“……”
มองหนานซ่งที่เดินออกไปอย่างเร็ว หนานหยาโมโหจนแม้แต่ฟันกรามซี่สุดท้ายของเธอก็บดเข้าหากันแน่น!
เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าจะอะไรของดีแค่ไหน หนานซ่งไม่ต้องกวักมือเรียกก็จะมีคนเอาไปส่งให้ถึงที่ ส่วนเธอกลับทำได้แค่นั่งมองตาปรอย
แต่ว่าตอนนี้ประธานของบริษัทตระกูลหนานเป็นพ่อของเธอ คุณหนูใหญ่ของตระกูลหนานก็ควรจะเป็นเธอมากกว่า ทำไมจะต้องปล่อยให้หนานซ่งมาขี่อยู่บนหัวเธอด้วย? เธอไม่มีทางยอม!
ตอนที่หนานซ่งเดินออกมาจากสวนดอกกุหลาบ ไป๋ลู่ยวี๋ยังมาไม่ถึง รถบีเอ็มดับเบิลยูสีเงินคันหรูจอดอยู่ที่หน้าประตูของสวนดอกกุหลาบ ฉินเจียงหยวนลงมาจากรถ
“พี่หยวน!” หนานหยาเห็นว่าแฟนหนุ่มของตัวเองมาแล้ว ก็ดีใจราวกับมนุษย์ถ้ำที่ได้เจอแสง เธออ้าแขนแล้ววิ่งเข้าไปหาฉินเจียงหยวน แถมยังตั้งใจชนไหล่ของหนานซ่งด้วย
ฉินเจียงหยวนโดนหนานหยาพุ่งเข้าใส่แบบนี้เลยทรงตัวไม่อยู่จนต้องก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว หลังของเขาชนเข้ากับรถ คางของเขาก็ถูกหัวของหนานหยากระแทกเข้าใส่จนกัดเข้ากับลิ้นของตัวเอง เจ็บจนเขานั้นสีหน้าเปลี่ยนไป อีกนิดก็จะได้ไปเจอกับยมบาลแล้ว
หนานซ่งมองการพบปะแสนโง่เง่าของทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา เธอทนไม่ไหวจนต้องหลุดหัวเราะพรืดออกมา มิน่าล่ะคนเขาถึงได้พูดกันว่าคนที่ชอบอวดความรักให้คนอื่นมองไปทั่วถึงตายเร็ว
“พี่หยวน พี่ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”
หนานหยาเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าฉินเจียงหยวนจะอ่อนแอขนาดนี้ เลยรีบเข้าไปดูอาการของเขา
ฉินเจียงหยวนเจ็บลิ้นจนพูดไม่ออก เขาผลักหนานหยาออกไปด้วยความโมโห เขาปิดปากตัวเองไว้เพื่อรอให้ความเจ็บบรรเทา พอเขาเงยหน้าขึ้นมา ในวินาทีที่เห็นหนานซ่ง ทันใดนั้นเขาก็นิ่งไป
หนานซ่งอยู่ในชุดราตรีสีแดงที่เปิดไหล่หนึ่งข้าง ชุดยาวมาจนถึงข้อเท้าของเธอ ขับให้รูปร่างผอมเพรียวของเธอดูงดงามและสูงส่งมากกว่าเดิม ดีไซน์ที่เปิดไหล่หนึ่งข้างทำให้เห็นถึงกระดูกไหปลาร้าช่วยเพิ่มความเซ็กซี่ พอยืนอยู่ภายใต้แสงไฟสีส้มเหลือง ยิ่งทำให้เธอนั้นดูขาวสว่าง สวยระเบิด!
แค่ว่า ‘สวย’ คำเดียวก็พอแล้ว!
ฉินเจียงหยวนมองหนานซ่งไม่มองไปที่อื่น อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากแล้วกลืนน้ำลาย
หนานหยาก็ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉินเจียงหยวน เห็นว่าแฟนหนุ่มของตัวเองเอาแต่มองไปที่หนานซ่ง แถมยังไม่ได้หันมามองตัวเองเต็ม ๆ ตาเลยด้วยซ้ำ ในใจของเธอทั้งหงุดหงิดทั้งน้อยใจ จนเธอนั้นต้องเอื้อมมือไปเบนหน้าเขาให้หันมามองตัวเอง
“พี่หยวน ฉันอยู่นี่นะ มองฉันสิ! เป็นไงคะ วันนี้ฉันสวยหรือเปล่า?”
หนานหยายกชายกระโปรงขึ้นมาให้ดู จากนั้นก็หมุนตัวเหมือนกับเจ้าหญิง ในใจก็รอคำชมจากแฟนหนุ่ม แต่พอเธอเงยหน้า ก็เห็นเพียงแต่สายตาเดียดฉันท์จากแฟนหนุ่ม
ข้อมือของฉินเจียงหยวนอยู่ติดกับหัวรถ สายตาของเขาแสดงความรังเกียจออกมาอย่างไม่ปิดบัง “ฉันเคยบอกไปกี่ครั้งแล้ว ว่าเธอผิวดำขนาดนี้ไม่ควรจะสวมเสื้อผ้าสีน้ำเงิน สีนี้เป็นสีที่สามารถทำให้เธอดูดีได้หรือไง? แล้วก็อีกเรื่องนะ คิดว่าตัวเองเป็นแค่เด็กสาวอายุสิบแปดหรือไง?”
เขาเอ่ยว่าหนานหยาเสียงดัง ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่ว่าจะตรงไหนก็ไม่ดี หนานหยาก้มหน้ามองตัวเอง เธอน้อยใจจนขอบตาแดงรื้น
เธอรู้ว่าตัวเองไม่สวย ตั้งแต่เด็กเธอก็ไม่เคยสวยสู้หนานซ่งได้
ตั้งแต่เกิดมาหนานซ่งก็ผิวขาวราวหิมะ ส่วนเธอก็ผิวสีเข้มมาตั้งแต่กำเนิด หลัง ๆ พยายามลองผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวขาวดูไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่ว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นเกิดขึ้นแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หนานซ่งสูงตั้ง168เซนติเมตร หุ่นผอมเพรียวตัวสูงยาวอ้อนแอ้น แต่เธอนั้นตัวสูงแค่158เซนติเมตรตั้งแต่มัธยมต้นจากนั้นก็ไม่สูงขึ้นอีกเลย
แต่ไม่ว่ายังไงวันหนึ่งลูกเป็ดขี้เหร่ก็ต้องได้กลายเป็นหงส์ขาวอยู่ดี!
หนานซ่งมองฉินเจียงหยวนที่ต่อว่าและลดทอนคุณค่าของหนานหยาไม่หยุดเสียที ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นเรื่อย ๆ ใช้คำพูดทำให้แฟนของตัวเองดูแย่อย่างไม่หยุดหย่อนแบบนี้ ทำลายความมั่นใจของพวกเธอ นี่ไม่ใช่วิธีการจีบผู้หญิงคนอื่นอีกวิธีหนึ่งหรือไง?
“คืนนี้แกทานกระเทียมมาหรือยังไง ทำไมปากของแกถึงได้เหม็นขนาดนี้?”
ฉินเจียงหยวนกับหนานหยาหันมามองหนานซ่งพร้อมกัน
หนานซ่งมีสีหน้าเรียบนิ่ง แต่คำพูดที่เธอพูดออกมา รุนแรงเป็นอย่างมาก
เธอมองฉินเจียงหยวนตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วว่า: “แกยังกล้าที่จะว่าคนอื่นอีกเหรอ แกลองก้มหน้าลงมองหน้าท้องของแกหน่อยไหม อายุยังไม่ทันถึงสามสิบก็อ้วนพุงออกเพราะเบียร์เสียแล้ว นี่ถ้าใส่จมูกหมูให้ แกก็สามารถไปแสดงเป็นตือโป๊ยก่ายได้แล้ว วันไหนที่ทีมนักแสดงขาดคนแสดงเป็นตือโป๊ยก่าย ฉันจะแนะนำแกไปเป็นคนแรก”
ฉินเจียงหยวนที่โดนหนานซ่งว่าให้ก็รีบแขม่วท้องในทันที จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
ฉินเจียงหยวนยังไม่ทันจะโมโหเลย แต่หนานหยากลับโกรธเสียแล้ว
เธอมายืนอยู่ด้านหน้าฉินเจียงหยวนเหมือนกับคุณป้าแถวบ้านนอก จากนั้นก็รีบเข้ามาต่อว่าหนานซ่งทันที “แกมีสิทธิ์อะไรมาว่าแฟนของฉัน! เขาจะอ้วนหรือไม่อ้วนมีหรือไม่มีหน้าท้องเกี่ยวอะไรกับแกด้วย ไม่ว่าพี่หยวนของฉันจะเป็นยังไงฉันก็ชอบเขาทั้งนั้น แม้แต่ชมผู้ชายสักคนเธอยังทำไม่เป็น สมควรแล้วที่โสดมาตั้งยี่สิบกว่าปีไม่มีคนมาขอ!”
บางทีอาจเพราะหนานหยาคิดว่าเธอนั้นมีฉินเจียงหยวนคอยหนุนหลังอยู่ เลยมีความกล้าขึ้นมา เธอเลยต่อว่าหนานซ่งต่อ “หึ ผู้หญิงอย่างแก ต่อให้ได้แต่งงานแต่สุดท้ายผู้ชายก็คงจะขอแกหย่าอยู่ดี!”
เมื่อกี้ที่เธอต่อว่าฉินเจียงหยวนไปก็เพราะต้องการที่จะด่าเขาแทนหนานหยา ก็แค่ทนไม่ได้ที่เขานั้นมาว่าส่วนนั้นส่วนนี้ของผู้หญิง แต่ว่าผู้หญิงที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยแบบหนานหยา ไม่เคยแยกแยะถูกผิด ก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะโดนฉินเจียงหยวนหลอกด่า
คำพูดพวกนั้นที่หนานหยาว่าเธอ เธอไม่ได้สนใจเลยสักนิด แต่ว่าประโยคสุดท้ายนั่น เหมือนเข็มที่ทิ่มลงไปที่กลางใจของเธอ
เท้าในรองเท้าส้นสูงของเธอ ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาหนานหยาทีละก้าว ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมใบหน้าเรียบนิ่งบวกกับความรู้สึกเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากตัวเธอในเวลากลางคืนแบบนี้มันถึงได้ดูน่ากลัวขึ้นมา ทำให้คนตัวสั่นได้ทั้งที่ไม่ใช่หน้าหนาว แม้แต่ขนบนตัวก็ตั้งตั้งชันขึ้นมา
หนานหยาตัวหดด้วยความกลัว ตั้งใจจะไปหลบหลังฉินเจียงหยวน แต่ว่าฉินเจียงหยวนนั้นกลัวมากกว่าเธอเสียอีก เขาเชื่อเรื่องผีสาง เขามักจะคิดว่าการกลับมาของหนานซ่งในครั้งนี้ เหมือนกับจะกลับมาเอาชีวิตเขา
หนานซ่งเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของหนานหยา ยื่นมือไปบีบคอของเธอ จากนั้นก็ยกเธอขึ้นมาจนตัวลอย
“เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ พูดใหม่อีกทีซิ”
คอของหนานหยาโดนหนานซ่งบีบจนหายใจไม่ออก เธอจะหายใจก็ช่างยากลำบาก เธอหายใจไม่ได้จนหน้าแดงไปหมด เธอเตะขาไปมา และพยายามแกะมือของหนานซ่งสุดชีวิต ริมฝีปากของเธอส่งเสียงอู้อี้ออกมา แม้แต่ประโยคเดียวก็พูดไม่ออก
ฉินเจียงหยวนกลัวจนแทบจะบ้าแล้ว เขาขาอ่อนไปในทันที “สะ เสี่ยวซ่ง……”
เขาอยากจะเข้าไปห้าม แต่กลับโดนสายตาของหนานซ่งสั่งให้ถอยไป อีกนิดเขาก็แทบจะคุกเข่าให้เธออยู่แล้ว
หนานซ่งมองภาพนั้นแล้วก็ได้แค่กลอกตามองหนานหยาที่โดนบีบคอจนเกือบจะตายไปแล้ว จากนั้นเธอก็พูดออกมาอย่างโกรธแค้น: “ถ้าฉันจะเอาชีวิตแก แกคิดว่าฉันกำลังล้อแกเล่นเหรอ? ฉันบีบคอแกให้ตาย มันง่ายเหมือนบีบคอมดเลยด้วยซ้ำ ถ้าเกิดไม่อยากตายเร็วขนาดนั้น แกก็ปิดปากให้สนิท ทำตัวดี ๆ เข้าใจหรือยัง?”
หนานหยาในตอนนี้พยายามรักษาชีวิตเอาไว้ได้ จึงได้แต่พยักหน้าในเงื้อมมือของเธอ
หนานซ่งปล่อยมือ แล้วส่งตัวเธอให้ไปอยู่ในอ้อมกอดของฉินเจียงหยวน ในที่สุดหนานหยาก็ได้กลับมาหายใจอีกครั้ง เธอกุมคอของตัวเองไว้แล้วไอโขลก ๆ ออกมา
ไป๋ลู่ยวี๋ค่อย ๆ ขับรถไมบัคเข้ามา ลงจากรถแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของหนานซ่ง “มีอะไรกันเหรอ?”
“ไม่มีอะไร ก็แค่สั่งสอนน้องสาวที่ไม่ค่อยรู้ความน่ะ” หนานซ่งรับผ้าเปียกที่ผู้ช่วยส่งมาให้ จากนั้นก็ใช้มันเช็ดมือ แล้วหันไปพูดกับไป๋ชีว่า “ไปกันเถอะ” จากนั้นเท้าในรองเท้าส้นสูงก็เดินออกไปอย่างเท่ ๆ