัด ไม่สามารถเดินผ่านได้
“ทุกคนถอยกันออกไป! ถอยกันออกไป!”
สวีเฟิ่งเซียนผลักคนกลุ่มนั้นออกไป แล้วนั่งลงข้างๆ หญิงสาวผู้นั้น
สาวใช้ทั้งหลายก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน
“นางตายแล้วหรือยัง”
“ไอ้หยา เสื้อผ้านางขาดรุ่งริ่งเพียงนี้ โดนตีตายมาหรือไง”
“ทำอย่างไรดีเล่า ตายอยู่ที่หน้าประตูของพวกเราแบบนี้ ไม่ต้องทำมาหากินกันพอดี”
สวีเฟิ่งเซียนตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้าเงียบกันเดี๋ยวนี้! เงียบ!”
ทุกคนเงียบลงทันที
ทันใดนั้นเอง เสียงกรนเบาๆ สม่ำเสมอก็ดังขึ้น “ครอก…ครอก…ครอก”
หญิงคนนั้นนอนอยู่ที่พื้น นอนหลับสนิท
สวีเฟิ่งเซียน “…”
ทุกคน “…”