ตอนที่ยวี่จิ้นเหวินไปถึงอพาร์ทเม้นท์ โจ๋เซวียนก็กำลังนั่งเอามือกุมหน้าอยู่บนพื้น
"เซวียนเซวียน"
โจ๋เซวียนเห็นว่ายวี่จิ้นเหวินมาแล้ว เธอก็รีบโผเข้ากอดเขาราวกับเจอผู้ช่วยชีวิต "พี่จิ้น ช่วยเซวียนด้วย!"
ยวี่จิ้นเหวินเห็นว่าใบหน้าฝั่งหนึ่งของโจ๋เซวียนมีรอยแดงเป็นปื้น เขาก็ดูโมโหขึ้นมาในทันที เขาหันไปทางยวี่เฟิ่งเจียว "แม่ ก่อนจะมา ทำไมไม่บอกผมก่อน?"
ยวี่เฟิ่งเจียวคุณหนูใหญ่ตระกูลยวี่ ถึงแม้ว่าจะนั่งอยู่บนวีลแชร์ แต่ความน่าเกรงขามของเธอนั้นไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ยังคงดูเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า ดวงตาเรียวรีคู่นั้นคมกริบเหมือนกับยวี่จิ้นเหวินไม่มีผิด น้ำเสียงยิ่งไร้อารมณ์มากกว่า
"ทีแกจะหย่าก็หย่าแถมยังเลี้ยงผู้หญิงเอาไว้ เคยบอกแม่ก่อนหรือเปล่าล่ะ?"
เธอสวมชุดกี่เพ้า บนหน้าขามีผ้าปิดเอาไว้ บนผ้ามีลายปักประณีตสวยงามและหนานซ่งเป็นคนปักเองกับมือ ผ้าคลุมไหล่ที่เธอใช้อยู่ ก็เป็นของที่หนานซ่งซื้อมาให้
ยวี่เฟิ่งเจียวยกมือขึ้น น้าเว่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังเข้าใจความหมายได้ในทันที เลยเข้ามาจุดบุหรี่ให้กับเธอ
คิ้วของยวี่จิ้นเหวินกระตุก "เซวียนเซวียนร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อย่าสูบบุหรี่ตรงหน้าเธอ"
"งั้นเหรอ?"
ยวี่เฟิ่งเจียวพ่นควันออกมา สายตาของเธอเหลือบไปมองบนโต๊ะน้ำชาตัวเล็ก "เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารยังนั่งดื่มกาแฟได้อย่างสบายใจ แม่ก็ไม่เห็นว่าร่างกายของเธอไม่แข็งแรงตรงไหนนี่ เสี่ยวซ่งที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลูกยังไม่เคยสนใจเลย"
หนานซ่งอีกแล้ว
แววตาของยวี่จิ้นเหวินแสดงความไม่พอใจออกมา เขาพูดอย่างเย็นชา: "ผมกับลู่หนานซ่งหย่ากันแล้ว พูดถึงเธอก็ไม่มีประโยชน์อะไร"
ยวี่เฟิ่งเจียวมองใบหน้าหล่อคมของลูกชาย ริมฝีปากของเธอก็ยกยิ้มสมเพชขึ้น "ดูท่าทางไร้หัวใจของลูกชายฉันสิ เหมือนพ่อของเขาไม่มีผิด ถ้ารู้ว่าต้องคลอดคนนิสัยแย่ ๆ แบบนี้ออกมา ฉันก็คงจะไม่คลอดออกมาแล้ว"
พูดถึงผู้เป็นพ่อ ริมฝีปากบางของยวี่จิ้นเหวินก็เม้มแน่น ใบหน้าของเขาก็ดูไม่พอมากขึ้นกว่าเดิมอีกเล็กน้อย
"ไม่ให้พูดถึงเสี่ยวซ่ง อย่างนั้นก็มาพูดถึงผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ ลูกหน่อยก็แล้วกัน"
ยวี่เฟิ่งเจียวพ่นควันบุหรี่ออกมาอีกครั้ง มองผู้หญิงที่ร้องไห้ซบอยู่กับอกของยวี่จิ้นเหวิน เธอเผยสีหน้ารังเกียจออกมา "พอเถอะ ต่อหน้าฉัน ยังมาทำเป็นเล่นละครอะไรอีก? เรื่องดี ๆ ไม่ศึกษา พอเรื่องอ่อยผู้ชายนี่ทำได้ดีเหมือนกับป้าหน้าด้านของเธอเลยนะ เมื่อกี้ยังนั่งเถียงฉันคำไม่ตกฟากอยู่เลยนี่ ทำไมตอนนี้ถึงได้เงียบไปแล้วล่ะ? กำลังรอให้ผู้ชายออกหน้าแทนอยู่หรือไง? อย่าลืมนะ ว่าเขาก็เป็นลูกชายของฉันเหมือนกัน"
โจ๋เซวียนกัดริมฝีปาก ในใจของเธอโมโหแทบตาย แต่ว่าเธอไม่กล้าจะแสดงความคิดจริง ๆ ของเธอออกไป มีเพียงแค่น้ำตาที่คลออยู่ที่หน่วยตาเท่านั้น เธอผละออกจากอกของยวี่จิ้นเหวินแล้วลงไปนั่งคุกเข่าขอร้องอยู่ตรงหน้ายวี่เฟิ่งเจียวด้วยท่าทางที่น่าสงสาร
"คุณน้ายวี่ หนูรู้ว่าคุณน้าเกลียดหนูเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างคุณน้ากับคุณป้า แต่ตอนนั้นป้ากับคุณอาเสิ่นรักกันจริง ๆ ก็เหมือนหนูกับพี่จิ้น พวกเรารักกันมาตั้งหลายปี ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นครอบครัวของหนูมีปัญหา แล้วคุณน้าก็……ขัดขวางพวกเรา หนูเองก็คงจะไม่ไปต่างประเทศ แล้วก็ไม่มีทางที่จะเลิกกับพี่จิ้น แล้วพวกเราก็คงแต่งงานกันไปตั้งนานแล้ว ไม่แน่ว่าตอนนี้คุณน้าอาจจะได้อุ้มหลานแล้วก็ได้……"
"เหอะ เธอฝันเฟื่องอะไรอยู่น่ะ"
ยวี่เฟิ่งเจียวทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ เลยพูดขัดโจ๋เซวียนอย่างไม่ใส่ใจ "แม่หนูสกุลโจ๋ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะ ต่อให้โลกใบนี้ไม่มีผู้หญิงเหลืออยู่แล้ว ลูกชายฉันต้องตัวคนเดียวจนแก่เฒ่า ฉันก็ไม่มีวันให้เขาแต่งงานกับเธอ เข้าใจหรือยัง?"
นังแม่มดแก่น่าตายนี่!
โจ๋เซวียนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แทบอยากจะลุกไปล้มวีลแชร์ของเธอให้คว่ำ ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้มาแทรกแซง ตระกูลโจ๋ของพวกเธอก็ไม่มีทางล้มละลาย ตัวเธอเองก็ไม่มีทางต้องไปลำบากอยู่ที่ต่างประเทศ!
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะฝีมือของผู้หญิงคนนี้ เธอคงต้องบีบคอหล่อนให้ตาย แล้วถลกหนังของหล่อนออกมา ความเกลียดแค้นในใจที่มีถึงจะสลายไปได้!
ยวี่จิ้นเหวินยื่นมือไปดึงตัวของโจ๋เซวียนขึ้นมา แล้วไปยืนอยู่ด้านหน้าของเธอ สบเข้ากับสายตาคมกริบของผู้เป็นแม่ "แม่ เรื่องแต่งงานผมสามารถตัดสินใจเองได้แล้ว แม่ไม่ต้องเป็นกังวล เหอจ้าว พาคุณหญิงกลับ"
เหอจ้าวที่ยืนอยู่ด้านข้าง พยายามทำตัวให้เล็กที่สุดราวกับว่าตนนั้นไม่ได้มีตัวตนอยู่ที่นี่ด้วย เขาทำใจสู้เดินไปด้านหน้าแล้วเชิญยวี่เฟิ่งเจียวกลับไป
"ลูกของฉันมันปีกกล้าขาแข็งแล้ว ตอนนี้ไล่แม่มันแล้ว ดีเสียจริง"
ยวี่เฟิ่งเจียวปรบมือ แล้วเย้ยออกมาเบา ๆ "เจ้าลูกชาย ในตอนนั้นที่พ่อของแกหักหลังแม่ ทำให้แม่ต้องเสียขาทั้งสองข้างไป ถ้าเกิดว่าลูกกล้าที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ งานแต่งของลูก แม่คนนี้จะส่งของขวัญล้ำค่าให้กับลูกเอง ถ้าไม่เชื่อลองดูก็ได้"
ยวี่จิ้นเหวินมองแม่ของตนที่กลับออกไปแล้ว มือสองข้างที่อยู่ข้างลำตัวเริ่มกำแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนข้อนิ้วของเขาส่งเสียงดังออกมา จากนั้นเขาก็ชกลงไปบนกำแพง จนเกิดเสียงดังไปทั่ว
โจ๋เซวียนตกใจเป็นอย่างมาก "พี่จิ้น……"
***
หลังจากที่จัดการหนานหยาเรียบร้อยแล้ว หนานซ่งก็กลับมาที่ห้องตัวเอง ทำการเช็ดเครื่องสำอางออกแล้วไปอาบน้ำ
แต่พอมานอนอยู่บนเตียง เธอก็ไม่มีความรู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย ในหัวของเธอคิดแต่เรื่องของโจ๋เซวียนวกไปวนมาอยู่ซ้ำ ๆ
ที่จริงเธอรู้มาตั้งนานแล้วว่าโจ๋เซวียนเป็นใคร และรู้ถึงปัญหาระหว่างตระกูลยวี่กับตระกูลโจ๋ แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมยวี่จิ้นเหวินดึงดันจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นให้ได้?
ถ้าเกิดว่าเป็นเธอ หากมีใครใจกล้ามาแย่งพ่อของเธอไป ทำร้ายแม่ของเธอจนขาทั้งสองข้างใช้งานไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นให้ฆ่าผู้หญิงคนนั้นเสียยังได้ อาจจะถึงขนาดที่ฆ่าทั้งครอบครัวของผู้หญิงคนนั้นเลยด้วยซ้ำ จะไปญาติดีกับครอบครัวของคนแบบนั้นได้ยังไง?
ยวี่จิ้นเหวินก็ดูเป็นคนมีหลักการ ดูไม่เหมือนคนที่คลั่งรักตรงไหน หรือว่าเขาเองก็เป็นคนที่มีสองมาตรฐานเหมือนกัน ทำดีแค่กับผู้หญิงที่ตัวเองชอบแบบนั้นเหรอ?
หนานซ่งพลิกตัวไปมา ยิ่งคิดก็ยิ่งรำคาญใจ ท้ายที่สุดก็เลยนอนไม่หลับ จนต้องลุกขึ้นมาโทร.หาใครบางคน "ใครบอกว่าจะเลี้ยงเหล้าฉันนะ ไปคืนนี้เลยแล้วกัน ฉันอยากดื่มเหล้า"
ดึกดื่นมืดมิดไร้แสงดาว แต่ซุ่ยอวินบาร์นั้นสว่างราวกับกลางวัน
ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวกลางคืนที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหนาน คนที่เป็นแขกวีไอพี แค่สแกนใบหน้าก็สามารถเข้าไปด้านในได้เลย บอดี้การ์ดที่อยู่ด้านหน้าประตูก็ความจำดีเหมือนกับเครื่องสแกน แขกคนไหนที่หน้าตาไม่คุ้น จะโดนปฏิเสธทันทีโดยไม่มีการเจรจา
ผู้ชายคนหนึ่งสวมแว่นดำยืนอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า มีสีหน้าเย็นชา เจอใครก็ไม่ทักไม่ใส่ใจ จนกระทั่งรถพอร์ชสีแดงคันหนึ่งโผล่เข้ามาในสายตา เขาถึงได้เผยรอยยิ้มดีใจออกมา
เขาเดินเข้าไปเปิดประตูรถคันนั้น "นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว ฉันรอมาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วนะ"
"รอด้านในก็ได้นี่ ออกมาทำไม"
หนานซ่งถอดรองเท้าออกแล้วสวมรองเท้าส้นสูงสีทองอีกคู่ ลงมาจากรถ เธอสวดชุดสายเดี่ยวสีแดง ดูเย็นชาแต่ก็ดูเซ็กซี่ บอดี้การ์ดที่อยู่หน้าประตูมองภาพนั้นจนลืมตัว
คุณชายชีเปลี่ยนคู่ควงคนใหม่อีกแล้วเหรอ? ผู้หญิงคนนี้สวยใช้ได้เลยนี่
ไป๋ลู่ยวี๋มองการแต่งตัวของหนานซ่ง แล้วก็พยักหน้าอย่างพอใจ "แต่งแบบนี้สวยนะเนี่ย ดูดีกว่าเธอที่ชอบแต่งเป็นแม่ชีในช่วงกลางวันตั้งเยอะ"
"ถ้าไม่มีอะไรจะพูดก็เงียบไปเลย"
หนานซ่งเขม็งตาใส่พี่ชายอย่างไม่พอใจ หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปด้านในโดยที่ไม่มีใครเข้ามาห้าม ไป๋ชีจะพาเธอไปที่ห้องส่วนตัว แต่เธอส่ายหน้าแล้วนั่งลงบริเวณบาร์ "ไปนั่งที่ห้องส่วนตัวน่าเบื่อจะตาย นั่งตรงนี้ยังพอได้มองผู้ชายหล่อ ๆ บ้าง"
เธอสั่งวอดก้ามาหนึ่งแก้ว จากนั้นก็ดื่มมันราวกับว่ามันเป็นน้ำเปล่า ไป๋ชีบอกออกมา: "เธอคอไม่แข็ง ดื่มน้อย ๆ หน่อย"
ที่ห้องส่วนตัวมีแขกทะเลาะวิวาทกัน ผู้จัดการก็เลยเข้ามาเชิญตัวไป๋ลู่ยวี๋
"ฉันขอไปดูทางโน้นหน่อย เธอนั่งรอฉันอยู่ตรงนี้นะ ห้ามเดินไปไหน"
หนานซ่งโบกมือ เพื่อบอกให้เขารีบไป
เธอไม่ได้มาสถานบันเทิงแบบนี้ตั้งนานแล้วแถมยังไม่ได้ดื่มเหล้ามานานแล้วด้วย ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์แต่ละแก้วที่ดื่มเข้าไปเริ่มทำให้เธอมึนเมา และผู้ชายที่เข้ามาคุยกับเธอก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆ
"คนสวย มาคนเดียวเหรอ? ขอพี่เลี้ยงเหล้าแก้วหนึ่งนะ"
พวงแก้มของหนานซ่งเป็นสีแดงระเรื่อ มองชายคนนั้น นิ้วชี้เธอก็พลางส่ายไปมา "ไม่ได้ค่ะ คุณหน้าตาไม่ดี เสียสายตาฉันหมดเลย"
"นังผู้หญิงที่ไม่ได้รับ-" ผู้ชายที่โดนพูดใส่ว่าหน้าตาไม่ดี กำลังจะลงมือทำร้ายเธอ แต่กลับโดนใครบางคนเข้ามาห้ามเอาไว้เสียก่อน ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามา "ผู้ชายที่ทำร้ายผู้หญิงไม่นับว่าเป็นผู้ชายหรอกจริงไหม? ไม่อย่างนั้นพวกเราสองคนมาสู้กันหน่อยไหม?"
ชายคนนั้นโดนชายอีกคนบิดข้อมือจนบาดเจ็บ พอรู้ว่าตัวเองเอาชนะไม่ได้ ก็เดินหนีไปอย่างอารมณ์เสีย
ชายตัวสูงใหญ่คนนั้นหันมามองหนานซ่ง ริมฝากปากสวยได้รูปยกยิ้ม หางตาของดวงตาคู่หวานยิ่งดูสวยมากกว่าเดิม "คุณคนสวย นั่งดื่มอย่างเดียวมันจะไปสนุกอะไรล่ะครับ ผมขอเชิญคุณมาเต้นด้วยกัน คุณยินดีที่จะมองหน้าผมไหมล่ะ?"
หนานซ่งช้อนตาหวานล้ำของตัวเองขึ้นมอง พอดูใกล้ ๆ ผู้ชายคนนี้ก็หน้าตาดีใช้ได้เลย เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ "คุณหล่อ ตามใจคุณเลยค่ะ"