สอนรักอดีตภรรยา 39 นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องชดใช้งั้นเหรอ?

ตอนที่ 39 นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องชดใช้งั้นเหรอ?

ของสิบกว่าชิ้นที่ประมูลกันก่อนหน้านั้นรวมกันไม่ถึงห้าล้าน แต่พอของของหนานซ่งกลับเริ่มต้นเจ็ดล้านเลย!

นี่เป็นเศรษฐีที่มาจากไหนเนี่ย?

คนนอกวงการก็ชะโงกหน้าออกมา เพราะที่นั่งของพวกเขาไกลเกินไป จึงเห็นแค่แผ่นหลังที่สวยสง่ารางๆภายใต้แสงไฟที่ค่อนข้างมืด

แค่แผ่นหลังก็ดูรวยแล้ว

“สร้อยคอนี้ อะไรโคลอมเบีย อะไรมรกตเขียว แพงขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เสียงซุบซิบของผู้คนเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ

คนที่อยู่ในวงการกลับเอาแต่จ้องมรกตที่ประกายยิบยับบนเวทีอย่างไม่ละสายตา แล้วแอบคิดเงินในบัญชีตัวเอง อยากได้มากจริงๆ แต่กำลังทรัพย์ไม่พอ

แววตายวี่จิ้นเหวินก็เป็นประกาย มองไปทางหนานซ่งที่อยู่ในมุมมืด แล้วจำสร้อยคอเส้นนั้นได้ เป็นเส้นที่เธอใส่มาในงาน

ฟู่ยวี่คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น “เอ๋ นี่เป็นสร้อยคอที่หนานซ่งใส่มาไม่ใช่เหรอ ถอดลงมาอย่างนี้เลย? เธอก็ตัดใจได้เนอะ”

เวทีการประมูลที่นิตยสารแฟชั่นจัดค่อนข้างเล็ก ไม่ค่อยมีของดีอะไร อย่าพูดถึงฟู่ยวี่เลย ยวี่จิ้นเหวินก็ไม่เคยสนใจเลย ไม่เคยเข้าร่วมด้วย ที่มาวันนี้ ก็มาเพราะหนานซ่ง

เพราะตอนที่ฟู่ยวี่เล่นโซเชียลแล้วเห็นรายชื่อแขกในงานของนิตยสารจุดศูนย์ แฟนคลับต่างๆก็ดีใจที่ไอดอลตัวเองถูกรับเชิญ รู้สึกว่าไอดอลตัวเองน่าภาคภูมิใจมาก!

ทีแรกฟู่ยวี่ยังหัวเราะเยาะพวกแฟนคลับ แต่พอเห็นชื่อหนานซ่งในนั้น ก็สนใจขึ้นมาทันที แล้วรีบไปหาการ์ดเชิญ พร้อมถามยวี่จิ้นเหวิน “จะไปไม่ไป?”

ยวี่จิ้นเหวินเหลือบมองเขา “หนานซ่งไปหรือเปล่า?”

“ไม่แน่” ฟู่ยวี่พูดความจริง แล้วพูดอีกว่า “ถ้าไปล่ะ?”

ยวี่จิ้นเหวิน “ไป”

ในเมื่อนัดเจอไม่ได้ แล้วไม่รู้ตารางงานของเธอด้วย นอกเสียจากต้องลองไปเสี่ยงดวง เขาทำอะไรได้อีก?

ทั้งชีวิตยวี่จิ้นเหวินไม่เคยต่ำต้อยขนาดนี้มาก่อน

นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องชดใช้เพราะเขาเย็นชาใส่ผู้หญิงคนนี้มาสามปีงั้นเหรอ?

เขารู้สึกว่า : เหนื่อยใจมาก

ไป๋ลู่ยวี๋มองลำคอที่ว่างเปล่าของหนานซ่ง จึงเอ่ยว่า “ฉันจำได้ว่าเธอชอบสร้อยเส้นนี้มาก ตัดใจได้เหรอ? เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้อาฉัน ไม่ต้องขนาดนี้หรอก”

ไป๋ยีถิงก็พูดว่า “ใช่เสี่ยวซ่ง หนูมาก็เป็นหน้าเป็นตาให้อามากแล้ว ไม่ต้องบริจาคของที่แพงขนาดนี้หรอก”

หนานซ่งยิ้มอ่อน

“แค่สร้อยเส้นเดียว ไม่ต้องรู้สึกหนักใจขนาดนั้นก็ได้ค่ะ แล้วอีกอย่าง ก็ถือว่าทำบุญบริจาค เงินแค่นี้ไม่มากหรอกค่ะ ถ้าไม่มีคนประมูล เดี๋ยวหนูค่อยรับกลับมา”

หนานซ่งมีสร้อยเพชรพลอยมรกตเยอะมาก นี่แค่เส้นเดียว บริจาคไม่รู้สึกเสียดาย รับกลับคืนมาก็ไม่เลว

พิธีกรเห็นของดีๆจึงเอ่ยแนะนำทันที แล้วพูดชมว่ามรกตเขียวดีแค่ไหน “คุ้มค่ากับเจ็ดล้านแน่นอนครับ ถ้าพลาดคงเสียดายน่าดู……ได้ครับ เจ็ดล้านหนึ่งแสน!”

ฉินเจียงหยวนยกป้ายสูงๆ เหมือนกลัวว่าหนานซ่งจะไม่เห็น แถมยังฉีกยิ้มใส่เธออีก

หนานหยาที่อยู่ข้างๆอิจฉาตาร้อน แม้แต่ของประมูลฉินเจียงหยวนยังขี้เหนียวเอามา เธอเป็นคนที่ไปขโมยมาจากตู้สะสมของคุณพ่อมาให้เขา ตอนนี้กลับยอมเสียเงินเจ็ดล้านหนึ่งแสนประมูลสร้อยของหนานซ่ง?

เขาบ้าไปแล้วเหรอ?

“พี่หยวน นี่แพงเกินไป พี่จะเอาเงินเยอะขนาดนั้นมาจากไหน”

หนานหยาร้อนรนใจ ห้ามปากไม่ทัน แล้วข้างๆก็มีไมโครโฟนพอดี เสียงจึงดังกระจายไม่ทั่วห้องโถง ผู้คนจึงเริ่มหัวเราะเยาะกัน

“คุณชายฉิน ไม่มีเงินก็ช่างเถอะ อย่าฝืนตัวเองเลยครับ” จึงเบิกตาโตจ้องหนานหยา “ผมเป็นถึงประธานบริษัทตระกูลฉิน เงินแค่นี้จะไม่มีได้ยังไงกัน?”

เขาไม่อยากเสียเงินกับหนานหยา ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ยอมเสียเงินเพื่อผู้หญิงคนอื่น

“วันนี้ผมจองสร้อยเส้นนี้ ต้องประมูลมาให้ได้ หากมีท่านใดอยากจะร่วมประมูลด้วย งั้นก็สามารถประชันกำลังทรัพย์กับตระกูลฉินได้ครับ”

ประโยคนี้ เขาพูดให้คนที่กำลังเยาะเย้ยเขาฟัง

ฉินเจียงหยวนยิ้มมุมปากอย่างไม่แยแส ติดกระดุมเสื้อสูท แล้วกำลังจะนั่งลง แต่กลับได้ยินพิธีกรพูดว่า “แปดล้าน!”

ทั้งงานจึงฮือฮากันอีกครั้ง ใครยกป้ายผิดหรือเปล่า?

ฉินเจียงหยวนล้มทั้งยืน แล้วรีบหันไป จึงเห็นผู้ชายที่ใส่คลุมนอกสีดำ ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ยกป้ายขึ้นมา แถมยังยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่เขา ทีท่าท้าทายมาก

“มันเป็นใคร?” เขาถามเพื่อนข้างๆ

เพื่อนของเขากลืนน้ำลาย “เหมือนจะเป็นคุณชายเล็กตระกูลฟู่เมืองหรง ฟู่ยวี่”

จากนั้น พิธีกรยังไม่ได้ถามเลยว่ามีใครจะประมูลเพิ่มหรือเปล่า คนที่นั่งอยู่ข้างฟู่ยวี่กลับยกป้ายขึ้น แล้วเสียงที่เย็นชาก็พูดว่า “สิบล้าน”

ทั้งงานเงียบกริบทันที

ฉินเจียงหยวนเกือบจะล้มอีกครั้ง แล้วเอาแต่จ้องผู้ชายที่เห็นใบหน้าไม่ชัด ที่นั่งอยู่ที่มุมมืด รู้สึกว่าสองคนนั้นกำลังหักหน้าเขา!

เขารีบถามอย่างร้อนรน “คนนี้ใครอีก?”

เพื่อนของเขาพยายามดูใบหน้าให้ชัด แล้วพูดเสียงเบาว่า “เหมือน เหมือนจะเป็นประธานบริษัทยวี่กรุ๊ปที่เมืองเป่ย ยวี่จิ้นเหวิน”

“ปึก” ฉินเจียงหยวนขาอ่อนแรง แล้วล้มลงไปที่พื้น

ฟู่ยวี่จึงรีบพูดยั่วยวน “คุณชายฉิน อย่าปอดแหกสิครับ จะประมูลให้ได้ไม่ใช่เหรอครับ ให้ผมดูหน่อยซิว่าคุณมีกำลังทรัพย์มากแค่ไหน?”

จากนั้นก็เอ่ยพูดกับยวี่จิ้นเหวินอย่างท้าทายอีกว่า “ฉันไม่สนใจมรกตเขียวอะไรหรอก แต่สร้อยเส้นนี้สัมผัสตัวเธอแล้วมีกลิ่นตัวเธอ ซื้อมาก็ไม่ขาดทุน ฉันต้องได้แน่นอน”

แววตายวี่จิ้นเหวินลุกเป็นไฟ น้ำเสียงเข้มขรึมมาก “บังเอิญจริงๆ ฉันก็เหมือนกัน”

“สิบล้านหนึ่งครั้ง สิบล้านสองครั้ง……”

“สิบเอ็ดล้าน!”

ฉินเจียงหยวนพยายามคลานขึ้นมา สายตาก็มองกวาดฟู่ยวี่กับยวี่จิ้นเหวินอย่างเยือกเย็น เพื่อนของเขาก็พากันห้าม เตือนเขาว่าจะหาเรื่องตระกูลฟู่กับตระกูลยวี่ไม่ได้

“ไม่ว่าตระกูลฟู่กับตระกูลยวี่จะมีอำนาจมากแค่ไหน แต่เมืองหนานเป็นที่ของตระกูลฉิน ในที่ของฉัน ฉันจะยอมให้คนนอกมาหยามได้ยังไง?”

ฉินเจียงหยวนดูมีศักดิ์ศรีมาก

แต่มีศักดิ์ศรีได้แค่วินาทีเดียว ก็โดนฟู่ยวี่กับยวี่จิ้นเหวินหยามหน้าอีกครั้ง

ยวี่จิ้นเหวินกับฟู่ยวี่ไม่สนใจฉินเจียงหยวนเลยด้วยซ้ำ แล้วเอาแต่ยกป้าย

“สิบห้าล้าน!”

“สิบแปดล้าน!”

“สิบเก้าล้าน!”

“ยี่สิบล้าน!”

ราคาประมูลสูงขึ้นเรื่อยๆ เสียงของพิธีกรก็ดังขึ้นเรื่อยๆ สายตาของคนทั้งงานหันมองไปทางยวี่จิ้นเหวินกับฟู่ยวี่ อยากจะดูว่าสองคนนั้นเป็นเศรษฐีมาจากไหน?

ไป๋ลู่ยวี๋ก็อึ้งเหมือนกัน เห็นสองคนนั้นยกป้ายสลับกันไปมา จึงอดพูดไม่ได้ว่า “พวกมันเล่นอะไรกันวะ?”

ใบหน้าหนานซ่งนิ่งเฉย ไม่รู้สึกดีใจอะไรเลย

เพราะคุณพ่อคุณแม่ เธอจึงเป็นคนที่ไม่ชอบออกหน้า ไม่ชอบการกระทำที่ไร้สาระแบบนี้ด้วย สามคนที่ยกป้าย ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าได้สร้อยที่เธอเคยใส่ไป ก็จะทำให้เธอไม่สบอารมณ์

เธอหันไปพยักหน้ากับกู้เหิง กู้เหิงจึงยกป้ายขึ้น “ยี่สิบล้านกับอีกหนึ่งหมื่น”

ยวี่จิ้นเหวินกับฟู่ยวี่หันมองไปทางหนานซ่งพร้อมกัน

หนานซ่งไม่มองพวกเขา แล้วพยักหน้าให้พิธีกร พิธีกรจึงรีบนับสาม “ตึก” สิ้นสุดการประมูล

เพราะพวกเขา สร้อยมรกตเขียวเจ็ดล้านแต่เธอกลับขาดทุนไปสิบสามล้าน

แต่ว่าไม่เป็นไร เงินก้อนนี้เธอจะค่อยๆเอากลับคืนมาจากพวกเขาเอง

Options

not work with dark mode
Reset