บทที่ 710 ตาหลานพานพบ
หลังจากคาบเรียนภาคเช้าจบลง พวกเด็กๆ ก็ทยอยออกมา
จางเต๋อเฉวียนยืนอยู่ทางตะวันออกของประตู มองเด็กแต่ละคนที่ออกมาอย่างชัดเจน
แปลกจริง เด็กๆ ออกมากันหลายคนแล้วเหตุใดจึงไม่เห็นองค์หญิงน้อยของตนเลยเล่า นางคงไม่ได้เป็นอะไรหรอกกระมัง
ไม่หรอก ตนกำชับกับอาจารย์หลี่ประจำชั้นเด็กอัจฉริยะไว้แล้ว บอกว่าฮ่องเต้ทรงรับสั่งว่าให้เขาดูแลองค์หญิงน้อยให้ดี
อาจารย์สำนักบัณฑิตตัวเล็กๆ คนหนึ่งคงไม่ถึงขั้นไม่เห็นคำสั่งของฮ่องเต้อยู่ในสายตาหรอกกระมัง
จางเต๋อเฉวียนรอแล้วรอเล่า ส่วนองค์หญิงน้อยกำลังเก็บตำราอย่างเชื่องช้าอยู่ในห้อง
นางไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน นางไปเรียนล้วนไม่พกตำรา ราชครูจะแจกให้ ตอนกลับก็มีนางกำนัลเก็บให้นาง
แต่มาที่นี่นางต้องทำเองหมดเลย
นางมือเท้าเป็นระวิง ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มเก็บจากตำราเล่มไหนก่อนดี
โชคดีที่เพื่อนร่วมโต๊ะของตนก็ยังกำลังเก็บอยู่ ไม่เช่นนั้นในห้องเรียนเหลือแค่นางคนเดียว นางคงกดดันมากแน่
อาจารย์หลี่นั่งอยู่บนแท่นสอน เท้าคางด้วยมือข้างเดียว ศีรษะสัปหงกจนเกือบหลับอยู่รอมร่อ
เสี่ยวจิ้งคงเก็บข้าวของเชื่องช้ามาก ทรมานจนอาจารย์หลี่นึกสงสัยในชีวิต ยามนี้อาจารย์หลี่หาวิธีรับมือได้ในที่สุด เจ้าเก็บของเจ้าไป ข้าจะหลับรอ
เสี่ยวจิ้งคงค่อยๆ เก็บตำราเล่มสุดท้ายเสร็จ เลยเวลาเลิกเรียนมาแล้วหนึ่งเค่อ เขามองโต๊ะหนังสือที่โดนองค์หญิงน้อยทำเสียเหมือนที่เกิดเหตุรถชนขนาดใหญ่ ก่อนถาม “ไยเจ้าจึงยังเก็บไม่เสร็จเล่า”
องค์หญิงน้อยทำอะไรไม่ถูก “ข้าทำไม่เป็น”
อาจารย์หลี่สัปหงกเป็นลูกเจี๊ยบจิกข้าวเปลือกจนเกือบร่วงลงมาจากแท่นสอน เขาสะดุ้งตื่นมาเห็นเสี่ยวจิ้งคงเก็บของเสร็จแล้ว เหลือแค่องค์หญิงน้อย จึงรีบเรียกความกระปรี้กระเปร่า กะว่าจะลุกขึ้นไปช่วยองค์หญิงน้อยเก็บกระเป๋าหนังสือ
สุดท้ายได้ยินเสี่ยวจิ้งคงบอก “ข้าจะสอนเจ้านะ”
อาจารย์หลี่พลันใจกระตุกวูบ ชักจะเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาพิกล
เขาห้ามไว้ไม่ทัน เพราะเสี่ยวจิ้งคงเทตำราที่กว่าจะเก็บเสร็จออกมาโครมๆ เรียบร้อยแล้ว
อาจารย์หลี่ใจสลาย
เจ้าปล่อย! ข้าทำเอง…
เสี่ยวจิ้งคงเรียงตำราตัวเองลงบนโต๊ะเหมือนสถานที่เกิดเหตุรถชนกันขนาดใหญ่อย่างองค์หญิงน้อยทุกประการ แม้แต่มุมในการวางปกิณกคดีทับอยู่บนคัมภีร์ตรีอักษรยังไม่เบี้ยวไม่แต่น้อย
เนื่องจากโต๊ะขององค์หญิงน้อยรกเกินไป แค่วางกลับคืนสภาพเดิมเสี่ยวจิ้งคงก็ใช้เวลาไปครึ่งเค่อแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงวางกระเป๋าตำราแบนๆ ไว้ทางซ้ายมือ หันปากกระเป๋ามาทางนี้ ก่อนสอนอย่างเป็นระเบียบแบบแผน “ตอนนี้ เปิดกระเป๋าหนังสือแบบข้า ข้าใส่หนึ่งเล่ม เจ้าก็ใส่หนึ่งเล่มนะ”
“อื้อ” องค์หญิงน้อยเปิดกระเป๋าหนังสือเลียนแบบเสี่ยวจิ้งคง
นางเปิดได้ไม่ค่อยสวยนัก สี่มุมไม่เท่ากัน เสี่ยวจิ้งคงปรับให้นางครู่หนึ่ง
อาจารย์หลี่มุมปากกระตุกยิกๆ กระเป๋าตำราของเจ้าเองมันรกเพียงใดเจ้าไม่รู้ตัวบ้างเลยรึ ยังมีหน้าไปสอนองค์หญิงน้อยเขาอีก
อาจารย์หลี่แย้มยิ้ม “เสี่ยวเสวี่ยเอ๋ย อาจารย์ช่วยเจ้าเก็บดีกว่านะ”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยขึ้นนิ่งๆ “ไยอาจารย์ไม่ช่วยนางกินข้าวด้วยเล่า เรื่องของตัวเองตัวเองก็ต้องทำเองสิ นี่เป็นสิ่งที่ท่านสอนพวกเราเองนะ”
อาจารย์หลี่ “…”
นี่มันศิษย์อกตัญญูชัดๆ !
“ใส่คัมภีร์พันอักษรเข้าไปก่อน แล้วค่อยใส่ปกิณกคดี…”
ความสามารถในการเก็บของของเสี่ยวจิ้งคงติดลบมาก เขาใส่ได้ยุ่งเหยิงมาก แต่ท่าทางของเขากลับเคร่งขรึมจริงจังยิ่ง ดูมีประสบการณ์ไม่น้อย
องค์หญิงน้อยมองกระเป๋าตำรานูนป่องของทั้งคู่ถูกตำราวางพาดทับกันเละเทะมุมขอบกระจัดกระจายไปทั่ว ก็ชักจะรู้สึกว่าเก็บแบบนี้ไม่เหมือนกับที่นางกำนัลเก็บให้
แต่มาดอันมั่นอกมั่นใจของเสี่ยวจิ้งคงก็ทำให้องค์หญิงน้อยรู้สึกว่าบางทีนี่อาจจะเป็นวิธีการเก็บตำราที่ถูกต้องก็ได้
อาจารย์หลี่งีบหลับอีกหน ยกแขนเสื้อเช็ดน้ำลายตรงมุมปาก สะลึมสะลือเอ่ย “เก็บเสร็จแล้วกระมัง ควรกลับได้แล้วกระมัง”
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสี่ยวจิ้งคงบอกกับองค์หญิงน้อย “เอาละ เมื่อครู่สอนเจ้าทำพร้อมกันแล้ว ทีนี้เจ้าลองเก็บเองดูบ้าง”
เอ่ยจบ องค์หญิงน้อยก็เทตำราทั้งหมดออกมาโดยมีเสี่ยวจิ้งคงคอยช่วย…
อาจารย์หลี่ตกลงจากแท่นสอนเสียงดังโครม!
เขาทอดมองคานห้องอย่างหมดอาลัยตายอยาก ใครก็ได้มาฆ่าข้าให้ตายเสียที!
…
สำนักบัณฑิตสตรีชังหลันก็เลิกเรียนแล้วเช่นกัน เซียวเหิงจึงมารับจิ้งคงที่สำนักบัณฑิตหลิงโป
เดินมาจากสำนักบัณฑิตหลิงโปประมาณหลายร้อยก้าว เขาเดินมาด้วยความเร็วปกติ เสี่ยวจิ้งคงยังไม่ออกมา
ชินเสียแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงไม่ได้ยืดยาดเช่นนี้ทุกวันหรอก จะเป็นแค่ตอนที่ตนไม่ให้เขาไปหากู้เจียวเท่านั้นที่เขาจะเอาคืนด้วยการยืดยาด
เซียวเหิงไม่เคยเร่งเขา และหลังจากนั้นก็ไม่เคยดุเขาด้วย
เด็กน้อยก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งเราใส่ใจเท่าใด เขาก็จะยิ่งรู้ว่าไม้นี้ส่งผลต่อเราได้
เซียวเหิงรออยู่หน้าประตูใหญ่อย่างใจเย็น
จางเต๋อเฉวียนอยู่ฝั่งตะวันออก เขาอยู่ฝั่งตะวันตก ระหว่างทั้งคู่มีถนนผ่านประตูใหญ่คั่นกลาง
บัณฑิตของสำนักบัณฑิตหลิงโปมีนับพันคน พอถึงเวลากินข้าวหรือเลิกเรียน หน้าประตูใหญ่ก็จะคึกคักพลุกพล่านราวกับน้ำหลาก
ทว่าต่อให้จะถูกผู้คนมากมายบดบังไว้ และต่อให้จางเต๋อเฉวียนต้องแบ่งสมาธิไปมองหาองค์หญิงน้อยอย่างไร จางเต๋อเฉวียนก็ยังกวาดตาไปเห็นเซียวเหิงที่อยู่ตรงข้ามโดยไม่ตั้งใจได้อยู่ดี
เซียวเหิงสวมเครื่องแบบของสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน สวมผ้าคลุมปกปิดใบหน้าไปกว่าครึ่ง
จางเต๋อเฉวียนเป็นขันที เขามองสตรีไม่แตกต่างจากบุปผาในอุทยานหลวง ต่อให้งดงามเพียงใดก็แค่นั้น เขาไม่คิดจะดูเป็นครั้งที่สอง
ทว่ายามนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด เขามองบัณฑิตคนนั้นไปตั้งหลายคราแล้ว!
เป็นบัณฑิตกระมัง
สวมเครื่องแบบของสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน
รูปร่างสูงอยู่บ้าง แต่เซวียนหยวนฮองเฮาในตอนนั้นก็เป็นคนงามรูปร่างสูงโปร่งมากเช่นกัน
แย่แล้ว น่าตบปากนัก
เอาบัณฑิตของสำนักบัณฑิตสตรีชังหลันมาเปรียบเทียบกับเซวียนหยวนฮองเฮาที่สวรรคตไปแล้วได้อย่างไร
ไม่มองแล้วๆ มองต่อไปไม่ได้แล้ว
เดี๋ยวจะคลาดสายตาจากองค์หญิงน้อยเอา
จางเต๋อเฉวียนบังคับตัวเองให้ดึงสายตากลับจากร่างเซียวเหิง เขาเขย่งปลายเท้าทอดมองไปในฝูงชนที่กรูกันออกมาจากประตูใหญ่ต่อ
องค์หญิงน้อยตัวเล็กมาก จึงไม่สะดุดตาเมื่ออยู่ท่ามกลางกระแสชนของบัณฑิตวัยสิบถึงยี่สิบปีเหล่านี้ ไม่ทันระวังก็โดนบดบังแล้ว
“แต่คนผู้นี้ช่าง…”
สายตาของจางเต๋อเฉวียนโดนเซียวเหิงดึงดูดไปอีกหนโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว
ไยจึงเอาแต่มองนางกันหนอ
ขันทีอย่างข้าไม่มีทางเกิดอยากจะมีสัมพันธ์กับสตรีขึ้นมาหรอกนะ
หลังจากที่จางเต๋อเฉวียนเหลือบมองอีกสองสามคราก็เอาความสนใจของตัวเองกลับมายังดวงตาหงส์คู่นั้นของเซียวเหิงต่อ
ดวงตาเรียวรี หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย แววตาทอประกาย
องค์หญิงกับเซวียนหยวนฮองเฮาล้วนมีดวงตาหงส์เช่นเดียวกัน ให้ความรู้สึกมีเสน่ห์น่าหลงใหลมากกว่าดวงตาเมล็ดซิ่งอันไร้เดียงสาเสียอีก
ไม่ว่าผู้ใดได้สบกับดวงตาคู่นั้นก็เบนสายตาไปไหนไม่ได้เลย
จางเต๋อเฉวียนมองจนใจลอย ไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าองค์หญิงน้อยออกมาจากสำนักบัณฑิตแล้ว
นางออกมาด้วยกันกับเสี่ยวจิ้งคง เสี่ยวจิ้งคงไม่รู้จักครอบครัวของนาง เขามองปราดไปเห็นพี่เขยนิสัยไม่ดีเข้า จึงพาองค์หญิงน้อยเดินไปหาด้วยกัน
เซียวเหิงจึงได้เห็นเจ้าหนูน้อยที่เดินนำเจ้าหนูน้อยที่ตัวเล็กกว่าเบียดเสียดออกมาจากฝูงชน
เสี่ยวจิ้งคงสะพายกระเป๋าตำราไว้ที่หลัง อ้อมกอดก็ยังหอบกระเป๋าอีกใบเอาไว้
เด็กน้อยมองเด็กน้อยด้วยกัน มักมองไม่ออกว่าชายหรือหญิง แต่ผู้ใหญ่อย่างเซียวเหิงแยกออก
เซียวเหิงเลิกคิ้วมองเสี่ยวจิ้งคง เกิดอะไรขึ้นนี่
เสี่ยวจิ้งคงตีหน้าขรึมเอ่ย “เพื่อนร่วมโต๊ะข้า” เขาหันไปแนะนำกับองค์หญิงน้อยต่อ “พี่…สาวข้า”
องค์หญิงน้อยตรัสอย่างสุภาพ “คารวะพี่สาว ข้ามีนามว่าเสี่ยวเสวี่ย”
เซียวเหิงมุมปากกระตุก เจ้าหนูหน้าเหม็น ให้เจ้าไปเรียน ไม่ได้ให้เจ้าไปลักพาตัวเด็กผู้หญิงมานะ
เสี่ยวจิ้งคงอธิบายให้องค์หญิงน้อยฟัง “พี่สาวข้าพูดไม่ได้น่ะ”
“อ๋อ” จิตใจของผู้อาวุโสขององค์หญิงน้อยพลันเอ่อล้นขึ้นมา นางใช้สายตาเมตตาผู้น้อยมองเซียวเหิงอย่างห่วงใย
เซียวเหิง “…”
…
อีกด้านหนึ่ง ณ จวนไท่จื่อ องครักษ์นายหนึ่งสีหน้าร้อนรนมาหยุดหน้าประตูห้องหนังสือ “ทูลฝ่าบาท ทางท่านชายหันส่งข่าวมาพ่ะย่ะค่ะ!”
ไท่จื่อวางงานในมือลง “รีบเข้ามา!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
องครักษ์เข้ามาด้านใน ประสานมือคารวะให้ไท่จื่อ ก่อนทูลด้วยสีหน้าจริงจัง “คนสนิทของท่านชายหันเพิ่งมาหา ฝากข่าวไว้สองเรื่อง เรื่องแรกเป็นข่าวร้าย อีกเรื่องเป็นข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อขมวดคิ้วตรัส “เวลาใดแล้วยังมาข่าวดีข่าวร้ายอยู่อีก ข่าวของเซียวลิ่วหลังใช่หรือไม่”
องครักษ์ทูล “พ่ะย่ะค่ะ!”
ไท่จื่อถาม “ข่าวดีคืออะไร”
องครักษ์ทูลไปตามตรง “ท่านชายหันวิเคราะห์ตามเบาะแสที่ท่านแม่ทัพหนานกงทิ้งไว้สืบเจอร่องรอยของเซียวลิ่วหลัง ที่แท้เซียวลิ่วหลังอยู่ในเมืองชั้นในของเซิ่งตูมาโดยตลอด และที่ท่านแม่ทัพหนานกงสืบหาเขาไม่เจอ ก็เพราะเขาเปลี่ยนตัวตน ปลอมตัวเข้าไปในสำนักบัณฑิตสตรีชังหลันพ่ะย่ะค่ะ! ใช้แซ่กู้ หรือก็คือคุณหนูแคว้นเจาที่ติดอันดับหนึ่งในสิบสาวงามหลังจากมาถึงเพียงสามวัน!”
ไท่จื่อไม่สนใจอันดับสาวงามอะไรนั่น แต่สืบเจอตัวตนของเซียวลิ่วหลังได้ก็เป็นข่าวดีมหาศาลแล้ว จากนี้ก็แค่ไปจับตัวมาจากสำนักบัณฑิตสตรีชังหลันก็สิ้นเรื่องแล้ว!
ไท่จื่อตื่นเต้นอย่างไม่ปิดบัง “ยังไม่รีบให้ท่านชายหันไปจับตัวเขามาให้ข้าอีก!”
องครักษ์สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม “ท่านชายหันไม่อาจลงมือจับเขาได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะเหตุใด” ไท่จื่อถาม
องครักษ์กัดฟันตอบ “และนี่คือข่าวร้ายที่ท่านชายหันให้คนนำมาทูลพ่ะย่ะค่ะ…ฮ่องเต้ทรงอยู่ที่สำนักศึกษา!”
ไท่จื่อสูดหายใจลึก!
จางเต๋อเฉวียนไปตั้งนานแล้ว ฎีกาฮ่องเต้ก็อ่านหมดแล้ว ภายในรถไม่มีใครพัดวีให้จึงร้อนอบอ้าวมาก
ฮ่องเต้ให้สารถีจอดรถม้าที่หน้าประตูใหญ่ของสำนักบัณฑิตหลิงโป
จางเต่อเฉวียนเห็นองค์หญิงน้อยแล้ว กำลังรอองค์หญิงน้อยอำลาสหายใหม่
และเขาก็ไม่คาดคิดว่าเด็กรุ่นเดียวกันในชั้นเรียนเด็กอัจฉริยะขององค์หญิงน้อย จะบังเอิญเป็นน้องชายของบัณฑิตหญิงคนนั้น
องค์หญิงน้อยมองปราดไปเห็นรถม้าของฮ่องเต้ นางจึงวิ่งตึกๆ ไปหา หยุดยืนข้างล้อรถที่สูงยิ่งกว่าตัวเอง ก่อนแหงนหน้ามองหน้าต่างรถพลางเอ่ย “ท่านลุง! ข้าได้เพื่อนใหม่แล้ว! ท่านอยากเจอหรือไม่”
“อย่างนั้นหรือ” ฮ่องเต้เลิกม่านขึ้น
“อยู่ตรงนั้น!”
องค์หญิงน้อยยกมือขึ้นชี้บอก
ฮ่องเต้มองไปทางเซียวเหิงกับเสี่ยวจิ้งคง
คล้ายว่าเซียวเหิงจะสัมผัสได้ จึงเหลือบตาขึ้นมองมาทางราชรถของพระองค์เช่นกัน