บทที่ 686 บุตรของนาง (1)
Ink Stone_Romance
เซียวเหิงไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะเซล้มออกมาจากกลุ่มฝูงชน นี่เขาไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ
ทั้งๆ ที่เขารอดมาได้ตลอด ทั้งตอนที่ถูกโจรไล่ล่าแล้วป้ายร้านตกลงมาใส่หัวพวกโจรพอดี หรือไม่ก็ตอนเจอหัวขโมยบุกรุกแต่ดันถูกรถม้าที่ขับผ่านมาชนเข้าเสียก่อน
พอกลับมาเป็นผู้ชายเหมือนเดิมก็เลยโชคร้ายอย่างนั้นรึ
เขาแทบไม่อยากจะนึกภาพตามเลยว่าจะเป็นอย่างไรหากถูกม้าเตะเข้า
เดชะบุญที่ฝูงชนมามุงดูองค์หญิงจนทำให้ถนนหนทางแคบลง ส่งผลให้รถม้าที่สัญจรไปมาต้องเคลื่อนตัวช้าลง
และทำให้เซียวเหิงมีเวลาตะกายลุกขึ้น
เขาใช้มือยันพื้น ทนความรู้สึกเจ็บปวดที่บริเวณหัวเข่าและกัดฟันลุกขึ้นมาจนได้
ทว่าหลังจากลุกยืนขึ้น พอขยับขาไปได้แค่ก้าวเดียว เขาก็ล้มลงกับพื้นอีกครั้ง!
คราวนี้เขาล้มขวางทางรถม้าเข้าแล้วจริงๆ
“เฮ้ย! แย่แล้ว!”
สารถีที่กำลังเคลื่อนรถม้ามาข้างหน้าก็ได้เห็นภาพพ่อหนุ่มที่ล้มลงบนพื้นหลังจากลุกขึ้นยืนได้หมาดๆ !
ทว่าสารถีเองก็ไม่อาจจะหยุดรถได้อย่างกะทันหัน…
และยิ่งไปกว่านั้น หากเขาหยุดรถกะทันหันจนองค์หญิงเกิดเสียหลักขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ
ทหารม้าที่ประกบสองข้างทางเองก็ชะลอม้าไม่ทันเช่นกัน
ทว่าในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ปรากฏเงาสีฟ้าโฉบลงม้าจากบนนภา
ทั้งๆ ที่ตอนแรกเงานั้นยังอยู่ห่างไกล ทว่าจู่ๆ ก็มาโผล่ที่หน้ารถม้าแค่ในชั่วพริบตาเดียว
เงาสีฟ้าปริศนาเข้ามาคว้าร่างของเซียวเหิงอย่างรวดเร็ว
แต่รถม้าขององค์หญิงยังไม่มีทีท่าจะหยุดและยิ่งเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“เขากำลังจะชนกับรถขององค์หญิงแล้ว!”
“ไอ้หยา!”
ผู้คนต่างไม่กล้ามองดูต่อ
ทว่าเรื่องที่พวกเขาหวาดกลัวกลับไม่เกิดขึ้น ชายชุดฟ้าผู้นั้นคว้าร่างของเซียวเหิงแล้วกระโดดลอยขึ้นไปบนรถม้าขององค์หญิงอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะร่อนตัวลงด้านหลังของขบวนรถม้า
เสียงตะโกนดังขึ้นจากฝูงชน “นั่นท่านนักพรตชิงเฟิงนี่นา!”
“ใช่ท่านนักพรตจริงๆ ด้วย! ท่านลงจากภูเขาแล้ว!”
“ท่านนักพรตชิงเฟิงไม่ได้ลงเขามาห้าปีแล้วใช่ไหม ท่านแทบไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด” โนเวลพีดีเอฟ
“ท่านนักพรตช่างหล่อเหลายิ่งนัก!” เสียงตะโกนร้องของหญิงสาวจากหอนางโลมดังขึ้น
จากนั้นก็มีเสียงของเด็กสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ดังขึ้น “ไม่เห็นจะหล่อตรงไหน! คนแบบนั้นเขาไม่มองผู้หญิงหรอก! ข้าว่าท่านชายที่ถูกช่วยคนนั้นดูดีกว่ามากโข!”
“ไม่จริง! ท่านนักพรตชิงเฟิงหล่อที่สุดต่างหาก!”
“ท่านชายคนนั้นหล่อกว่าต่างหาก!”
พอเซียวเหิงพยุงตัวได้แล้ว อีกฝ่ายก็ปล่อยมือเขาลง
เขาหันไปมองหน้าของอีกฝ่าย
ตอนแรกที่เขาได้ยินผู้คนพูดถึงนักพรตกัน ก็นึกว่าจะเป็นผู้อาวุโส ที่ไหนได้ นักพรตที่ว่ากลายเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบกว่าเท่านั้น
นักพรตหนุ่มในชุดคลุมลัทธิเต๋าสีน้ำเงิน ใบหน้าเรียวงามราวหยกแกะสลัก ดวงตาคมชัด ให้ความรู้สึกราวกับเป็นเทพยดาที่ลงมาจากฟ้าสู่โลกมนุษย์
อีกทั้งรัศมีทั้งเปล่งออกมาจากตัวเขาสามารถทำให้คนรอบข้างรับรู้ได้ถึงความสงบภายในจิตใจ
“ขอบพระคุณท่านนักพรตเป็นอย่างสูง” เซียวเหิงประสานมือขอบคุณอีกฝ่าย
นักพรตหนุ่มตอบกลับเซียวเหิงอย่างสุภาพและติดดิน “ไม่เป็นไร”
แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็ไม่เหมือนคนทั่วไป
เอ่ยจบ นักพรตหนุ่มก็หันหลังแล้วเดินออกไป
เขาเดินออกไปเสียอย่างนั้นราวกับไม่มีเหตุการณ์น่าสะพรึงใดๆ เกิดขึ้นเมื่อครู่
เขาเดินไปทิศทางตรงกันข้ามกับรถม้าขององค์หญิง เมื่อครู่นี้เขามาจากทางตะวันออกดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะไปทางตะวันตก
เซียวเหิงมองตามเขาไป ก่อนจะหันไปอีกทิศหนึ่ง และเห็นว่าขบวนรถม้าขององค์หญิงเคลื่อนตัวออกไปไกลแล้ว
หากเทียบกับท่านเซียนนักพรตผู้กล้าแล้ว ความเพิกเฉยขององค์หญิงนั้นเรียกเสียงวิพากษ์ของชาวบ้านได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ยังทำตัวหยิ่งยโสเหมือนเดิม!”
ผู้พูดเป็นชายวัยกลางคนที่ต่อคิวอยู่หน้าร้านเนื้อ ด้วยความที่เขาอายุมากจึงรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมามากกว่า
ชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงถามขึ้น “องค์หญิงเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรเลยรึ”
ชายวัยกลางคนเบ้ปากหนึ่งทีแล้วตอบ “ก่อนหน้านี้รถม้าขององค์หญิงเคยชนคนตาย แถมยังเคยทำร้ายคนเดินถนนจนตายอีกด้วย ถ้าไม่นับว่ามีตระกูลเซวียนหยวนกับฮองเฮาคอยหนุนหลังป่านนี้คงถูกฮ่องเต้ปลดไปแล้ว!”
“ใช่ ใช่ ข้าเคยเห็นกับตาเลยล่ะ! องค์หญิงทุบตีเด็กจนตายคาถนน! เด็กคนนั้นอายุราวห้าหรือหกขวบนี่ล่ะ! ตัวเท่าครึ่งแข้งข้าเอง!”
“ไอ้หยา โหดร้ายอะไรปานนั้น!”
“เจ้าว่าเหตุใดองค์หญิงถึงกลับมาล่ะ”
ชาวบ้านทุกคนเริ่มนินทากันไม่รู้จบ เซียวเหิงรู้ดีว่าข่าวลือนั้นทรงพลังแค่ไหนแต่ก็ยากที่จะบอกได้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ
อีกพักใหญ่กว่าฝูงชนจะแยกย้าย แต่ก็ไม่มีครื้นเครงเท่าเมื่อครู่ ผู้คนต่างเริ่มเคลื่อนไหวอย่างเร่งรีบ แต่ละคนต่างทำธุระของตนเอง
เซียวเหิงยืนอยู่บนถนนสายยาว มองไปยังทิศที่รถม้าขององค์หญิงเคลื่อนตัวออกไป
ไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตาของเขาเองหรือไม่ แต่ตอนที่เขาล้มหน้ารถม้า เซียวเหิงสัมผัสได้ถึงสายตาของใครบางคนที่กำลังจับจ้องเขาอยู่ในขณะนั้น
…
เซียวเหิงต้องซื้อเนื้อใหม่ เพราะชิ้นที่เพิ่งซื้อมาเปื้อนเสียแล้ว
เขาคิดว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ทว่ามีบางอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีกครั้ง
ทันทีที่เขาหันกลับมาพร้อมกับเนื้อแดดเดียว เขาก็พบกับหนานกงลี่ที่กำลังเดินออกมาจากร้านเหล็กที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน
หนานกงลี่มองเห็นเซียวเหิงตั้งแต่แวบแรก
รถม้าอยู่ห่างจากเซียวเหิงแค่ไม่กี่ก้าว ทว่าเขาไม่ขึ้นรถม้า แต่เลือกที่จะเดินกลับเข้าไปในร้านขายเนื้อแทน
หนานกงลี่ขมวดคิ้วแน่น
“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับท่านนายพล” ทหารของหนานกงลี่เอ่ยถามขึ้น
“ข้าเห็นใครบางคน เจ้าบอกให้พวกเขารอข้าแถวนี้ก่อน ส่วนเจ้าไปยืนดักที่ด้านหลังร้านขายเนื้อนั่น อย่าให้ใครผ่านออกไปเด็ดขาด!” หนานกงลี่จ้องเขม็งไปที่ร้านขายเนื้อ
“ขอรับ!”
ทหารยามจึงรีบข้ามถนนแล้วอ้อมไปที่ด้านหลังร้านขายเนื้อ
ส่วนหนานกงลี่เดินตรงเข้าไปทางหน้าร้าน
แขนเสื้อขวาที่ว่างเปล่าของเขาดึงสายตาของผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นได้ไม่น้อย
เถ้าแก่ร้านขายเนื้อเข้ามาถามอย่างสุภาพ “ท่านมาซื้อเนื้อแห้งหรือขอรับ”
อันที่จริงร้านเนื้อแค่เช่าพื้นที่หน้าร้านอาหารเท่านั้น ซึ่งเป็นเถ้าแก่คนละคนกัน
หนานกงลี่ไม่สนใจอีกฝ่าย ก่อนจะก้าวเท้ายาวเข้าไปในร้านอาหาร
ด้วยความที่หนานกงลี่มีใบหน้าเหี้ยมโหดและมีรังสีเย็นชา ทำให้เถ้าแก่ร้านขายเนื้อไม่กล้ารบกวนเขา
หนานกงลี่เดินไปรอบๆ ร้านแต่ไม่พบเซียวเหิง จึงเดินไปที่ประตูหลังแล้วถามทหารยาม “มีใครออกมาบ้าง”
ทหารยามส่ายหน้า “เรียนท่านนายพล ไม่มีผู้ใดออกมาเลยขอรับ”
หนานกงลี่ยังคงค้นหาทั่วร้านอาหาร แม้กระทั่งห้องครัวและห้องน้ำ แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของเซียวเหิง
เขามั่นใจมากว่าตัวเองมองไม่ผิดแน่
คนผู้นั้นคือเซียวเหิง!
มาที่แคว้นเยี่ยนแล้วสินะ
อยู่ดีไม่ว่าดีชอบรนหาที่!
หลบอยู่ที่แคว้นเจายังว่าไปอย่าง แต่นี่เจ้าอุตส่าห์เหยียบเข้ามาในดินแดนของข้า แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!
“ท่านนายพลขอรับ!” ทหารยามเอ่ยขึ้นขณะมองดูเจ้านายที่กำลังทำสีหน้าประหลาด
หนานกงลี่ออกคำสั่งอย่างได้ใจ “เจ้าไปสืบทีว่าช่วงนี้มีใครที่เดินทางมาจากแคว้นเจาบ้าง! ข้าต้องไปจวนไท่จื่อ!”
“ขอรับ ท่านนายพล!” ทหารน้อมรับคำสั่ง
ทันใดนั้น หนานกงลี่ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะยิ้มอย่างเย็นชา “ตรวจสอบสองชื่อนี้เป็นพิเศษ เซียวลิ่วหลัง กับ กู้เจียว!”