บทที่ 693 องค์หญิงน้อยไร้เทียมทาน!
ฮ่องเต้เป็นคนที่จัดการเรื่องราวได้อย่างรวดเร็วและเฉียบขาดคนหนึ่ง คิดจะให้องค์หญิงน้อยเริ่มเรียนหนังสือก็ส่งตัวนางไปที่สำนักศึกษาหลวงเลยทันที
หลังจากเข้าประตูอู่ไปแล้ว สิ่งแรกที่จะเห็นก็คือตำหนักจินหลวน จากนั้นคือตำหนักจงเหอและตำหนักเป่าเหอ ส่วนสำนักศึกษาอยู่ที่ตำหนักเป่าเหอ
บัณฑิตของสำนักศึกษาหลวงล้วนเป็นราชบุตรราชธิดาทั้งสิ้น อายุของแต่ละพระองค์นั้นก็มากกว่าองค์หญิงน้อยมาก แม้ว่าอาจารย์ผู้สอนจะแบ่งกลุ่มสอน แต่จะให้องค์หญิงน้อยวัยสี่ขวบนั่งฟังตลอดทั้งเช้าแต่โดยดีก็เป็นการทรมานนางเกินไป
พอเลิกเรียนนางก็แทบอดรนทนไม่ไหวมาหาเสด็จลุงฝ่าบาท นางไม่อยากเรียนแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เรียน!
ฮ่องเต้เลิกประชุมเช้ามาจะพักผ่อนที่ตำหนักจงเหอหรือไม่ก็อ่านฎีกาอยู่พักหนึ่ง ตอนนั้นสายมากแล้ว องค์หญิงน้อยนึกว่าฮ๋องเต้เลิกประชุมเช้าแล้ว จึงรีบมาหาฮ๋องเต้ที่ตำหนักจงเหอ
ใครจะคิดว่าไม่เจอฮ่องเต้ ซ้ำยังเห็นกู้เจียวที่โดนจางเต๋อเฉวียนจับกุมตัวอยู่ด้วย
องค์หญิงน้อยดวงตาเป็นประกาย “อาจารย์! ท่านเข้าวังมาได้อย่างไร ท่านมาสอนข้าหรือ เร็วเข้า เร็วเข้า เร็วเข้า พาข้าไปที! ข้าไม่อยากเรียนวิชาของราชครูแล้ว!”
จากนั้นองค์หญิงน้อยก็พาตัวคนไปเลย
จางเต๋อเฉวียนไม่กล้าบังคับใช้กฎอย่างเคร่งครัดกับองค์หญิงน้อย อย่างไรเสียหากทำองค์หญิงน้อยตกใจร้องไห้ ฮ่องเต้ได้กุดหัวเขาแน่
จางเต๋อเฉวียนเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังก่อนจะยืนอยู่ตรงนั้นเงียบกริบเหมือนจักจั่นในฤดูหนาว
ห้องทรงอักษรเงียบงัน เงียบเสียจนเหมือนมีแรงกดดันที่มองไม่เห็นกดทับเหนือศีรษะของจางเต๋อเฉวียนไว้
จู่ๆ จางเต๋อเฉวียนก็รู้สึกว่าตัวเองอายุสั้นเสียแล้ว
“เสด็จลุงฝ่าบาท!”
ศีรษะน้อยน่ารักชะโงกเข้ามาจากหน้าประตู
ฮ่องเต้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
องค์หญิงน้อยก้าวขาสั้นป้อมข้ามธรณีประตูสูงมาอย่างยากลำบาก นางฐานันดรสูงศักดิ์ ปกติจะถือว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสเสมอ กิริยาท่าทางเรียบร้อย บุคลิกสง่างาม พวกกิริยากระโดดโลดเต้นเป็นม้าดีดกะโหลกนางไม่ทำตั้งแต่สองขวบแล้ว
ทว่าวันนี้เหมือนว่านางจะเป็นกระต่ายน้อยที่อดรนทนไม่ไหว กระโดดโลดเต้นมาหยุดข้างกายฮ่องเต้ สองมือน้อยๆ คว้าแขนเสื้อฮ่องเต้ไว้ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเด็กเล็ก “เสด็จลุงฝ่าบาท ข้าไปขี่ม้ากับท่านอาจารย์ได้หรือไม่ พวกหลิงอวี้บอกว่าต้องให้เสด็จลุงฝ่าบาทอนุญาตก่อนข้าถึงไปขี่ม้าได้”
พวกหลิงอวี้คือนางกำนัลที่ดูแลองค์หญิงน้อย
ฮ่องเต้ตรัส “ไหนเจ้าไม่กล้าขี่ม้ามิใช่หรือ”
องค์หญิงน้อยเอ่ยอย่างหนักแน่นมีเหตุผล “ขะ… ข้าเรียนจนขี่เป็นข้าก็กล้าแล้ว!”
ฮ่องเต้มองเจ้าหนูน้อยพลางตรัส “เราให้ท่านชายใหญ่หันสอนเจ้าขี่ม้าดีหรือไม่ ให้ท่านชายใหญ่หันมอบม้าเฮยเฟิงตัวน้อยให้เจ้าสักตัว”
ม้าเฮยเฟิงเป็นม้าล้ำค่าที่ใครๆ ต่างอิจฉา ม้าเฮยเฟิงน้อยยิ่งล้ำค่าหายาก
ใครจะคิดว่าองค์หญิงน้อยไม่สนใจใยดีม้าเฮยเฟิงแม้แต่น้อย ความสนใจนางประหลาด ถามอย่างตกใจ “ท่านจะเปลี่ยนอาจารย์ของข้าหรือ”
ไม่รอให้ฮ่องเต้ตอบ นางก็มองฮ่องเต้อย่างปวดใจสุดจะเปรียบ ซักถามจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณ “เพราะอะไร!”
ดียิ่ง กล้าซักถามฮ่องเต้เช่นนี้ เจ้าเป็นคนที่สองเลย ส่วนคนแรกคือเซวียนหยวนลี่ แต่เขาตายไปแล้ว
จางเต๋อเฉวียนปาดเหงื่อแทนองค์หญิงน้อย
แต่เพียงไม่นานเขาก็พบว่าตัวเองช่างใสซื่อเกินไป เขาควรปาดเหงื่อให้ฮ๋องเต้ถึงจะถูก
เพราะองค์หญิงน้อยเห็นว่าฮ๋องเต้ไม่ตอบ ปากน้อยๆ ก็ยู่ขึ้น ดวงตาฉายแววน้อยอกน้อยใจขึ้นมาทันที
ครู่ต่อมานางก็สูดหายใจลึก แหงนหน้าขึ้น สองแขนน้อยๆ สะบัดไปด้านหลัง ร้องไห้จ้าขึ้นมายกใหญ่!
จางเต๋อเฉวียนเห็นพระวรกายของฮ่องเต้สั่นสะดุ้งอยู่ครู่หนึ่ง!
ยามที่องค์หญิงน้อยร้องไห้ขึ้นมามันช่างสั่นสะเทือนฟ้าดิน เทพเทวาผีสางต่างหลั่งน้ำตาให้ ขุนเขาพังถล่ม แผ่นดินไหวแยก เรียกได้ว่าร้องไห้เพียงคนเดียวเทียบเท่าแรงกำลังกองทัพนับพันนับหมื่นได้เลย!
หากกล่าวว่าฮ่องเต้วิปลาสแห่งต้าเยี่ยนมีสิ่งใดที่รับมือไม่ได้ หนึ่งในนั้นก็คือเรื่ององค์หญิงน้อยร้องไห้นี่ล่ะ
ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะเข้าใจได้ว่าเหตุใดคนที่ทำองค์หญิงน้อยร้องไห้ล้วนโดนฮ่องเต้ประหารหมด
“ไม่เปลี่ยนอาจารย์เจ้า ไม่เปลี่ยนแล้วพอใจหรือยัง!” ฮ่องเต้พระพักตร์ทะมึน ทรงพ่ายแพ้ต่อท่าไม้ตายของหลานสาวเสียแล้ว
องค์หญิงน้อยเงียบลงทันที นางคำนับให้อย่างครบกระบวน เชิดคางน้อยขึ้นอย่างผู้กำชัย “ขอบพระทัยเสด็จลุงฝ่าบาท เช่นนั้นข้าไปหาอาจารย์ให้พาไปขี่ม้านะเพคะ!”
นางหิ้วชายกระโปรงขึ้นกระโดดออกไปราวกับกระต่ายน้อย
…
เนื่องจากเกิดการลอบสังหารปริศนาขึ้นในวังหลวง เกรงว่าจะคุกคามถึงความปลอดภัยของฮ่องเต้ วังหลวงจึงเพิ่มมาตรการป้องกัน เรื่องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็จำต้องยกเลิกไปชั่วคราวก่อน
เพียงแต่ว่าให้ยกเลิกก็ยกเลิกอยู่หรอก แต่เมื่อฮ่องเต้เสด็จออกจากตำหนักจินหลวน นอกจากกู้เจียวที่ถูกองค์หญิงน้อยพาตัวไปแล้ว พวกอาจารย์อู่ต่างดีใจที่ได้เห็นพระพักตร์ฮ่องเต้
สำหรับพวกเขาแล้ว ได้เห็นฮ่องเต้ใกล้ถึงขนาดนี้ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ช่างเป็นเกียรติของบรรพชนยิ่งแล้ว กลับไปคงไปโม้ได้อีกยาว
เพียงแต่ว่า เมื่อนึกถึงเรื่องหนานกงลี่แล้ว พวกเขาก็อดหวาดกลัวกันขึ้นมาไม่ได้
นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะเจอคดีฆาตกรรมเข้า ซ้ำลิ่วหลังก็โดนลากไปเกี่ยวข้องด้วย ทั้งยังเกือบโดนจับเพราะนึกว่าเป็นฆาตกรแล้วด้วย
โชคดีที่องค์หญิงน้อยปรากฏตัวได้ทันการ
อาจารย์อู่ลูบหน้าอกที่ยามนี้กำลังวิตกกังวลอย่างเอาเป็นเอาตาย มองกู้เจียวอย่างจนใจแล้วเอ่ย “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าตั้งแต่รู้จักกับเจ้า ชีวิตก็ไม่สงบสุขอีกเลยเล่า!”
ไม่สงบสุขกับการปราบราชาม้า ไม่สงบสุขกับการแข่งตีคลี แม้แต่เข้าวังก็ยังไม่สงบสุขอีก!
อาจารย์อู่เอ่ยอย่างขมขื่น “เมื่อครู่ข้าเกือบตกใจตายแล้วเจ้ารู้หรือไม่”
กู้เจียว “อ้อ”
อาจารย์อู่ “…”
“พวกเจ้าว่า…ใครเป็นคนเข้าวังมาฆ่าแม่ทัพหนานกงกันแน่” หยวนเซี่ยวถาม
“ชู่ เบาหน่อย” มู่ชวนกดเสียงเบาเอ่ย “ลิ่วหลังเป็นพยานเห็นเหตุการณ์เพียงคนเดียว แม้ว่าเขาจะไม่เห็นอะไรเลย แต่เกิดฆาตกรคิดว่าเขาเห็นจะทำเช่นไร หรือคิดว่าก่อนตายหนานกงลี่บอกชื่อของฆาตกรกับลิ่วหลังล่ะจะทำเช่นไร”
หยวนเซี่ยวตกใจจนหน้าถอดสี ปิดปากเอ่ย “ไอ้หยา! ข้าไม่ทันคิดเรื่องนี้เลย! หากว่ากันตามนี้ ก่อนที่จะจับตัวฆาตกรได้ ลิ่วหลังจะไม่ตกอยู่ในอันตรายมากเลยรึ”
อาจารย์อู่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เขาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ข้าเห็นด้วยกับที่มู่ชวนพูด ข่าวในวังแพร่ออกไปแล้ว ฆาตกรอาจจะทำอะไรไม่ดีกับลิ่วหลังก็ได้ ลิ่วหลัง ช่วงนี้ข้าจะไปรับเจ้าที่บ้านเอง”
กู้เจียว “…”
ข้านี่แหละฆาตกร ขอบคุณนะ
จ้าวเวยถอนใจเอ่ย “ศาลต้าหลี่กับกรมยุติธรรมต่างกำลังตรวจสอบคดีนี้อยู่ หวังว่าจะตรวจเจออะไรได้โดยเร็วนะ ไม่เช่นนั้นฆาตกรไม่ได้รับโทษเสียที ชีวิตลิ่วหลังก็ไม่ได้สงบสุขเสียที”
มู่ชวนกับหยวนเซี่ยวพากันพยักหน้า
อาจารย์อู่ไม่ได้เอ่ยคำใด
กู้เจียวมองพวกเขาแวบหนึ่ง ถาม “แม่ทัพหนานกงตายแล้ว พวกเจ้าเสียดายกันมากเลยหรือ”
จ้าวเวยเอ่ย “แม่ทัพหนานกงเป็นผู้สืบทอดของตระกูลหนานกง เป็นแม่ทัพผู้โด่งดังของต้าเยี่ยนเรา มาตายโหงอยู่ในวังหลวงเช่นนี้ คิดๆ ดูแล้วก็มันก็น่าเสียดาย”
น่าเสียดายกับผีน่ะสิ
กู้เจียวนึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่หนานกงลี่เอ่ยขึ้นมาขณะที่เพ้อก่อนตาย หากที่เขาว่ามาเป็นความจริง เช่นนั้นเรื่องที่ตระกูลเซวียนหยวนก่อกบฏเมื่อตอนนั้นก็มีลับลมคมในอยู่เบื้องหลังแน่
ซ้ำตระกูลเซวียนหยวนเดิมก็ไม่ควรพ่ายศึก เป็นหนานกงลี่ที่แทงข้างหลังเซวียนหยวนเซิ่ง หนานกงลี่หักหลังสหายวัยเด็กของตัวเอง และหักหลังตระกูลเซวียนหยวนที่สนับสนุนตระกูลหนานกงด้วย
แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องนี้ ความคิดเห็นของประชาชนมีอคติต่อฝ่ายที่ได้รับชัยชนะมานานแล้ว ไม่เช่นนั้นจะมีคำเรียกที่ว่าแพ้เป็นพระ ชนะเป็นมารได้อย่างไร
หลังจากตระกูลเซวียนหยวนก่อกบฏบีบบังคับฮ่องเต้ให้สละราชย์ ทุกคนต่างประนามพวกเขา ส่วนตระกูลหนานกงที่หักหลังตระกูลเซวียนหยวนกลับกลายเป็นวีรบุรุษที่ได้รับคำสรรเสริญ
…
ตอนที่อยู่ในวังพวกเขาโดนการไต่สวนจากกรมยุติธรรมและศาลต้าหลี่ ด้วยเหตุนี้ตอนกลับเมืองจึงได้ล่าช้า เมื่อมาถึงสำนักบัณฑิตฟ้าก็มืดมิดแล้ว
อาจารย์อู่ให้พวกมู่ชวนกลับหอพักกันไปก่อน “ลิ่วหลัง ข้าไปส่งเจ้าเอง”
“ไม่ต้องหรอกขอรับ บ้านข้าใกล้มาก ข้ากลับเองได้”
“ไม่ได้หรอก ข้าเป็นห่วง” อาจารย์อู่ยืนยันคำเดิม
กู้เจียวทอดถอนใจเอ่ย “ก็ได้ขอรับ”
อาจารย์อู่ใช้รถม้าไปส่งกู้เจียวที่ตรอกที่เช่าพักอยู่
กู้เจียวกระโดดลงรถม้า “ข้าถึงบ้านแล้ว อาจารย์อู่กลับสำนักอย่างสบายใจเถิด”
อาจารย์อู่เลิกม่านขึ้น หยุดเว้นก่อนเอ่ย “ช่วงนี้เจ้าต้องระวังตัวให้มากขึ้นนะ ข้าว่าหากมันไม่ได้จริงๆ เจ้าก็ย้ายมาพักที่สำนักบัณฑิตดีกว่า สำนักบัณฑิตมีทหารคุ้มกัน ข้าก็อยู่ด้วย”
กู้เจียวเอ่ย “ข้าจะตรองดูขอรับ”
หากไม่พูดเช่นนี้กู้เจียวเกรงว่าอาจารย์อู่คงได้ทรมานนางอยู่ตรงนี้จนฟ้าสางแน่
อาจารย์อู่ได้รับคำตอบที่พอใจแล้วก็ขึ้นนั่งรถม้ากลับไป
ในขณะที่กู้เจียวหมุนตัว ประตูเรือนก็เปิดออก กระบี่ยาวเล่มหนึ่งพาดบนลำคอนางจากด้านหลัง
คมกระบี่เย็นเยียบสะท้อนแสงเหน็บหนาวเข้ากระดูกท่ามกลางราตรีสีมืด สะท้อนเข้าสู่ม่านตาเยือกเย็นสงบนิ่งของกู้เจียว
กู้เจียวใช้หางตาปรายมองด้ามกระบี่
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่”
เสียงเย็นเยียบของมู่ชิงเฉินดังขึ้นด้านหลังกู้เจียว
กู้เจียวหันกลับมานิ่งๆ จ้องเขาไม่วางตา “กลับเมืองหลวงแล้วรึ”
“เพิ่งจะกลับมา” มู่ชิงเฉินสีหน้าซับซ้อนมองนาง “ก็ได้ยินเรื่องในวังหลวงเข้า”
“เจ้าเป็นคนสังหารหนานกงลี่ใช่หรือไม่ คราก่อนข้าเห็นเจ้าโดนหนานกงลี่สะกดรอยตามตรงถนนใหญ่ ข้าพาเจ้าซ่อนในรถม้า ข้าถามเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าบอกข้าว่า เจ้าโยนก้อนหินใส่หนานกงลี่ เขาจึงได้ไล่ตามเจ้ามา และที่เจ้าระบายความขุ่นเคืองใส่เขาก็เพราะว่าลูกชายเขาหนานกงหลินเล่นไม่ซื่อในสนามตีคลี คิดจะทำร้ายเจ้า ข้าถามเจ้าว่ารู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นบิดาของหนานกงหลิน เจ้าบอกว่าเจ้าได้ยินคนรับใช้เรียกเขาว่าแม่ทัพหนานกง ถ้อยคำพวกนี้…ข้าเชื่อมันทั้งหมด! แต่เรื่องในวังหลวงวันนี้เจ้าจะอธิบายอย่างไร!”
“เจ้าบอกพวกเขาว่าเจ้าไม่รู้จักหนานกงลี่ เจ้าโกหก!”
“เจ้าโกหกมาโดยตลอด!”
“บอกมา เจ้าเป็นคนฆ่าหนานกงลี่ใช่หรือไม่!”