“ขอโทษ”
ความฉับพลันทันทีทันใด คำพูดนี้หลุดออกมาจากปากยวี่จิ้นเหวิน แต่เขากลับไม่รู้สึกว่าผิดปกติเลย
ผู้หญิงคนนี้ดูแลเขามาสามปี แต่เขากลับไม่เคยดูแลเธอเลยสักวัน แล้วยังทำร้ายเธอเพราะผู้หญิงคนอื่นด้วย เขาติดค้างคำขอโทษกับเธอจริงๆ
ฟังประโยคที่ไม่คุ้นหู หนานซ่งจึงอึ้งนิ่งไปชั่วขณะ
นิสัยผู้ชายคนนี้ไม่ดีแค่ไหน หัวดื้อแค่ไหน คงไม่มีใครรู้ดีเท่าเธอ แต่พูดคำว่า”ขอโทษ”ออกมาได้ ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากจริงๆ
แต่สิ่งที่เธอรอคอยมาโดยตลอดไม่ใช่คำว่า”ขอโทษ” แต่เป็น”ฉันรักเธอ”
หนานซ่งแอบยิ้มเยาะเย้ยในใจ แต่สีหน้ายังนิ่งเฉย พร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “ฉันรับคำขอโทษของนาย”
จากนั้นก็หันหลังไป แล้วเดินขึ้นรถ
ท่าทางที่นิ่งเฉยของเธอ แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง เหมือนไม่มีความรู้สึก ไม่มีความอาลัยอาวรณ์เขาแล้วอย่างนั้น
ตัดใจจากเขาแล้วจริงๆเหรอ?
ผู้ช่วยก็ขึ้นรถตามไป แล้วกำลังจะออกรถ
เพิ่งสตาร์ทรถ ยวี่จิ้นเหวินก็นึกอะไรออก จึงเดินไปเคาะหน้าต่างรถ
หนานซ่งเริ่มหงุดหงิด ผู้ชายคนนี้ไม่จบไม่สิ้นสักที กลายเป็นคนยืดเยื้อแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
เธอลดกระจกรถลง “คุณชายยวี่ยังมีเรื่องอะไรอีกคะ?”
ยวี่จิ้นเหวินเอ่ยถาม “สามปีก่อน ทำไมเธอต้องปลอมตัวเป็นพยาบาลมาดูแลฉัน? ฉันเลือกเธอ แต่เธอก็สามารถปฏิเสธได้ ทำไมถึงตอบตกลงล่ะ?”
นี่สิประเด็นสำคัญ!
หนานซ่งหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาที่มีความสงสัยของเขา เหมือนสับสนแล้วก็แคร์คำตอบของคำถามนี้มาก
“ไม่สำคัญแล้ว” สายฝนที่เย็นเฉียบพัดมาจากกระจกรถ แล้วกระทบกับใบหน้า แล้วซึมเข้าไปในใจเธอ จากนั้นเสียงที่เย็นชาของเธอก็เอ่ยว่า “อีกหน่อยถ้าเจอกันอีก ก็คิดซะว่าไม่รู้จักกัน”
กระจกรถค่อยๆปิดลง รถหรูสามคันก็แล่นออกไปจากถนน
ยวี่จิ้นเหวินถือร่มยืนอยู่กลางสายฝน เห็นรถค่อยๆแล่นหายไป เหมือนทำของบางอย่างหาย แล้วใจก็รู้สึกว่างเปล่า เหมือนมีอะไรบางอย่างหายไปจากในชีวิตอย่างนั้น
ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อยู่ๆก็รู้สึกหนักที่ไหล่
เขาหันกลับไป จึงเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของฟู่ยวี่ แล้วเขาก็ถือน้ำโซดาอยู่ ผมก็เปียกปอน แล้วเหมือนอยู่ท่ามกลางหมอก แต่ใบหน้ากลับสว่างดูเหมือนดวงอาทิตย์
ฟู่ยวี่พาดไหล่เขาไว้ แล้วพูดล้อว่า “พอคนอื่นไปปุ๊บ แกก็คิดได้เลยว่างั้น?”
ยวี่จิ้นเหวินผลักเขาออกจากตัวเองอย่างรังเกียจ แล้วทำหน้าเข้มขรึม “เกี่ยวอะไรกับแก?”
“ก็ต้องเกี่ยวกับฉันสิวะ”
แต่ในเมื่อพวกแกสองคนตัดขาดกันแล้ว งั้นหนานซ่งก็ถือว่าเป็นอิสระ ฉันก็จะได้ไปตามจีบเธอไง”
ยวี่จินเหวินหยุดฝีเท้า มองตาขวาง แล้วส่งสายตาแหลมคมไปให้ฟู่ยวี่
“แกจริงจังเหรอ?”
ฟู่ยวี่ยืนตัวตรง ไม่ล้อเล่นอีก แล้วมองเขาอย่างจริงจัง “ก็ต้องจริงจังสิวะ ทำไม แกไม่อนุญาตเหรอ? แกชอบหนานซ่งงั้นเหรอ?”
เขามองสำรวจแววตาของยวี่จิ้นเหวิน “ไม่ใช่ว่าเพิ่งหย่ากัน แกก็ตกลงรักเธอแล้ว?”
แววตาของยวี่จิ้นเหวินเข้มขรึม
ผู้ชายสองคนยืนอยู่ใต้ร่มเดียวกัน เผชิญหน้ากัน เหมือนกำลังมองสำรวจสีหน้าของอีกฝ่าย เหมือนกำลังทำศึกกันอย่างนั้น
แต่แค่เมื่อก่อนพวกเขาเป็นเพื่อนกัน แต่ครั้งนี้เป็นคู่แข่งกัน
“พวกแกไม่เหมาะสม” ยวี่จิ้นเหวินพูดเสียงหนักแน่น
ฟู่ยวี่ยักไหล่ “ไม่ลองจะรู้ได้ยังไงว่าไม่เหมาะสม? แล้วอีกอย่าง แกไม่เข้าใจเธอสักหน่อย ทำไมถึงมาบอกว่าเราไม่เหมาะสมกัน? อย่าลืมสิ ตัวตนของเธอ ฉันเป็นคนบอกแกเอง”
เขารู้ว่าจุดอ่อนของเพื่อนตัวเองอยู่ตรงไหน จึงเพ่งเล็งตรงไปที่จุดอ่อน
ยวี่จิ้นเหวินหรี่ตาลงอย่างอันตราย “เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่แกชอบเล่นด้วย”
“ฉันรู้ เพราะฉะนั้นฉันเลยจะใช้ความจริงใจ แล้วไปตามจีบเธอ”
ฟู่ยวี่หันข้าง มองไปทางทิศที่หนานซ่งจากไป “ตอนแรกฉันยังกังวลของเธอยังตัดใจจากแกไม่ได้ แต่สถานการณ์ตอนนี้ ดูเหมือนว่าฉันคิดมากไปเอง ถ้าผู้หญิงตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เด็ดขาดมากกว่าผู้ชายอีก แต่ว่า ฉันชอบ”
มุมปากเขาเลิกขึ้นเหมือนมีชัยชนะอยู่ในมือ แล้วตบบ่ายวี่จิ้นเหวินเบาๆ “เงินค่าซองฉันจะเก็บไว้ ไม่อวยพรแกในวันแต่งงานแล้วกัน รอข่าวดีของฉัน ไม่แน่อีกไม่นานแกอาจจะต้องมาร่วมงานแต่งฉันก็ได้”
ฟู่ยวี่ยิ้มอย่างมั่นใจ แล้วหยิบบุหรี่กับไฟแช็กขึ้นมาจุดบุหรี่ จับเสื้อคลุมให้แน่น แล้วสูบบุหรี่เดินไปท่ามกลางสายฝน พร้อมโบกมือให้ “ไปละเพื่อน”
ยวี่จิ้นเหวินมองแผ่นหลังที่มั่นใจของฟู่ยวี่เดินจากไป มือข้างขวาก็กำหมัดแน่น จนเห็นเส้นเลือด
ใบหน้าเข้มขรึมมากกว่าท้องฟ้าอีก
……
เพราะฝนตก เฮลิคอปเตอร์จึงบินไม่ได้
หนานซ่งนั่งอยู่บนรถที่กลับไปเมืองหนาน รู้สึกเหนื่อยมาก จึงดึงผ้าห่มมาห่มบนตัว แล้วอยากจะนอนพักผ่อน
ขณะกำลังพักผ่อน อยู่ๆรถก็เหวี่ยง จนทำให้หนานซ่งตื่น
“ขับรถยังไง?” กู้เหิงขมวดคิ้ว
คนขับรถเกือบจะชนคน จึงรีบเอ่ยขอโทษ “ขอโทษครับคุณหนูใหญ่……”
กู้เหิงเห็นเงาสีเทาเดินผ่านหน้ารถ รู้สึกคุ้นมาก เขาจึงรู้สึกระแวง มือก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋า เพิ่งเปิดประตูรถ ฟู่ยวี่ก็โผล่เข้ามาทันที “คุณหนูหนาน ขอติดรถไปด้วยนะครับ”
ความเย็นพัดเข้ามา เขาตากฝน จึงเปียกทั้งตัว
หนานซ่งเห็นฟู่ยวี่ที่มอมแมมโผล่เข้ามาอย่างกะทันหัน จึงขมวดคิ้วแน่น “ใครให้คุณขึ้นมา ลงไป!”
“เป็นเพื่อนกัน อย่าขี้เหนียวสิครับ”
ฟู่ยวี่เป็นคนชิลล์ ขึ้นรถปุ๊บก็เริ่มถอดเสื้อ แค่ถอดเสื้อคลุมยังไม่พอ แถมยังจะถอดกางเกงอีก การกระทำบ้าบอพวกนี้ทำให้ทุกคนอึ้งนิ่งไป
มือเพิ่งปลดเข็มขัด ที่ลำคอก็มีใบมีดแหลมคมพาดมาหา
เสียงของหนานซ่งเยือกเย็น ชวนขนลุก “คุณชายฟู่ กล้ามาทำเรื่องโรคจิตบนรถฉัน?”
ฟู่ยวี่ขยับลำคอ จึงรู้สึกแสบๆที่ลำคอ แล้วเลือดก็ไหลออกมา มีดในมือหนานซ่งเป็นมีดกองทัพเยอรมัน แหลมคมมาก ดูไม่เป็นมิตรกับเขาเลย
“ผู้หญิงเล่นมีด อันตรายมาก ถ้าทำให้ตัวเองบาดเจ็บจะทำยังไงครับ?”
ฟู่ยวี่ยิ้มแย้ม ยกมือขึ้นมาจับมีดของหนานซ่ง แล้วค่อยๆเอามีดออก ยื่นมือไปแตะจึงพบว่ามีแต่เลือด เลยแอบบ่นว่า : ผู้หญิงคนนี้ ลงมือหนักจริงๆ
“อย่าเข้าใจผิดครับ” เขาสะบัดผมที่เปียกปอน แล้วยิ้มเอ่ย “ตัวผมเปียก กลัวทำให้รถคุณสกปรก”
หนานซ่งไม่ใจอ่อนเพราะคำอธิบายของเขา แล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ถ้าคุณคิดได้แบบนี้ ก็ไม่ควรขึ้นมาตั้งแต่แรก”
ฟู่ยวี่ขาดเข็มขัดกลับไป เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ตากฝนมา แนบติดกับลำตัว จึงเห็นกล้ามหน้าอกแล้วก็ซิกแพค ชายเสื้อก็ปล่อยออก แล้วไม่ติดกระดุมดีๆ ดูแล้วชิลล์มาก
เขายื่นมือไปดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดเลือดที่ลำคอ แล้วอิงลงบนเก้าอี้อย่างขี้เกียจ ดวงตาเจ้าเสน่ห์มีรอยยิ้มแฝงอยู่ ดูเหมือนปีศาจมาก “ผมอยากจะเป็นเพื่อนกับคุณหนูหนานจริงๆนะครับ”