บนใบหน้าหนานหยาไม่ใช่มีแค่รอยฝ่ามือ แต่ที่มุมปากก็เขียวช้ำด้วย
โดนหนานซ่งจับแบบนี้ จึงโดนบาดแผล เธอเจ็บจนขมวดคิ้วแน่น แล้วสะบัดมือหนานซ่งออก กลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ก็พ่นออกมาจากปาก “อย่ามายุ่ง!”
หนานซ่งไม่ใช่เจ้าแม่ใจบุญ จึงขี้เกียจจะยุ่ง เลยยืนมองเธออาละวาดอยู่หน้าประตู
หนานหยาจ้องหนานซ่งด้วยดวงตาบวมแดง
“เพราะแก ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้แกหักหน้าพี่หยวนต่อหน้าคนเยอะขนาดนั้น เขาคงไม่อารมณ์เสีย ถ้าไม่ใช่เพราะเขาอารมณ์เสีย เขาก็คงไม่ลงมือกับฉัน”
เธอจับแก้มข้างซ้ายตัวเอง ความรู้สึกทั้งเจ็บทั้งแสบยังไม่หายไป
คืนนี้ฉินเจียงหยวนเกือบจะทุ่มเงินก้อนโตให้หนานซ่ง หนานหยาจึงอิจฉามาก พอจบงานประมูลแล้ว เธอจึงหึงแล้วโวยวาย สุดท้ายเขาไม่ได้ง้อเธอเหมือนปกติ แต่กลับตบหน้าเธอแทน
ตอนที่ฉินเจียงหยวนลงมือตบเธอ เธออึ้งมาก แล้วตั้งสติไม่ได้สักที
สีหน้าเขาโมโหมาก “เธอพอหรือยัง? วันๆเอาแต่พูดฉอดๆไม่หยุด! เธอยังมีหน้ามาหึงหนานซ่งอีก ไม่ส่องกระจกดูตัวเองซะบ้าง ว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นตรงไหน?”
หนานหยาทั้งเจ็บ ทั้งน้อยใจ
แต่ยิ่งไปกว่านั้น คือกลัว
ตั้งแต่เด็กจนโต ฉินเจียงหยวนก็เอาแต่เดินตามหลังหนานซ่ง เธอเสียแรงไปมากแค่ไหนกว่าจะทำให้เขาเลิกตามหนานซ่งได้ แล้วมาคบกับเธอ
ถ้าเขาเสียใจทีหลัง แล้วไม่ยอมแต่งงานกับเธอจะทำยังไง?
พอคิดได้แบบนี้ ใจเธอจึงร้อนรนมาก
หนานซ่งไม่เข้าใจเหตุผลของเธอ จึงกอดอกแล้วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องที่คืนนี้ฉันทำให้ฉินเจียงหยวนขายหน้า เขาอารมณ์เสียแล้วมาตบเธอ ทำไมเธอไม่ตบคืน แต่กลับมาอาละวาดกับฉัน?”
“ก็ฉันจะมาหาแกไง!”
หนานหยาชี้หน้าหนานซ่ง แววตาก็มีแต่ความอิจฉา “แกสะใจมากสินะ มีผู้ชายมาแย่งแกเยอะขนาดนั้น แกนี่เก่งจริงๆ อะไรคุณชายยวี่เมืองเป่ย แล้วก็คุณชายฟู่เมืองหรง เป็นคุณชายตระกูลร่ำรวย เป็นคนมีหน้ามีตาทั้งนั้น ถึงว่าล่ะแกเลยไม่สนใจฉินเจียงหยวน เพราะโดนผู้ชายข้างนอกป้อนจนอิ่มแล้วสินะ ที่แกหายตัวไปสามปี เพราะเอาแต่ไปมั่วกับผู้ชายใช่ไหม?”
หนานซ่งมองหนานหยาที่เป็นบ้านิ่งๆ จากนั้นจึงนึกถึงพวกผู้หญิงปากพล่อยในงานที่นินทาเธอ หนึ่งในนั้นก็พูดถึงหนานหยาด้วย
ข่าวลือต่างๆนานา ที่แท้หนานหยาเป็นคนปล่อยข่าวเองสินะ
“ดูเหมือนว่าคำเตือนที่ฉันเตือนเธอไปวันนี้ จะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แล้วไม่ฟังเลยสินะ”
หนานซ่งนวดขมับ ขี้เกียจจะยืดเยื้อกับเธอแล้ว จึงเรียกพ่อบ้านจ้าวขึ้นมา “วันนี้ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่ว่างที่จะสั่งสอนเธอ เธอไปสงบสติอารมณ์ แล้วสร่างเมาก่อน”
จากนั้นก็หันไปพูดกับพ่อบ้านจ้าว “ให้เธอคุกเข่าอยู่ข้างชักโครก แล้วให้คนเฝ้าเธอไว้ อ้วกให้เสร็จ แล้วล้างหน้าล้วนปากให้สะอาด ห้ามให้เธอลุกขึ้น”
พ่อบ้านจ้าวได้รับคำสั่ง จึงเรียกบอดี้การ์ดสองคนขึ้นมา แล้วพาหนานหยาไปคุกเข่าที่ข้างชักโครก
“พวกแกปล่อยฉันนะ!”
หนานหยาพยายามดิ้นหนี แต่เธอก็ดิ้นหลุดจากผู้ชายร่างกำยำสองคนไม่ได้ คุกเข่าโวยวายอยู่ที่ข้างชักโครกได้สักพัก ก็รู้สึกกระเพาะปั่นป่วน แล้วอ้วกออกมา
หนานซ่งไม่ไปสนใจหนานหยาอีก ใส่ที่อุดหูกันเสียง แล้วนอนหลับไป
หนานหยาอ้วกแล้วอ้วกอีก ลูบหลังให้ เทน้ำให้ แต่ก็ทำตามคำสั่งหนานซ่งอย่างเข้มงวด แล้วไม่ให้เธอลุกขึ้นมา
หนานหยาจึงคุกเข่าอยู่ข้างชักโครกทั้งคืน พอคุกเข่านานไป เธอจึงหลับไปอย่างมหัศจรรย์
……
ห้องสูทเลขหกหกบาร์ซุ่ยอวิน
ตอนที่ยวี่จิ้นเหวินกำลังเช็ดผมแล้วเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ ฟู่ยวี่มาโดยไม่ได้รับเชิญ นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วกำลังมองสำรวจชามเล็กสี่ใบ
“ฉันว่า นี่เป็นชามเคลือบยุคคังซีจริงเหรอวะ?”
ยวี่จิ้นเหวินตอบ”อื้อ”เสียงเบา ฟู่ยวี่ดูอะไรไม่ออก ก็เลยส่ายหน้า “เพื่อชามเล็กสี่ใบนี้ ถึงขั้นทำให้หนานซ่งโกรธขนาดนั้น ฉันนี่เครียดแทนแกเลย”
ยวี่จิ้นเหวินดื่มน้ำไปครึ่งแก้ว ท่าทางนิ่งเฉยมาก
“มีอะไรน่าเครียด?”
ฟู่ยวี่เห็นทีท่าที่นิ่งเฉยของเขา จึงแอบบ่นในใจ
เขาหักห้ามอารมณ์ร้อนไว้ แล้วพยายามเกลี้ยกล่อม “ฉันถามแกหน่อย ที่แกถ่อมาถึงเมืองหนานจากเมืองเป่ย เพื่ออะไร?”
“ธุรกิจไง” ยวี่จิ้นเหวินทำท่าทางจริงจัง “จะมาร่วมธุรกิจฟาร์มม้าไม่ใช่เหรอ?”
ฟู่ยวี่พยักหน้า “ใช่ แล้วแกรู้ไหม คนที่เราจะร่วมธุรกิจด้วยคือใคร?”
ยวี่จิ้นเหวินเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ไม่สำคัญ”
จุดประสงค์หลักที่เขามาเมืองหนานไม่ใช่เพื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว ฟาร์มม้าเป็นแค่ข้ออ้าง จะร่วมธุรกิจกับใครก็เหมือนกัน
เห็นสีหน้าที่ไม่แคร์ของเขา ฟู่ยวี่จึงไม่ค่อยอยากจะบอกเขา แต่ก็อัดอั้นจนต้องเลิกคิ้วขึ้น
“ดูเหมือนว่าก่อนแกมาไม่ได้เช็กอะไรเลยสินะ ที่ดินทางเหนือของเมืองหนาน บริษัทหนานหูพร็อพเพอร์ตี้ถือครองอยู่ ตอนนั้นหนานหนิงไป๋กับหนานหนิงจู๋ประมูลมาได้ในราคาที่สูงมาก แล้วอยากจะสร้างเป็นสนามกอล์ฟ……”
เขายังพูดไม่ทันจบ ยวี่จิ้นเหวินจึงขมวดคิ้วแน่น “หนานหูพร็อพเพอร์ตี้?”
นั่นเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทตระกูลหนานไม่ใช่เหรอ?
“ใช่”
ฟู่ยวี่แอบคิดในใจว่าเพื่อนตัวเองตั้งสติได้สักที “แกไม่รู้ก็เป็นเรื่องปกติ ครึ่งปีหลังเมื่อปีที่แล้วแกยุ่งกับการตีตลาดยุโรป เลยไม่ได้ร่วมประมูล ตระกูลฉันก็มีปัญหาภายใน เลยไม่ได้สนใจด้วย”
หนานหนิงไป๋กับหนานหนิงจู๋ได้ที่ดินนอกเมืองเหนือไป ถือว่าพวกเขาโชคดีมาก
แต่เพราะแบบนี้ เถ้าแก่สองคนนั้นจึงทำให้เงินของบริษัทตระกูลหนานขาดมือ แล้วไม่มีเงินทุนมาเติมด้วย จึงเกือบจะทำให้บริษัทตระกูลหนานล้มละลาย
ยวี่จิ้นเหวินเม้มปาก “เพราะฉะนั้น จะเปลี่ยนจากสนามกอล์ฟมาเป็นฟาร์มม้า คือไอเดียของหนานซ่ง?”
ฟู่ยวี่ดีดมือ “ยินดีด้วย แกตอบถูก!”
ยวี่จิ้นเหวิน : “……”
เขาแอบเหลือบมองไปที่ชามเคลือบเล็กสี่ใบนั้น นึกถึงประโยคสุดท้ายที่หนานซ่งพูด”หวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอคุณชายยวี่” จึงรู้สึกว่าชามเคลือบเริ่มไม่น่าสนใจแล้ว
……
เช้าวันต่อมา พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ หนานซ่งก็เดินออกมาจากห้อง แล้วไปที่ห้องหนานหยา
หนานหยาฟุบอยู่ข้างชักโครก นอนหลับสบายมาก จนน้ำลายไหลย้อย
พอหนานซ่งเห็น จึงอดส่ายหน้าไม่ได้
แบบนี้ก็นอนหลับ ไม่ไหวจริงๆ
ไม่รู้ทำไม เธอรู้สึกว่าหนานหยากับชักโครกดูเข้ากันมาก อาจจะเพราะเหม็นเหมือนกันมั้ง
“คุณหนูใหญ่” บอดี้การ์ดโค้งทักทายหนานซ่ง
หนานซ่งพยักหน้าให้ “เหนื่อยมาทั้งคืน รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ วันนี้ให้พวกนายหยุด เมื่อคืนถือว่าทำงานล่วงเวลา เดี๋ยวไปรีบอั่งเปาที่พ่อบ้านได้เลย”
บอดี้การ์ดแสดงสีหน้าดีใจ “ขอบคุณครับคุณหนูใหญ่!
เสียงดีใจของพวกเขา ทำให้หนานหยาตื่น
พอหนานหยาลืมตาขึ้นมา จึงโอดครวญอย่างเจ็บปวด รู้สึกแสบหน้า ปวดหัว ปวดคอ ปวดเข่า……ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีที่ไหนไม่ปวดเลย
นี่เธอผ่านอะไรมาเนี่ย?
หนานหยาจับคอ แล้วมองสำรวจไปรอบๆ ยังคงตั้งสติไม่ได้ “ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“ดื่มจนจำอะไรไม่ได้ ให้ฉันช่วยเธอรื้อฟื้นความจำไหม?”