หนานหยาโดนหนานซ่งสั่งสอนไปชุดใหญ่ จากนั้นเธอก็พอจะดีขึ้นบ้างอยู่สองสามวัน
ตอนแรกเธอนั้นตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับพ่อ จะให้พ่อมาช่วยออกหน้าจัดการแทน แต่ว่าหนานหนิงไป่กับหนานหนิงจู๋ได้ยินมาว่าที่ยูนนานมีนักโบราณคดีมาปล่อยของสะสมดี ๆ หลายชิ้น ทั้งสองก็เลยพากันไป แถมติดต่อใครไม่ได้เลยด้วย
แมวไม่อยู่หนูร่าเริง
ช่วงนี้เจ้าหนูหนานซ่งตัวนี้ก็ไม่ได้ว่าง ตอนนี้หนานหนิงไป่กับหนานหนิงจู๋ไม่อยู่ เธอรับเรื่องต่าง ๆ ในบริษัทตระกูลหนานมาจัดการ ภายในบริษัทก็มีการเปลี่ยนแปลงสายเลือดครั้งใหญ่ วิธีการต่าง ๆ ก็ได้ทำอย่างถูกต้องตามประเพณี-ใครที่ทำตามที่ฉันสั่งคนนั้นก็อยู่รอด ส่วนใครที่ขัดคำสั่งฉันก็ไม่มีที่ยืน
ภายใต้บริษัทใหญ่นั้นก็ยังมีบริษัทเล็ก ๆ อีกมากมาย หลังจากที่ผ่านการคัดเลือกจากแผนกต่าง ๆ ในทุก ๆ วันมักมีเรื่องด่วนเข้ามาให้จัดการจำนวนไม่น้อย วันหนึ่งอย่างน้อยก็ต้องมีประชุมสักสามประชุม เพื่อให้มั่นใจว่างานสำคัญจะสามารถตามกันได้ทัน
“โปรเจกต์เครื่องประดับในหัวข้อ ‘ดอกกุหลาบ’ โดนพูดถึงเยอะมากและโดนพูดถึงในทิศทางที่ดี เราได้รับการตอบรับที่ดีตั้งแต่เริ่มเปิดตัว ศิลปินที่อยู่ภายใต้สังกัดของบริษัทหนานซิงเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ก็ช่วยกระจายข่าวทำให้ได้รับความสนใจจากเหล่าแฟนคลับ แล้วก็ได้มีการรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับความรักเอาไว้จำนวนมาก…….”
ผู้จัดการฝ่ายการตลาดรายงานถึงความคืบหน้าของงาน ฝ่ายออกแบบก็นำเสนอแบบให้ดู หนานซ่งฟังไปด้วยดูไปด้วย ไม่วายพยักหน้าติดกันซ้ำ ๆ ”
ในโลกแห่งยุคโลกาภิวัตน์คนมักจะใส่ใจในเรื่อง ‘ทุกคนมีโอกาสเข้าร่วม’ เมื่อชาวเน็ตให้ความสนใจและเข้าร่วมกันจำนวนมาก โอกาสในการทำก็จะมีมากขึ้น บวกกับของรางวัลและเงินรางวัลจำนวนไม่น้อยที่เป็นตัวดึงดูดพวกเขา สิ่งที่ได้รับมาก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ค่อนข้างดี
“แบบทั้งสามรูปนี้ดูดีเลยทีเดียว รีบสร้างชิ้นงานออกมาให้ไวที่สุด ถัดไปพวกเราก็สามารถเลือกคนที่จะมาเป็นพรีเซนเตอร์ได้แล้ว”
ผู้จัดการแผนกออกแบบกับผู้จัดการของศิลปินต่างก็พากันพยักหน้าแล้วหันไปมองทางหนานซ่ง “ความหมายของคุณคือ ดาราหนึ่งคนต่อของหนึ่งชิ้น?”
หนานซ่งไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เธอกำลังตรวจงานบนเอกสารการออกแบบ น้ำเสียงเรียบนิ่ง “ศิลปินภายใต้บริษัทหนานซิงเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ไม่ใช่กำลังว่างงานกันหรือไง อยากจะยกเลิกสัญญาแล้วไปหาบริษัทใหม่กันแล้วเหรอ คนที่รั้งเอาไว้ไม่ได้ก็ยกเลิกสัญญาไปเลย คนที่อยากอยู่ต่อก็ให้คนพวกนั้นเป็นพรีเซนเตอร์ คนที่อดทนรอจะได้เห็นสายรุ้ง อยากจะดังก็ต้องหัดรู้จักรอถึงจะได้”
หลังจากเลิกประชุม หนานซ่งก็กลับไปที่ห้องทำงาน แล้วถามกู้เหิง “วิกฤติของบริษัทยวี่กรุ๊ปได้รับการแก้ไขแล้วเหรอ?”
แต่เช้ามาเธอก็ต้องรีบไปเข้าประชุม เห็นแล้วว่าบริษัทยวี่กรุ๊ปนั้นโดนค้นหาเป็นอันดับหนึ่ง แต่แค่เรื่องของตัวเองก็ยุ่งจนไม่มีเวลาแล้ว เลยไม่ได้กดเข้าไปดู มาตอนนี้ถึงได้นึกออก
“ครับ”
กู้เหิงส่งแก้วน้ำชาหลงจิ่งที่เพิ่งจะต้มเสร็จให้กับหนานซ่ง จากนั้นก็รายงานให้เธอฟังเป็นเรื่อง ๆ โดยไม่มีตกหล่น “มูลนิธิการแพทย์ตะวันตกของบริษัทยวี่กรุ๊ปถูกสื่อมวลชนเอ่ยชม เหล่าสำนักข่าวก็พากันรายงานเพื่อเกาะกระแส เรียกให้ชาวเน็ตหันมาสนใจการกุศลที่บริษัทยวี่กรุ๊ปทำ อย่ามัวแต่สนใจเรื่องส่วนตัวของคุณยวี่”
การที่สื่อมวลชนเอ่ยชมครั้งนี้ ทำให้การพูดถึงแบบปากต่อปากเรื่องบริษัทยวี่กรุ๊ปได้กลับมาอีกครั้ง หุ้นและเงินระดมทุนก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทิศทางเปลี่ยนไปในทันที
ก่อนหน้านี้โดนคนด่าตั้งเท่าไหร่ ตอนนี้ก็มีคนชมจำนวนเท่านั้น ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าจำนวนคนที่ชมในตอนนี้มีคนที่เคยร่วมด่าอยู่จำนวนเท่าไหร่
นี่ก็คือยุคอินเทอร์เน็ตในทุกวันนี้ เฮ้อ โดนพูดถึงในแต่ละครั้งส่งผลกระทบมากจริง ๆ
หนานซ่งมีสีหน้าเรียบเฉย เธอรู้มาตั้งนานแล้ว ด้วยความสามารถของยวี่จิ้นเหวิน เรื่องเล็ก ๆ น้อยพวกนี้เป็นเรื่องง่าย ๆ สำหรับเขา
พ่อเคยบอกเธอเอาไว้ว่า “ถ้าตระกูลหนึ่งอยากจะมีชื่อเสียงโด่งดัง จำเป็นที่จะต้องมีคนคอยเป็นผู้นำ คนที่เหลือก็ต้องรวมใจกันตามคนคนนั้นไป ฟังเขา ช่วยเหลือเขา ถึงจะได้มีอนาคตที่สวยงามด้วยกัน”
ก็คือลูกสาวคนโตของตระกูลยวี่ ยวี่เฟิ่งเจียว และคนที่จะมาเป็นผู้นำตระกูลได้ในอนาคต ก็ดูเหมือนว่าจะมีแค่ลูกชายของเธอคนเดียวเท่านั้น หลานของตระกูลยวี่-ยวี่จิ้นเหวิน”
ยวี่จิ้นเหวินที่เคยโดนพ่อตาชื่นชมเอาไว้ ตอนนี้กำลังอยู่บนถนนที่มุ่งหน้ามาสู่เมืองหนาน
หลายปีมานี้เขาได้เดินทางไปทั่วตั้งแต่เหนือจรดได้ แต่ว่าจำนวนครั้งที่ได้มาที่เมืองหนานนั้นน้อยมากจริง ๆ เคยได้มาครั้งหนึ่งเพราะต้องทำภารกิจตั้งแต่ครั้งที่เขายังอยู่ในทีม
ของที่ขึ้นชื่อที่สุดในเมืองหนาน ก็คงจะเป็นดอกกุหลาบ
ในเดือนพฤษภาคมของทุกปี เมืองหนานจะจัดงานเอ็กซ์โปเกี่ยวกับดอกกุหลาบหนึ่งครั้ง
หนานซ่งชอบกุหลาบขนาดนั้น แต่ในตอนนั้นเขาไม่รู้เลย ว่าเธอเป็นคนเมืองหนาน
ยวี่จิ้นเหวินมองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่าง หมุนตราประทับรูปดอกกุหลาบในมือเล่นไปเรื่อย ๆ เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ได้รู้จักภรรยาเก่าเท่าไหร่ และตอนนี้ เขาอยากจะลองไปรู้จักเธอใหม่อีกครั้ง
รถเก๋งวิ่งผ่านจุดที่เป็นสัญลักษณ์ของเหมือนหนาน-แปลงดอกกุหลาบ
ยวี่จิ้นเหวินโทรหาฟู่ยวี่ “ฉันมาถึงแล้ว”
……
ตอนที่เธอกำลังเลิกงาน หนานซ่งก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่ชายคนเล็กของเธอ ว่าเขาต้องการให้เธอไปออกงานการกุศลเป็นเพื่อน
หนานซ่งไม่อ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อย เธอพูดปฏิเสธไปโดยไม่เกรงใจ “ไม่มีเวลา”
“เธอยุ่งจนแทบจะกลายเป็นลูกข่างอยู่แล้วนะ ต้องwork life balanceถึงจะส่งผลดีต่อสุขภาพ”
ไป๋ลู่ยวี๋ได้ยินว่าหนานซ่งกำลังจะวางสาย ก็เลยรีบใช้เหยื่อล่อล่อเธอในทันที “งานกลางคืนมีงานประมูลด้วย ได้ยินมาว่ามีเครื่องเคลือบเป็นถ้วยลายดอกกุหลาบอยู่สี่ใบ ฉันส่งคนไปตรวจสอบมาแล้ว มาจากยุคของจักรพรรดิคังซี เธอจะเอาหรือไม่เอา ถ้าไม่เอาก็เป็นของฉันแล้วนะ”
มือที่เซ็นเอกสารอยู่ของหนานซ่งชะงักไป “เวลา สถานที่”
ไป๋ลู่ยวี๋ยิ้มออกมาอย่างดีใจ “ตอนหนึ่งทุ่มฉันจะไปรับเธอที่สวนกุหลาบ แต่งตัวสวย ๆ ด้วยนะ”
ถ้าเกิดว่าเป็นของอย่างอื่นหนานซ่งอาจจะยังพอทนต่อความล่อตาล่อใจได้ แต่ว่าเป็นพวกเครื่องเคลือบโบราณ คนในตระกูลหนานต่างก็หลงใหลกันทั้งนั้น ต่อให้เจอของปลอมมาเป็นพันชิ้น ยังไงก็ไม่ยอมที่จะปล่อยโอกาสทิ้งไป
หนานซ่งกลับบ้านมาอาบน้ำ แล้วเปลี่ยนเป็นชุดไปงาน ตอนที่เธอออกมาจากห้อง ก็เจอกับหนานหยาที่แต่งตัวสวยเตรียมออกจากบ้านไปเหมือนกัน
พี่น้องทั้งสองคนเป็นอริที่บังเอิญมาเจอหน้ากันตรงทางเดินของบ้านพอดี
หนานหยาตอนในเห็นหนานซ่งในแวบแรกก็อิจฉาตาร้อนขึ้นมาทันที
หนานซ่งอยู่ในชุดราตรีสีแดงเปิดไหล่หนึ่งข้าง เป็นชุดในคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนของปารีสปีนี้ เช้าวันนี้เธอยังนั่งมองรูปด้วยความอิจฉาและอยากได้อยู่เลย อยากได้แต่ไม่ได้มา ใครจะนึกว่าพอตกเย็นมาจะมาอยู่บนตัวของหนานซ่ง
กระเป๋าที่คล้องอยู่ที่มือเธอ ก็เป็นกระเป๋าหลุยส์วิคตอง รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น
ไหนจะสร้อยมรกตที่เธอสวมอยู่บนคอนั่นอีก มันดึงดูดสายตามาก ๆ ……นี่เธอกำลังเอาบ้านหลังหนึ่งแบกไว้บนตัวหรือไง?
“แกเองก็จะไปงานแฟชั่นการกุศลเหรอ?” หนานหยาถามขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
หนานซ่งจัดต่างหูของตัวเองเล็กน้อย ท่าทางของเธอสวยงามมีจริต น้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่บรรยากาศที่ส่งออกมานั้นกดดันคนเป็นอย่างมาก
“พูดกับพี่สาว ควรจะมีความเคารพ ความเกรงใจ ตระกูลหนานให้ความสำคัญเรื่องลำดับก่อนหลังมาตั้งแต่ไหนแต่ไร กฎที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก มันหายไปอยู่ในท้องเธอหมดแล้วหรือไง?”
อาจเพราะไม่กี่วันก่อนโดนเธอทำโทษเสียจนดูไม่ได้ หัวใจของหนานหยาก็เลยสั่นระรัว สายตาของหลุบมองต่ำ กลัวว่าหนานซ่งจะจับเธอขังเอาไว้อีก ความรู้สึกแบบนั้นเธอไม่อยากจะพบเจอมันอีกแล้ว
เธอกัดริมฝีปาก แล้วเรียกอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ “พี่ใหญ่”
“อืม” หนานซ่งพยักหน้า จากนั้นก็มองการแต่งตัวของหนานหยา “นี่เธอสวมชุดเมื่อสี่ห้าปีที่แล้วของชาแนลอยู่เหรอ แต่ก็ยังดูดีนะ เหมาะกับเธอดี”
ยากนักที่จะได้ยินคำชมออกมาจากปากของหนานซ่ง หนานหยาเลยรู้สึกดีใจจนตัวลอยในทันที “งั้นเหรอ? ฉันดูเป็นยังไงบ้าง”
เธออยากได้ยินหนานซ่งชมเธออีกสักหน่อย
หนานซ่งก็ให้ตามที่เธอปรารถนา “เหมือนภูตไรฝุ่นที่ข้างนอกมีดินเกาะ”