“โครม……”
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นไปทั่วฟ้า แล้วสายฟ้าก็ผ่าลงมากลางหัวโจ๋เซวียน มงกุฎเพชรบนหัวก็ตกเพล้งลงมา
ฟ้าที่ครึ้มมาทั้งเช้าฝนตกสักที ผู้คนเริ่มแยกย้าย มีแค่โจ๋เซวียนคนเดียวที่เหมือนโดนผนึกอยู่ที่ดาดฟ้า มองแผ่นหลังของยวี่จิ้นเหวินเดินจากไปอย่างสิ้นหวัง
ผู้ชายที่เมื่อก่อนไม่ว่าจะเจอลมฟ้าอากาศแบบไหนก็จะปกป้องเธอ แต่ตอนนี้คงไม่มีแล้ว
วินาทีนี้เธอจึงรู้สึกตัว ตอนนั้นที่เธอเลิกกับเขาเป็นการตัดสินใจที่ผิดมาก แล้วเพิ่งรู้ตัวว่า สามปีที่อยู่ต่างประเทศ ความเอาใจของเธอต้องมาชดใช้ในตอนนี้
……
งานแต่งงานที่วุ่นวาย จบลงท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างรุนแรง
ถึงแม้แขกจะไม่เห็นงานแต่งงานที่สมหวัง แต่ก็ได้ดูละครบางอย่าง ถึงว่าคุ้มค่า แล้วคุ้มกับเงินค่าซอง
ตระกูลยวี่ไม่รู้สึกขายหน้า พวกเขาก็อยากให้งานแต่งนี้ไม่ราบรื่น ขอแค่ยวี่จิ้นเหวินไม่แต่งลูกสาวตระกูลโจ๋เข้ามา สำหรับพวกเขาถือว่าเป็นเรื่องดี ส่วนเสียงนินทาของคนอื่น ใครแคร์ล่ะ? เพราะยังไงก็ไม่กล้ามาพูดต่อหน้าพวกเขาอยู่แล้ว
แล้วอีกอย่าง หนานซ่งกลับมาแล้ว สำหรับพวกเขา นี่สิเป็นเรื่องที่ควรดีใจ
แต่ตระกูลโจ๋กลับอยู่ไม่นิ่ง
ความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีกบนงานแต่งทำให้โจ๋เซวียนดูเป็นตัวตลก แล้วตระกูลโจ๋ก็ตกเป็นขี้ปากของคนรวยในเมืองเป่ย อับอายขายหน้ามาก!
“น่าตลกสิ้นดี! ตระกูลโจ๋ของเราเป็นตระกูลผู้ดี ทำไมถึงมีลูกสาวแบบนี้? ลูกจะให้พ่อเอาหน้าไปไว้ที่ไหน พ่อกับแม่จะออกไปเจอคนอื่นยังไง?!”
พ่อโจ๋โมโหจนเอามือไขว้หลังแล้วเดินไปมาในห้อง พร้อมชี้หน้าสั่งสอนลูกสาวตัวเอง โมโหจนกระจกแว่นตาเกือบจะแตก
โจ๋เซวียนเอาแต่ร้องไห้อยู่ข้างเตียง บนตัวยังสวมชุดแต่งงานอยู่ แต่ชุดแต่งงานสกปรกไปแล้ว มีคราบเละเทะเต็มชายกระโปรง ก็เหมือนเธอคนนี้ เดิมทีเป็นกระดาษสีขาวในสายตายวี่จิ้นเหยิน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นหนังสือพิมพ์
“พอแล้วพอแล้ว คุณก็พูดน้อยๆหน่อย นี่ไม่ใช่ความผิดของเซวียนเซวียน” แม่โจ๋ที่อยู่ข้างๆเอ่ยห้าม
พ่อโจ๋หัวเราะหึ “แม่ใจดีถึงมีลูกไม่รักดี! เป็นเพราะคุณตามใจ! ผมไม่น่าเชื่อฟังคุณเลยที่อยากมีลูกสาว เราทุ่มเงินทองมากมายขนาดไหนเลี้ยงดูลูก สุดท้ายกลับแต่งเข้าตระกูลร่ำรวยไม่ได้ ไร้ประโยชน์จริงๆ!”
แม่โจ๋โดนว่า อารมณ์จึงขึ้น “อ่อ ตอนนี้คุณโทษฉันงั้นเหรอ ฉันเป็นคนสั่งให้คุณตามใจลูกเหรอ? ก็น้องสาวคุณที่วันๆเอาแต่พูดว่าต้องแต่งเข้าตระกูลร่ำรวยไม่ใช่เหรอ เซวียนเซวียนของเราก็เลยเดินผิดทางเพราะโจ๋เยว่ไง!”
“พอแล้ว!”
โจ๋เซวียนกรีดร้อง แล้วเอามือปิดหู “หนูทนมาพอแล้ว พ่อแม่หยุดพูดได้ไหม?”
พ่อโจ๋ยังอยากจะพูดต่อ แต่โทรศัพท์ดังขึ้นก่อน แล้วแสดงชื่อ : โจ๋เยว่
พ่อโจ๋คุยอะไรเล็กน้อยกับน้องสาว แล้วยื่นโทรศัพท์ให้โจ๋เซวียน โจ๋เซวียนเอ่ยเรียก”คุณอา”สะอึกสะอื้น จึงได้ยินเสียงชิลล์ๆจากอีกฝั่งของโทรศัพท์ “ร้องไห้ทำไม? ความผิดพลาดเล็กๆแค่นี้ ก็ทำให้หลานฟุ้งซ่านอยากจะยอมแพ้แล้ว?”
“หนูทำอะไรได้คะ?” โจ๋เซวียนพูดอย่างสิ้นหวัง “เขาโทษที่หนูโกหกเขา รังเกียจว่าหนูสกปรก แล้วไม่เอาหนู”
โจ๋เยว่หัวเราะหึ “ถึงผู้หญิงจะสกปรก แต่จะสกปรกกว่าผู้ชายได้ยังไง? เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญ ขอแค่หลานมัดใจเขาไว้แน่นๆ ก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะไม่เอาหลาน”
“อาคะ ตอนนี้กลับควบคุมยากขึ้น แล้วจะไปจากเธอ
“หลานอย่าร้อนใจ ตอนนี้ยวี่จิ้นเหวินกำลังโกรธอยู่ รอเขาหายโกรธ หลานค่อยไปอธิบายกับเขา ส่วนภรรยาเก่าของเขาลู่หนานซ่ง เราดูถูกมันเกินไป หลานไว้ใจเถอะ ความแค้นวันนี้ อาจะแก้แค้นให้หนูเอง!”
……
ในเมื่อยื่นมือเข้ามาช่วย ก็ต้องช่วยเหลือให้สุด
หนานซ่งส่งยวี่เฟิ่งเจียวกลับไป ระหว่างทางที่กลับไปเธอนั่งอยู่ในรถแต่งงานที่มีแต่ดอกไม้ จึงรู้สึกตลก
เธอที่เป็นภรรยาเก่าทำหน้าที่ดีเกินไป สามีเก่าแต่งงานเธอยังต้องมาปกป้องเขา
รถแต่งงานเป็นรถลินคอล์นยาว ที่นั่งเพียงพอ สองพี่น้องยวี่ฟานยินกับยวี่เจ๋ออวี่ก็ขึ้นรถมาด้วย ตั้งแต่ที่ขึ้นรถมาปากของยวี่เจ๋ออวี่ก็ไม่หุบลงเลย เอาแต่ถามคำถามหนานซ่งไม่หยุด
“พี่สะใภ้ครับ กี่วันนี้พี่ไปไหนครับ เราหาพี่ไปทั่ว พี่ชายเช็กกล้องวงจรในระยะร้อยเมตร ก็หาตัวพี่ไม่เจอ”
“พี่สะใภ้ พี่เป็นคนขับเฮลิคอปเตอร์มาจริงเหรอครับ? พี่ขับเฮลิคอปเตอร์เป็นงั้นเหรอ! เรียนขับเมื่อไหร่ครับ? ทำไมถึงไม่บอกพวกเราเลย? พี่พาผมขึ้นไปรับลมบนฟ้าได้ไหมครับ?”
หนานซ่งยิ้มอ่อน “ได้สิ แต่ว่าวันนี้ฝนตก บินไม่ได้ ไว้วันอื่นเนอะ”
“ดีมากเลย ขอบคุณพี่สะใภ้ครับ!”
ยวี่จิ้นเหวินมองยวี่เจ๋ออวี่ที่กระโดดดีใจ จึงมองเขาตาขวาง แล้วแอบด่าในใจ : ทรยศ
เขายกมือขึ้นมาตบลงไปที่ก้นเขาแรงๆ “นั่งดีๆ!”
ยวี่เจ๋ออวี่โดนสั่งสอน แล้วสบตากับแววตาที่เข้มงวดของพี่ใหญ่ จึงยอมอยู่นิ่งๆ
ยวี่จิ้นเหวินนั่งอยู่แถวที่สอง แล้วแอบมองไปแถวที่หนึ่ง แต่กลับสบตากับหนานซ่งพอดี เธอนั่งตัวตรง สีหน้านิ่งเฉย นั่งอยู่ข้างยวี่เฟิ่งเจียว แต่ภาพลักษณ์กลับไม่แพ้กันเลย
คิ้วของเขากระตุก รู้สึกว่าตั้งแต่ที่เธอหย่ากับเขาแล้ว เหมือนถูกเปิดผนึก ภาพลักษณ์แตกต่างจากเมื่อก่อนสิ้นเชิง
แววตาที่มองมาหาเขา ก็ไม่อ่อนโยน คาดหวังอีก เหมือนมองคนแปลกหน้าอย่างนั้น
นี่จึงทำให้ใจเขารู้สึกไม่สบอารมณ์ รู้สึกอัดอั้นมาก
ยวี่เฟิ่งเจียวกับยวี่ฟานยินก็มีเรื่องมากมายอยากจะถามหนานซ่ง หนานซ่งจึงเอ่ยว่า “ถ้าถึงบ้านแล้วหนูค่อยพูดกับทุกคนทีเดียว” ปิดบังตัวตนมาสามปี ถึงเวลาที่ต้องสารภาพความจริงแล้ว
……
ครอบครัวตระกูลยวี่รวมตัวกัน แล้วสายตาก็จ้องมองมาที่หนานซ่ง รอเธอ”บอกความจริง”
หนานซ่งยืนอยู่กลางห้องโถง สายตามองกวาดทุกคน สีหน้าเธอนิ่งเฉย ท่าทางดูดี “คุณตา คุณยาย คุณแม่ แล้วก็คุณน้าสองคน ก่อนอื่นหนูต้องขอโทษทุกคน ชื่อจริงของหนู คือหนานซ่ง เป็นคนเมืองหนาน”
เธอโค้งขอโทษ แต่ท่าทางกลับไม่อ่อนแอเลย
ผู้ใหญ่นั่งอยู่ ส่วนเด็กก็ยืนอยู่
ยวี่จิ้นเหวินยืนอยู่ไม่ห่างจากหนานซ่งมากนัก มองใบหน้าด้านข้างของหนานซ่ง ฟังเธอสารภาพเรื่องตัวตนของตัวเอง ถึงแม้จะรู้ตั้งนานแล้ว แต่วินาทีที่เธอพูดออกมา ในใจก็ยังคงประหลาดใจอยู่ดี
เขายังรู้สึกประหลาดใจ อย่าพูดถึงคนตระกูลยวี่ที่โดนปิดบังเลย
“เมืองหนาน?” คุณท่านยวี่สองเริ่มนั่งไม่นิ่ง มองหนานซ่ง ใบหน้ามีแต่ความตกตะลึง “หนูคงไม่ใช่ ลูกสาวตระกูลหนานเมืองหนานหรอกใช่ไหม?”
ถึงแม้สกุลหนานจะเป็นสกุลที่มีคนใช้เยอะแยะ แต่พอพูดถึงเมืองหนาน จึงอดนึกถึงตระกูลหนานไม่ได้
หนานซ่งพยักหน้า แล้วตอบตามความจริง “ใช่ค่ะ หนูเป็นลูกสาวตระกูลหนาน หนานหนิงซงเป็นพ่อของหนู”