สลับชะตา ชายามือสังหาร 280 เสร็จในชั่วพริบตา!

ตอนที่ 280 เสร็จในชั่วพริบตา!

“ข้า​ลง​ข้าง​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ไป​จริงๆ​ หรือ​นี่​” หนิ​ว​หวา​มอง​ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​อย่าง​ขมขื่น​ “ข้า​ขอ​เปลี่ยน​กลับ​ได้​หรือไม่​”

ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​เก็บ​พัด​แล้ว​เคาะ​ลง​บน​ศีรษะ​หนิ​ว​หวา​ครา​หนึ่ง​พลาง​เอ่ย​ว่า​ “ลง​แล้ว​ลง​เลย​ เจ้าเปลี่ยน​ไม่ได้​แล้ว​ล่ะ​!”

“แต่ว่า​… แต่ว่า​ข้า​ไม่อยาก​ลง​ข้าง​เขา​นี่​นา​” หนิ​ว​หวา​พูด​

“ช่วยไม่ได้​ นี่​เป็น​กฎ​” ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​พูด​อย่าง​จนใจ​ “เชื่อ​ข้า​เถิด​ เจ้าลง​ข้าง​เขา​ เจ้าต้อง​ชนะ​พนัน​อย่าง​แน่นอน​”

“ใช่แล้ว​ หนิ​ว​หวา​ ซื้อ​แล้ว​ซื้อ​เลย​ เจ้าเปลี่ยน​ไม่ได้​แล้ว​ล่ะ​” คน​ที่อยู่​ข้างๆ​ พูด​พลาง​หัวเราะ​

“เช่นนั้น​ก็ได้​” หนิ​ว​หวา​ออกจาก​โต๊ะ​ไป​อย่าง​ผิดหวัง​

“มีใคร​ต้องการ​ซื้อ​ตั๋ว​พนัน​อีก​หรือไม่​” ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​ตะโกน​ซ้ำแล้วซ้ำเล่า​

ต่อมา​มีคน​มาซื้อ​ของ​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​อีก​คน​ ทำให้​ใน​ท้ายที่สุด​แล้ว​มีผู้​ที่​ลง​ข้าง​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ทั้งสิ้น​สอง​คน​

“จริงๆ​ เลย​นะ​ พา​กัน​มาให้​ข้า​กำไร​ ช่างดี​เหลือเกิน​!” ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​พูด​อย่าง​เขินอาย​

เขา​ให้​คน​ตระกูล​ซือ​หม่า​คนอื่น​มาคอย​เฝ้าที่นี่​ ส่วน​ตนเอง​ก็​โซซัดโซเซ​มาอยู่​ข้าง​เวที​ประลอง​พลาง​เอ่ย​กับ​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ว่า​ “โย​วเย่ว์​ ทุกคน​ไม่มีใคร​เห็น​เจ้าดี​เลย​ สอง​ร้อย​กว่า​คน​ มีคน​ลง​ข้าง​เจ้าเพียงแค่​สอง​คน​เท่านั้น​ นอกจากนี้​หนึ่ง​ใน​นั้น​ยัง​พลาด​ซื้อ​ตั๋ว​ของ​เจ้าไป​โดย​ไม่ระวัง​อีกด้วย​ เจ้าอย่า​ทำให้​สอง​คน​นั้น​ผิดหวัง​ล่ะ​!”

ทุก​คนใน​ที่​นั้น​พา​กัน​ตกตะลึง​กับ​คำพูด​ของ​เขา​ แต่​เมื่อ​เห็น​รอยยิ้ม​บน​ใบหน้า​เขา​ มีความกังวล​ของ​การ​เสียพนัน​เสีย​ที่ไหน​เล่า​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​และ​ห​ลี่​มู่สังเกตเห็น​เหตุการณ์​ที่​เขา​ตั้งโต๊ะ​พนัน​แล้ว​ ดังนั้น​ทั้งสอง​คน​จึงมิได้​พูด​อะไร​ หาก​แต่​รอ​ให้​พวกเขา​ลง​พนัน​กัน​เสร็จ​ก่อน​

เมื่อ​ได้ยิน​ว่า​มีเพียง​สอง​คน​เท่านั้น​ที่​ลง​ข้าง​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ ห​ลี่​มู่ก็​หัวเราะ​ด้วย​ความ​ลำพองใจ​อย่างยิ่ง​

“คราวนี้​พวก​เจ้าไม่เพียงแต่​จะพ่ายแพ้​แก่​ข้า​เท่านั้น​ แต่​ยัง​ต้อง​เสียพนัน​อย่าง​มหาศาล​อีกด้วย​ ฮ่าๆ…”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​เงี่ย​หูฟัง​พลาง​เอ่ย​ว่า​ “ยัง​ไม่ถึงท้ายที่สุด​แล้ว​เจ้ามาลำพองใจ​อะไร​กัน​! ข้า​รอ​ให้​เจ้าเรียก​ข้า​ว่า​ลูกพี่​อยู่​นะ​!”

“เฮอะ​ ช่างปากกล้า​ไร้ยางอาย​ยิ่งนัก​!” ห​ลี่​มู่ส่งเสียง​เฮอะ​อย่าง​เย็นชา​

กรรมการ​ที่​เชิญมาเป็นการ​เฉพาะ​พูด​กับ​ผู้คน​เบื้องล่าง​ว่า​ “วันนี้​ ห​ลี่​มู่แห่ง​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​เมือง​วิเศษ​และ​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​แห่ง​ตระกูล​ซือ​หม่า​จะทำ​การแข่งขัน​กัน​ที่นี่​ อยาก​ให้​ทุกท่าน​ช่วยกัน​เป็น​พยาน​ ถ้าหาก​ห​ลี่​มู่ชนะ​ ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​จะยอมให้​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​จัดการ​ โดย​คน​ตระกูล​ซือ​หม่า​จะไม่ขัดขวาง​ แต่​ถ้าหาก​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ชนะ​ หาก​พบกัน​ใน​ภายหน้า​ห​ลี่​มู่จะต้อง​เรียก​เขา​ว่า​ลูกพี่​”

“หา​…”

ผู้คน​พา​กัน​ฮือฮา​ อีก​ฝ่าย​ถึงกับ​กล้า​ร้อง​ขอให้​คน​ของ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​เรียก​ตน​ว่า​ลูกพี่​ ช่างใจกล้า​เสีย​จริง​!

“แล้ว​พวก​เจ้าคิด​จะแข่ง​กัน​อย่างไร​หรือ​” มีคน​ด้านล่าง​ถามขึ้น​

“หลอม​ยาวิเศษ​ขั้น​สี่เหมือนกัน​ แต่​ระดับ​ของ​ใคร​สูงกว่า​และ​หลอม​เสร็จ​เร็ว​กว่า​ ก็​จะเป็น​ฝ่าย​ชนะ​” กรรมการ​พูด​ “เนื่องจาก​วันนี้​เวลา​ล่วงเลย​มามาก​แล้ว​ ดังนั้น​ทุกคน​จึงมีโอกาส​เพียงแค่​ครั้ง​เดียว​เท่านั้น​!”

“เริ่ม​เสียที​เถิด​” ห​ลี่​มู่พูด​จบ​ก็​หยิบ​เตา​หลอม​ยา​ของ​ตน​ออกมา​ รวมทั้ง​เครื่อง​ยา​อีก​เต็มโต๊ะ​ เมื่อ​เห็น​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ยัง​ไม่ยอม​ขยับเขยื้อน​จึงเอ่ย​เหน็บแนม​ว่า​ “คง​มิใช่ว่า​เจ้าไม่มีแม้แต่​เครื่อง​ยา​หรอก​กระมัง​ ถ้าหาก​เป็น​เช่นนี้​จริง​พวกเรา​ก็​คง​ไม่ต้อง​แข่ง​กัน​แล้ว​ล่ะ​”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​กลอกตา​ใส่เขา​ปราด​หนึ่ง​ก่อน​จะหยิบ​เตา​หลอม​ยา​และ​เครื่อง​ยา​ออกมา​หลอม​ยา​อย่าง​รวดเร็ว​

นัก​หลอม​ยา​ใน​ที่​นั้น​เห็น​การเคลื่อนไหว​ของ​เธอ​ไหล​ลื่น​คล่องแคล่ว​ราวกับ​สายน้ำ​จึงพา​กัน​ตกตะลึง​ คิดไม่ถึง​ว่า​เธอ​จะเชี่ยวชาญ​ถึงเพียงนี้​ ไม่แน่​ว่า​เธอ​อาจ​เป็น​นัก​หลอม​ยา​ขั้น​สี่จริงๆ​

ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​เหาะ​ผ่าน​เขา​ภาพ​มังกร​พอดี​ เขา​กำลัง​มอง​ลงมา​อย่าง​เรื่อยเปื่อย​ ทันใดนั้น​ก็​ถูก​ดึงดูด​ด้วย​ฝีไม้ลายมือ​ของ​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ จึงร่อน​ลง​สู่ยอดเขา​ใน​ทันใด​ แล้ว​ดู​เธอ​หลอม​ยา​อย่าง​เงียบๆ​

การหลอม​ยาวิเศษ​ขั้น​สี่สำหรับ​เธอ​นั้น​ง่ายดาย​เป็น​อย่างยิ่ง​ การเคลื่อนไหว​ไหล​ลื่น​ตั้ง​แต่ต้นจนจบ​ ตอนที่​เธอ​หลอม​ยา​สำเร็จ​ ห​ลี่​มู่ยัง​ทำ​การผสาน​รวม​ไม่เสร็จเลย​เสีย​ด้วยซ้ำ​

“โอ๊ะ​…” เธอ​อุทาน​เสียง​เบา​ เธอ​เคาะ​เตา​หลอม​ยา​ครั้งหนึ่ง​ ยาวิเศษ​หลาย​เม็ด​ก็​ลอย​ขึ้น​มาก่อน​จะถูก​เธอ​ใช้ขวด​หย​กรับ​เอาไว้​ กลิ่นหอม​ของ​ยา​อัน​เข้มข้น​แผ่ซ่าน​ไป​ทั่ว​ทั้ง​เวที​ประลอง​

“ช่างเป็น​กลิ่น​ยา​ที่​เข้มข้น​ยิ่งนัก​!” ผู้​คนใน​ที่​นั้น​ต่าง​หลับตา​สูดดม​กลิ่นหอม​ของ​ยา​ ซึ่งคน​ที่​รู้ความ​ก็​พูดว่า​ “กลิ่น​ยา​เข้มข้น​ถึงเพียงนี้​ ระดับ​ขั้น​ของ​ยา​จะต้อง​ไม่ต่ำ​แน่​! น่าจะเป็น​ขั้น​สี่ระดับสูง​เลย​ทีเดียว​”

“คิดไม่ถึง​ว่า​เขา​จะรวดเร็ว​ถึงเพียงนี้​ ทั้ง​ยัง​เป็น​ยาวิเศษ​ระดับสูง​อีกด้วย​ ไม่ธรรมดา​เลย​จริงๆ​!” มีคน​เอ่ย​ชม

“หาก​พูด​เช่นนี้​ ห​ลี่​มู่ก็​แพ้​แล้ว​สิ” ทุกคน​เพิ่งจะ​นึก​ขึ้น​มาได้​ว่า​ผู้​ที่​หลอม​ยา​เสร็จ​ก่อน​เป็น​ผู้ชนะ​ ตอนนี้​เธอ​หลอม​ยา​เสร็จ​แล้ว​ ห​ลี่​มู่ก็​มิได้​แพ้​ไป​แล้ว​หรอก​หรือ​!

“พรึ่บ​…”

หลัง​จากห​ลี่​มู่เห็น​ว่า​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​หลอม​ยาวิเศษ​สำเร็จ​แล้ว​ใน​ใจก็​ร้อนรน​จน​มิได้​ควบคุม​ไฟให้​ดี​ ทำให้​เครื่อง​ยา​เผาไหม้​เสียหาย​ไป​หมด​ทั้ง​เตา​

“พ่ายแพ้​แล้ว​จริงๆ​ นั่นแหละ​ น่าเสียดาย​เครื่อง​ยา​พวก​นี้​เสีย​จริง​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ส่ายหน้า​พลาง​ทอดถอนใจ​ “ใน​เมื่อ​เจ้ายัง​หลอม​ยาวิเศษ​ไม่สำเร็จ​เป็น​เม็ด​เลย​ด้วยซ้ำ​ เช่นนั้น​การต่อสู้​ยก​นี้​เจ้าก็​พ่ายแพ้​แล้ว​ละ​”

ห​ลี่​มู่สีหน้า​ไม่น่าดู​ เขา​คิดไม่ถึง​เลย​ว่า​ตน​จะพ่ายแพ้​ได้​!

“เจ้าต้อง​มิใช่นัก​หลอม​ยา​ขั้น​สี่แน่​!” ห​ลี่​มู่จ้องมอง​ยาวิเศษ​ใน​มือ​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พลาง​เอ่ย​ขึ้น​

ถ้าหาก​เป็น​นัก​หลอม​ยา​ขั้น​สี่ ไม่ว่า​ทักษะ​จะดีเยี่ยม​เพียงใด​ก็​ไม่มีทาง​หลอม​ยาวิเศษ​ขั้น​สี่ออกมา​ได้​อย่าง​รวดเร็ว​ถึงเพียงนี้​แน่​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ยิ้ม​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ข้า​ก็​ไม่เคย​บอ​กว่า​ข้า​เป็น​นัก​หลอม​ยา​ขั้น​สี่นี่​ สาเหตุ​ที่มา​แข่ง​หลอม​ยาวิเศษ​ขั้น​สี่กับ​เจ้าก็​เพราะ​เจ้าหลอม​ได้​ถึงเพียงแค่​ระดับ​นี้​เท่านั้น​ ต่อไป​หาก​พบกัน​ก็​อย่า​ลืม​เรียก​ข้า​ว่า​ลูกพี่​ล่ะ​ เข้าใจ​หรือไม่​ น้องชาย​”

“เจ้า…”

“เจ้าอย่า​มานึก​เสียใจ​ตอนนี้​สิ!” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ขัดจังหวะ​คำพูด​ของ​เขา​ “วันนี้​ที่นี่​มีพยาน​รู้เห็น​ตั้ง​มากมาย​ เจ้าจะมากลับคำ​มิได้​หรอก​นะ​! ยอมรับ​ความพ่ายแพ้​แต่​โดยดี​เถิด​!”

พอ​พูด​จบ​แล้ว​เธอ​จึงหมุน​กาย​ลง​จาก​เวที​ประลอง​แล้ว​ออกจาก​หมู่บ้าน​ไป​พร้อมกับ​พวก​เป่ยกง​ถัง กลับ​ไป​ยัง​ที่​ตั้งค่าย​ริม​ทะเลสาบ​

ผ่าน​ไป​ครู่ใหญ่​ ทุกคน​จึงค่อย​ได้สติ​กลับคืน​มา เธอ​เอาชนะ​ห​ลี่​มู่ได้​จริงๆ​ นอกจากนี้​ยัง​มอง​ออกจาก​คำพูด​สุดท้าย​ของ​เธอ​ด้วยว่า​เธอ​มิใช่นัก​หลอม​ยา​ขั้น​สี่ แต่​ระดับ​ขั้นสูง​กว่า​นั้น​เสีย​อีก​!

“นัก​หลอม​ยา​อายุ​ยี่​สิบสอง​ปี​ แต่​ระดับ​ขั้นสูง​กว่า​ห​ลี่​มู่เสีย​อีก​! ช่างเป็น​เทพ​เซียน​โดยแท้​!” มีคน​อุทาน​ขึ้น​มา

“ก็​ใช่ พรสวรรค์​นี้​ต่อให้​เป็น​คน​รุ่นเยาว์​ของ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​แห่ง​ดินแดน​ ก็​ยัง​ไม่แน่​ว่า​จะเอาชนะ​เขา​ได้​เลย​!”

“ไอ้​ห​ยา​ สวรรค์​เอ๋ย​!”

“เจ้าเด็ก​นี่​ ร้อง​บ้า​อะไร​ของ​เจ้าน่ะ​!”

“พวกเรา​เสียพนัน​กัน​หมด​แล้ว​!”

“ให้​ตาย​เถอะ​ จริง​ด้วย​สิ! ข้า​ลง​พนัน​ข้าง​ห​ลี่​มู่ไป​นี่​นา​!”

“ข้า​ก็​ด้วย​ คราวนี้​ซวย​แล้ว​สิ!”

“พวกเรา​ล้วน​ลง​พนัน​ข้าง​ห​ลี่​มู่กัน​หมด​ มีเพียงแค่​สอง​คน​นั้น​ที่​ลง​พนัน​ข้าง​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ พวก​เจ้าดู​สิ ตอนนี้​พวกเขา​ยัง​เก็บ​เงิน​กัน​อยู่​ตรงนั้น​เลย​!”

ทุกคน​มอง​ไป​ทาง​โต๊ะ​พนัน​เมื่อ​ครู่​ หนิ​ว​หวา​กับ​บุรุษ​วัยกลางคน​อีก​คน​ยืน​อยู่​ด้านหน้า​โต๊ะ​ เพื่อ​รับเงิน​พนัน​ที่​ตน​ควร​ต้อง​ได้​

“แหะๆ​ คิดไม่ถึง​ว่า​ข้า​จะจับพลัดจับผลู​ได้เงิน​เก้า​สิบ​ตำลึง​ทอง​กลับมา​!” หนิ​ว​หวา​หยิบ​ตำลึง​ทอง​ส่อง​กับ​แสงอาทิตย์​ไปมา​พลาง​มอง​แล้ว​มอง​เล่า​ “โชคดี​ที่​เมื่อ​ครู่​ทำ​พลาด​ มิฉะนั้น​ตอนนี้​ก็​คง​ไม่ได้​กำไร​ขนาด​นี้​หรอก​!”

บุรุษ​อีก​คน​ก็​หยิบ​ตำลึง​ทอง​มากะ​น้ำหนัก​ดู​พลาง​พูด​อย่าง​มีความสุข​ว่า​ “ได้​ค่า​ห้อง​สอง​วันนี้​แล้ว​สินะ​!”

“ข้า​ก็​บอก​ไป​แล้ว​มิใช่หรือว่า​โย​วเย่ว์​ของ​เรา​จะต้อง​ชนะ​อย่าง​แน่นอน​ เป็น​อย่างไรเล่า​ ซื้อ​แล้ว​คุ้มกัน​หรือไม่​” ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​พูด​อย่าง​ลำพองใจ​

“อื้มๆ​ คิดไม่ถึง​ว่า​เขา​จะร้ายกาจ​ถึงเพียงนี้​!” หนิ​ว​หวา​นับ​ตำลึง​ทอง​ใน​อ้อมแขน​อย่าง​มีความสุข​

ทุกคน​หมดอาลัยตายอยาก​ คิดไม่ถึง​ว่า​จะมีผลลัพธ์​เช่นนี้​ เงิน​ที่​ตน​ลง​พนัน​ไป​เมื่อ​ครู่​ก็​สลาย​หาย​ไป​กับ​สายลม​เสียแล้ว​

ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​ยืน​อยู่​บน​ภูเขา​ ยังคง​นึกถึง​สีหน้า​ของ​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​เมื่อ​ครู่​อยู่​ นัยน์ตา​ก็​ทอ​ประกาย​วาบ​ เกิด​ความคิด​บางอย่าง​ขึ้น​มาภายในใจ​

เมื่อ​ได้ยิน​อายุ​ของ​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ ริม​ทะเลสาบ​ก็​เงียบงัน​ไป​หลาย​วินาที​ จากนั้น​จึงมีเสียง​ระเบิด​หัวเราะ​ดังลั่น​

“อายุ​ยี่​สิบสอง​ปี​ เจ้ากลับ​กล้า​แข่ง​หลอม​ยา​กับ​ศิษย์​พี่​ห​ลี่​อย่างนั้น​หรือ​ นี่​เป็น​เรื่องตลก​ที่สุด​ที่​ข้า​ได้ยิน​มาใน​ปี​นี้​เลย​ล่ะ​!”

“เจ้าเป็น​นัก​หลอม​ยา​หรือ​” เหยียน​ลู่​ถาม

“ใช่” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ตอบรับ​ “ถึงแม้ว่า​ระดับ​ขั้น​จะไม่สูงมาก​นัก​ แต่​ก็​ยัง​พอ​แข่ง​กับ​เขา​ได้​อยู่​”

เหยียน​ลู่​มอง​เธอ​อย่าง​ประหลาดใจ​ เธอ​มั่นใจ​ใน​ตัวเอง​ถึงเพียงนี้​ เป็น​เพราะ​ระดับ​ขั้นสูง​กว่า​เขา​อีก​อย่างนั้น​หรือ​ อย่าง​น้อย​ก็​ต้อง​เท่ากัน​กับ​เขา​!

นัก​หลอม​ยา​ขั้น​สี่อายุ​ยี่​สิบสอง​ปี​ พรสวรรค์​เช่นนี้​ช่างชวน​ให้​คน​ตกใจ​ยิ่งนัก​! แม้กระทั่ง​ศิษย์​พี่​หา​น​ก็​ยัง​อายุ​ถึงยี่สิบ​สี่ปี​จึงจะสำเร็จ​เป็น​นัก​หลอม​ยา​ขั้น​สี่

ยิ่ง​ไม่ต้อง​พูด​ถึงว่า​เธอ​ยัง​เป็น​ปรมาจารย์​ค่าย​กล​อีกด้วย​!

“มิน่าเล่า​พวก​โย​วฉิง​ถึงได้​บอ​กว่า​เขา​เป็นตัว​ประหลาด​ พรสวรรค์​เช่นนี้​ก็​เป็นตัว​ประหลาด​จริงๆ​ นั่นแหละ​!”

“ได้​ ใน​เมื่อ​เจ้าอยาก​แข่ง​กับ​ข้า​ เช่นนั้น​ข้า​ก็​จะสนอง​ให้​เจ้าเอง​ เจ้าเป็น​นัก​หลอม​ยา​ขั้น​ใด​เล่า​” ห​ลี่​มู่เอง​ก็​อยาก​จะจัดการ​เธอ​ด้วยมือ​ตัวเอง​ยิ่งนัก​จึงเอ่ย​ถามขึ้น​

“ขั้น​ไหน​ไม่สำคัญ​หรอก​ ใน​เมื่อ​เจ้าหลอม​ยาวิเศษ​ขั้น​สี่ได้​ เช่นนั้น​พวกเรา​ก็​มาแข่ง​ขั้น​สี่กัน​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “แต่​เพื่อ​ป้องกัน​มิให้​พวก​เจ้าแพ้​แล้ว​กลับคำ​อีกครั้ง​ คราวนี้​พวกเรา​ต้อง​มีพยาน​ด้วย​”

เมื่อ​ถูก​เธอ​เยาะเย้ย​ซ้ำแล้วซ้ำเล่า​ เพลิง​โทสะ​ใน​ใจห​ลี่​มู่ก็​ยิ่ง​โหมกระหน่ำ​ เขา​ถามว่า​ “เจ้าคิด​ว่า​อย่างไรเล่า​”

“ก็​ต้อง​ไปหา​พยาน​มาน่ะ​สิ” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “แข่ง​กัน​ที่นี่​ไม่ได้​หรอก​ ต้อง​ไป​ที่​หมู่บ้าน​ภาพ​มังกร​ ต่อหน้า​ทุกคน​ หาก​มีพยาน​มาก​ๆ ข้า​จะได้​วางใจ​หน่อย​”

“ก็ได้​ ถ้าหาก​เจ้าแพ้​ เจ้าก็​ต้อง​ปล่อย​ให้​พวกเรา​จัดการ​ด้วย​ล่ะ​!” ห​ลี่​มู่พูด​

“ไม่มีปัญหา​!” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “ข้า​คิด​ว่า​หาก​ข้า​ตกไป​อยู่​ใน​เงื้อมมือ​พวก​เจ้าจะต้อง​ไม่เหลือ​แม้แต่​ซาก​แน่​ ทว่า​ข้า​ใจกว้าง​กว่า​ ไม่ใจคอ​โหดเหี้ยม​อำมหิต​เหมือน​พวก​เจ้าหรอก​ ถ้าหาก​เจ้าพ่ายแพ้​ ภายหลัง​หาก​พบ​หน้า​ข้า​ก็​จงเรียก​ข้า​ว่า​ลูกพี่​สัก​คำ​หนึ่ง​ก็​พอแล้ว​!”

“ได้​สิ!” ห​ลี่​มู่รับปาก​

“เช่นนั้น​พวกเรา​ไป​กัน​ตอนนี้​เลย​ดีกว่า​ เพื่อ​เลี่ยง​มิให้​พวก​เจ้ามาร้อง​เจี๊ยวจ๊าว​ต่อหน้า​ข้า​อีก​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “ใช่แล้ว​ คุณชาย​ตระกูล​น่า​หลาน​ พวก​เจ้ามิได้​อยาก​หยั่งเชิง​พลัง​ยุทธ์​ของ​พวกเรา​หรอก​หรือ​ บอก​เจ้าไว้​ก่อน​เลย​ว่า​ข้า​ไม่เข้าร่วม​การแข่งขัน​ ดังนั้น​เจ้าให้​คน​มาหยั่งเชิง​ข้า​ได้​ตามสบาย​เลย​ ข้า​จะรับ​ไว้​ทั้งหมด​”

มือ​ที่​ไพล่หลัง​อยู่​ของ​น่า​หลาน​เจี๋ย​กำ​เป็น​หมัด​แน่น​

ห​ลี่​มู่มอง​คน​คน​ตระกูล​ซือ​หม่า​ปราด​หนึ่ง​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ไป​กัน​เถิด​”

จากนั้น​พวกเขา​จึงไป​ยัง​หมู่บ้าน​ภาพ​มังกร​ เมื่อ​ถึงเวที​ประลอง​ คน​ของ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​จึงเคาะ​นาฬิกา​เรือน​ใหญ่​บน​เวที​ประลอง​ครา​หนึ่ง​ เสียง​นาฬิกา​จึงก้อง​สะท้อน​ไป​ทั่ว​ทั้ง​หมู่บ้าน​

เมื่อ​คนใน​หมู่บ้าน​ได้ยิน​เสียง​นาฬิกา​แล้วจึง​รีบ​พุ่งตัว​มายัง​เวที​ประลอง​ อยาก​เห็น​ว่า​ใคร​ที่​กำลังจะ​ดวล​กัน​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ยืน​อยู่​ที่​ด้านล่าง​ของ​เวที​ประลอง​ เมื่อ​เห็น​เวที​อัน​แข็งแรง​มั่นคง​ ทั้ง​ยังมี​ค่าย​กล​ล้อมรอบ​ จึงรำพึง​ว่า​ “คิดไม่ถึง​ว่า​สถานที่​แห่ง​นี้​จะมีเวที​ประลอง​อยู่​ด้วย​”

“ผู้​ที่​มายัง​เขา​ภาพ​มังกร​มีแต่​พวก​เลือดร้อน​ไฟแรง​กัน​ทั้งนั้น​ ทำให้​มีการปะทะ​กัน​อยู่​เป็นประจำ​ จึงได้​สร้าง​เวที​ประลอง​แห่ง​นี้​ขึ้น​มาที่​ด้าน​ข้าง​หมู่บ้าน​ เพื่อ​ปกป้อง​หมู่บ้าน​เอาไว้​น่ะ​” เหยียน​ลู่​พูด​อธิบาย​

“ที่แท้​เป็น​เช่นนี้​เอง​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ลูบ​คาง​ “ดูเหมือนว่า​ทักษะ​ค่าย​กล​ของ​ผู้สร้าง​เวที​แห่ง​นี้​ใน​หมู่บ้าน​จะไม่เลว​เลย​ทีเดียว​นะ​”

“น่าจะ​ใช่กระมัง​ แต่​นี่​เป็นเรื่อง​ที่​เกิดขึ้น​นานมาแล้ว​ พวกเรา​ก็​ไม่รู้​แล้ว​ละ​ว่า​เป็น​ใคร​” เหยียน​ลู่​พูด​

เพียง​ไม่นาน​ คนใน​หมู่บ้าน​ก็​วิ่ง​ลงมา​กัน​หมด​ เมื่อ​เห็น​ห​ลี่​มู่อยู่​บน​นั้น​จึงพา​กัน​คาดเดา​ “จะมีคน​มาแข่ง​กับ​คน​ของ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​อย่างนั้น​หรือ​”

“ใคร​กันที่​อาจหาญ​ถึงเพียงนั้น​”

“จริง​หรือ​เท็จ​กัน​น่ะ​”

“แข่ง​กับ​คน​ของ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​ จะแข่ง​หลอม​ยา​อย่างนั้น​หรือ​”

“วันนี้​พวกเรา​จะได้​เห็น​การหลอม​ยา​กับ​ตา​แล้ว​สินะ​”

“แข่ง​หลอม​ยา​กับ​คน​ของ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​ นี่​มิใช่การ​รนหาที่​หรอก​หรือ​”

“ใคร​จะไป​รู้​! ข้า​รู้จัก​คน​ผู้​นี้​ เขา​ชื่อ​ห​ลี่​มู่ เป็น​คน​ที่​โดดเด่น​ที่สุด​ใน​รุ่นเยาว์​ของ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​ อายุ​เพียงแค่​ยี่สิบ​กว่า​ปี​ก็​เป็น​นัก​หลอม​ยา​ขั้น​สี่แล้ว​!”

“นัก​หลอม​ยา​ขั้น​สี่วัยเยาว์​ถึงเพียงนี้​เชียว​หรือ​”

“ใช่น่ะ​สิ จึงไม่รู้​ว่า​ใคร​กันที่​มีตา​หา​มีแวว​ไม่ ถึงได้​กล้า​มาแข่งขัน​กับ​เขา​”

เมื่อ​เห็น​ว่า​มีคน​มากัน​มาก​พอสมควร​แล้ว​ ห​ลี่​มู่จึงมอง​ไป​ยัง​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ที่อยู่​ด้านล่าง​ของ​เวที​พลาง​ถามว่า​ “เจ้าคิด​จะขึ้น​มาเมื่อไหร่​กัน​”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ปัดฝุ่น​ที่​ไม่มีอยู่​จริง​บน​เสื้อผ้า​ ก่อน​จะเดิน​ขึ้นไป​บน​เวที​ประลอง​อย่าง​เชื่องช้า​

“เจ้าเด็ก​ผู้​นี้​ดูจะ​อายุ​อ่อน​กว่า​ห​ลี่​มู่เสีย​อีก​!”

“เขา​จะแข่ง​หลอม​ยา​กับ​ห​ลี่​มู่จริง​หรือ​ นี่​มัน​บ้า​ไป​แล้ว​!”

“พวกเรา​ลง​พนัน​กัน​ดี​หรือไม่​ มาพนัน​กัน​ว่า​ใคร​จะชนะ​”

“ช่างมัน​เถิดน่า​ นี่​มัน​ต้อง​เท​ไป​ฝ่าย​เดียว​อยู่แล้ว​ จะทำ​ไป​เพื่อ​อะไร​เล่า​!”

คน​เหล่านี้​ไม่อยาก​พนัน​ แต่กลับ​มีเสียง​หนึ่ง​ตะโกน​มาจาก​ข้าง​เวที​

“มาสิๆ มาแทง​พนัน​กัน​ดีกว่า​ หาก​แทง​ข้าง​ห​ลี่​มู่ชนะ​ อัตรา​หนึ่ง​ต่อ​ห้า​ หาก​แทง​ข้าง​โย​วเย่ว์​ชนะ​ อัตรา​หนึ่ง​ต่อ​สิบ​รีบ​มาลง​พนัน​กัน​เร็ว​เข้า​สิ!”

ทุกคน​มองตาม​เสียง​ไป​ก็​เห็น​ว่า​ตรงนั้น​มีโต๊ะ​วาง​อยู่ตัว​หนึ่ง​ บน​นั้น​ปู​ผ้า​ซึ่งเขียน​ชื่อ​ห​ลี่​มู่และ​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​เอาไว้​

“เจ้าเป็น​ใคร​กัน​ถึงได้​กล้า​มาตั้งโต๊ะ​ตรงนี้​ ถ้าหาก​แพ้​แล้ว​พวก​เจ้าจะจ่าย​พวกเรา​ไหว​หรือ​”

ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​กาง​พัด​จีบ​แล้ว​พูด​ด้วย​รอยยิ้ม​ที่​คิด​เอา​เอง​ว่า​มัด​ใจผู้อื่น​ได้​ “เรื่อง​นี้​พวก​ท่าน​วางใจ​ได้​เลย​ แต่ไหนแต่ไร​ตระกูล​ซือ​หม่า​เรา​ก็​ไม่เคย​ติดหนี้​ใคร​อยู่แล้ว​!”

“ตระกูล​ซือ​หม่า​หรือ​”

“ข้า​รู้จัก​คน​ผู้​นี้​ เขา​คือ​คุณชาย​ผู้​เป็น​ทายาท​ตระกูล​ซือ​หม่า​ เป็น​หลานชาย​สาย​ตรง​ของ​ประมุข​ตระกูล​คน​ปัจจุบัน​”

เมื่อ​มีคน​ตะโกน​เช่นนี้​ออกมา​ ทุกคน​จึงเชื่อถือ​ใน​ตัวตน​ของ​ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​

มีคน​ตั้งโต๊ะ​ ทุกคน​ก็​ย่อม​อยาก​เข้า​ร่วมวง​พนัน​ด้วย​อยู่แล้ว​ จากนั้น​จึงกรู​กัน​เข้าไป​

“มาๆๆ การแข่งขัน​กำลังจะ​เริ่มต้น​ขึ้น​แล้ว​นะ​! ใคร​อยาก​เข้าร่วม​ก็​รีบ​มาลง​พนัน​เร็ว​เข้า​! ได้​กำไร​เห็น​ๆ เลย​นะ​!” ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​ตะโกน​พูด​

“ลง​ข้าง​ห​ลี่​มู่กัน​หมด​ ไม่มีใคร​ลง​ข้าง​โย​วเย่ว์​ของ​พวกเรา​บ้าง​เลย​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​มองดู​คน​ที่​ลง​พนัน​แล้ว​ขมวดคิ้ว​ “โย​วเย่ว์​ของ​เรา​อัตรา​หนึ่ง​ต่อ​สิบ​เชียว​นะ​!”

“ข้า​เอง​ ข้า​พนัน​ข้าง​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์!”​ บุรุษ​วัยกลางคน​ผู้​หนึ่ง​เดิน​เข้ามา​ ในขณะที่​เขา​กำลังจะ​วาง​ตำลึง​ทอง​ลง​บน​โต๊ะ​นั้น​ก็​ถามขึ้น​ประโยค​หนึ่ง​ว่า​ “เขา​เป็น​คน​ตระกูล​ซือ​หม่า​ของ​พวก​เจ้าหรือ​ อายุ​เท่าไหร่​แล้ว​ล่ะ​”

ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​พูด​พลาง​ยิ้ม​ตาหยี​ “ถูกต้อง​ โย​วเย่ว์​เป็น​น้องชาย​ของ​ข้า​ อีก​ไม่กี่​เดือน​ก็​จะอายุ​ยี่​สิบสอง​แล้ว​ล่ะ​”

มือ​ของ​ชาย​วัยกลางคน​อยู่​ห่าง​จาก​โต๊ะ​อีก​เพียงแค่​หนึ่ง​เซนติเมตร​แล้ว​ชัก​มือ​กลับ​ไป​ หลังจากนั้น​จึงพูด​อย่าง​ไม่เป็นธรรมชาติ​อย่างยิ่ง​ว่า​ “ข้า​ลง​ข้าง​ห​ลี่​มู่ดีกว่า​”

“ฮ่าๆ…” ผู้คน​โดยรอบ​พา​กัน​หัวเราะ​ขึ้น​มา

รอยยิ้ม​ของ​ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​ชะงัก​ค้าง​ไป​ครู่หนึ่ง​ จากนั้น​จึงโบก​พัด​พลาง​เอ่ย​ว่า​ “ความจริง​แล้ว​โย​วเย่ว์​ของ​เรา​ร้ายกาจ​ยิ่งนัก​ จะต้อง​เอาชนะ​ห​ลี่​มู่ได้​อย่าง​แน่นอน​ พวก​ท่าน​ไม่ลง​ข้าง​เขา​กัน​จริงๆ​ หรือ​”

“คุณชาย​ซือ​หม่า​ ท่าน​บอ​กว่า​เขา​เพิ่งจะ​อายุ​ยี่​สิบสอง​ปี​ คน​ทั่วไป​อายุ​ยี่​สิบสอง​ปี​ สำเร็จ​เป็น​นัก​หลอม​ยา​ขั้น​สามได้​ก็​ไม่เลว​แล้ว​ ห​ลี่​มู่ผู้​นี้​เป็น​ถึงนัก​หลอม​ยา​ขั้น​สี่ แล้ว​ใคร​จะกล้า​ไป​ลง​ข้าง​เขา​ได้​เล่า​!” มีคนพูด​พลาง​หัวเราะ​

“พวก​ท่าน​ไม่ลง​ข้าง​เขา​ตอนนี้​ก็​อย่า​มานึก​เสียใจ​ภายหลัง​ล่ะ​!” ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​พูด​

“พี่ชาย​ ข้า​ลง​ข้าง​เขา​คน​หนึ่ง​แล้วกัน​” เด็กน้อย​อายุ​ราว​สิบ​กว่า​ขวบ​แทรกตัว​เข้ามา​แล้ว​วาง​ตำลึง​ทอง​หลาย​อัน​ลง​บน​โต๊ะ​

“หนิ​ว​หวา​ เจ้าไม่อยู่​เฝ้าร้าน​ของ​พวก​เจ้าหรือ​ มาร่วมวง​อะไร​ที่นี่​เล่า​!”

หนิ​ว​หวา​รับ​ใบ​ลง​พนัน​มาพลาง​ยิ้ม​ให้​คน​ที่​พูด​กับ​เขา​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “คน​มาที่นี่​กัน​หมด​ทั้งเมือง​แล้ว​ ไม่มีลูกค้า​หรอก​ พ่อ​ข้า​ถึงกับ​ปิด​ร้าน​เลย​ทีเดียว​ ไม่ต้อง​ให้​ข้าเฝ้า​แล้ว​ล่ะ​”

“สหาย​ตัว​น้อย​ช่างมีสายตา​แหลมคม​นัก​!” ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​เอ่ย​ชม

หนิ​ว​หวา​มองดู​กระดาษ​ใน​มือ​แล้ว​เอ่ย​อย่าง​สงสัย​ว่า​ “เอ๊ะ​… เหตุใด​จึงไป​ลง​ของ​ฝ่ายตรงข้าม​ได้​เล่า​ ข้า​จะลง​ข้าง​ปรมาจารย์​ห​ลี่​ต่างหาก​!”

ทุกคน​มอง​ไป​บน​โต๊ะ​ก็​เห็น​ว่า​ตำลึง​ทอง​หลาย​อันเป็น​ตำลึง​ทอง​ของ​ฝั่งห​ลี่​มู่ แต่​เพราะ​ผู้​ที่​ลง​ข้าง​ห​ลี่​มู่มากเกินไป​ ตอนที่​เขา​ลง​พนัน​จึงเข้าไป​อยู่​ใน​พื้นที่​ฝั่งซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พอดี​

คราวนี้​รอยยิ้ม​ของ​ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​แข็ง​ค้าง​ไป​จริงๆ​ เสียแล้ว​

“คุณหนู​เหยียน​ เจ้ากลับมา​พอดี​เลย​ ศิษย์​พี่​เจ้านำ​คน​มาโดย​บอ​กว่า​พวกเรา​ลักพาตัว​เจ้ามาไว้​ที่นี่​ เจ้ารีบ​กลับ​ไป​กับ​พวกเขา​ดีกว่า​ พวกเรา​ไม่กล้า​แบกรับ​ข้อกล่าวหา​เช่นนี้​เอาไว้​หรอก​ มิฉะนั้น​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​จะต้อง​ส่งคน​มาล้างผลาญ​พวกเรา​อย่าง​แน่นอน​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​

เหยียน​ลู่​จ้องมอง​ห​ลี่​มู่ด้วย​สีหน้า​เคร่งขรึม​แล้ว​ตำหนิ​ว่า​ “ข้า​เอง​ที่​เป็นตัว​ต้นคิด​ว่า​จะอยู่​ที่นี่​กับ​พวกเขา​ แล้ว​นี่​ท่าน​กำลัง​ทำ​อะไร​ บอก​ผู้อื่น​ว่า​สมาพันธ์​ของ​เรา​ใช้อำนาจ​ข่มเหง​ผู้คน​อย่างไร​เช่นนั้น​หรือ​”

“ศิษย์​น้อง​หญิง​ พวกเรา​เป็นห่วง​เจ้าหรอก​นะ​!” ห​ลี่​มู่เล่​น​ลิ้น​

“วันนี้​คุณหนู​เหยียน​อยู่​กับ​พวก​โย​วฉิง​ใน​หมู่บ้าน​มาทั้งวัน​ พวก​เจ้ามีคน​ตั้ง​มากมาย​ จะไม่มีใคร​รู้​เลย​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “ถ้าหาก​คุณหนู​เหยียน​ถูก​พวกเรา​ลักพาตัว​มาจริง​ แล้​วจะ​ยัง​ออก​ไป​เที่ยวเล่น​ได้​อย่างไร​กัน​เล่า​ ถ้าหาก​พวก​เจ้าจะหา​ข้ออ้าง​ก็​อย่า​ลาก​ผู้อื่น​มาเกี่ยว​สิ! ไม่ใช่แค่​อยาก​จะลองเชิง​เด็ก​ๆ อย่าง​พวกเรา​หรอก​หรือ​ ก็​พูด​มาตรงๆ​ สิ จะมาลาก​คุณหนู​เหยียน​ไป​แปดเปื้อน​ด้วย​ทำไม​กัน​!”

คน​ของ​ตระกูล​น่า​หลาน​และ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​โมโห​ขึ้น​มาใน​ใจ เจ้าคน​ผู้​นี้​พูด​จุดประสงค์​ของ​พวกเขา​ออกมา​ตลอด​ ช่างทำให้​พวกเขา​รู้สึก​ขาย​หน้าเสีย​จริง​!

“ทุกคน​จะโมโห​ไป​ทำไม​กัน​เล่า​!” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “ข้า​พูดไม่ถูก​หรือ​อย่างไร​กัน​”

“เจ้าอย่า​มาพูดจา​เหลวไหล​นะ​!” คน​ตระกูล​น่า​หลาน​คน​หนึ่ง​ตะคอก​

“พูดจา​เหลวไหล​หรือไม่​ทุกคน​ล้วน​รู้ดี​อยู่​แก่​ใจ ใน​เมื่อ​ทำ​เรื่อง​เช่นนี้​ลง​ไป​แล้ว​ จะมากลัว​ข้า​กระชาก​หน้ากาก​พวก​เจ้าอีก​ทำไม​เล่า​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ยิ้ม​เย็นชา​พลาง​กวาดสายตา​มอง​พวกเขา​ “มิได้​บอ​กว่า​ต้อง​เอาชนะ​พวก​เจ้าสามคน​หรอก​หรือ​ ตอนนี้​ชนะ​ได้​คน​หนึ่ง​แล้ว​ ยัง​เหลือ​อีก​สอง​คน​ พวก​เจ้าจะส่งใคร​มาดี​ล่ะ​”

เมื่อ​เห็น​สอง​ตา​อัน​เย็นเยียบ​ดุจ​น้ำแข็ง​ของ​เธอ​แล้ว​พวกเขา​จึงเข้าใจ​ว่า​ ไม่ว่า​จะส่งใคร​ไป​ก็​ต้อง​ถูก​ต่อย​ตี​จน​น่าอนาถ​ยิ่งกว่า​เดิม​เสีย​อีก​

รอ​อยู่​ครึ่ง​นาที​ก็​ไม่มีใคร​ก้าว​เข้ามา​ ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​บีบ​สอง​มือ​เข้าหา​กัน​อยู่​ตรง​ด้านหน้า​ทรวงอก​พลาง​เอ่ย​ว่า​ “ใน​เมื่อ​ไม่มีคน​เข้ามา​ เช่นนั้น​ข้า​จะเลือก​เอง​แล้ว​นะ​ เจ้า เข้ามา​นี่​ พวกเรา​มาสู้กัน​”

ผู้​ที่​ถูก​ชี้ตัว​รีบ​ก้าว​ถอยหลัง​พลาง​เอ่ย​ว่า​ “พลัง​ยุทธ์​ข้า​ต่ำต้อย​ยิ่งนัก​ ไม่สู้กับ​เจ้าหรอก​!”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ก็​ไม่ทำให้​เขา​ลำบากใจ​ จึงชี้อีก​คน​หนึ่ง​แทน​แล้ว​พูดว่า​ “เช่นนั้น​เจ้าแล้วกัน​”

“พลัง​ยุทธ์​ข้า​ต่ำกว่า​เขา​อีก​” คน​ผู้​นั้น​ถอยกรูด​

“เช่นนั้น​เจ้า เจ้า เจ้าเล่า​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ชี้อีก​หลาย​คน​ ผู้​ที่​ถูก​ชี้ล้วน​ถอย​หนี​กัน​หมด​

ถึงขนาด​ชี้ตั้ง​หลาย​คน​ ก็​ยัง​ไม่มีใคร​มา ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​จึงตะโกน​อย่าง​เดือดดาล​ว่า​ “ตกลง​พวก​เจ้าจะสู้หรือไม่​สู้ ถ้าจะสู้ก็​เข้ามา​ ไม่สู้ก็​ไสหัว​กลับ​ไป​เสีย​สิ!”

ห​ลี่​มู่สีหน้าเขียว​คล้ำ​ เรียก​ได้​ว่า​ตอนนี้​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​ขายหน้า​จน​ไม่เหลือ​ชิ้น​ดีแล้ว​

“เจ้าถึงกับ​กล้า​ให้​พวกเรา​ไสหัวไป​เชียว​หรือ​ แต่ไหนแต่ไร​ก็​ไม่เคย​มีใคร​กล้า​พูด​กับ​คน​ของ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​เรา​เช่นนี้​มาก่อน​เลย​นะ​!” มีคน​ตะคอก​ขึ้น​อย่าง​โมโห​

“เจ้าจะมาสู้กับ​ข้า​หรือไม่​เล่า​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​มอง​เขา​

ถูก​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​มอง​เหยียด​เช่นนี้​ อีก​ฝ่าย​จึงหยุด​ปาก​ไป​

“เฮอะ​ พวกเรา​เป็น​นัก​หลอม​ยา​ แต่​เจ้าเป็น​ปรมาจารย์​วิญญาณ​ มีพลัง​การต่อสู้​แข็งแกร่ง​กว่า​พวกเรา​แล้ว​อย่างไรเล่า​” มีคนพูด​ขึ้น​

“ถูกต้อง​ หาก​เจ้ามีปัญญา​ก็​มาหลอม​ยา​แข่ง​กับ​พวกเรา​สิ!” พอ​คน​ผู้​นั้น​พูด​ คนอื่น​จึงรีบ​เออออ​ในทันที​

พวกเขา​นำ​จุดด้อย​ของ​ตัวเอง​ไป​เปรียบเทียบ​กับ​จุดเด่น​ของ​ปรมาจารย์​วิญญาณ​ทำไม​กัน​! เอาชนะ​เธอ​ไม่ได้​ พวกเขา​ก็​เลย​ไม่เชื่อ​ว่า​เธอ​หลอม​ยา​ได้​ด้วย​อย่างนั้น​สิ!

“พวก​เจ้าจะแข่ง​หลอม​ยา​กับ​ข้า​อย่างนั้น​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ถาม “แล้ว​หาก​ข้า​หลอม​ยา​ไม่เป็น​เล่า​”

“ถ้าหลอม​ยา​ไม่เป็น​ก็​ต้อง​ขอขมา​พวกเรา​แล้ว​ล่ะ​! คน​ที่​เสนอ​เรื่อง​หลอม​ยา​เป็น​คน​แรก​เอ่ย​ขึ้น​

“พอแล้ว​ ห​ลี่​มู่ ท่าน​พา​คน​ออก​ไป​จาก​ที่นี่​ให้​ข้า​เดี๋ยวนี้​เลย​!” เหยียน​ลู่​เห็น​สภาพ​คน​ของ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​เป็น​เช่นนี้​ จึงทั้ง​ผิดหวัง​ทั้ง​โกรธเคือง​พวกเขา​ นาง​จึงเอ่ย​เสียง​ดุ​

“คุณหนู​ ท่าน​ตะคอก​ใส่ศิษย์​พี่​ห​ลี่​ไป​ก็​ไม่มีประโยชน์​หรอก​ เรื่อง​นี้​เกี่ยวพัน​กับ​หน้าตา​ของ​สมาพันธ์​เรา​ ถ้าหาก​อีก​ฝ่าย​ยอม​ขอขมา​พวกเรา​ ก็​จงจัดการ​เขา​ให้​พวกเรา​เสีย​ พวกเรา​จะยอม​เลิกรา​ แต่​ถ้าหาก​ไม่ยอม​ ก็​อย่า​ตำหนิ​ว่า​สมาพันธ์​เรา​คว่ำบาตร​ตระกูล​ซือ​หม่า​แล้วกัน​!” คน​ของ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​พูด​

“พวก​เจ้ากล้า​ไม่เชื่อฟัง​คำพูด​ข้า​หรือ​!” เหยียน​ลู่​พูด​

“ศิษย์​พี่​หญิง​ ถึงแม้ว่า​เรื่อง​นี้​จะเป็น​เพราะ​ท่าน​ใน​ตอนแรก​ ทว่า​ตอนนี้​มัน​ได้​ยกระดับ​กลาย​เป็นเรื่อง​ระหว่าง​ตระกูล​ซือ​หม่า​กับ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​ไป​เรียบร้อย​แล้ว​ ท่าน​คิด​จะขัดขวาง​ก็​ไม่มีประโยชน์​หรอก​!” หงส​ยา​พูด​

“จุ๊ๆ” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​มองดู​ท่าที​ที่​แสดงออก​ว่า​ตน​ชนะ​แล้ว​ของ​พวกเขา​พลาง​เอ่ย​อย่าง​เย้ยหยัน​ว่า​ “ตอนแรก​พวก​เจ้าบอ​กว่า​เอาชนะ​พวก​เจ้าสามคน​ได้​แล้ว​จะจากไป​ พ่ายแพ้​ครั้ง​เดียว​ก็​ไม่ยอม​สู้แล้ว​ ตอนนี้​ยัง​จะท้า​แข่ง​หลอม​ยา​กับ​พวกเรา​ พวก​เจ้าคิด​ว่า​ทุกคน​ล้วน​เป็น​นัก​หลอม​ยา​กัน​หมด​หรือ​ไร​ เคย​เห็น​คน​หน้าไม่อาย​มาก​็มาก​ แต่​ยัง​ไม่เคย​เห็น​ใคร​หน้าไม่อาย​เท่า​พวก​เจ้ามาก่อน​เลย​! น้ำ​ใสเกินไป​ปลา​อยู่​ไม่รอด​ คน​ถ่อมตน​ย่อม​ไร้​ศัตรู​”

คน​ของ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​สีหน้า​ราวกับ​มีไฟลุกโชน​ แต่​เรื่อง​เป็น​เช่นนี้​แล้ว​ พวกเขา​ก็​มิอาจ​เดิน​หู​พับ​คอตก​จากไป​ได้​ง่ายๆ​

“พวกเรา​เปลี่ยน​วิธี​ตัดสิน​กัน​กลางคัน​ ตอนนี้​จึงจะให้โอกาส​พวก​เจ้าครั้งหนึ่ง​ ไม่จำเป็นต้อง​เป็น​เจ้าก็ได้​ ขอ​เพียงแค่​พวก​เจ้าตระกูล​ซือ​หม่า​ส่งนัก​หลอม​ยา​ออกมา​แข่ง​กับ​พวกเรา​คน​หนึ่ง​ก็​พอแล้ว​” ห​ลี่​มู่พูด​

“เรื่อง​นี้​ไม่ได้​หรอก​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “ถ้าหาก​พวก​เจ้าเลือก​คน​อายุ​ร้อย​ปี​ที่​หลอม​ยามา​เก้า​สิบ​ปี​มาแข่ง​กับ​พวกเรา​ที่​เพิ่ง​หัด​หลอม​ยา​ พวกเรา​จะไม่พ่ายแพ้​อย่าง​ไม่ต้องสงสัย​หรอก​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “เจ้าไม่เห็น​หรือว่า​พวกเรา​มีแต่​คน​วัยเยาว์​กัน​ทั้งนั้น​”

“พวกเรา​ก็​มาแค่​คน​รุ่นเยาว์​เท่านั้น​เหมือนกัน​” ห​ลี่​มู่พูด​

“ได้ยิน​มาว่า​พรสวรรค์​ใน​การหลอม​ยา​ของ​เจ้าสูงส่งนัก​ เจ้าอายุ​เท่าไหร่​ ระดับ​ขั้น​ใด​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ถาม

“ยี่สิบ​หก​ นัก​หลอม​ยา​ขั้น​สี่” ห​ลี่​มู่พูด​อย่าง​ภาคภูมิใจ​ใน​ตัวเอง​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​นึกถึง​สือ​โม่ลี่​ที่​อายุ​ยี่สิบ​ปี​ก็​กำลังจะ​บรรลุ​ขั้น​หนึ่ง​ แต่กลับ​ถูก​เรียก​ว่า​เป็น​ผู้​มีพรสวรรค์​สูงส่ง ยิ่ง​ภายหลัง​ ยิ่ง​เลื่อน​ระดับ​ได้​ยาก​ นัก​หลอม​ยา​ขั้น​สี่วัย​ยี่สิบ​สี่ปี​ผู้​นี้​ก็​นับว่า​พรสวรรค์​สูงส่งอย่างยิ่ง​แล้ว​

“อืม​ พรสวรรค์​ไม่เลว​จริงๆ​ นั่นแหละ​” เธอ​พยักหน้า​

“ข้า​จะไม่ลงมือ​แล้วกัน​ เจ้าสาม เจ้ามาแข่ง​กับ​พวกเขา​ที​” ห​ลี่​มู่พูด​อย่าง​เย่อหยิ่ง​

“เขา​ร้ายกาจ​มาก​เลย​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ถาม

“ยี่​สิบห้า​ปี​ นัก​หลอม​ยา​ขั้น​สาม” ห​ลี่​มู่พูด​

“ห​ลี่​มู่ เจ้าสามเป็น​คน​ที่​พรสวรรค์​ยอดเยี่ยม​ที่สุด​รอง​จาก​ท่าน​เลย​นะ​! ท่าน​ให้​เขา​มาแข่ง​แล้ว​ต่าง​อะไร​กับ​ท่าน​ลง​แข่ง​เอง​เล่า​!” เหยียน​ลู่​พูด​

“ศิษย์​พี่​หญิง​ ที่แท้​แล้ว​ท่าน​เป็น​คน​ของ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​หรือ​เป็น​คน​ของ​ตระกูล​ซือ​หม่า​กัน​แน่​! เหตุใด​จึงคอย​พูด​แทน​พวกเขา​อยู่​ได้​!” หงส​ยา​พูด​อย่าง​ไม่พอใจ​

“นั่น​น่ะ​สิ คุณหนู​ ท่าน​เป็น​คุณหนู​ของ​สมาพันธ์​นะ​ขอรับ​!” คนอื่น​ก็​มีความคิดเห็น​เช่นเดียวกัน​

“ข้า​ก็​แค่​พูด​ไป​ตามความเป็นจริง​เท่านั้น​!” เหยียน​ลู่​พูด​ “ถ้าหาก​พวก​เจ้าทำ​เรื่อง​ที่​ทำให้​สมาพันธ์​ขายหน้า​เช่นนี้​กัน​ต่อไป​ บรรดา​ผู้อาวุโส​จะต้อง​จัดการ​พวก​เจ้าแน่​!”

ห​ลี่​มู่มอง​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “พวกเรา​เลือก​คน​กัน​เรียบร้อย​แล้ว​ พวก​เจ้ามีนัก​หลอม​ยา​หรือไม่​ ถ้าหาก​ไม่มีก็​จงขอขมา​เสีย​!”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ชูนิ้วกลาง​ขึ้น​โบก​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ไม่ต้อง​เปลี่ยนตัว​หรอก​ เจ้ากับ​ข้า​มาแข่ง​กันเอง​นี่แหละ​”

“เจ้าจะแข่ง​กับ​ข้า​อย่างนั้น​หรือ​” ห​ลี่​มู่มอง​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ ไม่รู้​ว่า​เธอ​คิด​อะไร​อยู่​กัน​แน่​

“ถูกต้อง​ แข่ง​กับ​เจ้านี่แหละ​ ถ้าหาก​ข้า​ชนะ​ก็​รีบ​พา​คน​ไสหัวไป​เสียที​!” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​

“ฮ่าๆ เจ้าคน​ผู้​นี้​คิด​จะแข่ง​กับ​ศิษย์​พี่​ห​ลี่​อย่างนั้น​หรือ​!”

“เจ้าคน​ผู้​นี้​วิปลาส​ไป​แล้ว​กระมัง​!”

“แข่ง​ก็​แข่ง​เถิด​ ศิษย์​พี่​ห​ลี่​ ถ้าหาก​เขา​แพ้​ก็​ให้​เขา​หัก​แขน​ตัวเอง​ทิ้ง​เลย​นะ​!” หยวน​เฟิงที่​กิน​ยาวิเศษ​ไป​แล้ว​เริ่ม​ดีขึ้น​บ้าง​เอ่ย​อย่าง​ชิงชัง

“ใช่แล้ว​ ศิษย์​พี่​ห​ลี่​ ท่าน​ไป​จัดการ​เขา​เลย​!”

“เด็กน้อย​ เจ้าอายุ​เท่าไหร่​แล้ว​ล่ะ​”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​หัวเราะ​ “บอก​ไว้​เลย​ก็ดี​ เพื่อ​ไม่ให้​ตอนที่​เอาชนะ​พวก​เจ้าได้​แล้ว​มาหาว่า​ข้า​โกง​ ตอนนี้​ข้า​อายุ​ยี่​สิบสอง​ปี​แล้ว​”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​บิน​เข้าไป​แล้ว​ร่อน​ลง​บน​ภูเขา​ข้างๆ​ เห็น​ว่าที่​ริม​ทะเลสาบ​มีคน​อยู่​เป็น​จำนวนมาก​ คน​ที่​ห​ลี่​มู่พา​มาและ​คน​ตระกูล​น่า​หลาน​ยืน​อยู่​ด้วยกัน​

ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​และ​ชายหนุ่ม​ผู้​หนึ่ง​ต่อสู้​กัน​อยู่​กลางอากาศ​ ส่วน​คน​ด้านล่าง​กำลัง​ส่งเสียง​โห่ร้อง​ให้กำลังใจ​ เพราะ​โย​ว​หยาง​ถูก​อีก​ฝ่าย​ทำร้าย​ใน​การต่อสู้​เมื่อ​ครู่​

“ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​ เจ้ายัง​ไม่เรียก​สัตว์​อสูร​ผูก​พันธสัญญา​ของ​เจ้าออกมา​อีก​หรือ​” หมาป่า​สีขาว​องอาจ​สง่างามตน​หนึ่ง​ยืน​อยู่​ข้าง​กาย​ชายหนุ่ม​ผู้​นั้น​

“สัตว์​อสูร​เทพ​” ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​มอง​หมาป่า​สีขาว​ มีบางครั้ง​ที่​สัตว์​อสูร​วิเศษ​ระดับ​สัตว์​อสูร​เทพ​ไม่มีปีก​ แต่กลับ​เหาะ​เหิน​เดินอากาศ​ได้​ หมาป่า​สีขาว​ตน​นี้​ก็​เป็นหนึ่ง​ใน​นั้น​เช่นกัน​

ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​ยก​มือขึ้น​ปาด​โลหิต​บน​ริมฝีปาก​ทิ้ง​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “แค่​จะจัดการ​เจ้า ไม่เห็น​จำเป็นต้อง​ใช้สัตว์​อสูร​ผูก​พันธสัญญา​ของ​ข้า​เลย​!”

“นี่​มัน​เรื่อง​อัน​ใด​กัน​” เธอ​ทะยาน​ลง​มาจาก​ภูเขา​แล้ว​พูด​ขึ้น​ “นี่​คือ​การแข่งขัน​สัตว์​อสูร​เทพ​หรือ​ ต้อง​ให้​เจ้าวิหค​น้อย​ไป​เล่น​กับ​มัน​ด้วย​หรือไม่​”

มาหาเรื่อง​ข้า​ใน​เวลา​เช่นนี้​ ไม่ใช่ว่า​อยาก​ลองเชิง​พลัง​ยุทธ์​ของ​คน​รุ่นเยาว์​ตระกูล​ซือ​หม่า​หรอก​หรือ​!

“โย​วเย่ว์​ เจ้ากลับมา​แล้ว​!” คน​ตระกูล​ซือ​หม่า​เห็น​เธอ​กลับมา​จึงเอ่ย​ว่า​ “โย​วเย่ว์​ อีก​ฝ่าย​เป็น​คน​ของ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​เมือง​วิเศษ​ บอ​กว่า​พวกเรา​ลักพาตัว​คุณหนู​ของ​พวกเขา​มา จึงได้มา​หาเรื่อง​พวกเรา​ ต่อมา​จึงบอ​กว่า​หาก​พวกเรา​เอาชนะ​พวกเขา​ได้​สามคน​ก็​จะยอม​ปล่อย​เรื่อง​นี้​ไป​”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​มองดู​แวบ​หนึ่ง​ ซือ​หม่า​โย​วฉิง​ ซือ​หม่า​โย​ว​หลาน​ และ​เหยียน​ลู่​ล้วน​ไม่อยู่​ที่นี่​ทั้งสิ้น​ ดูเหมือนว่า​พวกเขา​จะจงใจเลือก​เวลา​ที่​เหยียน​ลู่​ไม่อยู่​มาท้าทาย​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​บิน​มาที่​ข้าง​กาย​ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “โย​ว​หยาง​ คน​เช่นนี้​เจ้าก็​ยัง​เอาชนะ​ไม่ได้​ ขาย​ขี้หน้า​หรือไม่​เล่า​! เจ้าลง​ไป​ ข้า​เอง​”

คน​ตระกูล​ซือ​หม่า​เหล่านี้​จะลง​ไป​แข่งขัน​ด้วยกัน​หมด​ เธอ​ไม่อยาก​ทำตาม​ความต้องการ​ของ​อีก​ฝ่าย​เลย​

“โย​วเย่ว์…”​ ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​มอง​เธอ​แวบ​หนึ่ง​

เขา​จะไม่รู้​วัตถุประสงค์​ของ​อีก​ฝ่าย​ได้​อย่างไร​ แต่​อีก​ฝ่าย​มารังแก​กัน​ถึงที่​เช่นนี้​แล้ว​ พวกเขา​ก็​ไม่มีทาง​ถอย​หนี​ได้​อยู่แล้ว​

“ไป​เถิด​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์ตบ​บ่า​เขา​ หลังจากนั้น​จึงมอง​น่า​หลาน​เจี๋ย​พลาง​ยิ้ม​อย่าง​ร้ายกาจ​ “พวก​เจ้ามิได้​อยาก​หยั่งเชิง​ดู​พลัง​ยุทธ์​ของ​ตระกูล​ซือ​หม่า​หรอก​หรือ​ ข้า​ก็​เลย​มาเล่น​กับ​พวก​เจ้าด้วย​ เอาชนะ​คน​สามคน​ ใช้ข้า​เพียง​คนเดียว​ก็​พอแล้ว​!”

นี่​เป็นเรื่อง​ที่​ทุกคน​รู้แก่ใจ​ดี​อยู่แล้ว​ แต่​คิดไม่ถึง​ว่า​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​จะพูด​ออกมา​อย่าง​โจ่งแจ้งเช่นนี้​ คน​ตระกูล​น่า​หลาน​จึงมีสีหน้า​ไม่สู้ดี​นัก​

“ไม่เจอกัน​สอง​ปี​ เจ้าก็​แข็งแกร่ง​ขึ้น​ไม่น้อย​เลย​นะ​” น่า​หลาน​เจี๋ย​จำเธอ​ได้​จาก​ที่​เคย​พบ​กันที่​เมือง​หลิน​ชวน​ใน​ตอนนั้น​

รอยยิ้ม​บน​ใบหน้า​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ไม่จางลง​เลย​ เธอ​เอ่ย​ว่า​ “ขอบใจ​ที่​ชม แต่​ไม่พบกัน​สอง​ปี​ กลิ่นอาย​ของ​เจ้ามิได้​แข็งแกร่ง​ขึ้น​สัก​เท่าใด​เลย​นี่​”

“เจ้า…” คน​ตระกูล​น่า​หลาน​โมโห​จน​แทบจะ​เข้ามา​ทุบตี​เธอ​ แต่กลับ​ถูก​น่า​หลาน​เจี๋ย​สกัด​เอาไว้​

“เจ้าเป็น​ใคร​กัน​” ชายหนุ่ม​ที่อยู่​ฝั่งตรงข้าม​ถาม

“แล้ว​เจ้าล่ะ​เป็น​ใคร​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ถามกลับ​

“ข้า​คือ​หยวน​เฟิง ศิษย์​ของ​ผู้อาวุโส​สี่แห่ง​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​” หยวน​เฟิงพูด​

“สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​ ชื่อ​ฟังดู​ใหญ่โต​เหลือเกิน​นะ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “แต่​ต่อให้​เป็น​เช่นนี้​ พวก​เจ้าก็​มิอาจ​สาด​น้ำ​โคลน​ใส่ตระกูล​ซือ​หม่า​ตามใจชอบ​ได้​อยู่ดี​! ใน​เมื่อ​อยาก​หยั่งเชิง​พลัง​ยุทธ์​ของ​ตระกูล​ซือ​หม่า​ เช่นนั้น​ก็​เข้ามา​สิ”

“เจ้าหาเรื่อง​ใส่ตัวเอง​นะ​! อีก​ประเดี๋ยว​ข้า​จะตี​จน​มารดา​เจ้าจำเจ้าไม่ได้​เลย​!” หยวน​เฟิงพูด​อย่าง​อำมหิต​“หมาป่า​สีขาว​ ลุย​เลย​!”

“เจ้าวิหค​น้อย​ เจ้าไป​เล่น​กับ​เจ้าหมาป่า​น้อย​นั่น​หน่อย​สิ! ระวัง​อย่า​ทำ​มัน​ตาย​เสีย​ล่ะ​ สัตว์​อสูร​เทพ​ทั้งตัว​ พวกเรา​ชดเชย​ไม่ไหว​หรอก​นะ​!” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​กับ​เจ้าวิหค​น้อย​ที่อยู่​บน​บ่า​

“ได้​เลย​ เจ้านาย​ ข้า​จะลงมือ​แบบ​รักษา​น้ำใจ​หน่อย​” เจ้าวิหค​น้อย​พูด​จบ​จึงแปลง​เป็น​ร่าง​เดิม​ ผู้คน​ด้านล่าง​แทบจะ​ถูก​ปกคลุม​อยู่​ภายใต้​เงาปีก​ของ​มัน​ทั้งหมด​

“วิหค​สี่ปีก​!” คน​ตระกูล​น่า​หลาน​เห็น​ร่าง​เดิม​ของ​เจ้าวิหค​น้อย​แล้วจึง​ร้อง​อุทาน​ออกมา​

เจ้าวิหค​น้อย​พุ่งตรง​เข้าใส่​หมาป่า​สีขาว​ กรงเล็บ​แหลมคม​ทรงพลัง​ตะปบ​เข้าใส่​มัน​ มัน​จึงรีบ​บิน​หลบ​ไป​ด้าน​ข้าง​เพื่อ​หลบเลี่ยง​การ​โจมตี​

“แข่ง​บิน​กับ​ข้า​ดี​ไหม​เล่า​” เจ้าวิหค​น้อย​ส่งเสียง​เฮอะ​อย่าง​เย็นชา​ก่อน​จะโจมตี​เข้าใส่​หมาป่า​สีขาว​อีกครั้ง​

การ​ที่​หมาป่า​สีขาว​บิน​ได้​นั้น​ไม่มีผลต่อ​เจ้าวิหค​น้อย​เลย​สัก​นิดเดียว​ ขณะที่​หลบหลีก​ก็​ยัง​แสดง​การ​โจมตี​ออกมา​ด้วย​

หยวน​เฟิงเห็น​สัตว์​อสูร​เทพ​ของ​ตน​ถูก​กดดัน​เช่นนี้​จึงส่งเสียง​เฮอะ​เยียบ​เย็น​ ปราณ​วิญญาณ​กลายเป็น​กระบี่​เล่ม​เล็ก​ๆ

“ปรมาจารย์​วิญญาณ​ธาตุ​คู่​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​เห็น​ทักษะ​วิญญาณ​ที่​อีก​ฝ่าย​ใช้ เห็นได้ชัด​ว่า​เป็น​ธาตุ​ทอง​ แต่​เมื่อ​นึก​ถึงว่า​เขา​ก็​เป็น​นัก​หลอม​ยา​ด้วย​ ย่อม​ต้อง​มีธาตุ​ไฟอยู่​ด้วย​แน่นอน​

“เพิ่ง​รู้​ตอนนี้​ก็​สาย​ไป​แล้ว​ล่ะ​!” หยวน​เฟิงพูด​ “เจ้าคุกเข่า​ขอร้อง​ข้า​ตอนนี้​ ข้า​ก็​ไม่ละเว้น​เจ้า!”

“ช่างเป็น​คน​ที่​สำคัญ​ตัวเอง​ผิด​จริงๆ​!” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “ใคร​บอก​เจ้าว่า​ข้า​จะขอร้อง​เจ้าเล่า​ แต่​ข้า​จะคืนคำ​นี้​ให้​เจ้าต่างหาก​ วันนี้​ข้า​จะตี​จน​มารดา​เจ้าจำเจ้าไม่ได้​เลย​ ต่อให้​เจ้าคุกเข่า​กับ​พื้น​แล้ว​ขอ​รัอง​ข้า​ ข้า​ก็​จะไม่ละเว้น​เจ้าเป็นอันขาด​!”

เธอ​พูด​พลาง​แปลง​ปราณ​วิญญาณ​ให้​กลายเป็น​เปลวเพลิง​ผลาญ​ทำลาย​กระบี่​เล่ม​จิ๋ว​หลาย​สิบ​เล่ม​ที่​อีก​ฝ่าย​ซัด​ออกมา​จน​หมดเกลี้ยง​ แต่​เปลวเพลิง​ของ​เธอ​ก็​สลาย​หาย​ไป​หมด​ด้วย​เช่นเดียวกัน​

“ไอ้​ห​ยา​ ดูเหมือนว่า​ธาตุ​ไฟของ​ข้า​เพิ่งจะ​กำจัด​ทักษะ​วิญญาณ​ของ​เจ้าไป​ละ​!” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​อย่าง​ใจร้าย​

“เจ้าอย่า​เพิ่ง​ได้​ใจเร็ว​เกินไป​นัก​เลย​ ใน​เมื่อ​เจ้าอยาก​เล่น​ไฟ ข้า​ก็​จะให้​เจ้าเล่น​สมใจอยาก​” หยวน​เฟิงพูด​ “เป็น​นัก​หลอม​ยา​ สิ่งที่​เล่น​ได้ดี​ที่สุด​ก็​คือ​ไฟนี่แหละ​!”

ไม่พูด​ไม่ได้​ว่า​หยวน​เฟิงเล่น​ไฟได้ดี​จริงๆ​ เปลวเพลิง​แต่ละ​กอง​ที่อยู่​ใน​มือ​เขา​เปลี่ยนแปลง​ไปมา​ราวกับ​เคล็ด​วิชา​มาร​ก็​มิปาน​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​มอง​เขา​อย่าง​จน​คำพูด​ นี่​อีก​ฝ่าย​กำลัง​สำแดง​เคล็ด​วิชา​มาร​เพลิง​หรือ​อย่างไร​

“ไป​…” อีก​ฝ่าย​สำแดง​อยู่​นาน​ ในที่สุด​ก็​กลายเป็น​ลูก​หมาป่า​สีขาว​ตัว​หนึ่ง​ออกมา​ มัน​พุ่ง​เข้าใส่​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ภายใต้การควบคุม​ของ​เขา​

ดาบ​เล่ม​ใหญ่​ใน​มือ​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ถูก​เตรียมพร้อม​เอาไว้​ก่อน​แล้ว​ ตอนที่​หมาป่า​เพลิง​พุ่ง​เข้าใส่​เธอ​จึงถูก​เธอ​ฟันดาบ​เข้าใส่​จน​ร่าง​แยก​จากกัน​

“เจ้าเล่น​ไฟเก่ง​ใช้ได้​จริงๆ​ ระดับ​ขั้น​ของ​ทักษะ​วิญญาณ​นี้​ไม่ต่ำ​เลย​ แต่​น่าเสียดาย​ที่​เจ้ามิได้​ศึกษา​ให้​ดี​ ความเร็ว​ของ​มัน​จึงช้าเกินไป​ รอ​จน​เพลิง​ของ​ข้า​มอด​ดับ​ไป​ก่อน​แล้ว​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​แล้ว​พุ่ง​เข้าใส่​เขา​ใน​ทันใด​ ความเร็ว​นั้น​แทบจะ​เทียบเคียง​ได้​กับ​สัตว์​อสูร​บิน​ได้​อยู่แล้ว​

เธอ​มาถึงข้าง​กาย​หยวน​เฟิงก่อน​จะเตะ​เขา​ครา​หนึ่ง​จน​เขา​ร่วงหล่น​จาก​กลางอากาศ​ลงมา​กระแทก​พื้น​

“พลั่ก​…”

ในขณะที่​ร่วงหล่น​ลงมา​ด้วย​ความเร็ว​สูงนั้น​เอง​ หยวน​เฟิงทำ​อะไร​ไม่ทัน​นอกจาก​สร้าง​ชั้น​ป้องกัน​ให้​ตนเอง​ชั้นหนึ่ง​ จากนั้น​จึงร่วง​ลงมา​กระแทก​พื้น​ ชั้น​ป้องกัน​แตกสลาย​ไป​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ร่อน​ลงมา​ข้าง​กาย​เขา​ ก่อน​จะเข้าไป​เงื้อ​หมัด​ต่อย​ใส่เขา​

หยวน​เฟิงเพิ่งจะ​ลุกขึ้น​ยืน​ได้​ก็​ถูก​ต่อย​ล้ม​ลง​ไป​อีกครั้ง​ ซ้ำไปซ้ำมา​หลาย​รอบ​ ใบหน้า​ของ​เขา​ถูก​ต่อย​จน​ฟกช้ำดำเขียว​ ดวงตา​บวม​ปูด​ ปาก​แตก​ จน​มอง​รูปลักษณ์​ก่อนหน้านี้​ไม่ออก​อย่าง​สิ้นเชิง​

“หยุด​นะ​!” ห​ลี่​มู่คิดไม่ถึง​ว่า​หยวน​เฟิงจะพ่ายแพ้​อย่าง​รวดเร็ว​เช่นนี้​ นอกจากนี้​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ยัง​ลงมือ​รวดเร็ว​อย่างยิ่ง​ ชกต่อย​แค่​ไม่กี่​ครั้ง​ก็​ทำให้​หัว​เขา​กลายเป็น​หัวหมู​เสียแล้ว​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​มอง​ห​ลี่​มู่ปราด​หนึ่ง​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “นี่​มิใช่การแข่งขัน​หรอก​หรือ​ เขา​ยัง​ไม่ได้​บอ​กว่า​ยอมแพ้​ แล้ว​ข้า​จะหยุด​ได้​อย่างไร​กัน​เล่า​”

“ข้า​… ข้า​ยอมแพ้​!” หยวน​เฟิงอาศัย​จังหวะ​นี้​เอ่ย​ขึ้น​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ต่อย​ใส่เขา​อีก​หมัด​ แล้ว​หยุด​ก่อน​ถึงใบหน้า​เขา​หนึ่ง​เซนติเมตร​

“เฮ้อ​ เหตุใด​เจ้าจึงยอมแพ้​เสียแล้ว​เล่า​ พวกเรา​ยัง​ไม่ได้​สู้ยก​ที่สอง​กัน​เลย​นะ​!” เธอ​ถอนหายใจ​พลาง​ปล่อยมือ​อย่าง​จนใจ​ หยวน​เฟิงจึงล้ม​ตัว​ลง​บน​พื้น​อีกครั้ง​ “ข้า​พูด​คำ​ไหน​คำ​นั้น​มาตลอด​ เป็น​อย่างไรเล่า​ กลับ​ไป​ถามท่าน​แม่เจ้าสิว่า​นาง​รู้จัก​เจ้าหรือไม่​”

“พรืด​…”

คน​ตระกูล​ซือ​หม่า​ต่าง​พา​กัน​หัวเราะ​ออกมา​ เจ้าคน​ผู้​นี้​ชั่วร้าย​เกินไป​แล้ว​ ต่อย​จน​ผู้อื่น​ตา​บวม​ปาก​แตก​แล้ว​ยัง​จะเสียดสี​เขา​อีก​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​หันไป​มอง​คน​ของ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ยัง​เหลือ​อีก​สอง​รอบ​ พวก​เจ้าจะส่งใคร​มาดี​เล่า​”

คน​ของ​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​ต่าง​ถอย​ไป​ด้านหลัง​คนละ​ก้าว​โดยไม่รู้ตัว​ แม้กระทั่ง​หยวน​เฟิงที่​มีพลัง​การต่อสู้​สูงที่สุด​ก็​ยัง​ถูก​เธอ​ทำร้าย​จน​น่าอนาถ​ถึงเพียงนั้น​ แล้ว​ใคร​จะกล้า​เข้าไป​อีก​เล่า​

“นี่​มัน​อะไร​กัน​น่ะ​” เหยียน​ลู่​และ​พวก​ซือ​หม่า​โย​วฉิง​เหาะ​กลับมา​ เมื่อ​เห็น​เหตุการณ์​นี้​จึงขมวดคิ้ว​ถามขึ้น​

เมื่อ​ได้ยิน​คำพูด​ของ​ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​ หัวใจ​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ก็​เต้น​รัว​ ดอกไม้​ประจำตัว​สุดยอด​มาร​ร้าย​… หมายถึง​ห​มัว​ซาอย่างนั้น​หรือ​

“สุดยอด​มาร​ร้าย​คือ​ใคร​กัน​” เธอ​ถามพลาง​กะพริบตา​

“เจ้าไม่รู้จัก​สุดยอด​มาร​ร้าย​หรือ​” ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​ถามกลับ​ จากนั้น​จึงพยักหน้า​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ก็​จริง​นะ​ พวก​เจ้าที่นี่​ไม่รู้จัก​ก็​เป็นเรื่อง​ธรรมดา​อยู่​หรอก​”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ดึง​มือ​ของ​ตน​กลับมา​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ท่าน​ผู้เฒ่า​ บุปผา​ร้อย​ใบ​นี้​ต้อง​ใช้ตอน​สด​ใหม่​จึงจะให้​ฤทธิ์​ยา​ที่​ดีกว่า​ ท่าน​ยัง​ไม่รีบ​กลับ​ไป​หลอม​ยา​อีก​หรือ​”

ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​ไม่รีบร้อน​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “กล่อง​ใบ​นั้น​ของ​ข้า​เก็บรักษา​ความสด​ใหม่​ของ​มัน​เอาไว้​ได้​ วาง​ไว้​นาน​เท่าใด​ก็​ไม่เป็นปัญหา​หรอก​ เด็กน้อย​ เจ้ารู้​เกี่ยวกับ​การหลอม​ยา​มาก​พอดู​ทีเดียว​นะ​ เจ้าเป็น​คน​ของ​เมือง​วิเศษ​หรือ​”

“ไม่ใช่ แต่​… แต่​ข้า​จะไป​เมือง​วิเศษ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​

“นั่นสิ​ ข้า​อยู่​ที่​สมาพันธ์​นัก​หลอม​ยา​แห่ง​เมือง​วิเศษ​ก็​ไม่เคย​พบเห็น​เจ้ามาก่อน​เลย​” ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​พูด​

“ท่าน​ผู้เฒ่า​เป็น​คน​ของ​เมือง​วิเศษ​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ถาม

“ไม่ใช่หรอก​ ข้า​เพิ่ง​มาถึงที่นี่​ได้​ครึ่ง​เดือน​เศษเท่านั้นเอง​” ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​พูด​ “ที่นั่น​ไม่สนุก​เอา​เสีย​เลย​ ข้า​อยู่​แค่​ไม่กี่​วัน​ก็​เลย​ออกมา​น่ะ​”

“ไม่กี่​วัน​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​มอง​เขา​อย่าง​ประหลาดใจ​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ค่าย​กล​ใหญ่​ป้องกัน​เมือง​ของ​เมือง​วิเศษ​มิได้​ถูก​เปิด​ใช้แล้ว​หรอก​หรือ​ แล้ว​เหตุใด​ท่าน​จึงออกมา​ได้​เล่า​”

“เชอะ​ แค่นั้น​ยัง​มีหน้า​มาเรียก​ว่า​ค่าย​กล​ใหญ่​ป้องกัน​เมือง​อีก​ ข้า​ก็​เดิน​ออกมา​ทั้ง​อย่าง​นี้แหละ​ ค่าย​กล​ใหญ่​นั่น​ไม่เห็นจะ​มีประโยชน์​เลย​สัก​นิดเดียว​” ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​ดูแคลน​ระดับ​ของ​ค่าย​กล​นี้​เป็น​อย่างยิ่ง​ แต่​เมื่อ​นึก​ถึงว่า​เป็น​เพียงแค่​ดินแดน​ระดับ​ต่ำ​เท่านั้น​จึงมิได้​วิจารณ์​อะไร​เพิ่ม​อีก​

แต่​คำพูด​ของ​เขา​กลับ​ทำให้​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ตระหนกตกใจ​ไม่น้อย​เลย​!

ค่าย​กล​ใหญ่​ป้องกัน​เมือง​ของ​เมือง​วิเศษ​ปกป้อง​เมือง​วิเศษ​มานับ​ร้อย​นับ​พันปี​ ย่อม​ไม่ต้อง​พูดถึง​พลัง​อำนาจ​ของ​มัน​เลย​ แต่​ค่าย​กล​เช่นนี้​กลับ​ไม่อยู่​ใน​สายตา​ของ​ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​ผู้​นี้​เลย​ ที่แท้​แล้ว​เขา​มีตัวตน​เช่นไร​กัน​แน่​

หรือ​จะเป็น​ผู้​ที่​ลง​มาจาก​ดินแดน​เบื้องบน​

เมื่อ​นึกถึง​ความเป็นไปได้​นี้​ เธอ​จึงยิ้ม​น้อย​ๆ ให้​กับ​ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​พลาง​เอ่ย​ว่า​ “ท่าน​ผู้เฒ่า​ ท่าน​ลง​มาจาก​ดินแดน​เบื้องบน​ใช่หรือไม่​”

ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​จ้องมอง​เธอ​พลาง​เอ่ย​ว่า​ “เจ้าช่างชาญฉลาด​ยิ่งนัก​! ด้อย​กว่า​ศิษย์​ผู้​นั้น​ของ​ข้า​เพียงแค่​นิดเดียว​เท่านั้น​! แต่​เจ้าเด็ก​นั่น​หน้าเนื้อใจเสือ​มากกว่า​เจ้าอยู่​หน่อย​หนึ่ง​”

“ใคร​จะไป​รู้​ว่า​ศิษย์​ของ​ท่าน​อาจจะ​ไม่เป็น​สับปะรด​ก็ได้​!” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พึมพำ​อยู่​ใน​ใจ แต่​รอยยิ้ม​บน​ใบหน้า​มิได้​เลือนหาย​ไป​ แล้ว​ถามว่า​ “ท่าน​ผู้เฒ่า​มาทำ​อะไร​ที่​ดินแดน​อี้​หลิน​หรือ​”

“มาหา​ของ​น่ะ​” ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​พูด​

“มาหา​อะไร​หรือ​ ต้องการ​ให้​ข้า​ช่วย​ท่าน​หรือไม่​”

“บอก​เจ้าไป​เจ้าก็​ไม่รู้​อยู่ดี​ ทั้ง​ยัง​ไม่มีทาง​ช่วยเหลือ​ข้า​ได้​ด้วย​” ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​พูด​พลาง​ส่ายหน้า​

คราวนี้​เขา​มาเพื่อ​หา​ดวงวิญญาณ​ให้​ศิษย์​ของ​ตน​ คาด​ว่า​หาก​พูด​ออกมา​แล้ว​คง​ทำให้​เจ้าเด็ก​นี่​ตกใจ​ตาย​แน่​

เมื่อ​เห็น​เขา​ปฏิเสธ​ ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ก็​มิได้​แปลกใจ​แต่อย่างใด​ ถึงอย่างไร​พวกเขา​ก็​เพิ่ง​รู้จัก​กัน​เพียงแค่​ครู่เดียว​เท่านั้นเอง​

เมื่อ​เห็น​ว่า​ฟ้าเริ่ม​มืด​มาก​แล้ว​ ถ้าหาก​เธอ​ยัง​ไม่กลับ​ไป​อีก​ คาด​ว่า​เจ้าพวก​นั้น​จะต้อง​ออก​มาตามหา​เธอ​อย่าง​แน่นอน​ จึงพูด​กับ​ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​ว่า​ “ท่าน​ผู้เฒ่า​ ข้า​ต้อง​กลับ​แล้ว​ ท่าน​อยู่​ใน​ภูเขา​นี่​ต้อง​ระมัดระวัง​หน่อย​นะ​ ที่นี่​ไม่ค่อย​สงบสุข​สัก​เท่าไหร่​ ลาก่อน​!”

เจ้าไก่ฟ้า​เคย​บอ​กว่า​สิ่งมีชีวิต​ที่​เกาะ​ลืม​กังวล​ตน​นั้น​ต่อสู้​อย่าง​ทุลักทุเล​เป็น​เพราะ​มัน​ถูก​สะกด​เอาไว้​ ถ้าหาก​มิได้​ถูก​สะกด​ พลัง​ยุทธ์​ก็​คง​ยาก​จะจินตนาการ​ได้​เลย​ทีเดียว​

เจ้าคำราม​น้อย​เคย​บอ​กว่า​กลิ่นอาย​ของ​เจ้าตัว​ที่​เทือกเขา​หมื่น​อสูร​แห่ง​นี้​ก็​มิได้​ด้อย​ไป​กว่า​เจ้าตัว​ที่​เกาะ​ลืม​กังวล​เลย​ จะต้อง​เป็น​ตัวฉกาจ​เช่นเดียวกัน​อย่าง​แน่นอน​ ถึงแม้ว่า​ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​ผู้​นี้​จะลง​มาจาก​เบื้องบน​ แต่​ก็​มิอาจ​ล่วงรู้​พลัง​ยุทธ์​ได้​ เธอ​จึงเอ่ย​เตือน​เขา​ด้วย​เจตนา​ดี​

ที่นี่​มีสิ่งนั้น​อยู่​ ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​สัมผัส​ได้​ตั้ง​แต่วัน​แรก​ที่​มาถึงเทือกเขา​หมื่น​อสูร​แล้ว​ คิดไม่ถึง​ว่า​เจ้าเด็ก​นี่​จะรู้​ด้วย​ เขา​จึงมีความสนใจ​ใคร่รู้​ใน​ตัว​เธอ​ขึ้น​มา

“เฮ้… เด็กน้อย​” ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​เรียก​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​เอาไว้​

“ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์”​ ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​หยุด​ฝีเท้า​ เธอ​ไม่ชอบ​ให้​ใคร​มาเรียก​เฮ้ย​ๆ จึงได้​บอกชื่อ​แซ่ของ​ตน​ออกมา​

“เจ้าเด็ก​ซือ​หม่า​” ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​ตั้ง​วิธีการ​เรียกชื่อ​ใหม่​ให้​เธอ​ “เจ้ารู้​ได้​อย่างไร​ว่า​ที่นี่​ไม่สงบ​น่ะ​”

ช่วยไม่ได้​ เขา​อยากรู้อยากเห็น​มากเกินไป​ นี่​คือ​จุดอ่อน​อัน​ยิ่งใหญ่​ของ​เขา​เลย​ทีเดียว​

เมื่อ​เห็น​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ เขา​ก็​รู้สึก​ว่า​ใน​ตัว​เธอ​มีสิ่งที่​ดึงดูด​ความสนใจ​ของ​เขา​อยู่​มากมาย​เลย​ทีเดียว​

เห็น​อยู่​ว่า​เป็น​คน​วัยเยาว์​ แต่​เหตุใด​เมื่อ​ดวงตา​คู่​นั้น​เห็น​ของ​ดีแล้ว​กลับ​ไม่เกิด​คลื่น​ลม​อัน​ใด​เลย​ นอกจากนี้​ทั้งตัว​เธอ​ยัง​ทำให้​เขา​เกิด​ความรู้สึก​เหนือ​จริง​บางอย่าง​อีกด้วย​

ความรู้สึก​เช่นนี้​ เขา​เคย​เห็น​เพียงแค่​ตอนที่​ศิษย์​ของ​ตน​ปลอมตัว​เท่านั้น​

“เดา​เอา​น่ะ​สิ” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​

“เดา​อย่างไรเล่า​” ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​ถาม

“ท่าน​ผู้เฒ่า​ ข้า​ต้อง​กลับ​แล้ว​จริงๆ​ มิฉะนั้น​คนใน​ครอบครัว​ข้า​ต้อง​ร้อนใจ​ตาย​แน่​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​

“เจ้าบอก​แล้ว​ถึงจะไป​ได้​”ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​เผย​ด้าน​วางอำนาจ​ออกมา​เสียแล้ว​

“ท่าน​บอก​ข้า​มาก่อน​สิว่า​ท่าน​ใช้บุปผา​ร้อย​ใบ​หลอม​ยาวิเศษ​อะไร​ แล้ว​ข้า​จะบอก​ท่าน​ ดี​หรือไม่​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ยิ้ม​ๆ

“ยาวิเศษ​ตรี​ปราณ​” ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​บอกชื่อ​ยาวิเศษ​ที่​ตน​จะหลอม​ออกมา​โดย​ไม่หยุด​คิด​ “ตอนนี้​ถึงตา​เจ้าบอก​ข้า​บ้าง​แล้ว​”

“ยาวิเศษ​ตรี​ปราณ​จริง​ด้วย​!” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​อยู่​ใน​ใจ “แต่​ใช้บุปผา​ร้อย​ใบ​หลอม​ยาวิเศษ​ได้​แค่​ไม่กี่​อย่าง​เท่านั้น​”

“ข้า​บอก​ไป​แล้ว​ แต่​เจ้ายัง​ไม่ได้​บอก​ข้า​เลย​นะ​ว่า​เจ้าเดา​ได้​อย่างไร​” ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​พูด​

“อันที่จริง​แล้ว​ง่าย​จะตาย​ไป​!” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “สัตว์​อสูร​วิเศษ​ทั่ว​ทั้ง​เทือกเขา​หมื่น​อสูร​ล้วน​เกิด​การจลาจล​ นอกจากนี้​ยัง​ก่อตัว​กลายเป็น​การปฏิวัติ​สัตว์​อสูร​ ไป​โจมตีเมือง​วิเศษ​อีกด้วย​ ถ้าหาก​นี่​มิใช่ความ​ไม่สงบ​แล้ว​จะเป็น​อะไร​ได้​เล่า​”

“…” เมื่อ​ได้รับ​คำตอบ​นี้​ ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​ก็​หดหู่​อยู่​บ้าง​ ตน​เข้าใจ​ความหมาย​ของ​เจ้าเด็ก​นี่​ผิด​ไป​อย่างนั้น​หรือ​

“เอาละ​ท่าน​ผู้เฒ่า​ ข้า​ให้​คำตอบ​ท่าน​แล้ว​นะ​ ตอนนี้​ข้า​ขอตัว​กลับ​ก่อน​!” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “ลาก่อน​ ท่าน​ผู้เฒ่า​”

เธอ​โบกไม้โบกมือ​ให้​ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​ หลังจากนั้น​จึงเรียกตัว​เจ้าวิหค​น้อย​บิน​จากไป​

ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​เห็น​เธอ​จากไป​ แววตา​ยังคง​มีความสงสัย​อยู่​ไม่น้อย​ แต่​ก็​ปล่อย​ให้​เธอ​จากไป​ มิได้​รั้ง​ตัว​เธอ​เอาไว้​อีก​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ออกมา​ห่าง​จาก​หน้าผา​แห่ง​นั้น​ไกล​พอสมควร​แล้วจึง​เอ่ยปาก​ถามว่า​ “ห​มัว​ซา เมื่อ​ครู่​ท่าน​เป็น​อะไร​ไป​หรือ​”

“ข้า​สัมผัส​กลิ่นอาย​ของ​วิญญาณ​ข้า​ได้​น่ะ​สิ” ห​มัว​ซาถ่ายเสียง​ตอบ​

“วิญญาณ​ของ​ท่าน​อย่างนั้น​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ตกใจ​ “ท่าน​ผู้เฒ่า​เมื่อครู่นี้​น่ะ​หรือ​ เขา​คือ​วิญญาณ​อีก​ครึ่งหนึ่ง​ของ​ท่าน​หรือ​”

“ไม่ใช่” ห​มัว​ซาพูด​ “วิญญาณ​ของ​คน​ผู้​นั้น​ครบ​สมบูรณ์​ แต่​คน​ที่​วิญญาณ​ของ​ข้า​กลับมา​เกิด​ใหม่​ต้อง​มีวิญญาณ​ที่​ไม่สมบูรณ์​ น่าจะเป็น​เพราะ​เขา​เคย​สัมผัส​คน​ที่​วิญญาณ​ของ​ข้า​กลับชาติมาเกิด​”

“แล้ว​เหตุใด​เมื่อ​ครู่​ท่าน​จึงไม่จับตัว​เขา​เอาไว้​แล้ว​เค้น​ถามถึงที่อยู่​ของ​กาย​เนื้อ​ของ​ท่าน​เล่า​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ถาม

“เขา​ร้ายกาจ​ยิ่งนัก​ พลัง​ยุทธ์​ของ​ข้า​ใน​ตอนนี้​กดดัน​เขา​ไม่ได้​หรอก​” ห​มัว​ซาพูด​ “ต่อให้​รวม​เจ้าด้วย​ก็​เหมือนกัน​”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์จน​คำพูด​ จากนั้น​จึงเอ่ย​ถามว่า​ “เช่นนั้น​ตอนนี้​จะทำ​อย่างไร​กัน​ดี​เล่า​”

“เจ้าไป​ตีสนิท​เขา​เอาไว้​ คอย​ดู​ว่า​รอบตัว​เขา​มีใคร​อยู่​บ้าง​” ห​มัว​ซาพูด​

“ตีสนิท​เขา​หรือ​ เขา​เป็น​คน​ของ​โลก​เบื้องบน​ แล้ว​ข้า​จะไป​ตีสนิท​เขา​ได้​อย่างไรเล่า​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​หดหู่ใจ​

“เจ้าก็​คิด​หา​วิธี​มาสิ” ห​มัว​ซาพูด​จบ​แล้ว​เงียบงัน​ไป​ ไม่พูด​อะไร​อีก​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​หันกลับ​ไป​มอง​ หรือ​ตน​จะกลับ​ไป​ตอนนี้​เลย​ดี​นะ​ แต่กลับ​ไป​แล้​วจะ​ให้​พูดว่า​อย่างไรเล่า​ จะให้​ถามตรงๆ​ ว่า​ ท่าน​ผู้เฒ่า​ ใคร​ใน​บรรดา​คน​รอบตัว​ท่าน​ที่​วิญญาณ​ขาดหาย​ไป​บ้าง​ อย่าง​นี่​น่ะ​หรือ​ ไม่แน่​ว่า​เขา​อาจจะ​ปลิด​ชีพ​ตน​เสีย​ตรงนั้น​เลย​ก็ได้​

“เฮ้อ​…” เธอ​ถอนหายใจ​ “เขา​บอ​กว่า​มาเมือง​วิเศษ​ คงจะ​มิได้​จากไป​ใน​ทันทีทันใด​กระมัง​ ควรจะ​กลับ​ไปหา​เขา​เลย​หรือไม่​”

ในขณะที่​เธอ​ลังเล​อยู่​นั้น​เอง​ ก็​มีเสียง​ดังลั่น​ลอย​มาจาก​เขา​ภาพ​มังกร​ เธอ​กังวลใจ​ว่า​อาจ​เกิดเรื่อง​อะไร​ขึ้นกับ​ค่าย​พัก​ จึงให้​เจ้าวิหค​น้อย​รีบ​บิน​กลับ​ไป​ดูก่อน​

ยัง​ไม่ทัน​ถึงเขา​ภาพ​มังกร​ เธอ​ก็​เห็น​คน​สอง​คน​กำลัง​เผชิญหน้า​กัน​อยู่​กลางอากาศ​แต่ไกล​ เสียง​ดังสนั่น​เมื่อครู่นี้​คงจะ​เป็น​เสียง​ที่เกิด​จาก​การต่อสู้​ของ​ทั้งคู่​อย่าง​แน่นอน​

เจ้าวิหค​น้อย​เร่งความเร็ว​ ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​จึงเห็น​คน​ที่​เผชิญหน้า​กัน​อยู่​อย่าง​ชัดเจน​

“โย​ว​หยาง​หรือ​?”

ไม่นาน​นัก​ ทุกคน​ต่าง​ค่อยๆ​ ทยอย​ตื่นขึ้น​มาแล้ว​ทักทาย​พวก​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ด้วย​รอยยิ้ม​ ก่อน​จะไป​จัดการ​ธุระ​ของ​ตัวเอง​

“น้อง​ห้า​” ซือ​หม่า​โย​ว​เล่อ​เดิน​เข้ามา​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “วันนี้​พวกเรา​จะทำ​อะไร​กัน​ดี​”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ยักไหล่​พลาง​พูดว่า​ “เมือง​วิเศษ​ปิด​อยู่​ มิอาจ​เข้าไป​ได้​ ข้า​ก็​ไม่มีแผน​อะไร​แล้ว​”

“ข้า​กับ​พวก​พี่ใหญ่​อยาก​เข้าไป​เที่ยวเล่น​ใน​ภูเขา​สักหน่อย​ เจ้าจะไป​ด้วย​หรือไม่​” ซือ​หม่า​โย​ว​เล่อ​ถาม

“ดี​เลย​ ถึงอย่างไร​ก็​ไม่มีอะไร​ทำ​อยู่แล้ว​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​

“พวก​เจ้าจะออก​ไป​หรือ​” เหยียน​ลู่​พูด​ “ถึงแม้ว่า​ที่นี่​จะอยู่​ห่าง​จาก​ศูนย์กลาง​การจลาจล​พอสมควร​ แต่​ก็​มีสัตว์​อสูร​วิเศษ​ที่​คลุ้มคลั่ง​อยู่​ไม่น้อย​เลย​นะ​”

“ไม่เป็นไร​หรอก​ พวกเรา​ออก​ไป​กัน​หลาย​ๆ คน​หน่อย​ก็​ใช้ได้​แล้ว​นี่​” ซือ​หม่า​โย​ว​เล่อ​พูด​

“พี่สาว​ พี่สาว​ ข้า​จะไป​กับ​ท่าน​ด้วย​!” สายรุ้ง​บิน​เข้ามา​แล้ว​ร่อน​ลง​บน​บ่า​ของ​เธอ​

“ได้​สิ” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ลูบ​หัว​เล็ก​ของ​สายรุ้ง​ หลังจากนั้น​จึงมอง​เจ้าไก่ฟ้า​ที่อยู่​ห่าง​ออก​ไป​ไม่ไกล​พลาง​ถามว่า​ “ภรรยา​เจ้าจะไป​กับ​พวกเรา​ด้วย​ เจ้าจะไป​หรือไม่​”

“ที่นี่​มีสิ่งที่​ทำให้​สัตว์​อสูร​วิเศษ​ไม่สงบ​อยู่​ พวก​เจ้าไม่ออก​ไป​จะเป็นการ​ดี​ที่สุด​นะ​” เจ้าไก่ฟ้า​พูด​

“เจ้าก็​สัมผัส​ได้​เช่นกัน​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ถาม

เจ้าไก่ฟ้า​พยักหน้า​ หลังจาก​มาถึงที่นี่​แล้ว​เขา​ก็​สัมผัส​กลิ่นอาย​ขุม​หนึ่ง​ได้​ กลิ่นอาย​เช่นนี้​ทำให้​แม้แต่​เขา​เอง​ก็​ยัง​จิตใจ​ปั่นป่วน​อยู่​บ้าง​ หาก​มิใช่เพราะ​พลัง​ยุทธ์​ค่อนข้าง​สูง ตอนนี้​เขา​ก็​อาจจะ​คลุ้มคลั่ง​ขึ้น​มาแล้วก็​เป็นได้​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ลูบ​คาง​ หลังจาก​มาถึงเขา​ภาพ​มังกร​แล้ว​ เจ้าคำราม​น้อย​ก็​บอก​เธอ​ว่า​รู้สึก​ถึงกลิ่นอาย​อัน​ไม่สงบ​อย่างหนึ่ง​ แต่​พอ​เธอ​ถามย่า​กวง​และ​เชีย​น​อิน​ พวก​นั้น​กลับ​ไม่รู้สึก​เลย​

แต่​ตลอดมา​เธอ​ก็​ไม่เคย​สงสัย​คำพูด​ของ​เจ้าคำราม​น้อย​เลย​ เพราะ​มัน​เป็น​สัตว์​มงคล​ ย่อม​ต้อง​มีสัมผัส​ไว​ต่อ​กลิ่นอาย​ต่างๆ​ เป็นอย่างมาก​

ตอนนี้​เมื่อ​ได้ยิน​เจ้าไก่ฟ้า​พูด​เช่นนี้​ เธอ​ก็​ยิ่ง​แน่ใจ​ใน​ความคิด​ของ​ตนเอง​ว่า​การจลาจล​ที่​เกิดขึ้น​ทุกๆ​ สอง​สามปี​ของ​เทือกเขา​หมื่น​อสูร​นี้​จะต้อง​มีเหตุผล​อะไร​บางอย่าง​อยู่​แน่นอน​

“คงจะ​มิใช่ว่า​ที่นี่​สะกด​อสูร​ร้าย​อะไร​เอาไว้​อีก​หรอก​นะ​!” เมื่อ​นึกถึง​ฉาก​ที่​เห็น​บน​เกาะ​ลืม​กังวล​กว่า​หนึ่ง​ปีก่อน​ เธอ​ก็​ตัว​สั่นสะท้าน​ขึ้น​มาโดยไม่รู้ตัว​

“เป็น​อะไร​ไป​น่ะ​” ซือ​หม่า​โย​ว​เล่อ​เห็น​เธอ​ดู​ผิดปกติ​ไป​จึงเอ่ย​ถามขึ้น​

“ไม่มีอะไร​หรอก​ ไป​เรียก​พวก​พี่ใหญ่​มาดีกว่า​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​พร้อม​รอยยิ้ม​

ถึงแม้ว่า​สิ่งที่​ตน​คาดเดา​เอาไว้​จะเป็นจริง​ เรื่อง​นี้​ก็​ไม่มีส่วน​เกี่ยวข้อง​อะไร​กับ​พวก​ตน​ ไม่อย่างนั้น​ดินแดน​แห่ง​นี้​อาจจะ​แหลก​สลาย​ไป​นาน​แล้วก็​เป็นได้​

เมื่อ​คิด​เรื่อง​นี้​จน​กระจ่าง​ดีแล้ว​ เธอ​ก็​ไม่กังวล​อีกต่อไป​ แล้ว​เอ่ย​กับ​เจ้าไก่ฟ้า​ว่า​ “ถ้าหาก​เจ้าไม่ไป​ด้วย​ พวกเรา​ก็​จะไป​กัน​แล้ว​นะ​”

“ดูแล​สายรุ้ง​ให้​ดี​ด้วย​ล่ะ​” เจ้าไก่ฟ้า​พูด​จบ​แล้ว​หมุน​กาย​กลับ​กระโจม​ของ​ตน​ไป​

สัตว์​อสูร​เหนือ​เทพ​ก็​พัก​ใน​กระโจม​ด้วย​ นี่​ก็​เป็นครั้งแรก​สำหรับ​เขา​เช่นเดียวกัน​

พวก​ซือ​หม่า​โย​ว​หมิง​เดิน​เข้ามา​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ ”น้อง​ห้า​ ไป​กัน​เถิด​”

“คุณหนู​เหยียน​ เจ้าจะไป​หรือไม่​” ซือ​หม่า​โย​ว​เล่อ​ถาม

เหยียน​ลู่​ส่ายหน้า​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “เมื่อคืน​บอก​พวก​โย​วฉิง​เอาไว้​แล้ว​ว่า​วันนี้​ข้า​จะพา​พวก​นาง​ไป​เดินเล่น​ใน​หมู่บ้าน​สักหน่อย​”

“ได้​ เช่นนั้น​พวก​เจ้าก็​ระวังตัว​กัน​ด้วย​ล่ะ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พยักหน้า​แล้ว​ออก​มาจาก​ที่พัก​พร้อมกับ​พวก​ซือ​หม่า​โย​ว​หมิง​

ภูเขา​ของ​เทือกเขา​หมื่น​อสูร​นั้น​ค่อนข้าง​สูง พวกเขา​มาถึงยอดเขา​ภาพ​มังกร​แล้ว​มอง​ลง​ไป​ยัง​หมู่บ้าน​เบื้องล่าง​ ก็​พบ​ว่า​หมู่บ้าน​ดู​มีการ​จัดรูปแบบ​อยู่​ด้วย​

“เอ๊ะ​?” เธอ​มองดู​ทิวทัศน์​บริเวณ​รอบ​ๆ แล้ว​เปล่งเสียง​ออกมา​ด้วย​ความสงสัย​ใน​ทันใด​

“น้อง​ห้า​ มีอะไร​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​ว​หรา​น​ถาม

“พวก​ท่าน​ดู​สิ หมู่บ้าน​กับ​ทะเลสาบ​ดูเหมือน​จุด​สอง​จุด​ของ​สัญสักษณ์​หยิน​หยาง​หรือไม่​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ชี้หมู่บ้าน​และ​ทะเลสาบ​พลาง​เอ่ย​ขึ้น​

ถึงแม้ว่า​ทะเลสาบ​และ​หมู่บ้าน​จะอยู่​ไม่ไกล​จากกัน​มาก​นัก​ แต่​ผ่าน​หุบผา​แห่ง​หนึ่ง​ ดู​แล้ว​เหมือน​ถูก​เขา​ภาพ​มังกร​แยก​ออก​จากกัน​ กลายเป็น​จุด​หยิน​หยาง​สอง​จุด​พอดี​

“สัญสักษณ์​หยิน​หยาง​หรือ​ มัน​คือ​สิ่งใด​กัน​” ซือ​หม่า​โย​วฉี​ถาม

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์จน​คำพูด​ เธอ​นึก​ขึ้น​มาได้​ว่า​ที่นี่​ต้อง​ไม่มีสำนัก​เต๋า​อะไร​อยู่แล้ว​ คน​เหล่านี้​ก็​ต้อง​ไม่รู้จัก​สัญสักษณ์​หยิน​หยาง​เป็นธรรมดา​

“ไม่มีอะไร​หรอก​ คือ​ค่าย​กล​ชนิด​หนึ่ง​เท่านั้นเอง​” เธอ​ยิ้ม​อย่าง​ผิดหวัง​เล็กน้อย​

พวกเขา​เดินผ่าน​ภูเขา​หลาย​ลูก​แล้วก็​ยัง​ไม่พบ​อะไร​พิเศษ​ แม้กระทั่ง​สัตว์​อสูร​วิเศษ​ก็​ยัง​ไม่พบ​เลย​ ความคิด​ที่​อยาก​จะหา​สัตว์​อสูร​วิเศษ​เพื่อ​ฝึก​ฝีมือ​ของ​พวกเขา​ก็​ถูก​พับ​เก็บ​ไป​เรียบร้อย​แล้ว​ ดังนั้น​จึงอยาก​จะกลับ​ไป​ยัง​ค่าย​พักแรม​

เพราะ​รู้สึก​ผิดหวัง​อยู่​ใน​ใจ ดังนั้น​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​จึงบอ​กว่า​อยาก​จะไป​เดินเล่น​ลำพัง​ จากนั้น​คนอื่น​จึงกลับ​ไป​ก่อน​ ส่วน​เธอ​นั้น​เหาะ​เหิน​อยู่​คนเดียว​ท่ามกลาง​ขุนเขา​

ในที่สุด​เธอ​ก็​มาถึงด้านบน​ของ​หน้าผา​แห่ง​หนึ่ง​ เธอ​มองดู​ทิวทัศน์​ไกล​ออก​ไป​พลาง​เอ่ย​อย่าง​เจ็บปวด​อยู่​บ้าง​ “โลก​ใบ​นี้​หนอ​… ชาติ​นี้​ไม่รู้​จะกลับ​ไป​ได้​หรือเปล่า​ เฮ้อ​… ทำไม​อยู่ดีๆ​ ก็​คิดถึง​ชาติก่อน​ขึ้น​มากัน​นะ​”

เธอ​หยุด​อยู่​บน​หน้าผา​ครู่หนึ่ง​ ในขณะที่​เธอ​กำลังจะ​จากไป​นั้น​เอง​ก็ได้​กลิ่นหอม​หวาน​อย่างหนึ่ง​โชย​มา

“บุปผา​ร้อย​ใบ​!” เธอ​ลุกขึ้น​ยืน​แล้ว​ดม​อย่าง​ละเอียด​ที​หนึ่ง​ก่อน​จะเอ่ย​อย่าง​ดีใจ​ว่า​ “บุปผา​ร้อย​ใบ​จริงๆ​ ด้วย​! กลิ่น​ดอกไม้​หอม​ขนาด​นี้​ ดอก​คงจะ​ผลิบาน​แล้ว​สินะ​ คิดไม่ถึง​ว่า​จะโชคดี​อย่างนี้​ พอ​ออกมา​ก็ได้​เจอ​บุปผา​ร้อย​ใบ​เลย​!”

กลิ่น​ดอกไม้​นั้น​โชย​มาจาก​ด้านล่าง​ของ​หน้าผา​ เธอ​ก้มตัว​ลง​ไป​มอง​ จากนั้น​จึงเหาะ​ลง​ไป​

“วะ​ฮะฮ่า… ในที่สุด​ก็​รอ​จน​ดอกไม้​บาน​เสียที​ เจ้าดอกไม้​แสน​งามจ๋า รีบ​ให้​ข้า​เด็ด​เจ้าเร็ว​เข้า​สิ!”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​มาถึงข้างล่าง​ก็​เห็น​ชาย​ชรา​ผอม​บางคน​หนึ่ง​กำลัง​นั่ง​ยอง​อยู่​ที่​ริม​หน้าผา​พลาง​หัวเราะ​ด้วย​น้ำเสียง​อัน​หยาบโลน​

เธอ​เห็น​เขา​ขุด​บุปผา​ร้อย​ใบ​ขึ้น​มาหมด​แม้กระทั่ง​ต้น​และ​ราก​ ก่อน​จะวาง​ลง​ใน​กล่อง​ไม้จันทน์​อย่าง​ระมัดระวัง​ จึงรู้​ว่า​อีก​ฝ่าย​ก็​เป็น​คน​ที่​รู้จัก​รัก​ถนอม​สมุนไพร​คน​หนึ่ง​เช่นเดียวกัน​

เดิมที​คิด​ว่า​จะได้โอกาส​มาเปล่าๆ​ แต่​คิดไม่ถึง​ว่า​จะมีคน​ชิงตัดหน้า​ไป​เสีย​ก่อน​แล้ว​ เธอ​ไม่คิด​จะไป​ช่วงชิง​ จึงหมุน​กาย​เดิน​กลับมา​

“เจ้าเด็ก​คน​นี้​ช่างแปลกประหลาด​นัก​ ใน​เมื่อ​ถูก​กลิ่น​ของ​ดอกไม้​ดึงดูด​ลงมา​ทั้งที​ แล้ว​เหตุใด​จึงจากไป​โดย​ไม่พูดไม่จา​เสีย​อย่างนั้น​เล่า​” ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​จัดเก็บ​บุปผา​ร้อย​ใบ​เรียบร้อย​แล้วจึง​หมุน​กาย​ไป​มอง​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​คิดไม่ถึง​ว่า​อีก​ฝ่าย​จะพูด​กับ​ตน​ จึงหยุด​ฝีเท้า​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ก็​ท่าน​ได้​มัน​ไป​ครอง​แล้ว​มิใช่หรือ​ แล้ว​จะให้​ข้า​รีรอ​อะไร​อยู่​อีก​เล่า​ ให้​รอ​ดู​ท่าน​เด็ด​สมุนไพร​อย่างนั้น​หรือ​”

“เจ้าจะช่วงชิง​ไป​ก็ได้​นี่​นา​!” ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​เส้น​ผม​ขาวโพลน​ แววตา​ทั้งสอง​เปล่งประกาย​สดใส​ ดู​มีชีวิตชีวา​ไป​ทั้งตัว​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ได้ยิน​วาจา​ของ​เขา​แล้ว​สะดุ้ง​ มีคน​ที่​เรียก​ให้​ผู้อื่น​ช่วงชิง​ของ​ของ​ตน​อยู่​ด้วย​หรือ​นี่​

เธอ​ส่ายหน้า​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ถึงแม้ว่า​บุปผา​ร้อย​ใบ​นี้​จะหา​ยาก​ แต่​ก็​ยัง​ไม่พอ​จะทำให้​ข้า​จิตใจ​หวั่นไหว​หรอก​นะ​ ถ้าหาก​เอาชนะ​ท่าน​ได้​ก็​ยัง​พอ​ว่า​ แต่​ถ้าเอาชนะ​ท่าน​ไม่ได้​ก็​ไม่เท่ากับ​ข้า​อยู่ดีไม่ว่าดี​ หาเรื่อง​ใส่ตัว​เปล่าๆ​ หรอก​หรือ​”

“เจ้าช่างเฉลียวฉลาด​ยิ่งนัก​!” ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​พูด​ “เจ้าก็​เป็น​นัก​หลอม​ยา​เช่นกัน​หรือ​”

“ทำเป็น​บ้าง​เล็กน้อย​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์พบ​ว่า​เธอ​มอง​พลัง​ยุทธ์​ของ​อีก​ฝ่าย​ไม่ออก​เลย​ จึงตกตะลึง​อยู่​บ้าง​ แต่​คิด​ๆ ดู​แล้ว​ผู้​ที่​กล้า​เดินทาง​อยู่​ใน​เทือกเขา​หมื่น​อสูร​ตามลำพัง​ใน​ยาม​นี้​จะเป็น​คนธรรมดา​ทั่วไป​ได้​อย่างไร​กัน​

ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​คิด​ว่า​คงจะ​ต้อง​พบ​กับ​การต่อสู้​แย่งชิง​ดังเช่น​ก่อนหน้านี้​ คิดไม่ถึง​ว่า​จะพบ​เด็ก​โง่งมคน​หนึ่ง​เข้า​เสียได้​

“เจ้าไม่คิด​ต่อสู้​แย่งชิง​จริงๆ​ น่ะ​หรือ​” ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​ถามย้ำ​อีกครั้ง​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ส่ายหน้า​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ใน​ตัว​ท่าน​ยังมี​ของ​ที่​ทำให้​คน​จิตใจ​หวั่นไหว​มากกว่า​นี้​อีก​หรือไม่​เล่า​ ถ้ามีข้า​จะได้​ชิงมา แต่​ถ้าไม่มีก็​ช่างเถิด​”

พอ​พูด​จบ​เธอ​จึงหมุน​กาย​จากไป​

ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​มอง​แผ่น​หลัง​ของ​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พลาง​ลูบ​คาง​อัน​แหลม​ยื่น​ ทันใดนั้น​ก็​รีบ​ตามมา​แล้ว​คว้า​มือ​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​เอาไว้​ก่อน​จะเอ่ย​ว่า​ “เจ้าเด็ก​นี่​ เจ้าจะไม่ช่วงชิง​จริง​หรือ​”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​มอง​ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​แล้ว​ตกตะลึง​ไป​กับ​พลัง​ยุทธ์​และ​ความเร็ว​ของ​เขา​ พร้อมกัน​นั้น​สีหน้า​ก็​ดำทะมึน​ เขา​มีพลัง​ยุทธ์​แข็งแกร่ง​เช่นนี้​แล้ว​ตน​จะกล้า​ไป​แย่งชิง​ของ​จาก​เขา​ได้​อย่างไร​กัน​เล่า​

ใน​ขณะนี้​เอง​ สร้อยข้อมือ​ม่าน​ถัว​ที่​นิ่งเงียบ​มาโดยตลอด​พลัน​สั่น​ไหว​ขึ้น​มา ซึ่งทำให้​เธอ​ประหลาดใจ​เป็น​อย่างยิ่ง​

“โอ้​… สร้อยข้อมือ​ของ​เจ้าเส้น​นี้​ช่างพิเศษ​ยิ่งนัก​” ชาย​ชรา​ร่าง​เล็ก​มอง​สร้อยข้อมือ​ม่าน​ถัว​ “เป็น​ดอก​ม่าน​ถัว​หลัว​เสีย​ด้วย​ นี่​มัน​ดอกไม้​ที่​เป็น​สัญลักษณ์​แทน​สุดยอด​มาร​ร้าย​เมื่อ​หลาย​หมื่น​ปีก่อน​นี่​นา​! เด็กน้อย​ เหตุใด​เจ้าจึงใช้ดอกไม้​ที่​มืดมน​เช่นนี้​ได้​เล่า​”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​เห็น​ห​ลี่​มู่จากไป​แล้ว​ดวงตา​ก็​เปล่งประกาย​ แต่กลับ​มิได้​พูด​อะไร​

ตอนที่​พวกเขา​กาง​กระโจม​เสร็จ​ฟ้าก็​มืด​แล้ว​ ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​เดิน​วนรอบ​บริเวณ​กระโจม​อยู่​หลาย​รอบ​ พร้อมกับ​โยน​ก้อนกรวด​หลาย​ก้อน​ลง​ไป​เป็นครั้งคราว​ หลังจากนั้น​จึงกลับมา​ที่​หน้า​กองไฟ​แล้ว​โยน​ก้อนกรวด​สีแดง​ก้อน​หนึ่ง​ลง​ไป​ ก่อน​จะใส่ปราณ​วิญญาณ​จำนวน​หนึ่ง​เข้าไป​ภายใน​นั้น​ ทันใดนั้น​ลำแสง​สีขาว​ก็​เคลื่อนตัว​แล้ว​วาด​เป็น​โครงร่าง​วงกลม​สีขาว​และ​ดาว​ห้า​แฉก​

“ค่าย​กล​ป้องกัน​!” เหยียน​ลู่​มองดู​ประกาย​สว่าง​วาบ​แล้ว​ซึมลง​สู่พื้นดิน​ ก่อน​จะอุทาน​ออกมา​แล้ว​มอง​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พลาง​ถามว่า​ “เจ้าเป็น​ปรมาจารย์​ค่าย​กล​หรือ​”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​มิได้​ปฏิเสธ​ หลังจาก​แน่ใจ​ว่า​ค่าย​กล​ไม่มีปัญหา​แล้วจึง​เอ่ย​ว่า​ “เช่นนี้​ก็​ไม่มีปัญหา​แล้ว​”

ซือ​หม่า​โย​ว​หลิน​มองดู​ค่าย​กล​ที่​เธอ​ติดตั้ง​แล้ว​แอบ​ชมใน​ใจว่า​สอง​ปี​มานี้​ทักษะ​ทาง​ด้าน​ค่าย​กล​ของ​เจ้าคน​ผู้​นี้​พัฒนา​ขึ้น​ไม่น้อย​เลย​

เขา​ก็​เป็น​ปรมาจารย์​ค่าย​กล​เช่นกัน​จึงมีความเข้าใจ​เกี่ยวกับ​ค่าย​กล​ดี​ เมื่อ​เห็น​ลำแสง​ตอนที่​ติด​ตั้งค่าย​กล​ก็​รู้​ถึงระดับ​ความ​แข็งแกร่ง​ของ​ค่าย​กล​แล้ว​

ถึงแม้ว่า​เหยียน​ลู่​จะมิใช่ปรมาจารย์​ค่าย​กล​ แต่​ก็​มีความเข้าใจ​ใน​ข้อเท็จจริง​นี้​เช่นกัน​ เมื่อ​เห็น​ลำแสง​ที่​แทบจะ​ทิ่มแทง​ดวงตา​เมื่อครู่นี้​ก็​รู้​ว่า​ค่าย​กล​ของ​เธอ​แข็งแกร่ง​เป็น​อย่างยิ่ง​

“คิดไม่ถึง​เลย​จริงๆ​ ว่า​เจ้าจะยัง​เป็น​ปรมาจารย์​ค่าย​กล​ด้วย​!” เหยียน​ลู่​เห็น​คำพูด​และ​การ​วางตัว​ของ​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ดู​ถ่อมตัว​ ไม่มีความ​หยิ่งยโส​ของ​ปรมาจารย์​ค่าย​กล​อยู่เลย​แม้แต่น้อย​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ยิ้ม​

“โย​วเย่ว์​ ใน​ทะเลสาบ​นี้​น่าจะ​มีปลา​อยู่​กระมัง​ พวกเรา​จับ​ขึ้น​มาทำปลา​ย่าง​กัน​หน่อย​ดี​ไหม​เล่า​” เจ้าอ้วน​ชวี​พูด​

“ดี​เลย​! ถึงอย่างไร​อยู่​ที่นี่​ก็​ไม่มีอะไร​ให้​ทำ​อยู่แล้ว​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​

จากนั้น​พวกเขา​จึงเริ่มต้น​ตกปลา​กันที่​ริม​ทะเลสาบ​ ทั้ง​หัวเราะ​ทั้ง​ด่าทอ​กัน​ไปมา​ ไม่มีความกังวล​หรือ​หวาดหวั่น​เลย​แม้แต่น้อย​ เมื่อ​เห็น​เช่นนี้​เหยียน​ลู่​ก็​จน​คำพูด​ไป​

“ลู่​ลู่​ มาสิ พวกเรา​มาตกปลา​ด้วยกัน​ดีกว่า​!” ซือ​หม่า​โย​วฉิง​เข้ามา​ดึง​ตัวนาง​ นาง​สะดุ้ง​ครา​หนึ่ง​จากนั้น​จึงตาม​ไป​

“ข้า​ขอ​บอก​เจ้าไว้​เลย​นะ​ว่า​โย​วเย่ว์​กับ​เจ้าอ้วน​ทำอาหาร​ได้​อร่อย​มาก​ ข้า​เคย​กิน​ปลา​ย่าง​ที่​พวกเขา​ทำ​ครั้งหนึ่ง​ รสชาติ​นั้น​ทำเอา​ข้า​อยาก​จะกลืน​ก้างปลา​ลง​ไป​ด้วย​เลย​ทีเดียว​ล่ะ​!” ซือ​หม่า​โย​วฉิง​พูด​พลาง​ยื่น​เบ็ด​ตกปลา​ส่งให้​เหยียน​ลู่​

หลังจาก​ได้​อยู่​ร่วมกับ​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​แล้ว​ พวกเขา​ก็​เคยชิน​กับ​การ​พก​ของกิน​เล่น​ต่างๆ​ นานา​เอาไว้​ใกล้​ตัว​เสียแล้ว​

“ปกติ​พวก​เจ้ากิน​ของ​เหล่านี้​กัน​ด้วย​หรือ​” เหยียน​ลู่​พูด​อย่าง​ตกใจ​

“กิน​สิ ทำไม​จะไม่กิน​เล่า​!” ซือ​หม่า​โย​ว​หลาน​เข้ามา​ร่วมวง​ด้วย​แล้ว​เอ่ย​ขึ้น​ “เหมือนกับ​ที่​เจ้าอ้วน​พูด​นั่นแหละ​ ยาม​ปกติ​น่าเบื่อ​ออกจะตาย​ไป​ ถ้าหาก​ไม่ทำ​ของกิน​อร่อย​ๆ มาให้รางวัล​ตัวเอง​อีก​ ชีวิต​ก็​คง​น่าเศร้า​เกินไป​แล้ว​ ปกติ​เจ้าไม่กิน​ของ​พวก​นี้​หรือ​”

เหยียน​ลู่​ส่ายหน้า​ “ปกติ​ถ้าพวกเรา​จะกิน​ ก็​กิน​เพียงแค่​ผลไม้​ทิพย์​อะไร​นิดหน่อย​เท่านั้น​ กิน​ของ​พวก​นี้​น้อย​มาก​เลย​”

“เช่นนั้น​พวก​เจ้าก็​พลาด​ความสุข​อัน​ยิ่งใหญ่​ใน​ชีวิต​มนุษย์​ไป​แล้ว​ล่ะ​” ซือ​หม่า​โย​ว​หลาน​พูด​ “ก่อนหน้านี้​พวกเรา​ก็​มิได้​ชอบ​กินกัน​เช่นนี้​หรอก​ แต่​ถูก​เจ้าพวก​นั้น​แพร่เชื้อ​ใส่น่ะ​สิ”

นาง​พูด​พลาง​พยักพเยิด​ไป​ทาง​พวก​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​และ​เจ้าอ้วน​ชวี​

“เขา​เป็น​คน​ประหลาด​จริงๆ​” เมื่อ​เห็น​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ตกปลา​พร้อมกับ​หัวร่อต่อกระซิก​กับ​ทุกคน​ แล้ว​นึก​ถึงว่า​เธอ​ยัง​เยาว์วัย​เช่นนี้​ก็​ติด​ตั้งค่าย​กล​ที่​แข็งแกร่ง​เช่นนี้​ได้​แล้ว​ จึงเอ่ย​ชมขึ้น​

“อืม​ ไม่เพียงแต่​เป็น​คน​ประหลาด​เท่านั้น​นะ​ แต่​ยัง​ชวน​ให้​คน​โกรธ​อีกด้วย​!” ซือ​หม่า​โย​วฉิง​พูด​

“ชวน​ให้​คน​โกรธ​หรือ​” เหยียน​ลู่​มอง​นาง​อย่าง​ไม่เข้าใจ​

ซือ​หม่า​โย​ว​หลาน​หัวเราะ​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ถูกต้อง​ เจ้าคน​ผู้​นี้​เกิด​มาเพื่อ​โจมตี​ผู้อื่น​ เรื่อง​ไหน​ก็​มิอาจ​เปรียบกับ​เขา​ได้​ทั้งนั้น​ พอ​เห็น​เขา​แล้วก็​พาล​โกรธ​ตัวเอง​แทบตาย​”

“เขา​ร้ายกาจ​มาก​เลย​หรือ​” เหยียน​ลู่​ถาม

“สำหรับ​เขา​แล้ว​ เจ้ามิอาจ​ใช้สายตา​ของ​คน​ปกติ​มอง​ได้​หรอก​นะ​” ซือ​หม่า​โย​วฉิง​พูด​ “มอง​เป็น​สัตว์ประหลาด​จะดีกว่า​!”

“เออ​…” เหยียน​ลู่​มอง​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​อย่าง​สนใจ​ใคร่รู้​ ถูก​คนใน​ครอบครัว​ตัวเอง​เรียก​ว่า​เป็น​สัตว์ประหลาด​ ที่แท้​แล้ว​เธอ​จะเหนือ​มนุษย์​สัก​เพียง​ไหน​กัน​!

“ไอ้​ห​ยา​ ปลา​ติด​เบ็ด​แล้ว​ๆ!” ขณะนี้​เอง​เจ้าอ้วน​ชวี​ก็​ตะโกน​เสียงดัง​ขึ้น​มา ทุกคน​จึงไป​ช่วย​เขา​ดึง​เบ็ด​ตกปลา​

“ไอ้​ห​ยา​ ของ​ข้า​ก็​ติด​เบ็ด​แล้ว​เหมือนกัน​ เป็น​ปลา​ตัว​ใหญ่​เสีย​ด้วย​” ซือ​หม่า​โย​ว​เล่อ​ก็​ตะโกน​ขึ้น​มาพร้อมกัน​

“น้อง​สี่ ข้า​ช่วย​เจ้าเอง​!”

“ไอ้​ห​ยา​ ของ​ข้า​ก็​ขึ้น​มาแล้ว​ ให้​คน​เอา​ตาข่าย​มาช่วย​ข้า​จับ​ปลา​เร็ว​เข้า​”

“เจ้ารอ​ก่อน​ พวกเขา​เอา​ตาข่าย​จับ​ปลา​ไป​แล้ว​”

“ใช้ตาข่าย​จับ​ปลา​อะไร​กัน​เล่า​ แค่​ดึง​ขึ้น​มาเฉย​ๆ ก็​พอแล้ว​!”

“ไอ้​ห​ยา​ ปลา​ที่​ติด​เบ็ด​ข้า​มัน​หนี​ไป​เสียแล้ว​!”

ซือ​หม่า​โย​วฉิง​ก็​วิ่ง​เข้าไป​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “พวก​เจ้าจับ​ปลา​ได้​อย่างไร​กัน​น่ะ​ เหตุใด​พวกเรา​จึงไม่มีเลย​”

เหยียน​ลู่​เห็น​พวกเขา​เล่น​กัน​อย่าง​บ้าคลั่ง​ ไม่มีเด็ก​กว่า​โต​กว่า​ ไม่มีใคร​เหนือกว่า​หรือ​ด้อย​กว่า​ใคร​ ใน​ใจก็​รู้สึก​อิจฉา​ไม่น้อย​ ใน​สมาคม​ของ​พวก​นาง​ แต่ไหนแต่ไร​ก็​ไม่เคย​มีภาพ​เช่นนี้​ปรากฏ​มาก่อน​เลย​ ทุกคน​อยู่​ด้วยกัน​ก็​มีแต่​การ​แก่งแย่ง​ชิงดีชิงเด่น​ทั้งนั้น​ น้อย​นัก​ที่จะ​มีคน​จริงใจ​

ปลา​ที่​ตก​ได้​ใน​ตอนหลัง​มีเป็น​จำนวนมาก​ จึงแบ่ง​คน​ส่วนหนึ่ง​มาจัดการ​กับ​ปลา​เหล่านั้น​ จากนั้น​จึงให้​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​และ​เจ้าอ้วน​ชวี​เป็น​คน​ย่าง​

ทุกคน​กิน​ดื่ม​กัน​อย่าง​อิ่มหนำสำราญ​จน​ดึกดื่น​ แม้กระทั่ง​เหยียน​ลู่​ที่​ไม่ค่อย​กิน​อาหาร​มาโดยตลอด​ก็​ยัง​กิน​ปลา​ไป​หนึ่ง​ตัว​เต็มๆ​

“โอ๊ย​ อิ่ม​เหลือเกิน​ หนัง​ท้อง​ตึง​หนังตา​หย่อน​ ทุกคน​ไป​นอน​กัน​ดีกว่า​นะ​” ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​ตะโกน​

จากนั้น​ทุกคน​จึงแยกย้าย​กัน​กลับ​ไป​ยัง​กระโจม​ของ​ตน​ เหยียน​ลู่​ถามว่า​ “ไม่เหลือ​คน​ไว้​เฝ้ายาม​หน่อย​หรือ​”

“ไม่ต้อง​หรอก​ โย​วเย่ว์​โปรย​ผง​ยา​เอาไว้​ ทั้ง​ยัง​จัดวาง​ค่าย​กล​เอาไว้​แล้ว​ หาก​ใคร​มาหาเรื่อง​พวกเรา​โดย​ไม่ดูตาม้าตาเรือ​ ก็​คง​ได้​ฟุบ​ไป​ก่อนที่​พวกเรา​จะมาถึงแล้ว​ล่ะ​” ซือ​หม่า​โย​วฉิง​พูด​

เหยียน​ลู่​นึกถึง​ค่าย​กล​ที่​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​จัดวาง​เอาไว้​ขึ้น​มา นึก​ไป​นึก​มาก็​จริงอยู่​ ค่าย​กล​เช่นนั้น​คอย​คุ้มกัน​ทะเลสาบ​เล็ก​ๆ เช่นนี้​อยู่​ ย่อม​ไม่มีปัญหา​แน่นอน​อยู่แล้ว​ จากนั้น​จึงกลับ​ไป​พักผ่อน​ยัง​กระโจม​ของ​ตน​

เช้าวัน​ต่อมา​ ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ที่นั่ง​บำเพ็ญ​อยู่​บน​เตียง​ลืมตา​ขึ้น​ เธอ​คิด​ใคร่ครวญ​อยู่​ครู่หนึ่ง​แล้วจึง​ลง​จาก​เตียง​ออกมา​ข้างนอก​

“เหตุใด​เจ้าจึงออกมา​แต่​เช้าตรู่​เช่นนี้​เล่า​” เมื่อ​เห็น​คน​ที่​ยืน​อยู่​ริม​ทะเลสาบ​ เธอ​จึงเดิน​เข้าไป​ถาม

“เจ้าก็​ตื่น​เช้าขนาด​นี้​เหมือนกัน​มิใช่หรือ​” เหยียน​ลู่​เห็น​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​จึงพูด​ขึ้น​

“ข้า​ได้ยิน​ว่า​มีคน​ตื่น​แล้ว​ ก็​เลย​ตื่น​ตาม​น่ะ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “หรือว่า​คนเมือง​วิเศษ​อย่าง​พวก​เจ้าจะตื่น​เช้าเช่นนี้​กัน​หมด​”

เหยียน​ลู่​ส่ายหน้า​โดย​ไม่เอ่ย​วาจา​

“ข้า​เห็น​แววตา​เจ้าดู​เป็นกังวล​ กำลัง​เป็นห่วง​ใคร​อยู่​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ถาม

เหยียน​ลู่​คิดไม่ถึง​ว่า​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​จะมีสัมผัส​ไว​เช่นนี้​ จึงพยักหน้า​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ข้า​กำลัง​เป็นห่วง​ท่าน​พ่อ​ท่าน​แม่ข้า​อยู่​น่ะ​ ก่อนหน้านี้​ที่​เคย​เจอ​เรื่อง​เหล่านี้​ พวกเรา​ก็​อยู่​ด้วยกัน​ตลอด​ จึงเป็นกังวล​ว่า​พวก​ท่าน​จะเป็น​อะไร​หรือไม่​”

“เจ้ามิได้​บอ​กว่า​เมือง​วิเศษ​จะเปิด​ค่าย​กล​ใหญ่​ป้องกัน​เมือง​ทุกครั้ง​หรอก​หรือ​ ใน​เมื่อ​เป็น​เช่นนี้​แล้ว​ยังมี​อะไร​ให้​กังวล​อีก​เล่า​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “ถ้าหาก​จะกังวล​ ควรจะเป็น​ท่าน​พ่อ​ท่าน​แม่เจ้าเป็นห่วง​เจ้าที่อยู่​ข้างนอก​นี่​มากกว่า​นะ​!”

“จะว่า​ไป​ก็​ใช่” เหยียน​ลู่​พูด​ “กลัว​แต่ว่า​พวกเขา​เห็น​ข้า​กับ​พวก​ศิษย์​พี่​ยัง​ไม่กลับ​ไป​เสียที​ แล้ว​ออก​มาตามหา​นี่​สิ”

“เจ้าไม่ใช่เด็ก​อีกต่อไป​แล้ว​นะ​ ถึงจะรู้​ว่า​เทือกเขา​หมื่น​อสูร​ไม่ปลอดภัย​ แต่​เมือง​วิเศษ​ปิด​สนิท​อยู่​ แล้ว​จะเข้าไป​ได้​อย่างไร​กัน​เล่า​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “ท่าน​พ่อ​ท่าน​แม่เจ้าต้อง​คิด​เช่นนี้​แน่​”

“อืม​ หวัง​ว่า​จะเป็น​เช่นนั้น​นะ​” เหยียน​ลู่​พูด​

“ใช่แล้ว​ ข้า​ได้ยิน​ว่า​ศิษย์​พี่​ผู้​นั้น​ของ​เจ้าบอ​กว่า​ตำหนัก​ผู้วิเศษ​เกิดเรื่อง​ ให้​ศิษย์​พี่​หา​น​อะไร​ผู้​นั้น​ของ​เจ้าเข้าไป​ เจ้ารู้​หรือไม่​ว่า​เป็นเรื่อง​อะไร​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ถาม

เหยียน​ลู่​ส่ายหน้า​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ข้า​ออกจาก​เมือง​วิเศษ​มาเกือบ​ครึ่ง​ปี​แล้วจึง​ไม่ค่อย​รู้เรื่อง​ตำหนัก​ผู้วิเศษ​มาก​นัก​ เจ้าอยาก​รู้เรื่อง​ของ​ที่นั่น​หรือ​ ข้า​กับ​นารี​ทิพย์​ผู้​นั้น​ค่อนข้าง​สนิทสนม​กัน​อยู่​ ถ้าหาก​เจ้าอยากรู้​อะไร​ พอ​ข้า​กลับ​ไป​แล้ว​จะช่วย​ถามมาให้​เจ้าก็ได้​นะ​”

“ไม่ต้อง​หรอก​ๆ” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​รีบ​โบกมือ​ “แค่​ก่อนหน้านี้​ข้า​ไม่เคย​สัมผัส​ตำหนัก​ผู้วิเศษ​มาก่อน​ ก็​เลย​อยากรู้อยากเห็น​บ้าง​เท่านั้น​”

แน่นอน​ว่า​อู​ห​ลิ​งอ​วี่​ผู้​ที่​ภายนอก​ดู​น่าเลื่อมใส​ แต่​ภายใน​ชั่วร้าย​ผู้​นั้น​ถูก​เธอ​ละเลย​ไป​เสียแล้ว​

แต่​ขณะนี้​ผู้​ที่​ถูก​เธอ​ละเลย​นั้น​กลับ​กำลัง​คิดถึง​เธอ​จับใจ​อยู่​ใน​เมือง​วิเศษ​ อยาก​จะรีบ​สลัด​คน​ที่นี่​ทิ้ง​แล้ว​ออก​ไป​ตามหา​เธอ​เต็มที​แล้ว​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​เห็น​ห​ลี่​มู่จากไป​แล้ว​ดวงตา​ก็​เปล่งประกาย​ แต่กลับ​มิได้​พูด​อะไร​

ตอนที่​พวกเขา​กาง​กระโจม​เสร็จ​ฟ้าก็​มืด​แล้ว​ ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​เดิน​วนรอบ​บริเวณ​กระโจม​อยู่​หลาย​รอบ​ พร้อมกับ​โยน​ก้อนกรวด​หลาย​ก้อน​ลง​ไป​เป็นครั้งคราว​ หลังจากนั้น​จึงกลับมา​ที่​หน้า​กองไฟ​แล้ว​โยน​ก้อนกรวด​สีแดง​ก้อน​หนึ่ง​ลง​ไป​ ก่อน​จะใส่ปราณ​วิญญาณ​จำนวน​หนึ่ง​เข้าไป​ภายใน​นั้น​ ทันใดนั้น​ลำแสง​สีขาว​ก็​เคลื่อนตัว​แล้ว​วาด​เป็น​โครงร่าง​วงกลม​สีขาว​และ​ดาว​ห้า​แฉก​

“ค่าย​กล​ป้องกัน​!” เหยียน​ลู่​มองดู​ประกาย​สว่าง​วาบ​แล้ว​ซึมลง​สู่พื้นดิน​ ก่อน​จะอุทาน​ออกมา​แล้ว​มอง​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พลาง​ถามว่า​ “เจ้าเป็น​ปรมาจารย์​ค่าย​กล​หรือ​”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​มิได้​ปฏิเสธ​ หลังจาก​แน่ใจ​ว่า​ค่าย​กล​ไม่มีปัญหา​แล้วจึง​เอ่ย​ว่า​ “เช่นนี้​ก็​ไม่มีปัญหา​แล้ว​”

ซือ​หม่า​โย​ว​หลิน​มองดู​ค่าย​กล​ที่​เธอ​ติดตั้ง​แล้ว​แอบ​ชมใน​ใจว่า​สอง​ปี​มานี้​ทักษะ​ทาง​ด้าน​ค่าย​กล​ของ​เจ้าคน​ผู้​นี้​พัฒนา​ขึ้น​ไม่น้อย​เลย​

เขา​ก็​เป็น​ปรมาจารย์​ค่าย​กล​เช่นกัน​จึงมีความเข้าใจ​เกี่ยวกับ​ค่าย​กล​ดี​ เมื่อ​เห็น​ลำแสง​ตอนที่​ติด​ตั้งค่าย​กล​ก็​รู้​ถึงระดับ​ความ​แข็งแกร่ง​ของ​ค่าย​กล​แล้ว​

ถึงแม้ว่า​เหยียน​ลู่​จะมิใช่ปรมาจารย์​ค่าย​กล​ แต่​ก็​มีความเข้าใจ​ใน​ข้อเท็จจริง​นี้​เช่นกัน​ เมื่อ​เห็น​ลำแสง​ที่​แทบจะ​ทิ่มแทง​ดวงตา​เมื่อครู่นี้​ก็​รู้​ว่า​ค่าย​กล​ของ​เธอ​แข็งแกร่ง​เป็น​อย่างยิ่ง​

“คิดไม่ถึง​เลย​จริงๆ​ ว่า​เจ้าจะยัง​เป็น​ปรมาจารย์​ค่าย​กล​ด้วย​!” เหยียน​ลู่​เห็น​คำพูด​และ​การ​วางตัว​ของ​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ดู​ถ่อมตัว​ ไม่มีความ​หยิ่งยโส​ของ​ปรมาจารย์​ค่าย​กล​อยู่เลย​แม้แต่น้อย​

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ยิ้ม​

“โย​วเย่ว์​ ใน​ทะเลสาบ​นี้​น่าจะ​มีปลา​อยู่​กระมัง​ พวกเรา​จับ​ขึ้น​มาทำปลา​ย่าง​กัน​หน่อย​ดี​ไหม​เล่า​” เจ้าอ้วน​ชวี​พูด​

“ดี​เลย​! ถึงอย่างไร​อยู่​ที่นี่​ก็​ไม่มีอะไร​ให้​ทำ​อยู่แล้ว​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​

จากนั้น​พวกเขา​จึงเริ่มต้น​ตกปลา​กันที่​ริม​ทะเลสาบ​ ทั้ง​หัวเราะ​ทั้ง​ด่าทอ​กัน​ไปมา​ ไม่มีความกังวล​หรือ​หวาดหวั่น​เลย​แม้แต่น้อย​ เมื่อ​เห็น​เช่นนี้​เหยียน​ลู่​ก็​จน​คำพูด​ไป​

“ลู่​ลู่​ มาสิ พวกเรา​มาตกปลา​ด้วยกัน​ดีกว่า​!” ซือ​หม่า​โย​วฉิง​เข้ามา​ดึง​ตัวนาง​ นาง​สะดุ้ง​ครา​หนึ่ง​จากนั้น​จึงตาม​ไป​

“ข้า​ขอ​บอก​เจ้าไว้​เลย​นะ​ว่า​โย​วเย่ว์​กับ​เจ้าอ้วน​ทำอาหาร​ได้​อร่อย​มาก​ ข้า​เคย​กิน​ปลา​ย่าง​ที่​พวกเขา​ทำ​ครั้งหนึ่ง​ รสชาติ​นั้น​ทำเอา​ข้า​อยาก​จะกลืน​ก้างปลา​ลง​ไป​ด้วย​เลย​ทีเดียว​ล่ะ​!” ซือ​หม่า​โย​วฉิง​พูด​พลาง​ยื่น​เบ็ด​ตกปลา​ส่งให้​เหยียน​ลู่​

หลังจาก​ได้​อยู่​ร่วมกับ​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​แล้ว​ พวกเขา​ก็​เคยชิน​กับ​การ​พก​ของกิน​เล่น​ต่างๆ​ นานา​เอาไว้​ใกล้​ตัว​เสียแล้ว​

“ปกติ​พวก​เจ้ากิน​ของ​เหล่านี้​กัน​ด้วย​หรือ​” เหยียน​ลู่​พูด​อย่าง​ตกใจ​

“กิน​สิ ทำไม​จะไม่กิน​เล่า​!” ซือ​หม่า​โย​ว​หลาน​เข้ามา​ร่วมวง​ด้วย​แล้ว​เอ่ย​ขึ้น​ “เหมือนกับ​ที่​เจ้าอ้วน​พูด​นั่นแหละ​ ยาม​ปกติ​น่าเบื่อ​ออกจะตาย​ไป​ ถ้าหาก​ไม่ทำ​ของกิน​อร่อย​ๆ มาให้รางวัล​ตัวเอง​อีก​ ชีวิต​ก็​คง​น่าเศร้า​เกินไป​แล้ว​ ปกติ​เจ้าไม่กิน​ของ​พวก​นี้​หรือ​”

เหยียน​ลู่​ส่ายหน้า​ “ปกติ​ถ้าพวกเรา​จะกิน​ ก็​กิน​เพียงแค่​ผลไม้​ทิพย์​อะไร​นิดหน่อย​เท่านั้น​ กิน​ของ​พวก​นี้​น้อย​มาก​เลย​”

“เช่นนั้น​พวก​เจ้าก็​พลาด​ความสุข​อัน​ยิ่งใหญ่​ใน​ชีวิต​มนุษย์​ไป​แล้ว​ล่ะ​” ซือ​หม่า​โย​ว​หลาน​พูด​ “ก่อนหน้านี้​พวกเรา​ก็​มิได้​ชอบ​กินกัน​เช่นนี้​หรอก​ แต่​ถูก​เจ้าพวก​นั้น​แพร่เชื้อ​ใส่น่ะ​สิ”

นาง​พูด​พลาง​พยักพเยิด​ไป​ทาง​พวก​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​และ​เจ้าอ้วน​ชวี​

“เขา​เป็น​คน​ประหลาด​จริงๆ​” เมื่อ​เห็น​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ตกปลา​พร้อมกับ​หัวร่อต่อกระซิก​กับ​ทุกคน​ แล้ว​นึก​ถึงว่า​เธอ​ยัง​เยาว์วัย​เช่นนี้​ก็​ติด​ตั้งค่าย​กล​ที่​แข็งแกร่ง​เช่นนี้​ได้​แล้ว​ จึงเอ่ย​ชมขึ้น​

“อืม​ ไม่เพียงแต่​เป็น​คน​ประหลาด​เท่านั้น​นะ​ แต่​ยัง​ชวน​ให้​คน​โกรธ​อีกด้วย​!” ซือ​หม่า​โย​วฉิง​พูด​

“ชวน​ให้​คน​โกรธ​หรือ​” เหยียน​ลู่​มอง​นาง​อย่าง​ไม่เข้าใจ​

ซือ​หม่า​โย​ว​หลาน​หัวเราะ​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ถูกต้อง​ เจ้าคน​ผู้​นี้​เกิด​มาเพื่อ​โจมตี​ผู้อื่น​ เรื่อง​ไหน​ก็​มิอาจ​เปรียบกับ​เขา​ได้​ทั้งนั้น​ พอ​เห็น​เขา​แล้วก็​พาล​โกรธ​ตัวเอง​แทบตาย​”

“เขา​ร้ายกาจ​มาก​เลย​หรือ​” เหยียน​ลู่​ถาม

“สำหรับ​เขา​แล้ว​ เจ้ามิอาจ​ใช้สายตา​ของ​คน​ปกติ​มอง​ได้​หรอก​นะ​” ซือ​หม่า​โย​วฉิง​พูด​ “มอง​เป็น​สัตว์ประหลาด​จะดีกว่า​!”

“เออ​…” เหยียน​ลู่​มอง​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​อย่าง​สนใจ​ใคร่รู้​ ถูก​คนใน​ครอบครัว​ตัวเอง​เรียก​ว่า​เป็น​สัตว์ประหลาด​ ที่แท้​แล้ว​เธอ​จะเหนือ​มนุษย์​สัก​เพียง​ไหน​กัน​!

“ไอ้​ห​ยา​ ปลา​ติด​เบ็ด​แล้ว​ๆ!” ขณะนี้​เอง​เจ้าอ้วน​ชวี​ก็​ตะโกน​เสียงดัง​ขึ้น​มา ทุกคน​จึงไป​ช่วย​เขา​ดึง​เบ็ด​ตกปลา​

“ไอ้​ห​ยา​ ของ​ข้า​ก็​ติด​เบ็ด​แล้ว​เหมือนกัน​ เป็น​ปลา​ตัว​ใหญ่​เสีย​ด้วย​” ซือ​หม่า​โย​ว​เล่อ​ก็​ตะโกน​ขึ้น​มาพร้อมกัน​

“น้อง​สี่ ข้า​ช่วย​เจ้าเอง​!”

“ไอ้​ห​ยา​ ของ​ข้า​ก็​ขึ้น​มาแล้ว​ ให้​คน​เอา​ตาข่าย​มาช่วย​ข้า​จับ​ปลา​เร็ว​เข้า​”

“เจ้ารอ​ก่อน​ พวกเขา​เอา​ตาข่าย​จับ​ปลา​ไป​แล้ว​”

“ใช้ตาข่าย​จับ​ปลา​อะไร​กัน​เล่า​ แค่​ดึง​ขึ้น​มาเฉย​ๆ ก็​พอแล้ว​!”

“ไอ้​ห​ยา​ ปลา​ที่​ติด​เบ็ด​ข้า​มัน​หนี​ไป​เสียแล้ว​!”

ซือ​หม่า​โย​วฉิง​ก็​วิ่ง​เข้าไป​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “พวก​เจ้าจับ​ปลา​ได้​อย่างไร​กัน​น่ะ​ เหตุใด​พวกเรา​จึงไม่มีเลย​”

เหยียน​ลู่​เห็น​พวกเขา​เล่น​กัน​อย่าง​บ้าคลั่ง​ ไม่มีเด็ก​กว่า​โต​กว่า​ ไม่มีใคร​เหนือกว่า​หรือ​ด้อย​กว่า​ใคร​ ใน​ใจก็​รู้สึก​อิจฉา​ไม่น้อย​ ใน​สมาคม​ของ​พวก​นาง​ แต่ไหนแต่ไร​ก็​ไม่เคย​มีภาพ​เช่นนี้​ปรากฏ​มาก่อน​เลย​ ทุกคน​อยู่​ด้วยกัน​ก็​มีแต่​การ​แก่งแย่ง​ชิงดีชิงเด่น​ทั้งนั้น​ น้อย​นัก​ที่จะ​มีคน​จริงใจ​

ปลา​ที่​ตก​ได้​ใน​ตอนหลัง​มีเป็น​จำนวนมาก​ จึงแบ่ง​คน​ส่วนหนึ่ง​มาจัดการ​กับ​ปลา​เหล่านั้น​ จากนั้น​จึงให้​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​และ​เจ้าอ้วน​ชวี​เป็น​คน​ย่าง​

ทุกคน​กิน​ดื่ม​กัน​อย่าง​อิ่มหนำสำราญ​จน​ดึกดื่น​ แม้กระทั่ง​เหยียน​ลู่​ที่​ไม่ค่อย​กิน​อาหาร​มาโดยตลอด​ก็​ยัง​กิน​ปลา​ไป​หนึ่ง​ตัว​เต็มๆ​

“โอ๊ย​ อิ่ม​เหลือเกิน​ หนัง​ท้อง​ตึง​หนังตา​หย่อน​ ทุกคน​ไป​นอน​กัน​ดีกว่า​นะ​” ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​ตะโกน​

จากนั้น​ทุกคน​จึงแยกย้าย​กัน​กลับ​ไป​ยัง​กระโจม​ของ​ตน​ เหยียน​ลู่​ถามว่า​ “ไม่เหลือ​คน​ไว้​เฝ้ายาม​หน่อย​หรือ​”

“ไม่ต้อง​หรอก​ โย​วเย่ว์​โปรย​ผง​ยา​เอาไว้​ ทั้ง​ยัง​จัดวาง​ค่าย​กล​เอาไว้​แล้ว​ หาก​ใคร​มาหาเรื่อง​พวกเรา​โดย​ไม่ดูตาม้าตาเรือ​ ก็​คง​ได้​ฟุบ​ไป​ก่อนที่​พวกเรา​จะมาถึงแล้ว​ล่ะ​” ซือ​หม่า​โย​วฉิง​พูด​

เหยียน​ลู่​นึกถึง​ค่าย​กล​ที่​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​จัดวาง​เอาไว้​ขึ้น​มา นึก​ไป​นึก​มาก็​จริงอยู่​ ค่าย​กล​เช่นนั้น​คอย​คุ้มกัน​ทะเลสาบ​เล็ก​ๆ เช่นนี้​อยู่​ ย่อม​ไม่มีปัญหา​แน่นอน​อยู่แล้ว​ จากนั้น​จึงกลับ​ไป​พักผ่อน​ยัง​กระโจม​ของ​ตน​

เช้าวัน​ต่อมา​ ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ที่นั่ง​บำเพ็ญ​อยู่​บน​เตียง​ลืมตา​ขึ้น​ เธอ​คิด​ใคร่ครวญ​อยู่​ครู่หนึ่ง​แล้วจึง​ลง​จาก​เตียง​ออกมา​ข้างนอก​

“เหตุใด​เจ้าจึงออกมา​แต่​เช้าตรู่​เช่นนี้​เล่า​” เมื่อ​เห็น​คน​ที่​ยืน​อยู่​ริม​ทะเลสาบ​ เธอ​จึงเดิน​เข้าไป​ถาม

“เจ้าก็​ตื่น​เช้าขนาด​นี้​เหมือนกัน​มิใช่หรือ​” เหยียน​ลู่​เห็น​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​จึงพูด​ขึ้น​

“ข้า​ได้ยิน​ว่า​มีคน​ตื่น​แล้ว​ ก็​เลย​ตื่น​ตาม​น่ะ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “หรือว่า​คนเมือง​วิเศษ​อย่าง​พวก​เจ้าจะตื่น​เช้าเช่นนี้​กัน​หมด​”

เหยียน​ลู่​ส่ายหน้า​โดย​ไม่เอ่ย​วาจา​

“ข้า​เห็น​แววตา​เจ้าดู​เป็นกังวล​ กำลัง​เป็นห่วง​ใคร​อยู่​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ถาม

เหยียน​ลู่​คิดไม่ถึง​ว่า​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​จะมีสัมผัส​ไว​เช่นนี้​ จึงพยักหน้า​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ข้า​กำลัง​เป็นห่วง​ท่าน​พ่อ​ท่าน​แม่ข้า​อยู่​น่ะ​ ก่อนหน้านี้​ที่​เคย​เจอ​เรื่อง​เหล่านี้​ พวกเรา​ก็​อยู่​ด้วยกัน​ตลอด​ จึงเป็นกังวล​ว่า​พวก​ท่าน​จะเป็น​อะไร​หรือไม่​”

“เจ้ามิได้​บอ​กว่า​เมือง​วิเศษ​จะเปิด​ค่าย​กล​ใหญ่​ป้องกัน​เมือง​ทุกครั้ง​หรอก​หรือ​ ใน​เมื่อ​เป็น​เช่นนี้​แล้ว​ยังมี​อะไร​ให้​กังวล​อีก​เล่า​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “ถ้าหาก​จะกังวล​ ควรจะเป็น​ท่าน​พ่อ​ท่าน​แม่เจ้าเป็นห่วง​เจ้าที่อยู่​ข้างนอก​นี่​มากกว่า​นะ​!”

“จะว่า​ไป​ก็​ใช่” เหยียน​ลู่​พูด​ “กลัว​แต่ว่า​พวกเขา​เห็น​ข้า​กับ​พวก​ศิษย์​พี่​ยัง​ไม่กลับ​ไป​เสียที​ แล้ว​ออก​มาตามหา​นี่​สิ”

“เจ้าไม่ใช่เด็ก​อีกต่อไป​แล้ว​นะ​ ถึงจะรู้​ว่า​เทือกเขา​หมื่น​อสูร​ไม่ปลอดภัย​ แต่​เมือง​วิเศษ​ปิด​สนิท​อยู่​ แล้ว​จะเข้าไป​ได้​อย่างไร​กัน​เล่า​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “ท่าน​พ่อ​ท่าน​แม่เจ้าต้อง​คิด​เช่นนี้​แน่​”

“อืม​ หวัง​ว่า​จะเป็น​เช่นนั้น​นะ​” เหยียน​ลู่​พูด​

“ใช่แล้ว​ ข้า​ได้ยิน​ว่า​ศิษย์​พี่​ผู้​นั้น​ของ​เจ้าบอ​กว่า​ตำหนัก​ผู้วิเศษ​เกิดเรื่อง​ ให้​ศิษย์​พี่​หา​น​อะไร​ผู้​นั้น​ของ​เจ้าเข้าไป​ เจ้ารู้​หรือไม่​ว่า​เป็นเรื่อง​อะไร​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ถาม

เหยียน​ลู่​ส่ายหน้า​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ข้า​ออกจาก​เมือง​วิเศษ​มาเกือบ​ครึ่ง​ปี​แล้วจึง​ไม่ค่อย​รู้เรื่อง​ตำหนัก​ผู้วิเศษ​มาก​นัก​ เจ้าอยาก​รู้เรื่อง​ของ​ที่นั่น​หรือ​ ข้า​กับ​นารี​ทิพย์​ผู้​นั้น​ค่อนข้าง​สนิทสนม​กัน​อยู่​ ถ้าหาก​เจ้าอยากรู้​อะไร​ พอ​ข้า​กลับ​ไป​แล้ว​จะช่วย​ถามมาให้​เจ้าก็ได้​นะ​”

“ไม่ต้อง​หรอก​ๆ” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​รีบ​โบกมือ​ “แค่​ก่อนหน้านี้​ข้า​ไม่เคย​สัมผัส​ตำหนัก​ผู้วิเศษ​มาก่อน​ ก็​เลย​อยากรู้อยากเห็น​บ้าง​เท่านั้น​”

แน่นอน​ว่า​อู​ห​ลิ​งอ​วี่​ผู้​ที่​ภายนอก​ดู​น่าเลื่อมใส​ แต่​ภายใน​ชั่วร้าย​ผู้​นั้น​ถูก​เธอ​ละเลย​ไป​เสียแล้ว​

แต่​ขณะนี้​ผู้​ที่​ถูก​เธอ​ละเลย​นั้น​กลับ​กำลัง​คิดถึง​เธอ​จับใจ​อยู่​ใน​เมือง​วิเศษ​ อยาก​จะรีบ​สลัด​คน​ที่นี่​ทิ้ง​แล้ว​ออก​ไป​ตามหา​เธอ​เต็มที​แล้ว​

“ตระกูล​น่า​หลาน​หรือ​” เหยียน​ลู่​ขมวดคิ้ว​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ตระกูล​น่า​หลาน​ไม่อยู่​ เก็บ​ไว้​ก็​เก็บ​ไว้​สิ ให้​คน​ตระกูล​ซือ​หม่า​ก่อน​เถิด​”

“ไม่ได้​” ห​ลี่​มู่พูด​ “คน​ตระกูล​น่า​หลาน​มาถึงแล้ว​ จะมาถึงที่นี่​ใน​วัน​นี้แหละ​”

“แบ่ง​ห้อง​มาสัก​จำนวน​หนึ่ง​มิได้​เลย​หรือ​” เหยียน​ลู่​เริ่ม​โมโห​ขึ้น​มาเสียแล้ว​

“ศิษย์​น้อง​หญิง​ ข้า​คุย​กับ​คน​ตระกูล​น่า​หลาน​เอาไว้​เรียบร้อย​แล้ว​ พอ​ถึงตอนนั้น​จะมาอธิบาย​ให้​พวกเขา​ฟังก็​มิใช่เรื่อง​ง่าย​เลย​นะ​” ห​ลี่​มู่พูด​

“ท่าน​… ได้​… เช่นนั้น​ที่นี่​ก็​ยก​ให้​ท่าน​ไป​แล้วกัน​ ข้า​จะพา​พวกเขา​ไป​ที่อื่น​” เหยียน​ลู่​พูด​อย่าง​โมโห​

“ศิษย์​น้อง​หญิง​ พวกเขา​ก็​แค่​คน​ที่​เจ้ารู้จัก​ระหว่างทาง​เท่านั้น​ ไม่เห็นจะ​ต้อง​ไป​สนใจ​พวกเขา​เลย​นี่​” ห​ลี่​มู่เอ่ย​อย่าง​ไม่พอใจ​

“พวกเขา​เคย​ช่วย​ข้า​ ข้า​พูด​เอาไว้​แล้ว​ว่า​จะพา​พวกเขา​ไป​เมือง​วิเศษ​ แล้ว​จะทิ้ง​พวกเขา​เอาไว้​กลาง​ทางได้​อย่างไร​กัน​ ใน​เมื่อ​ท่าน​บอ​กว่า​ท่าน​จะรอ​คน​ตระกูล​น่า​หลาน​อยู่​ที่นี่​ เช่นนั้น​ข้า​ก็​จะไป​อยู่​กับ​พวกเขา​แล้วกัน​” เหยียน​ลู่​พูด​จบ​แล้ว​เดิน​จากไป​

“ศิษย์​พี่​หญิง​!”

“ศิษย์​น้อง​หญิง​!”

“คุณหนู​!”

“ศิษย์​พี่​ ศิษย์​พี่​หญิง​นาง​… แล้ว​ตอนนี้​จะทำ​เช่นไร​กัน​ดี​เล่า​” หง​สยาม​อง​ห​ลี่​มู่

ห​ลี่​มู่หัวเราะ​อย่าง​เย็นชา​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “โรงเตี๊ยม​ใน​หมู่บ้าน​ล้วน​เต็ม​หมด​แล้ว​ ศิษย์​น้อง​หญิง​ไป​ก็​เสียเวลา​เปล่า​ พอ​ไม่มีที่พัก​ นาง​ก็​ต้อง​กลับมา​เอง​นั่นแหละ​”

“เช่นนั้น​คน​พวก​นั้น​…” หงส​ยา​พูด​อย่าง​เป็นกังวล​อยู่​บ้าง​

“ไม่ต้อง​ไป​สนใจ​หรอก​ จะตาย​ก็​ให้​ตาย​ไป​!” ห​ลี่​มู่พูด​จบ​ก็​หมุน​กาย​กลับ​ไป​ยัง​โต๊ะ​เมื่อ​ครู่​

เหยียน​ลู่​มาถึงบน​ถนน​แล้วจึง​นึกถึง​พวก​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ขึ้น​มา จึงหันไป​พูด​กับ​พวกเขา​ว่า​ “เมื่อครู่นี้​ต้อง​ขอโทษ​ด้วย​จริงๆ​ นะ​ ศิษย์​พี่​ห​ลี่​เป็น​เช่นนี้​อยู่​เสมอ​ ข้า​จะพา​พวก​เจ้าไป​ยัง​โรงเตี๊ยม​อื่น​แทน​แล้วกัน​”

ใน​เมื่อ​นาง​พูด​เช่นนี้​แล้ว​ พวกเขา​จึงมิได้​พูด​อะไร​ เพียงแค่​เดินตาม​นาง​ไป​เท่านั้น​

“ศิษย์​พี่​ผู้​นั้น​ของ​เจ้าร้ายกาจ​มาก​เลย​หรือ​” เจ้าอ้วน​ชวี​ถาม

“พรสวรรค์​ค่อนข้าง​ดี​ จึงได้รับ​ความชอบพอ​จาก​ท่าน​พ่อ​ข้า​เป็นอย่างมาก​เลย​ล่ะ​” เหยียน​ลู่​พูด​ “แต่​ข้า​ไม่ชอบ​เขา​เอา​เสีย​เลย​ ไม่เคยชิน​กับ​ท่าทาง​หยิ่งยโส​ของ​เขา​น่ะ​”

“เจ้ามิได้​เป็น​คุณหนู​หรอก​หรือ​” เมื่อ​ครู่​เสี่ยว​เอ้อร์​เรียก​นาง​เช่นนี้​

“ต่อให้​ข้า​เป็น​คุณหนู​ แต่​พรสวรรค์​ไม่เท่า​เขา​ ใน​สายตา​ของ​ผู้อื่น​ เขา​จึงมีความสำคัญ​มากกว่า​ข้า​” เหยียน​ลู่​พูด​ “เอาละ​ อย่า​พูดถึง​เขา​อีก​เลย​ พวกเรา​ไปดู​โรงเตี๊ยม​อื่นๆ​ กัน​ดีกว่า​นะ​”

น่าเสียดาย​ที่​พวกเขา​เดิน​กัน​จน​สุดถนน​แล้วก็​ยัง​ไม่พบ​โรงเตี๊ยม​ที่​มีห้อง​ว่าง​เลย​

ขณะนี้​ท้องฟ้า​เริ่ม​มืด​แล้ว​ ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​จึงเอ่ย​ว่า​ “ใน​เมื่อ​ไม่มีที่พัก​แล้ว​ เช่นนั้น​พวกเรา​หา​ที่​ตั้งค่าย​พักแรม​กัน​ใน​ภูเขา​มิดีกว่า​หรือ​”

“ไม่ได้​หรอก​ ข้างนอก​อันตราย​เป็น​อย่างยิ่ง​ ต่อให้​พวก​ท่าน​พ่อ​ของ​ข้า​อยู่​ที่นี่​ก็​ยัง​ไม่กล้า​ไป​ตั้งค่าย​พักแรม​ข้างนอก​ตามอำเภอใจ​เลย​” เหยียน​ลู่​ปฏิเสธ​ทันควัน​

“ไม่เป็นไร​หรอก​น่า​ ถึงอย่างไร​ก็​เพียงแค่​คืน​เดียว​เท่านั้น​” ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​พูด​

“อืม​ ข้า​ก็​อยาก​จะไป​ตั้งค่าย​พักแรม​ข้างนอก​มากกว่า​ ไม่อยาก​จะนอน​บน​ถนน​ทั้งคืน​หรอก​นะ​” ซือ​หม่า​โย​วฉิง​พูด​

“คุณหนู​เหยียน​ อย่า​ไป​พัก​ข้างนอก​ตอนนี้​เลย​ขอรับ​!” ผู้ดูแล​โรงเตี๊ยม​พูด​ “ตอนนี้​ข้างนอก​อันตราย​กว่า​เมื่อก่อน​เสีย​อีก​”

“เพราะเหตุใด​หรือ​”

“เหตุผล​ที่​ระยะนี้​หมู่บ้าน​มีคน​มามากมาย​เช่นนี้​ก็​เพราะ​ภายใน​ภูเขา​ด้านนอก​ไม่สงบ​ ทุกคน​ต่าง​มาหลบภัย​กัน​ทั้งสิ้น​ หาก​พวก​ท่าน​ออก​ไป​ตอนนี้​ก็​จะอันตราย​ยิ่งกว่า​เดิม​อีก​นะ​ขอรับ​” ผู้ดูแล​โรงเตี๊ยม​พูด​

“คืน​เดียว​ก็​ไม่ได้​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​วฉิง​พูด​

ผู้ดูแล​โรงเตี๊ยม​ส่ายหน้า​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ทหาร​รับจ้าง​ที่​กลับมา​บอ​กว่า​ดูเหมือน​ทิศทาง​ที่​ไป​ยัง​เมือง​วิเศษ​นั้น​จะเกิดเรื่อง​บางอย่าง​ขึ้น​ สัตว์​อสูร​วิเศษ​กลุ่ม​ใหญ๋​จึงมุ่งหน้า​มาทาง​นี้​แทน​ ถ้าหาก​ไม่อยาก​เกิดเรื่อง​ ก็​รอ​อยู่​ที่นี่​ให้​เรื่องราว​ผ่าน​พ้นไป​ก่อน​จะเป็นการ​ดี​ที่สุด​นะ​ขอรับ​”

“ใช่แล้ว​ ข้า​ลืม​เรื่อง​นี้​ไป​ได้​อย่างไร​กัน​” เหยียน​ลู่​ขมวดคิ้ว​

“ทำไม​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ถาม

เหยียน​ลู่​ถอนหายใจ​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “เทือกเขา​หมื่น​อสูร​มัก​เกิด​เหตุการณ์​เช่นนี้​ขึ้น​ทุก​สอง​สามปี​ สัตว์​อสูร​วิเศษ​ทั่ว​ทั้ง​ภูเขา​ต่าง​ก็​หงุดหงิด​กัน​เป็น​อย่างยิ่ง​ ทุกครั้ง​แม้กระทั่ง​เมือง​วิเศษ​ก็​ยัง​ต้อง​เปิด​ค่าย​กล​ป้องกัน​เมือง​ก่อนหน้า​และ​หลังจาก​เหตุการณ์​ราว​หนึ่ง​เดือน​ ดูเหมือนว่า​พวกเรา​คง​ต้อง​รอ​อยู่​ที่นี่​กัน​อีก​หลาย​วัน​แล้ว​ล่ะ​”

“ถูกต้อง​ เช่น​นี้แหละ​ นี่​ก็​ผ่าน​มาครึ่ง​เดือน​ได้​แล้ว​ ยัง​เหลือ​อี​กราว​ครึ่ง​เดือน​ พวก​ท่าน​ก็​อยู่​กัน​ใน​ห้องโถง​ใหญ่​นี้​สัก​ครึ่ง​เดือน​ไม่ดี​หรือ​ขอรับ​” ผู้ดูแล​โรงเตี๊ยม​พูด​ “ปกติ​แล้ว​ใคร​มาก่อน​ก็ได้​ก่อน​ พวกเรา​จะให้​ผู้อื่น​สละ​ห้อง​ให้​ท่าน​ก็​คง​ไม่ดี​นัก​ ถ้าหาก​ห้อง​สอง​ห้อง​ก็​ยัง​พอ​ว่า​ แต่​พวก​ท่าน​มีกัน​หลาย​คน​เช่นนี้​ ข้า​จัดการ​ให้​มิได้​จริงๆ​ ขอรับ​”

“ไม่เป็นไร​หรอก​ ผู้ดูแล​ ช่วย​บอก​พวกเรา​หน่อย​ว่า​ตรงไหน​ที่​มีบริเวณ​กว้างขวาง​พอ​บ้าง​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​

“พวก​ท่าน​จะออก​ไป​อยู่​ข้างนอก​กัน​จริงๆ​ หรือ​ขอรับ​” ผู้ดูแล​โรงเตี๊ยม​เห็น​พวก​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ดื้อดึง​เช่นนี้​ จึงถอนหายใจ​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ออกจาก​ที่นี่​ไป​ไม่ไกล​ จะมีทะเลสาบ​อยู่​แห่ง​หนึ่ง​ พื้นที่​บริเวณ​นั้น​ใช้ได้​เลย​ทีเดียว​ นอกจากนี้​ยังอยู่​ใกล้​ที่นี่​ด้วย​ พอ​ถึงเวลา​หาก​เกิด​อะไร​ขึ้น​มา พวก​ท่าน​ก็​พอ​จะวิ่ง​กลับมา​ได้​ทัน​”

ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​เกิด​ความสงสัย​ขึ้น​มาใน​ใจ จึงเอ่ย​ถามว่า​ “เมือง​วิเศษ​แห่ง​นี้​ได้​เปิด​ใช้ค่าย​กล​ป้องกัน​เมือง​เอาไว้​หมด​แล้ว​ เหตุใด​พวก​เจ้าจึงยัง​ไม่เปิด​ค่าย​กล​ป้องกัน​อัน​ใหญ่​อีก​เล่า​

“เพราะ​สัตว์​อสูร​วิเศษ​เหล่านั้น​มุ่งโจมตีเมือง​วิเศษ​เป็นหลัก​ ดังนั้น​จึงจำเป็นต้อง​เปิด​ค่าย​กล​ป้องกัน​เมือง​อัน​ใหญ่​ แต่​ที่นี่​ได้รับ​ผลกระทบ​น้อยกว่า​ ดังนั้น​ยาม​ปกติ​จึงเปิด​ค่าย​กล​ป้องกัน​ทั่วไป​ รอ​ให้​เกิด​เหตุการณ์​ก่อน​แล้ว​ค่อย​เปิด​ใช้ค่าย​กล​ป้องกัน​อัน​ใหญ่​ก็ได้​” เหยียน​ลู่​พูด​อธิบาย​

“ใช่แล้ว​” ผู้ดูแล​โรงเตี๊ยม​รับคำ​ ก่อน​เอ่ย​ว่า​ “ค่าย​กล​ป้องกัน​อัน​เล็ก​นี้​ไม่กระทบ​ต่อ​การ​เข้าออก​ของ​ผู้คน​ แต่​เมื่อใด​ที่​เปิด​ใช้อัน​ใหญ่​แล้ว​หมู่บ้าน​ก็​จะถูก​ตัดขาด​จาก​โลก​ภายนอก​ มิอาจ​เข้าออก​ได้​”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ถอนหายใจ​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ดูเหมือนว่า​พวกเรา​จะมากัน​ไม่ถูก​เวลา​สินะ​!”

เหยียน​ลู่​หัวเสีย​อยู่​บ้าง​ แล้ว​เอ่ย​อย่าง​ขอโทษ​ว่า​ “ขอโทษ​ด้วย​ เพราะ​ข้า​หา​ของ​ที่​ข้า​ต้องการ​พบ​แล้วจึง​มัวแต่​ดีใจ​จน​ลืม​เรื่องสำคัญ​ไป​เสียได้​ ถ้าหาก​เตือน​พวก​เจ้าตั้งแต่แรก​ พวก​เจ้าคง​ไม่ต้อง​มาที่นี่​แล้ว​ เอาเป็นว่า​พวก​เจ้าทน​อยู่​ที่นี่​กัน​สัก​คืนหนึ่ง​แล้ว​พรุ่งนี้​ค่อย​กลับ​ไป​ที่​เมือง​เล็ก​แล้วกัน​”

“ไม่เป็นไร​ ใน​เมื่อ​มาถึงที่นี่​แล้วก็​ต้อง​ชื่นชม​ทิวทัศน์​อัน​งดงาม​ของ​ที่นี่​สักหน่อย​สิ” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “ระหว่าง​นี้​ทุกคน​จะได้​ฝึก​ประสบการณ์​กัน​ด้วย​”

“อืม​ พวกเรา​ก็​ไม่อยาก​กลับ​ไป​เช่นกัน​” ซือ​หม่า​โย​ว​เล่อ​พูด​

“ใน​เมื่อ​เป็น​เช่นนี้​ ข้า​ก็​จะอยู่​กับ​พวก​เจ้าแล้วกัน​” เหยียน​ลู่​พูด​

“เจ้าจะอยู่​กับ​พวกเรา​อย่างนั้น​หรือ​ เพราะเหตุใด​กัน​” ซือ​หม่า​โย​วฉิง​ถามอย่าง​ประหลาดใจ​

ไม่เพียงแค่​นาง​เท่านั้น​ คน​ตระกูล​ซือ​หม่า​ต่าง​ประหลาดใจ​กัน​ทั้งสิ้น​

“ถ้าหาก​มิใช่เพราะ​ความ​ประมาทเลินเล่อ​ของ​ข้า​ เตือน​พวก​เจ้าตั้งแต่​เนิ่นๆ​ พวก​เจ้าก็​คง​ไม่ต้อง​มาถึงที่นี่​หรอก​” เหยียน​ลู่​พูด​ “นอกจากนี้​ห้อง​สุดท้าย​ยัง​ถูก​ศิษย์​พี่​ห​ลี่​เหมา​ไป​จน​หมด​ ข้า​รู้จัก​เขา​ดี​ ถ้าหาก​ข้า​ไม่อยู่​กับ​พวก​เจ้า พอ​ถึงตอนนั้น​เขา​อาจจะ​ให้​คน​พวก​นั้น​ปิด​ค่าย​กล​ใหญ่​ก็​เป็นได้​”

“คุณหนู​เหยียน​ ความจริง​แล้ว​เจ้าไม่ต้อง​…” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​

“ข้า​ตัดสินใจ​แล้ว​ว่า​จะออก​ไป​พร้อมกัน​กับ​พวก​เจ้า” เหยียน​ลู่​พูด​อย่าง​แน่วแน่​

“เช่นนั้น​…ก็ได้​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​เห็นด้วย​ เธอ​อยาก​จะเข้าใจ​สถานการณ์​ของ​เมือง​วิเศษ​อีก​สักหน่อย​ก่อน​จะไป​ถึงที่นั่น​

“คุณหนู​ขอรับ​” ชายหนุ่ม​คน​หนึ่ง​เดิน​เข้ามา​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ศิษย์​พี่​ห​ลี่​บอ​กว่า​ให้​มาเชิญท่าน​กลับ​ไป​ขอรับ​”

เหยียน​ลู่​มอง​คน​ผู้​นั้น​ปราด​หนึ่ง​แล้ว​พูดว่า​ “เจ้ากลับ​ไป​บอก​ศิษย์​พี่​ห​ลี่​ว่า​ข้า​กับ​สหาย​มาตั้งค่าย​อยู่​ข้างนอก​แล้ว​”

พอ​พูด​จบ​นาง​ก็​ไม่สนใจ​คน​ผู้​นั้น​อีก​ แล้ว​ออกจาก​หมู่บ้าน​ไป​พร้อมกับ​พวก​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​

ตอนที่​ห​ลี่​มู่ได้ข่าว​ว่า​พวกเขา​ไป​ถึงริม​ทะเลสาบ​แล้ว​ เขา​ก็​รีบ​ออก​ไป​อย่าง​โมโห​ แต่กลับ​ถูก​เหยียน​ลู่​ไล่​กลับมา​ด้วย​วาจา​เย็นชา​

เมื่อ​เห็น​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ที่​กาง​กระโจม​ไป​พร้อม​หัวร่อต่อกระซิก​กับ​เหยียน​ลู่​แล้ว​ เพลิง​ริษยา​ใน​ใจเขา​ก็​ลุกโชน​อย่าง​ไร้​ที่​สิ้นสุด​

“ศิษย์​พี่​ห​ลี่​ คน​ตระกูล​น่า​หลาน​มาถึงแล้ว​ขอรับ​” ศิษย์​ตัว​น้อย​คน​หนึ่ง​กระซิบ​ที่​ข้าง​หู​ห​ลี่​มู่

“ข้า​รู้​แล้ว​” ห​ลี่​มู่มอง​พวกเขา​อีก​แวบ​หนึ่ง​ก่อน​จะพา​คน​ของ​ตัวเอง​จากไป​

เจ้าเด็ก​นี่​ จะต้อง​ได้​เห็นดีกัน​แน่​!

“ตระกูล​น่า​หลาน​หรือ​” เหยียน​ลู่​ขมวดคิ้ว​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ตระกูล​น่า​หลาน​ไม่อยู่​ เก็บ​ไว้​ก็​เก็บ​ไว้​สิ ให้​คน​ตระกูล​ซือ​หม่า​ก่อน​เถิด​”

“ไม่ได้​” ห​ลี่​มู่พูด​ “คน​ตระกูล​น่า​หลาน​มาถึงแล้ว​ จะมาถึงที่นี่​ใน​วัน​นี้แหละ​”

“แบ่ง​ห้อง​มาสัก​จำนวน​หนึ่ง​มิได้​เลย​หรือ​” เหยียน​ลู่​เริ่ม​โมโห​ขึ้น​มาเสียแล้ว​

“ศิษย์​น้อง​หญิง​ ข้า​คุย​กับ​คน​ตระกูล​น่า​หลาน​เอาไว้​เรียบร้อย​แล้ว​ พอ​ถึงตอนนั้น​จะมาอธิบาย​ให้​พวกเขา​ฟังก็​มิใช่เรื่อง​ง่าย​เลย​นะ​” ห​ลี่​มู่พูด​

“ท่าน​… ได้​… เช่นนั้น​ที่นี่​ก็​ยก​ให้​ท่าน​ไป​แล้วกัน​ ข้า​จะพา​พวกเขา​ไป​ที่อื่น​” เหยียน​ลู่​พูด​อย่าง​โมโห​

“ศิษย์​น้อง​หญิง​ พวกเขา​ก็​แค่​คน​ที่​เจ้ารู้จัก​ระหว่างทาง​เท่านั้น​ ไม่เห็นจะ​ต้อง​ไป​สนใจ​พวกเขา​เลย​นี่​” ห​ลี่​มู่เอ่ย​อย่าง​ไม่พอใจ​

“พวกเขา​เคย​ช่วย​ข้า​ ข้า​พูด​เอาไว้​แล้ว​ว่า​จะพา​พวกเขา​ไป​เมือง​วิเศษ​ แล้ว​จะทิ้ง​พวกเขา​เอาไว้​กลาง​ทางได้​อย่างไร​กัน​ ใน​เมื่อ​ท่าน​บอ​กว่า​ท่าน​จะรอ​คน​ตระกูล​น่า​หลาน​อยู่​ที่นี่​ เช่นนั้น​ข้า​ก็​จะไป​อยู่​กับ​พวกเขา​แล้วกัน​” เหยียน​ลู่​พูด​จบ​แล้ว​เดิน​จากไป​

“ศิษย์​พี่​หญิง​!”

“ศิษย์​น้อง​หญิง​!”

“คุณหนู​!”

“ศิษย์​พี่​ ศิษย์​พี่​หญิง​นาง​… แล้ว​ตอนนี้​จะทำ​เช่นไร​กัน​ดี​เล่า​” หง​สยาม​อง​ห​ลี่​มู่

ห​ลี่​มู่หัวเราะ​อย่าง​เย็นชา​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “โรงเตี๊ยม​ใน​หมู่บ้าน​ล้วน​เต็ม​หมด​แล้ว​ ศิษย์​น้อง​หญิง​ไป​ก็​เสียเวลา​เปล่า​ พอ​ไม่มีที่พัก​ นาง​ก็​ต้อง​กลับมา​เอง​นั่นแหละ​”

“เช่นนั้น​คน​พวก​นั้น​…” หงส​ยา​พูด​อย่าง​เป็นกังวล​อยู่​บ้าง​

“ไม่ต้อง​ไป​สนใจ​หรอก​ จะตาย​ก็​ให้​ตาย​ไป​!” ห​ลี่​มู่พูด​จบ​ก็​หมุน​กาย​กลับ​ไป​ยัง​โต๊ะ​เมื่อ​ครู่​

เหยียน​ลู่​มาถึงบน​ถนน​แล้วจึง​นึกถึง​พวก​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ขึ้น​มา จึงหันไป​พูด​กับ​พวกเขา​ว่า​ “เมื่อครู่นี้​ต้อง​ขอโทษ​ด้วย​จริงๆ​ นะ​ ศิษย์​พี่​ห​ลี่​เป็น​เช่นนี้​อยู่​เสมอ​ ข้า​จะพา​พวก​เจ้าไป​ยัง​โรงเตี๊ยม​อื่น​แทน​แล้วกัน​”

ใน​เมื่อ​นาง​พูด​เช่นนี้​แล้ว​ พวกเขา​จึงมิได้​พูด​อะไร​ เพียงแค่​เดินตาม​นาง​ไป​เท่านั้น​

“ศิษย์​พี่​ผู้​นั้น​ของ​เจ้าร้ายกาจ​มาก​เลย​หรือ​” เจ้าอ้วน​ชวี​ถาม

“พรสวรรค์​ค่อนข้าง​ดี​ จึงได้รับ​ความชอบพอ​จาก​ท่าน​พ่อ​ข้า​เป็นอย่างมาก​เลย​ล่ะ​” เหยียน​ลู่​พูด​ “แต่​ข้า​ไม่ชอบ​เขา​เอา​เสีย​เลย​ ไม่เคยชิน​กับ​ท่าทาง​หยิ่งยโส​ของ​เขา​น่ะ​”

“เจ้ามิได้​เป็น​คุณหนู​หรอก​หรือ​” เมื่อ​ครู่​เสี่ยว​เอ้อร์​เรียก​นาง​เช่นนี้​

“ต่อให้​ข้า​เป็น​คุณหนู​ แต่​พรสวรรค์​ไม่เท่า​เขา​ ใน​สายตา​ของ​ผู้อื่น​ เขา​จึงมีความสำคัญ​มากกว่า​ข้า​” เหยียน​ลู่​พูด​ “เอาละ​ อย่า​พูดถึง​เขา​อีก​เลย​ พวกเรา​ไปดู​โรงเตี๊ยม​อื่นๆ​ กัน​ดีกว่า​นะ​”

น่าเสียดาย​ที่​พวกเขา​เดิน​กัน​จน​สุดถนน​แล้วก็​ยัง​ไม่พบ​โรงเตี๊ยม​ที่​มีห้อง​ว่าง​เลย​

ขณะนี้​ท้องฟ้า​เริ่ม​มืด​แล้ว​ ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​จึงเอ่ย​ว่า​ “ใน​เมื่อ​ไม่มีที่พัก​แล้ว​ เช่นนั้น​พวกเรา​หา​ที่​ตั้งค่าย​พักแรม​กัน​ใน​ภูเขา​มิดีกว่า​หรือ​”

“ไม่ได้​หรอก​ ข้างนอก​อันตราย​เป็น​อย่างยิ่ง​ ต่อให้​พวก​ท่าน​พ่อ​ของ​ข้า​อยู่​ที่นี่​ก็​ยัง​ไม่กล้า​ไป​ตั้งค่าย​พักแรม​ข้างนอก​ตามอำเภอใจ​เลย​” เหยียน​ลู่​ปฏิเสธ​ทันควัน​

“ไม่เป็นไร​หรอก​น่า​ ถึงอย่างไร​ก็​เพียงแค่​คืน​เดียว​เท่านั้น​” ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​พูด​

“อืม​ ข้า​ก็​อยาก​จะไป​ตั้งค่าย​พักแรม​ข้างนอก​มากกว่า​ ไม่อยาก​จะนอน​บน​ถนน​ทั้งคืน​หรอก​นะ​” ซือ​หม่า​โย​วฉิง​พูด​

“คุณหนู​เหยียน​ อย่า​ไป​พัก​ข้างนอก​ตอนนี้​เลย​ขอรับ​!” ผู้ดูแล​โรงเตี๊ยม​พูด​ “ตอนนี้​ข้างนอก​อันตราย​กว่า​เมื่อก่อน​เสีย​อีก​”

“เพราะเหตุใด​หรือ​”

“เหตุผล​ที่​ระยะนี้​หมู่บ้าน​มีคน​มามากมาย​เช่นนี้​ก็​เพราะ​ภายใน​ภูเขา​ด้านนอก​ไม่สงบ​ ทุกคน​ต่าง​มาหลบภัย​กัน​ทั้งสิ้น​ หาก​พวก​ท่าน​ออก​ไป​ตอนนี้​ก็​จะอันตราย​ยิ่งกว่า​เดิม​อีก​นะ​ขอรับ​” ผู้ดูแล​โรงเตี๊ยม​พูด​

“คืน​เดียว​ก็​ไม่ได้​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​วฉิง​พูด​

ผู้ดูแล​โรงเตี๊ยม​ส่ายหน้า​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ทหาร​รับจ้าง​ที่​กลับมา​บอ​กว่า​ดูเหมือน​ทิศทาง​ที่​ไป​ยัง​เมือง​วิเศษ​นั้น​จะเกิดเรื่อง​บางอย่าง​ขึ้น​ สัตว์​อสูร​วิเศษ​กลุ่ม​ใหญ๋​จึงมุ่งหน้า​มาทาง​นี้​แทน​ ถ้าหาก​ไม่อยาก​เกิดเรื่อง​ ก็​รอ​อยู่​ที่นี่​ให้​เรื่องราว​ผ่าน​พ้นไป​ก่อน​จะเป็นการ​ดี​ที่สุด​นะ​ขอรับ​”

“ใช่แล้ว​ ข้า​ลืม​เรื่อง​นี้​ไป​ได้​อย่างไร​กัน​” เหยียน​ลู่​ขมวดคิ้ว​

“ทำไม​หรือ​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ถาม

เหยียน​ลู่​ถอนหายใจ​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “เทือกเขา​หมื่น​อสูร​มัก​เกิด​เหตุการณ์​เช่นนี้​ขึ้น​ทุก​สอง​สามปี​ สัตว์​อสูร​วิเศษ​ทั่ว​ทั้ง​ภูเขา​ต่าง​ก็​หงุดหงิด​กัน​เป็น​อย่างยิ่ง​ ทุกครั้ง​แม้กระทั่ง​เมือง​วิเศษ​ก็​ยัง​ต้อง​เปิด​ค่าย​กล​ป้องกัน​เมือง​ก่อนหน้า​และ​หลังจาก​เหตุการณ์​ราว​หนึ่ง​เดือน​ ดูเหมือนว่า​พวกเรา​คง​ต้อง​รอ​อยู่​ที่นี่​กัน​อีก​หลาย​วัน​แล้ว​ล่ะ​”

“ถูกต้อง​ เช่น​นี้แหละ​ นี่​ก็​ผ่าน​มาครึ่ง​เดือน​ได้​แล้ว​ ยัง​เหลือ​อี​กราว​ครึ่ง​เดือน​ พวก​ท่าน​ก็​อยู่​กัน​ใน​ห้องโถง​ใหญ่​นี้​สัก​ครึ่ง​เดือน​ไม่ดี​หรือ​ขอรับ​” ผู้ดูแล​โรงเตี๊ยม​พูด​ “ปกติ​แล้ว​ใคร​มาก่อน​ก็ได้​ก่อน​ พวกเรา​จะให้​ผู้อื่น​สละ​ห้อง​ให้​ท่าน​ก็​คง​ไม่ดี​นัก​ ถ้าหาก​ห้อง​สอง​ห้อง​ก็​ยัง​พอ​ว่า​ แต่​พวก​ท่าน​มีกัน​หลาย​คน​เช่นนี้​ ข้า​จัดการ​ให้​มิได้​จริงๆ​ ขอรับ​”

“ไม่เป็นไร​หรอก​ ผู้ดูแล​ ช่วย​บอก​พวกเรา​หน่อย​ว่า​ตรงไหน​ที่​มีบริเวณ​กว้างขวาง​พอ​บ้าง​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​

“พวก​ท่าน​จะออก​ไป​อยู่​ข้างนอก​กัน​จริงๆ​ หรือ​ขอรับ​” ผู้ดูแล​โรงเตี๊ยม​เห็น​พวก​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ดื้อดึง​เช่นนี้​ จึงถอนหายใจ​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ออกจาก​ที่นี่​ไป​ไม่ไกล​ จะมีทะเลสาบ​อยู่​แห่ง​หนึ่ง​ พื้นที่​บริเวณ​นั้น​ใช้ได้​เลย​ทีเดียว​ นอกจากนี้​ยังอยู่​ใกล้​ที่นี่​ด้วย​ พอ​ถึงเวลา​หาก​เกิด​อะไร​ขึ้น​มา พวก​ท่าน​ก็​พอ​จะวิ่ง​กลับมา​ได้​ทัน​”

ซือ​หม่า​โย​ว​หยาง​เกิด​ความสงสัย​ขึ้น​มาใน​ใจ จึงเอ่ย​ถามว่า​ “เมือง​วิเศษ​แห่ง​นี้​ได้​เปิด​ใช้ค่าย​กล​ป้องกัน​เมือง​เอาไว้​หมด​แล้ว​ เหตุใด​พวก​เจ้าจึงยัง​ไม่เปิด​ค่าย​กล​ป้องกัน​อัน​ใหญ่​อีก​เล่า​

“เพราะ​สัตว์​อสูร​วิเศษ​เหล่านั้น​มุ่งโจมตีเมือง​วิเศษ​เป็นหลัก​ ดังนั้น​จึงจำเป็นต้อง​เปิด​ค่าย​กล​ป้องกัน​เมือง​อัน​ใหญ่​ แต่​ที่นี่​ได้รับ​ผลกระทบ​น้อยกว่า​ ดังนั้น​ยาม​ปกติ​จึงเปิด​ค่าย​กล​ป้องกัน​ทั่วไป​ รอ​ให้​เกิด​เหตุการณ์​ก่อน​แล้ว​ค่อย​เปิด​ใช้ค่าย​กล​ป้องกัน​อัน​ใหญ่​ก็ได้​” เหยียน​ลู่​พูด​อธิบาย​

“ใช่แล้ว​” ผู้ดูแล​โรงเตี๊ยม​รับคำ​ ก่อน​เอ่ย​ว่า​ “ค่าย​กล​ป้องกัน​อัน​เล็ก​นี้​ไม่กระทบ​ต่อ​การ​เข้าออก​ของ​ผู้คน​ แต่​เมื่อใด​ที่​เปิด​ใช้อัน​ใหญ่​แล้ว​หมู่บ้าน​ก็​จะถูก​ตัดขาด​จาก​โลก​ภายนอก​ มิอาจ​เข้าออก​ได้​”

ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ถอนหายใจ​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ดูเหมือนว่า​พวกเรา​จะมากัน​ไม่ถูก​เวลา​สินะ​!”

เหยียน​ลู่​หัวเสีย​อยู่​บ้าง​ แล้ว​เอ่ย​อย่าง​ขอโทษ​ว่า​ “ขอโทษ​ด้วย​ เพราะ​ข้า​หา​ของ​ที่​ข้า​ต้องการ​พบ​แล้วจึง​มัวแต่​ดีใจ​จน​ลืม​เรื่องสำคัญ​ไป​เสียได้​ ถ้าหาก​เตือน​พวก​เจ้าตั้งแต่แรก​ พวก​เจ้าคง​ไม่ต้อง​มาที่นี่​แล้ว​ เอาเป็นว่า​พวก​เจ้าทน​อยู่​ที่นี่​กัน​สัก​คืนหนึ่ง​แล้ว​พรุ่งนี้​ค่อย​กลับ​ไป​ที่​เมือง​เล็ก​แล้วกัน​”

“ไม่เป็นไร​ ใน​เมื่อ​มาถึงที่นี่​แล้วก็​ต้อง​ชื่นชม​ทิวทัศน์​อัน​งดงาม​ของ​ที่นี่​สักหน่อย​สิ” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​ “ระหว่าง​นี้​ทุกคน​จะได้​ฝึก​ประสบการณ์​กัน​ด้วย​”

“อืม​ พวกเรา​ก็​ไม่อยาก​กลับ​ไป​เช่นกัน​” ซือ​หม่า​โย​ว​เล่อ​พูด​

“ใน​เมื่อ​เป็น​เช่นนี้​ ข้า​ก็​จะอยู่​กับ​พวก​เจ้าแล้วกัน​” เหยียน​ลู่​พูด​

“เจ้าจะอยู่​กับ​พวกเรา​อย่างนั้น​หรือ​ เพราะเหตุใด​กัน​” ซือ​หม่า​โย​วฉิง​ถามอย่าง​ประหลาดใจ​

ไม่เพียงแค่​นาง​เท่านั้น​ คน​ตระกูล​ซือ​หม่า​ต่าง​ประหลาดใจ​กัน​ทั้งสิ้น​

“ถ้าหาก​มิใช่เพราะ​ความ​ประมาทเลินเล่อ​ของ​ข้า​ เตือน​พวก​เจ้าตั้งแต่​เนิ่นๆ​ พวก​เจ้าก็​คง​ไม่ต้อง​มาถึงที่นี่​หรอก​” เหยียน​ลู่​พูด​ “นอกจากนี้​ห้อง​สุดท้าย​ยัง​ถูก​ศิษย์​พี่​ห​ลี่​เหมา​ไป​จน​หมด​ ข้า​รู้จัก​เขา​ดี​ ถ้าหาก​ข้า​ไม่อยู่​กับ​พวก​เจ้า พอ​ถึงตอนนั้น​เขา​อาจจะ​ให้​คน​พวก​นั้น​ปิด​ค่าย​กล​ใหญ่​ก็​เป็นได้​”

“คุณหนู​เหยียน​ ความจริง​แล้ว​เจ้าไม่ต้อง​…” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​พูด​

“ข้า​ตัดสินใจ​แล้ว​ว่า​จะออก​ไป​พร้อมกัน​กับ​พวก​เจ้า” เหยียน​ลู่​พูด​อย่าง​แน่วแน่​

“เช่นนั้น​…ก็ได้​” ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​เห็นด้วย​ เธอ​อยาก​จะเข้าใจ​สถานการณ์​ของ​เมือง​วิเศษ​อีก​สักหน่อย​ก่อน​จะไป​ถึงที่นั่น​

“คุณหนู​ขอรับ​” ชายหนุ่ม​คน​หนึ่ง​เดิน​เข้ามา​แล้ว​เอ่ย​ว่า​ “ศิษย์​พี่​ห​ลี่​บอ​กว่า​ให้​มาเชิญท่าน​กลับ​ไป​ขอรับ​”

เหยียน​ลู่​มอง​คน​ผู้​นั้น​ปราด​หนึ่ง​แล้ว​พูดว่า​ “เจ้ากลับ​ไป​บอก​ศิษย์​พี่​ห​ลี่​ว่า​ข้า​กับ​สหาย​มาตั้งค่าย​อยู่​ข้างนอก​แล้ว​”

พอ​พูด​จบ​นาง​ก็​ไม่สนใจ​คน​ผู้​นั้น​อีก​ แล้ว​ออกจาก​หมู่บ้าน​ไป​พร้อมกับ​พวก​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​

ตอนที่​ห​ลี่​มู่ได้ข่าว​ว่า​พวกเขา​ไป​ถึงริม​ทะเลสาบ​แล้ว​ เขา​ก็​รีบ​ออก​ไป​อย่าง​โมโห​ แต่กลับ​ถูก​เหยียน​ลู่​ไล่​กลับมา​ด้วย​วาจา​เย็นชา​

เมื่อ​เห็น​ซือ​หม่า​โย​วเย่ว์​ที่​กาง​กระโจม​ไป​พร้อม​หัวร่อต่อกระซิก​กับ​เหยียน​ลู่​แล้ว​ เพลิง​ริษยา​ใน​ใจเขา​ก็​ลุกโชน​อย่าง​ไร้​ที่​สิ้นสุด​

“ศิษย์​พี่​ห​ลี่​ คน​ตระกูล​น่า​หลาน​มาถึงแล้ว​ขอรับ​” ศิษย์​ตัว​น้อย​คน​หนึ่ง​กระซิบ​ที่​ข้าง​หู​ห​ลี่​มู่

“ข้า​รู้​แล้ว​” ห​ลี่​มู่มอง​พวกเขา​อีก​แวบ​หนึ่ง​ก่อน​จะพา​คน​ของ​ตัวเอง​จากไป​

เจ้าเด็ก​นี่​ จะต้อง​ได้​เห็นดีกัน​แน่​!

ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะฮ่าๆ และมิได้ปฏิเสธ

ในตอนที่เธอค้นพบว่าราชาสัตว์อสูรนี้เป็นสัตว์อสูรวิเศษที่มีหัวคิด ก็เกิดความสนใจในตัวมันขึ้นมา นอกจากนี้มันยังเป็นสัตว์อสูรเทพอีกด้วย ฝึกฝนจนสำเร็จเป็นสัตว์อสูรเทพภายในสถานที่อันไกลโพ้นและขาดแคลนพลังวิญญาณเช่นนี้ได้ก็แสดงว่ามันฝึกฝนได้ค่อนข้างง่าย ไปจากที่นี่แล้วไม่แน่ว่าในภายภาคหน้าอาจจะประสบความสำเร็จมากยิ่งกว่านี้อีก

นอกจากนี้ถ้าหากมีสัตว์อสูรเทพเพิ่มมากขึ้นอีกสักหน่อย เมื่อถึงเวลาที่เธอไปยังตระกูลซือหม่าก็จะมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

“แต่ตอนนี้ข้ายังไม่คิดจะทำพันธสัญญากับมนุษย์หรอกนะ” ราชาสัตว์อสูรพูด “นอกจากนี้ข้ายังมีคนในเผ่าพันธุ์ข้าอยู่อีกด้วย เป็นถึงราชาของพวกเขา ข้าย่อมไม่มีทางทอดทิ้งพวกเขาได้หรอก และเจ้าก็มิอาจทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้มากมายถึงเพียงนั้นหรอกกระมัง”

“อืม เจ้าพูดได้ไม่ผิดเลย ตอนนี้ข้ามิอาจทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้มากนักหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ถ้าหากเจ้าไปกับข้า เช่นนั้นข้าก็พาสมาชิกในเผ่าพันธุ์ของเจ้าไปด้วยได้ พาพวกเจ้าไปดูโลกภายนอกอย่างไรล่ะ”

“เจ้าพาไปได้ทั้งหมดเลยหรือ” ราชาสัตว์อสูรมองซือหม่าโยวเย่ว์ กำลังคิดว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน

“ใช่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจ “เจ้าเป็นราชาสัตว์อสูรได้ก็แสดงว่าพลังยุทธ์ของเจ้าจะต้องสูงส่งยิ่ง เช่นนั้นในภายภาคหน้าเจ้าก็จะต้องไปถึงระดับนั้นก่อนใครในเผ่าพันธุ์ของเจ้า พอถึงตอนที่เจ้าไปแล้ว สมาชิกเผ่าพันธุ์เจ้าจะทำเช่นไรเล่า เจ้าปรารถนาจะแยกจากพวกเขาอย่างนั้นหรือ แต่ถ้าหากเจ้าไปกับข้า ข้าพาสมาชิกเผ่าพันธุ์เจ้าไปด้วยได้ พอถึงเวลาที่ไปยังโลกเบื้องบน ถ้าหากพวกเขาต้องการจะจากไปจริงๆ ข้าจะปล่อยให้พวกเขาจากไปก็ได้”

คำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้ราชาสัตว์อสูรจิตใจหวั่นไหวอยู่บ้าง แต่ละประเด็นที่เธอหยิบยกขึ้นมานั้นล้วนแทงใจดำมันพอดิบพอดี มันไม่อยากติดอยู่ในภูเขาไปตลอดกาล และไม่อยากแยกจากสมาชิกเผ่าพันธุ์ของตนด้วย

“แต่เจ้าทำพันธสัญญากับข้าไม่ได้นี่นา” ราชาสัตว์อสูรพูด “สัตว์อสูรวิเศษที่ไม่เคยฝึกให้เชื่องคงมิอาจทำพันธสัญญาได้กระมัง”

“ใครบอกว่าทำไม่ได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าเป็นนักฝึกสัตว์อสูรพอดีเลย แค่ฝึกให้เชื่องก็ใช้ได้แล้วนี่”

“ข้าเป็นสัตว์อสูรเทพ นักฝึกสัตว์อสูรธรรมดาทั่วไปฝึกข้าให้เชื่องไม่ได้หรอก” ราชาสัตว์อสูรพูด

“เจ้าวิหคน้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกเจ้าวิหคน้อยเสียงหนึ่ง เจ้าวิหคน้อยจึงแสดงพลานุภาพสัตว์อสูรเทพของตนออกมาในทันที

“สัตว์อสูรเทพหรือนี่!” ราชาสัตว์อสูรเพิ่งจะค้นพบว่าเจ้านกน้อยที่ดูไม่สะดุดตาบนบ่าของซือหม่าโยวเย่ว์นั้นเป็นสัตว์อสูรเทพตนหนึ่ง

“ใช่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์เติมเชื้อไฟ “เป็นอย่างไรบ้าง ทีนี้เจ้าเชื่อหรือยังเล่าว่าข้าฝึกเจ้าให้เชื่องได้”

ราชาสัตว์อสูรเงียบงันไปอีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยเงยหน้าขึ้นมาแล้วถามว่า “ถ้าหากข้าติดตามเจ้าไปแล้วเจ้าจะพาสมาชิกเผ่าพันธุ์ข้าไปด้วยได้อย่างไรหรือ”

“ข้ามีสถานที่อยู่แห่งหนึ่งที่ให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ภายในนั้นได้ ข้าพูดได้อย่างมั่นใจเลยว่าสภาพแวดล้อมภายในนั้นดีกว่าที่นี่ตั้งไม่รู้กี่เท่า หากใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นสมาชิกเผ่าพันธุ์เจ้าก็จะเพิ่มพูนพลังยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นอีก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“แล้วข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร”

“ข้าให้สัตย์สาบานได้”

ราชาสัตว์อสูรมองตาซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพบว่านัยน์ตาของเธอไม่มีแววเจ้าเล่ห์อยู่เลย จึงเชื่อในคำพูดของเธอแล้วเอ่ยว่า “เอาละ ข้าจะติดตามเจ้าไปก็ได้ หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”

“เจ้าวางใจเถิด!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดยิ้มๆ

จากนั้นเธอจึงให้เจ้าคำรามน้อยเปิดข่ายมนตร์ใหม่แล้วตนก็ผ่านทะลุเข้าไป ให้เจ้าคำรามน้อยและเจ้าวิหคน้อยคอยคุ้มกัน ในขณะที่ตนเริ่มต้นฝึกราชาสัตว์อสูรให้เชื่อง

“เจ้าผ่อนคลายหน่อย อย่าต้านทานข้าสิ…”

ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกมันไปพร้อมกับปลอบประโลมราชาสัตว์อสูร

พวกเป่ยกงถังประสานสายตากันคราหนึ่ง แต่ละคนล้วนอับจนคำพูดอยู่บ้าง นี่คือสัตว์อสูรเทพจริงๆ หรือ เหตุใดจึงถูกซือหม่าโยวเย่ว์ล่อลวงได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้นเล่า

ความจริงแล้วสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือหลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์ทำพันธสัญญากับเจดีย์วิญญาณแล้ววิญญาณของเธอก็มีแรงดึงดูดต่อผู้อื่นในระดับที่แตกต่างกันไป ขอเพียงแค่เธอต้องการจะใกล้ชิดกับใคร ก็ไม่ต้องพูดถึงความล้มเหลวเลย

แม้กระทั่งโอวหยางเฟยและเป่ยกงถังที่ตอนนั้นล้วนห่างเหินกันเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายก็เดินร่วมทางมาด้วยกันเหมือนกับทุกคน

นอกจากนี้ถึงแม้ว่าคำพูดของเธอจะเรียบง่าย แต่ท่าทีของเธอมีความจริงใจอย่างยิ่ง ทำให้คนเชื่อถือได้อย่างง่ายดาย และคำสัญญาของเธอก็ยังใช้ทักษะในการเจรจาต่อรองจากชาติก่อนอีกด้วย แทงใจดำมันทุกจุด ทำให้มันถูกดึงดูดอย่างมิอาจหักห้ามได้

ถ้าหากวันนี้เปลี่ยนเป็นผู้อื่นก็เกรงว่าคงจะมิได้มีผลลัพธ์เช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงการทำพันธสัญญาเลย ไม่แน่ว่าอาจจะถูกราชาสัตว์อสูรฟาดสลบในฝ่ามือเดียวตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว

แต่พวกเขากลับไม่อิจฉาเธอที่เป็นเช่นนี้เลย

สำหรับความสำเร็จของเธอนั้น สิ่งที่พวกเขาเห็นมากกว่าก็คือความยากลำบากและความเพียรพยายามของเธอ นอกจากนี้สิ่งที่เธอมอบให้และความช่วยเหลือที่เธอหยิบยื่นให้ก็มีมากมายเหลือเกิน

ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้เวลากว่าครึ่งวันในการฝึกราชาสัตว์อสูรให้เชื่อง และเนื่องจากยังต้องไปรับตัวสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเลื่อนเวลาออกไปอีกสองวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลังจากทำพันธสัญญาแล้วราชาสัตว์อสูรก็เลื่อนขึ้นหนึ่งระดับ สำเร็จเป็นสัตว์อสูรเทพขั้นห้า พลังยุทธ์ใกล้เคียงกันกับจ้าววิญญาณขั้นหนึ่ง

“เป็นถึงสัตว์อสูรเทพขั้นสี่เลยทีเดียว มิน่าเล่าการฝึกจึงได้ใช้ระยะเวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้!” เว่ยจือฉีเห็นระดับขั้นของราชาสัตว์อสูรแล้วจึงรำพึงออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“ความสามารถในการฝึกสัตว์อสูรของโยวเย่ว์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ” เป่ยกงถังพูด

“อื้ม พลังจิตอันน่ามหัศจรรย์นั้นของนาง ช่วยไม่ได้นะ ข้าว่าต่อให้ขั้นเทพมาเปรียบเทียบกับนางก็ยังไม่แน่ว่าจะเหนือกว่านางเลยด้วยซ้ำ” เว่ยจือฉีพูดยกย่อง

“พอแล้วน่า เจ้าอย่าเยินยอโยวเย่ว์อีกเลย นางกลายเป็นตัวประหลาดแล้วล่ะ” เจ้าอ้วนชวีหยิบผลไม้ทิพย์ผลหนึ่งออกมากัดสองคำแล้วพูดว่า “เจ้าต้องคิดเช่นนี้สิว่า พลังจิตของพวกเราเมื่อเอาไปเปรียบกับภายนอก ก็ต้องเป็นบุคคลน่ามหัศจรรย์เช่นกัน”

เป่ยกงถังก็พยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างเห็นด้วยว่า “ใช่แล้ว เจ้าลองคิดดูสิว่าสองปีมานี้พลังจิตของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหน ก่อนหน้านี้ยังฝึกให้เชื่องไม่ได้แม้กระทั่งสัตว์อสูรทิพย์ ทว่าตอนนี้ฝึกได้กระทั่งสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสูงแล้วกระมัง เพิ่มขึ้นมาหนึ่งระดับเต็มๆ เลยทีเดียว”

“นี่ต้องขอบคุณวิธีการยกระดับพลังจิตที่โยวเย่ว์สอนพวกเราเลย” เว่ยจือฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์ที่กำลังเลื่อนระดับอย่างซาบซึ้ง

ทุกครั้งที่เห็นระดับขั้นของซือหม่าโยวเย่ว์ พวกเขาล้วนพากันตกตะลึงอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าทุกคนต่างก็ฝึกยุทธ์พร้อมกัน ไปเสาะหาสัตว์อสูรวิเศษมาต่อสู้ด้วยกัน แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ก็พัฒนาได้รวดเร็วกว่าพวกเขาอยู่มากพอสมควร นอกจากนี้การหลอมยาและการฝึกสัตว์อสูรของเธอก็มิได้ด้อยลงเลยแม้แต่น้อย

พวกเขาเลื่อนจากระดับปรมาจารย์วิญญาณไปถึงระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณ จนถึงระดับราชาวิญญาณในตอนนี้ ต่างก็รู้สึกว่าเป็นบุคคลผู้ล้ำเลิศแล้ว แต่เจ้าโยวเย่ว์ผู้นี้เล่า เลื่อนระดับได้รวดเร็วเหมือนดื่มน้ำเลยทีเดียว! ก่อนจะมาที่นี่เป็นระดับปรมาจารย์วิญญาณ ตอนนี้ก็แซงหน้าพวกเขาไปมากมายแล้ว

ถ้าหากพวกเขาได้รู้ว่าเธอสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกลแล้วด้วย คาดว่าคงมิอาจรับได้ไหว

ซือหม่าโยวเย่ว์เคยพูดเอาไว้ว่าตอนนี้เธอก็เหมือนกับฟองน้ำที่จำเป็นต้องดูดซับสิ่งเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง ให้ตนแกร่งกล้าขึ้นมาโดยเร็วที่สุด

ผ่านไปครู่ใหญ่ ลำแสงแห่งการเลื่อนระดับจึงจางหายไป ซือหม่าโยวเย่ว์มองราชาสัตว์อสูรพลางเอ่ยว่า “ตอนนี้พวกเราไปรับสมาชิกเผ่าพันธุ์เจ้ากันดีกว่า”

“คิดไม่ถึงว่าทำพันธสัญญากับท่านแล้วจะยังเลื่อนระดับได้ด้วย ข้าค้างอยู่ที่ระดับสัตว์อสูรเทพขั้นสี่มาเนิ่นนานแล้ว ที่ผ่านมาก็ไม่คืบหน้าเลย” ราชาสัตว์อสูรแปลงกายเป็นร่างจำแลง มาตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์พลางพูดอย่างตื่นเต้น

“สู้เจ้าพวกนี้ไม่ได้หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนเพิ่งเลื่อนระดับ พวกย่ากวงก็ได้รับผลสะท้อนกลับเช่นกัน รอให้ข้าเลื่อนระดับในภายภาคหน้า เจ้าก็จะได้รับผลสะท้อนกลับเช่นกัน พลังยุทธ์ก็จะเพิ่มอย่างรวดเร็วขึ้นอีก”

“ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าการทำพันธสัญญาจะมีประโยชน์เช่นนี้ด้วย!” ราชาสัตว์อสูรพูดอย่างตื่นเต้น “ถ้าหากมีใครในเผ่าพันธุ์อยากทำพันธสัญญากับมนุษย์ พอถึงตอนนั้นก็ให้พวกเขามาให้ท่านฝึกแล้วกันนะ”

“ไม่มีปัญหา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เมื่อฝึกให้เชื่องเธอก็จะได้รับพลังวิญญาณ ซึ่งมีประโยชน์ต่อตัวเธอเองเช่นกัน “ใช่แล้ว เจ้าชื่ออะไร เป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอกใช่หรือไม่”

ราชาสัตว์อสูรส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้ามิใช่จิ้งจอกธรรมดาทั่วไปหรอกนะ…”

ประกายสีฟ้าอ่อนค่อยๆ แผ่ออกไปโดยมีมือของเจ้าคำรามน้อยเป็นจุดศูนย์กลางแล้วก่อรูปร่างเป็นวงกลมสูงพอๆ กับมนุษย์คนหนึ่ง

“เย่ว์เย่ว์ พวกเจ้ารีบผ่านไปเร็วเข้าสิ!” เจ้าคำรามน้อยพูด

“แค่นี้ก็ได้แล้วหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองดูประกายอันงดงามนั้น ข่ายมนตร์ที่กักขังผู้คนในอาณาจักรตงเฉินมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้กลับถูกจัดการไปอย่างง่ายดายเช่นนี้น่ะหรือ

“ไปกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ถึงความสามารถของเจ้าคำรามน้อยเป็นอย่างดี จึงเดินนำทุกคนผ่านกลางประกายนั้นไป

พวกเป่ยกงถังเห็นเช่นนี้จึงเดินตามไปด้วย หลังจากที่พวกเขาผ่านไปกันหมดแล้ว เจ้าคำรามน้อยจึงผละออกจากข่ายมนตร์

“โฮก… เจ้าหมาป่าบ้ากาม จะไปไหนของเจ้าน่ะ!”

เสียงคำรามเสียงหนึ่งดังลอยมาจากหุบเขาไกลออกไป ทำเอาทุกคนตกใจจนตัวลอย

เจ้าคำรามน้อยหันไปมอง แม่เจ้า นี่มิใช่ราชาสัตว์อสูรที่ถูกตนเกี้ยวพานภรรยาเมื่อคราวก่อนหรอกหรือ

“บัดซบ อาณาเขตของเจ้ามิได้อยู่ฝั่งโน้นหรอกหรือ เหตุใดจึงวิ่งมาจนถึงที่นี่ได้เล่า!” เจ้าคำรามน้อยมองเห็นสัตว์อสูรเทพที่วิ่งควบมา จึงหลุดปากสบถออกมา

“ข้าตามหาตัวเจ้ามาหนึ่งปีเต็ม ในที่สุดก็หาตัวเจ้าพบเสียที มาดูกันสิว่าวันนี้เจ้ายังจะหนีไปไหนได้อีก!”ราชาสัตว์อสูรจ้องเจ้าคำรามน้อยเขม็ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

เจ้าคำรามน้อยได้สติกลับคืนมา นึกอยากจะทำท่ายกนิ้วกลางใส่มัน แต่กลับพบว่านิ้วมือของตนนั้นสั้นเกินไป ย่อมมิอาจทำได้อยู่แล้ว

จากนั้นมันจึงหมุนตัวมาส่ายก้นใส่ราชาสัตว์อสูร

“เจ้าเข้ามาสิ มาเลย!”

ราชาสัตว์อสูรถูกท่าทางยั่วยุของเจ้าคำรามน้อยทำเอาโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงเพิ่มความเร็วพุ่งเข้าใส่มัน

มันจะใช้กรงเล็บของมันฉีกเจ้าคำรามน้อยเป็นชิ้นๆ!

เจ้าคำรามน้อยเห็นราชาสัตว์อสูรพุ่งเข้าใส่ตน ร่างกายจึงถอยไปด้านหลังเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงส่ายก้นใส่ราชาสัตว์อสูร

“โฮก… ”

“ฟิ้ว…”

ราชาสัตว์อสูรพุ่งเข้าใส่เจ้าคำรามน้อยอย่างรวดเร็ว เห็นว่าเกือบจะคว้าตัวมันเอาไว้ได้อยู่แล้ว แต่กลับกระแทกเข้ากับบางสิ่งอย่างฉับพลัน นอกจากจะจับตัวมันไม่ได้แล้ว ตนเองยังกระแทกเสียจนมึนงงอีกต่างหาก

“ฮ่าๆ…” เจ้าคำรามน้อยเห็นท่าทางของราชาสัตว์อสูรแล้วก็กุมท้องหัวเราะ “ฮ่าๆ คิดจะจับตัวคุณชายเช่นข้า โซเซเลยหรือไม่เล่า คิดว่าจะจับข้าได้ง่ายเช่นนั้นเลยหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีอวดดีของเจ้าคำรามน้อยแล้วก็อดกุมหน้าผากมิได้

เธอมีสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาเช่นนี้อยู่ได้อย่างไรกัน! มันบอกว่าตอนนั้นเธอหลอกมัน จึงได้ทำพันธสัญญาด้วย นี่เป็นความจริงอย่างนั้นหรือ

เธอสงสัยอย่างแรงเลยทีเดียว!

เธอเดินเข้าไปแล้วเอื้อมมือไปปัดตัวเจ้าคำรามน้อยจนตกลงสู่พื้นแล้วพูดว่า “เจ้ามันช่างไร้สาระนัก! หากยังเป็นเช่นนี้อีก ข้าจะโยนเจ้ากลับไปแล้วนะ!”

เจ้าคำรามน้อยบิดตัวท่าปลาคาร์ฟแล้วบินขึ้นมา ก่อนจะจ้องมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเศร้าสร้อย

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่สนใจมัน แต่พูดกับราชาสัตว์อสูรตรงหน้าว่า “ตอนนั้นสิ่งที่เจ้าคำรามน้อยพูดเป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้น เรื่องราวก็ผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว และพวกเราก็กำลังจะไปจากที่แห่งนี้ด้วย ข้าจะชดเชยให้กับเจ้า แล้วปล่อยผ่านเรื่องนี้เถิดนะ”

ราชาสัตว์อสูรมองซือหม่าโยวเย่ว์โดยไม่เอ่ยวาจา ทำให้เธอคิดว่าราชาสัตว์อสูรไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้

“เจ้าจะให้การชดเชยกับข้าอย่างไร” ผ่านไปเกือบหนึ่งนาที ราชาสัตว์อสูรจึงเปิดปากพูด

“เท่าที่อยู่ในขอบเขตความสามารถ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เรื่องที่เกินกว่าขอบเขตความสามารถของเธอ เธอก็มิอาจรับปากได้อยู่แล้ว

“ข้าก็มิได้อยากได้สิ่งของของเจ้า เพียงแต่ว่ามีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง” ราชาสัตว์อสูรพูด

“เงื่อนไขอันใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“พาข้ากับสมาชิกในเผ่าพันธุ์ข้าออกไป” ราชาสัตว์อสูรพูด

“ออกไปหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองราชาสัตว์อสูรแล้วถามว่า “เจ้าจะไปจากอาณาเขตของเจ้าอย่างนั้นหรือ”

ราชาสัตว์อสูรตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้นก่อนจะสะบัดขนบนร่างแล้วพูดว่า “ข้าค้นพบตั้งนานแล้วว่าที่แห่งนี้ก็คือกรงขังแห่งหนึ่ง นั่นเป็นเพียงแค่อาณาเขตเล็กๆ ภายในกรงใบหนึ่งเท่านั้น มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์กันเล่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์เกิดความสนใจในตัวมันขึ้นมาจึงหย่อนก้นนั่งลงบนพื้นแล้วพูดว่า “ยอดเยี่ยมนัก เจ้ามองออกทั้งหมดเลย! เจ้าค้นพบตั้งแต่เมื่อใดหรือ”

ในขณะนี้แรงดึงดูดของดวงวิญญาณซือหม่าโยวเย่ว์แผ่กระจายออกมา ราชาสัตว์อสูรเห็นเธอนั่งลงพูดจากับตนจึงสนทนากับเธอด้วยเช่นกัน

“พูดเรื่องนี้ไปก็มีแต่น้ำตา!” ราชาสัตว์อสูรพูด “ข้าค้นพบตั้งเนิ่นนานมาแล้ว ตอนนั้นข้ายังมิได้มาถึงระดับสัตว์อสูรเทพเลย และยังมิได้เป็นราชาสัตว์อสูรด้วย มีครั้งหนึ่งถูกสัตว์อสูรวิเศษตนหนึ่งที่ระดับขั้นสูงกว่าข้าตามไล่ล่า ข้าจึงหนีมาจนถึงแถบนี้และได้ค้นพบว่ามิอาจออกไปได้อีกแล้ว สุดท้ายข้าเกือบถูกฆ่าตาย แต่เป็นคนในครอบครัวนั่นเองที่รีบมาช่วยเหลือข้า นับแต่ตอนนั้นมาข้าจึงเริ่มให้ความสนใจกับที่นี่ หลังจากนั้นข้าเดินทางไปยังสถานที่มากมาย และค้นพบว่ามีสิ่งกีดขวางชั้นนั้นอยู่ตลอด”

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่ามันก็เป็นสัตว์อสูรวิเศษที่ทรงปัญญาอีกตนหนึ่ง จึงพูดว่า “วันนี้เจ้าก็มาดูข่ายมนตร์เช่นกันสินะ”

“ข่ายมนตร์หรือ” ราชาสัตว์อสูรสะดุ้งคราหนึ่งแล้วถามขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าคำรามน้อยบอกว่าที่นี่คือข่ายมนตร์ที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเองตามธรรมชาติแล้วห่อหุ้มอาณาจักรตงเฉินเอาไว้ภายในพอดิบพอดี พวกเราออกไปไม่ได้ก็เพราะถูกข่ายมนตร์กักขังเอาไว้ เอ๊ะ ไม่ถูกต้องสิ!”

“อะไรไม่ถูกต้องหรือ” ราชาสัตว์อสูรเห็นซือหม่าโยวเย่ว์สงสัย ไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรไปเสียแล้ว

“มิได้บอกว่าหากไปถึงระดับราชันวิญญาณก็จะออกไปได้แล้วหรอกหรือ พลังยุทธ์ของสัตว์อสูรเทพขั้นหนึ่งก็เทียบได้กับระดับราชันวิญญาณแล้วมิใช่หรือ เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าจึงออกไปมิได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกไป

พวกเว่ยจือฉีได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงนึกถึงปัญหาข้อนี้ขึ้นมาได้ เกิดความไม่เข้าใจอย่างยิ่งกับสถานการณ์ที่สัตว์อสูรเทพมิอาจออกไปได้

ราชาสัตว์อสูรส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ข้าเคยเห็นราชันวิญญาณออกไป แต่ตอนที่ข้าไปทดลองดูนั้นกลับพบว่าพลังของข้าไม่มีผลต่อสิ่งนี้เลยแม้แต่น้อย มิฉะนั้นข้าก็คงออกไปเองนานแล้วล่ะ คงไม่ต้องให้เจ้ามาช่วยข้าหรอก”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองราชาสัตว์อสูรแล้วเกิดความสะเทือนใจ สัตว์อสูรวิเศษมากมายเพียงใดที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แต่ผู้ที่ค้นพบเรื่องนี้กลับมีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น ส่วนผู้ที่คิดอยากออกไปนั้นเกรงว่าจะมีแค่พวกเขาไม่กี่คนตรงหน้าเธอนี้เท่านั้นเอง

ไม่พูดไม่ได้ว่ามันเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่มีหัวคิดตนหนึ่งอย่างแท้จริง!

นัยน์ตาเธอกลอกไปมาเหมือนเวลาที่เจ้าคำรามน้อยคิดจะล่อลวงผู้อื่นไม่มีผิด เธอหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้ารู้แล้วล่ะ เจ้าอยากจะออกไป ไม่อยากถูกกักขังอยู่ที่นี่ แสดงว่าเจ้าเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่มีความทะเยอทะยาน แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าต่อให้เจ้าออกไปจากที่นี่ โลกภายนอกก็ยังไม่สูงที่สุดอยู่ดี เจ้าก็ได้แต่เตร็ดเตร่อยู่ภายในภูเขาแห่งนี้ ย่อมมิอาจได้รู้เห็นโลกที่เจ้าใฝ่ฝันถึงหรอก”

“ด้านนอกมิใช่หรือ” ราชาสัตว์อสูรสับสนเสียแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ที่นี่คือดินแดนอี้หลิน แต่ที่นี่เป็นเพียงแค่สถานที่ที่ปรมาจารย์วิญญาณทั่วไปใช้ชีวิตอยู่เท่านั้น หลังจากปรมาจารย์วิญญาณไปถึงระดับเทพแล้วก็จะไปยังดินแดนระดับขั้นสูงกว่าได้ เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับดินแดนโบราณหรือไม่”

ราชาสัตว์อสูรส่ายหน้า มันเคยสัมผัสมนุษย์น้อยครั้งนัก ย่อมไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการกระจายตัวของดินแดนเลย

“ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ ดินแดนโบราณมีระดับขั้นสูงส่งกว่าดินแดนอี้หลินมากมายนัก อาจารย์ของข้าเคยบอกข้าว่าหากไปไม่ถึงระดับเทพก็มิอาจไปยังฝั่งนั้นได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ดังนั้นข้าคิดว่าทางฝั่งนั้นจะต้องมหัศจรรย์กว่าโลกฝั่งนี้อย่างแน่นอน น่าเสียดาย… อ๊ะ…”

“เสียดายอะไรหรือ” ราชาสัตว์อสูรถาม

“ข้าเสียดายแทนเจ้าต่างหากเล่า!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าอยากไปดูโลกภายนอกมากขนาดนั้น แต่ออกไปแล้วก็ได้แต่เตร็ดเตร่อยู่ภายในภูเขาแห่งนี้เท่านั้น แล้วการออกไปจะมีความหมายอะไรกันเล่า”

ราชาสัตว์อสูรนิ่งงันไปคล้ายกับกำลังคิดใคร่ครวญคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์

“ความจริงแล้วสถานที่ที่มหัศจรรย์ที่สุดย่อมมิใช่ภายในภูเขาอยู่แล้ว หากแต่เป็นสถานที่ที่มีผู้คน การพบเจอผู้คนที่แตกต่างกัน ได้ทำเรื่องแปลกใหม่ เห็นวิวทิวทัศน์อันแปลกตา แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าจะไปข้างนอกเพื่ออยู่แต่ในภูเขาทำไมกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ใส่สีตีไข่

ราชาสัตว์อสูรเงยหน้าขึ้นมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “ความจริงแล้วเจ้าอยากจะชวนข้าไปกับเจ้าด้วยใช่หรือไม่”

คราวนี้ซือหม่าโยวเย่ว์เลือกที่จะมองดูพวกพ่อบ้านจากไป

เมื่อนึกถึงสีหน้าตัดใจไม่ได้ของพ่อบ้านก่อนที่จะจากไป เธอจึงแอบให้สัตย์สาบานในใจว่าในภายหน้าจะต้องพาพวกเขาออกไปจากสถานที่แห่งนี้ ไปยังโลกภายนอกอันกว้างใหญ่ให้จงได้

เธอเรียกพวกเว่ยจือฉีออกมา ทุกคนเห็นแววเศร้าโศกในดวงตาของเธอแล้วจึงพากันตบบ่าเธอแล้วพูดว่า “จากกันคราวนี้เพื่อกลับมาพบกันในภายหน้า”

“ข้าเข้าใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเจ้าอยากจะกลับไปกันสักระยะหนึ่งหรือไม่ ถ้าหากพวกเจ้าอยากกลับไป พวกเราก็จะรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่ก่อน”

เจ้าอ้วนชวีมองเว่ยจือฉีปราดหนึ่ง ทั้งสองคนต่างพยักหน้าก่อนจะพูดว่า “จากไปคราวนี้ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด จะกลับมาได้หรือไม่ ข้าอยากกลับไปบอกลาท่านพ่อท่านแม่ก่อน โยวเย่ว์ เจ้าอยากกลับไปหรือไม่”

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้า “ข้าบอกลาท่านพ่อบ้านไปเรียบร้อยแล้ว ข้ากับเป่ยกงและโอวหยางจะรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่แหละ ถ้าหากพวกเจ้าจะไม่มา ก็ให้คนส่งจดหมายมาบอกแล้วกัน”

“พวกเราจะกลับมาอย่างแน่นอน พวกเจ้ารอพวกเราแค่ไม่กี่วันเท่านั้น” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างแน่วแน่

“อื้ม ไปเถิด อีกสิบวันให้หลังพวกเรามาพบกันที่นี่นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือให้พวกเขา

เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีเรียกสัตว์อสูรวิเศษของตนออกมาขี่จากไป เพียงไม่นานก็หายลับไปจากสายตาของพวกเขา

“สิบวันนี้พวกเราจะทำอะไรกันดีเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเมืองที่อยู่ไกลออกไปแล้วพูดว่า “อยากจะไปผ่อนคลายในเมืองสักหน่อยหรือไม่”

เป่ยกงถังส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไปฝึกยุทธ์ภายในเจดีย์วิญญาณสักเดือนหนึ่งดีกว่า”

“ข้าก็ด้วย” โอวหยางเฟยพูด

“เช่นนั้นก็ได้” ทั้งสามคนเดินเข้าไปภายในภูเขา หลังจากแน่ใจแล้วว่าบริเวณรอบๆ ไม่มีคน เธอจึงนำคนทั้งสองเข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณ

ระยะเวลาหนึ่งปี นอกจากเวลาที่ไปต่อสู้กับสัตว์อสูรวิเศษแล้ว พวกเขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ภายในเจดีย์วิญญาณ หากนับดูแล้วก็เป็นเวลาราวๆ สองปีกว่าเลยทีเดียว

ในระยะเวลานี้ ทักษะการหลอมยาของพวกเขาทั้งสามคนก็ก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย เป่ยกงถังสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสาม โอวหยางเฟยสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสอง ส่วนซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกจนหลอมยาวิเศษขั้นสี่ได้แล้ว เอื้อมถึงขั้นห้าได้รางๆ สำเร็จเป็นนักหลอมยาระดับกลางแล้ว

ความก้าวหน้าในการหลอมยาของซือหม่าโยวเย่ว์นั้นเป็นผลจากการชี้แนะในมุมมืดของหมัวซา ส่วนเป่ยกงถังและโอวหยางเฟยนั้นก้าวหน้าเพราะมีเธอคอยชี้แนะ

ตระกูลของเป่ยกงถังเป็นตระกูลนักหลอมยา นางย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าการหลอมยายากลำบากเพียงใด คิดไม่ถึงว่าตนจะสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสามได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ภายใต้การชี้แนะของซือหม่าโยวเย่ว์ นอกจากนี้ขั้นตอนการหลอมยายังเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่งอีกด้วย หากไม่มีคนอธิบายโดยละเอียด คนทั่วไปย่อมศึกษาได้ยากเย็นอย่างยิ่ง

ความจริงแล้วสิ่งที่นางไม่รู้ก็คือโยวเย่ว์เรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจากหมัวซา และเคล็ดการหลอมยาของหมัวซาก็เลื่องลือไปทั่วทั้งสามโลก เรียกว่าเป็นคนแรกที่หลอมยาในสามโลกเลยก็ว่าได้ เคล็ดการหลอมยาของเขาในตอนนั้นทำให้ผู้คนมากมายแห่กันมา แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครศึกษาได้สำเร็จเลย

คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วจะมาตกอยู่กับพวกซือหม่าโยวเย่ว์

ทั้งสามคนอยู่ภายในเจดีย์วิญญาณเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน เวลานอกเหนือจากการฝึกยุทธ์ เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยก็จะหลอมยา ซือหม่าโยวเย่ว์ก็จัดการเวลาของตัวเองอย่างยืดหยุ่น

เวลาที่นัดแนะกันไว้มาถึงอย่างรวดเร็ว เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีมาถึงจุดนัดพบก่อนเวลาเสียอีก

“พวกเจ้ามากันเร็วถึงเพียงนี้เชียว” วิหคยักษ์ตัวหนึ่งบินเข้ามาใกล้ ซือหม่าโยวเย่ว์ที่นั่งอยู่ข้างบนมองพวกเขาสองคนด้านล่าง

“โยวเย่ว์ เหตุใดไม่พบกันสิบวัน เจ้าวิหคน้อยของเจ้าจึงกลายเป็นสัตว์อสูรเทพไปเสียแล้วเล่า” เจ้าอ้วนชวีเห็นวิหคสี่ปีก เขาดีดกายครั้งหนึ่งก็เหินมาถึงบนหลังของเจ้าวิหคน้อย

ราชาวิญญาณ!

มีเพียงบุคคลระดับราชาวิญญาณขึ้นไปเท่านั้นจึงจะเหาะเหินเดินอากาศได้ เจ้าอ้วนชวีเหินขึ้นไปได้ก็แสดงว่าระดับขั้นของเขาในตอนนี้ไปถึงระดับราชาวิญญาณแล้ว

เว่ยจือฉีหัวเราะแล้วดีดร่างขี้นก่อนจะเหินขึ้นไปเช่นกัน

ราชาวิญญาณอีกคนหนึ่งแล้ว!

หนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้พวกเขายังเป็นเพียงแค่ปรมาจารย์วิญญาณขั้นสูงเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าระยะเวลาหนึ่งปี ทั้งสองคนล้วนเป็นระดับขั้นราชาวิญญาณกันหมดแล้ว!

เจ้าคำรามน้อยนั่งลงบนหัวของเจ้าวิหคยักษ์แล้วหันมามองคนทั้งสองพลางเอ่ยว่า “เย่ว์เย่ว์ ในที่สุดวันนี้ก็ได้ทำพันธสัญญากับเจ้าวิหคน้อยแล้ว จากนั้นเขาก็จะเลื่อนระดับกลายเป็นสัตว์อสูรเทพแล้วล่ะ! ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่เลื่อนระดับ แม้กระทั่งย่ากวงก็เลื่อนระดับไปหลายขั้นด้วยเช่นกัน มีเพียงข้าเท่านั้นที่ไม่เลื่อนระดับเลยแม้แต่น้อย ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ”

“เหตุใดเจ้าจึงมิได้เลื่อนระดับเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยพลางเอ่ยถาม

“ข้าเลื่อนระดับแล้วหรือ เหตุใดข้าจึงไม่รู้สึกเลยเล่า” เจ้าคำรามน้อยกะพริบตาปริบๆ แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย

“เจ้าเลื่อนระดับแล้วล่ะ หลายปีมานี้หนังหน้าหนาขึ้นหลายระดับเลยทีเดียว” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อย รู้สึกอัดอั้นตันใจที่เหล็กมิอาจกลายเป็นเหล็กกล้าได้อยู่บ้าง

เจ้าคำรามน้อยจึงค่อยรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์นำตนมาล้อเล่น จึงถลึงตาใส่เธออย่างไม่พอใจแล้วหมุนตัวหันก้นใส่เธอ

“หึๆ”

ทุกครั้งที่พวกเขาเห็นซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าคำรามน้อยปะทะฝีปากกันก็เกิดความรู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูกชนิดหนึ่งขึ้นมา

เจ้าวิหคน้อยบินไปยังทิศทางที่พวกเขาอ้างอิงตามที่โอวหยางเฟยบอก ที่นั่นเคยเป็นทิศทางที่เขาจากมา ว่ากันว่าสัตว์อสูรวิเศษที่นั่นล้วนค่อนข้างอ่อนแออยู่สักหน่อย พวกเขาจึงตัดสินใจออกมาจากสถานที่แห่งนั้น

หลังจากที่เจ้าวิหคน้อยบินมาสี่ห้าวัน ในขณะที่เจ้าอ้วนชวีกำลังคร่ำครวญว่ายังไม่ถึงเสียทีอยู่นั้นเอง เจ้าวิหคน้อยบอกว่าด้านหน้ามีอุปสรรค ไม่อาจเข้าไปใกล้กว่านี้ได้อีกแล้ว

“น่าจะเป็นที่นี่แหละ” โอวหยางเฟยพูด

“เจ้าวิหคน้อย พาพวกเราลงไปที” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ได้เลยเจ้านาย” เจ้าวิหคน้อยกระพือปีกแล้วพาพวกเขาบินลงไป ร่อนลงบนพื้นดิน หลังจากนั้นก็แปลงกายเป็นร่างจำแลงบินมาเกาะบนไหล่ซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูก็พบว่าต้นไม้ที่นี่บางตากว่าที่อื่นๆ อยู่มาก เธอลองเดินตรงไปข้างหน้าก็รู้สึกว่ามีแรงกดดันอันไร้รูปร่างขุมหนึ่งกำลังขัดขวางเธออยู่

เจ้าอ้วนชวีก็รู้สึกถึงแรงกดดันเช่นเดียวกัน เขายื่นมือไปสัมผัสดูก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดอยู่เลย

“ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย แล้วเหตุใดพวกเราจึงออกไปมิได้” เจ้าอ้วนชวีไม่เข้าใจ

“เพราะว่าที่นี่มีข่ายมนตร์อย่างไรเล่า” เจ้าคำรามน้อยบินมาถึงตรงหน้าทุกคน เมื่อเห็นว่าพวกเขาล้วนออกไปไม่ได้กันหมดจึงหัวเราะคิกคักขึ้นมา หลังจากนั้นจึงบินออกไปอย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาตกตะลึงของพวกเจ้าอ้วนชวี

“เฮ้… เจ้าคำรามน้อยออกไปได้อย่างไรกัน ที่นี่ไม่มีข่ายมนตร์อย่างนั้นหรือ” เจ้าอ้วนชวีมาถึงตำแหน่งที่เจ้าคำรามน้อยออกไปแล้วเดินตรงไปข้างหน้า ผลปรากฏว่ายังคงเดินไปมิได้แม้แต่ก้าวเดียว

“นี่มันเรื่องอันใดกัน” เว่ยจือฉีไปทดสอบดูเช่นกัน ยังคงไม่ได้อยู่ดี เจ้าคำรามน้อยหัวเราะพอแล้วจึงกลับมาอย่างนุ่มนวล

“พวกเจ้าอย่าไปบ้าจี้ตามเจ้าคำรามน้อยเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “มันไม่รู้ว่าตรงไหนโครงสร้างไม่ถูกต้อง จึงมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติต่อข่ายมนตร์เหล่านี้ ดังนั้นข่ายมนตร์นี่ย่อมมิอาจกักขังมันเอาไว้ได้อยู่แล้ว”

“โอ้… ยอดเยี่ยมนัก! ข้าได้ยินโอวหยางบอกว่าคนข้างนอกเหล่านั้นล้วนชอบใช้ข่ายมนตร์มาปกป้องขุมทรัพย์ เจ้าคำรามน้อยมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติต่อข่ายมนตร์ เช่นนั้นก็มิได้เป็นอาวุธที่ขาดมิได้ในการลักขโมยทรัพย์สินหรอกหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองเจ้าคำรามน้อยด้วยสายตาเปล่งประกาย

“ดีเลย ดีเลย ข้าชอบ!” เจ้าคำรามน้อยตบสองขาสั้นป้อมเข้าด้วยกันพลางเอ่ยอย่างเห็นด้วย

ซือหม่าโยวเย่ว์ตบศีรษะเจ้าอ้วนชวีครั้งหนึ่งก่อนจะดึงตัวเจ้าคำรามน้อยเข้ามาแล้วหิ้วใบหูยาวของมันพลางเอ่ยว่า “ถ้าหากเจ้ายังไม่ยอมเปิดข่ายมนตร์ให้พวกเราอีก จากนี้ไปข้าจะให้เจ้าไปติดตามเจ้าอ้วนแล้วนะ”

“อือๆ ข้ารู้แล้วน่า!” เจ้าคำรามน้อยดิ้นรนอยู่หลายครั้ง ซือหม่าโยวเย่ว์จึงปล่อยตัวมัน มันลูบหูของตัวเองแล้วจึงมายังเบื้องหน้าข่ายมนตร์ก่อนจะยื่นขาเล็กสั้นป้อมมาสัมผัสข่ายมนตร์

มันหลับตาตั้งสมาธิ บริเวณที่ขาของมันสัมผัสกับข่ายมนตร์ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อน…

“ขอเพียงแค่อยากศึกษา ก็ย่อมมีเวลาอยู่แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ผู้ยิ่งใหญ่เคยพูดเอาไว้มิใช่หรือว่าเวลาก็เหมือนกับน้ำในฟองน้ำ ขอเพียงแค่บีบมัน ก็ย่อมมีอยู่เสมอนั่นแหละ”

เป่ยกงถังยังคงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าจำเป็นต้องใช้เวลาในการฝึกยุทธ์เพิ่มมากขึ้น เพราะข้าไม่มีเวลามากมายถึงเพียงนั้นอีกแล้ว”

“เพราะคนในครอบครัวของเจ้าใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“อื้ม ข้าเคยบอกเอาไว้ว่าจะไปช่วยพวกเขา แต่ตอนนี้ข้ากลับมิอาจไปได้ ข้าจะต้องไปถึงระดับเทพโดยเร็วที่สุดจึงจะมีคุณสมบัติพอให้ไปช่วยเหลือพวกเขาได้” เป่ยกงถังพูด “ดังนั้นเป้าหมายของข้าจึงมิใช่แค่การออกไปจากเทือกเขาแห่งนี้เท่านั้น”

เมื่อเห็นความอดกลั้นบนใบหน้าเป่ยกงถัง ทุกคนจึงพากันลำบากใจแทนนาง เจ้าอ้วนชวีพูดว่า “เป่ยกง เจ้าจะไปช่วยใครหรือ”

“ท่านแม่กับน้องชายของข้า”

“แล้วท่านพ่อของเจ้าเล่า”

“อย่าเอ่ยถึงเจ้าเดนมนุษย์นั่นให้ข้าได้ยินเชียว!” เป่ยกงถังเดือดดาลขึ้นมาในทันใด น้ำเสียงก็ย่ำแย่อยู่บ้าง “ขอโทษด้วย ข้าไม่ควร…”

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปดึงมือเธอเอาไว้แล้วพูดว่า “เป่ยกง เจ้าเล่าเรื่องราวของเจ้าให้พวกเราฟังได้หรือไม่”

“อันที่จริงเรื่องของข้าไม่มีอะไรซับซ้อนหรอก เพียงแค่ได้เจอกับพ่อที่เป็นกากเดนมนุษย์ ไปชอบพอหญิงอื่นเข้า แล้วหญิงสาวผู้นั้นก็ให้กำเนิดบุตรสาว หลังจากนั้นจึงร่วมมือกันรังแกท่านแม่และน้องชายข้า เพราะเหตุผลเหล่านี้ทำให้ข้าถูกขับไล่ออกมา แล้วต่อมาก็หนีมาถึงอาณาจักรตงเฉิน ก็แค่นี้เอง” เป่ยกงถังเล่าเรื่องราวของตนจบภายในไม่กี่ประโยค แต่พวกเขากลับมองออกถึงความยากลำบากมากมายที่นางได้รับ

“ท่านแม่กับน้องชายเจ้ายังอยู่ในตระกูลหรือ” โอวหยางเฟยขมวดคิ้วถาม

เป่ยกงถังพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ตระกูลของพวกเราเป็นตระกูลนักหลอมยา แต่พวกเขามิให้ข้ากับน้องชายข้าหลอมยาเลย ระดับขั้นการหลอมยาของท่านแม่ข้าก็ไม่เลวนัก แต่พลังยุทธ์ไม่แข็งแกร่ง พวกเขากักขังน้องชายข้ากับท่านแม่ข้าเอาไว้ ให้ท่านแม่ข้าหลอมยาให้กับพวกเขา ภายหลังข้าหนีออกมา ข้าได้บอกกับพวกน้องชายของข้าเอาไว้ว่าข้าจะต้องกลับไปช่วยพวกเขาให้จงได้”

เป่ยกงถังนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ขึ้นมา มือก็กำเป็นหมัดแน่น

“เป่ยกง เจ้าวางใจเถิด ท่านป้ากับน้องชายจะต้องไม่เป็นไรแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยปลอบ “แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เจ้าก็ศึกษาการหลอมยาได้นะ”

“โยวเย่ว์ ขอบคุณความหวังดีของเจ้ามาก แต่ข้าอยากทุ่มเทเวลาและความคิดจิตใจไปกับการฝึกยุทธ์มากกว่าน่ะ” เป่ยกงถังพูด

“ข้าให้เวลาเจ้าเพิ่มได้นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ให้เวลาข้าเพิ่มหรือ”

ไม่เพียงแค่เป่ยกงถังเท่านั้น คนอื่นๆ ต่างก็พากันสงสัยเช่นกัน

“พวกเจ้าเพิ่งจะเข้ามา บางทีอาจจะมิได้สังเกตว่าการเคลื่อนตัวของเวลาที่นี่ไม่เหมือนกับข้างนอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้างนอกหนึ่งวัน เท่ากับสามวันของที่นี่”

“สามวัน!” ทั้งสี่คนร้องอุทานขึ้นมาพร้อมกัน

“ใช่แล้ว นอกจากนี้เจดีย์วิญญาณยังขจัดร่องรอยของเวลาได้อีกด้วย พวกเราอยู่ที่นี่ก็มิได้แก่เร็วไปกว่าข้างนอก เพียงแค่เวลาหนึ่งวันกลายเป็นสามวันเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอธิบาย

“น่าตกใจยิ่งนัก โยวเย่ว์ เจ้าโกงอาวุธเทพนี่นา!” เจ้าอ้วนชวีกุมหน้าอกของตัวเอง รู้สึกคล้ายว่ามิอาจหายใจได้แล้ว

“ฝึกยุทธ์ที่นี่สามวันเท่ากับวันหนึ่งข้างนอก ปราณวิญญาณยังดีกว่าข้างนอกเป็นอย่างมากอีกด้วย หากฝึกยุทธ์แล้วคงจะมิได้เพิ่มความเร็วแค่เท่าตัวเดียวแน่” โอวหยางเฟยพูด

“มิน่าเล่าเจ้าจึงน่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้!” เจ้าอ้วนชวีพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้ที่นี่ก็มิได้มีคุณสมบัติอันใด ต่อมาเจ้าวิญญาณน้อยยกระดับแล้วจึงมีขึ้นมา แต่ตอนนั้นพวกเราก็มาอยู่ภายในภูเขากันแล้ว ดังนั้นจึงมิได้เข้ามาบ่อยสักเท่าใดนัก”

“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าการฝึกยุทธ์ของเจ้าก่อนหน้านี้ก็เหมือนพวกเราอย่างนั้นหรือ” เว่ยจือฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าคนผู้นี้มีเวลาเท่ากันกับพวกเขา แต่กลับพุ่งสูงขึ้นเร็วกว่าพวกเขา นี่ช่างโจมตีพวกเขามากเกินไปแล้ว

ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีการยกระดับ เธอก็พัฒนาขึ้นอย่างน่าพิศวงแล้ว ตอนนี้มีคุณสมบัตินี้อีก พวกเขาจินตนาการได้เลยว่าในภายหน้าเธอจะกระตุ้นพวกเขาอย่างไรได้บ้าง

“ยามปกติพวกเราฝึกฝนกับสัตว์อสูรวิเศษอยู่ข้างนอก เวลาอื่นๆ พวกเราก็มาอยู่ข้างในนี้ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เช่นนี้เป่ยกงก็ศึกษาการหลอมยาได้แล้ว”

“อื้ม” เป่ยกงถังพยักหน้าอย่างแรงพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์ ระงับความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ในใจ

“ในเมื่อมันยอดเยี่ยมเช่นนี้ โยวเย่ว์ ข้าอยากศึกษาการหลอมวัตถุบ้างจะได้หรือไม่” เจ้าอ้วนชวีถาม

“ได้สิ การหลอมวัตถุนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับผู้เชี่ยวชาญแขนงอื่นๆ แล้วมีเงื่อนไขด้านกำลังกายมากกว่าอยู่พอสมควร เจ้าศึกษาการหลอมกายแล้ว ถ้าหากศึกษาการหลอมวัตถุด้วยก็ไม่เลวเลยนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้าอ้วน ด้วยอุปนิสัยไม่จริงจังของเจ้า จะหลอมได้สำเร็จหรือ” เว่ยจือฉีพูดยิ้มๆ

“ไม่แน่ว่าข้าอาจจะศึกษาสำเร็จก็ได้นะ!” เจ้าอ้วนชวีพูด

“เจ้าวิญญาณน้อย ที่นี่ยังมีเตาหลอมวัตถุอยู่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“มีสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ถึงอย่างไรของก็อยู่ในคลังเก็บวัตถุทั้งหมด พวกเจ้าไปหากันเอาเองเถิด”

“เอาล่ะ อีกประเดี๋ยวข้าจะพาพวกเจ้าไปลองหาดูก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าจำได้ว่ายังมีเตาหลอมยาอยู่อีกสองเตา ไปหาออกมาพร้อมกันเลยดีกว่า”

“ดีมาก!” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างตื่นเต้น

ซือหม่าโยวเย่ว์มองโอวหยางเฟยพลางถามว่า “โอวหยาง เจ้าอยากศึกษาหรือไม่”

“ข้ามิได้มีกำลังกายมากเหมือนเจ้าอ้วน ดังนั้นข้าศึกษาการหลอมยาดีกว่า” โอวหยางเฟยไม่ลืมกัดเจ้าอ้วนชวีประโยคหนึ่ง

“ข้าเลือกฝึกสัตว์อสูรดีกว่า” เว่ยจือฉีพูด “ข้าเห็นที่นี่มีตำราการฝึกสัตว์อสูรไม่น้อยเลย ข้าอ่านตำราพวกนั้นก็พอแล้วล่ะ”

“ถึงอย่างไรที่นี่ก็มีของอยู่มากมาย หากศึกษาสิ่งหนึ่งมิได้ก็ยังศึกษาศาสตร์อื่นๆ ได้อยู่นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“อื้มๆ”

หลังจากนั้นซือหม่าโยวเย่ว์ก็พาพวกเขาไปยังคลังเก็บวัตถุแล้วหาเตาหลอมยาออกมาสองอัน กับเตาหลอมวัตถุหนึ่งอัน จากนั้นก็ให้พวกเขาเลือกห้องของตัวเองแล้วแยกย้ายกันไปศึกษา ส่วนตัวเองก็กลับห้องไปฝึกยุทธ์เช่นกัน

เจ้าอ้วนชวีดึงตัวเว่ยจือฉีแล้ววนไปรอบๆ หลังจากนั้นจึงกลับห้องไปศึกษาการหลอมวัตถุ

หนึ่งวันให้หลัง ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูก็เห็นว่าสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นยังคงเฝ้าอยู่ที่นั่น คงกำลังคิดว่าพวกเขาอาจจะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างฉับพลันกระมัง

แต่ทุกคนต่างก็มิได้รีบร้อน ฝึกยุทธ์กันไป ศึกษากันไป อยากพักผ่อนก็แค่เดินไปรอบๆ ยังไม่ต้องเป็นกังวลว่าจู่ๆ จะมีสัตว์อสูรวิเศษปรากฏตัวขึ้นมาหรือไม่ ผ่านวันเวลาไปอย่างสบายๆ

จะว่าไปตั้งแต่ทุกคนมาที่เทือกเขาสั่วเฟยย่า ก็ไม่เคยผ่อนคลายถึงเพียงนี้มาก่อนเลย

เวลาภายนอกผ่านไปสองวัน สัตว์อสูรเทพเหล่านั้นจึงจากไป พวกซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยออกมาใหม่

บางทีอาจเป็นเพราะดูดซับปราณวิญญาณภายในนั้นไปไม่น้อย หรืออาจเป็นเพราะร่างกายที่แข็งตึงมาโดยตลอดได้รับการผ่อนคลาย หลังจากพวกเขาทั้งห้าคนออกมาจากเจดีย์วิญญาณแล้วจึงทยอยกันบรรลุอีกหนึ่งระดับ ทำให้พวกเจ้าอ้วนชวีต้องอุทานกับความยอดเยี่ยม

วันเวลาต่อมา พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องหาสถานที่พักผ่อนอีกต่อไปแล้ว ทุกครั้งมักจะหาสัตว์อสูรวิเศษภายนอกเป็นคู่ต่อสู้ หลังจากนั้นก็กลับเข้าไปพักผ่อนภายในเจดีย์วิญญาณ

เวลาที่มีการจัดการเป็นอย่างดีมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ พวกซือหม่าโยวเย่ว์ผ่านเวลาหนึ่งปีไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ซือหม่าโยวเย่ว์นำยาวิเศษและสัตว์อสูรวิเศษที่ตนเตรียมได้ในระยะเวลาอันสั้นไปมอบให้กับคนตระกูลซือหม่า ส่วนพวกเว่ยจือฉีก็คอยอยู่ภายในเจดีย์วิญญาณ

อาจเป็นเพราะรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์ใกล้จะจากไปแล้ว พ่อบ้านจึงมารับสิ่งของด้วยตนเองตลอดทุกครั้ง

ซือหม่าโยวเย่ว์มอบสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นให้กับเขาแล้วบอกว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว พ่อบ้านเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่เปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งแล้ว เมื่อได้ยินเธอพูดว่าจะจากไป น้ำตาของชายชราจึงหลั่งออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

แต่เขาก็พูดคำอื่นไม่ออกนอกจากบอกว่าให้ซือหม่าโยวเย่ว์รักษาตัวด้วย เพราะเขารู้มาตั้งนานแล้วว่าจะเร็วจะช้า วันนี้ก็ต้องมาถึงอยู่ดี

เจ้าคำรามน้อยหดคอ นัยน์ตาทั้งสองกลอกซ้ายขวา ขาสั้นป้อมลองตีมือซือหม่าโยวเย่ว์เบาๆ

“ข้า… ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์งอนิ้วโป้งและนิ้วชี้แล้วดีดใส่หัวมันอย่างแรงทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ถ้าหากเจ้ามิได้ทำอะไร เช่นนั้นสัตว์อสูรเทพเหล่านั้นจะมาวิ่งไล่ตามเจ้าได้อย่างไร เจ้ามิได้มีแรงดึงดูดต่อสัตว์อสูรวิเศษโดยกำเนิดหรอกหรือ ถ้าหากมิได้ก่อเรื่องอันใด แล้วจะถูกผู้อื่นไล่ตามสังหารเจ้ากันหมดฝูงได้อย่างไรกัน เจ้าจะบอกหรือไม่ หากไม่บอกข้าก็จะโยนเจ้าออกไปแล้วนะ ถึงอย่างไรตอนนี้สัตว์อสูรเทพเหล่านั้นก็ยังอยู่ข้างนอกกันอยู่”

เมื่อได้ฟังคำขู่ของซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าคำรามน้อยจึงพูดด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่งว่า “อันที่จริงข้าก็มิได้ทำอะไรหรอก หลังจากได้เห็นว่าราชินีของพวกมันงดงามยิ่งนัก ข้าก็เลยพูดแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น”

“พูดแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ดีดหัวมันอีกครั้งหนึ่งแล้วตะคอกว่า “เจ้าไปเกี้ยวพานชายาของผู้อื่นใช่ไหม”

“ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ หลังจากนั้นชายาผู้นั้นก็บอกว่าจะไปกับข้า” เจ้าคำรามน้อยเสียใจเป็นอย่างยิ่ง “ใครจะไปคิดว่าราชาของพวกมันจะเห็นเป็นจริงเป็นจัง เรื่องจึงกลายเป็นเช่นนี้ เย่ว์เย่ว์ ข้าแค่พูดไม่กี่ประโยคเท่านั้นจริงๆ นะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์อับจนคำพูด เจ้านี่ช่างก่อเรื่องวุ่นวายได้เก่งเสียจริง

“แล้วไม่กี่ประโยคที่ว่านั่นเจ้าพูดอะไรบ้าง” เธอเดาว่าจะต้องมิใช่เรื่องธรรมดาทั่วไปแน่ มิฉะนั้นผู้อื่นจะส่งทั้งสัตว์อสูรเทพและสัตว์อสูรทิพย์มากมายเช่นนี้มาไล่ตามเขาทำไมกัน

“ข้า… ข้าก็พูดว่า คนสวย เจ้าช่างงดงามยิ่งนัก อยากจะไปเล่นกับข้าที่ดินแดนอื่นสักหน่อยหรือไม่…” เมื่อเห็นแววตาของซือหม่าโยวเย่ว์เข้มขึ้นเรื่อยๆ เสียงของเจ้าคำรามน้อยจึงเล็กลงเรื่อยๆ คอก็หดเกร็งมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทางเช่นนั้นของเจ้าคำรามน้อยแล้วทั้งโกรธทั้งขำ เธอมีสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาที่มากตัณหาเช่นนี้อยู่กับตัวได้อย่างไรกัน

ในตำราโบราณมิได้บอกว่าสัตว์มงคลเป็นตัวแทนของความสงบสุขหรอกหรือ เพราะเหตุใดเธอจึงเห็นแต่ความลามกอนาจารจากตัวเจ้าคำรามน้อยเล่า แล้วยังอยู่ภายใต้เปลือกนอกอันแสนน่ารักอีกต่างหาก

ทุกครั้งที่มันกระทำความผิด มันก็จะใช้รูปลักษณ์ภายนอกอันน่ารักของมันมาเรียกร้องความสงสารเห็นใจ แสดงท่าทีจริงใจ แต่ไม่เคยแก้ไขเลย

เจ้าคำรามน้อยเห็นท่าทีโกรธเคืองของซือหม่าโยวเย่ว์ จึงกะพริบดวงตากลมโตปริบๆ ขาหน้าอันจิ๋วทั้งสองข้างประสานเข้าด้วยกันแล้วพูดอย่างอ่อนแอว่า “เย่ว์เย่ว์ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว…”

“พรืด…”

ทั้งสี่คนที่อยู่ข้างๆ หลุดหัวเราะออกมา คิดไม่ถึงว่าเจ้าคำรามน้อยจะยังกล้าทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อีก ถึงขนาดวิ่งไปเกี้ยวพานชายาของสัตว์อสูรเทพเลยทีเดียว

“แค่กๆ โยวเย่ว์ ในเมื่อมันสำนึกผิดแล้ว เจ้าก็อย่าได้ตำหนิมันอีกเลยนะ” เป่ยกงถังเห็นท่าทางเช่นนั้นของเจ้าคำรามน้อยแล้วก็ถูกสะกดจนออกปากขอร้องแทนมัน

“อื้อๆ ใช่แล้วๆ” เจ้าคำรามน้อยผงกศีรษะเล็กอย่างเห็นด้วย

ซือหม่าโยวเย่ว์ดีดกะโหลกมันอีกทีหนึ่งแล้วพูดว่า “หากคราวหน้าเจ้ายังกล้าไปเกี้ยวพานสัตว์อสูรวิเศษตัวอื่นอีก ข้าจะขังเจ้าเอาไว้ในมิติพันธสัญญาหนึ่งปี!”

เจ้าคำรามน้อยคิดจะใช้ขาเล็กสั้นป้อมของมันไปกุมหัว แต่จนใจที่ขาสั้นเกินไป จึงได้แต่กุมใบหูเท่านั้น “ไม่ทำแน่ ไม่ทำแน่” มันรีบรับปากทันที

“เฮอะ หากมีครั้งต่อไปอีก ข้าจะจัดสิ่งที่เจ้าไม่ต้องการให้เอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็เหวี่ยงตัวเจ้าคำรามน้อยขึ้นไปกลางอากาศ

เจ้าคำรามน้อยได้รับอิสระแล้วจึงวิ่งหนีหายไปราวกับควัน

เมื่อเห็นมนุษย์กับสัตว์อสูรคู่นี้แล้วทุกคนต่างพากันหัวเราะ

“โยวเย่ว์ พวกเราจะอยู่ที่นี่กันนานเท่าใดหรือ” เจ้าอ้วนชวีเข้ามาใกล้แล้วถามขึ้น

“อย่างน้อยก็ต้องรอให้สัตว์อสูรเทพเหล่านั้นจากไปก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ข้าว่านานแค่ไหนก็ไม่เป็นไรหรอก อยู่ที่นี่หลายปีก็ยังไม่เป็นไรเลย” เจ้าอ้วนชวีพูด “ปราณวิญญาณที่นี่เข้มข้นกว่าข้างนอกมากมายนัก ถ้าหากบำเพ็ญที่นี่ได้ ผลลัพธ์ก็ย่อมดียิ่งขึ้นไปอีก”

“ที่นี่ก็มีข้อกำหนดของมันอยู่เช่นกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าวิญญาณน้อย ให้พวกเราดูสถานการณ์ข้างนอกหน่อยสิ”

เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศแล้วโบกมือเล็กๆ คราหนึ่ง ก็คล้ายกับมีจอผ้าอันหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ สถานการณ์ภายนอกปรากฏสู่สายตาของทุกคน

สัตว์อสูรเทพเหล่านั้นกำลังวนเวียนไม่หยุดอยู่ข้างนอก คล้ายกับสงสัยว่าพวกเขาเหล่านี้หายตัวไปโดยฉับพลันได้อย่างไร

“ดูท่าทางพวกมันคงจะไม่จากไปในเร็วๆ นี้แน่ พวกเราคงต้องอยู่ที่นี่กันสักระยะหนึ่งก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นสัตว์อสูรเทพจำนวนหนึ่งหมอบอยู่บนพื้น คล้ายกับกำลังรอให้พวกเขาปรากฏตัวขึ้น

“โยวเย่ว์ ผู้นี้คือ…” เว่ยจือฉีมองเจ้าวิญญาณน้อย เด็กน้อยคนหนึ่งมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน

“นี่คือเจ้าวิญญาณน้อย เป็นวิญญาณครวญของเจดีย์วิญญาณน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เขาเป็นผู้ควบคุมดูแลทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ เป็นพ่อบ้านตัวน้อยของข้าเอง”

“วิญญาณครวญหรือ!” เป่ยกงถังมองเจ้าวิญญาณน้อยอย่างตกใจ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ดินแดนโบราณ เธอก็รู้ว่ามีอาวุธเทพบางอย่างที่ก่อให้เกิดวิญญาณครวญขึ้นมาได้ แต่อาวุธเทพเหล่านั้นระดับขั้นสูงส่งยิ่ง นอกจากนี้ยังมีจำนวนน้อยนิดยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะมีกับเขาด้วย

“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ในเมื่อมิอาจออกไปได้ในตอนนี้ ข้าพาพวกเจ้าไปดูรอบๆ ก่อนก็แล้วกัน”

“ดีเลย ข้าสนใจใคร่รู้ในสถานที่แห่งนี้ยิ่งนัก!” เจ้าอ้วนชวีพูดยิ้มๆ

ถึงแม้ว่าพวกโอวหยางเฟยจะไม่ได้พูดออกมา แต่แววตาล้วนเป็นเช่นเดียวกัน

ซือหม่าโยวเย่ว์พาพวกเขาเดินดูรอบๆ ทั้งแปลงสมุนไพร ห้องหลอมยา ห้องฝึกยุทธ์ และหอหนังสือสะสม

ภายในหอหนังสือสะสม พวกเขาค้นพบว่าที่นี่มีหนังสือตำรานานาชนิด จนพาให้รู้สึกละลานตาอยู่บ้าง

“หลอมยาเอย หลอมวัตถุเอย ฝึกสัตว์อสูรเอย ฝึกยุทธ์เอย สวรรค์เอ๋ย โยวเย่ว์ ไม่ว่าจะเป็นอะไร ที่นี่ล้วนมีทั้งหมดเลย!” เว่ยจือฉีมองเห็นหนังสือเหล่านี้แล้วแสดงท่าทีตื่นเต้นสุดๆ

“อืม เจ้านายคนก่อนๆ ของเจ้าวิญญาณน้อย มีผู้เชี่ยวชาญทุกด้านเลย สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ทั้งสิ้น” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “หากพวกเจ้าสนใจเล่มไหนก็หยิบดูได้ตามสบายเลยนะ”

“จริงหรือ”

“แน่นอนอยู่แล้ว ถึงอย่างไรตำราเหล่านี้ก็มิใช่ว่าหยิบอ่านแล้วจะหมดสิ้นไปนี่นา” ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มแล้วพูดว่า “นอกจากนี้ที่นี่ยังมีทรัพยากรล้นเหลือให้พวกเจ้าได้ฝึกฝนกันตามสบาย แน่นอนว่าไม่มีสัตว์อสูรวิเศษ แต่ในภูเขาด้านนอกมีอยู่มากมาย”

ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้เธอคงจะลังเลกับการให้พวกเขาเข้ามา แต่พวกเขาเดินร่วมทางกันมาจนถึงตอนนี้ ผ่านประสบการณ์มาด้วยกันไม่น้อย ในตอนที่เธอลำบากที่สุด ตกต่ำที่สุด พวกเขาก็ไม่เคยทอดทิ้งเธอ แต่กลับช่วยเหลือเธออย่างสุดความสามารถของตน คอยปลอบประโลมเธอ ตระกูลซือหม่าไม่ถูกกลืนกินหลังซือหม่าเลี่ยถูกพาตัวไป ล้วนต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากพวกเขา

น้ำใจที่พวกเขามีต่อเธอ เธอจดจำใส่ใจมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังเป็นกังวลว่าเธอต้องอยู่คนเดียวจนถึงขนาดที่พวกเขาเลือกมาที่นี่กับเธอด้วย ผ่านการสังเกตมาเป็นเวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เธอย่อมเข้าใจพฤติกรรมของพวกเขาอย่างถ่องแท้

เธอเคยพูดว่าเธอไม่สนใจของประดับตกแต่งอันผิวเผิน แต่เธอสนใจถ่านหินที่ส่งมาในยามหิมะตกมากกว่า นอกจากนี้การวางสิ่งเหล่านี้เอาไว้ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อันใด สู้แบ่งปันให้กับพวกเขาจะดีกว่า

“จู่ๆ ข้าก็รู้สึกขึ้นมาราวกับว่าข้าอยู่ในความฝันเลย” เจ้าอ้วนชวีเอื้อมมือไปหยิกเว่ยจือฉีที่อยู่ข้างๆ เว่ยจือฉีเจ็บปวดจนร้องโอดโอยเสียงดังลั่น

“ยังร้องอยู่ แสดงว่ารู้สึกเจ็บ เช่นนั้นพวกเราก็มิได้กำลังฝันไปสินะ!” เจ้าอ้วนชวีพูดด้วยสีหน้าเปรมปรีดิ์ มิได้เห็นเพลิงโทสะในดวงตาเว่ยจือฉีเลย

โอวหยางเฟยกลอกตาใส่พวกเขาทั้งสองก่อนจะอ่านตำราในมือต่อไป

เป่ยกงถังยิ้มบางๆ แล้วก้มหน้าลงอ่านตำราในมือ หลังจากนั้นจึงวางมันลง

ซือหม่าโยวเย่ว์มองตำราที่นางเพิ่งอ่านปราดหนึ่ง นั่นคือตำราศึกษาการหลอมยา เธอมองความอึดอัดในแววตาของเป่ยกงถังออก ดูเหมือนว่านางอยากศึกษาการหลอมยาเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับฝืนใจตัวเองแล้ววางมันลง

“เป่ยกง เจ้าไม่อยากศึกษาการหลอมยาหรือ” เธอเอ่ยถาม

“อยากสิ แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีเวลามากมายเช่นนั้นให้มาศึกษาหรอก” เป่ยกงถังพูด

นางพูดเช่นนี้ ทำเอารอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเจ้าอ้วนชวีจางหายไปไม่น้อย

ความจำเป็นเร่งด่วนของพวกเขาในตอนนี้ก็คือการยกระดับพลังยุทธ์ของตนเอง ไม่มีเวลามาศึกษาสิ่งเหล่านี้เลยจริงๆ พวกเขามิได้มีพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์เหมือนซือหม่าโยวเย่ว์

เจ้าคำรามน้อยหดคอ นัยน์ตาทั้งสองกลอกซ้ายขวา ขาสั้นป้อมลองตีมือซือหม่าโยวเย่ว์เบาๆ

“ข้า… ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์งอนิ้วโป้งและนิ้วชี้แล้วดีดใส่หัวมันอย่างแรงทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ถ้าหากเจ้ามิได้ทำอะไร เช่นนั้นสัตว์อสูรเทพเหล่านั้นจะมาวิ่งไล่ตามเจ้าได้อย่างไร เจ้ามิได้มีแรงดึงดูดต่อสัตว์อสูรวิเศษโดยกำเนิดหรอกหรือ ถ้าหากมิได้ก่อเรื่องอันใด แล้วจะถูกผู้อื่นไล่ตามสังหารเจ้ากันหมดฝูงได้อย่างไรกัน เจ้าจะบอกหรือไม่ หากไม่บอกข้าก็จะโยนเจ้าออกไปแล้วนะ ถึงอย่างไรตอนนี้สัตว์อสูรเทพเหล่านั้นก็ยังอยู่ข้างนอกกันอยู่”

เมื่อได้ฟังคำขู่ของซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าคำรามน้อยจึงพูดด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่งว่า “อันที่จริงข้าก็มิได้ทำอะไรหรอก หลังจากได้เห็นว่าราชินีของพวกมันงดงามยิ่งนัก ข้าก็เลยพูดแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น”

“พูดแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ดีดหัวมันอีกครั้งหนึ่งแล้วตะคอกว่า “เจ้าไปเกี้ยวพานชายาของผู้อื่นใช่ไหม”

“ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ หลังจากนั้นชายาผู้นั้นก็บอกว่าจะไปกับข้า” เจ้าคำรามน้อยเสียใจเป็นอย่างยิ่ง “ใครจะไปคิดว่าราชาของพวกมันจะเห็นเป็นจริงเป็นจัง เรื่องจึงกลายเป็นเช่นนี้ เย่ว์เย่ว์ ข้าแค่พูดไม่กี่ประโยคเท่านั้นจริงๆ นะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์อับจนคำพูด เจ้านี่ช่างก่อเรื่องวุ่นวายได้เก่งเสียจริง

“แล้วไม่กี่ประโยคที่ว่านั่นเจ้าพูดอะไรบ้าง” เธอเดาว่าจะต้องมิใช่เรื่องธรรมดาทั่วไปแน่ มิฉะนั้นผู้อื่นจะส่งทั้งสัตว์อสูรเทพและสัตว์อสูรทิพย์มากมายเช่นนี้มาไล่ตามเขาทำไมกัน

“ข้า… ข้าก็พูดว่า คนสวย เจ้าช่างงดงามยิ่งนัก อยากจะไปเล่นกับข้าที่ดินแดนอื่นสักหน่อยหรือไม่…” เมื่อเห็นแววตาของซือหม่าโยวเย่ว์เข้มขึ้นเรื่อยๆ เสียงของเจ้าคำรามน้อยจึงเล็กลงเรื่อยๆ คอก็หดเกร็งมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทางเช่นนั้นของเจ้าคำรามน้อยแล้วทั้งโกรธทั้งขำ เธอมีสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาที่มากตัณหาเช่นนี้อยู่กับตัวได้อย่างไรกัน

ในตำราโบราณมิได้บอกว่าสัตว์มงคลเป็นตัวแทนของความสงบสุขหรอกหรือ เพราะเหตุใดเธอจึงเห็นแต่ความลามกอนาจารจากตัวเจ้าคำรามน้อยเล่า แล้วยังอยู่ภายใต้เปลือกนอกอันแสนน่ารักอีกต่างหาก

ทุกครั้งที่มันกระทำความผิด มันก็จะใช้รูปลักษณ์ภายนอกอันน่ารักของมันมาเรียกร้องความสงสารเห็นใจ แสดงท่าทีจริงใจ แต่ไม่เคยแก้ไขเลย

เจ้าคำรามน้อยเห็นท่าทีโกรธเคืองของซือหม่าโยวเย่ว์ จึงกะพริบดวงตากลมโตปริบๆ ขาหน้าอันจิ๋วทั้งสองข้างประสานเข้าด้วยกันแล้วพูดอย่างอ่อนแอว่า “เย่ว์เย่ว์ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว…”

“พรืด…”

ทั้งสี่คนที่อยู่ข้างๆ หลุดหัวเราะออกมา คิดไม่ถึงว่าเจ้าคำรามน้อยจะยังกล้าทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อีก ถึงขนาดวิ่งไปเกี้ยวพานชายาของสัตว์อสูรเทพเลยทีเดียว

“แค่กๆ โยวเย่ว์ ในเมื่อมันสำนึกผิดแล้ว เจ้าก็อย่าได้ตำหนิมันอีกเลยนะ” เป่ยกงถังเห็นท่าทางเช่นนั้นของเจ้าคำรามน้อยแล้วก็ถูกสะกดจนออกปากขอร้องแทนมัน

“อื้อๆ ใช่แล้วๆ” เจ้าคำรามน้อยผงกศีรษะเล็กอย่างเห็นด้วย

ซือหม่าโยวเย่ว์ดีดกะโหลกมันอีกทีหนึ่งแล้วพูดว่า “หากคราวหน้าเจ้ายังกล้าไปเกี้ยวพานสัตว์อสูรวิเศษตัวอื่นอีก ข้าจะขังเจ้าเอาไว้ในมิติพันธสัญญาหนึ่งปี!”

เจ้าคำรามน้อยคิดจะใช้ขาเล็กสั้นป้อมของมันไปกุมหัว แต่จนใจที่ขาสั้นเกินไป จึงได้แต่กุมใบหูเท่านั้น “ไม่ทำแน่ ไม่ทำแน่” มันรีบรับปากทันที

“เฮอะ หากมีครั้งต่อไปอีก ข้าจะจัดสิ่งที่เจ้าไม่ต้องการให้เอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็เหวี่ยงตัวเจ้าคำรามน้อยขึ้นไปกลางอากาศ

เจ้าคำรามน้อยได้รับอิสระแล้วจึงวิ่งหนีหายไปราวกับควัน

เมื่อเห็นมนุษย์กับสัตว์อสูรคู่นี้แล้วทุกคนต่างพากันหัวเราะ

“โยวเย่ว์ พวกเราจะอยู่ที่นี่กันนานเท่าใดหรือ” เจ้าอ้วนชวีเข้ามาใกล้แล้วถามขึ้น

“อย่างน้อยก็ต้องรอให้สัตว์อสูรเทพเหล่านั้นจากไปก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ข้าว่านานแค่ไหนก็ไม่เป็นไรหรอก อยู่ที่นี่หลายปีก็ยังไม่เป็นไรเลย” เจ้าอ้วนชวีพูด “ปราณวิญญาณที่นี่เข้มข้นกว่าข้างนอกมากมายนัก ถ้าหากบำเพ็ญที่นี่ได้ ผลลัพธ์ก็ย่อมดียิ่งขึ้นไปอีก”

“ที่นี่ก็มีข้อกำหนดของมันอยู่เช่นกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าวิญญาณน้อย ให้พวกเราดูสถานการณ์ข้างนอกหน่อยสิ”

เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศแล้วโบกมือเล็กๆ คราหนึ่ง ก็คล้ายกับมีจอผ้าอันหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ สถานการณ์ภายนอกปรากฏสู่สายตาของทุกคน

สัตว์อสูรเทพเหล่านั้นกำลังวนเวียนไม่หยุดอยู่ข้างนอก คล้ายกับสงสัยว่าพวกเขาเหล่านี้หายตัวไปโดยฉับพลันได้อย่างไร

“ดูท่าทางพวกมันคงจะไม่จากไปในเร็วๆ นี้แน่ พวกเราคงต้องอยู่ที่นี่กันสักระยะหนึ่งก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นสัตว์อสูรเทพจำนวนหนึ่งหมอบอยู่บนพื้น คล้ายกับกำลังรอให้พวกเขาปรากฏตัวขึ้น

“โยวเย่ว์ ผู้นี้คือ…” เว่ยจือฉีมองเจ้าวิญญาณน้อย เด็กน้อยคนหนึ่งมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน

“นี่คือเจ้าวิญญาณน้อย เป็นวิญญาณครวญของเจดีย์วิญญาณน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เขาเป็นผู้ควบคุมดูแลทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ เป็นพ่อบ้านตัวน้อยของข้าเอง”

“วิญญาณครวญหรือ!” เป่ยกงถังมองเจ้าวิญญาณน้อยอย่างตกใจ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ดินแดนโบราณ เธอก็รู้ว่ามีอาวุธเทพบางอย่างที่ก่อให้เกิดวิญญาณครวญขึ้นมาได้ แต่อาวุธเทพเหล่านั้นระดับขั้นสูงส่งยิ่ง นอกจากนี้ยังมีจำนวนน้อยนิดยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะมีกับเขาด้วย

“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ในเมื่อมิอาจออกไปได้ในตอนนี้ ข้าพาพวกเจ้าไปดูรอบๆ ก่อนก็แล้วกัน”

“ดีเลย ข้าสนใจใคร่รู้ในสถานที่แห่งนี้ยิ่งนัก!” เจ้าอ้วนชวีพูดยิ้มๆ

ถึงแม้ว่าพวกโอวหยางเฟยจะไม่ได้พูดออกมา แต่แววตาล้วนเป็นเช่นเดียวกัน

ซือหม่าโยวเย่ว์พาพวกเขาเดินดูรอบๆ ทั้งแปลงสมุนไพร ห้องหลอมยา ห้องฝึกยุทธ์ และหอหนังสือสะสม

ภายในหอหนังสือสะสม พวกเขาค้นพบว่าที่นี่มีหนังสือตำรานานาชนิด จนพาให้รู้สึกละลานตาอยู่บ้าง

“หลอมยาเอย หลอมวัตถุเอย ฝึกสัตว์อสูรเอย ฝึกยุทธ์เอย สวรรค์เอ๋ย โยวเย่ว์ ไม่ว่าจะเป็นอะไร ที่นี่ล้วนมีทั้งหมดเลย!” เว่ยจือฉีมองเห็นหนังสือเหล่านี้แล้วแสดงท่าทีตื่นเต้นสุดๆ

“อืม เจ้านายคนก่อนๆ ของเจ้าวิญญาณน้อย มีผู้เชี่ยวชาญทุกด้านเลย สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ทั้งสิ้น” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “หากพวกเจ้าสนใจเล่มไหนก็หยิบดูได้ตามสบายเลยนะ”

“จริงหรือ”

“แน่นอนอยู่แล้ว ถึงอย่างไรตำราเหล่านี้ก็มิใช่ว่าหยิบอ่านแล้วจะหมดสิ้นไปนี่นา” ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มแล้วพูดว่า “นอกจากนี้ที่นี่ยังมีทรัพยากรล้นเหลือให้พวกเจ้าได้ฝึกฝนกันตามสบาย แน่นอนว่าไม่มีสัตว์อสูรวิเศษ แต่ในภูเขาด้านนอกมีอยู่มากมาย”

ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้เธอคงจะลังเลกับการให้พวกเขาเข้ามา แต่พวกเขาเดินร่วมทางกันมาจนถึงตอนนี้ ผ่านประสบการณ์มาด้วยกันไม่น้อย ในตอนที่เธอลำบากที่สุด ตกต่ำที่สุด พวกเขาก็ไม่เคยทอดทิ้งเธอ แต่กลับช่วยเหลือเธออย่างสุดความสามารถของตน คอยปลอบประโลมเธอ ตระกูลซือหม่าไม่ถูกกลืนกินหลังซือหม่าเลี่ยถูกพาตัวไป ล้วนต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากพวกเขา

น้ำใจที่พวกเขามีต่อเธอ เธอจดจำใส่ใจมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังเป็นกังวลว่าเธอต้องอยู่คนเดียวจนถึงขนาดที่พวกเขาเลือกมาที่นี่กับเธอด้วย ผ่านการสังเกตมาเป็นเวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เธอย่อมเข้าใจพฤติกรรมของพวกเขาอย่างถ่องแท้

เธอเคยพูดว่าเธอไม่สนใจของประดับตกแต่งอันผิวเผิน แต่เธอสนใจถ่านหินที่ส่งมาในยามหิมะตกมากกว่า นอกจากนี้การวางสิ่งเหล่านี้เอาไว้ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อันใด สู้แบ่งปันให้กับพวกเขาจะดีกว่า

“จู่ๆ ข้าก็รู้สึกขึ้นมาราวกับว่าข้าอยู่ในความฝันเลย” เจ้าอ้วนชวีเอื้อมมือไปหยิกเว่ยจือฉีที่อยู่ข้างๆ เว่ยจือฉีเจ็บปวดจนร้องโอดโอยเสียงดังลั่น

“ยังร้องอยู่ แสดงว่ารู้สึกเจ็บ เช่นนั้นพวกเราก็มิได้กำลังฝันไปสินะ!” เจ้าอ้วนชวีพูดด้วยสีหน้าเปรมปรีดิ์ มิได้เห็นเพลิงโทสะในดวงตาเว่ยจือฉีเลย

โอวหยางเฟยกลอกตาใส่พวกเขาทั้งสองก่อนจะอ่านตำราในมือต่อไป

เป่ยกงถังยิ้มบางๆ แล้วก้มหน้าลงอ่านตำราในมือ หลังจากนั้นจึงวางมันลง

ซือหม่าโยวเย่ว์มองตำราที่นางเพิ่งอ่านปราดหนึ่ง นั่นคือตำราศึกษาการหลอมยา เธอมองความอึดอัดในแววตาของเป่ยกงถังออก ดูเหมือนว่านางอยากศึกษาการหลอมยาเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับฝืนใจตัวเองแล้ววางมันลง

“เป่ยกง เจ้าไม่อยากศึกษาการหลอมยาหรือ” เธอเอ่ยถาม

“อยากสิ แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีเวลามากมายเช่นนั้นให้มาศึกษาหรอก” เป่ยกงถังพูด

นางพูดเช่นนี้ ทำเอารอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเจ้าอ้วนชวีจางหายไปไม่น้อย

ความจำเป็นเร่งด่วนของพวกเขาในตอนนี้ก็คือการยกระดับพลังยุทธ์ของตนเอง ไม่มีเวลามาศึกษาสิ่งเหล่านี้เลยจริงๆ พวกเขามิได้มีพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์เหมือนซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์ขี่เจ้าคำรามน้อยกลับมายังเทือกเขาสั่วเฟยย่า ตอนกลับไปนั้นเจ้าอ้วนชวีกำลังต่อสู้กับเว่ยจือฉีอยู่

การต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งห้า มักจะใช้อาวุธจริงทุกครั้ง เพราะอยากจะทำให้อีกฝ่ายก้าวหน้าขึ้น มีเพียงการต่อสู้ที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะทำให้คนพัฒนาขึ้นได้

พวกเขาไม่อยากจะเป็นไม้ประดับที่ถึงเวลาจริงแล้วเก่งแค่การบำเพ็ญ แต่ไร้ซึ่งพลังการต่อสู้

ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดลงข้างกายพวกเป่ยกงถัง ส่วนเจ้าคำรามน้อยก็หดร่างกายเล็กลงก๋อนจะไปวิ่งเล่น

เธอไม่เป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของเจ้าคำรามน้อยเลย บางทีอาจเพราะมันเป็นสัตว์มงคล ดังนั้นไม่ว่าระดับขั้นจะสูงต่ำเพียงใด มันก็เล่นกับผู้อื่นได้ทั้งสิ้น สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นไม่มีทางทำร้ายมันแน่นอน

เป่ยกงถังพยักหน้าให้ซือหม่าโยวเย่ว์แล้วถามว่า “จัดการเสร็จแล้วหรือ”

“อืม มอบให้พวกท่านอาฝูหมดแล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เห็นเจ้าอ้วนชวีโจมตีเข้าใส่เว่ยจือฉีอย่างรวดเร็วจึงถอนหายใจเอ่ยว่า “ความเร็วของเจ้าอ้วนเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนไม่น้อยเลย!”

“อืม น้ำหนักลดไปไม่น้อย ดูท่าทางสิ่งนี้จะได้ผล” โอวหยางเฟยพูด

“หลายเดือนมานี้เจ้าอ้วนน้ำหนักลดไปหลายสิบโลเลยกระมัง ต่อจากนี้เขาไม่อ้วนแล้ว พวกเรายังจะเรียกเขาว่าเจ้าอ้วนอยู่อีกหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางอย่างครุ่นคิด

“เขาไม่อ้วนแล้ว ดูๆ ไปก็ออกจะไม่คุ้นชินอยู่บ้าง” เป่ยกงถังพูด

เจ้าอ้วนชวีได้ยินพวกเขาพูดถึงรูปร่างของตนอยู่ตรงนั้นจึงกลอกตาใส่โดยไม่เอ่ยวาจา แต่มือกลับมิได้เคลื่อนไหวช้าลงเลย

ตอนนี้เขามิใช่เด็กหัวขนที่ตอนเข้าสู่ภูเขาใหม่ๆๆ พอได้ยินพวกเขาพูดถึงตนจนจิตใจฟุ้งซ่าน แล้วถูกคู่แข่งโยนออกไปอีกต่อไปแล้ว การฝึกอย่างยากลำบากตลอดหลายเดือนมานี้ทำให้เขาเติบใหญ่ขึ้นมาไม่น้อยเลย

เว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีต่อสู้กันมาเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็ยังคงเป็นเว่ยจือฉีที่เหนือกว่าอยู่เล็กน้อย

ถึงแม้ว่าเจ้าอ้วนชวีจะพ่ายแพ้ แต่ก็ยังคงอารมณ์ดี เขาเอนตัวลงบนพื้นแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น “ฮ่าๆ คราวนี้ข้ายืนหยัดได้นานกว่าครั้งก่อนเสียอีก จือฉี ไม่แน่ว่าอีกไม่นานข้าอาจจะเอาชนะเจ้าแล้วก็ได้!”

“ข้าจะรอนะ” เว่ยจือฉีพูดอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

ทั้งสองพักผ่อนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยก็เริ่มสู้กันบ้าง เพิ่งต่อสู้กันไปได้ไม่นานก็ได้ยินเจ้าคำรามน้อยวิ่งเข้ามาหาพวกเขาด้วยเสียงโหยหวน

“เย่ว์เย่ว์ วิ่งหนีเร็วเข้า โจรร้ายมาแล้ว!”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปยังทิศทางที่เจ้าคำรามน้อยวิ่งมาปราดหนึ่งแล้วก็ตะลึงตาค้างไปในทันใด บ้าเอ๊ย สัตว์อสูรเทพฝูงนั้นนั่นมันเรื่องบ้าอันใดกัน!

เจ้าคำรามน้อยเหาะมาตรงหน้า สัตว์อสูรเทพฝูงหนึ่งไล่ตามมาด้านหลัง ท่าทีดุร้ายโหดเหี้ยมนั้นดูคล้ายกับว่าเจ้าคำรามน้อยไปยั่วยุพวกมันแล้วจึงถูกเขาไล่ล่าสังหาร

“เย่ว์เย่ว์ ช่วยข้าด้วย!” เจ้าคำรามน้อยมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แต่ไกล จึงเพิ่มความเร็วเหาะตรงมาทางเธอ ซือหม่าโยวเย่ว์ได้สติกลับคืนมาในทันทีแล้วตะโกนเสียงดังไปทางพวกเป่ยกงถังว่า “โอวหยาง เป่ยกง เลิกสู้กันได้แล้ว วิ่งหนีเร็วเข้า! เจ้าอ้วน อย่ามัวแต่นอนสิ รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า!”

“มีเรื่องอันใดหรือ โยวเย่ว์ ข้าเหนื่อยจนไม่มีแรงวิ่งแล้วล่ะ!” เจ้าอ้วนชวีเอนกายอยู่บนพื้น ยังไม่รู้ว่าอันตรายมาเยือนเสียแล้ว

“ข้าก็ด้วย หมดแรงแล้วล่ะ” เว่ยจือฉีพูด

สัตว์อสูรวิเศษในละแวกนี้ล้วนถูกพวกเขาเก็บกวาดไปรอบหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีสัตว์อสูรวิเศษเต็มใจออกมากันสักเท่าใดนัก สองวันนี้พวกเขากำลังคิดจะย้ายถิ่นฐานกันอีกครั้งอยู่พอดี ดังนั้นตอนที่พวกเขาต่อสู้กันจึงมิได้ออมแรงตนเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

เมื่อเป่ยกงถังและโอวหยางเฟยได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงหยุดลงก่อนจะมองไปยังทิศทางที่เกิดความเคลื่อนไหว ก็เห็นสัตว์อสูรเทพฝูงหนึ่ง ทั้งสองก็ตะลึงงันไปทันที แต่เสียงตะโกนของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้พวกเขาได้สติกลับคืนมาแล้ววิ่งเข้ามาช่วยซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวสองคนบนพื้นขึ้นมาแล้วออกวิ่ง

เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีจึงค่อยค้นพบว่ามีสัตว์อสูรเทพฝูงหนึ่งกำลังบุกเข้ามา คราวนี้ไม่ต้องให้พวกซือหม่าโยวเย่ว์เร่ง พวกเขาก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วกันเองแล้ว

“ข้าตรวจสอบดูแล้ว สัตว์อสูรเทพมิได้อยู่กันแต่ที่บริเวณชั้นในหรอกหรือ แล้วที่นี่มีสัตว์อสูรเทพมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน!” เจ้าอ้วนชวีเห็นสัตว์อสูรเทพที่เคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยถามขึ้น

“เจ้าคำรามน้อยจะต้องก่อเรื่องอีกเป็นแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่ามันต้องไปล่วงเกินผู้ที่ไม่สมควรล่วงเกินเข้าอีกแล้วเป็นแน่ ไม่สิ ล่วงเกินสัตว์อสูรวิเศษต่างหากเล่า

“ไม่ได้ ข้าวิ่งไม่ไหวแล้ว!” เจ้าอ้วนชวีวิ่งไประยะหนึ่งก็เหนื่อยเหลือเกินแล้วจริงๆ ไม่เหลือเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูสัตว์อสูรเทพที่เล็งเป้าพวกเขาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะวิ่งกันต่อไปก็มิใช่วิธีการที่ดีนัก สัตว์อสูรเทพตั้งหลายตัว ทั้งยังมีสัตว์อสูรทิพย์อีกจำนวนไม่น้อย พอจะปลิดชีพพวกเขาได้ในเสี้ยววินาที

หมดหนทางแล้ว!

ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดฝีเท้า พวกโอวหยางเฟยเห็นเธอหยุดจึงหยุดฝีเท้าลงด้วยเช่นกันแล้วเอ่ยอย่างกระวนกระวายว่า “โยวเย่ว์ รีบวิ่งเร็วเข้าสิ!”

“ถึงวิ่งก็วิ่งไม่ทันพวกมันอยู่ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าคำรามน้อย เจ้ารีบให้ข้าหน่อยสิ!”

เจ้าอ้วนชวีวิ่งไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว หลังจากที่เขาวิ่งมาถึงข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ก็เกาะบ่าเธอพลางหอบอย่างรุนแรง

เจ้าคำรามน้อยหันหน้าไปมองเหล่าสัตว์อสูรเทพที่อยู่ห่างจากพวกเขาเป็นระยะทางเล็กน้อยเท่านั้นแล้วยกขาอันจิ๋วขึ้น เพิ่มความเร็วของตนเองแล้วพุ่งเข้าใส่อ้อมกอดของซือหม่าโยวเย่ว์

พวกเป่ยกงถังก็รู้ว่าวิ่งต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เมื่อเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์หยุดฝีเท้าจึงหยุดเพื่อเตรียมตัวสำหรับเฮือกสุดท้ายเช่นเดียวกัน

“เย่ว์เย่ว์ รีบจับตัวข้าไว้เร็วเข้า!” เจ้าคำรามน้อยกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดซือหม่าโยวเย่ว์ในพริบตา สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นก็พุ่งเข้ามาเช่นเดียวกัน

พวกเขาเห็นเขี้ยวยาวในปากสัตว์อสูรเทพได้อย่างชัดเจนแล้ว ในใจคิดว่าวันนี้คงได้ถูกฝังกันอยู่ที่นี่แล้ว แต่ในขณะที่สัตว์อสูรเทพอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงไม่กี่เมตรนั้นเอง ตอนที่พวกมันพุ่งเข้ามานั้น ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน สัตว์อสูรเทพหายตัวไปจนสิ้น

เจ้าอ้วนชวีหลับตาลงรอคอยความเจ็บปวดครั้งสุดท้าย แต่เนิ่นนานก็ยังมาไม่ถึงเสียที เขาจึงหรี่ตามองเล็กน้อย อยากเห็นว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร คิดไม่ถึงว่ากลับได้เห็นสถานที่อันแปลกตาแห่งหนึ่ง

“หืม สัตว์อสูรเทพเล่า” เจ้าอ้วนชวีลืมตา เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ อยู่กันหมดจึงถามขึ้นอย่างสงสัย

พวกเป่ยกงถังก็มองสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างประหลาดใจเช่นกันแล้วเอ่ยถามว่า “โยวเย่ว์ ที่นี่คือที่ไหนหรือ”

“ที่นี่คือด้านในเจดีย์วิญญาณน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “คือห้วงมิติแห่งหนึ่งของข้าเอง”

“เจดีย์วิญญาณหรือ ห้วงมิติของเจ้าเองอย่างนั้นหรือ”

“มิใช่ว่าภายในห้วงมิติไม่มีอากาศ จึงมิอาจเก็บสิ่งมีชีวิตเอาไว้ได้หรอกหรือ”

“เจดีย์วิญญาณนี้ค่อนข้างพิเศษ ที่นี่มีโลกเป็นของตัวเอง พอๆ กันกับโลกภายนอกเลย เพียงแต่อยู่ภายในเจดีย์แห่งหนึ่งเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ผลไม้ทิพย์ที่พวกเจ้ากินก็เติบโตอยู่ที่นี่แหละ”

“โอ้… ผลไม้ทิพย์มากมายจริงๆ!” เจ้าอ้วนชวีเห็นต้นผลไม้ทิพย์มากมาย มีผลไม้ทิพย์นานาชนิด แต่ละผลที่ห้อยอยู่บนต้นไม้นั้นดูเย้ายวนใจคนเหลือเกิน

เขามิอาจหักห้ามใจจากความน่าหลงใหลนั้นได้ จึงวิ่งขึ้นไปบนต้นไม้แล้วเด็ดมาผลหนึ่ง พอหยิบได้แล้วก็กัดลงไป

“สมุนไพรมากมายเสียจริง!” เป่ยกงถังเห็นสมุนไพรนานาชนิดในแปลงสมุนไพรแล้วจึงเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป “หญ้าดวงดาว ใบแก้วผลึก กัญชานิล หลากหลายชนิดเหลือเกิน!”

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าเป่ยกงถังจะคุ้นเคยกับสมุนไพรถึงเพียงนี้จึงเอ่ยว่า “เป่ยกง เจ้าก็คุ้นเคยกับสมุนไพรเช่นกันหรือ”

“อืม ตระกูลของข้าก่อนหน้านี้เป็นตระกูลนักหลอมยา ถึงแม้ว่าข้าจะไม่มีคุณสมบัติในการศึกษามัน แต่ก็ยังรู้จักสมุนไพรดีพอตัว” เป่ยกงถังพูด

“สัตว์อสูรวิเศษที่เจ้าฝึกก่อนหน้านี้ก็คงเก็บเอาไว้ที่นี่สินะ” เว่ยจือฉีนึกถึงสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นขึ้นมาได้ เขารู้ว่าเธอมีสถานที่ที่เก็บสิ่งมีชีวิตได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นห้วงมิติเช่นนี้เลยทีเดียว

“โยวเย่ว์ สถานที่แห่งนี้ของเจ้าช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!” เจ้าอ้วนชวีมองดูสิ่งของภายในเจดีย์วิญญาณจนดวงตาแทบจะถลนออกมาอยู่แล้ว

“อีกประเดี๋ยวข้าค่อยพาพวกเจ้าไปดูรอบๆ นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วยื่นมือไปคว้าตัวเจ้าคำรามน้อยที่คิดอาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีพลางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “บอกมาสิว่าคราวนี้เจ้าไปก่อเรื่องอะไรเข้าอีก”

ซือหม่าโยวเย่ว์ขี่เจ้าคำรามน้อยกลับมายังเทือกเขาสั่วเฟยย่า ตอนกลับไปนั้นเจ้าอ้วนชวีกำลังต่อสู้กับเว่ยจือฉีอยู่

การต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งห้า มักจะใช้อาวุธจริงทุกครั้ง เพราะอยากจะทำให้อีกฝ่ายก้าวหน้าขึ้น มีเพียงการต่อสู้ที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะทำให้คนพัฒนาขึ้นได้

พวกเขาไม่อยากจะเป็นไม้ประดับที่ถึงเวลาจริงแล้วเก่งแค่การบำเพ็ญ แต่ไร้ซึ่งพลังการต่อสู้

ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดลงข้างกายพวกเป่ยกงถัง ส่วนเจ้าคำรามน้อยก็หดร่างกายเล็กลงก๋อนจะไปวิ่งเล่น

เธอไม่เป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของเจ้าคำรามน้อยเลย บางทีอาจเพราะมันเป็นสัตว์มงคล ดังนั้นไม่ว่าระดับขั้นจะสูงต่ำเพียงใด มันก็เล่นกับผู้อื่นได้ทั้งสิ้น สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นไม่มีทางทำร้ายมันแน่นอน

เป่ยกงถังพยักหน้าให้ซือหม่าโยวเย่ว์แล้วถามว่า “จัดการเสร็จแล้วหรือ”

“อืม มอบให้พวกท่านอาฝูหมดแล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เห็นเจ้าอ้วนชวีโจมตีเข้าใส่เว่ยจือฉีอย่างรวดเร็วจึงถอนหายใจเอ่ยว่า “ความเร็วของเจ้าอ้วนเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนไม่น้อยเลย!”

“อืม น้ำหนักลดไปไม่น้อย ดูท่าทางสิ่งนี้จะได้ผล” โอวหยางเฟยพูด

“หลายเดือนมานี้เจ้าอ้วนน้ำหนักลดไปหลายสิบโลเลยกระมัง ต่อจากนี้เขาไม่อ้วนแล้ว พวกเรายังจะเรียกเขาว่าเจ้าอ้วนอยู่อีกหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางอย่างครุ่นคิด

“เขาไม่อ้วนแล้ว ดูๆ ไปก็ออกจะไม่คุ้นชินอยู่บ้าง” เป่ยกงถังพูด

เจ้าอ้วนชวีได้ยินพวกเขาพูดถึงรูปร่างของตนอยู่ตรงนั้นจึงกลอกตาใส่โดยไม่เอ่ยวาจา แต่มือกลับมิได้เคลื่อนไหวช้าลงเลย

ตอนนี้เขามิใช่เด็กหัวขนที่ตอนเข้าสู่ภูเขาใหม่ๆๆ พอได้ยินพวกเขาพูดถึงตนจนจิตใจฟุ้งซ่าน แล้วถูกคู่แข่งโยนออกไปอีกต่อไปแล้ว การฝึกอย่างยากลำบากตลอดหลายเดือนมานี้ทำให้เขาเติบใหญ่ขึ้นมาไม่น้อยเลย

เว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีต่อสู้กันมาเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็ยังคงเป็นเว่ยจือฉีที่เหนือกว่าอยู่เล็กน้อย

ถึงแม้ว่าเจ้าอ้วนชวีจะพ่ายแพ้ แต่ก็ยังคงอารมณ์ดี เขาเอนตัวลงบนพื้นแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น “ฮ่าๆ คราวนี้ข้ายืนหยัดได้นานกว่าครั้งก่อนเสียอีก จือฉี ไม่แน่ว่าอีกไม่นานข้าอาจจะเอาชนะเจ้าแล้วก็ได้!”

“ข้าจะรอนะ” เว่ยจือฉีพูดอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

ทั้งสองพักผ่อนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยก็เริ่มสู้กันบ้าง เพิ่งต่อสู้กันไปได้ไม่นานก็ได้ยินเจ้าคำรามน้อยวิ่งเข้ามาหาพวกเขาด้วยเสียงโหยหวน

“เย่ว์เย่ว์ วิ่งหนีเร็วเข้า โจรร้ายมาแล้ว!”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปยังทิศทางที่เจ้าคำรามน้อยวิ่งมาปราดหนึ่งแล้วก็ตะลึงตาค้างไปในทันใด บ้าเอ๊ย สัตว์อสูรเทพฝูงนั้นนั่นมันเรื่องบ้าอันใดกัน!

เจ้าคำรามน้อยเหาะมาตรงหน้า สัตว์อสูรเทพฝูงหนึ่งไล่ตามมาด้านหลัง ท่าทีดุร้ายโหดเหี้ยมนั้นดูคล้ายกับว่าเจ้าคำรามน้อยไปยั่วยุพวกมันแล้วจึงถูกเขาไล่ล่าสังหาร

“เย่ว์เย่ว์ ช่วยข้าด้วย!” เจ้าคำรามน้อยมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แต่ไกล จึงเพิ่มความเร็วเหาะตรงมาทางเธอ ซือหม่าโยวเย่ว์ได้สติกลับคืนมาในทันทีแล้วตะโกนเสียงดังไปทางพวกเป่ยกงถังว่า “โอวหยาง เป่ยกง เลิกสู้กันได้แล้ว วิ่งหนีเร็วเข้า! เจ้าอ้วน อย่ามัวแต่นอนสิ รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า!”

“มีเรื่องอันใดหรือ โยวเย่ว์ ข้าเหนื่อยจนไม่มีแรงวิ่งแล้วล่ะ!” เจ้าอ้วนชวีเอนกายอยู่บนพื้น ยังไม่รู้ว่าอันตรายมาเยือนเสียแล้ว

“ข้าก็ด้วย หมดแรงแล้วล่ะ” เว่ยจือฉีพูด

สัตว์อสูรวิเศษในละแวกนี้ล้วนถูกพวกเขาเก็บกวาดไปรอบหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีสัตว์อสูรวิเศษเต็มใจออกมากันสักเท่าใดนัก สองวันนี้พวกเขากำลังคิดจะย้ายถิ่นฐานกันอีกครั้งอยู่พอดี ดังนั้นตอนที่พวกเขาต่อสู้กันจึงมิได้ออมแรงตนเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

เมื่อเป่ยกงถังและโอวหยางเฟยได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงหยุดลงก่อนจะมองไปยังทิศทางที่เกิดความเคลื่อนไหว ก็เห็นสัตว์อสูรเทพฝูงหนึ่ง ทั้งสองก็ตะลึงงันไปทันที แต่เสียงตะโกนของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้พวกเขาได้สติกลับคืนมาแล้ววิ่งเข้ามาช่วยซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวสองคนบนพื้นขึ้นมาแล้วออกวิ่ง

เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีจึงค่อยค้นพบว่ามีสัตว์อสูรเทพฝูงหนึ่งกำลังบุกเข้ามา คราวนี้ไม่ต้องให้พวกซือหม่าโยวเย่ว์เร่ง พวกเขาก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วกันเองแล้ว

“ข้าตรวจสอบดูแล้ว สัตว์อสูรเทพมิได้อยู่กันแต่ที่บริเวณชั้นในหรอกหรือ แล้วที่นี่มีสัตว์อสูรเทพมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน!” เจ้าอ้วนชวีเห็นสัตว์อสูรเทพที่เคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยถามขึ้น

“เจ้าคำรามน้อยจะต้องก่อเรื่องอีกเป็นแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่ามันต้องไปล่วงเกินผู้ที่ไม่สมควรล่วงเกินเข้าอีกแล้วเป็นแน่ ไม่สิ ล่วงเกินสัตว์อสูรวิเศษต่างหากเล่า

“ไม่ได้ ข้าวิ่งไม่ไหวแล้ว!” เจ้าอ้วนชวีวิ่งไประยะหนึ่งก็เหนื่อยเหลือเกินแล้วจริงๆ ไม่เหลือเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูสัตว์อสูรเทพที่เล็งเป้าพวกเขาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะวิ่งกันต่อไปก็มิใช่วิธีการที่ดีนัก สัตว์อสูรเทพตั้งหลายตัว ทั้งยังมีสัตว์อสูรทิพย์อีกจำนวนไม่น้อย พอจะปลิดชีพพวกเขาได้ในเสี้ยววินาที

หมดหนทางแล้ว!

ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดฝีเท้า พวกโอวหยางเฟยเห็นเธอหยุดจึงหยุดฝีเท้าลงด้วยเช่นกันแล้วเอ่ยอย่างกระวนกระวายว่า “โยวเย่ว์ รีบวิ่งเร็วเข้าสิ!”

“ถึงวิ่งก็วิ่งไม่ทันพวกมันอยู่ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าคำรามน้อย เจ้ารีบให้ข้าหน่อยสิ!”

เจ้าอ้วนชวีวิ่งไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว หลังจากที่เขาวิ่งมาถึงข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ก็เกาะบ่าเธอพลางหอบอย่างรุนแรง

เจ้าคำรามน้อยหันหน้าไปมองเหล่าสัตว์อสูรเทพที่อยู่ห่างจากพวกเขาเป็นระยะทางเล็กน้อยเท่านั้นแล้วยกขาอันจิ๋วขึ้น เพิ่มความเร็วของตนเองแล้วพุ่งเข้าใส่อ้อมกอดของซือหม่าโยวเย่ว์

พวกเป่ยกงถังก็รู้ว่าวิ่งต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เมื่อเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์หยุดฝีเท้าจึงหยุดเพื่อเตรียมตัวสำหรับเฮือกสุดท้ายเช่นเดียวกัน

“เย่ว์เย่ว์ รีบจับตัวข้าไว้เร็วเข้า!” เจ้าคำรามน้อยกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดซือหม่าโยวเย่ว์ในพริบตา สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นก็พุ่งเข้ามาเช่นเดียวกัน

พวกเขาเห็นเขี้ยวยาวในปากสัตว์อสูรเทพได้อย่างชัดเจนแล้ว ในใจคิดว่าวันนี้คงได้ถูกฝังกันอยู่ที่นี่แล้ว แต่ในขณะที่สัตว์อสูรเทพอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงไม่กี่เมตรนั้นเอง ตอนที่พวกมันพุ่งเข้ามานั้น ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน สัตว์อสูรเทพหายตัวไปจนสิ้น

เจ้าอ้วนชวีหลับตาลงรอคอยความเจ็บปวดครั้งสุดท้าย แต่เนิ่นนานก็ยังมาไม่ถึงเสียที เขาจึงหรี่ตามองเล็กน้อย อยากเห็นว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร คิดไม่ถึงว่ากลับได้เห็นสถานที่อันแปลกตาแห่งหนึ่ง

“หืม สัตว์อสูรเทพเล่า” เจ้าอ้วนชวีลืมตา เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ อยู่กันหมดจึงถามขึ้นอย่างสงสัย

พวกเป่ยกงถังก็มองสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างประหลาดใจเช่นกันแล้วเอ่ยถามว่า “โยวเย่ว์ ที่นี่คือที่ไหนหรือ”

“ที่นี่คือด้านในเจดีย์วิญญาณน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “คือห้วงมิติแห่งหนึ่งของข้าเอง”

“เจดีย์วิญญาณหรือ ห้วงมิติของเจ้าเองอย่างนั้นหรือ”

“มิใช่ว่าภายในห้วงมิติไม่มีอากาศ จึงมิอาจเก็บสิ่งมีชีวิตเอาไว้ได้หรอกหรือ”

“เจดีย์วิญญาณนี้ค่อนข้างพิเศษ ที่นี่มีโลกเป็นของตัวเอง พอๆ กันกับโลกภายนอกเลย เพียงแต่อยู่ภายในเจดีย์แห่งหนึ่งเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ผลไม้ทิพย์ที่พวกเจ้ากินก็เติบโตอยู่ที่นี่แหละ”

“โอ้… ผลไม้ทิพย์มากมายจริงๆ!” เจ้าอ้วนชวีเห็นต้นผลไม้ทิพย์มากมาย มีผลไม้ทิพย์นานาชนิด แต่ละผลที่ห้อยอยู่บนต้นไม้นั้นดูเย้ายวนใจคนเหลือเกิน

เขามิอาจหักห้ามใจจากความน่าหลงใหลนั้นได้ จึงวิ่งขึ้นไปบนต้นไม้แล้วเด็ดมาผลหนึ่ง พอหยิบได้แล้วก็กัดลงไป

“สมุนไพรมากมายเสียจริง!” เป่ยกงถังเห็นสมุนไพรนานาชนิดในแปลงสมุนไพรแล้วจึงเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป “หญ้าดวงดาว ใบแก้วผลึก กัญชานิล หลากหลายชนิดเหลือเกิน!”

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าเป่ยกงถังจะคุ้นเคยกับสมุนไพรถึงเพียงนี้จึงเอ่ยว่า “เป่ยกง เจ้าก็คุ้นเคยกับสมุนไพรเช่นกันหรือ”

“อืม ตระกูลของข้าก่อนหน้านี้เป็นตระกูลนักหลอมยา ถึงแม้ว่าข้าจะไม่มีคุณสมบัติในการศึกษามัน แต่ก็ยังรู้จักสมุนไพรดีพอตัว” เป่ยกงถังพูด

“สัตว์อสูรวิเศษที่เจ้าฝึกก่อนหน้านี้ก็คงเก็บเอาไว้ที่นี่สินะ” เว่ยจือฉีนึกถึงสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นขึ้นมาได้ เขารู้ว่าเธอมีสถานที่ที่เก็บสิ่งมีชีวิตได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นห้วงมิติเช่นนี้เลยทีเดียว

“โยวเย่ว์ สถานที่แห่งนี้ของเจ้าช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!” เจ้าอ้วนชวีมองดูสิ่งของภายในเจดีย์วิญญาณจนดวงตาแทบจะถลนออกมาอยู่แล้ว

“อีกประเดี๋ยวข้าค่อยพาพวกเจ้าไปดูรอบๆ นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วยื่นมือไปคว้าตัวเจ้าคำรามน้อยที่คิดอาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีพลางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “บอกมาสิว่าคราวนี้เจ้าไปก่อเรื่องอะไรเข้าอีก”

เธออยู่ภายในนั้นเนิ่นนาน แต่พอออกมาข้างนอกกลับผ่านไปไม่ถึงครึ่งคืน เธอให้เจ้าคำรามน้อยเก็บกวาด หลังจากนั้นจึงบำเพ็ญอยู่ภายในถ้ำต่อไป

ยามเช้าตรู่ พวกเขาแทบจะตื่นขึ้นในเวลาเดียวกัน พอล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยจึงออกไป

วันนี้พวกเขาจะไปเสาะหาสัตว์อสูรวิเศษมาต่อสู้ด้วยเพื่อยกระดับความสามารถในการต่อสู้

อยู่ที่นี่มานานสองเดือน สัตว์อสูรวิเศษในบริเวณรอบๆ ย่อมรู้จักพวกเขากันหมดแล้ว รู้ว่าพวกเขาทั้งห้าคนมีพลังการต่อสู้อันน่าพิศวง ดังนั้นพอเห็นพวกเขาจึงพากันหลบหนีไปไกล

พวกเขาหามารอบหนึ่งก็ยังไม่เห็นว่ามีสัตว์อสูรวิเศษอยู่เลย จำใจต้องไปหายังบริเวณที่ไกลออกไป

“หากเข้าไปอีกก็จะเป็นอาณาบริเวณของสัตว์อสูรทิพย์แล้ว” โอวหยางเฟยยืนอยู่บนยอดเขา มองไปยังหุบเขาเบื้องหน้าพลางเอ่ยขึ้น

“ถึงอย่างไรข้าวของของพวกเราก็อยู่ในแหวนหมดแล้ว หากต้องการก็ไปได้ตลอดเวลา” เจ้าอ้วนชวีพูด “ในเมื่อหาสัตว์อสูรวิเศษแถวนี้มาต่อสู้กับพวกเราไม่ได้แล้ว ไม่สู้มุ่งหน้าต่อไปไม่ดีกว่าหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ลังเลอยู่บ้าง ตอนนี้มีเธอเพียงคนเดียวที่เป็นมหาปรมาจารย์วิญญาณ เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยเป็นปรมาจารย์วิญญาณขั้นเก้า ส่วนเว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีเป็นปรมาจารย์วิญญาณขั้นแปด หากต่อกรกับสัตว์อสูรทิพย์ตัวสองตัวก็ยังพอไหว แต่ถ้าหากเจอเป็นฝูง พอถึงเวลานั้นต้องลำบากแน่นอน

แต่ถ้าหากมัวเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไป เป้าหมายที่พวกเขาอยากจะยกระดับพลังยุทธ์ก็คงจะเป็นเรื่องยาก

“เจ้ามิได้บอกว่าจะพัฒนาท่ามกลางภยันตรายหรอกหรือ” เว่ยจือฉีเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ลังเลจึงพูดยิ้มๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์แววตาเปล่งประกาย ใช่แล้ว ตอนนั้นที่ตนมาที่นี่ก็มิใช่เพราะมีความคิดเช่นนี้หรอกหรือ เหตุใดตอนนี้จึงลังเลขึ้นมาเสียแล้วเล่า

อันที่จริงก็เป็นเพราะเธอรู้สึกว่าพวกเจ้าอ้วนชวีมากับตนถึงที่นี่แล้ว ถ้าหากไม่มีเธอ พวกเขาก็คงไม่มีทางมาถึงเทือกเขาสั่วเฟยย่า อย่างน้อยก็คงไม่มาในเวลาเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องนึกถึงความปลอดภัยของพวกเขาโดยสัญชาตญาณ

“ไปกันเถิด ข้างหน้าย่อมไม่เหมือนกับที่นี่ มีสัตว์อสูรวิเศษภายในนั้นมากกว่า พลังก็แข็งแกร่งกว่า คงจะให้พวกเราอยู่กันได้สักระยะหนึ่งเลยทีเดียว” โอวหยางเฟยพูด

พอส่งพวกเขาจากไปแล้ว สัตว์อสูรวิเศษที่ซ่อนตัวอยู่เหล่านั้นจึงทยอยกันออกมา แต่ละตัวต่างกอดคอกันร้องไห้ ในที่สุดเจ้าพวกดาวร้ายกลุ่มนี้ก็จากไปได้เสียที ไม่ง่ายเลย!

ก่อนหน้านี้ยังคิดว่าเป็นลูกพลับเนื้อนุ่มจัดการง่าย คิดไม่ถึงว่าจะหนังเหนียวเคี้ยวยาก สัตว์อสูรวิเศษที่ไปยั่วยุพวกเขาล้วนมิได้มีจุดจบที่ดีกันทั้งสิ้น ถ้ามิได้ถูกฆ่า ก็ถูกทุบตีปางตาย ทำเอาพวกมันตกใจกลัวจนไม่กล้าไปเสนอหน้ากันอีกต่อไป

ดังนั้นพวกมันจึงรวมตัวกันเพื่อซ่อนตัวจากพวกเขา เมื่อหาสัตว์อสูรวิเศษไม่พบ พวกเขาก็ย่อมจากไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

คิดไม่ถึงว่ากลยุทธ์นี้จะได้ผลจริงๆ ดาวร้ายจากไปแล้ว ชีวิตของพวกมันก็คงกลับไปเป็นเช่นก่อนหน้านี้แล้ว

พวกซือหม่าโยวเย่ว์จากไป ย่อมไม่รู้อยู่ความคิดของบรรดาสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำที่อยู่ด้านหลังเหล่านั้นอยู่แล้ว ถ้าหากล่วงรู้คาดว่าคงจะต่อต้าน พวกเขาน่าพิศวงขนาดที่พูดเสียที่ไหนกัน

แต่เธอก็ค้นพบแล้วว่าพวกเขาทุกคนต่างก็มีความสามารถในการต่อสู้แบบก้าวกระโดด ส่วนพวกเว่ยจือฉีนั้นถึงแม้ว่าจะยังเป็นปรมาจารย์วิญญาณ แต่หากต้องประมือกับมหาปรมาจารย์วิญญาณก็ไม่เป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อย

ส่วนเป่ยกงและโอวหยางเฟย ถ้าหากสู้อย่างสุดกำลัง พลังการต่อสู้ก็น่าจะเทียบเคียงได้กับมหาปรมาจารย์วิญญาณขั้นเจ็ดขั้นแปดเลยทีเดียว

ส่วนตัวเธอเองนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ความสามารถในชาติก่อน พลังจิตอันน่าพิศวงในชาตินี้ บวกกับพลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่กว่าคนทั่วไปหลังจากถูกดัดแปลง ทั้งยังมีพรสวรรค์พหุธาตุ ต่อให้เผชิญกับราชาวิญญาณขั้นกลางก็ใช่ว่าเธอจะไม่มีโอกาสชนะ

เมื่อนึกถึงว่าตอนนี้ใช้งานเจดีย์วิญญาณได้ด้วย เธอจึงให้เจ้าวิญญาณน้อยเด็ดผลไม้ทิพย์มาจำนวนหนึ่งแล้วหยิบออกมาแบ่งให้คนละสองผล กินผลไม้ทิพย์ไปพลาง เดินทางไปพลาง

“ผลไม้ทิพย์หรือ โยวเย่ว์ เจ้าไปเอามาจากไหนกัน” เจ้าอ้วนชวีมองเห็นผลไม้ทิพย์จึงกัดคำหนึ่งก็พบว่าชุ่มฉ่ำน้ำ เมื่อกลืนลงท้องแล้วพลังวิญญาณขุมหนึ่งก็โคจรจากในท้องไปยังเส้นลมปราณ หลังจากนั้นก็ไหลจากเส้นลมปราณเข้าไปยังสระพลังวิญญาณ

“เสกออกมาน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์กัดผลไม้ทิพย์คำหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“ผลไม้ทิพย์นี้ดีกว่าที่เคยกินก่อนหน้านี้มากนัก พลังวิญญาณที่แฝงอยู่ภายในก็มากกว่าด้วย” เว่ยจือฉีพูด

เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยกินผลไม้ทิพย์อย่างเงียบๆ แต่นัยน์ตาก็เจือแววใคร่รู้เช่นกัน

ตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่อยากบอกให้พวกเขารู้ถึงการมีอยู่ของเจดีย์วิญญาณ ถึงแม้ว่าทุกคนจะคาดเดาได้เล็กน้อย แต่ก็รู้อยู่ในใจมิได้พูดออกมา

แน่นอนว่าให้พวกเขารู้ความลับบางอย่างของตน นอกจากจะเพื่อความเชื่อใจพวกเขาแล้วก็เพื่อความสะดวกของตนด้วย พอถึงเวลานั้นตนอยากจะทำอะไรก็จะไม่ยุ่งยากจนเกินไป

ถึงอย่างไรก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มีความลับบางอย่างที่มิอาจเปิดเผยได้โดยง่าย

นอกจากนี้การกินผลไม้ทิพย์เป็นประจำยังช่วยเพิ่มพื้นฐานการบำเพ็ญของทุกคนได้ด้วย

“มีความเคลื่อนไหว” ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดยืนอย่างกะทันหันแล้วโยนผลไม้ทิพย์ในมือทิ้งไป ก่อนจะหยิบหลิงหลงออกมาพลางมองไปเบื้องหน้าทางซ้ายอย่างระแวดระวัง

เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์โยนผลไม้ทิพย์ที่เพิ่งกินไปสองคำทิ้งเสียอย่างนั้น เจ้าอ้วนชวีก็เจ็บปวดใจไม่น้อย แต่เมื่อนึกดูอีกทีก็รู้ว่าเธอจะต้องมีผลไม้ทิพย์มากมายอย่างแน่นอน จึงยินดีอยู่ในใจ เช่นนี้ก็แปลว่าต่อไปตนจะได้กินผลไม้ทิพย์บ่อยๆ แล้วใช่หรือไม่!

ที่เผชิญในคราวนี้ก็คือเสือเขี้ยวดาบ สัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่ง เมื่อเห็นพวกเขา เสือเขี้ยวดาบก็พุ่งตรงเข้ามา ดูเหมือนว่าจะหิวกระหายอย่างยิ่ง อยากกินพวกเขาเต็มแก่

“เพิ่งมาถึงก็พบสัตว์อสูรทิพย์เลย ต้องรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว!” เจ้าอ้วนชวีเก็บผลไม้ทิพย์ที่เหลือเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุ ก่อนจะหยิบอาวุธของตนออกมาแล้วลุยเข้าไปด้วยเช่นกัน

การเคลื่อนไหวของพวกโอวหยางเฟยก็ไม่ช้าเช่นกัน ตอนที่เจ้าอ้วนชวีบ่นอยู่นั้นพวกเขาก็เริ่มต้นเคลื่อนไหวกันแล้ว

สัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่งกับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นเก้า ถึงแม้ว่าจะห่างกันเพียงระดับขั้นเดียว แต่พลังยุทธ์กลับห่างชั้นกันมากเหลือเกิน พวกเขาสองสามคนจัดการสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นเก้าตนหนึ่งได้ แต่เมื่อเผชิญกับสัตว์อสูรทิพย์ พวกเขาต้องลุยเข้าไปพร้อมกันจึงจะใช้ได้

ครึ่งชั่วโมงให้หลัง พวกเขาห้าคนก็ทำให้เสือเขี้ยวดาบยอมศิโรราบได้ พวกเขาไม่อยากเข่นฆ่า ดังนั้นจึงมิได้เอาชีวิตมัน

“โยวเย่ว์ ตระกูลซือหม่ายังต้องการสัตว์อสูรวิเศษอีกมิใช่หรือ เช่นนั้นเจ้าฝึกมันให้เชื่องแล้วพอถึงเวลาก็ส่งมันไปพร้อมกับยาวิเศษจะดีกว่านะ” เว่ยจือฉีพูด

ราคาของสัตว์อสูรทิพย์ตนหนึ่งสูงกว่าราคาของสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำหลายเท่า สัตว์อสูรทิพย์ย่อมสร้างรายได้ให้มากกว่าสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำอย่างมหาศาล

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดๆ ดูแล้วก็ใช้ได้ ตระกูลซือหม่ายังต้องการสัตว์อสูรวิเศษไปแก้ขัดอยู่ ที่ตนเองรับปากสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเอาไว้แล้วว่าจะฝึกสัตว์อสูรทิพย์จำนวนหนึ่งให้ก็ยังไม่ได้ทำเลย ตนก็ฝึกสัตว์อสูรวิเศษจำนวนหนึ่งให้เชื่องเอาไว้ก่อน พอถึงเวลาแล้วค่อยส่งไปพร้อมกัน

การฝึกฝนเคล็ดหลอมวิญญาณตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ รวมทั้งพลังยุทธ์ที่เพิ่มขึ้นของตน พลังจิตของเธอก็เพิ่มพูนขึ้นมาไม่น้อย ตอนนี้การฝึกสัตว์อสูรทิพย์จึงยิ่งง่ายดายขึ้นอีก

มีบางทีที่เธอให้เว่ยจือฉีมาฝึก หลังจากมาที่เทือกเขาสั่วเฟยย่าแล้วเธอได้สอนเคล็ดหลอมวิญญาณส่วนแรกให้กับเว่ยจือฉีบางส่วน มิได้บอกว่าเป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดหลอมวิญญาณ บอกเพียงแค่ว่าเป็นวิธีการที่ช่วยยกระดับพลังจิตได้เท่านั้น

เว่ยจือฉีฝึกฝนอย่างเคร่งครัดอยู่ทุกคืน ตอนนี้เขาก็พอฝึกสัตว์อสูรวิเศษในบรรดาสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสองได้แล้ว

จากนั้นพวกเขาก็เริ่มต้นกวาดไปทั่วทั้งภูเขาอีกครั้ง ในขณะที่ยกระดับพลังยุทธ์ของตนอย่างต่อเนื่องก็ไม่ลืมที่จะเก็บสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นทั้งหมดเอาไว้ด้วย

เมื่อรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์มีสิ่งของที่เก็บสิ่งมีชีวิตได้ เห็นเธอเก็บสัตว์อสูรวิเศษตนแล้วตนเล่าเข้าไป พวกเขาจึงไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย

กินผลไม้ทิพย์ ต่อสู้กับสัตว์อสูรวิเศษ ดูดซับปราณวิญญาณอันเข้มข้นในภูเขาไปทุกวัน ถึงแม้ว่าจะได้สัมผัสกับรอยต่อความเป็นความตายอยู่เป็นประจำ แต่พลังยุทธ์ของพวกเขาก็พุ่งสูงขึ้นราวกับขี่จรวดเลยทีเดียว

อีกหลายเดือนต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ขี่เจ้าคำรามน้อยออกไปเพียงคนเดียว มายังบริเวณที่เข้ามาในเทือกเขาสั่วเฟยย่าเป็นครั้งแรก พ่อบ้านตระกูลซือหม่ากำลังรอเธออยู่ที่นั่น

คราวก่อนตอนส่งมอบยาวิเศษก็บอกเอาไว้แล้วว่าครั้งนี้ให้เขานำกรงใส่สัตว์อสูรวิเศษมาด้วยสักเก้าอันสิบอัน จากนั้นเขาจึงรีบไปที่สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรแล้วขอยืมกรงมาจำนวนหนึ่ง ก่อนจะรีบมาโดยไม่พักฝีเท้าแล้วรอคอยซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ที่นี่มาโดยตลอด

เธออยู่ภายในนั้นเนิ่นนาน แต่พอออกมาข้างนอกกลับผ่านไปไม่ถึงครึ่งคืน เธอให้เจ้าคำรามน้อยเก็บกวาด หลังจากนั้นจึงบำเพ็ญอยู่ภายในถ้ำต่อไป

ยามเช้าตรู่ พวกเขาแทบจะตื่นขึ้นในเวลาเดียวกัน พอล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยจึงออกไป

วันนี้พวกเขาจะไปเสาะหาสัตว์อสูรวิเศษมาต่อสู้ด้วยเพื่อยกระดับความสามารถในการต่อสู้

อยู่ที่นี่มานานสองเดือน สัตว์อสูรวิเศษในบริเวณรอบๆ ย่อมรู้จักพวกเขากันหมดแล้ว รู้ว่าพวกเขาทั้งห้าคนมีพลังการต่อสู้อันน่าพิศวง ดังนั้นพอเห็นพวกเขาจึงพากันหลบหนีไปไกล

พวกเขาหามารอบหนึ่งก็ยังไม่เห็นว่ามีสัตว์อสูรวิเศษอยู่เลย จำใจต้องไปหายังบริเวณที่ไกลออกไป

“หากเข้าไปอีกก็จะเป็นอาณาบริเวณของสัตว์อสูรทิพย์แล้ว” โอวหยางเฟยยืนอยู่บนยอดเขา มองไปยังหุบเขาเบื้องหน้าพลางเอ่ยขึ้น

“ถึงอย่างไรข้าวของของพวกเราก็อยู่ในแหวนหมดแล้ว หากต้องการก็ไปได้ตลอดเวลา” เจ้าอ้วนชวีพูด “ในเมื่อหาสัตว์อสูรวิเศษแถวนี้มาต่อสู้กับพวกเราไม่ได้แล้ว ไม่สู้มุ่งหน้าต่อไปไม่ดีกว่าหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ลังเลอยู่บ้าง ตอนนี้มีเธอเพียงคนเดียวที่เป็นมหาปรมาจารย์วิญญาณ เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยเป็นปรมาจารย์วิญญาณขั้นเก้า ส่วนเว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีเป็นปรมาจารย์วิญญาณขั้นแปด หากต่อกรกับสัตว์อสูรทิพย์ตัวสองตัวก็ยังพอไหว แต่ถ้าหากเจอเป็นฝูง พอถึงเวลานั้นต้องลำบากแน่นอน

แต่ถ้าหากมัวเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไป เป้าหมายที่พวกเขาอยากจะยกระดับพลังยุทธ์ก็คงจะเป็นเรื่องยาก

“เจ้ามิได้บอกว่าจะพัฒนาท่ามกลางภยันตรายหรอกหรือ” เว่ยจือฉีเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ลังเลจึงพูดยิ้มๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์แววตาเปล่งประกาย ใช่แล้ว ตอนนั้นที่ตนมาที่นี่ก็มิใช่เพราะมีความคิดเช่นนี้หรอกหรือ เหตุใดตอนนี้จึงลังเลขึ้นมาเสียแล้วเล่า

อันที่จริงก็เป็นเพราะเธอรู้สึกว่าพวกเจ้าอ้วนชวีมากับตนถึงที่นี่แล้ว ถ้าหากไม่มีเธอ พวกเขาก็คงไม่มีทางมาถึงเทือกเขาสั่วเฟยย่า อย่างน้อยก็คงไม่มาในเวลาเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องนึกถึงความปลอดภัยของพวกเขาโดยสัญชาตญาณ

“ไปกันเถิด ข้างหน้าย่อมไม่เหมือนกับที่นี่ มีสัตว์อสูรวิเศษภายในนั้นมากกว่า พลังก็แข็งแกร่งกว่า คงจะให้พวกเราอยู่กันได้สักระยะหนึ่งเลยทีเดียว” โอวหยางเฟยพูด

พอส่งพวกเขาจากไปแล้ว สัตว์อสูรวิเศษที่ซ่อนตัวอยู่เหล่านั้นจึงทยอยกันออกมา แต่ละตัวต่างกอดคอกันร้องไห้ ในที่สุดเจ้าพวกดาวร้ายกลุ่มนี้ก็จากไปได้เสียที ไม่ง่ายเลย!

ก่อนหน้านี้ยังคิดว่าเป็นลูกพลับเนื้อนุ่มจัดการง่าย คิดไม่ถึงว่าจะหนังเหนียวเคี้ยวยาก สัตว์อสูรวิเศษที่ไปยั่วยุพวกเขาล้วนมิได้มีจุดจบที่ดีกันทั้งสิ้น ถ้ามิได้ถูกฆ่า ก็ถูกทุบตีปางตาย ทำเอาพวกมันตกใจกลัวจนไม่กล้าไปเสนอหน้ากันอีกต่อไป

ดังนั้นพวกมันจึงรวมตัวกันเพื่อซ่อนตัวจากพวกเขา เมื่อหาสัตว์อสูรวิเศษไม่พบ พวกเขาก็ย่อมจากไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

คิดไม่ถึงว่ากลยุทธ์นี้จะได้ผลจริงๆ ดาวร้ายจากไปแล้ว ชีวิตของพวกมันก็คงกลับไปเป็นเช่นก่อนหน้านี้แล้ว

พวกซือหม่าโยวเย่ว์จากไป ย่อมไม่รู้อยู่ความคิดของบรรดาสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำที่อยู่ด้านหลังเหล่านั้นอยู่แล้ว ถ้าหากล่วงรู้คาดว่าคงจะต่อต้าน พวกเขาน่าพิศวงขนาดที่พูดเสียที่ไหนกัน

แต่เธอก็ค้นพบแล้วว่าพวกเขาทุกคนต่างก็มีความสามารถในการต่อสู้แบบก้าวกระโดด ส่วนพวกเว่ยจือฉีนั้นถึงแม้ว่าจะยังเป็นปรมาจารย์วิญญาณ แต่หากต้องประมือกับมหาปรมาจารย์วิญญาณก็ไม่เป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อย

ส่วนเป่ยกงและโอวหยางเฟย ถ้าหากสู้อย่างสุดกำลัง พลังการต่อสู้ก็น่าจะเทียบเคียงได้กับมหาปรมาจารย์วิญญาณขั้นเจ็ดขั้นแปดเลยทีเดียว

ส่วนตัวเธอเองนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ความสามารถในชาติก่อน พลังจิตอันน่าพิศวงในชาตินี้ บวกกับพลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่กว่าคนทั่วไปหลังจากถูกดัดแปลง ทั้งยังมีพรสวรรค์พหุธาตุ ต่อให้เผชิญกับราชาวิญญาณขั้นกลางก็ใช่ว่าเธอจะไม่มีโอกาสชนะ

เมื่อนึกถึงว่าตอนนี้ใช้งานเจดีย์วิญญาณได้ด้วย เธอจึงให้เจ้าวิญญาณน้อยเด็ดผลไม้ทิพย์มาจำนวนหนึ่งแล้วหยิบออกมาแบ่งให้คนละสองผล กินผลไม้ทิพย์ไปพลาง เดินทางไปพลาง

“ผลไม้ทิพย์หรือ โยวเย่ว์ เจ้าไปเอามาจากไหนกัน” เจ้าอ้วนชวีมองเห็นผลไม้ทิพย์จึงกัดคำหนึ่งก็พบว่าชุ่มฉ่ำน้ำ เมื่อกลืนลงท้องแล้วพลังวิญญาณขุมหนึ่งก็โคจรจากในท้องไปยังเส้นลมปราณ หลังจากนั้นก็ไหลจากเส้นลมปราณเข้าไปยังสระพลังวิญญาณ

“เสกออกมาน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์กัดผลไม้ทิพย์คำหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“ผลไม้ทิพย์นี้ดีกว่าที่เคยกินก่อนหน้านี้มากนัก พลังวิญญาณที่แฝงอยู่ภายในก็มากกว่าด้วย” เว่ยจือฉีพูด

เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยกินผลไม้ทิพย์อย่างเงียบๆ แต่นัยน์ตาก็เจือแววใคร่รู้เช่นกัน

ตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่อยากบอกให้พวกเขารู้ถึงการมีอยู่ของเจดีย์วิญญาณ ถึงแม้ว่าทุกคนจะคาดเดาได้เล็กน้อย แต่ก็รู้อยู่ในใจมิได้พูดออกมา

แน่นอนว่าให้พวกเขารู้ความลับบางอย่างของตน นอกจากจะเพื่อความเชื่อใจพวกเขาแล้วก็เพื่อความสะดวกของตนด้วย พอถึงเวลานั้นตนอยากจะทำอะไรก็จะไม่ยุ่งยากจนเกินไป

ถึงอย่างไรก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มีความลับบางอย่างที่มิอาจเปิดเผยได้โดยง่าย

นอกจากนี้การกินผลไม้ทิพย์เป็นประจำยังช่วยเพิ่มพื้นฐานการบำเพ็ญของทุกคนได้ด้วย

“มีความเคลื่อนไหว” ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดยืนอย่างกะทันหันแล้วโยนผลไม้ทิพย์ในมือทิ้งไป ก่อนจะหยิบหลิงหลงออกมาพลางมองไปเบื้องหน้าทางซ้ายอย่างระแวดระวัง

เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์โยนผลไม้ทิพย์ที่เพิ่งกินไปสองคำทิ้งเสียอย่างนั้น เจ้าอ้วนชวีก็เจ็บปวดใจไม่น้อย แต่เมื่อนึกดูอีกทีก็รู้ว่าเธอจะต้องมีผลไม้ทิพย์มากมายอย่างแน่นอน จึงยินดีอยู่ในใจ เช่นนี้ก็แปลว่าต่อไปตนจะได้กินผลไม้ทิพย์บ่อยๆ แล้วใช่หรือไม่!

ที่เผชิญในคราวนี้ก็คือเสือเขี้ยวดาบ สัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่ง เมื่อเห็นพวกเขา เสือเขี้ยวดาบก็พุ่งตรงเข้ามา ดูเหมือนว่าจะหิวกระหายอย่างยิ่ง อยากกินพวกเขาเต็มแก่

“เพิ่งมาถึงก็พบสัตว์อสูรทิพย์เลย ต้องรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว!” เจ้าอ้วนชวีเก็บผลไม้ทิพย์ที่เหลือเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุ ก่อนจะหยิบอาวุธของตนออกมาแล้วลุยเข้าไปด้วยเช่นกัน

การเคลื่อนไหวของพวกโอวหยางเฟยก็ไม่ช้าเช่นกัน ตอนที่เจ้าอ้วนชวีบ่นอยู่นั้นพวกเขาก็เริ่มต้นเคลื่อนไหวกันแล้ว

สัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่งกับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นเก้า ถึงแม้ว่าจะห่างกันเพียงระดับขั้นเดียว แต่พลังยุทธ์กลับห่างชั้นกันมากเหลือเกิน พวกเขาสองสามคนจัดการสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นเก้าตนหนึ่งได้ แต่เมื่อเผชิญกับสัตว์อสูรทิพย์ พวกเขาต้องลุยเข้าไปพร้อมกันจึงจะใช้ได้

ครึ่งชั่วโมงให้หลัง พวกเขาห้าคนก็ทำให้เสือเขี้ยวดาบยอมศิโรราบได้ พวกเขาไม่อยากเข่นฆ่า ดังนั้นจึงมิได้เอาชีวิตมัน

“โยวเย่ว์ ตระกูลซือหม่ายังต้องการสัตว์อสูรวิเศษอีกมิใช่หรือ เช่นนั้นเจ้าฝึกมันให้เชื่องแล้วพอถึงเวลาก็ส่งมันไปพร้อมกับยาวิเศษจะดีกว่านะ” เว่ยจือฉีพูด

ราคาของสัตว์อสูรทิพย์ตนหนึ่งสูงกว่าราคาของสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำหลายเท่า สัตว์อสูรทิพย์ย่อมสร้างรายได้ให้มากกว่าสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำอย่างมหาศาล

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดๆ ดูแล้วก็ใช้ได้ ตระกูลซือหม่ายังต้องการสัตว์อสูรวิเศษไปแก้ขัดอยู่ ที่ตนเองรับปากสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเอาไว้แล้วว่าจะฝึกสัตว์อสูรทิพย์จำนวนหนึ่งให้ก็ยังไม่ได้ทำเลย ตนก็ฝึกสัตว์อสูรวิเศษจำนวนหนึ่งให้เชื่องเอาไว้ก่อน พอถึงเวลาแล้วค่อยส่งไปพร้อมกัน

การฝึกฝนเคล็ดหลอมวิญญาณตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ รวมทั้งพลังยุทธ์ที่เพิ่มขึ้นของตน พลังจิตของเธอก็เพิ่มพูนขึ้นมาไม่น้อย ตอนนี้การฝึกสัตว์อสูรทิพย์จึงยิ่งง่ายดายขึ้นอีก

มีบางทีที่เธอให้เว่ยจือฉีมาฝึก หลังจากมาที่เทือกเขาสั่วเฟยย่าแล้วเธอได้สอนเคล็ดหลอมวิญญาณส่วนแรกให้กับเว่ยจือฉีบางส่วน มิได้บอกว่าเป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดหลอมวิญญาณ บอกเพียงแค่ว่าเป็นวิธีการที่ช่วยยกระดับพลังจิตได้เท่านั้น

เว่ยจือฉีฝึกฝนอย่างเคร่งครัดอยู่ทุกคืน ตอนนี้เขาก็พอฝึกสัตว์อสูรวิเศษในบรรดาสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสองได้แล้ว

จากนั้นพวกเขาก็เริ่มต้นกวาดไปทั่วทั้งภูเขาอีกครั้ง ในขณะที่ยกระดับพลังยุทธ์ของตนอย่างต่อเนื่องก็ไม่ลืมที่จะเก็บสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นทั้งหมดเอาไว้ด้วย

เมื่อรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์มีสิ่งของที่เก็บสิ่งมีชีวิตได้ เห็นเธอเก็บสัตว์อสูรวิเศษตนแล้วตนเล่าเข้าไป พวกเขาจึงไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย

กินผลไม้ทิพย์ ต่อสู้กับสัตว์อสูรวิเศษ ดูดซับปราณวิญญาณอันเข้มข้นในภูเขาไปทุกวัน ถึงแม้ว่าจะได้สัมผัสกับรอยต่อความเป็นความตายอยู่เป็นประจำ แต่พลังยุทธ์ของพวกเขาก็พุ่งสูงขึ้นราวกับขี่จรวดเลยทีเดียว

อีกหลายเดือนต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ขี่เจ้าคำรามน้อยออกไปเพียงคนเดียว มายังบริเวณที่เข้ามาในเทือกเขาสั่วเฟยย่าเป็นครั้งแรก พ่อบ้านตระกูลซือหม่ากำลังรอเธออยู่ที่นั่น

คราวก่อนตอนส่งมอบยาวิเศษก็บอกเอาไว้แล้วว่าครั้งนี้ให้เขานำกรงใส่สัตว์อสูรวิเศษมาด้วยสักเก้าอันสิบอัน จากนั้นเขาจึงรีบไปที่สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรแล้วขอยืมกรงมาจำนวนหนึ่ง ก่อนจะรีบมาโดยไม่พักฝีเท้าแล้วรอคอยซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ที่นี่มาโดยตลอด

เธออยู่ภายในนั้นเนิ่นนาน แต่พอออกมาข้างนอกกลับผ่านไปไม่ถึงครึ่งคืน เธอให้เจ้าคำรามน้อยเก็บกวาด หลังจากนั้นจึงบำเพ็ญอยู่ภายในถ้ำต่อไป

ยามเช้าตรู่ พวกเขาแทบจะตื่นขึ้นในเวลาเดียวกัน พอล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยจึงออกไป

วันนี้พวกเขาจะไปเสาะหาสัตว์อสูรวิเศษมาต่อสู้ด้วยเพื่อยกระดับความสามารถในการต่อสู้

อยู่ที่นี่มานานสองเดือน สัตว์อสูรวิเศษในบริเวณรอบๆ ย่อมรู้จักพวกเขากันหมดแล้ว รู้ว่าพวกเขาทั้งห้าคนมีพลังการต่อสู้อันน่าพิศวง ดังนั้นพอเห็นพวกเขาจึงพากันหลบหนีไปไกล

พวกเขาหามารอบหนึ่งก็ยังไม่เห็นว่ามีสัตว์อสูรวิเศษอยู่เลย จำใจต้องไปหายังบริเวณที่ไกลออกไป

“หากเข้าไปอีกก็จะเป็นอาณาบริเวณของสัตว์อสูรทิพย์แล้ว” โอวหยางเฟยยืนอยู่บนยอดเขา มองไปยังหุบเขาเบื้องหน้าพลางเอ่ยขึ้น

“ถึงอย่างไรข้าวของของพวกเราก็อยู่ในแหวนหมดแล้ว หากต้องการก็ไปได้ตลอดเวลา” เจ้าอ้วนชวีพูด “ในเมื่อหาสัตว์อสูรวิเศษแถวนี้มาต่อสู้กับพวกเราไม่ได้แล้ว ไม่สู้มุ่งหน้าต่อไปไม่ดีกว่าหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ลังเลอยู่บ้าง ตอนนี้มีเธอเพียงคนเดียวที่เป็นมหาปรมาจารย์วิญญาณ เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยเป็นปรมาจารย์วิญญาณขั้นเก้า ส่วนเว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีเป็นปรมาจารย์วิญญาณขั้นแปด หากต่อกรกับสัตว์อสูรทิพย์ตัวสองตัวก็ยังพอไหว แต่ถ้าหากเจอเป็นฝูง พอถึงเวลานั้นต้องลำบากแน่นอน

แต่ถ้าหากมัวเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไป เป้าหมายที่พวกเขาอยากจะยกระดับพลังยุทธ์ก็คงจะเป็นเรื่องยาก

“เจ้ามิได้บอกว่าจะพัฒนาท่ามกลางภยันตรายหรอกหรือ” เว่ยจือฉีเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ลังเลจึงพูดยิ้มๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์แววตาเปล่งประกาย ใช่แล้ว ตอนนั้นที่ตนมาที่นี่ก็มิใช่เพราะมีความคิดเช่นนี้หรอกหรือ เหตุใดตอนนี้จึงลังเลขึ้นมาเสียแล้วเล่า

อันที่จริงก็เป็นเพราะเธอรู้สึกว่าพวกเจ้าอ้วนชวีมากับตนถึงที่นี่แล้ว ถ้าหากไม่มีเธอ พวกเขาก็คงไม่มีทางมาถึงเทือกเขาสั่วเฟยย่า อย่างน้อยก็คงไม่มาในเวลาเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องนึกถึงความปลอดภัยของพวกเขาโดยสัญชาตญาณ

“ไปกันเถิด ข้างหน้าย่อมไม่เหมือนกับที่นี่ มีสัตว์อสูรวิเศษภายในนั้นมากกว่า พลังก็แข็งแกร่งกว่า คงจะให้พวกเราอยู่กันได้สักระยะหนึ่งเลยทีเดียว” โอวหยางเฟยพูด

พอส่งพวกเขาจากไปแล้ว สัตว์อสูรวิเศษที่ซ่อนตัวอยู่เหล่านั้นจึงทยอยกันออกมา แต่ละตัวต่างกอดคอกันร้องไห้ ในที่สุดเจ้าพวกดาวร้ายกลุ่มนี้ก็จากไปได้เสียที ไม่ง่ายเลย!

ก่อนหน้านี้ยังคิดว่าเป็นลูกพลับเนื้อนุ่มจัดการง่าย คิดไม่ถึงว่าจะหนังเหนียวเคี้ยวยาก สัตว์อสูรวิเศษที่ไปยั่วยุพวกเขาล้วนมิได้มีจุดจบที่ดีกันทั้งสิ้น ถ้ามิได้ถูกฆ่า ก็ถูกทุบตีปางตาย ทำเอาพวกมันตกใจกลัวจนไม่กล้าไปเสนอหน้ากันอีกต่อไป

ดังนั้นพวกมันจึงรวมตัวกันเพื่อซ่อนตัวจากพวกเขา เมื่อหาสัตว์อสูรวิเศษไม่พบ พวกเขาก็ย่อมจากไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

คิดไม่ถึงว่ากลยุทธ์นี้จะได้ผลจริงๆ ดาวร้ายจากไปแล้ว ชีวิตของพวกมันก็คงกลับไปเป็นเช่นก่อนหน้านี้แล้ว

พวกซือหม่าโยวเย่ว์จากไป ย่อมไม่รู้อยู่ความคิดของบรรดาสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำที่อยู่ด้านหลังเหล่านั้นอยู่แล้ว ถ้าหากล่วงรู้คาดว่าคงจะต่อต้าน พวกเขาน่าพิศวงขนาดที่พูดเสียที่ไหนกัน

แต่เธอก็ค้นพบแล้วว่าพวกเขาทุกคนต่างก็มีความสามารถในการต่อสู้แบบก้าวกระโดด ส่วนพวกเว่ยจือฉีนั้นถึงแม้ว่าจะยังเป็นปรมาจารย์วิญญาณ แต่หากต้องประมือกับมหาปรมาจารย์วิญญาณก็ไม่เป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อย

ส่วนเป่ยกงและโอวหยางเฟย ถ้าหากสู้อย่างสุดกำลัง พลังการต่อสู้ก็น่าจะเทียบเคียงได้กับมหาปรมาจารย์วิญญาณขั้นเจ็ดขั้นแปดเลยทีเดียว

ส่วนตัวเธอเองนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ความสามารถในชาติก่อน พลังจิตอันน่าพิศวงในชาตินี้ บวกกับพลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่กว่าคนทั่วไปหลังจากถูกดัดแปลง ทั้งยังมีพรสวรรค์พหุธาตุ ต่อให้เผชิญกับราชาวิญญาณขั้นกลางก็ใช่ว่าเธอจะไม่มีโอกาสชนะ

เมื่อนึกถึงว่าตอนนี้ใช้งานเจดีย์วิญญาณได้ด้วย เธอจึงให้เจ้าวิญญาณน้อยเด็ดผลไม้ทิพย์มาจำนวนหนึ่งแล้วหยิบออกมาแบ่งให้คนละสองผล กินผลไม้ทิพย์ไปพลาง เดินทางไปพลาง

“ผลไม้ทิพย์หรือ โยวเย่ว์ เจ้าไปเอามาจากไหนกัน” เจ้าอ้วนชวีมองเห็นผลไม้ทิพย์จึงกัดคำหนึ่งก็พบว่าชุ่มฉ่ำน้ำ เมื่อกลืนลงท้องแล้วพลังวิญญาณขุมหนึ่งก็โคจรจากในท้องไปยังเส้นลมปราณ หลังจากนั้นก็ไหลจากเส้นลมปราณเข้าไปยังสระพลังวิญญาณ

“เสกออกมาน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์กัดผลไม้ทิพย์คำหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“ผลไม้ทิพย์นี้ดีกว่าที่เคยกินก่อนหน้านี้มากนัก พลังวิญญาณที่แฝงอยู่ภายในก็มากกว่าด้วย” เว่ยจือฉีพูด

เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยกินผลไม้ทิพย์อย่างเงียบๆ แต่นัยน์ตาก็เจือแววใคร่รู้เช่นกัน

ตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่อยากบอกให้พวกเขารู้ถึงการมีอยู่ของเจดีย์วิญญาณ ถึงแม้ว่าทุกคนจะคาดเดาได้เล็กน้อย แต่ก็รู้อยู่ในใจมิได้พูดออกมา

แน่นอนว่าให้พวกเขารู้ความลับบางอย่างของตน นอกจากจะเพื่อความเชื่อใจพวกเขาแล้วก็เพื่อความสะดวกของตนด้วย พอถึงเวลานั้นตนอยากจะทำอะไรก็จะไม่ยุ่งยากจนเกินไป

ถึงอย่างไรก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มีความลับบางอย่างที่มิอาจเปิดเผยได้โดยง่าย

นอกจากนี้การกินผลไม้ทิพย์เป็นประจำยังช่วยเพิ่มพื้นฐานการบำเพ็ญของทุกคนได้ด้วย

“มีความเคลื่อนไหว” ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดยืนอย่างกะทันหันแล้วโยนผลไม้ทิพย์ในมือทิ้งไป ก่อนจะหยิบหลิงหลงออกมาพลางมองไปเบื้องหน้าทางซ้ายอย่างระแวดระวัง

เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์โยนผลไม้ทิพย์ที่เพิ่งกินไปสองคำทิ้งเสียอย่างนั้น เจ้าอ้วนชวีก็เจ็บปวดใจไม่น้อย แต่เมื่อนึกดูอีกทีก็รู้ว่าเธอจะต้องมีผลไม้ทิพย์มากมายอย่างแน่นอน จึงยินดีอยู่ในใจ เช่นนี้ก็แปลว่าต่อไปตนจะได้กินผลไม้ทิพย์บ่อยๆ แล้วใช่หรือไม่!

ที่เผชิญในคราวนี้ก็คือเสือเขี้ยวดาบ สัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่ง เมื่อเห็นพวกเขา เสือเขี้ยวดาบก็พุ่งตรงเข้ามา ดูเหมือนว่าจะหิวกระหายอย่างยิ่ง อยากกินพวกเขาเต็มแก่

“เพิ่งมาถึงก็พบสัตว์อสูรทิพย์เลย ต้องรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว!” เจ้าอ้วนชวีเก็บผลไม้ทิพย์ที่เหลือเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุ ก่อนจะหยิบอาวุธของตนออกมาแล้วลุยเข้าไปด้วยเช่นกัน

การเคลื่อนไหวของพวกโอวหยางเฟยก็ไม่ช้าเช่นกัน ตอนที่เจ้าอ้วนชวีบ่นอยู่นั้นพวกเขาก็เริ่มต้นเคลื่อนไหวกันแล้ว

สัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่งกับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นเก้า ถึงแม้ว่าจะห่างกันเพียงระดับขั้นเดียว แต่พลังยุทธ์กลับห่างชั้นกันมากเหลือเกิน พวกเขาสองสามคนจัดการสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นเก้าตนหนึ่งได้ แต่เมื่อเผชิญกับสัตว์อสูรทิพย์ พวกเขาต้องลุยเข้าไปพร้อมกันจึงจะใช้ได้

ครึ่งชั่วโมงให้หลัง พวกเขาห้าคนก็ทำให้เสือเขี้ยวดาบยอมศิโรราบได้ พวกเขาไม่อยากเข่นฆ่า ดังนั้นจึงมิได้เอาชีวิตมัน

“โยวเย่ว์ ตระกูลซือหม่ายังต้องการสัตว์อสูรวิเศษอีกมิใช่หรือ เช่นนั้นเจ้าฝึกมันให้เชื่องแล้วพอถึงเวลาก็ส่งมันไปพร้อมกับยาวิเศษจะดีกว่านะ” เว่ยจือฉีพูด

ราคาของสัตว์อสูรทิพย์ตนหนึ่งสูงกว่าราคาของสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำหลายเท่า สัตว์อสูรทิพย์ย่อมสร้างรายได้ให้มากกว่าสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำอย่างมหาศาล

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดๆ ดูแล้วก็ใช้ได้ ตระกูลซือหม่ายังต้องการสัตว์อสูรวิเศษไปแก้ขัดอยู่ ที่ตนเองรับปากสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเอาไว้แล้วว่าจะฝึกสัตว์อสูรทิพย์จำนวนหนึ่งให้ก็ยังไม่ได้ทำเลย ตนก็ฝึกสัตว์อสูรวิเศษจำนวนหนึ่งให้เชื่องเอาไว้ก่อน พอถึงเวลาแล้วค่อยส่งไปพร้อมกัน

การฝึกฝนเคล็ดหลอมวิญญาณตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ รวมทั้งพลังยุทธ์ที่เพิ่มขึ้นของตน พลังจิตของเธอก็เพิ่มพูนขึ้นมาไม่น้อย ตอนนี้การฝึกสัตว์อสูรทิพย์จึงยิ่งง่ายดายขึ้นอีก

มีบางทีที่เธอให้เว่ยจือฉีมาฝึก หลังจากมาที่เทือกเขาสั่วเฟยย่าแล้วเธอได้สอนเคล็ดหลอมวิญญาณส่วนแรกให้กับเว่ยจือฉีบางส่วน มิได้บอกว่าเป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดหลอมวิญญาณ บอกเพียงแค่ว่าเป็นวิธีการที่ช่วยยกระดับพลังจิตได้เท่านั้น

เว่ยจือฉีฝึกฝนอย่างเคร่งครัดอยู่ทุกคืน ตอนนี้เขาก็พอฝึกสัตว์อสูรวิเศษในบรรดาสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสองได้แล้ว

จากนั้นพวกเขาก็เริ่มต้นกวาดไปทั่วทั้งภูเขาอีกครั้ง ในขณะที่ยกระดับพลังยุทธ์ของตนอย่างต่อเนื่องก็ไม่ลืมที่จะเก็บสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นทั้งหมดเอาไว้ด้วย

เมื่อรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์มีสิ่งของที่เก็บสิ่งมีชีวิตได้ เห็นเธอเก็บสัตว์อสูรวิเศษตนแล้วตนเล่าเข้าไป พวกเขาจึงไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย

กินผลไม้ทิพย์ ต่อสู้กับสัตว์อสูรวิเศษ ดูดซับปราณวิญญาณอันเข้มข้นในภูเขาไปทุกวัน ถึงแม้ว่าจะได้สัมผัสกับรอยต่อความเป็นความตายอยู่เป็นประจำ แต่พลังยุทธ์ของพวกเขาก็พุ่งสูงขึ้นราวกับขี่จรวดเลยทีเดียว

อีกหลายเดือนต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ขี่เจ้าคำรามน้อยออกไปเพียงคนเดียว มายังบริเวณที่เข้ามาในเทือกเขาสั่วเฟยย่าเป็นครั้งแรก พ่อบ้านตระกูลซือหม่ากำลังรอเธออยู่ที่นั่น

คราวก่อนตอนส่งมอบยาวิเศษก็บอกเอาไว้แล้วว่าครั้งนี้ให้เขานำกรงใส่สัตว์อสูรวิเศษมาด้วยสักเก้าอันสิบอัน จากนั้นเขาจึงรีบไปที่สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรแล้วขอยืมกรงมาจำนวนหนึ่ง ก่อนจะรีบมาโดยไม่พักฝีเท้าแล้วรอคอยซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ที่นี่มาโดยตลอด

เธออยู่ภายในนั้นเนิ่นนาน แต่พอออกมาข้างนอกกลับผ่านไปไม่ถึงครึ่งคืน เธอให้เจ้าคำรามน้อยเก็บกวาด หลังจากนั้นจึงบำเพ็ญอยู่ภายในถ้ำต่อไป

ยามเช้าตรู่ พวกเขาแทบจะตื่นขึ้นในเวลาเดียวกัน พอล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยจึงออกไป

วันนี้พวกเขาจะไปเสาะหาสัตว์อสูรวิเศษมาต่อสู้ด้วยเพื่อยกระดับความสามารถในการต่อสู้

อยู่ที่นี่มานานสองเดือน สัตว์อสูรวิเศษในบริเวณรอบๆ ย่อมรู้จักพวกเขากันหมดแล้ว รู้ว่าพวกเขาทั้งห้าคนมีพลังการต่อสู้อันน่าพิศวง ดังนั้นพอเห็นพวกเขาจึงพากันหลบหนีไปไกล

พวกเขาหามารอบหนึ่งก็ยังไม่เห็นว่ามีสัตว์อสูรวิเศษอยู่เลย จำใจต้องไปหายังบริเวณที่ไกลออกไป

“หากเข้าไปอีกก็จะเป็นอาณาบริเวณของสัตว์อสูรทิพย์แล้ว” โอวหยางเฟยยืนอยู่บนยอดเขา มองไปยังหุบเขาเบื้องหน้าพลางเอ่ยขึ้น

“ถึงอย่างไรข้าวของของพวกเราก็อยู่ในแหวนหมดแล้ว หากต้องการก็ไปได้ตลอดเวลา” เจ้าอ้วนชวีพูด “ในเมื่อหาสัตว์อสูรวิเศษแถวนี้มาต่อสู้กับพวกเราไม่ได้แล้ว ไม่สู้มุ่งหน้าต่อไปไม่ดีกว่าหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ลังเลอยู่บ้าง ตอนนี้มีเธอเพียงคนเดียวที่เป็นมหาปรมาจารย์วิญญาณ เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยเป็นปรมาจารย์วิญญาณขั้นเก้า ส่วนเว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีเป็นปรมาจารย์วิญญาณขั้นแปด หากต่อกรกับสัตว์อสูรทิพย์ตัวสองตัวก็ยังพอไหว แต่ถ้าหากเจอเป็นฝูง พอถึงเวลานั้นต้องลำบากแน่นอน

แต่ถ้าหากมัวเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไป เป้าหมายที่พวกเขาอยากจะยกระดับพลังยุทธ์ก็คงจะเป็นเรื่องยาก

“เจ้ามิได้บอกว่าจะพัฒนาท่ามกลางภยันตรายหรอกหรือ” เว่ยจือฉีเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ลังเลจึงพูดยิ้มๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์แววตาเปล่งประกาย ใช่แล้ว ตอนนั้นที่ตนมาที่นี่ก็มิใช่เพราะมีความคิดเช่นนี้หรอกหรือ เหตุใดตอนนี้จึงลังเลขึ้นมาเสียแล้วเล่า

อันที่จริงก็เป็นเพราะเธอรู้สึกว่าพวกเจ้าอ้วนชวีมากับตนถึงที่นี่แล้ว ถ้าหากไม่มีเธอ พวกเขาก็คงไม่มีทางมาถึงเทือกเขาสั่วเฟยย่า อย่างน้อยก็คงไม่มาในเวลาเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องนึกถึงความปลอดภัยของพวกเขาโดยสัญชาตญาณ

“ไปกันเถิด ข้างหน้าย่อมไม่เหมือนกับที่นี่ มีสัตว์อสูรวิเศษภายในนั้นมากกว่า พลังก็แข็งแกร่งกว่า คงจะให้พวกเราอยู่กันได้สักระยะหนึ่งเลยทีเดียว” โอวหยางเฟยพูด

พอส่งพวกเขาจากไปแล้ว สัตว์อสูรวิเศษที่ซ่อนตัวอยู่เหล่านั้นจึงทยอยกันออกมา แต่ละตัวต่างกอดคอกันร้องไห้ ในที่สุดเจ้าพวกดาวร้ายกลุ่มนี้ก็จากไปได้เสียที ไม่ง่ายเลย!

ก่อนหน้านี้ยังคิดว่าเป็นลูกพลับเนื้อนุ่มจัดการง่าย คิดไม่ถึงว่าจะหนังเหนียวเคี้ยวยาก สัตว์อสูรวิเศษที่ไปยั่วยุพวกเขาล้วนมิได้มีจุดจบที่ดีกันทั้งสิ้น ถ้ามิได้ถูกฆ่า ก็ถูกทุบตีปางตาย ทำเอาพวกมันตกใจกลัวจนไม่กล้าไปเสนอหน้ากันอีกต่อไป

ดังนั้นพวกมันจึงรวมตัวกันเพื่อซ่อนตัวจากพวกเขา เมื่อหาสัตว์อสูรวิเศษไม่พบ พวกเขาก็ย่อมจากไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

คิดไม่ถึงว่ากลยุทธ์นี้จะได้ผลจริงๆ ดาวร้ายจากไปแล้ว ชีวิตของพวกมันก็คงกลับไปเป็นเช่นก่อนหน้านี้แล้ว

พวกซือหม่าโยวเย่ว์จากไป ย่อมไม่รู้อยู่ความคิดของบรรดาสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำที่อยู่ด้านหลังเหล่านั้นอยู่แล้ว ถ้าหากล่วงรู้คาดว่าคงจะต่อต้าน พวกเขาน่าพิศวงขนาดที่พูดเสียที่ไหนกัน

แต่เธอก็ค้นพบแล้วว่าพวกเขาทุกคนต่างก็มีความสามารถในการต่อสู้แบบก้าวกระโดด ส่วนพวกเว่ยจือฉีนั้นถึงแม้ว่าจะยังเป็นปรมาจารย์วิญญาณ แต่หากต้องประมือกับมหาปรมาจารย์วิญญาณก็ไม่เป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อย

ส่วนเป่ยกงและโอวหยางเฟย ถ้าหากสู้อย่างสุดกำลัง พลังการต่อสู้ก็น่าจะเทียบเคียงได้กับมหาปรมาจารย์วิญญาณขั้นเจ็ดขั้นแปดเลยทีเดียว

ส่วนตัวเธอเองนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ความสามารถในชาติก่อน พลังจิตอันน่าพิศวงในชาตินี้ บวกกับพลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่กว่าคนทั่วไปหลังจากถูกดัดแปลง ทั้งยังมีพรสวรรค์พหุธาตุ ต่อให้เผชิญกับราชาวิญญาณขั้นกลางก็ใช่ว่าเธอจะไม่มีโอกาสชนะ

เมื่อนึกถึงว่าตอนนี้ใช้งานเจดีย์วิญญาณได้ด้วย เธอจึงให้เจ้าวิญญาณน้อยเด็ดผลไม้ทิพย์มาจำนวนหนึ่งแล้วหยิบออกมาแบ่งให้คนละสองผล กินผลไม้ทิพย์ไปพลาง เดินทางไปพลาง

“ผลไม้ทิพย์หรือ โยวเย่ว์ เจ้าไปเอามาจากไหนกัน” เจ้าอ้วนชวีมองเห็นผลไม้ทิพย์จึงกัดคำหนึ่งก็พบว่าชุ่มฉ่ำน้ำ เมื่อกลืนลงท้องแล้วพลังวิญญาณขุมหนึ่งก็โคจรจากในท้องไปยังเส้นลมปราณ หลังจากนั้นก็ไหลจากเส้นลมปราณเข้าไปยังสระพลังวิญญาณ

“เสกออกมาน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์กัดผลไม้ทิพย์คำหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“ผลไม้ทิพย์นี้ดีกว่าที่เคยกินก่อนหน้านี้มากนัก พลังวิญญาณที่แฝงอยู่ภายในก็มากกว่าด้วย” เว่ยจือฉีพูด

เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยกินผลไม้ทิพย์อย่างเงียบๆ แต่นัยน์ตาก็เจือแววใคร่รู้เช่นกัน

ตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่อยากบอกให้พวกเขารู้ถึงการมีอยู่ของเจดีย์วิญญาณ ถึงแม้ว่าทุกคนจะคาดเดาได้เล็กน้อย แต่ก็รู้อยู่ในใจมิได้พูดออกมา

แน่นอนว่าให้พวกเขารู้ความลับบางอย่างของตน นอกจากจะเพื่อความเชื่อใจพวกเขาแล้วก็เพื่อความสะดวกของตนด้วย พอถึงเวลานั้นตนอยากจะทำอะไรก็จะไม่ยุ่งยากจนเกินไป

ถึงอย่างไรก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มีความลับบางอย่างที่มิอาจเปิดเผยได้โดยง่าย

นอกจากนี้การกินผลไม้ทิพย์เป็นประจำยังช่วยเพิ่มพื้นฐานการบำเพ็ญของทุกคนได้ด้วย

“มีความเคลื่อนไหว” ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดยืนอย่างกะทันหันแล้วโยนผลไม้ทิพย์ในมือทิ้งไป ก่อนจะหยิบหลิงหลงออกมาพลางมองไปเบื้องหน้าทางซ้ายอย่างระแวดระวัง

เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์โยนผลไม้ทิพย์ที่เพิ่งกินไปสองคำทิ้งเสียอย่างนั้น เจ้าอ้วนชวีก็เจ็บปวดใจไม่น้อย แต่เมื่อนึกดูอีกทีก็รู้ว่าเธอจะต้องมีผลไม้ทิพย์มากมายอย่างแน่นอน จึงยินดีอยู่ในใจ เช่นนี้ก็แปลว่าต่อไปตนจะได้กินผลไม้ทิพย์บ่อยๆ แล้วใช่หรือไม่!

ที่เผชิญในคราวนี้ก็คือเสือเขี้ยวดาบ สัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่ง เมื่อเห็นพวกเขา เสือเขี้ยวดาบก็พุ่งตรงเข้ามา ดูเหมือนว่าจะหิวกระหายอย่างยิ่ง อยากกินพวกเขาเต็มแก่

“เพิ่งมาถึงก็พบสัตว์อสูรทิพย์เลย ต้องรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว!” เจ้าอ้วนชวีเก็บผลไม้ทิพย์ที่เหลือเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุ ก่อนจะหยิบอาวุธของตนออกมาแล้วลุยเข้าไปด้วยเช่นกัน

การเคลื่อนไหวของพวกโอวหยางเฟยก็ไม่ช้าเช่นกัน ตอนที่เจ้าอ้วนชวีบ่นอยู่นั้นพวกเขาก็เริ่มต้นเคลื่อนไหวกันแล้ว

สัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่งกับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นเก้า ถึงแม้ว่าจะห่างกันเพียงระดับขั้นเดียว แต่พลังยุทธ์กลับห่างชั้นกันมากเหลือเกิน พวกเขาสองสามคนจัดการสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นเก้าตนหนึ่งได้ แต่เมื่อเผชิญกับสัตว์อสูรทิพย์ พวกเขาต้องลุยเข้าไปพร้อมกันจึงจะใช้ได้

ครึ่งชั่วโมงให้หลัง พวกเขาห้าคนก็ทำให้เสือเขี้ยวดาบยอมศิโรราบได้ พวกเขาไม่อยากเข่นฆ่า ดังนั้นจึงมิได้เอาชีวิตมัน

“โยวเย่ว์ ตระกูลซือหม่ายังต้องการสัตว์อสูรวิเศษอีกมิใช่หรือ เช่นนั้นเจ้าฝึกมันให้เชื่องแล้วพอถึงเวลาก็ส่งมันไปพร้อมกับยาวิเศษจะดีกว่านะ” เว่ยจือฉีพูด

ราคาของสัตว์อสูรทิพย์ตนหนึ่งสูงกว่าราคาของสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำหลายเท่า สัตว์อสูรทิพย์ย่อมสร้างรายได้ให้มากกว่าสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำอย่างมหาศาล

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดๆ ดูแล้วก็ใช้ได้ ตระกูลซือหม่ายังต้องการสัตว์อสูรวิเศษไปแก้ขัดอยู่ ที่ตนเองรับปากสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเอาไว้แล้วว่าจะฝึกสัตว์อสูรทิพย์จำนวนหนึ่งให้ก็ยังไม่ได้ทำเลย ตนก็ฝึกสัตว์อสูรวิเศษจำนวนหนึ่งให้เชื่องเอาไว้ก่อน พอถึงเวลาแล้วค่อยส่งไปพร้อมกัน

การฝึกฝนเคล็ดหลอมวิญญาณตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ รวมทั้งพลังยุทธ์ที่เพิ่มขึ้นของตน พลังจิตของเธอก็เพิ่มพูนขึ้นมาไม่น้อย ตอนนี้การฝึกสัตว์อสูรทิพย์จึงยิ่งง่ายดายขึ้นอีก

มีบางทีที่เธอให้เว่ยจือฉีมาฝึก หลังจากมาที่เทือกเขาสั่วเฟยย่าแล้วเธอได้สอนเคล็ดหลอมวิญญาณส่วนแรกให้กับเว่ยจือฉีบางส่วน มิได้บอกว่าเป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดหลอมวิญญาณ บอกเพียงแค่ว่าเป็นวิธีการที่ช่วยยกระดับพลังจิตได้เท่านั้น

เว่ยจือฉีฝึกฝนอย่างเคร่งครัดอยู่ทุกคืน ตอนนี้เขาก็พอฝึกสัตว์อสูรวิเศษในบรรดาสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสองได้แล้ว

จากนั้นพวกเขาก็เริ่มต้นกวาดไปทั่วทั้งภูเขาอีกครั้ง ในขณะที่ยกระดับพลังยุทธ์ของตนอย่างต่อเนื่องก็ไม่ลืมที่จะเก็บสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นทั้งหมดเอาไว้ด้วย

เมื่อรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์มีสิ่งของที่เก็บสิ่งมีชีวิตได้ เห็นเธอเก็บสัตว์อสูรวิเศษตนแล้วตนเล่าเข้าไป พวกเขาจึงไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย

กินผลไม้ทิพย์ ต่อสู้กับสัตว์อสูรวิเศษ ดูดซับปราณวิญญาณอันเข้มข้นในภูเขาไปทุกวัน ถึงแม้ว่าจะได้สัมผัสกับรอยต่อความเป็นความตายอยู่เป็นประจำ แต่พลังยุทธ์ของพวกเขาก็พุ่งสูงขึ้นราวกับขี่จรวดเลยทีเดียว

อีกหลายเดือนต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ขี่เจ้าคำรามน้อยออกไปเพียงคนเดียว มายังบริเวณที่เข้ามาในเทือกเขาสั่วเฟยย่าเป็นครั้งแรก พ่อบ้านตระกูลซือหม่ากำลังรอเธออยู่ที่นั่น

คราวก่อนตอนส่งมอบยาวิเศษก็บอกเอาไว้แล้วว่าครั้งนี้ให้เขานำกรงใส่สัตว์อสูรวิเศษมาด้วยสักเก้าอันสิบอัน จากนั้นเขาจึงรีบไปที่สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรแล้วขอยืมกรงมาจำนวนหนึ่ง ก่อนจะรีบมาโดยไม่พักฝีเท้าแล้วรอคอยซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ที่นี่มาโดยตลอด

เจ้าวิญญาณน้อยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่หรอก ถึงแม้ว่ากาลเวลาที่นี่จะเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่จะไม่ทิ้งร่องรอยการเคลื่อนผ่านของกาลเวลาเอาไว้ในร่างกายมนุษย์เลย ความเร็วช้าในการแก่ชราของเจ้าก็จะเหมือนกับข้างนอกเลย”

“มหัศจรรรย์เช่นนี้เชียวหรือ!”

“แน่นอนสิ ข้ายังมีเรื่องน่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่านี้อีก ในภายหน้าเจ้าก็จะรู้เอง” เจ้าวิญญาณน้อยขายของ

“เช่นนั้นระยะเวลาของที่นี่เทียบกับข้างนอกอย่างไรหรือ”

“ข้างนอกหนึ่งวันเท่ากับข้างในสามวัน”

“เช่นนั้นหากข้าอยู่ที่นี่สามวันก็เท่ากับข้างนอกเพียงวันเดียวเองหรือ”

“ใช่แล้ว”

“ฮ่าๆ ยอดเยี่ยมเหลือเกิน!” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะเสียงดังลั่น ถ้าหากตอนนี้หมัวซามิได้อยู่ในสภาวะวิญญาณ เธอคงอดมิได้ที่จะสวมกอดเขาสักครั้งหนึ่งเพื่อแสดงถึงความตื่นเต้นของตัวเองไปแล้ว

ในตอนนี้เธอกำลังเป็นกังวลอยู่พอดีว่าตนเองจะมีเวลาไม่พอใช้ แต่ตอนนี้มีสิ่งนี้เพิ่มขึ้นมา ก็เหมือนกับมีคนส่งหมอนให้ในยามง่วงจริงๆ!

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็ฝึกยุทธ์ ศึกษาการหลอมยาและค่ายกลห้วงมิติที่นี่ได้ เหลือเวลาอีกสองปีกว่าๆ ตอนนี้เร็วขึ้นสามเท่า ก็เท่ากับเธอมีระยะเวลาถึงหกปีเลยทีเดียว

“ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่าการได้พบกับท่านคือเรื่องวุ่นวายในชีวิต แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกจากใจจริงว่าการได้พบท่านก็ไม่เลวเลย!” ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือไปแตะดวงวิญญาณของหมัวซาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

หมัวซาเพียงแค่เหลือบมองเธอปราดหนึ่ง มิได้พูดจา เขาแปลงร่างกลายเป็นไอหมอกดำหายกลับเข้าไปภายในสร้อยข้อมือ

“ใช่แล้ว ยังมีของอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้เจ้าดูด้วย” เจ้าวิญญาณน้อยสลัดตัวหลุดออกจากอ้อมกอดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพาตัวเธอไปที่ข้างสระน้ำขนาดหนึ่งตารางเมตร

“เอ๊ะ ตรงนี้มีสระน้ำเพิ่มขึ้นมาสระหนึ่งนี่นา!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นสระน้ำที่มีของเหลวสีขาวราวน้ำนมไหลเวียนอยู่จึงเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ

“สิ่งเหล่านี้คือน้ำทิพย์วิญญาณ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ปลูกต้นผลอสรพิษทองคำที่ข้างสระนี่ ไอพลังที่มันแผ่ออกมาก็จะถูกดูดซับเข้าไปในน้ำทิพย์วิญญาณได้”

“น้ำทิพย์วิญญาณหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณได้ ใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์เอื้อมมือไปสัมผัสมันจึงพบว่าน้ำทิพย์วิญญาณนั้นมีอยู่เพียงน้อยนิด เพียงแค่ปกคลุมก้นสระเล็กๆ นี้เป็นชั้นบางๆ เท่านั้น

“ถูกต้อง ต่อจากนี้สารสกัดฟ้าดินที่ข้าดูดซับก็จะมารวมกันอยู่ภายในสระแห่งนี้ ทั้งเจ้าและหมัวซามาใช้ได้ เจ้าใช้โดยตรงได้เลย แต่หมัวซานั้นเจ้าต้องหยดน้ำทิพย์วิญญาณเข้าไปในสร้อยข้อมือเป็นระยะๆ มันจะช่วยหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของเขาได้ ให้ผลลัพธ์ดีกว่าต้นผลอสรพิษทองคำมากมายนัก” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“เจ้าวิญญาณน้อย เจ้าช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ล้ำเลิศยิ่งนัก!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าวิญญาณน้อย ตัวเขาหลังการยกระดับนี้มิอาจสรรหาคำใดมาพรรณนาได้เลย

เจ้าวิญญาณน้อยขยับคางไปมาอย่างลำพองใจ เขากับหมัวซาต้องทุ่มเทความคิดจิตใจไปตั้งมากมายจึงเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ขึ้นมาได้

แน่นอนว่าเรื่องนี้หนีไม่พ้นประโยชน์อันยอดเยี่ยมของเจดีย์เจ็ดชั้น ก็ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วเจ้าของเจดีย์เจ็ดชั้นใช้สิ่งใดหลอมมันขึ้นมา เขาสัมผัสได้ว่าส่วนประกอบทุกชนิดมิได้อ่อนด้อยไปกว่าเขาเลย นอกจากนี้ยังหลอมรวมขึ้นจากส่วนประกอบหลายชนิดอีกด้วย ถ้าหากตอนนั้นตนได้พบกับเจ้าของผู้นั้น เกรงว่าตนก็คงจะได้กลายเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของมันไปแล้ว

“เอาล่ะ เจ้ารักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ถ้าหากเจ้าออกไปในสภาพนี้คงจะทำให้พวกเขาตกใจแย่” เจ้าวิญญาณน้อยพูดจบก็หายตัวไป

“นี่ๆ เจ้ามาบอกข้าก่อนสิว่าข้าจะขึ้นไปชั้นบนๆ ได้อย่างไรแล้วค่อยไป!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกน

“บอกเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกน่า รอให้เจ้าพลังยุทธ์ถึงขั้นแล้วก็จะรู้เองนั่นแหละ!” เจ้าวิญญาณน้อยพูดจบก็เงียบเสียงไป ดูท่าทางคงไม่คิดจะบอกเธอจริงๆ ว่ามีอะไรอยู่ข้างบน

“เชอะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปากอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นแขนดำเปรอะเปื้อนของตนแล้ว ดูท่าทางสามวันนี้ตนคงต้องอยู่ที่นี่จริงๆ เสียแล้ว

เธอปล่อยตัวย่ากวงออกมาก่อน เมื่อเห็นที่นี่แล้ว มันที่สงบนิ่งมาโดยตลอดก็อดที่จะวิ่งถลันออกมามิได้

พอหลิงหลงออกมาก็ตีบนร่างซือหม่าโยวเย่ว์สองครั้ง จากนั้นก็ไม่รู้ว่าวิ่งไปหาตัวเจ้าวิญญาณน้อยมาเล่นด้วยที่ไหนเสียแล้ว

“พวกนี้ออกมากันหมดแล้ว เหตุใดเพลิงชาดจึงชอบอยู่แต่ในมิติพันธสัญญาเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์รับสัมผัสถึงเพลิงชาดครั้งหนึ่ง ไข่ฟองนั้นยังคงหลับใหลอยู่ เธอจึงไม่ไปยุ่งกับมันอีก

หลังจากนั้นเธอก็ปลูกต้นผลอสรพิษทองคำเอาไว้ข้างสระน้ำทิพย์วิญญาณ เมื่อเห็นใบไม้อันเหลืองกรอบ เธอจึงหยิบเอาช้อนหยกอันหนึ่งออกมาแล้วตักน้ำทิพย์วิญญาณในสระวิญญาณเบาๆ ช้อนหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ หยดลงไปบนกิ่งก้านต้นไม้ หลังจากนั้นก็เทส่วนที่เหลือลงไปยังรากไม้

“หวังว่าจะมีประโยชน์อยู่บ้างนะ!”

พอพูดจบ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ลุกขึ้นยืนพลางมองห้วงมิติที่ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ในใจรู้สึกตื่นเต้นอย่างควบคุมไม่อยู่

“ท่านปู่ ท่านพี่ทั้งหลาย มีพวกเจ้าวิญญาณน้อยอยู่ทั้งที อีกสองปีให้หลังข้าจะต้องไปหาพวกท่านที่นั่นให้จงได้!”

ในขณะที่เธอเตรียมจะจากไปฝึกยุทธ์อยู่นั้นเอง ต้นผลอสรพิษทองคำที่เดิมทีกำลังจะเฉาตายก็ส่งเสียงสวบสาบขึ้นมา เธอหันหน้าไปมองก็พบว่าใบไม้เหลืองกรอบเหล่านั้นร่วงหล่นไปจนหมดสิ้น บนกิ่งไม้อันโล่งเตียนเริ่มแตกใบออกมาใหม่ ใบที่ผลิออกมาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็แผ่กิ่งก้านสาขาจนเต็มสมบูรณ์

“นี่มันสถานการณ์อะไรกัน!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูการเปลี่ยนแปลงของต้นผลอสรพิษทองคำแล้วสะดุ้งอย่างแรงคราหนึ่ง

นี่คือเหตุการณ์ในชาติก่อนที่วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วหรือไร

“น้ำทิพย์วิญญาณคงจะไปเร่งการเจริญของต้นผลอสรพิษทองคำกระมัง” เสียงของหมัวซาดังออกมาจากภายในสร้อยข้อมือ “คราวนี้เติบโตได้มากมายเช่นนี้ เป็นเพราะว่าเมื่อครู่เจ้าใช้น้ำทิพย์วิญญาณมากเกินไปน่ะ”

“เช่นนั้นหากข้าให้มันอีกช้อนหนึ่ง มันก็จะผลิดอกออกผลได้ใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างใคร่รู้

“หากทำมากเกินไปแล้วเจ้าไม่กลัวทำมันตาย เจ้าก็ลองทำดูสิ” หมัวซาพูด

“เช่นนั้นพอก่อนดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บช้อนหยก ถ้าหากมันตายไปจริงๆ เช่นนั้นเธอคงเสียหายอย่างมหาศาล

“ตอนที่เจ้ามีเวลาก็มารดน้ำมันทีละนิดสิ น่าจะเพิ่มความเร็วในการเจริญเติบโตของมันได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว” หมัวซาพูด

“เรื่องนี้ยกให้เจ้าวิญญาณน้อยทำก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด มารดน้ำมันวันละเล็กละน้อย ไม่แน่ว่าผ่านไปไม่นาน เธอก็คงมีผลอสรพิษทองคำแล้ว

เจ้าวิญญาณน้อยที่หลบซ่อนอยู่เกือบจะโมโหตายเพราะซือหม่าโยวเย่ว์ เขาปรากฏตัวขึ้นแล้วถือหลิงหลงฟาดเข้าใส่

“สิ้นเปลืองเสียจริง! แม่คนสุรุ่ยสุร่าย!” เจ้าวิญญาณน้อยโอดครวญ เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ สีหน้าก็เจ็บปวดยิ่งนัก

“จะตกอกตกใจถึงเพียงนี้ไปทำไมกันเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์กุมแขนที่ถูกตีจนเจ็บพลางมองเจ้าวิญญาณน้อยอย่างน้อยใจ

“น้ำทิพย์วิญญาณล้ำค่าถึงเพียงนี้ แต่เจ้ากลับใช้มันรดน้ำต้นไม้อย่างนั้นหรือ! แต่ละครั้งเจ้าเลียเบาๆ ได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น มิฉะนั้นวิญญาณเจ้าระเบิดแน่ แต่เจ้ากลับใช้ไปมากมายถึงเพียงนี้ในคราวเดียว! ทำเอาข้าโมโหแทบตายแน่ะ!” เจ้าวิญญาณน้อยถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ ไม่น่าบอกให้เธอรู้ว่ามีของสิ่งนี้อยู่เลย

“แค่กๆ ก็เจ้าไม่ได้บอกข้าก่อนนี่นา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เช่นนั้นเมื่อครู่ข้ารดน้ำให้มันไปหนึ่งช้อนใหญ่ แล้วจะทำให้มันตายหรือไม่”

“ไม่ตายหรอก แต่มันจะต้องใช้เวลาพักใหญ่ในการย่อยน้ำทิพย์วิญญาณที่ดูดซับเข้าไปเมื่อครู่” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ไม่แน่ว่าหลังจากที่มันย่อยเสร็จในคราวนี้ อาจจะออกดอกได้แล้วล่ะ”

“เช่นนั้นต่อไปแต่ละครั้งข้ารดน้ำให้มันแค่หยดเดียวก็พอ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

ก่อนหน้านี้เธอยังรู้สึกว่าน้ำทิพย์วิญญาณน้อยเกินไป ทุกครั้งเธอกินได้เพียงแค่หยดเดียวเท่านั้น แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ น้ำทิพย์วิญญาณนี่ก็มีมากมายเลยสิ

เธอตักช้อนหนึ่งใส่ในขวดแล้ววางลงไปยังสร้อยข้อมือม่านถัว ก่อนจะเคาะมันแล้วถามว่า “ท่านต้องการหรือไม่”

ด้านบนของสร้อยข้อมือมีหมอกดำปรากฏขึ้นเล็กน้อย หมอกดำนั้นห่อหุ้มขวดเข้าไปภายในสร้อยข้อมือ

เธอมองต้นผลอสรพิษทองคำโฉมใหม่อีกครั้งก่อนจะฝึกยุทธ์ไปอย่างพึงพอใจ

เพราะพลังการฟื้นฟูอันน่าพิศวงของร่างมารสว่าง หนึ่งวันให้หลังร่างกายของเธอก็ฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์ดังเดิมแล้ว เธอจึงเตรียมตัวจะจากไป

ก่อนจะจากไปเธอได้เปลี่ยนชื่อมณีวิญญาณ ต่อจากนี้เมื่อมณีวิญญาณและเจดีย์เจ็ดชั้นผสานรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ให้ชื่อว่าเจดีย์วิญญาณ

เจ้าวิญญาณน้อยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่หรอก ถึงแม้ว่ากาลเวลาที่นี่จะเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่จะไม่ทิ้งร่องรอยการเคลื่อนผ่านของกาลเวลาเอาไว้ในร่างกายมนุษย์เลย ความเร็วช้าในการแก่ชราของเจ้าก็จะเหมือนกับข้างนอกเลย”

“มหัศจรรรย์เช่นนี้เชียวหรือ!”

“แน่นอนสิ ข้ายังมีเรื่องน่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่านี้อีก ในภายหน้าเจ้าก็จะรู้เอง” เจ้าวิญญาณน้อยขายของ

“เช่นนั้นระยะเวลาของที่นี่เทียบกับข้างนอกอย่างไรหรือ”

“ข้างนอกหนึ่งวันเท่ากับข้างในสามวัน”

“เช่นนั้นหากข้าอยู่ที่นี่สามวันก็เท่ากับข้างนอกเพียงวันเดียวเองหรือ”

“ใช่แล้ว”

“ฮ่าๆ ยอดเยี่ยมเหลือเกิน!” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะเสียงดังลั่น ถ้าหากตอนนี้หมัวซามิได้อยู่ในสภาวะวิญญาณ เธอคงอดมิได้ที่จะสวมกอดเขาสักครั้งหนึ่งเพื่อแสดงถึงความตื่นเต้นของตัวเองไปแล้ว

ในตอนนี้เธอกำลังเป็นกังวลอยู่พอดีว่าตนเองจะมีเวลาไม่พอใช้ แต่ตอนนี้มีสิ่งนี้เพิ่มขึ้นมา ก็เหมือนกับมีคนส่งหมอนให้ในยามง่วงจริงๆ!

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็ฝึกยุทธ์ ศึกษาการหลอมยาและค่ายกลห้วงมิติที่นี่ได้ เหลือเวลาอีกสองปีกว่าๆ ตอนนี้เร็วขึ้นสามเท่า ก็เท่ากับเธอมีระยะเวลาถึงหกปีเลยทีเดียว

“ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่าการได้พบกับท่านคือเรื่องวุ่นวายในชีวิต แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกจากใจจริงว่าการได้พบท่านก็ไม่เลวเลย!” ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือไปแตะดวงวิญญาณของหมัวซาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

หมัวซาเพียงแค่เหลือบมองเธอปราดหนึ่ง มิได้พูดจา เขาแปลงร่างกลายเป็นไอหมอกดำหายกลับเข้าไปภายในสร้อยข้อมือ

“ใช่แล้ว ยังมีของอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้เจ้าดูด้วย” เจ้าวิญญาณน้อยสลัดตัวหลุดออกจากอ้อมกอดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพาตัวเธอไปที่ข้างสระน้ำขนาดหนึ่งตารางเมตร

“เอ๊ะ ตรงนี้มีสระน้ำเพิ่มขึ้นมาสระหนึ่งนี่นา!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นสระน้ำที่มีของเหลวสีขาวราวน้ำนมไหลเวียนอยู่จึงเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ

“สิ่งเหล่านี้คือน้ำทิพย์วิญญาณ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ปลูกต้นผลอสรพิษทองคำที่ข้างสระนี่ ไอพลังที่มันแผ่ออกมาก็จะถูกดูดซับเข้าไปในน้ำทิพย์วิญญาณได้”

“น้ำทิพย์วิญญาณหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณได้ ใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์เอื้อมมือไปสัมผัสมันจึงพบว่าน้ำทิพย์วิญญาณนั้นมีอยู่เพียงน้อยนิด เพียงแค่ปกคลุมก้นสระเล็กๆ นี้เป็นชั้นบางๆ เท่านั้น

“ถูกต้อง ต่อจากนี้สารสกัดฟ้าดินที่ข้าดูดซับก็จะมารวมกันอยู่ภายในสระแห่งนี้ ทั้งเจ้าและหมัวซามาใช้ได้ เจ้าใช้โดยตรงได้เลย แต่หมัวซานั้นเจ้าต้องหยดน้ำทิพย์วิญญาณเข้าไปในสร้อยข้อมือเป็นระยะๆ มันจะช่วยหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของเขาได้ ให้ผลลัพธ์ดีกว่าต้นผลอสรพิษทองคำมากมายนัก” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“เจ้าวิญญาณน้อย เจ้าช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ล้ำเลิศยิ่งนัก!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าวิญญาณน้อย ตัวเขาหลังการยกระดับนี้มิอาจสรรหาคำใดมาพรรณนาได้เลย

เจ้าวิญญาณน้อยขยับคางไปมาอย่างลำพองใจ เขากับหมัวซาต้องทุ่มเทความคิดจิตใจไปตั้งมากมายจึงเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ขึ้นมาได้

แน่นอนว่าเรื่องนี้หนีไม่พ้นประโยชน์อันยอดเยี่ยมของเจดีย์เจ็ดชั้น ก็ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วเจ้าของเจดีย์เจ็ดชั้นใช้สิ่งใดหลอมมันขึ้นมา เขาสัมผัสได้ว่าส่วนประกอบทุกชนิดมิได้อ่อนด้อยไปกว่าเขาเลย นอกจากนี้ยังหลอมรวมขึ้นจากส่วนประกอบหลายชนิดอีกด้วย ถ้าหากตอนนั้นตนได้พบกับเจ้าของผู้นั้น เกรงว่าตนก็คงจะได้กลายเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของมันไปแล้ว

“เอาล่ะ เจ้ารักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ถ้าหากเจ้าออกไปในสภาพนี้คงจะทำให้พวกเขาตกใจแย่” เจ้าวิญญาณน้อยพูดจบก็หายตัวไป

“นี่ๆ เจ้ามาบอกข้าก่อนสิว่าข้าจะขึ้นไปชั้นบนๆ ได้อย่างไรแล้วค่อยไป!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกน

“บอกเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกน่า รอให้เจ้าพลังยุทธ์ถึงขั้นแล้วก็จะรู้เองนั่นแหละ!” เจ้าวิญญาณน้อยพูดจบก็เงียบเสียงไป ดูท่าทางคงไม่คิดจะบอกเธอจริงๆ ว่ามีอะไรอยู่ข้างบน

“เชอะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปากอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นแขนดำเปรอะเปื้อนของตนแล้ว ดูท่าทางสามวันนี้ตนคงต้องอยู่ที่นี่จริงๆ เสียแล้ว

เธอปล่อยตัวย่ากวงออกมาก่อน เมื่อเห็นที่นี่แล้ว มันที่สงบนิ่งมาโดยตลอดก็อดที่จะวิ่งถลันออกมามิได้

พอหลิงหลงออกมาก็ตีบนร่างซือหม่าโยวเย่ว์สองครั้ง จากนั้นก็ไม่รู้ว่าวิ่งไปหาตัวเจ้าวิญญาณน้อยมาเล่นด้วยที่ไหนเสียแล้ว

“พวกนี้ออกมากันหมดแล้ว เหตุใดเพลิงชาดจึงชอบอยู่แต่ในมิติพันธสัญญาเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์รับสัมผัสถึงเพลิงชาดครั้งหนึ่ง ไข่ฟองนั้นยังคงหลับใหลอยู่ เธอจึงไม่ไปยุ่งกับมันอีก

หลังจากนั้นเธอก็ปลูกต้นผลอสรพิษทองคำเอาไว้ข้างสระน้ำทิพย์วิญญาณ เมื่อเห็นใบไม้อันเหลืองกรอบ เธอจึงหยิบเอาช้อนหยกอันหนึ่งออกมาแล้วตักน้ำทิพย์วิญญาณในสระวิญญาณเบาๆ ช้อนหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ หยดลงไปบนกิ่งก้านต้นไม้ หลังจากนั้นก็เทส่วนที่เหลือลงไปยังรากไม้

“หวังว่าจะมีประโยชน์อยู่บ้างนะ!”

พอพูดจบ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ลุกขึ้นยืนพลางมองห้วงมิติที่ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ในใจรู้สึกตื่นเต้นอย่างควบคุมไม่อยู่

“ท่านปู่ ท่านพี่ทั้งหลาย มีพวกเจ้าวิญญาณน้อยอยู่ทั้งที อีกสองปีให้หลังข้าจะต้องไปหาพวกท่านที่นั่นให้จงได้!”

ในขณะที่เธอเตรียมจะจากไปฝึกยุทธ์อยู่นั้นเอง ต้นผลอสรพิษทองคำที่เดิมทีกำลังจะเฉาตายก็ส่งเสียงสวบสาบขึ้นมา เธอหันหน้าไปมองก็พบว่าใบไม้เหลืองกรอบเหล่านั้นร่วงหล่นไปจนหมดสิ้น บนกิ่งไม้อันโล่งเตียนเริ่มแตกใบออกมาใหม่ ใบที่ผลิออกมาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็แผ่กิ่งก้านสาขาจนเต็มสมบูรณ์

“นี่มันสถานการณ์อะไรกัน!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูการเปลี่ยนแปลงของต้นผลอสรพิษทองคำแล้วสะดุ้งอย่างแรงคราหนึ่ง

นี่คือเหตุการณ์ในชาติก่อนที่วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วหรือไร

“น้ำทิพย์วิญญาณคงจะไปเร่งการเจริญของต้นผลอสรพิษทองคำกระมัง” เสียงของหมัวซาดังออกมาจากภายในสร้อยข้อมือ “คราวนี้เติบโตได้มากมายเช่นนี้ เป็นเพราะว่าเมื่อครู่เจ้าใช้น้ำทิพย์วิญญาณมากเกินไปน่ะ”

“เช่นนั้นหากข้าให้มันอีกช้อนหนึ่ง มันก็จะผลิดอกออกผลได้ใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างใคร่รู้

“หากทำมากเกินไปแล้วเจ้าไม่กลัวทำมันตาย เจ้าก็ลองทำดูสิ” หมัวซาพูด

“เช่นนั้นพอก่อนดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บช้อนหยก ถ้าหากมันตายไปจริงๆ เช่นนั้นเธอคงเสียหายอย่างมหาศาล

“ตอนที่เจ้ามีเวลาก็มารดน้ำมันทีละนิดสิ น่าจะเพิ่มความเร็วในการเจริญเติบโตของมันได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว” หมัวซาพูด

“เรื่องนี้ยกให้เจ้าวิญญาณน้อยทำก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด มารดน้ำมันวันละเล็กละน้อย ไม่แน่ว่าผ่านไปไม่นาน เธอก็คงมีผลอสรพิษทองคำแล้ว

เจ้าวิญญาณน้อยที่หลบซ่อนอยู่เกือบจะโมโหตายเพราะซือหม่าโยวเย่ว์ เขาปรากฏตัวขึ้นแล้วถือหลิงหลงฟาดเข้าใส่

“สิ้นเปลืองเสียจริง! แม่คนสุรุ่ยสุร่าย!” เจ้าวิญญาณน้อยโอดครวญ เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ สีหน้าก็เจ็บปวดยิ่งนัก

“จะตกอกตกใจถึงเพียงนี้ไปทำไมกันเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์กุมแขนที่ถูกตีจนเจ็บพลางมองเจ้าวิญญาณน้อยอย่างน้อยใจ

“น้ำทิพย์วิญญาณล้ำค่าถึงเพียงนี้ แต่เจ้ากลับใช้มันรดน้ำต้นไม้อย่างนั้นหรือ! แต่ละครั้งเจ้าเลียเบาๆ ได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น มิฉะนั้นวิญญาณเจ้าระเบิดแน่ แต่เจ้ากลับใช้ไปมากมายถึงเพียงนี้ในคราวเดียว! ทำเอาข้าโมโหแทบตายแน่ะ!” เจ้าวิญญาณน้อยถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ ไม่น่าบอกให้เธอรู้ว่ามีของสิ่งนี้อยู่เลย

“แค่กๆ ก็เจ้าไม่ได้บอกข้าก่อนนี่นา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เช่นนั้นเมื่อครู่ข้ารดน้ำให้มันไปหนึ่งช้อนใหญ่ แล้วจะทำให้มันตายหรือไม่”

“ไม่ตายหรอก แต่มันจะต้องใช้เวลาพักใหญ่ในการย่อยน้ำทิพย์วิญญาณที่ดูดซับเข้าไปเมื่อครู่” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ไม่แน่ว่าหลังจากที่มันย่อยเสร็จในคราวนี้ อาจจะออกดอกได้แล้วล่ะ”

“เช่นนั้นต่อไปแต่ละครั้งข้ารดน้ำให้มันแค่หยดเดียวก็พอ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

ก่อนหน้านี้เธอยังรู้สึกว่าน้ำทิพย์วิญญาณน้อยเกินไป ทุกครั้งเธอกินได้เพียงแค่หยดเดียวเท่านั้น แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ น้ำทิพย์วิญญาณนี่ก็มีมากมายเลยสิ

เธอตักช้อนหนึ่งใส่ในขวดแล้ววางลงไปยังสร้อยข้อมือม่านถัว ก่อนจะเคาะมันแล้วถามว่า “ท่านต้องการหรือไม่”

ด้านบนของสร้อยข้อมือมีหมอกดำปรากฏขึ้นเล็กน้อย หมอกดำนั้นห่อหุ้มขวดเข้าไปภายในสร้อยข้อมือ

เธอมองต้นผลอสรพิษทองคำโฉมใหม่อีกครั้งก่อนจะฝึกยุทธ์ไปอย่างพึงพอใจ

เพราะพลังการฟื้นฟูอันน่าพิศวงของร่างมารสว่าง หนึ่งวันให้หลังร่างกายของเธอก็ฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์ดังเดิมแล้ว เธอจึงเตรียมตัวจะจากไป

ก่อนจะจากไปเธอได้เปลี่ยนชื่อมณีวิญญาณ ต่อจากนี้เมื่อมณีวิญญาณและเจดีย์เจ็ดชั้นผสานรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ให้ชื่อว่าเจดีย์วิญญาณ

“ดวงอาทิตย์หรือ!”

เมื่อเห็นดวงอาทิตย์ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้สึกพรั่นพรึงในใจ เพราะก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่ามณีวิญญาณจะกว้างใหญ่ แต่ก็มิได้มีท้องฟ้าสีครามปุยเมฆสีขาว ไม่มีดวงอาทิตย์ เงยหน้าขึ้นมองก็มีเพียงความอลหม่าน คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีทุกสิ่งทุกอย่าง

“มีดวงอาทิตย์ ก็มีดวงจันทร์ด้วยอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าวิญญาณน้อยบอกว่าไม่ต้องยกออกไปอีกแล้วจึงเอ่ยถามขึ้น

“ถูกต้อง ต่อจากนี้ไปที่นี่ก็จะมียามกลางวันอันสว่างไสวและราตรีกาลอันมืดมิดแล้วล่ะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างลำพองใจ “ถ้าหากข้าปรารถนา ที่นี่ยังมีลมพายุและฝนตกได้อีกด้วย ต่อจากนี้ไปก็จะเพาะปลูกสมุนไพรได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นแล้ว”

“เช่นนั้นที่นี่ก็มิได้กลายเป็นโลกใบเล็กๆ ใบหนึ่งไปแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างตกใจ

“ถูกต้อง ตอนนี้ที่นี่ก็กลายเป็นโลกใบหนึ่งไปแล้วละ” เจ้าวิญญาณน้อยพยักหน้าพูด “เพียงแต่ว่าตอนนี้ที่นี่ยังไม่มีอะไรมากนัก จึงมิได้กว้างใหญ่เหมือนกับดินแดนอื่นๆ แต่ถ้ามีโอกาสยกระดับอย่างต่อเนื่อง ก็จะค่อยๆ ยิ่งใหญ่ขึ้นได้เช่นเดียวกัน”

“เช่นนั้นต้องทำอย่างไรจึงจะยกระดับขึ้นได้”

“ถ้าไม่หาของดีๆ มาผสานรวมเหมือนครั้งนี้ พลังยุทธ์ของเจ้าก็ต้องยกระดับ เพราะตอนนี้ข้ากับเจ้าเชื่อมสัมพันธ์กัน ถ้าหากพลังยุทธ์ของเจ้ายกระดับก็ย่อมมีประโยชน์ต่อข้า”

ซือหม่าโยวเย่ว์จนใจ ยังข้องเกี่ยวกับพลังยุทธ์ของตนอีกด้วย เจ้าคำรามน้อยเป็นสัตว์อสูรเทพโบราณ เดิมทีคงจะล้ำเลิศยิ่งนัก แต่พลังยุทธ์กลับลดลงเพราะทำพันธสัญญากับเธอ หรือพูดได้ว่าหากพลังยุทธ์ของเธอยกระดับ มันก็จะค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาเอง

หลิงหลงเป็นสุดยอดอาวุธเทพ แต่เพราะตนเช่นกัน ตอนนี้จึงแปลงเป็นค้อน เป็นกระทะก้นแบนได้เท่านั้น

นี่ก็บอกได้ว่ามีความสัมพันธ์กับพลังยุทธ์ของตน

จะว่าไปแล้ว รอบกายตนมีแต่สิ่งของล้ำเลิศ แต่ตอนนี้ก็เหมือนกับเธออารักขาขุมสมบัติอยู่หลายแห่ง แต่กลับมิได้เปิดประตูขุมสมบัติ ได้แต่แอบมองผ่านรอยแยกประตูเท่านั้น

“ในเมื่อไม่ต้องยกต้นผลอสรพิษทองคำออกไปทุกคืนก็ดี ยกย้ายไปมาอยู่ตลอดช่างยุ่งยากยิ่งนัก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ว่า หมัวซามิได้บอกว่าต้องอยู่ในสร้อยข้อมือเท่านั้นจึงจะสัมผัสถึงอีกครึ่งหนึ่งได้หรอกหรือ หรือว่าอยู่ข้างนอกก็ได้ด้วย”

“ไม่ต้องอยู่ในนี้แล้วล่ะ ไม่รู้ว่าเจดีย์เจ็ดชั้นนี้หลอมขึ้นจากสิ่งใด หลังจากผสานรวมกับมันแล้วพลังของข้าก็ยกระดับ ตอนนี้ดูดซับสารสำคัญจากฟ้าดินมาหล่อเลี้ยงวิญญาณได้แล้ว” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างลำพองใจ

“พรืด…”

ซือหม่าโยวเย่ว์ระเบิดหัวเราะออกมาในทันใด ยังดูดซับสารสำคัญจากฟ้าดินมาหล่อเลี้ยงวิญญาณได้ด้วย ที่แท้หมัวซาหลอมมันให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดอันใดกันแน่!

เมื่อเห็นเจ้าวิญญาณน้อยโมโห เธอจึงรีบหุบยิ้มในทันทีแล้วถามว่า “แล้วเจดีย์เจ็ดชั้นนั่นเล่า”

“ตอนนี้พวกเราก็อยู่กันภายในเจดีย์เจ็ดชั้นนี่แหละ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ตรงนี้นับได้ว่าเป็นชั้นที่หนึ่งของเจดีย์เจ็ดชั้นกระมัง”

“อื้มๆ เดิมทีชั้นที่หนึ่งของเจดีย์เจ็ดชั้นไม่ใหญ่โตสักเท่าไหร่ แต่หลังจากผสานรวมกับข้าแล้วจึงขยายใหญ่ขึ้น” เจ้าวิญญาณน้อยพูด เขาดีดนิ้วครั้งหนึ่ง เจดีย์อันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขาอย่างช้าๆ “ตอนนี้ข้าคือวิญญาณครวญของเจดีย์แห่งนี้ ดังนั้นข้าจึงควบคุมเจดีย์แห่งนี้ได้ สิ่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเจ้า เช่นนี้เจ้าจึงจะเข้าไปถึงชั้นบนๆ ทั้งหลายได้”

“จริงหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์วางเจ้าวิญญาณน้อยลงแล้วผลักประตูเดินเข้าไป ลานแรกดูมืดสลัวอยู่บ้าง น่าจะเป็นเพราะว่านี่เป็นเพียงแค่ภาพในจินตนาการของเจ้าวิญญาณน้อยเองเท่านั้น

“ด้านในสุดมีบันไดอยู่อันหนึ่ง ขึ้นไปชั้นบนได้จากตรงนั้น แต่ว่า…”

เจ้าวิญญาณน้อยยังพูดไม่ทันจบ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็วิ่งตรงขึ้นไปข้างบนเสียแล้ว ผลปรากฏว่าถูกอะไรบางอย่างขวางเอาไว้แล้วสะท้อนกลับ ทำให้เธอกระเด็นตกลงมาอย่างแรง

“โอ๊ย นั่นมันของสิ่งใดกัน เจ็บก้นเหลือเกิน!” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นยืนพลางคลำก้นกบตนเอง

เจ้าวิญญาณน้อยเหินบินเข้ามาแล้วพูดว่า “ข้ายังพูดไม่ทันจบเลย เจ้าจะรีบอะไรหนักหนาเล่า! ชั้นที่สองนี้ยังไม่เปิด เจ้ายังขึ้นไปมิได้หรอก”

“ฮะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองแนวกั้นบางๆ ที่บันไดนั้นอย่างอับจนคำพูด นี่ล้อเธอเล่นหรืออย่างไร !

“ฮะอะไรกันเล่า เจ้าวิ่งเร็วขนาดนั้นของเจ้าเองนี่นา!” เจ้าวิญญาณน้อยจีบปากจีบคออย่างน่าเอ็นดู

ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวเจ้าวิญญาณน้อยมา เขย่าตัวเขาแล้วถามว่า “เจ้าวิญญาณน้อย เจ้ามิใช่วิญญาณครวญหรอกหรือ แม้แต่เจ้าก็เปิดมิได้อย่างนั้นหรือ”

“ข้ามิใช่วิญญาณครวญดั้งเดิมเสียหน่อย” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ถ้าหากข้าเป็นวิญญาณครวญดั้งเดิม เจ้าอยากจะไปสักกี่ชั้นก็ไม่เป็นปัญหาหรอก แต่ข้าฝืนบุกรุกเข้ามาที่นี่ เปิดใช้งานชั้นบนๆ เหล่านั้นได้ก็ไม่เลวแล้ว อยากจะเปิดหมดทุกชั้นย่อมเป็นไปไม่ได้หรอก”

“เช่นนั้นต้องทำอย่างไรจึงจะขึ้นไปได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก “มีความเกี่ยวโยงกับพลังยุทธ์ของข้าอย่างนั้นหรือ”

“ถูกต้อง ฉลาดมาก!”

“เป็นเพราะพลังยุทธ์ต่ำต้อยอีกแล้ว สวรรค์เอ๋ย เจ้าให้สายฟ้าฟาดข้าตายไปเลยดีกว่า!” ซือหม่าโยวเย่ว์โอดครวญ

“เปรี้ยง…”

อสนีบาตสายหนึ่งฟาดตรงลงมาบนร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ ฟาดใส่จนร่างกายเธอดำเมี่ยมไปทั้งร่าง เส้นผมก็ม้วนหยิกไปหมดด้วย

“ฮ่าๆๆๆ…”

เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเธอ เจ้าวิญญาณน้อยกับเจ้าคำรามน้อยต่างพากันหัวเราะอย่างไร้ความปรานี แม้กระทั่งหมัวซาก็อดยกมุมปากยิ้มไม่ได้เช่นกัน

“แค่กๆ…”

ซือหม่าโยวเย่ว์กระแอมสองครั้งแล้วพ่นควันดำออกมา

“เจ้าวิญญาณน้อย นี่มันเรื่องอันใดกัน!”

เธอได้สติกลับคืนมา เมื่อเห็นว่าตนเองถูกสายฟ้าฟาดจนแทบจะกลายเป็นตอตะโกอยู่แล้วจึงตะคอกใส่เจ้าวิญญาณน้อย

เจ้าวิญญาณน้อยกุมท้องตัวเอง ฝืนหยุดหัวเราะแล้วพูดว่า “ฮิๆ ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าเนื่องจากที่นี่เป็นโลกที่สร้างขึ้นเอง ซึ่งเจ้าก็คือเจ้านายของที่นี่ ดังนั้นคำพูดของเจ้าในที่แห่งนี้ก็คือประกาศิตสวรรค์ เจ้าบอกว่าให้ฟ้าผ่าเจ้า อสนีบาตจึงฟาดเข้าใส่อย่างไรเล่า!”

เจ้าคำรามน้อยบินมาบนศีรษะซือหม่าโยวเย่ว์แล้วดึงเส้นผมเธอพลางพูดว่า “เย่ว์เย่ว์ เจ้าพูดอยู่เสมอว่าชาติก่อนมีผมม้วนหยิกอะไรนั่น อยากจะดัดผมหยิก ตอนนี้ก็ไม่ต้องดัดแล้ว ผมเจ้าหยิกเรียบร้อยหมดแล้วละ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือมาดึงเส้นผมหลายครั้ง ร่างกายเจ็บแปลบไปหมด

“เจ้ากินยาวิเศษรักษาอาการก่อนดีกว่า” เจ้าวิญญาณน้อยแนะนำอย่างจริงจัง

แค่กๆ” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบยาวิเศษขวดหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บวัตถุแล้วกินลงไปสองเม็ด หลังจากนั้นจึงออกมาจากเจดีย์เล็ก

“เย่ว์เย่ว์ ข้าค้นพบว่าระยะเวลาของที่นี่กับข้างนอกไม่เหมือนกัน!” เจ้าคำรามน้อยออกมาพร้อมกับซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยขึ้น

“ไม่เหมือนกันอย่างไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เช็ดถูใบหน้าที่ดำเปรอะเปื้อน เช็ดเป็นรอยสีขาวสองรอย ดูน่าขบขันมากเข้าไปใหญ่

“ระยะเวลาของที่นี่เคลื่อนผ่านไปเร็วกว่าเวลาข้างนอกอยู่เล็กน้อย” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“ก่อนหน้านี้ก็มิได้เป็นเช่นนี้อยู่แล้วหรอกหรือ สมุนไพรของที่นี่ก็เติบโตเร็วกว่าข้างนอกอยู่พอสมควรเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างไม่เห็นว่าแปลกแต่อย่างใด

“นั่นมันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ข้ายกระดับแล้วนะ!” เจ้าวิญญาณน้อยไม่พอใจกับท่าทีของซือหม่าโยวเย่ว์จึงเอ่ยเสียงดังว่า “การเคลื่อนของระยะเวลาก่อนหน้านี้พูดถึงเฉพาะพืชพรรณเท่านั้น ตอนนี้สัตว์ที่อยู่ที่นี่ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน ก็พูดได้ว่าตอนนี้เจ้าอยู่ที่นี่เนิ่นนานถึงเพียงนี้ ข้างนอกก็เพิ่งจะผ่านไปเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้นเอง!”

“มนุษย์ก็ได้เหมือนกันหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เบิกตากว้างจ้องมองเจ้าวิญญาณน้อย

“หึหึ แน่นอนอยู่แล้วสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างลำพองใจ

“ล้ำเลิศถึงเพียงนี้เชียว!” ซือหม่าโยวเย่ว์กอดเจ้าวิญญาณน้อยแล้วนวดคลึงมันอยู่ในอ้อมแขนพลางมองหมัวซาแล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า “หมัวซา ที่แท้แล้วท่านทำของที่ล้ำเลิศถึงเพียงนี้ให้กับข้าเชียวหรือ!”

“ก่อนหน้านี้ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ หลักๆ ก็คงเป็นเพราะวัตถุที่สร้างเจดีย์เจ็ดชั้นกระมัง” หมัวซาเห็นดวงตาของซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มจนแทบจะกลายเป็นขีดแล้ว ในใจจึงตื่นเต้นยินดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน

“อ๊ะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงปัญหาที่จริงจังยิ่งอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ “หากเป็นเช่นนี้แล้วถ้าข้ามาอยู่ที่นี่บ่อยๆ แล้วข้าจะไม่แก่เร็วกว่าผู้อื่นหรอกหรือ”

“ดวงอาทิตย์หรือ!”

เมื่อเห็นดวงอาทิตย์ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้สึกพรั่นพรึงในใจ เพราะก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่ามณีวิญญาณจะกว้างใหญ่ แต่ก็มิได้มีท้องฟ้าสีครามปุยเมฆสีขาว ไม่มีดวงอาทิตย์ เงยหน้าขึ้นมองก็มีเพียงความอลหม่าน คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีทุกสิ่งทุกอย่าง

“มีดวงอาทิตย์ ก็มีดวงจันทร์ด้วยอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าวิญญาณน้อยบอกว่าไม่ต้องยกออกไปอีกแล้วจึงเอ่ยถามขึ้น

“ถูกต้อง ต่อจากนี้ไปที่นี่ก็จะมียามกลางวันอันสว่างไสวและราตรีกาลอันมืดมิดแล้วล่ะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างลำพองใจ “ถ้าหากข้าปรารถนา ที่นี่ยังมีลมพายุและฝนตกได้อีกด้วย ต่อจากนี้ไปก็จะเพาะปลูกสมุนไพรได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นแล้ว”

“เช่นนั้นที่นี่ก็มิได้กลายเป็นโลกใบเล็กๆ ใบหนึ่งไปแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างตกใจ

“ถูกต้อง ตอนนี้ที่นี่ก็กลายเป็นโลกใบหนึ่งไปแล้วละ” เจ้าวิญญาณน้อยพยักหน้าพูด “เพียงแต่ว่าตอนนี้ที่นี่ยังไม่มีอะไรมากนัก จึงมิได้กว้างใหญ่เหมือนกับดินแดนอื่นๆ แต่ถ้ามีโอกาสยกระดับอย่างต่อเนื่อง ก็จะค่อยๆ ยิ่งใหญ่ขึ้นได้เช่นเดียวกัน”

“เช่นนั้นต้องทำอย่างไรจึงจะยกระดับขึ้นได้”

“ถ้าไม่หาของดีๆ มาผสานรวมเหมือนครั้งนี้ พลังยุทธ์ของเจ้าก็ต้องยกระดับ เพราะตอนนี้ข้ากับเจ้าเชื่อมสัมพันธ์กัน ถ้าหากพลังยุทธ์ของเจ้ายกระดับก็ย่อมมีประโยชน์ต่อข้า”

ซือหม่าโยวเย่ว์จนใจ ยังข้องเกี่ยวกับพลังยุทธ์ของตนอีกด้วย เจ้าคำรามน้อยเป็นสัตว์อสูรเทพโบราณ เดิมทีคงจะล้ำเลิศยิ่งนัก แต่พลังยุทธ์กลับลดลงเพราะทำพันธสัญญากับเธอ หรือพูดได้ว่าหากพลังยุทธ์ของเธอยกระดับ มันก็จะค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาเอง

หลิงหลงเป็นสุดยอดอาวุธเทพ แต่เพราะตนเช่นกัน ตอนนี้จึงแปลงเป็นค้อน เป็นกระทะก้นแบนได้เท่านั้น

นี่ก็บอกได้ว่ามีความสัมพันธ์กับพลังยุทธ์ของตน

จะว่าไปแล้ว รอบกายตนมีแต่สิ่งของล้ำเลิศ แต่ตอนนี้ก็เหมือนกับเธออารักขาขุมสมบัติอยู่หลายแห่ง แต่กลับมิได้เปิดประตูขุมสมบัติ ได้แต่แอบมองผ่านรอยแยกประตูเท่านั้น

“ในเมื่อไม่ต้องยกต้นผลอสรพิษทองคำออกไปทุกคืนก็ดี ยกย้ายไปมาอยู่ตลอดช่างยุ่งยากยิ่งนัก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ว่า หมัวซามิได้บอกว่าต้องอยู่ในสร้อยข้อมือเท่านั้นจึงจะสัมผัสถึงอีกครึ่งหนึ่งได้หรอกหรือ หรือว่าอยู่ข้างนอกก็ได้ด้วย”

“ไม่ต้องอยู่ในนี้แล้วล่ะ ไม่รู้ว่าเจดีย์เจ็ดชั้นนี้หลอมขึ้นจากสิ่งใด หลังจากผสานรวมกับมันแล้วพลังของข้าก็ยกระดับ ตอนนี้ดูดซับสารสำคัญจากฟ้าดินมาหล่อเลี้ยงวิญญาณได้แล้ว” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างลำพองใจ

“พรืด…”

ซือหม่าโยวเย่ว์ระเบิดหัวเราะออกมาในทันใด ยังดูดซับสารสำคัญจากฟ้าดินมาหล่อเลี้ยงวิญญาณได้ด้วย ที่แท้หมัวซาหลอมมันให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดอันใดกันแน่!

เมื่อเห็นเจ้าวิญญาณน้อยโมโห เธอจึงรีบหุบยิ้มในทันทีแล้วถามว่า “แล้วเจดีย์เจ็ดชั้นนั่นเล่า”

“ตอนนี้พวกเราก็อยู่กันภายในเจดีย์เจ็ดชั้นนี่แหละ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ตรงนี้นับได้ว่าเป็นชั้นที่หนึ่งของเจดีย์เจ็ดชั้นกระมัง”

“อื้มๆ เดิมทีชั้นที่หนึ่งของเจดีย์เจ็ดชั้นไม่ใหญ่โตสักเท่าไหร่ แต่หลังจากผสานรวมกับข้าแล้วจึงขยายใหญ่ขึ้น” เจ้าวิญญาณน้อยพูด เขาดีดนิ้วครั้งหนึ่ง เจดีย์อันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขาอย่างช้าๆ “ตอนนี้ข้าคือวิญญาณครวญของเจดีย์แห่งนี้ ดังนั้นข้าจึงควบคุมเจดีย์แห่งนี้ได้ สิ่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเจ้า เช่นนี้เจ้าจึงจะเข้าไปถึงชั้นบนๆ ทั้งหลายได้”

“จริงหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์วางเจ้าวิญญาณน้อยลงแล้วผลักประตูเดินเข้าไป ลานแรกดูมืดสลัวอยู่บ้าง น่าจะเป็นเพราะว่านี่เป็นเพียงแค่ภาพในจินตนาการของเจ้าวิญญาณน้อยเองเท่านั้น

“ด้านในสุดมีบันไดอยู่อันหนึ่ง ขึ้นไปชั้นบนได้จากตรงนั้น แต่ว่า…”

เจ้าวิญญาณน้อยยังพูดไม่ทันจบ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็วิ่งตรงขึ้นไปข้างบนเสียแล้ว ผลปรากฏว่าถูกอะไรบางอย่างขวางเอาไว้แล้วสะท้อนกลับ ทำให้เธอกระเด็นตกลงมาอย่างแรง

“โอ๊ย นั่นมันของสิ่งใดกัน เจ็บก้นเหลือเกิน!” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นยืนพลางคลำก้นกบตนเอง

เจ้าวิญญาณน้อยเหินบินเข้ามาแล้วพูดว่า “ข้ายังพูดไม่ทันจบเลย เจ้าจะรีบอะไรหนักหนาเล่า! ชั้นที่สองนี้ยังไม่เปิด เจ้ายังขึ้นไปมิได้หรอก”

“ฮะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองแนวกั้นบางๆ ที่บันไดนั้นอย่างอับจนคำพูด นี่ล้อเธอเล่นหรืออย่างไร !

“ฮะอะไรกันเล่า เจ้าวิ่งเร็วขนาดนั้นของเจ้าเองนี่นา!” เจ้าวิญญาณน้อยจีบปากจีบคออย่างน่าเอ็นดู

ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวเจ้าวิญญาณน้อยมา เขย่าตัวเขาแล้วถามว่า “เจ้าวิญญาณน้อย เจ้ามิใช่วิญญาณครวญหรอกหรือ แม้แต่เจ้าก็เปิดมิได้อย่างนั้นหรือ”

“ข้ามิใช่วิญญาณครวญดั้งเดิมเสียหน่อย” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ถ้าหากข้าเป็นวิญญาณครวญดั้งเดิม เจ้าอยากจะไปสักกี่ชั้นก็ไม่เป็นปัญหาหรอก แต่ข้าฝืนบุกรุกเข้ามาที่นี่ เปิดใช้งานชั้นบนๆ เหล่านั้นได้ก็ไม่เลวแล้ว อยากจะเปิดหมดทุกชั้นย่อมเป็นไปไม่ได้หรอก”

“เช่นนั้นต้องทำอย่างไรจึงจะขึ้นไปได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก “มีความเกี่ยวโยงกับพลังยุทธ์ของข้าอย่างนั้นหรือ”

“ถูกต้อง ฉลาดมาก!”

“เป็นเพราะพลังยุทธ์ต่ำต้อยอีกแล้ว สวรรค์เอ๋ย เจ้าให้สายฟ้าฟาดข้าตายไปเลยดีกว่า!” ซือหม่าโยวเย่ว์โอดครวญ

“เปรี้ยง…”

อสนีบาตสายหนึ่งฟาดตรงลงมาบนร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ ฟาดใส่จนร่างกายเธอดำเมี่ยมไปทั้งร่าง เส้นผมก็ม้วนหยิกไปหมดด้วย

“ฮ่าๆๆๆ…”

เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเธอ เจ้าวิญญาณน้อยกับเจ้าคำรามน้อยต่างพากันหัวเราะอย่างไร้ความปรานี แม้กระทั่งหมัวซาก็อดยกมุมปากยิ้มไม่ได้เช่นกัน

“แค่กๆ…”

ซือหม่าโยวเย่ว์กระแอมสองครั้งแล้วพ่นควันดำออกมา

“เจ้าวิญญาณน้อย นี่มันเรื่องอันใดกัน!”

เธอได้สติกลับคืนมา เมื่อเห็นว่าตนเองถูกสายฟ้าฟาดจนแทบจะกลายเป็นตอตะโกอยู่แล้วจึงตะคอกใส่เจ้าวิญญาณน้อย

เจ้าวิญญาณน้อยกุมท้องตัวเอง ฝืนหยุดหัวเราะแล้วพูดว่า “ฮิๆ ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าเนื่องจากที่นี่เป็นโลกที่สร้างขึ้นเอง ซึ่งเจ้าก็คือเจ้านายของที่นี่ ดังนั้นคำพูดของเจ้าในที่แห่งนี้ก็คือประกาศิตสวรรค์ เจ้าบอกว่าให้ฟ้าผ่าเจ้า อสนีบาตจึงฟาดเข้าใส่อย่างไรเล่า!”

เจ้าคำรามน้อยบินมาบนศีรษะซือหม่าโยวเย่ว์แล้วดึงเส้นผมเธอพลางพูดว่า “เย่ว์เย่ว์ เจ้าพูดอยู่เสมอว่าชาติก่อนมีผมม้วนหยิกอะไรนั่น อยากจะดัดผมหยิก ตอนนี้ก็ไม่ต้องดัดแล้ว ผมเจ้าหยิกเรียบร้อยหมดแล้วละ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือมาดึงเส้นผมหลายครั้ง ร่างกายเจ็บแปลบไปหมด

“เจ้ากินยาวิเศษรักษาอาการก่อนดีกว่า” เจ้าวิญญาณน้อยแนะนำอย่างจริงจัง

แค่กๆ” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบยาวิเศษขวดหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บวัตถุแล้วกินลงไปสองเม็ด หลังจากนั้นจึงออกมาจากเจดีย์เล็ก

“เย่ว์เย่ว์ ข้าค้นพบว่าระยะเวลาของที่นี่กับข้างนอกไม่เหมือนกัน!” เจ้าคำรามน้อยออกมาพร้อมกับซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยขึ้น

“ไม่เหมือนกันอย่างไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เช็ดถูใบหน้าที่ดำเปรอะเปื้อน เช็ดเป็นรอยสีขาวสองรอย ดูน่าขบขันมากเข้าไปใหญ่

“ระยะเวลาของที่นี่เคลื่อนผ่านไปเร็วกว่าเวลาข้างนอกอยู่เล็กน้อย” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“ก่อนหน้านี้ก็มิได้เป็นเช่นนี้อยู่แล้วหรอกหรือ สมุนไพรของที่นี่ก็เติบโตเร็วกว่าข้างนอกอยู่พอสมควรเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างไม่เห็นว่าแปลกแต่อย่างใด

“นั่นมันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ข้ายกระดับแล้วนะ!” เจ้าวิญญาณน้อยไม่พอใจกับท่าทีของซือหม่าโยวเย่ว์จึงเอ่ยเสียงดังว่า “การเคลื่อนของระยะเวลาก่อนหน้านี้พูดถึงเฉพาะพืชพรรณเท่านั้น ตอนนี้สัตว์ที่อยู่ที่นี่ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน ก็พูดได้ว่าตอนนี้เจ้าอยู่ที่นี่เนิ่นนานถึงเพียงนี้ ข้างนอกก็เพิ่งจะผ่านไปเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้นเอง!”

“มนุษย์ก็ได้เหมือนกันหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เบิกตากว้างจ้องมองเจ้าวิญญาณน้อย

“หึหึ แน่นอนอยู่แล้วสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างลำพองใจ

“ล้ำเลิศถึงเพียงนี้เชียว!” ซือหม่าโยวเย่ว์กอดเจ้าวิญญาณน้อยแล้วนวดคลึงมันอยู่ในอ้อมแขนพลางมองหมัวซาแล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า “หมัวซา ที่แท้แล้วท่านทำของที่ล้ำเลิศถึงเพียงนี้ให้กับข้าเชียวหรือ!”

“ก่อนหน้านี้ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ หลักๆ ก็คงเป็นเพราะวัตถุที่สร้างเจดีย์เจ็ดชั้นกระมัง” หมัวซาเห็นดวงตาของซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มจนแทบจะกลายเป็นขีดแล้ว ในใจจึงตื่นเต้นยินดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน

“อ๊ะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงปัญหาที่จริงจังยิ่งอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ “หากเป็นเช่นนี้แล้วถ้าข้ามาอยู่ที่นี่บ่อยๆ แล้วข้าจะไม่แก่เร็วกว่าผู้อื่นหรอกหรือ”

เห็นแก่ความยากลำบากของเจ้าอ้วนชวี ซือหม่าโยวเย่ว์จึงทำกีบหมูย่างให้เขาอย่างใจดี เธอแบ่งส่วนหมูป่าตัวนั้นอย่างง่ายๆ เพื่อเป็นเนื้อสัตว์ในมื้ออาหารให้กับทุกคนในระยะเวลาต่อจากนี้

ขณะที่เธอทำอาหาร เจ้าอ้วนชวีก็นั่งพักผ่อน เมื่อเธอทำเสร็จ เจ้าอ้วนชวีก็ฟื้นฟูร่างกายเรียบร้อยพอดี

“โอ้โห หอมเหลือเกิน!” เจ้าอ้วนชวีเข้ามาใกล้ เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เตรียมของเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังย่างกีบหมูอยู่ จึงเอ่ยว่า “ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง คิดไม่ถึงว่าโยวเย่ว์จะทำกีบหมูย่างจริงๆ เสียด้วย! กลิ่นหอมยิ่งนัก!”

ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังใส่เครื่องปรุงอย่างสุดท้ายลงบนกีบหมู จึงเหลือบตามองเขาปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ตอนที่บางคนกำลังออกหมัดอยู่บอกว่าเย็นนี้อยากกินมิใช่หรือ หลังจากนั้นก็ยังพูดอีกครั้งหนึ่งด้วย เห็นเจ้าอยากกินถึงเพียงนี้ ข้าก็เลยสนองให้เจ้าน่ะสิ”

“ฮ่าๆ โยวเย่ว์ เจ้าช่างล้ำเลิศนัก! ในภายหน้าผู้ใดแต่งงานกับเจ้า ช่างมีลาภปากเหลือเกิน!” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางน้ำลายไหล

“ข้าไม่มีความคิดที่จะแต่งงานกับใครเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่พลางพูดว่า “รอให้ข้าทำเรื่องที่อยากทำเสร็จหมดก่อน เกรงว่าข้าก็คงขึ้นคานเสียแล้วละ”

“เจ้าช่วยพวกท่านแม่ทัพซือหม่าออกมาแล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีกหรือไม่” เจ้าอ้วนชวียื่นมือออกไปหมายจะหยิบกีบหมูที่ย่างเสร็จแล้ว แต่กลับถูกซือหม่าโยวเย่ว์ปัดมือออกไป

“ใช่แล้ว โยวเย่ว์ นอกจากช่วยท่านแม่ทัพซือหม่า เจ้ายังมีเรื่องใดที่ต้องทำอีกหรือไม่” เว่ยจือฉีก็ถามอย่างใคร่รู้เช่นกัน

ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้ม มิได้เอ่ยตอบ

ธุระของเธอยังมีอีกมากมาย ทั้งไปช่วยพวกซือหม่าเลี่ย ทั้งไปตามหาบิดามารดาบังเกิดเกล้า ทั้งไปจัดการบุญคุณความแค้นในชาติก่อนของตน ถึงแม้ว่าเธอยังระลึกความทรงจำในชาติก่อนไม่ได้ทั้งหมด แต่ดูจากความฝันในทุกๆ ครั้ง ตระกูลซีเหมินยังรอให้เธอไปแก้แค้นแทนให้อยู่

นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้ว เธอยังต้องไปช่วยหมัวซาเสาะหาวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของเขาด้วย เธอมีลางสังหรณ์ว่าพลังยุทธ์ของหมัวซาก่อนหน้านี้คงจะไม่ธรรมดา หากพัวพันกับเขา ในภายหน้าตนอาจต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับภพมาร ไม่ว่าจะดีหรือร้าย จุดนี้ก็ทำให้เธอปวดหัวอยู่บ้าง

เธอจัดเตรียมกับข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงส่งกีบหมูย่างให้กับเจ้าอ้วนชวี เห็นเขากินอย่างเบิกบานใจยิ่ง คล้ายกับระบายความคับข้องใจของการต่อสู้เมื่อตอนเช้าออกมาจนหมด

กินมื้อกลางวันเสร็จเรียบร้อย ทุกคนจึงเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังเทือกเขา บางทีอาจเป็นเพราะตำแหน่งของพวกเขาอยู่ค่อนเข้าไปทางด้านในแล้ว ยามบ่ายจึงพบกับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นสูงสองตัว

เพราะสัตว์อสูรวิเศษสองตัวในช่วงบ่ายมิได้ใช้กำลังดุร้ายเพียงอย่างเดียวเหมือนเจ้าหมูป่า ดังนั้นการต่อกรกับพวกมันจึงยากลำบากพอสมควร ครั้งหนึ่งเป็นซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังเข้าไปสู้พร้อมกัน ส่วนอีกครั้งหนึ่งเป็นโอวหยางเฟยกับเว่ยจือฉี

พอจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ตั้งค่ายพักกันที่ริมลำธารในหุบเขา การต่อสู้ในช่วงบ่ายทำให้ทุกคนได้รับบาดเจ็บกันมากบ้างน้อยบ้าง ดังนั้นจึงกลับไปพักผ่อนกันแต่หัววัน เหลือเพียงแค่สัตว์อสูรวิเศษคอยเฝ้ายามเท่านั้น

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอาต้นผลอสรพิษทองคำออกมาก่อน หลังจากนั้นจึงกินยาวิเศษเม็ดหนึ่งเพื่อรักษาตน เพียงไม่นานเธอก็ลืมตาขึ้นแล้วกระโจนลงจากเตียง ก่อนจะหยิบเตาหลอมยาและเครื่องยาออกมาเตรียมหลอมยาวิเศษ

ยาวิเศษของตระกูลซือหม่ายังต้องอาศัยเธอเป็นคนหลอมให้อยู่ในตอนนี้ ดังนั้นตอนที่เธอพักผ่อนจึงต้องหลอมยาวิเศษที่ใช้เป็นประจำเอาไว้จำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นก็ให้เจ้าคำรามน้อยส่งไป เมื่อถึงสถานที่นัดหมายจึงมอบให้กับคนที่มารับของ

พร้อมกันนั้นเธอก็ถือว่าเป็นการฝึกฝนการหลอมยาไปในตัว

คืนต่อๆ มา ถ้าหากไม่หลอมยา เธอก็ฝึกยุทธ์ หรือไม่ก็รับสัมผัสห้วงมิติ เมื่อเธอรับสัมผัสห้วงมิติมากขึ้นเรื่อยๆ ล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงเข้าใจห้วงมิติมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน จึงเห็นโลกบริเวณรอบๆ แตกต่างไปจากเดิมมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับเธอ ห้วงมิติจึงมิใช่สิ่งที่มิอาจคาดคะเนได้อีกต่อไปแล้ว ทว่าก็เหมือนกับชีวิตมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

หลังจากเข้าไปในภูเขาได้ครึ่งเดือน พวกเขาก็หาถ้ำตามธรรมชาติแห่งหนึ่งพบ ภายในถ้ำภูเขามีอุโมงค์อยู่หลายเส้น ทุกคนจึงจัดการขยายมันให้กว้างขึ้นเพื่อทำเป็นห้องของตน ทำให้ที่นั่นกลายเป็นฐานทัพใหญ่ชั่วคราวของพวกเขา

ยามกลางวันหากพวกเขามิได้ดวลกันเอง ก็เสาะหาสัตว์อสูรวิเศษเพื่อฝึกฝน ยามกลางคืนก็ทำกิจกรรมต่างๆ นานา ชีวิตของซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่กับพวกเขาได้รับการเติมเต็มเป็นอย่างยิ่ง

แต่เพราะต้นผลอสรพิษทองคำต้องการแสงจันทร์ ดังนั้นซือหม่าโยวเย่ว์จึงมักจะใช้เวลาตอนกลางคืนอยู่ข้างนอกเป็นประจำ

เพราะว่าที่นี่มีปราณวิญญาณเข้มข้น ดังนั้นหลังจากการต่อสู้ใหญ่ทุกครั้ง พวกเขาจึงใช้เวลาเพียงระยะหนึ่งมาฟื้นฟูปราณวิญญาณในร่างกายได้ และทุกครั้งล้วนได้ประโยชน์ไม่น้อย

เข้าไปในภูเขาไม่ถึงเดือน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เลื่อนไปถึงระดับปรมาจารย์วิญญาณขั้นเก้าแล้ว หลังผ่านไปหนึ่งเดือนกว่า หลังจากที่ต่อกรกับสัตว์อสูรทิพย์ตนหนึ่งแล้ว เธอก็บรรลุระดับปรมาจารย์วิญญาณ สำเร็จเป็นระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณขั้นหนึ่ง

ยามราตรีของคืนนั้น ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังฝึกรวบรวมพื้นฐานของขั้นมหาปรมาจารย์วิญญาณ ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของสร้อยข้อมือม่านถัว จึงรีบเรียกตัวเจ้าคำรามน้อยออกมา ให้มันวางข่ายมนตร์

เมื่อวางข่ายมนตร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว หมัวซาก็ปรากฏตัวขึ้นภายในถ้ำ

“เสร็จแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง

นับว่าการผสานรวมของหมัวซาในครั้งนี้หายไปนานครึ่งปีโดยไร้ซึ่งข่าวคราว เธอเป็นกังวลว่ามณีวิญญาณอาจเกิดปัญหาขึ้นระหว่างการผสานรวม ทั้งยังกังวลว่าหมัวซาจะต้านทานไหวหรือไม่ จะทำร้ายดวงวิญญาณของเขาเข้าหรือไม่ แต่เขาก็มิได้ติดต่อเธอเลย เธอก็ไม่กล้ารีบร้อนติดต่อเขา

หมัวซาพยักหน้า เจดีย์เล็กอันหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าซือหม่าโยวเย่ว์ รูปร่างหน้าตาไม่เปลี่ยนไปจากเจดีย์เจ็ดชั้นอันเดิมเลย

“เจดีย์เจ็ดชั้นเล่า มณีวิญญาณเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเพียงแค่เจดีย์เล็ก จึงเอ่ยถามขึ้น

“เจ้าลองรับสัมผัสสายสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับมันดูสิ” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเจดีย์เล็กขึ้นมาแล้วหลับตารับสัมผัสดู ก็สัมผัสได้ว่ามีสายสัมพันธ์ระหว่างตนกับเจดีย์นี้อยู่จริงๆ ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง เธอกับหมัวซา รวมทั้งเจ้าคำรามน้อยก็มาปรากฏตัวที่สภาวะแวดล้อมอีกแห่งหนึ่ง

“เจ้าวิญญาณน้อยเล่า”

เมื่อมองไม่เห็นเจ้าวิญญาณน้อย ซือหม่าโยวเย่ว์จึงมองไปทุกทิศทุกทาง

“ข้าอยู่นี่” เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอย่างช้าๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปอุ้มเจ้าวิญญาณน้อยขึ้นมาดูแล้วจึงเอื้อมมือไปนวดคลึงบนใบหน้าของเขา แต่กลับถูกเขาปัดมือทิ้ง

“อืม ดูหน้าตาไม่อัปลักษณ์ ยังคงเป็นเจ้าวิญญาณน้อยเหมือนก่อนหน้านี้!” ซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มเจ้าวิญญาณน้อยขึ้นมาหอมฟอดหนึ่งแล้ววางลง

“หึๆ ย่อมต้องเป็นข้าแน่นอนอยู่แล้วสิ!” เจ้าวิญญาณน้อยเช็ดน้ำลายที่ไม่มีอยู่จริง ท่าทีเช่นนั้นทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ่งเบิกบานใจมากขึ้นไปอีก

“หมัวซา ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นวิญญาณของหมัวซาซีดขาวกว่าแต่ก่อนจึงถามขึ้นอย่างเป็นกังวล

“ยังดีอยู่ ไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไรหรอก” หมัวซาพูด

“ข้าเห็นว่าวิญญาณของท่านเลือนรางลงไปมากทีเดียว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“แต่ดูดพลังวิญญาณไปมากโขเลยล่ะ” หมัวซาพูดอย่างไม่ใส่ใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้มิสู้ดีนัก แต่เหตุใดเธอจึงเห็นเขามีท่าทีไม่อยากให้เธอกังวลใจอยู่ตลอดเลยเล่า

“ข้ามิได้ดูแลต้นผลอสรพิษทองคำนั่นให้ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้าง

“ข้ารู้น่า” หมัวซาเห็นต้นผลอสรพิษทองคำที่เกือบจะเหี่ยวแห้งไปอยู่ก่อนแล้ว

“เลี้ยงต้นไม้นั่นไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้วล่ะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “นอกจากนี้ตอนนี้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเอามันออกไปทุกวันแล้วด้วย”

“เพราะเหตุใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ก้มหน้าลงมองเจ้าวิญญาณน้อยพลางถามขึ้น

“เจ้านายโง่งม เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าตอนนี้ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปแล้วน่ะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างดูแคลน

“ข้าเข้ามาก็ดูเพียงว่าสถานการณ์ของพวกเจ้าทั้งคู่เป็นเช่นไรบ้างแล้ว ย่อมมิได้สังเกตหรอกว่าที่นี่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางมองไปรอบทิศก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าไม่เห็นรู้สึกเลยว่าที่นี่มีความแตกต่างอะไรกับก่อนหน้านี้”

เจ้าวิญญาณน้อยกลอกตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยว่า “เจ้าก้มหน้าลงมองสิ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังแล้วจึงก้มศีรษะลง ก็เห็นเงาของตนเอง เธอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าที่นี่มีท้องฟ้าสีครามปุยเมฆสีขาว ทั้งยังมีแสงตะวันเจิดจ้าอีกด้วย!

เห็นแก่ความยากลำบากของเจ้าอ้วนชวี ซือหม่าโยวเย่ว์จึงทำกีบหมูย่างให้เขาอย่างใจดี เธอแบ่งส่วนหมูป่าตัวนั้นอย่างง่ายๆ เพื่อเป็นเนื้อสัตว์ในมื้ออาหารให้กับทุกคนในระยะเวลาต่อจากนี้

ขณะที่เธอทำอาหาร เจ้าอ้วนชวีก็นั่งพักผ่อน เมื่อเธอทำเสร็จ เจ้าอ้วนชวีก็ฟื้นฟูร่างกายเรียบร้อยพอดี

“โอ้โห หอมเหลือเกิน!” เจ้าอ้วนชวีเข้ามาใกล้ เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เตรียมของเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังย่างกีบหมูอยู่ จึงเอ่ยว่า “ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง คิดไม่ถึงว่าโยวเย่ว์จะทำกีบหมูย่างจริงๆ เสียด้วย! กลิ่นหอมยิ่งนัก!”

ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังใส่เครื่องปรุงอย่างสุดท้ายลงบนกีบหมู จึงเหลือบตามองเขาปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ตอนที่บางคนกำลังออกหมัดอยู่บอกว่าเย็นนี้อยากกินมิใช่หรือ หลังจากนั้นก็ยังพูดอีกครั้งหนึ่งด้วย เห็นเจ้าอยากกินถึงเพียงนี้ ข้าก็เลยสนองให้เจ้าน่ะสิ”

“ฮ่าๆ โยวเย่ว์ เจ้าช่างล้ำเลิศนัก! ในภายหน้าผู้ใดแต่งงานกับเจ้า ช่างมีลาภปากเหลือเกิน!” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางน้ำลายไหล

“ข้าไม่มีความคิดที่จะแต่งงานกับใครเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่พลางพูดว่า “รอให้ข้าทำเรื่องที่อยากทำเสร็จหมดก่อน เกรงว่าข้าก็คงขึ้นคานเสียแล้วละ”

“เจ้าช่วยพวกท่านแม่ทัพซือหม่าออกมาแล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีกหรือไม่” เจ้าอ้วนชวียื่นมือออกไปหมายจะหยิบกีบหมูที่ย่างเสร็จแล้ว แต่กลับถูกซือหม่าโยวเย่ว์ปัดมือออกไป

“ใช่แล้ว โยวเย่ว์ นอกจากช่วยท่านแม่ทัพซือหม่า เจ้ายังมีเรื่องใดที่ต้องทำอีกหรือไม่” เว่ยจือฉีก็ถามอย่างใคร่รู้เช่นกัน

ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้ม มิได้เอ่ยตอบ

ธุระของเธอยังมีอีกมากมาย ทั้งไปช่วยพวกซือหม่าเลี่ย ทั้งไปตามหาบิดามารดาบังเกิดเกล้า ทั้งไปจัดการบุญคุณความแค้นในชาติก่อนของตน ถึงแม้ว่าเธอยังระลึกความทรงจำในชาติก่อนไม่ได้ทั้งหมด แต่ดูจากความฝันในทุกๆ ครั้ง ตระกูลซีเหมินยังรอให้เธอไปแก้แค้นแทนให้อยู่

นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้ว เธอยังต้องไปช่วยหมัวซาเสาะหาวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของเขาด้วย เธอมีลางสังหรณ์ว่าพลังยุทธ์ของหมัวซาก่อนหน้านี้คงจะไม่ธรรมดา หากพัวพันกับเขา ในภายหน้าตนอาจต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับภพมาร ไม่ว่าจะดีหรือร้าย จุดนี้ก็ทำให้เธอปวดหัวอยู่บ้าง

เธอจัดเตรียมกับข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงส่งกีบหมูย่างให้กับเจ้าอ้วนชวี เห็นเขากินอย่างเบิกบานใจยิ่ง คล้ายกับระบายความคับข้องใจของการต่อสู้เมื่อตอนเช้าออกมาจนหมด

กินมื้อกลางวันเสร็จเรียบร้อย ทุกคนจึงเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังเทือกเขา บางทีอาจเป็นเพราะตำแหน่งของพวกเขาอยู่ค่อนเข้าไปทางด้านในแล้ว ยามบ่ายจึงพบกับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นสูงสองตัว

เพราะสัตว์อสูรวิเศษสองตัวในช่วงบ่ายมิได้ใช้กำลังดุร้ายเพียงอย่างเดียวเหมือนเจ้าหมูป่า ดังนั้นการต่อกรกับพวกมันจึงยากลำบากพอสมควร ครั้งหนึ่งเป็นซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังเข้าไปสู้พร้อมกัน ส่วนอีกครั้งหนึ่งเป็นโอวหยางเฟยกับเว่ยจือฉี

พอจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ตั้งค่ายพักกันที่ริมลำธารในหุบเขา การต่อสู้ในช่วงบ่ายทำให้ทุกคนได้รับบาดเจ็บกันมากบ้างน้อยบ้าง ดังนั้นจึงกลับไปพักผ่อนกันแต่หัววัน เหลือเพียงแค่สัตว์อสูรวิเศษคอยเฝ้ายามเท่านั้น

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอาต้นผลอสรพิษทองคำออกมาก่อน หลังจากนั้นจึงกินยาวิเศษเม็ดหนึ่งเพื่อรักษาตน เพียงไม่นานเธอก็ลืมตาขึ้นแล้วกระโจนลงจากเตียง ก่อนจะหยิบเตาหลอมยาและเครื่องยาออกมาเตรียมหลอมยาวิเศษ

ยาวิเศษของตระกูลซือหม่ายังต้องอาศัยเธอเป็นคนหลอมให้อยู่ในตอนนี้ ดังนั้นตอนที่เธอพักผ่อนจึงต้องหลอมยาวิเศษที่ใช้เป็นประจำเอาไว้จำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นก็ให้เจ้าคำรามน้อยส่งไป เมื่อถึงสถานที่นัดหมายจึงมอบให้กับคนที่มารับของ

พร้อมกันนั้นเธอก็ถือว่าเป็นการฝึกฝนการหลอมยาไปในตัว

คืนต่อๆ มา ถ้าหากไม่หลอมยา เธอก็ฝึกยุทธ์ หรือไม่ก็รับสัมผัสห้วงมิติ เมื่อเธอรับสัมผัสห้วงมิติมากขึ้นเรื่อยๆ ล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงเข้าใจห้วงมิติมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน จึงเห็นโลกบริเวณรอบๆ แตกต่างไปจากเดิมมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับเธอ ห้วงมิติจึงมิใช่สิ่งที่มิอาจคาดคะเนได้อีกต่อไปแล้ว ทว่าก็เหมือนกับชีวิตมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

หลังจากเข้าไปในภูเขาได้ครึ่งเดือน พวกเขาก็หาถ้ำตามธรรมชาติแห่งหนึ่งพบ ภายในถ้ำภูเขามีอุโมงค์อยู่หลายเส้น ทุกคนจึงจัดการขยายมันให้กว้างขึ้นเพื่อทำเป็นห้องของตน ทำให้ที่นั่นกลายเป็นฐานทัพใหญ่ชั่วคราวของพวกเขา

ยามกลางวันหากพวกเขามิได้ดวลกันเอง ก็เสาะหาสัตว์อสูรวิเศษเพื่อฝึกฝน ยามกลางคืนก็ทำกิจกรรมต่างๆ นานา ชีวิตของซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่กับพวกเขาได้รับการเติมเต็มเป็นอย่างยิ่ง

แต่เพราะต้นผลอสรพิษทองคำต้องการแสงจันทร์ ดังนั้นซือหม่าโยวเย่ว์จึงมักจะใช้เวลาตอนกลางคืนอยู่ข้างนอกเป็นประจำ

เพราะว่าที่นี่มีปราณวิญญาณเข้มข้น ดังนั้นหลังจากการต่อสู้ใหญ่ทุกครั้ง พวกเขาจึงใช้เวลาเพียงระยะหนึ่งมาฟื้นฟูปราณวิญญาณในร่างกายได้ และทุกครั้งล้วนได้ประโยชน์ไม่น้อย

เข้าไปในภูเขาไม่ถึงเดือน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เลื่อนไปถึงระดับปรมาจารย์วิญญาณขั้นเก้าแล้ว หลังผ่านไปหนึ่งเดือนกว่า หลังจากที่ต่อกรกับสัตว์อสูรทิพย์ตนหนึ่งแล้ว เธอก็บรรลุระดับปรมาจารย์วิญญาณ สำเร็จเป็นระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณขั้นหนึ่ง

ยามราตรีของคืนนั้น ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังฝึกรวบรวมพื้นฐานของขั้นมหาปรมาจารย์วิญญาณ ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของสร้อยข้อมือม่านถัว จึงรีบเรียกตัวเจ้าคำรามน้อยออกมา ให้มันวางข่ายมนตร์

เมื่อวางข่ายมนตร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว หมัวซาก็ปรากฏตัวขึ้นภายในถ้ำ

“เสร็จแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง

นับว่าการผสานรวมของหมัวซาในครั้งนี้หายไปนานครึ่งปีโดยไร้ซึ่งข่าวคราว เธอเป็นกังวลว่ามณีวิญญาณอาจเกิดปัญหาขึ้นระหว่างการผสานรวม ทั้งยังกังวลว่าหมัวซาจะต้านทานไหวหรือไม่ จะทำร้ายดวงวิญญาณของเขาเข้าหรือไม่ แต่เขาก็มิได้ติดต่อเธอเลย เธอก็ไม่กล้ารีบร้อนติดต่อเขา

หมัวซาพยักหน้า เจดีย์เล็กอันหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าซือหม่าโยวเย่ว์ รูปร่างหน้าตาไม่เปลี่ยนไปจากเจดีย์เจ็ดชั้นอันเดิมเลย

“เจดีย์เจ็ดชั้นเล่า มณีวิญญาณเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเพียงแค่เจดีย์เล็ก จึงเอ่ยถามขึ้น

“เจ้าลองรับสัมผัสสายสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับมันดูสิ” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเจดีย์เล็กขึ้นมาแล้วหลับตารับสัมผัสดู ก็สัมผัสได้ว่ามีสายสัมพันธ์ระหว่างตนกับเจดีย์นี้อยู่จริงๆ ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง เธอกับหมัวซา รวมทั้งเจ้าคำรามน้อยก็มาปรากฏตัวที่สภาวะแวดล้อมอีกแห่งหนึ่ง

“เจ้าวิญญาณน้อยเล่า”

เมื่อมองไม่เห็นเจ้าวิญญาณน้อย ซือหม่าโยวเย่ว์จึงมองไปทุกทิศทุกทาง

“ข้าอยู่นี่” เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอย่างช้าๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปอุ้มเจ้าวิญญาณน้อยขึ้นมาดูแล้วจึงเอื้อมมือไปนวดคลึงบนใบหน้าของเขา แต่กลับถูกเขาปัดมือทิ้ง

“อืม ดูหน้าตาไม่อัปลักษณ์ ยังคงเป็นเจ้าวิญญาณน้อยเหมือนก่อนหน้านี้!” ซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มเจ้าวิญญาณน้อยขึ้นมาหอมฟอดหนึ่งแล้ววางลง

“หึๆ ย่อมต้องเป็นข้าแน่นอนอยู่แล้วสิ!” เจ้าวิญญาณน้อยเช็ดน้ำลายที่ไม่มีอยู่จริง ท่าทีเช่นนั้นทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ่งเบิกบานใจมากขึ้นไปอีก

“หมัวซา ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นวิญญาณของหมัวซาซีดขาวกว่าแต่ก่อนจึงถามขึ้นอย่างเป็นกังวล

“ยังดีอยู่ ไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไรหรอก” หมัวซาพูด

“ข้าเห็นว่าวิญญาณของท่านเลือนรางลงไปมากทีเดียว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“แต่ดูดพลังวิญญาณไปมากโขเลยล่ะ” หมัวซาพูดอย่างไม่ใส่ใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้มิสู้ดีนัก แต่เหตุใดเธอจึงเห็นเขามีท่าทีไม่อยากให้เธอกังวลใจอยู่ตลอดเลยเล่า

“ข้ามิได้ดูแลต้นผลอสรพิษทองคำนั่นให้ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้าง

“ข้ารู้น่า” หมัวซาเห็นต้นผลอสรพิษทองคำที่เกือบจะเหี่ยวแห้งไปอยู่ก่อนแล้ว

“เลี้ยงต้นไม้นั่นไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้วล่ะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “นอกจากนี้ตอนนี้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเอามันออกไปทุกวันแล้วด้วย”

“เพราะเหตุใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ก้มหน้าลงมองเจ้าวิญญาณน้อยพลางถามขึ้น

“เจ้านายโง่งม เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าตอนนี้ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปแล้วน่ะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างดูแคลน

“ข้าเข้ามาก็ดูเพียงว่าสถานการณ์ของพวกเจ้าทั้งคู่เป็นเช่นไรบ้างแล้ว ย่อมมิได้สังเกตหรอกว่าที่นี่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางมองไปรอบทิศก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าไม่เห็นรู้สึกเลยว่าที่นี่มีความแตกต่างอะไรกับก่อนหน้านี้”

เจ้าวิญญาณน้อยกลอกตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยว่า “เจ้าก้มหน้าลงมองสิ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังแล้วจึงก้มศีรษะลง ก็เห็นเงาของตนเอง เธอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าที่นี่มีท้องฟ้าสีครามปุยเมฆสีขาว ทั้งยังมีแสงตะวันเจิดจ้าอีกด้วย!

บำเพ็ญอยู่หนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นเธอตื่นขึ้นมาถอนหายใจแล้วเก็บต้นผลอสรพิษทองคำกลับเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุ

หลังเก็บกวาดกระโจมเรียบร้อย คนอื่นๆ ก็ตื่นแล้วเช่นเดียวกัน ทุกคนล้างหน้าล้างตาอย่างง่ายๆ แล้วเริ่มออกเดินทางเข้าสู่เทือกเขา

ตลอดทาง พวกเขาเห็นเครื่องยาล้ำค่าจำนวนไม่น้อย ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่มีใครเก็บไป สิ่งเหล่านั้นถูกมองเป็นของล้ำค่าเมื่ออยู่ข้างนอก ตอนนี้กลับถูกละเลยเมื่ออยู่ที่นี่

เพราะมิได้มาเพื่อเก็บของล้ำค่า ดังนั้นหลังจากที่พวกเขานึกเสียดายกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินมุ่งหน้าไปกันต่อ

จุดประสงค์ของพวกเขาคือการเสาะหาสัตว์อสูรวิเศษเพื่อฝึกประสบการณ์ ยกระดับพลังยุทธ์ มิได้มาเก็บเครื่องยา

เดินมาครึ่งวันพวกเขาก็ยังไม่เห็นว่ามีสัตว์อสูรวิเศษเลยแม้แต่ตัวเดียว เส้นประสาทที่แข็งตึงของพวกเขาจึงค่อยผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย

“นานถึงเพียงนี้ยังไม่เห็นสัตว์อสูรวิเศษเลย ที่นี่ก็มิได้น่ากลัวอย่างที่เล่าลือกันข้างนอกเสียหน่อย พวกเรา…” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ฮึ่ม…”

เจ้าอ้วนชวียังพูดไม่ทันจบ เสียงคำรามของสัตว์อสูรวิเศษตนหนึ่งก็ดังขึ้นมา เพียงไม่นาน หมูป่าตนหนึ่งก็มาส่งเสียงฮึ่มฮั่มอยู่ต่อหน้าทุกคน

“เฮ้ย… นี่มันสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นสูงอย่างนั้นหรือ หมูป่าก็พัฒนาได้ถึงระดับขั้นนี้เชียวหรือ!” เจ้าอ้วนชวีเห็นหมูป่าที่ไม่ไว้หน้าตนอย่างยิ่ง จึงม้วนแขนเสื้อขึ้นเตรียมต่อสู้ยกใหญ่กับมัน

“หมูป่าข้างนอกพัฒนาได้ถึงขั้นห้าขั้นหกก็ไม่เลวแล้ว แต่เจ้าหมูป่านี่พัฒนาได้ถึงขั้นแปดเลยทีเดียว ช่างน่ามหัศจรรย์ไม่น้อยเลย” เว่ยจือฉีพูด

“ปราณวิญญาณของที่นี่เข้มข้นกว่าที่อื่นๆ มาก ดังนั้นระดับขั้นของสัตว์อสูรวิเศษจึงสูงขึ้นได้พอสมควร” โอวหยางเฟยพูด

“ที่นี่ยังใกล้ข้างนอกอยู่เลย ก็มีปราณวิญญาณเข้มข้นถึงเพียงนี้แล้ว เช่นนั้นปราณวิญญาณของโลกภายนอกต้องเข้มข้นมากแน่นอน!” เจ้าอ้วนชวีอุทาน

“เข้มข้นชนิดที่เจ้าจินตนาการไม่ถึงเลยล่ะ” โอวหยางเฟยพูด “เจ้าไปข้างนอกแล้วจะไม่มีทางนึกอยากบำเพ็ญที่สถานที่เช่นนี้อีกต่อไปเลย”

“นั่นมันเกินจริงไปหรือไม่!” เจ้าอ้วนชวีเบิกตาโพลง

“พรสวรรค์ของคนที่นี่กับคนข้างนอกก็พอๆ กันนั่นแหละ แต่เพราะเหตุใดเมื่อเปรียบเทียบกับคนในวัยเดียวกัน พลังยุทธ์ของคนเหล่านั้นจึงได้สูงกว่าคนที่นี่ตั้งหลายระดับเล่า ก็เพราะปราณวิญญาณข้างนอกนั้นเข้มข้น ช่วยลดระยะเวลาในการบำเพ็ญอย่างไรเล่า” โอวหยางเฟยพูด

“ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้เชียว! เช่นนั้นพอพวกเราออกไปกันแล้วพลังยุทธ์ก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยใช่หรือไม่”

“ไม่เพียงแค่รวดเร็วเท่านั้น แต่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียวล่ะ” โอวหยางเฟยพูด “พรสวรรค์ของพวกเราเมื่ออยู่ข้างนอกก็นับว่าร้ายกาจมากเช่นเดียวกัน ถ้าหากเกิดมาในสภาวะแวดล้อมเช่นนั้น ข้าว่าทุกคนก็คงจะเลื่อนระดับกันได้รวดเร็วมาก”

เมื่อหมูป่าเห็นว่าพวกเขาเห็นตนแล้วนอกจากจะหวาดกลัว ยังพูดคุยหัวเราะกันอีก จึงเดือดดาลจากก้นบึ้งหัวใจ มันเล็งเจ้าอ้วนชวีที่ยิ้มอย่างมีความสุขที่สุดแล้ววิ่งพุ่งเข้าไปหา

“ชะ! … รู้ว่าข้าพลังยุทธ์ต่ำที่สุด เจ้าก็เลยมาโจมตีข้าสินะ ข้าไม่แผลงฤทธิ์ เจ้าก็เลยเห็นข้าเป็นแมวป่วยล่ะสิ!”

เจ้าอ้วนชวีคำรามเสียงดังลั่นแล้วยกกำปั้นขึ้นมาพลางตรงเข้าไปรับมือเจ้าหมูป่า

หนังของสัตว์อสูรวิเศษทั้งหนาและทนทาน เมื่อเห็นเจ้าอ้วนชวีตรงเข้าไปทื่อๆ เช่นนั้น ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเป็นกังวลว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ คิดจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่กลับถูกเป่ยกงถังรั้งเอาไว้

“พลังการต่อสู้ของเจ้าอ้วนไม่ได้เหมือนรูปลักษณ์ภายนอกของเขาเลย ไม่เป็นไรหรอกน่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันเป็นประจำ เป่ยกงถังน่าจะเข้าใจดีกว่าตน พวกเขาต่างก็มิได้ร้อนรน เช่นนั้นเจ้าอ้วนชวีคงจะไม่เป็นไร

เห็นเพียงแค่เจ้าอ้วนวิ่งตรงเข้าไปหาหมูป่า เมื่อคนกับสัตว์อสูรสบตากันก็พุ่งเข้าปะทะ ร่างกายอวบอ้วนของเขาเคลื่อนไหวอย่างว่องไว เขาวิ่งไปยังข้างตัวเจ้าหมูป่าแล้วซัดกำปั้นเข้าใส่หัวของมันอย่างรุนแรงทีหนึ่ง

“ฮึ่ม…”

กำปั้นนั้นซัดเข้าใส่ลูกตาของหมูป่าพอดี เจ็บปวดเสียจนมันเงยหน้าส่งเสียงร้องลั่น มันหมุนตัวครั้งหนึ่งแล้วปะทะเข้าใส่เจ้าอ้วนชวีอีกครั้ง

คราวนี้เจ้าอ้วนชวีมิได้เข้าไปข้างตัวมันอีกแล้ว เขายื่นมือทั้งสองไปจับหัวเจ้าหมูป่าเอาไว้แล้วถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถอยหลังไปยี่สิบสามสิบก้าว เขาจึงหยุดฝีเท้าลง ย่อตัวลงลงเล็กน้อย ไม่ถอยหลังไปต่อ

“เฮอะ…”

เจ้าอ้วนชวีส่งเสีงเฮอะดังลั่นก่อนจะคว้าเขี้ยวหมูป่าแล้วเหวี่ยงไปด้านข้าง ร่างกายอ้วนใหญ่ของเจ้าหมูป่าถูกเขาเคลื่อนย้ายได้จริงๆ

“จุ๊ๆ พละกำลังของเจ้าอ้วนผู้นี้ใช้ได้เลยทีเดียวนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเจ้าอ้วนชวีเลือกที่จะสู้มือเปล่ากับหมูป่า ทั้งยังมิได้ตกเป็นรอง จึงอุทานขึ้นมาอย่างตกใจ

“ก่อนหน้านี้เจ้าอ้วนหยิบตำราฝึกกายเล่มหนึ่งมาจากบ้าน ต่อมาจึงเริ่มบริหารร่างกายน่ะ” เว่ยจือฉีพูด

“เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่เห็นว่าเขาจะผอมลงเลยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองร่างกายของเจ้าอ้วนชวี ถ้าหากพวกเขาไม่บอก เธอก็ไม่มีทางมองออกได้เลยจริงๆ ว่าเจ้าอ้วนชวีออกกำลังกายอยู่

เจ้าอ้วนชวีที่กำลังถ่วงดุลกับหมูป่าอยู่ได้ยินคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วแทบจะอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จึงเหวี่ยงตัวหมูป่าออกไป

“แค่กๆ ข้าไม่พูดแล้วก็ได้ เจ้าจัดการต่อเถิด!” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าคำพูดของตนส่งผลกระทบต่อเขา จึงกระแอมกระไอแล้วพูดขึ้น

เจ้าอ้วนชวีถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเห็นว่าหมูป่าวิ่งมาทางตน เขากลิ้งตัวไปด้านข้างเพื่อหลบหลีกกีบเท้าของมัน

หมูป่าถอนกีบเท้าออกมา พื้นดินบริเวณนั้นถูกมันเหยียบเสียจนเป็นหลุม

เจ้าอ้วนชวีมองหลุมนั้น ยังดีที่ตัวเองหลบออกมา มิฉะนั้นเขาคงกลายเป็นเนื้อบดเสียแล้ว!

“บ้าเอ๊ย ต้องกระทืบแรงถึงเพียงนี้ด้วยหรือ! วันนี้ข้าจะต้องเอากีบเท้าเจ้ามาย่างกินให้ได้เลย!”

พูดจบเขาก็พลิกตัวขึ้นมาจากพื้นแล้วพุ่งเข้าใส่เจ้าหมูป่าก่อนจะพลิกตัวไปด้านข้างแล้วกระโจนตัวขึ้นนั่งบนหลังของหมูป่า

ต่อยมันหมัดที่หนึ่ง

“ที่เจ้าพุ่งใส่ข้า!”

หมัดที่สอง

“ที่เจ้าคิดกระทืบข้า!”

หมัดที่สาม

“ทุบหัวหมูของเจ้า!”

หมัดที่สี่

“ต่อยฟันเจ้าให้หัก!”

หมัดที่ห้า

……

เมื่อเห็นเจ้าอ้วนชวีต่อยตีบนร่างเจ้าหมูป่าหมัดแล้วหมัดเล่า ได้ฟังเขาต่อยหมัดหนึ่งก็พูดประโยคหนึ่ง พวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งสี่คนต่างอดที่จะมุมปากกระตุกมิได้

สงสารมือของเขาเสียจริง ไม่รู้ว่าต่อยไปบนผิวหนังหนาเตอะนั้นแล้วจะเจ็บปวดมากเลยหรือไม่

“ฮึ่ม…”

หมูป่าถูกต่อยจนบาดเจ็บจึงคลั่งขึ้นมา มันบิดร่างกายไม่หยุด หมายจะสะบัดเขาลงมา

เจ้าอ้วนชวีย่อตัวลงแล้วปีนขึ้นไปบนหลังของหมูป่า ไม่ว่ามันจะขยับอย่างไรก็สะบัดเขาลงมาไม่ได้ เขายังต่อยหัวมันบ้าง ต่อยท้องมันบ้างเป็นครั้งคราวอีกด้วย

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูฉากนี้แล้วเอ่ยพึมพำว่า “เหตุใดจึงเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมากันนะ”

“คราวก่อนตอนที่เจ้ากับงูเหอฮวานต่อสู้กัน ก็มิได้เอากระทะก้นแบนฟาดมันอย่างเอาเป็นเอาตายหรอกหรือ” เป่ยกงถังพูด

อ้อ นึกออกแล้ว ตอนนั้นตนก็เป็นเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงได้รู้สึกคุ้นเคยนัก

แต่บอกว่าสู้กับงูเหอฮวานก็พอแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงต้องบอกว่าหยิบกระทะก้นแบนมาด้วยเล่า!

เธอไม่รู้ว่าตอนนั้นท่าทางยามที่เธอหยิบกระทะก้นแบนมาช่วยคนนั้นติดตรึงอยู่ในความทรงจำของพวกเขาอย่างล้ำลึกเหลือเกิน ทำให้พวกเขาอยากจะระลึกถึงมันอยู่ตลอด

ถึงแม้ว่าตอนนั้นสถานการณ์จะวิกฤติกว่า แต่กระทะก้นแบนก็ยังทำให้พวกเขามีความสุขกันได้

เจ้าอ้วนชวีกับหมูป่าขับเคี่ยวกันอยู่เกือบชั่วโมง ในที่สุดก็ถูกเขาต่อยเข้าที่หัว จนหมูป่าล้มลงไปกองกับพื้น เขาเองก็นอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น ไม่อยากจะขยับตัวเลย

ระหว่างที่ต่อสู้ พวกซือหม่าโยวเย่ว์ต่างดูอยู่ข้างๆ ตลอด รอจนเขาชนะแล้วจึงค่อยเดินเข้ามา

เมื่อเห็นมันสมองที่ไหลออกมา ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเบ้ปากแล้วพูดว่า “นี่มันของดีเลยนะ ถูกเจ้าทำให้เสียของจนได้”

เจ้าอ้วนชวีนอนแผ่อยู่บนพื้นแล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “โยวเย่ว์ ข้าอยากกินกีบหมูย่าง…”

บำเพ็ญอยู่หนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นเธอตื่นขึ้นมาถอนหายใจแล้วเก็บต้นผลอสรพิษทองคำกลับเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุ

หลังเก็บกวาดกระโจมเรียบร้อย คนอื่นๆ ก็ตื่นแล้วเช่นเดียวกัน ทุกคนล้างหน้าล้างตาอย่างง่ายๆ แล้วเริ่มออกเดินทางเข้าสู่เทือกเขา

ตลอดทาง พวกเขาเห็นเครื่องยาล้ำค่าจำนวนไม่น้อย ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่มีใครเก็บไป สิ่งเหล่านั้นถูกมองเป็นของล้ำค่าเมื่ออยู่ข้างนอก ตอนนี้กลับถูกละเลยเมื่ออยู่ที่นี่

เพราะมิได้มาเพื่อเก็บของล้ำค่า ดังนั้นหลังจากที่พวกเขานึกเสียดายกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินมุ่งหน้าไปกันต่อ

จุดประสงค์ของพวกเขาคือการเสาะหาสัตว์อสูรวิเศษเพื่อฝึกประสบการณ์ ยกระดับพลังยุทธ์ มิได้มาเก็บเครื่องยา

เดินมาครึ่งวันพวกเขาก็ยังไม่เห็นว่ามีสัตว์อสูรวิเศษเลยแม้แต่ตัวเดียว เส้นประสาทที่แข็งตึงของพวกเขาจึงค่อยผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย

“นานถึงเพียงนี้ยังไม่เห็นสัตว์อสูรวิเศษเลย ที่นี่ก็มิได้น่ากลัวอย่างที่เล่าลือกันข้างนอกเสียหน่อย พวกเรา…” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ฮึ่ม…”

เจ้าอ้วนชวียังพูดไม่ทันจบ เสียงคำรามของสัตว์อสูรวิเศษตนหนึ่งก็ดังขึ้นมา เพียงไม่นาน หมูป่าตนหนึ่งก็มาส่งเสียงฮึ่มฮั่มอยู่ต่อหน้าทุกคน

“เฮ้ย… นี่มันสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นสูงอย่างนั้นหรือ หมูป่าก็พัฒนาได้ถึงระดับขั้นนี้เชียวหรือ!” เจ้าอ้วนชวีเห็นหมูป่าที่ไม่ไว้หน้าตนอย่างยิ่ง จึงม้วนแขนเสื้อขึ้นเตรียมต่อสู้ยกใหญ่กับมัน

“หมูป่าข้างนอกพัฒนาได้ถึงขั้นห้าขั้นหกก็ไม่เลวแล้ว แต่เจ้าหมูป่านี่พัฒนาได้ถึงขั้นแปดเลยทีเดียว ช่างน่ามหัศจรรย์ไม่น้อยเลย” เว่ยจือฉีพูด

“ปราณวิญญาณของที่นี่เข้มข้นกว่าที่อื่นๆ มาก ดังนั้นระดับขั้นของสัตว์อสูรวิเศษจึงสูงขึ้นได้พอสมควร” โอวหยางเฟยพูด

“ที่นี่ยังใกล้ข้างนอกอยู่เลย ก็มีปราณวิญญาณเข้มข้นถึงเพียงนี้แล้ว เช่นนั้นปราณวิญญาณของโลกภายนอกต้องเข้มข้นมากแน่นอน!” เจ้าอ้วนชวีอุทาน

“เข้มข้นชนิดที่เจ้าจินตนาการไม่ถึงเลยล่ะ” โอวหยางเฟยพูด “เจ้าไปข้างนอกแล้วจะไม่มีทางนึกอยากบำเพ็ญที่สถานที่เช่นนี้อีกต่อไปเลย”

“นั่นมันเกินจริงไปหรือไม่!” เจ้าอ้วนชวีเบิกตาโพลง

“พรสวรรค์ของคนที่นี่กับคนข้างนอกก็พอๆ กันนั่นแหละ แต่เพราะเหตุใดเมื่อเปรียบเทียบกับคนในวัยเดียวกัน พลังยุทธ์ของคนเหล่านั้นจึงได้สูงกว่าคนที่นี่ตั้งหลายระดับเล่า ก็เพราะปราณวิญญาณข้างนอกนั้นเข้มข้น ช่วยลดระยะเวลาในการบำเพ็ญอย่างไรเล่า” โอวหยางเฟยพูด

“ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้เชียว! เช่นนั้นพอพวกเราออกไปกันแล้วพลังยุทธ์ก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยใช่หรือไม่”

“ไม่เพียงแค่รวดเร็วเท่านั้น แต่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียวล่ะ” โอวหยางเฟยพูด “พรสวรรค์ของพวกเราเมื่ออยู่ข้างนอกก็นับว่าร้ายกาจมากเช่นเดียวกัน ถ้าหากเกิดมาในสภาวะแวดล้อมเช่นนั้น ข้าว่าทุกคนก็คงจะเลื่อนระดับกันได้รวดเร็วมาก”

เมื่อหมูป่าเห็นว่าพวกเขาเห็นตนแล้วนอกจากจะหวาดกลัว ยังพูดคุยหัวเราะกันอีก จึงเดือดดาลจากก้นบึ้งหัวใจ มันเล็งเจ้าอ้วนชวีที่ยิ้มอย่างมีความสุขที่สุดแล้ววิ่งพุ่งเข้าไปหา

“ชะ! … รู้ว่าข้าพลังยุทธ์ต่ำที่สุด เจ้าก็เลยมาโจมตีข้าสินะ ข้าไม่แผลงฤทธิ์ เจ้าก็เลยเห็นข้าเป็นแมวป่วยล่ะสิ!”

เจ้าอ้วนชวีคำรามเสียงดังลั่นแล้วยกกำปั้นขึ้นมาพลางตรงเข้าไปรับมือเจ้าหมูป่า

หนังของสัตว์อสูรวิเศษทั้งหนาและทนทาน เมื่อเห็นเจ้าอ้วนชวีตรงเข้าไปทื่อๆ เช่นนั้น ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเป็นกังวลว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ คิดจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่กลับถูกเป่ยกงถังรั้งเอาไว้

“พลังการต่อสู้ของเจ้าอ้วนไม่ได้เหมือนรูปลักษณ์ภายนอกของเขาเลย ไม่เป็นไรหรอกน่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันเป็นประจำ เป่ยกงถังน่าจะเข้าใจดีกว่าตน พวกเขาต่างก็มิได้ร้อนรน เช่นนั้นเจ้าอ้วนชวีคงจะไม่เป็นไร

เห็นเพียงแค่เจ้าอ้วนวิ่งตรงเข้าไปหาหมูป่า เมื่อคนกับสัตว์อสูรสบตากันก็พุ่งเข้าปะทะ ร่างกายอวบอ้วนของเขาเคลื่อนไหวอย่างว่องไว เขาวิ่งไปยังข้างตัวเจ้าหมูป่าแล้วซัดกำปั้นเข้าใส่หัวของมันอย่างรุนแรงทีหนึ่ง

“ฮึ่ม…”

กำปั้นนั้นซัดเข้าใส่ลูกตาของหมูป่าพอดี เจ็บปวดเสียจนมันเงยหน้าส่งเสียงร้องลั่น มันหมุนตัวครั้งหนึ่งแล้วปะทะเข้าใส่เจ้าอ้วนชวีอีกครั้ง

คราวนี้เจ้าอ้วนชวีมิได้เข้าไปข้างตัวมันอีกแล้ว เขายื่นมือทั้งสองไปจับหัวเจ้าหมูป่าเอาไว้แล้วถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถอยหลังไปยี่สิบสามสิบก้าว เขาจึงหยุดฝีเท้าลง ย่อตัวลงลงเล็กน้อย ไม่ถอยหลังไปต่อ

“เฮอะ…”

เจ้าอ้วนชวีส่งเสีงเฮอะดังลั่นก่อนจะคว้าเขี้ยวหมูป่าแล้วเหวี่ยงไปด้านข้าง ร่างกายอ้วนใหญ่ของเจ้าหมูป่าถูกเขาเคลื่อนย้ายได้จริงๆ

“จุ๊ๆ พละกำลังของเจ้าอ้วนผู้นี้ใช้ได้เลยทีเดียวนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเจ้าอ้วนชวีเลือกที่จะสู้มือเปล่ากับหมูป่า ทั้งยังมิได้ตกเป็นรอง จึงอุทานขึ้นมาอย่างตกใจ

“ก่อนหน้านี้เจ้าอ้วนหยิบตำราฝึกกายเล่มหนึ่งมาจากบ้าน ต่อมาจึงเริ่มบริหารร่างกายน่ะ” เว่ยจือฉีพูด

“เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่เห็นว่าเขาจะผอมลงเลยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองร่างกายของเจ้าอ้วนชวี ถ้าหากพวกเขาไม่บอก เธอก็ไม่มีทางมองออกได้เลยจริงๆ ว่าเจ้าอ้วนชวีออกกำลังกายอยู่

เจ้าอ้วนชวีที่กำลังถ่วงดุลกับหมูป่าอยู่ได้ยินคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วแทบจะอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จึงเหวี่ยงตัวหมูป่าออกไป

“แค่กๆ ข้าไม่พูดแล้วก็ได้ เจ้าจัดการต่อเถิด!” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าคำพูดของตนส่งผลกระทบต่อเขา จึงกระแอมกระไอแล้วพูดขึ้น

เจ้าอ้วนชวีถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเห็นว่าหมูป่าวิ่งมาทางตน เขากลิ้งตัวไปด้านข้างเพื่อหลบหลีกกีบเท้าของมัน

หมูป่าถอนกีบเท้าออกมา พื้นดินบริเวณนั้นถูกมันเหยียบเสียจนเป็นหลุม

เจ้าอ้วนชวีมองหลุมนั้น ยังดีที่ตัวเองหลบออกมา มิฉะนั้นเขาคงกลายเป็นเนื้อบดเสียแล้ว!

“บ้าเอ๊ย ต้องกระทืบแรงถึงเพียงนี้ด้วยหรือ! วันนี้ข้าจะต้องเอากีบเท้าเจ้ามาย่างกินให้ได้เลย!”

พูดจบเขาก็พลิกตัวขึ้นมาจากพื้นแล้วพุ่งเข้าใส่เจ้าหมูป่าก่อนจะพลิกตัวไปด้านข้างแล้วกระโจนตัวขึ้นนั่งบนหลังของหมูป่า

ต่อยมันหมัดที่หนึ่ง

“ที่เจ้าพุ่งใส่ข้า!”

หมัดที่สอง

“ที่เจ้าคิดกระทืบข้า!”

หมัดที่สาม

“ทุบหัวหมูของเจ้า!”

หมัดที่สี่

“ต่อยฟันเจ้าให้หัก!”

หมัดที่ห้า

……

เมื่อเห็นเจ้าอ้วนชวีต่อยตีบนร่างเจ้าหมูป่าหมัดแล้วหมัดเล่า ได้ฟังเขาต่อยหมัดหนึ่งก็พูดประโยคหนึ่ง พวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งสี่คนต่างอดที่จะมุมปากกระตุกมิได้

สงสารมือของเขาเสียจริง ไม่รู้ว่าต่อยไปบนผิวหนังหนาเตอะนั้นแล้วจะเจ็บปวดมากเลยหรือไม่

“ฮึ่ม…”

หมูป่าถูกต่อยจนบาดเจ็บจึงคลั่งขึ้นมา มันบิดร่างกายไม่หยุด หมายจะสะบัดเขาลงมา

เจ้าอ้วนชวีย่อตัวลงแล้วปีนขึ้นไปบนหลังของหมูป่า ไม่ว่ามันจะขยับอย่างไรก็สะบัดเขาลงมาไม่ได้ เขายังต่อยหัวมันบ้าง ต่อยท้องมันบ้างเป็นครั้งคราวอีกด้วย

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูฉากนี้แล้วเอ่ยพึมพำว่า “เหตุใดจึงเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมากันนะ”

“คราวก่อนตอนที่เจ้ากับงูเหอฮวานต่อสู้กัน ก็มิได้เอากระทะก้นแบนฟาดมันอย่างเอาเป็นเอาตายหรอกหรือ” เป่ยกงถังพูด

อ้อ นึกออกแล้ว ตอนนั้นตนก็เป็นเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงได้รู้สึกคุ้นเคยนัก

แต่บอกว่าสู้กับงูเหอฮวานก็พอแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงต้องบอกว่าหยิบกระทะก้นแบนมาด้วยเล่า!

เธอไม่รู้ว่าตอนนั้นท่าทางยามที่เธอหยิบกระทะก้นแบนมาช่วยคนนั้นติดตรึงอยู่ในความทรงจำของพวกเขาอย่างล้ำลึกเหลือเกิน ทำให้พวกเขาอยากจะระลึกถึงมันอยู่ตลอด

ถึงแม้ว่าตอนนั้นสถานการณ์จะวิกฤติกว่า แต่กระทะก้นแบนก็ยังทำให้พวกเขามีความสุขกันได้

เจ้าอ้วนชวีกับหมูป่าขับเคี่ยวกันอยู่เกือบชั่วโมง ในที่สุดก็ถูกเขาต่อยเข้าที่หัว จนหมูป่าล้มลงไปกองกับพื้น เขาเองก็นอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น ไม่อยากจะขยับตัวเลย

ระหว่างที่ต่อสู้ พวกซือหม่าโยวเย่ว์ต่างดูอยู่ข้างๆ ตลอด รอจนเขาชนะแล้วจึงค่อยเดินเข้ามา

เมื่อเห็นมันสมองที่ไหลออกมา ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเบ้ปากแล้วพูดว่า “นี่มันของดีเลยนะ ถูกเจ้าทำให้เสียของจนได้”

เจ้าอ้วนชวีนอนแผ่อยู่บนพื้นแล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “โยวเย่ว์ ข้าอยากกินกีบหมูย่าง…”

“เห็นไหมเล่า ข้าบอกแล้วว่านางจะเดินมาทางนี้น่ะ” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างได้ใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปแล้วพูดว่า “มิใช่ว่าพวกเจ้าควรจะไปเข้าร่วมภารกิจของวิทยาลัยหรอกหรือ แล้วมาอยู่ที่นี่กันได้อย่างไร”

โอวหยางเฟยกระโดดลงจากต้นไม้แล้วพูดว่า “พวกเราเพิ่งขอทำเรื่องจบการศึกษา ตอนนี้มิใช่นักเรียนของวิทยาลัยอีกต่อไปแล้วละ”

“พวกเจ้าเรียนจบแล้วอย่างนั้นหรือ!”

“พวกเรารู้สึกว่าเรียนที่วิทยาลัยต่อไปก็คงเรียนอะไรไม่ได้มากขึ้นอีกแล้ว จึงขอจบการศึกษาเลยดีกว่า” เป่ยกงถังพูด

“ข้าเองก็คุยกับที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ข้าอยากไปบุกป่าฝ่าดงกับเจ้า” เจ้าอ้วนชวีพูด “ดังนั้นนะ ต่อจากนี้ไปข้าจะเกาะติดอยู่กับเจ้า เจ้าต้องพาข้าไปด้วยนะ!”

“ติดตามข้าอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว ติดตามเจ้า!” เจ้าอ้วนชวีพูด

“เจ้ารู้ไหมว่าที่ข้าไปเทือกเขาสั่วเฟยย่าในครั้งนี้ ไม่มีแผนที่จะกลับมาอีกแล้วนะ ฝึกประสบการณ์ในเทือกเขาสองปี หลังจากนั้นก็ออกไปข้างนอก ถ้าหากเคราะห์ร้ายก็ไม่แน่ว่าอาจตายอยู่ข้างนอกนั่นก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้า ไม่เห็นด้วยกับการที่เจ้าอ้วนชวีจะติดตามตน

“แต่ข้าคุยกับคนที่บ้านมาเรียบร้อย พวกเขาก็รู้ว่าข้าอาจจะไม่กลับมาอีกแล้ว แต่ถ้าหากออกไปข้างนอกแล้วไปได้ดี ก็ย่อมดีกว่าติดอยู่ในสถานที่เล็กๆ แห่งนี้อยู่แล้ว ข้าเองก็อยากออกไปเห็นโลกภายนอกเช่นเดียวกัน” เจ้าอ้วนชวีพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์อับจนคำพูด เธอเบนสายตาไปทางเว่ยจือฉี เขายักไหล่ “ข้าก็กลับบ้านมาแล้วเช่นกัน เดิมทีบิดามารดาข้าไม่เห็นด้วยที่ข้าจะจากไป แต่ท่านอาของข้าบอกว่าออกไปข้างนอกแล้วน่าจะแข็งแกร่งกว่าอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ยังไปกับเจ้าด้วย ต้องเดินไปได้ไกลกว่าอย่างแน่นอน ต่อให้ต้องสละชีวิตเพราะเหตุนี้ ชีวิตนี้ก็นับได้ว่าคุ้มค่าแล้ว”

คิดไม่ถึงว่าเขาก็มีความคิดเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเป่ยกงถังและโอวหยางเฟย เป่ยกงถังพูดว่า “ถึงอย่างไรข้าก็มิอาจอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตได้หรอก ข้ายังมีความแค้นที่ต้องชำระ ในเมื่อช้าเร็วก็ต้องจากไปอยู่ดี เช่นนั้นมิสู้อยู่กับพวกเจ้าดีกว่า ถึงอย่างไรก็เป็นพวกเจ้าที่สอนให้ข้ารู้จักความสามัคคี”

โอวหยางเฟยก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นคนของอาณาจักรทักษิณายาตรอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเผชิญกับสิ่งใดจึงได้หลบหนีมาที่นี่ แต่ในที่สุดก็ต้องกลับไปอยู่ดี

“พวกเจ้าคิดกันดีแล้วจริงๆ หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองพวกเขา “โดยเฉพาะจือฉีกับเจ้าอ้วน เมื่อใดที่พวกเราออกไปแล้วก็ยากนักที่จะได้กลับมานะ”

“คิดดีแล้วน่า ข้าคิดดีแล้ว ไปกันเสียทีเถิด” เจ้าอ้วนชวีลากร่างกายอันอ้วนกลมปีนป่ายขึ้นไปบนหลังของย่ากวง แต่กลับถูกซือหม่าโยวเย่ว์ดึงคอเสื้อเอาไว้แล้วลากลงไป

“นั่งสัตว์อสูรวิเศษของเจ้าไปเองสิ อย่าไปทับย่ากวงเชียวนะ”

เจ้าอ้วนชวีรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์พูดเช่นนี้ก็หมายความว่ายอมเห็นด้วยแล้ว เขาส่งเสียงพึมพำเรียกสัตว์อสูรวิเศษของตนออกมาแล้วขึ้นไปขี่มัน

พวกเว่ยจือฉีก็เรียกสัตว์อสูรวิเศษของตนออกมาเช่นเดียวกัน ทั้งห้าคนขี่สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของตนวิ่งตรงไปยังเมืองเบื้องหน้า ไปที่นั่นเพื่อใช้ค่ายกลนำส่งไปยังเทือกเขาสั่วเฟยย่า

สองวันให้หลัง พวกเขาก็มาถึงยังตีนเขาสั่วเฟยย่า พวกเขามองดูเทือกเขาสูงตระหง่านแล้วจึงเกิดความรู้สึกอยากแหงนหน้าขึ้นไปมอง

“โอวหยาง เจ้าแน่ใจหรือว่าสภาพแวดล้อมของที่นี่ดีที่สุดแล้วน่ะ” เจ้าอ้วนชวีเห็นหุบผาช่องเขามากมายจึงมองโอวหยางเฟยอย่างสงสัย

เพราะพลังยุทธ์ของพวกเขาทั้งห้าล้วนสูงส่ง ดังนั้นจึงตัดสินใจจะหาสถานที่ที่สภาพแวดล้อมดีสักหน่อย และมีสัตว์อสูรวิเศษที่ระดับพลังยุทธ์ค่อนข้างต่ำสักหน่อย ค่อยๆ ยกระดับพลังยุทธ์ของตนเอง

เพราะก่อนที่โอวหยางเฟยจะไปยังเมืองหลวงก็เคยอยู่ที่เทือกเขาสั่วเฟยย่ามาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นจึงให้โอวหยางพาพวกเขาเข้าไปในภูเขา

โอวหยางเหลือบมองเจ้าอ้วนชวีปราดหนึ่งแล้วพูดอย่างเรียบๆ ว่า “หรือเจ้าจะมานำเล่า”

เจ้าอ้วนชวีรีบโบกไม้โบกมือ ล้อเล่นแล้ว เขาไม่เคยมาที่นี่เสียหน่อย แล้วจะนำทางทุกคนได้อย่างไรกันเล่า

“โอวหยาง นี่คือสถานที่ที่เจ้ามาใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“อืม ทางฟากโน้นของเทือกเขาก็คือสี่อาณาจักรใหญ่ แต่เทือกเขานี้กว้างกว่าพันลี้ และยิ่งเข้าไปใกล้ศูนย์กลาง ระดับขั้นของสัตว์อสูรวิเศษก็ยิ่งสูง แถมในบรรดานั้นยังมีสัตว์อสูรเทพจำนวนไม่น้อยอีกด้วย” โอวหยางเฟยพูด

“อันตรายถึงเพียงนี้แล้วเจ้าเข้ามาได้อย่างไรกันโอวหยาง” เจ้าอ้วนชวีมองโอวหยางเฟยอย่างเลื่อมใส

“มีคนจำนวนไม่น้อยต้องตายไปเพื่อปกป้องข้า” โอวหยางเฟยไม่อยากจะพูดอะไรมากจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คืนนี้พวกเราพักผ่อนกันที่ตีนเขาก่อนดีกว่า ตรวจสอบสักหน่อยว่าของที่นำมาครบถ้วนหรือไม่ หลังจากนั้นพรุ่งนี้ค่อยเข้าไปในเทือกเขาก็แล้วกัน”

“ดี พวกเราตั้งค่ายพักที่ตีนเขาแล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

พวกเขาหาที่ว่างแห่งหนึ่ง จากนั้นแต่ละคนก็หยิบกระโจมออกมาแล้วเริ่มตั้งกระโจม

“เอ๊ะ ตรงนี้มีร่องรอยคนเคยอยู่มาก่อนนี่นา!” เมื่อเห็นร่องรอยตะปูยึดกระโจมหลายรอย เจ้าอ้วนชวีจึงร้องขึ้น

“ของล้ำค่าภายในเทือกเขาแห่งนี้จะต้องมากกว่าที่เทือกเขาผู่สั่วอย่างแน่นอน จะต้องมีคนคิดเข้าไปในเทือกเขาเพื่อหาสมบัติมากมาย เพียงแต่พลังยุทธ์ไม่สูงพอจึงมีคนเข้าไปในเทือกเขาได้น้อยเท่านั้นเอง แต่มิใช่ว่าจะไม่มี” เว่ยจือฉีพูด “ถ้าหากพวกเราพลังยุทธ์สูงย่อมต้องเลือกมาที่นี่มากกว่าไปที่เทือกเขาผู่สั่วอยู่แล้ว”

เจ้าอ้วนชวีคิดๆ ดูแล้วก็ถูกต้อง ผู้ที่ไปยังเทือกเขาผู่สั่วมีเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกันแล้วสิ่งของล้ำค่าจึงมีน้อย มิสู้มาลองเสี่ยงดวงดูที่นี่ดีกว่า

“นอกจากนี้ผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงเหล่านั้นก็อยากจะมาหาประสบการณ์ที่นี่อีกด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดเสริม

“เจ้าอ้วน พอไปถึงข้างนอกแล้วพวกเรายังจะได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนมากมาย ถ้าหากเจ้าพบเห็นอะไรก็ตกใจไปหมดเช่นนี้ พอพวกเราออกไปก็จะทำเป็นไม่รู้จักเจ้าแล้วนะ อายเขา!” เป่ยกงถังพูดยิ้มๆ

“เป่ยกง เจ้าเป็นสาวงามภูเขาน้ำแข็งเหมือนเมื่อก่อนจะน่ารักกว่านะ” เจ้าอ้วนชวีฟังแววเย้าแหย่ในน้ำเสียงของเป่ยกงถังออกจึงบ่นอุบ

เมื่อตั้งกระโจมเสร็จแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงทำอาหารมื้อเย็นให้กับทุกคน เพราะตอนนี้ยังใช้งานมณีวิญญาณไม่ได้ เธอจึงเตรียมผักจำนวนหนึ่งวางเอาไว้ในแหวนเก็บวัตถุ นอกจากนี้ยังเป็นผักล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์เลย

พอกินอาหารเย็นเสร็จแล้ว ทุกคนจึงกลับไปฝึกยุทธ์ที่กระโจมของแต่ละคน พวกเขาค้นพบว่าปราณวิญญาณของสถานที่แห่งนี้เข้มข้นกว่าสถานที่อื่นๆ อยู่พอสมควร ถ้าหากบำเพ็ญที่นี่ พลังยุทธ์จะต้องก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว

ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่บนเตียงพลางมองสร้อยข้อมือม่านถัว ตั้งแต่สามเดือนก่อนที่หมัวซาเอามณีวิญญาณและเจดีย์เจ็ดชั้นไป ก็ไร้ซึ่งข่าวคราวมาโดยตลอด แม้กระทั่งความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ยังไม่มี เธอไม่รู้เลยว่าพวกเขาอยู่ข้างในนั้นเป็นเช่นไรกันบ้าง ไม่รู้ว่าการผสานรวมของมณีวิญญาณและเจดีย์เจ็ดชั้นเป็นเช่นไร และตอนนี้หมัวซาเป็นอย่างไรบ้าง

แต่ทุกๆ คืน เธอก็ยังหยิบเอาต้นผลอสรพิษทองคำออกมาวางไว้ข้างตัวให้มันอยู่ใกล้ๆ สร้อยข้อมือ เพราะเธอค้นพบว่าดูเหมือนหมัวซาจะดูดซับไอพลังที่ต้นผลอสรพิษทองคำแผ่ออกมาได้

เธอลอบทอดถอนใจแล้วนำต้นผลอสรพิษทองคำออกมาวางไว้ข้างเตียง เพราะยามกลางวันได้แต่วางเอาไว้ภายในแหวนเก็บวัตถุ นำออกมาได้เฉพาะยามวิกาลเท่านั้น ดังนั้นสภาพของมันในตอนนี้จึงดูไม่ดีสักเท่าใดนัก

ด้านบนกระโจมของเธอมีรูที่เปิดเอาไว้โดยเฉพาะให้แสงจันทร์ส่องผ่านเข้ามาได้ ทุกคืนหลังได้รับแสงจันทร์ ต้นผลอสรพิษทองคำจึงค่อยฟื้นตัวขึ้นมาได้บางส่วน

“ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงได้แต่ปลูกเจ้ากลับสู่ธรรมชาติแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองต้นผลอสรพิษทองคำอย่างเจ็บปวดใจ ใบไม้ด้านบนเหลืองกรอบไปไม่น้อยแล้ว “หมัวซา ต้องอีกนานเท่าใดกันท่านจึงจะทำสำเร็จน่ะ เฮ้อ…”

เธอนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง เข้าสู่สภาวะการบำเพ็ญอีกครั้ง

เพราะฝึกสัตว์อสูรวิเศษไปเป็นจำนวนมากตลอดสองเดือนมานี้ ได้รับพลังวิญญาณสะท้อนกลับมาไม่น้อย บวกกับเวลาบำเพ็ญของเธอเพิ่มมากขึ้น ภายในเวลาหนึ่งเดือนกว่าเธอจึงเลื่อนไปถึงระดับปรมาจารย์วิญญาณขั้นแปด ตอนที่จากเมืองหลวงมา เธอก็สัมผัสถึงขอบเขตของขั้นเก้าได้รางๆ แล้ว

“เห็นไหมเล่า ข้าบอกแล้วว่านางจะเดินมาทางนี้น่ะ” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างได้ใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปแล้วพูดว่า “มิใช่ว่าพวกเจ้าควรจะไปเข้าร่วมภารกิจของวิทยาลัยหรอกหรือ แล้วมาอยู่ที่นี่กันได้อย่างไร”

โอวหยางเฟยกระโดดลงจากต้นไม้แล้วพูดว่า “พวกเราเพิ่งขอทำเรื่องจบการศึกษา ตอนนี้มิใช่นักเรียนของวิทยาลัยอีกต่อไปแล้วละ”

“พวกเจ้าเรียนจบแล้วอย่างนั้นหรือ!”

“พวกเรารู้สึกว่าเรียนที่วิทยาลัยต่อไปก็คงเรียนอะไรไม่ได้มากขึ้นอีกแล้ว จึงขอจบการศึกษาเลยดีกว่า” เป่ยกงถังพูด

“ข้าเองก็คุยกับที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ข้าอยากไปบุกป่าฝ่าดงกับเจ้า” เจ้าอ้วนชวีพูด “ดังนั้นนะ ต่อจากนี้ไปข้าจะเกาะติดอยู่กับเจ้า เจ้าต้องพาข้าไปด้วยนะ!”

“ติดตามข้าอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว ติดตามเจ้า!” เจ้าอ้วนชวีพูด

“เจ้ารู้ไหมว่าที่ข้าไปเทือกเขาสั่วเฟยย่าในครั้งนี้ ไม่มีแผนที่จะกลับมาอีกแล้วนะ ฝึกประสบการณ์ในเทือกเขาสองปี หลังจากนั้นก็ออกไปข้างนอก ถ้าหากเคราะห์ร้ายก็ไม่แน่ว่าอาจตายอยู่ข้างนอกนั่นก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้า ไม่เห็นด้วยกับการที่เจ้าอ้วนชวีจะติดตามตน

“แต่ข้าคุยกับคนที่บ้านมาเรียบร้อย พวกเขาก็รู้ว่าข้าอาจจะไม่กลับมาอีกแล้ว แต่ถ้าหากออกไปข้างนอกแล้วไปได้ดี ก็ย่อมดีกว่าติดอยู่ในสถานที่เล็กๆ แห่งนี้อยู่แล้ว ข้าเองก็อยากออกไปเห็นโลกภายนอกเช่นเดียวกัน” เจ้าอ้วนชวีพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์อับจนคำพูด เธอเบนสายตาไปทางเว่ยจือฉี เขายักไหล่ “ข้าก็กลับบ้านมาแล้วเช่นกัน เดิมทีบิดามารดาข้าไม่เห็นด้วยที่ข้าจะจากไป แต่ท่านอาของข้าบอกว่าออกไปข้างนอกแล้วน่าจะแข็งแกร่งกว่าอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ยังไปกับเจ้าด้วย ต้องเดินไปได้ไกลกว่าอย่างแน่นอน ต่อให้ต้องสละชีวิตเพราะเหตุนี้ ชีวิตนี้ก็นับได้ว่าคุ้มค่าแล้ว”

คิดไม่ถึงว่าเขาก็มีความคิดเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเป่ยกงถังและโอวหยางเฟย เป่ยกงถังพูดว่า “ถึงอย่างไรข้าก็มิอาจอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตได้หรอก ข้ายังมีความแค้นที่ต้องชำระ ในเมื่อช้าเร็วก็ต้องจากไปอยู่ดี เช่นนั้นมิสู้อยู่กับพวกเจ้าดีกว่า ถึงอย่างไรก็เป็นพวกเจ้าที่สอนให้ข้ารู้จักความสามัคคี”

โอวหยางเฟยก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นคนของอาณาจักรทักษิณายาตรอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเผชิญกับสิ่งใดจึงได้หลบหนีมาที่นี่ แต่ในที่สุดก็ต้องกลับไปอยู่ดี

“พวกเจ้าคิดกันดีแล้วจริงๆ หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองพวกเขา “โดยเฉพาะจือฉีกับเจ้าอ้วน เมื่อใดที่พวกเราออกไปแล้วก็ยากนักที่จะได้กลับมานะ”

“คิดดีแล้วน่า ข้าคิดดีแล้ว ไปกันเสียทีเถิด” เจ้าอ้วนชวีลากร่างกายอันอ้วนกลมปีนป่ายขึ้นไปบนหลังของย่ากวง แต่กลับถูกซือหม่าโยวเย่ว์ดึงคอเสื้อเอาไว้แล้วลากลงไป

“นั่งสัตว์อสูรวิเศษของเจ้าไปเองสิ อย่าไปทับย่ากวงเชียวนะ”

เจ้าอ้วนชวีรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์พูดเช่นนี้ก็หมายความว่ายอมเห็นด้วยแล้ว เขาส่งเสียงพึมพำเรียกสัตว์อสูรวิเศษของตนออกมาแล้วขึ้นไปขี่มัน

พวกเว่ยจือฉีก็เรียกสัตว์อสูรวิเศษของตนออกมาเช่นเดียวกัน ทั้งห้าคนขี่สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของตนวิ่งตรงไปยังเมืองเบื้องหน้า ไปที่นั่นเพื่อใช้ค่ายกลนำส่งไปยังเทือกเขาสั่วเฟยย่า

สองวันให้หลัง พวกเขาก็มาถึงยังตีนเขาสั่วเฟยย่า พวกเขามองดูเทือกเขาสูงตระหง่านแล้วจึงเกิดความรู้สึกอยากแหงนหน้าขึ้นไปมอง

“โอวหยาง เจ้าแน่ใจหรือว่าสภาพแวดล้อมของที่นี่ดีที่สุดแล้วน่ะ” เจ้าอ้วนชวีเห็นหุบผาช่องเขามากมายจึงมองโอวหยางเฟยอย่างสงสัย

เพราะพลังยุทธ์ของพวกเขาทั้งห้าล้วนสูงส่ง ดังนั้นจึงตัดสินใจจะหาสถานที่ที่สภาพแวดล้อมดีสักหน่อย และมีสัตว์อสูรวิเศษที่ระดับพลังยุทธ์ค่อนข้างต่ำสักหน่อย ค่อยๆ ยกระดับพลังยุทธ์ของตนเอง

เพราะก่อนที่โอวหยางเฟยจะไปยังเมืองหลวงก็เคยอยู่ที่เทือกเขาสั่วเฟยย่ามาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นจึงให้โอวหยางพาพวกเขาเข้าไปในภูเขา

โอวหยางเหลือบมองเจ้าอ้วนชวีปราดหนึ่งแล้วพูดอย่างเรียบๆ ว่า “หรือเจ้าจะมานำเล่า”

เจ้าอ้วนชวีรีบโบกไม้โบกมือ ล้อเล่นแล้ว เขาไม่เคยมาที่นี่เสียหน่อย แล้วจะนำทางทุกคนได้อย่างไรกันเล่า

“โอวหยาง นี่คือสถานที่ที่เจ้ามาใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“อืม ทางฟากโน้นของเทือกเขาก็คือสี่อาณาจักรใหญ่ แต่เทือกเขานี้กว้างกว่าพันลี้ และยิ่งเข้าไปใกล้ศูนย์กลาง ระดับขั้นของสัตว์อสูรวิเศษก็ยิ่งสูง แถมในบรรดานั้นยังมีสัตว์อสูรเทพจำนวนไม่น้อยอีกด้วย” โอวหยางเฟยพูด

“อันตรายถึงเพียงนี้แล้วเจ้าเข้ามาได้อย่างไรกันโอวหยาง” เจ้าอ้วนชวีมองโอวหยางเฟยอย่างเลื่อมใส

“มีคนจำนวนไม่น้อยต้องตายไปเพื่อปกป้องข้า” โอวหยางเฟยไม่อยากจะพูดอะไรมากจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คืนนี้พวกเราพักผ่อนกันที่ตีนเขาก่อนดีกว่า ตรวจสอบสักหน่อยว่าของที่นำมาครบถ้วนหรือไม่ หลังจากนั้นพรุ่งนี้ค่อยเข้าไปในเทือกเขาก็แล้วกัน”

“ดี พวกเราตั้งค่ายพักที่ตีนเขาแล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

พวกเขาหาที่ว่างแห่งหนึ่ง จากนั้นแต่ละคนก็หยิบกระโจมออกมาแล้วเริ่มตั้งกระโจม

“เอ๊ะ ตรงนี้มีร่องรอยคนเคยอยู่มาก่อนนี่นา!” เมื่อเห็นร่องรอยตะปูยึดกระโจมหลายรอย เจ้าอ้วนชวีจึงร้องขึ้น

“ของล้ำค่าภายในเทือกเขาแห่งนี้จะต้องมากกว่าที่เทือกเขาผู่สั่วอย่างแน่นอน จะต้องมีคนคิดเข้าไปในเทือกเขาเพื่อหาสมบัติมากมาย เพียงแต่พลังยุทธ์ไม่สูงพอจึงมีคนเข้าไปในเทือกเขาได้น้อยเท่านั้นเอง แต่มิใช่ว่าจะไม่มี” เว่ยจือฉีพูด “ถ้าหากพวกเราพลังยุทธ์สูงย่อมต้องเลือกมาที่นี่มากกว่าไปที่เทือกเขาผู่สั่วอยู่แล้ว”

เจ้าอ้วนชวีคิดๆ ดูแล้วก็ถูกต้อง ผู้ที่ไปยังเทือกเขาผู่สั่วมีเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกันแล้วสิ่งของล้ำค่าจึงมีน้อย มิสู้มาลองเสี่ยงดวงดูที่นี่ดีกว่า

“นอกจากนี้ผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงเหล่านั้นก็อยากจะมาหาประสบการณ์ที่นี่อีกด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดเสริม

“เจ้าอ้วน พอไปถึงข้างนอกแล้วพวกเรายังจะได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนมากมาย ถ้าหากเจ้าพบเห็นอะไรก็ตกใจไปหมดเช่นนี้ พอพวกเราออกไปก็จะทำเป็นไม่รู้จักเจ้าแล้วนะ อายเขา!” เป่ยกงถังพูดยิ้มๆ

“เป่ยกง เจ้าเป็นสาวงามภูเขาน้ำแข็งเหมือนเมื่อก่อนจะน่ารักกว่านะ” เจ้าอ้วนชวีฟังแววเย้าแหย่ในน้ำเสียงของเป่ยกงถังออกจึงบ่นอุบ

เมื่อตั้งกระโจมเสร็จแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงทำอาหารมื้อเย็นให้กับทุกคน เพราะตอนนี้ยังใช้งานมณีวิญญาณไม่ได้ เธอจึงเตรียมผักจำนวนหนึ่งวางเอาไว้ในแหวนเก็บวัตถุ นอกจากนี้ยังเป็นผักล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์เลย

พอกินอาหารเย็นเสร็จแล้ว ทุกคนจึงกลับไปฝึกยุทธ์ที่กระโจมของแต่ละคน พวกเขาค้นพบว่าปราณวิญญาณของสถานที่แห่งนี้เข้มข้นกว่าสถานที่อื่นๆ อยู่พอสมควร ถ้าหากบำเพ็ญที่นี่ พลังยุทธ์จะต้องก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว

ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่บนเตียงพลางมองสร้อยข้อมือม่านถัว ตั้งแต่สามเดือนก่อนที่หมัวซาเอามณีวิญญาณและเจดีย์เจ็ดชั้นไป ก็ไร้ซึ่งข่าวคราวมาโดยตลอด แม้กระทั่งความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ยังไม่มี เธอไม่รู้เลยว่าพวกเขาอยู่ข้างในนั้นเป็นเช่นไรกันบ้าง ไม่รู้ว่าการผสานรวมของมณีวิญญาณและเจดีย์เจ็ดชั้นเป็นเช่นไร และตอนนี้หมัวซาเป็นอย่างไรบ้าง

แต่ทุกๆ คืน เธอก็ยังหยิบเอาต้นผลอสรพิษทองคำออกมาวางไว้ข้างตัวให้มันอยู่ใกล้ๆ สร้อยข้อมือ เพราะเธอค้นพบว่าดูเหมือนหมัวซาจะดูดซับไอพลังที่ต้นผลอสรพิษทองคำแผ่ออกมาได้

เธอลอบทอดถอนใจแล้วนำต้นผลอสรพิษทองคำออกมาวางไว้ข้างเตียง เพราะยามกลางวันได้แต่วางเอาไว้ภายในแหวนเก็บวัตถุ นำออกมาได้เฉพาะยามวิกาลเท่านั้น ดังนั้นสภาพของมันในตอนนี้จึงดูไม่ดีสักเท่าใดนัก

ด้านบนกระโจมของเธอมีรูที่เปิดเอาไว้โดยเฉพาะให้แสงจันทร์ส่องผ่านเข้ามาได้ ทุกคืนหลังได้รับแสงจันทร์ ต้นผลอสรพิษทองคำจึงค่อยฟื้นตัวขึ้นมาได้บางส่วน

“ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงได้แต่ปลูกเจ้ากลับสู่ธรรมชาติแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองต้นผลอสรพิษทองคำอย่างเจ็บปวดใจ ใบไม้ด้านบนเหลืองกรอบไปไม่น้อยแล้ว “หมัวซา ต้องอีกนานเท่าใดกันท่านจึงจะทำสำเร็จน่ะ เฮ้อ…”

เธอนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง เข้าสู่สภาวะการบำเพ็ญอีกครั้ง

เพราะฝึกสัตว์อสูรวิเศษไปเป็นจำนวนมากตลอดสองเดือนมานี้ ได้รับพลังวิญญาณสะท้อนกลับมาไม่น้อย บวกกับเวลาบำเพ็ญของเธอเพิ่มมากขึ้น ภายในเวลาหนึ่งเดือนกว่าเธอจึงเลื่อนไปถึงระดับปรมาจารย์วิญญาณขั้นแปด ตอนที่จากเมืองหลวงมา เธอก็สัมผัสถึงขอบเขตของขั้นเก้าได้รางๆ แล้ว

“ต่อให้รังเกียจเจ้าแล้วจะทำไมเล่า” เมื่อซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีราวกับสาวน้อยขี้งอนของเขาแล้วจึงคิดที่จะแกล้งยั่วยุเขาขึ้นมา

“แล้วจะทำไมได้เล่า ตีก็ตีเจ้าไม่ชนะ จะด่าก็ด่าเจ้ามิได้ แล้วก็คงจะกัดเจ้ามิได้อีกนั่นแหละ!” เจ้าอ้วนชวีพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีเช่นนั้นของเขาจึงหัวเราะอย่างเบิกบาน

“คิดไม่ถึงว่ายาวิเศษร้อยโคจรจะส่งผลเช่นนี้ ตอนนี้ข้ารู้สึกได้ว่าร่างกายของข้าเบาสบายขึ้นมากเลยทีเดียว มิได้หนักอึ้งเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว” เว่ยจือฉีพูด

“แน่นอนอยู่แล้ว เมื่อคืนขจัดสิ่งปฏิกูลออกมามากมายเช่นนั้น อีกทั้งยังถ่ายท้องออกมาตั้งมากมาย ไม่เบาสบายสิจึงจะเป็นเรื่องแปลก” เจ้าอ้วนชวีพูด “ใช่แล้ว พวกเจ้าเลื่อนกันกี่ระดับหรือ”

“สามระดับ”

“สามระดับ”

“สามระดับ”

ทั้งสามคนตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน

“อะไรนะ พวกเจ้าเลื่อนกันสามระดับหมดเลยหรือ!” เจ้าอ้วนชวีร้องขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “เหตุใดจึงมีแต่ข้าที่เลื่อนสองระดับเล่า ฮือๆ เดิมทีข้ายังคิดว่าข้าเลื่อนได้สองระดับก็ไม่เลวแล้ว แต่ความจริงแล้วข้าก็ยังเป็นคนรั้งท้ายผู้นั้นอีกอยู่ดีสินะ”

โอวหยางเฟยเดินเข้ามาตบบ่าเขาเบาๆ พลางเอ่ยอย่างจริงใจว่า “ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ”

หลังจากนั้นก็เดินผ่านเขาไป…

“พรืด…”

ซือหม่าโยวเย่ว์และเว่ยจือฉีต่างพากันหัวเราะ แต่ไหนแต่ไรพวกเขาก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าโอวหยางเฟยจะมีด้านนี้อยู่ด้วย

“เจ้าอ้วน ข้าว่าน่าจะเป็นเพราะยามปกติเจ้ากินอาหารมากมายเหลือเกิน ของเสียภายในร่างกายจึงมากเกินไป ดังนั้นจึงขัดขวางการเลื่อนระดับของเจ้า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างจริงจัง “เมื่อคืนเจ้าวิ่งไปเข้าห้องน้ำหลายครั้งที่สุดเลย แล้วตัวเจ้ายังเหม็นที่สุดอีกด้วย ดังนั้นน่ะนะ ยามปกติเจ้าต้องคุมอาหาร กินให้น้อยหน่อย เข้าใจหรือไม่”

พูดจบแล้วเธอก็หมุนกายจากไปเช่นเดียวกัน

“ข้าว่าโยวเย่ว์พูดถูกนะ” เว่ยจือฉีตบบ่าเจ้าอ้วนชวีแล้วเดินผ่านเขาไปเช่นเดียวกัน

เป่ยกงถังเดินเข้ามาด้วยแววตาเจือรอยยิ้มแล้วพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “คุมอาหาร”

หลังจากนั้นก็เดินออกไปเช่นเดียวกัน

“ไม่สนคนชอบรังแกผู้อื่นอย่างพวกเจ้าหรอก…” เจ้าอ้วนชวีถูกทุกคนรวมหัวกันแกล้ง จึงไล่ตามไปด้วยหัวใจแหลกสลาย

บนเส้นทางไปยังห้องเรียน เมื่อคนเหล่านั้นเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ปรากฏตัวขึ้นจึงพากันวิ่งมาดู แต่เพราะเห็นสีหน้าเย็นชาของเธอ ทุกคนจึงพากันหยุดฝีเท้าเอาไว้ ไม่มีใครเข้ามาเปิดบทสนทนาเลย

ขณะที่กำลังจะถึงห้องเรียน ในที่สุดก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งรวบรวมความกล้าตรงเข้าไปสารภาพกับเธอ

“สหายโยวเย่ว์ ข้าเตรียมของขวัญเล็กน้อยเอาไว้ให้เจ้า เจ้ารับไปสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์รับหีบมาแล้วพูดอย่างเฉยชาว่า “ขอบใจนะ”

นักเรียนหญิงผู้นั้นเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ปฏิเสธของขวัญของตน จึงตื่นเต้นไม่น้อยแล้วพูดว่า “สหายโยวเย่ว์ ข้าชอบเจ้า ให้ข้าเป็นเพื่อนหญิงคนสนิทของเจ้าได้หรือไม่”

“เพื่อนหญิงคนสนิทหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่านักเรียนหญิงผู้นี้จะเปิดเผยถึงเพียงนี้ เธอดึงตัวเป่ยกงถังมาแล้วหอมแก้มนางครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “แต่ข้ามีเพื่อนหญิงคนสนิทแล้วน่ะสิ ถ้าหากเจ้าอยากมาแทนที่ ก็ต้องเอาชนะนางให้ได้ก่อนนะ”

นักเรียนหญิงผู้นั้นมองเป่ยกงถังปราดหนึ่ง เมื่อเห็นนางมองตนอย่างไม่ปรานีจึงรู้สึกขนพองสยองเกล้า

ใครบ้างในวิทยาลัยที่ไม่รู้ว่าเป่ยกงถังเป็นพวกคลั่งการต่อสู้ พลังยุทธ์แข็งแกร่งทั้งยังชมชอบการต่อสู้ คนจำนวนไม่น้อยที่ไปท้านางสู้แล้วถูกนางตีจนคลานกลับมา หญิงอ่อนแอคนหนึ่งอย่างตน ทั้งยังเป็นศัตรูหัวใจ เกรงว่าคงจะถูกนางทารุณจนไม่เหลือซากกระมัง

“อะแฮ่มๆ ในเมื่อเจ้ามีเพื่อนหญิงคนสนิทอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนพวกเจ้าแล้วดีกว่า” นักเรียนหญิงผู้นั้นพูดแล้วก็หมุนตัววิ่งหนีไป

ซือหม่าโยวเย่ว์มองผู้คนรอบๆ ปราดหนึ่งก่อนจะโอบไหล่เป่ยกงถังเดินไปยังห้องเรียน

เมื่อไปถึงห้องเรียน สายตาที่บรรดาเพื่อนร่วมชั้นมองซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังก็ไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว มิน่าเล่าเป่ยกงถังถึงได้ทำสีหน้าเย็นชาใส่ทุกคน เป็นเพียงผู้เดียวที่เดินตัวติดกับซือหม่าโยวเย่ว์ได้ ที่แท้พวกเขาก็เป็นคู่รักกันแล้วนี่เอง

เมื่อนั่งลงบนที่นั่งแล้ว เป่ยกงถังก็ปัดมือซือหม่าโยวเย่ว์ทิ้งพลางเอ่ยว่า “คราวหน้าหากให้ค่าช่วยต้องเก็บเงินแล้วนะ”

“แหะๆ เก็บเงินอะไรกันเล่า มิสู้เจ้ายอมข้า เป็นเพื่อนหญิงคนสนิทของข้าดีกว่าหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม

เป่ยกงถังถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าคนผู้นี้ปลอมตัวเป็นบุรุษมากจนจิตใจวิปริตผิดเพศไปเสียแล้วหรือ

ต่อจากนี้ทุกคนล้วนรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังเป็นคู่รักกัน ใครคิดอยากจะเป็นเพื่อนหญิงคนสนิทของเธอ เช่นนั้นก็ต้องเอาชนะเป่ยกงถังให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ถึงแม้ว่าจะทำให้หญิงสาวจำนวนไม่น้อยหัวใจสลาย แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครมากวนใจเธอกับพวกเว่ยจือฉีอีกต่อไปแล้ว

ยามราตรี ซือหม่าโยวเย่ว์คุ้มกันให้กับพวกเขาอีกครั้ง ทั้งสี่คนกินยาวิเศษร้อยโคจรเม็ดที่สองลงไป เพราะเมื่อวานได้ขจัดเอาสิ่งปฏิกูลในร่างกายออกไปไม่น้อยแล้ว ดังนั้นคืนนี้ทุกคนจึงมิได้เอาแต่วิ่งเข้าห้องน้ำเหมือนเมื่อคืนอีกแล้ว

แน่นอนว่ายกเว้นอยู่คนหนึ่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่ในลานบ้านก็เห็นเจ้าอ้วนชวีท้องเสียอีกครั้งจึงเอ่ยหยอกล้อด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าอ้วน ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่ายามปกติเจ้ากินมากเกินไป เจ้าดูสิ คืนนี้มีเพียงเจ้าที่เอาแต่วิ่งเข้าห้องน้ำ แสดงว่าในร่างกายเจ้ายังมีสิ่งปฏิกูลอยู่อีกมากมาย”

เจ้าอ้วนชวีถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์อย่างอับจนคำพูดแล้วรีบวิ่งตรงไปยังห้องน้ำ

แต่เจ้าอ้วนชวีท้องเสียหลายครั้งก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน คืนนี้ทุกคนล้วนมิได้เลื่อนระดับอีก มีเพียงเขาเท่านั้นที่เลื่อนระดับขึ้นอีกหนึ่งขั้น

วันรุ่งขึ้นเมื่อบอกว่ามีตนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เลื่อนระดับ เขาก็มีความสุขอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงแม้ว่าจะล่าช้าไปคืนหนึ่ง แต่อย่างน้อยเขาก็มีพรสวรรค์พอๆ กับพวกนั้นสินะ

เมื่อกินยาวิเศษร้อยโคจรไปแล้ว สิ่งไร้ค่าในตัวพวกเขาก็ถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น เส้นลมปราณก็ลื่นไหลทั้งยังเปิดกว้างกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย ความเร็วในการฝึกยุทธ์ก็เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก

เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของพวกเขาจึงนึกถึงยาวิเศษร้อยโคจรภายในแหวนซึ่งเตรียมเอาไว้ให้พวกซือหม่าโยวหมิงขึ้นมาได้ นัยน์ตาเธอจึงสลดหดหู่ขึ้นมา

วันต่อๆ มาค่อยๆ ดำเนินไปอย่างปกติ เธอใช้เวลาในวิทยาลัยไปกับการศึกษาและการบำเพ็ญเป็นหลัก หากมีเรื่องเกิดขึ้นในตระกูลก็ค่อยกลับไป

สัตว์อสูรวิเศษที่รับปากกับคนพวกนั้นเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ เข้าที่เข้าทาง ตอนกลางวันเธอร่ำเรียนอยู่ที่วิทยาลัย ส่วนตอนกลางคืนก็กลับบ้านไปฝึกสัตว์อสูร ฝึกยุทธ์ และจัดการภารกิจที่บ้าน

วันเวลาผ่านไปเช่นนี้ราวสองเดือนกว่า ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เสร็จสิ้นภาระหน้าที่ในการเล่าเรียนแล้วทำเรื่องจบการศึกษากับทางวิทยาลัย

ตอนรับใบจบการศึกษา เธอก็นึกถึงความตั้งใจเดิมของซือหม่าเลี่ยที่ส่งเธอมายังวิทยาลัยขึ้นมาได้ เขามิได้หวังว่าเธอจะประสบผลสำเร็จอะไรในวิทยาลัย เพียงแค่อยากให้เธอได้มีประสบการณ์เช่นเดียวกันกับที่ผู้อื่นได้รับเท่านั้นเอง

ขณะที่เธอเก็บข้าวของไปจากเรือนพักนั้น พวกเจ้าอ้วนชวีต่างพากันมาส่งเธอ เมื่อนึกถึงว่าต่อจากนี้ไปจะไม่มีเธออยู่ในเรือนพักอีกแล้ว นัยน์ตาของทุกคนล้วนฉายแววทำใจไม่ได้

เมื่อกลับไปถึงตระกูลซือหม่า ซือหม่าโยวเย่ว์ก็จัดแจงธุระต่างๆ จนเรียบร้อย จากนั้นก็หลอมยาวิเศษอยู่หลายวัน หลอมยาวิเศษที่จำเป็นต้องใช้ในระยะหนึ่งต่อจากนี้ขึ้นมา ฝึกสัตว์อสูรวิเศษให้เรียบร้อย นอกจากนี้ยังให้พ่อบ้านเตรียมเกณฑ์นักหลอมยาและนักฝึกสัตว์อสูรมา ถ้าหากเธอไม่อยู่ สินค้าก็ต้องไม่ขาดแคลน

พ่อบ้านรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จากไปคราวนี้ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร จึงได้จดจำสิ่งที่เธอพูดใส่ใจเอาไว้

อีกหลายวันต่อมา เธอยกแหวนเก็บวัตถุวงหนึ่งให้กับพ่อบ้าน หลังจากนั้นจึงจัดแจงเก็บข้าวของแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเทือกเขาสั่วเฟยย่า

เพราะเมืองหลวงไม่มีค่ายกลนำส่งที่ตรงไปสู่เทือกเขาสั่วเฟยย่า ดังนั้นเธอจึงได้แต่ขี่ย่ากวงไปยังเมืองใกล้ๆ

เพิ่งออกจากประตูเมือง เธอก็ตะลึงงันไปเสียแล้ว

ภายใต้ต้นไม้ใหญ่นอกเมือง เจ้าอ้วนชวีนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ เว่ยจือฉีพิงอยู่บนกิ่งไม้ เป่ยกงถังยืนอยู่ด้านหน้า ส่วนโอวหยางเฟยนั่งกอดกระบี่อยู่บนยอดไม้ด้านบน

“พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่กันได้อย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์มองพวกเขาทั้งสี่คนอย่างตกใจ

“ต่อให้รังเกียจเจ้าแล้วจะทำไมเล่า” เมื่อซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีราวกับสาวน้อยขี้งอนของเขาแล้วจึงคิดที่จะแกล้งยั่วยุเขาขึ้นมา

“แล้วจะทำไมได้เล่า ตีก็ตีเจ้าไม่ชนะ จะด่าก็ด่าเจ้ามิได้ แล้วก็คงจะกัดเจ้ามิได้อีกนั่นแหละ!” เจ้าอ้วนชวีพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีเช่นนั้นของเขาจึงหัวเราะอย่างเบิกบาน

“คิดไม่ถึงว่ายาวิเศษร้อยโคจรจะส่งผลเช่นนี้ ตอนนี้ข้ารู้สึกได้ว่าร่างกายของข้าเบาสบายขึ้นมากเลยทีเดียว มิได้หนักอึ้งเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว” เว่ยจือฉีพูด

“แน่นอนอยู่แล้ว เมื่อคืนขจัดสิ่งปฏิกูลออกมามากมายเช่นนั้น อีกทั้งยังถ่ายท้องออกมาตั้งมากมาย ไม่เบาสบายสิจึงจะเป็นเรื่องแปลก” เจ้าอ้วนชวีพูด “ใช่แล้ว พวกเจ้าเลื่อนกันกี่ระดับหรือ”

“สามระดับ”

“สามระดับ”

“สามระดับ”

ทั้งสามคนตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน

“อะไรนะ พวกเจ้าเลื่อนกันสามระดับหมดเลยหรือ!” เจ้าอ้วนชวีร้องขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “เหตุใดจึงมีแต่ข้าที่เลื่อนสองระดับเล่า ฮือๆ เดิมทีข้ายังคิดว่าข้าเลื่อนได้สองระดับก็ไม่เลวแล้ว แต่ความจริงแล้วข้าก็ยังเป็นคนรั้งท้ายผู้นั้นอีกอยู่ดีสินะ”

โอวหยางเฟยเดินเข้ามาตบบ่าเขาเบาๆ พลางเอ่ยอย่างจริงใจว่า “ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ”

หลังจากนั้นก็เดินผ่านเขาไป…

“พรืด…”

ซือหม่าโยวเย่ว์และเว่ยจือฉีต่างพากันหัวเราะ แต่ไหนแต่ไรพวกเขาก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าโอวหยางเฟยจะมีด้านนี้อยู่ด้วย

“เจ้าอ้วน ข้าว่าน่าจะเป็นเพราะยามปกติเจ้ากินอาหารมากมายเหลือเกิน ของเสียภายในร่างกายจึงมากเกินไป ดังนั้นจึงขัดขวางการเลื่อนระดับของเจ้า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างจริงจัง “เมื่อคืนเจ้าวิ่งไปเข้าห้องน้ำหลายครั้งที่สุดเลย แล้วตัวเจ้ายังเหม็นที่สุดอีกด้วย ดังนั้นน่ะนะ ยามปกติเจ้าต้องคุมอาหาร กินให้น้อยหน่อย เข้าใจหรือไม่”

พูดจบแล้วเธอก็หมุนกายจากไปเช่นเดียวกัน

“ข้าว่าโยวเย่ว์พูดถูกนะ” เว่ยจือฉีตบบ่าเจ้าอ้วนชวีแล้วเดินผ่านเขาไปเช่นเดียวกัน

เป่ยกงถังเดินเข้ามาด้วยแววตาเจือรอยยิ้มแล้วพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “คุมอาหาร”

หลังจากนั้นก็เดินออกไปเช่นเดียวกัน

“ไม่สนคนชอบรังแกผู้อื่นอย่างพวกเจ้าหรอก…” เจ้าอ้วนชวีถูกทุกคนรวมหัวกันแกล้ง จึงไล่ตามไปด้วยหัวใจแหลกสลาย

บนเส้นทางไปยังห้องเรียน เมื่อคนเหล่านั้นเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ปรากฏตัวขึ้นจึงพากันวิ่งมาดู แต่เพราะเห็นสีหน้าเย็นชาของเธอ ทุกคนจึงพากันหยุดฝีเท้าเอาไว้ ไม่มีใครเข้ามาเปิดบทสนทนาเลย

ขณะที่กำลังจะถึงห้องเรียน ในที่สุดก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งรวบรวมความกล้าตรงเข้าไปสารภาพกับเธอ

“สหายโยวเย่ว์ ข้าเตรียมของขวัญเล็กน้อยเอาไว้ให้เจ้า เจ้ารับไปสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์รับหีบมาแล้วพูดอย่างเฉยชาว่า “ขอบใจนะ”

นักเรียนหญิงผู้นั้นเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ปฏิเสธของขวัญของตน จึงตื่นเต้นไม่น้อยแล้วพูดว่า “สหายโยวเย่ว์ ข้าชอบเจ้า ให้ข้าเป็นเพื่อนหญิงคนสนิทของเจ้าได้หรือไม่”

“เพื่อนหญิงคนสนิทหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่านักเรียนหญิงผู้นี้จะเปิดเผยถึงเพียงนี้ เธอดึงตัวเป่ยกงถังมาแล้วหอมแก้มนางครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “แต่ข้ามีเพื่อนหญิงคนสนิทแล้วน่ะสิ ถ้าหากเจ้าอยากมาแทนที่ ก็ต้องเอาชนะนางให้ได้ก่อนนะ”

นักเรียนหญิงผู้นั้นมองเป่ยกงถังปราดหนึ่ง เมื่อเห็นนางมองตนอย่างไม่ปรานีจึงรู้สึกขนพองสยองเกล้า

ใครบ้างในวิทยาลัยที่ไม่รู้ว่าเป่ยกงถังเป็นพวกคลั่งการต่อสู้ พลังยุทธ์แข็งแกร่งทั้งยังชมชอบการต่อสู้ คนจำนวนไม่น้อยที่ไปท้านางสู้แล้วถูกนางตีจนคลานกลับมา หญิงอ่อนแอคนหนึ่งอย่างตน ทั้งยังเป็นศัตรูหัวใจ เกรงว่าคงจะถูกนางทารุณจนไม่เหลือซากกระมัง

“อะแฮ่มๆ ในเมื่อเจ้ามีเพื่อนหญิงคนสนิทอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนพวกเจ้าแล้วดีกว่า” นักเรียนหญิงผู้นั้นพูดแล้วก็หมุนตัววิ่งหนีไป

ซือหม่าโยวเย่ว์มองผู้คนรอบๆ ปราดหนึ่งก่อนจะโอบไหล่เป่ยกงถังเดินไปยังห้องเรียน

เมื่อไปถึงห้องเรียน สายตาที่บรรดาเพื่อนร่วมชั้นมองซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังก็ไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว มิน่าเล่าเป่ยกงถังถึงได้ทำสีหน้าเย็นชาใส่ทุกคน เป็นเพียงผู้เดียวที่เดินตัวติดกับซือหม่าโยวเย่ว์ได้ ที่แท้พวกเขาก็เป็นคู่รักกันแล้วนี่เอง

เมื่อนั่งลงบนที่นั่งแล้ว เป่ยกงถังก็ปัดมือซือหม่าโยวเย่ว์ทิ้งพลางเอ่ยว่า “คราวหน้าหากให้ค่าช่วยต้องเก็บเงินแล้วนะ”

“แหะๆ เก็บเงินอะไรกันเล่า มิสู้เจ้ายอมข้า เป็นเพื่อนหญิงคนสนิทของข้าดีกว่าหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม

เป่ยกงถังถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าคนผู้นี้ปลอมตัวเป็นบุรุษมากจนจิตใจวิปริตผิดเพศไปเสียแล้วหรือ

ต่อจากนี้ทุกคนล้วนรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังเป็นคู่รักกัน ใครคิดอยากจะเป็นเพื่อนหญิงคนสนิทของเธอ เช่นนั้นก็ต้องเอาชนะเป่ยกงถังให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ถึงแม้ว่าจะทำให้หญิงสาวจำนวนไม่น้อยหัวใจสลาย แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครมากวนใจเธอกับพวกเว่ยจือฉีอีกต่อไปแล้ว

ยามราตรี ซือหม่าโยวเย่ว์คุ้มกันให้กับพวกเขาอีกครั้ง ทั้งสี่คนกินยาวิเศษร้อยโคจรเม็ดที่สองลงไป เพราะเมื่อวานได้ขจัดเอาสิ่งปฏิกูลในร่างกายออกไปไม่น้อยแล้ว ดังนั้นคืนนี้ทุกคนจึงมิได้เอาแต่วิ่งเข้าห้องน้ำเหมือนเมื่อคืนอีกแล้ว

แน่นอนว่ายกเว้นอยู่คนหนึ่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่ในลานบ้านก็เห็นเจ้าอ้วนชวีท้องเสียอีกครั้งจึงเอ่ยหยอกล้อด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าอ้วน ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่ายามปกติเจ้ากินมากเกินไป เจ้าดูสิ คืนนี้มีเพียงเจ้าที่เอาแต่วิ่งเข้าห้องน้ำ แสดงว่าในร่างกายเจ้ายังมีสิ่งปฏิกูลอยู่อีกมากมาย”

เจ้าอ้วนชวีถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์อย่างอับจนคำพูดแล้วรีบวิ่งตรงไปยังห้องน้ำ

แต่เจ้าอ้วนชวีท้องเสียหลายครั้งก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน คืนนี้ทุกคนล้วนมิได้เลื่อนระดับอีก มีเพียงเขาเท่านั้นที่เลื่อนระดับขึ้นอีกหนึ่งขั้น

วันรุ่งขึ้นเมื่อบอกว่ามีตนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เลื่อนระดับ เขาก็มีความสุขอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงแม้ว่าจะล่าช้าไปคืนหนึ่ง แต่อย่างน้อยเขาก็มีพรสวรรค์พอๆ กับพวกนั้นสินะ

เมื่อกินยาวิเศษร้อยโคจรไปแล้ว สิ่งไร้ค่าในตัวพวกเขาก็ถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น เส้นลมปราณก็ลื่นไหลทั้งยังเปิดกว้างกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย ความเร็วในการฝึกยุทธ์ก็เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก

เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของพวกเขาจึงนึกถึงยาวิเศษร้อยโคจรภายในแหวนซึ่งเตรียมเอาไว้ให้พวกซือหม่าโยวหมิงขึ้นมาได้ นัยน์ตาเธอจึงสลดหดหู่ขึ้นมา

วันต่อๆ มาค่อยๆ ดำเนินไปอย่างปกติ เธอใช้เวลาในวิทยาลัยไปกับการศึกษาและการบำเพ็ญเป็นหลัก หากมีเรื่องเกิดขึ้นในตระกูลก็ค่อยกลับไป

สัตว์อสูรวิเศษที่รับปากกับคนพวกนั้นเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ เข้าที่เข้าทาง ตอนกลางวันเธอร่ำเรียนอยู่ที่วิทยาลัย ส่วนตอนกลางคืนก็กลับบ้านไปฝึกสัตว์อสูร ฝึกยุทธ์ และจัดการภารกิจที่บ้าน

วันเวลาผ่านไปเช่นนี้ราวสองเดือนกว่า ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เสร็จสิ้นภาระหน้าที่ในการเล่าเรียนแล้วทำเรื่องจบการศึกษากับทางวิทยาลัย

ตอนรับใบจบการศึกษา เธอก็นึกถึงความตั้งใจเดิมของซือหม่าเลี่ยที่ส่งเธอมายังวิทยาลัยขึ้นมาได้ เขามิได้หวังว่าเธอจะประสบผลสำเร็จอะไรในวิทยาลัย เพียงแค่อยากให้เธอได้มีประสบการณ์เช่นเดียวกันกับที่ผู้อื่นได้รับเท่านั้นเอง

ขณะที่เธอเก็บข้าวของไปจากเรือนพักนั้น พวกเจ้าอ้วนชวีต่างพากันมาส่งเธอ เมื่อนึกถึงว่าต่อจากนี้ไปจะไม่มีเธออยู่ในเรือนพักอีกแล้ว นัยน์ตาของทุกคนล้วนฉายแววทำใจไม่ได้

เมื่อกลับไปถึงตระกูลซือหม่า ซือหม่าโยวเย่ว์ก็จัดแจงธุระต่างๆ จนเรียบร้อย จากนั้นก็หลอมยาวิเศษอยู่หลายวัน หลอมยาวิเศษที่จำเป็นต้องใช้ในระยะหนึ่งต่อจากนี้ขึ้นมา ฝึกสัตว์อสูรวิเศษให้เรียบร้อย นอกจากนี้ยังให้พ่อบ้านเตรียมเกณฑ์นักหลอมยาและนักฝึกสัตว์อสูรมา ถ้าหากเธอไม่อยู่ สินค้าก็ต้องไม่ขาดแคลน

พ่อบ้านรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จากไปคราวนี้ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร จึงได้จดจำสิ่งที่เธอพูดใส่ใจเอาไว้

อีกหลายวันต่อมา เธอยกแหวนเก็บวัตถุวงหนึ่งให้กับพ่อบ้าน หลังจากนั้นจึงจัดแจงเก็บข้าวของแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเทือกเขาสั่วเฟยย่า

เพราะเมืองหลวงไม่มีค่ายกลนำส่งที่ตรงไปสู่เทือกเขาสั่วเฟยย่า ดังนั้นเธอจึงได้แต่ขี่ย่ากวงไปยังเมืองใกล้ๆ

เพิ่งออกจากประตูเมือง เธอก็ตะลึงงันไปเสียแล้ว

ภายใต้ต้นไม้ใหญ่นอกเมือง เจ้าอ้วนชวีนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ เว่ยจือฉีพิงอยู่บนกิ่งไม้ เป่ยกงถังยืนอยู่ด้านหน้า ส่วนโอวหยางเฟยนั่งกอดกระบี่อยู่บนยอดไม้ด้านบน

“พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่กันได้อย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์มองพวกเขาทั้งสี่คนอย่างตกใจ

เจ้าอ้วนชวีเห็นทุกคนมองตนอย่างดูแคลนจึงกระแอมสองครั้งแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เจ้ามิได้บอกว่าจะหลอมยาวิเศษที่ยกระดับพลังยุทธ์ได้ให้กับพวกเราหรอกหรือ ว่าอย่างไรเล่า นี่มิใช่หรอกหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เขกศีรษะเจ้าอ้วนชวี ชิงชังจนไม่อยากจะพูดกับเขาอีกต่อไปแล้ว

“เป่ยกง เจ้ารู้จักยาวิเศษร้อยโคจรนี่ด้วยหรือ” โอวหยางเฟยถาม

“อืม” เป่ยกงถังพูด “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินคนพูดถึงมัน แต่ยังไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย”

“มันคือยาวิเศษชนิดใดกันหรือ” เว่ยจือฉีถาม

“ยาวิเศษร้อยโคจร ทางฝั่งข้าเรียกว่ายาชำระเอ็นตัดไขกระดูก พวกเจ้าได้ยินชื่อนี้ก็คงรู้แล้วว่ามันมีประโยชน์เช่นไร” เป่ยกงถังพูด

“ยาชำระเอ็นตัดไขกระดูกอย่างนั้นหรือ!” พวกโอวหยางเฟยทั้งสามคนร้องขึ้นมาพร้อมกัน

พวกเขาไม่รู้จักยาวิเศษร้อยโคจร แต่ยาชำระเอ็นตัดไขกระดูกนี้เมื่อได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่ามันมีประโยชน์เช่นไร

“ถูกต้อง ประโยชน์ของยาวิเศษชนิดนี้ก็คือการชำระเอ็นตัดไขกระดูก เปลี่ยนแปลงโครงสร้างร่างกายของพวกเจ้า เพื่อเพิ่มความเร็วให้กับการฝึกยุทธ์ในภายภาคหน้า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ข้าจะเชื่อฟังอย่างดีเลย โยวเย่ว์ เจ้าไปได้ยาวิเศษนี่มาจากที่ไหนกัน!” เจ้าอ้วนชวีตบตรงบริเวณหัวใจของตน เห็นได้ชัดว่าตกใจไม่น้อยเลย

“คนผู้นั้นรู้จักตำรับยาพื้นบ้านนี้พอดี แล้วยังใช้ผลอสรพิษทองคำพอดีอีกด้วย เมื่อคิดว่ายาวิเศษนี้จะดีกว่าในระยะยาว ดังนั้นเลยเลือกหลอมสิ่งนี้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอธิบาย “แต่สิ่งนี้จะมีผลลัพธ์เช่นไร ข้าเองก็ไม่เคยกินมาก่อนเช่นเดียวกัน ดังนั้นพวกเจ้าใช้แล้วก็มาบอกผลลัพธ์กับข้าได้”

“ความจริงสิ่งนี้ก็ยกระดับพลังยุทธ์ได้เช่นเดียวกัน” เป่ยกงถังพูด

“สิ่งนี้ก็ยกระดับพลังยุทธ์ได้เช่นกันหรือ เขาไม่เห็นบอกข้าเลย!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างประหลาดใจ

“บางทีในสายตาของคนผู้นั้น การยกระดับพลังยุทธ์กับการฝึกยุทธ์อันยาวนานนี้เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็มิอาจนับเป็นอะไรได้เลยกระมัง” เป่ยกงถังพูด “ตอนที่ขจัดสิ่งไร้ค่าในตัวออกไปได้ พลังยุทธ์ก็จะเพิ่มพูนขึ้น ข้าเคยเห็นผู้อื่นใช้สิ่งนี้ครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงพอรู้อยู่บ้าง แต่ตอนนั้นนางกินไปเพียงแค่เม็ดเดียวเท่านั้นเอง”

ตอนเป่ยกงถังพูดมาถึงตรงนี้สีหน้าก็มิสู้ดีนัก ดูเหมือนว่าผู้ที่ใช้ยาวิเศษนั้นคงจะมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีนักกับเธอ

“คนผู้นั้นบอกว่าคนหนึ่งกินยาวิเศษนี้ได้อย่างมากที่สุดสองเม็ด กินมากไปก็ไม่มีผล ดังนั้นข้าจึงเตรียมเอาไว้ให้พวกเจ้าคนละสองเม็ด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเจ้าไปหาเวลาใช้เอาเองก็แล้วกันนะ”

“โยวเย่ว์ แล้วเจ้าไม่มีหรือ” เว่ยจือฉีถาม

“ยาวิเศษนี้ไม่มีประโยชน์ต่อข้าหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เพราะเหตุผลบางอย่าง ร่างกายของข้าจึงเคยถูกแปรสภาพไปแล้ว ต่อให้กินสิ่งนี้ลงไปก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้พวกเจ้ากินพร้อมกันเลยดีกว่า ข้าจะได้คุ้มกันให้พวกเจ้าได้ด้วย”

“เช่นนั้นพวกเรากินคืนนี้เลยแล้วกัน” โอวหยางเฟยพูด

เขาอยากรู้เหลือเกินว่าหลังจากชำระเอ็นตัดไขกระดูกแล้วพวกเขาจะเป็นเช่นไร

พวกเป่ยกงถังพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของโอวหยางเฟย พวกเขาก็มีความสนใจใคร่รู้ต่อยาวิเศษร้อยโคจรเช่นเดียวกัน

“กระบวนการยากลำบากอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ห้ามหมดสติไปเป็นอันขาด มิฉะนั้นก็จะส่งผลกระทบถึงการออกฤทธิ์ของยาวิเศษได้” เป่ยกงถังเอ่ยเตือน

เธอจำตอนที่คนเหล่านั้นนำยาวิเศษร้อยโคจรที่มีอยู่เพียงเม็ดเดียวให้สตรีนางนั้นกินได้ นางทนรับไม่ไหวจนหมดสติไป ต่อมาได้ยินคนในตระกูลพูดกันว่ายาออกฤทธิ์กับนางได้ไม่ค่อยดีนัก

“อืม พวกเราจะระวัง” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางพยักหน้า

หลังจากนั้นในยามบ่าย พวกเว่ยจือฉีต่างก็ฝึกยุทธ์กันอยู่ภายในห้องของตัวเอง ทำให้จิตของตนอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุด ยามดึกสงัดไร้ซึ่งผู้คนแล้วพวกเขาจึงลืมตาขึ้นมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน

ทั้งสี่คนเปิดประตู เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ที่มุ่งหน้ามาทางลานบ้านจึงส่งเสียงเรียก แล้วต่างคนต่างกลับไป

คืนนี้พวกเขาต้องกินยาวิเศษร้อยโคจรเพียงแค่เม็ดเดียวเท่านั้น แต่ว่ากันว่าผู้ที่มีพลังยุทธ์แตกต่างกัน ผลลัพธ์ก็จะแตกต่างกันด้วย ระยะเวลาที่ต้องใช้ก็ไม่เท่ากัน

ซือหม่าโยวเย่ว์รออยู่ในลานบ้าน ไม่ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังมาจากภายในห้อง จึงไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเผชิญกับสิ่งใดกันอยู่

ผ่านไปครู่ใหญ่ เจ้าอ้วนชวีก็วิ่งออกมาจากห้องเป็นคนแรก แล้วพุ่งตัวไปยังห้องน้ำ

จากนั้นเว่ยจือฉีก็วิ่งออกมา ตามด้วยโอวหยางเฟยและเป่ยกงถัง

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพวกเขาสี่คนวิ่งตามกันไปยังห้องน้ำ จากนั้นก็วิ่งกลับไปที่ห้อง ผ่านไปครู่หนึ่งก็วิ่งไปเข้าห้องน้ำอีก แล้วกลับห้อง แล้ววิ่งไปเข้าห้องน้ำ ทุกคนต่างวิ่งไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงเจ็ดแปดรอบ

“หมัวซาก็มิได้ใส่ยาถ่ายลงไปในยาวิเศษนั่นด้วยเสียหน่อย เหตุใดแต่ละคนถึงได้ท้องเสียกันหมดเลยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่ในลานบ้าน มองดูพวกเขาวิ่งไปวิ่งมาอย่างมีความสุข

แต่ในเวลาต่อมาเธอกลับยิ้มไม่ออกเสียแล้ว เพราะบนร่างของทุกคนที่ผ่านตรงหน้าเธอไปนั้นต่างส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลชนิดหนึ่งออกมา ซึ่งเธอได้กลิ่นทุกครั้งที่ผ่านหน้าเธอไปเลยทีเดียว

“ทนไม่ไหวแล้ว!” เจ้าวิหคน้อยที่อยู่บนบ่าเธอร้องโหยหวนเสียงหนึ่งก่อนจะกระพือปีกบินขึ้นไปบนหลังคา

ซือหม่าโยวเย่ว์จึงย้ายม้านั่งไปยังบริเวณที่อยู่ห่างออกไปอีกเล็กน้อย กลิ่นเหม็นนั้นรุนแรงเกินไปแล้วจริงๆ!

หลังจากนั้นความถี่ในการวิ่งเข้าห้องน้ำของพวกเขาก็ห่างขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสี่คนวิ่งกลับไปกลับมากว่าค่อนคืนจึงจะสิ้นสุดลง จากนั้นลำแสงแห่งการเลื่อนระดับจึงส่องสว่างห้องของพวกเขาแต่ละคน

“สามครั้ง สองครั้ง สามครั้ง สามครั้ง คนอื่นๆ ล้วนเลื่อนขึ้นสามระดับ ส่วนเจ้าอ้วนนั้นเลื่อนได้สองระดับ แต่ก็ไม่เลวแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์นับจำนวนครั้งของการเลื่อนระดับให้พวกเขา จึงพบว่าพวกเขาล้วนมีพรสวรรค์สูงส่งอย่างยิ่ง ถึงได้ยกระดับขึ้นมาไม่น้อยเลย

ยามท้องฟ้าสว่างรำไร เจ้าอ้วนชวีออกมาจากห้องเป็นคนแรก

“โยวเย่ว์ ฮ่าๆๆ ข้าเลื่อนได้สองระดับเลยนะ เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่”

เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าอ้วนชวีจึงวิ่งเข้ามาหาอย่างตื่นเต้นแล้วเอื้อมมือมาหมายจะโอบกอดเธอ แต่กลับถูกเธอใช้เท้ายันเอาไว้ห่างๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์บีบจมูกพลางเอ่ยว่า “ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าเลื่อนได้สองระดับ อีกประเดี๋ยวเจ้าค่อยมาตื่นเต้นยินดีก็ได้ ไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อนเถิด”

เจ้าอ้วนชวีก้มหน้าลงมองปราดหนึ่งจึงพบว่าบนร่างของตนนั้นเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล ดำเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งร่างเขา ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งอีกด้วย

“อ๊ากกก…”

นี่จึงทำให้เขาได้สติกลับมาจากความตื่นเต้นเพราะการเลื่อนระดับ เขารีบวิ่งไปอาบน้ำในทันที

จากนั้นเว่ยจือฉีก็ออกมาเช่นกัน แต่เขามิได้วิ่งเข้ามาหา ทว่าตรงไปอาบน้ำเลย

ตามมาด้วยโอวหยางเฟยที่ตรงไปยังห้องอาบน้ำเลยเช่นเดียวกัน

เรือนพักหลังหนึ่งมีห้องอาบน้ำเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น เพราะถูกพวกเจ้าอ้วนชวีชิงตัดหน้าไปก่อน ตอนที่เป่ยกงถังออกมาจึงมิอาจไปอาบน้ำได้แล้ว

“เป่ยกง ข้าเตรียมน้ำเอาไว้ให้เจ้าส่วนหนึ่งแล้ว เจ้าไปล้างที่ห้องส้วมสักหน่อยก่อนก็แล้วกันนะ หากไม่พอข้าค่อยเติมน้ำให้เจ้าเพิ่ม” ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกเป่ยกงถังเอาไว้แล้วพูดขึ้น

เป่ยกงถังเห็นถังไม้สองใบด้านหลังซือหม่าโยวเย่ว์ ยังมิทันได้พูดขอบคุณเธอสักคำก็ยกน้ำตรงไปยังห้องส้วมเสียแล้ว

เธอทนกลิ่นเหม็นบนร่างกายไม่ไหวอีกแม้แต่วินาทีเดียวแล้ว!

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าเป่ยกงถังจะใช้น้ำถึงหกถังเต็มๆ ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งปฏิกูลบนร่างของพวกเขาจะถูกขจัดออกไปได้มากน้อยเพียงใด!

เมื่อนึกถึงว่าพวกเขาที่รักสะอาดเหลือเกินในยามปกติเปรอะเปื้อนสิ่งปฏิกูลจนดำไปหมด เธอก็อดที่จะหนาวสะท้านมิได้

พอทุกคนจัดการตัวเองจนเสร็จเรียบร้อยหมด ท้องฟ้าก็สว่างจ้าเสียแล้ว ตอนที่ทุกคนออกมานั้นต่างก็ยังดมร่างกายตัวเองไม่หยุดว่ายังมีกลิ่นเหม็นหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ทุกคนจึงยังรู้สึกว่าบนร่างกายของตนยังมีกลิ่นเหลืออยู่

“โยวเย่ว์ เจ้าลองดมดูหน่อยสิว่าบนร่างกายพวกเรายังมีกลิ่นอยู่หรือไม่” เจ้าอ้วนชวีขยับตัวเข้ามาถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์ถีบเขาออกไปแล้วพูดว่า “เมื่อคืนจมูกข้าถูกพวกเจ้ารมควันเสียจนใช้การไม่ได้แล้ว วันนี้เจ้าไม่ต้องมาเข้าใกล้ข้าเลยนะ”

“ต้องรังเกียจกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ!” เจ้าอ้วนชวียืนห่างเธอออกไปหนึ่งเมตรด้วยท่าทางฮึดฮัด หน้าตาดูน้อยอกน้อยใจ

เจ้าอ้วนชวีเห็นทุกคนมองตนอย่างดูแคลนจึงกระแอมสองครั้งแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เจ้ามิได้บอกว่าจะหลอมยาวิเศษที่ยกระดับพลังยุทธ์ได้ให้กับพวกเราหรอกหรือ ว่าอย่างไรเล่า นี่มิใช่หรอกหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เขกศีรษะเจ้าอ้วนชวี ชิงชังจนไม่อยากจะพูดกับเขาอีกต่อไปแล้ว

“เป่ยกง เจ้ารู้จักยาวิเศษร้อยโคจรนี่ด้วยหรือ” โอวหยางเฟยถาม

“อืม” เป่ยกงถังพูด “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินคนพูดถึงมัน แต่ยังไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย”

“มันคือยาวิเศษชนิดใดกันหรือ” เว่ยจือฉีถาม

“ยาวิเศษร้อยโคจร ทางฝั่งข้าเรียกว่ายาชำระเอ็นตัดไขกระดูก พวกเจ้าได้ยินชื่อนี้ก็คงรู้แล้วว่ามันมีประโยชน์เช่นไร” เป่ยกงถังพูด

“ยาชำระเอ็นตัดไขกระดูกอย่างนั้นหรือ!” พวกโอวหยางเฟยทั้งสามคนร้องขึ้นมาพร้อมกัน

พวกเขาไม่รู้จักยาวิเศษร้อยโคจร แต่ยาชำระเอ็นตัดไขกระดูกนี้เมื่อได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่ามันมีประโยชน์เช่นไร

“ถูกต้อง ประโยชน์ของยาวิเศษชนิดนี้ก็คือการชำระเอ็นตัดไขกระดูก เปลี่ยนแปลงโครงสร้างร่างกายของพวกเจ้า เพื่อเพิ่มความเร็วให้กับการฝึกยุทธ์ในภายภาคหน้า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ข้าจะเชื่อฟังอย่างดีเลย โยวเย่ว์ เจ้าไปได้ยาวิเศษนี่มาจากที่ไหนกัน!” เจ้าอ้วนชวีตบตรงบริเวณหัวใจของตน เห็นได้ชัดว่าตกใจไม่น้อยเลย

“คนผู้นั้นรู้จักตำรับยาพื้นบ้านนี้พอดี แล้วยังใช้ผลอสรพิษทองคำพอดีอีกด้วย เมื่อคิดว่ายาวิเศษนี้จะดีกว่าในระยะยาว ดังนั้นเลยเลือกหลอมสิ่งนี้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอธิบาย “แต่สิ่งนี้จะมีผลลัพธ์เช่นไร ข้าเองก็ไม่เคยกินมาก่อนเช่นเดียวกัน ดังนั้นพวกเจ้าใช้แล้วก็มาบอกผลลัพธ์กับข้าได้”

“ความจริงสิ่งนี้ก็ยกระดับพลังยุทธ์ได้เช่นเดียวกัน” เป่ยกงถังพูด

“สิ่งนี้ก็ยกระดับพลังยุทธ์ได้เช่นกันหรือ เขาไม่เห็นบอกข้าเลย!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างประหลาดใจ

“บางทีในสายตาของคนผู้นั้น การยกระดับพลังยุทธ์กับการฝึกยุทธ์อันยาวนานนี้เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็มิอาจนับเป็นอะไรได้เลยกระมัง” เป่ยกงถังพูด “ตอนที่ขจัดสิ่งไร้ค่าในตัวออกไปได้ พลังยุทธ์ก็จะเพิ่มพูนขึ้น ข้าเคยเห็นผู้อื่นใช้สิ่งนี้ครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงพอรู้อยู่บ้าง แต่ตอนนั้นนางกินไปเพียงแค่เม็ดเดียวเท่านั้นเอง”

ตอนเป่ยกงถังพูดมาถึงตรงนี้สีหน้าก็มิสู้ดีนัก ดูเหมือนว่าผู้ที่ใช้ยาวิเศษนั้นคงจะมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีนักกับเธอ

“คนผู้นั้นบอกว่าคนหนึ่งกินยาวิเศษนี้ได้อย่างมากที่สุดสองเม็ด กินมากไปก็ไม่มีผล ดังนั้นข้าจึงเตรียมเอาไว้ให้พวกเจ้าคนละสองเม็ด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเจ้าไปหาเวลาใช้เอาเองก็แล้วกันนะ”

“โยวเย่ว์ แล้วเจ้าไม่มีหรือ” เว่ยจือฉีถาม

“ยาวิเศษนี้ไม่มีประโยชน์ต่อข้าหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เพราะเหตุผลบางอย่าง ร่างกายของข้าจึงเคยถูกแปรสภาพไปแล้ว ต่อให้กินสิ่งนี้ลงไปก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้พวกเจ้ากินพร้อมกันเลยดีกว่า ข้าจะได้คุ้มกันให้พวกเจ้าได้ด้วย”

“เช่นนั้นพวกเรากินคืนนี้เลยแล้วกัน” โอวหยางเฟยพูด

เขาอยากรู้เหลือเกินว่าหลังจากชำระเอ็นตัดไขกระดูกแล้วพวกเขาจะเป็นเช่นไร

พวกเป่ยกงถังพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของโอวหยางเฟย พวกเขาก็มีความสนใจใคร่รู้ต่อยาวิเศษร้อยโคจรเช่นเดียวกัน

“กระบวนการยากลำบากอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ห้ามหมดสติไปเป็นอันขาด มิฉะนั้นก็จะส่งผลกระทบถึงการออกฤทธิ์ของยาวิเศษได้” เป่ยกงถังเอ่ยเตือน

เธอจำตอนที่คนเหล่านั้นนำยาวิเศษร้อยโคจรที่มีอยู่เพียงเม็ดเดียวให้สตรีนางนั้นกินได้ นางทนรับไม่ไหวจนหมดสติไป ต่อมาได้ยินคนในตระกูลพูดกันว่ายาออกฤทธิ์กับนางได้ไม่ค่อยดีนัก

“อืม พวกเราจะระวัง” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางพยักหน้า

หลังจากนั้นในยามบ่าย พวกเว่ยจือฉีต่างก็ฝึกยุทธ์กันอยู่ภายในห้องของตัวเอง ทำให้จิตของตนอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุด ยามดึกสงัดไร้ซึ่งผู้คนแล้วพวกเขาจึงลืมตาขึ้นมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน

ทั้งสี่คนเปิดประตู เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ที่มุ่งหน้ามาทางลานบ้านจึงส่งเสียงเรียก แล้วต่างคนต่างกลับไป

คืนนี้พวกเขาต้องกินยาวิเศษร้อยโคจรเพียงแค่เม็ดเดียวเท่านั้น แต่ว่ากันว่าผู้ที่มีพลังยุทธ์แตกต่างกัน ผลลัพธ์ก็จะแตกต่างกันด้วย ระยะเวลาที่ต้องใช้ก็ไม่เท่ากัน

ซือหม่าโยวเย่ว์รออยู่ในลานบ้าน ไม่ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังมาจากภายในห้อง จึงไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเผชิญกับสิ่งใดกันอยู่

ผ่านไปครู่ใหญ่ เจ้าอ้วนชวีก็วิ่งออกมาจากห้องเป็นคนแรก แล้วพุ่งตัวไปยังห้องน้ำ

จากนั้นเว่ยจือฉีก็วิ่งออกมา ตามด้วยโอวหยางเฟยและเป่ยกงถัง

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพวกเขาสี่คนวิ่งตามกันไปยังห้องน้ำ จากนั้นก็วิ่งกลับไปที่ห้อง ผ่านไปครู่หนึ่งก็วิ่งไปเข้าห้องน้ำอีก แล้วกลับห้อง แล้ววิ่งไปเข้าห้องน้ำ ทุกคนต่างวิ่งไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงเจ็ดแปดรอบ

“หมัวซาก็มิได้ใส่ยาถ่ายลงไปในยาวิเศษนั่นด้วยเสียหน่อย เหตุใดแต่ละคนถึงได้ท้องเสียกันหมดเลยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่ในลานบ้าน มองดูพวกเขาวิ่งไปวิ่งมาอย่างมีความสุข

แต่ในเวลาต่อมาเธอกลับยิ้มไม่ออกเสียแล้ว เพราะบนร่างของทุกคนที่ผ่านตรงหน้าเธอไปนั้นต่างส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลชนิดหนึ่งออกมา ซึ่งเธอได้กลิ่นทุกครั้งที่ผ่านหน้าเธอไปเลยทีเดียว

“ทนไม่ไหวแล้ว!” เจ้าวิหคน้อยที่อยู่บนบ่าเธอร้องโหยหวนเสียงหนึ่งก่อนจะกระพือปีกบินขึ้นไปบนหลังคา

ซือหม่าโยวเย่ว์จึงย้ายม้านั่งไปยังบริเวณที่อยู่ห่างออกไปอีกเล็กน้อย กลิ่นเหม็นนั้นรุนแรงเกินไปแล้วจริงๆ!

หลังจากนั้นความถี่ในการวิ่งเข้าห้องน้ำของพวกเขาก็ห่างขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสี่คนวิ่งกลับไปกลับมากว่าค่อนคืนจึงจะสิ้นสุดลง จากนั้นลำแสงแห่งการเลื่อนระดับจึงส่องสว่างห้องของพวกเขาแต่ละคน

“สามครั้ง สองครั้ง สามครั้ง สามครั้ง คนอื่นๆ ล้วนเลื่อนขึ้นสามระดับ ส่วนเจ้าอ้วนนั้นเลื่อนได้สองระดับ แต่ก็ไม่เลวแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์นับจำนวนครั้งของการเลื่อนระดับให้พวกเขา จึงพบว่าพวกเขาล้วนมีพรสวรรค์สูงส่งอย่างยิ่ง ถึงได้ยกระดับขึ้นมาไม่น้อยเลย

ยามท้องฟ้าสว่างรำไร เจ้าอ้วนชวีออกมาจากห้องเป็นคนแรก

“โยวเย่ว์ ฮ่าๆๆ ข้าเลื่อนได้สองระดับเลยนะ เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่”

เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าอ้วนชวีจึงวิ่งเข้ามาหาอย่างตื่นเต้นแล้วเอื้อมมือมาหมายจะโอบกอดเธอ แต่กลับถูกเธอใช้เท้ายันเอาไว้ห่างๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์บีบจมูกพลางเอ่ยว่า “ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าเลื่อนได้สองระดับ อีกประเดี๋ยวเจ้าค่อยมาตื่นเต้นยินดีก็ได้ ไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อนเถิด”

เจ้าอ้วนชวีก้มหน้าลงมองปราดหนึ่งจึงพบว่าบนร่างของตนนั้นเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล ดำเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งร่างเขา ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งอีกด้วย

“อ๊ากกก…”

นี่จึงทำให้เขาได้สติกลับมาจากความตื่นเต้นเพราะการเลื่อนระดับ เขารีบวิ่งไปอาบน้ำในทันที

จากนั้นเว่ยจือฉีก็ออกมาเช่นกัน แต่เขามิได้วิ่งเข้ามาหา ทว่าตรงไปอาบน้ำเลย

ตามมาด้วยโอวหยางเฟยที่ตรงไปยังห้องอาบน้ำเลยเช่นเดียวกัน

เรือนพักหลังหนึ่งมีห้องอาบน้ำเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น เพราะถูกพวกเจ้าอ้วนชวีชิงตัดหน้าไปก่อน ตอนที่เป่ยกงถังออกมาจึงมิอาจไปอาบน้ำได้แล้ว

“เป่ยกง ข้าเตรียมน้ำเอาไว้ให้เจ้าส่วนหนึ่งแล้ว เจ้าไปล้างที่ห้องส้วมสักหน่อยก่อนก็แล้วกันนะ หากไม่พอข้าค่อยเติมน้ำให้เจ้าเพิ่ม” ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกเป่ยกงถังเอาไว้แล้วพูดขึ้น

เป่ยกงถังเห็นถังไม้สองใบด้านหลังซือหม่าโยวเย่ว์ ยังมิทันได้พูดขอบคุณเธอสักคำก็ยกน้ำตรงไปยังห้องส้วมเสียแล้ว

เธอทนกลิ่นเหม็นบนร่างกายไม่ไหวอีกแม้แต่วินาทีเดียวแล้ว!

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าเป่ยกงถังจะใช้น้ำถึงหกถังเต็มๆ ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งปฏิกูลบนร่างของพวกเขาจะถูกขจัดออกไปได้มากน้อยเพียงใด!

เมื่อนึกถึงว่าพวกเขาที่รักสะอาดเหลือเกินในยามปกติเปรอะเปื้อนสิ่งปฏิกูลจนดำไปหมด เธอก็อดที่จะหนาวสะท้านมิได้

พอทุกคนจัดการตัวเองจนเสร็จเรียบร้อยหมด ท้องฟ้าก็สว่างจ้าเสียแล้ว ตอนที่ทุกคนออกมานั้นต่างก็ยังดมร่างกายตัวเองไม่หยุดว่ายังมีกลิ่นเหม็นหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ทุกคนจึงยังรู้สึกว่าบนร่างกายของตนยังมีกลิ่นเหลืออยู่

“โยวเย่ว์ เจ้าลองดมดูหน่อยสิว่าบนร่างกายพวกเรายังมีกลิ่นอยู่หรือไม่” เจ้าอ้วนชวีขยับตัวเข้ามาถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์ถีบเขาออกไปแล้วพูดว่า “เมื่อคืนจมูกข้าถูกพวกเจ้ารมควันเสียจนใช้การไม่ได้แล้ว วันนี้เจ้าไม่ต้องมาเข้าใกล้ข้าเลยนะ”

“ต้องรังเกียจกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ!” เจ้าอ้วนชวียืนห่างเธอออกไปหนึ่งเมตรด้วยท่าทางฮึดฮัด หน้าตาดูน้อยอกน้อยใจ

หลังจากจัดการเรื่องต่างๆ ในตระกูลไปมากพอสมควรแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงไปยังวิทยาลัย ตอนนี้เธอยังไม่จบการศึกษา อาจารย์ใหญ่ก็ทราบเรื่องจึงยอมให้เธอลาพักได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเห็นว่าตระกูลซือหม่าเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วเธอจึงกลับไปเรียนต่อ

อันที่จริงสำหรับเธอในตอนนี้ก็เรียนรู้อะไรจากที่นี่มิได้มากนักอีกต่อไปแล้ว แต่เธอไม่อยากละทิ้งไปกลางคัน ตระกูลซือหม่าก็ยังต้องการให้เธอทุ่มเทความคิดจิตใจ ดังนั้นเธอจึงยังไม่มีความคิดที่จะจากไปในตอนนี้

เมื่อกลับไปถึงเรือนพัก พวกเว่ยจือฉีต่างก็ไปเข้าชั้นเรียนกันหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่ในเรือนพักเลยแม้แต่คนเดียว เมื่อนึกถึงว่าคราวก่อนตอนที่ตนอยู่ที่นี่ ยังเป็นคุณชายที่ไม่ต้องแยแสสิ่งใดอยู่เลย แต่พอมาที่นี่อีกครั้ง ตนกลับกลายเป็นประมุขของตระกูลไปเสียแล้ว

อืม… เรื่องที่ประมุขตระกูลยังต้องมาเข้าเรียนนี้คงเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่เคยพบเจอมาก่อนอย่างแน่นอน

เมื่อเก็บกวาดห้องเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว พอนึกขึ้นมาได้ว่ามิได้กินข้าวมาเป็นเวลานานแล้ว ทั้งยังนึกขอบคุณความใส่ใจและความช่วยเหลือที่ทุกคนมีต่อตนในช่วงนี้ เธอจึงไปที่ห้องครัวแล้วทำกับข้าวขึ้นมาหลายอย่าง

“ข้าว่าแล้ว ได้กลิ่นหอมอร่อยนี้ก็รู้แล้วว่าโยวเย่ว์กลับมาน่ะ” เจ้าอ้วนชวีเสียงนำมาก่อนตัว จมูกของเขาเฉียบคมอย่างยิ่งยามได้กลิ่นอาหารอันโอชะ

คนทั้งสี่เข้ามายังห้องครัว เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นั่งคอยพวกเขาอยู่ที่โต๊ะจึงพากันเดินไปนั่งประจำที่แล้วเริ่มกินอย่างรู้งาน

“จัดการธุระเสร็จแล้วหรือ” เว่ยจือฉีถาม

“เข้าที่เข้าทางเกือบหมดแล้วล่ะ เรื่องที่เหลือก็ต้องค่อยๆ ทำกันไป” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เรื่องใหญ่ที่สุดในตอนนี้ก็คือปัญหาการฝึกสัตว์อสูรวิเศษกว่าร้อยตัวให้เชื่อง แต่สัตว์อสูรวิเศษยังมาไม่ถึง ดังนั้นเธอจึงยังไม่ต้องรีบไปจัดการ

“ความเร็วในการสร้างบ้านของเจ้านั้นทำเอาพวกเราตาพร่ากันเลยทีเดียว มิได้ออกไปแค่ไม่กี่วัน ตอนออกไปเมื่อวานถึงได้พบว่าบ้านของเจ้าสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว!” เจ้าอ้วนชวีคีบเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปากแล้วพูดพลางเคี้ยวมันไปด้วย

“อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย ข้าเองก็ยังตกใจจนตัวลอย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าปลีกวิเวกไปไม่กี่วัน ตอนออกมาเห็นพื้นที่ว่างกลายเป็นเรือน ตอนนั้นข้าขนลุกไปหมด ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการสร้างบ้านนั้นรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้ด้วย!”

“ข้าได้ยินว่ามีคนมากมายร่วมกันลงแรง จึงได้รวดเร็วถึงเพียงนั้น” เว่ยจือฉีพูด “เช่นนี้ก็ดี พวกเจ้าเกณฑ์คนมามากมายถึงเพียงนั้น ก็จำเป็นจะต้องจัดการที่ทางกันสักหน่อย”

“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วถามว่า “ระยะนี้พวกเจ้าเป็นอย่างไรกันบ้าง”

“ในวิทยาลัยก็เหมือนๆ กับก่อนหน้านี้นั่นแหละ เพียงแต่ตอนนี้พวกเราเดินไปมาในวิทยาลัยมักมีผู้หญิงมาหาพวกเราอยู่บ่อยๆ น่ารำคาญยิ่งนัก” เว่ยจือฉีพูด

“ทำไมหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตา “พวกเจ้าเด็ดดอกไม้แล้วถูกเปิดโปงอย่างนั้นหรือ”

“พวกเรามิได้เด็ดดอกไม้เสียหน่อย แต่เป็นเจ้าต่างหากเล่าที่เด็ดดอกไม้!” เจ้าอ้วนชวีพูด “คนพวกนั้นมาหาพวกเราเสียที่ไหนเล่า พวกนางมาหาเจ้ากันทั้งนั้นแหละ! ทุกครั้งที่มาหาพวกเราล้วนเอาแต่คอยถามว่าเจ้าจะกลับมาที่วิทยาลัยเมื่อใด เจ้าชมชอบสิ่งใด ชอบสตรีที่มีลักษณะเช่นไร จริงๆ เลยนะ เจ้าเป็นสตรีแท้ๆ เหตุใดจึงได้รับความนิยมมากมายเช่นนี้อีก”

“…”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าอ้วนชวีโอดครวญอย่างอับจนคำพูด คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ตนได้กลายเป็นคนดังของวิทยาลัยไปเสียแล้ว

อ้อ… ก่อนหน้านี้ก็เป็นคนดังนี่นา เพียงแต่ก่อนหน้านี้โด่งดังเพราะเป็นคนไร้ค่า แต่ตอนนี้โด่งดังเพราะเป็นผู้มีพรสวรรค์เท่านั้นเอง

“เจ้าไม่รู้หรอกว่าสตรีพวกนั้นดื้อดึงกันขนาดไหน พวกนางทำกันทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รู้ข่าวคราวของเจ้า” เว่ยจือฉีพูดขึ้นมาแล้วก็ออกจะหวั่นกลัวอยู่บ้าง “โอวหยางกับเป่ยกงยังดีหน่อย คนหนึ่งคือภูเขาน้ำแข็ง ส่วนอีกคนเป็นหญิง คนอื่นจึงไม่กล้าเข้าใกล้พวกเขา แต่ข้ากับเจ้าอ้วนนี้ช่างน่าอนาถนัก พวกเราช่วยเจ้าเก็บจดหมายรักเอาไว้เป็นกองพะเนิน เจ้าอยากดูหรือไม่เล่า”

“ไม่อยาก!” ซือหม่าโยวเย่ว์รีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว เธอไม่อยากดูของไร้สาระเหล่านั้นหรอก

“เจ้าไม่ต้องไปสนใจคนเหล่านี้ก็ได้นะ” เป่ยกงถังพูด “ขอเพียงแค่เจ้าไม่สนใจ พวกนางก็ไม่มีทางมาล่วงเกินเจ้าได้อยู่แล้ว”

“ข้ารู้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ใช่แล้ว โยวเย่ว์ เจ้าคิดจะศึกษาที่วิทยาลัยตลอดไปหรือไม่ แล้วเรื่องราวในบ้านเจ้าจะจัดการเช่นไร” เจ้าอ้วนชวีถาม

“ข้ายกให้พวกท่านอาฝูจัดการเรื่องราวต่างๆ แล้ว ข้าเพียงแต่ต้องกลับบ้านไปดูทุกสองสามวันก็ใช้ได้แล้ว ถ้าหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นที่บ้าน ก็ค่อยขอลาจากวิทยาลัยก็แล้วกัน ถึงอย่างไรภาคเรียนนี้ก็เหลืออีกไม่นานเท่านั้น รอให้จบภาคเรียนนี้ก่อน ข้าก็จะขอจบการศึกษา”

“เจ้าจะขอจบการศึกษาแล้วหรือ”

“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ “ระยะเวลาเพียงสามปี ข้าจำเป็นต้องไปที่อื่นเพื่อยกระดับพลังยุทธ์ เพราะพลังยุทธ์ยกระดับได้ช้าเกินไปภายในวิทยาลัยแห่งนี้”

พวกเว่ยจือฉีล้วนรู้ถึงสัญญาสามปีของเธอด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นจึงรู้ว่าตอนนี้เธอแบกรับภาระหนักเอาไว้บนหลัง

“แล้วเรื่องของตระกูลซือหม่าจะทำเช่นไรเล่า” เว่ยจือฉีถาม

“ระยะเวลาหลายเดือนก็เพียงพอให้พวกเรารวบรวมขุมอำนาจได้แล้วล่ะ พอถึงเวลานั้นก็ยกธุระให้พวกท่านอาฝูจัดการ แล้วข้าจะให้คนส่งสิ่งของที่จำเป็นกลับมาตามระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้าวางแผนจะไปที่ไหนหรือ” เป่ยกงถังถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์เงียบงันไปชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “ไปเทือกเขาสั่วเฟยย่าก็แล้วกัน ไปหาประสบการณ์ที่นั่นสักหน่อย หลังจากนั้นก็ตรงออกไปจากที่นั่นเลย”

“มิได้บอกว่ามีขอบกั้นหรอกหรือ แล้วเจ้าจะออกไปได้อย่างไรกัน” เจ้าอ้วนชวีถาม

“เจ้าคำรามน้อยบอกว่าค่ายกลเหล่านั้นไม่มีผลต่อมันเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พอถึงตอนนั้นก็ให้มันเปิดขอบกั้นเหล่านั้นแล้วกัน”

โอวหยางเฟยขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยว่า “สัตว์อสูรวิเศษของเทือกเขาสั่วเฟยย่าล้วนมีระดับสูงกว่าของเทือกเขาผู่สั่วไม่น้อยเลย หากเจ้าไปที่นั่นแล้วจะอันตรายเกินไปหรือไม่”

“ภยันตรายทำให้คนพัฒนาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าเชื่อมั่นว่าอันตรายนั้นพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ได้ดียิ่งกว่า และทำให้ยกระดับพลังยุทธ์ของตัวเองได้”

“ก็ดีเหมือนกัน หากเจ้าอยู่ในวิทยาลัย พลังยุทธ์ก็คงยกระดับได้ช้าจริงๆ นั่นแหละ สู้ออกไปข้างนอกมิได้หรอก” เป่ยกงถังพูด

“อื้ม ใช่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ความคิดวูบไหวคราหนึ่งแล้วหยิบเอาขวดหยกออกมาสี่ใบก่อนจะส่งให้กับพวกเขาทั้งสี่พลางเอ่ยว่า “นี่คือสิ่งที่รับปากพวกเจ้าเอาไว้ในตอนนั้น”

ทุกคนรับขวดหยกมาเปิดออก เมื่อเห็นยาวิเศษสองเม็ดในขวดจึงเอ่ยถามว่า “นี่คือยาวิเศษอะไรหรือ”

“ยาวิเศษร้อยโคจร” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เป่ยกงถังได้ยินชื่อยาวิเศษร้อยโคจร ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันใดแล้วถามว่า “นี่คือยาวิเศษร้อยโคจรจริงๆ น่ะหรือ”

“ใช่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เดิมทีคิดจะหลอมยาวิเศษชนิดอื่น แต่คนที่หลอมยาให้กับข้าผู้นั้นบอกว่าหลอมยาวิเศษร้อยโคจรจะดีกว่า ก็เลยหลอมยานี้ขึ้นมาน่ะ”

“แต่ข้าเอาผลอสรพิษทองคำมาผลหนึ่งแล้วนะ ก็ไม่ควรมีส่วนของข้าแล้วสิ” เป่ยกงถังพูด

“เจ้าไม่เห็นต้องสนใจเรื่องยิบย่อยพรรค์นี้เลย ผลอสรพิษทองคำผลนั้นมอบให้กับเมิ่งจี ส่วนยาวิเศษร้อยโคจรนี้มอบให้เจ้า ข้าว่าพวกจือฉีก็คงไม่ว่าอะไรหรอก นอกจากนี้เจ้าเองก็ยังต้องการสิ่งนี้ด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เป่ยกงถังมองซือหม่าโยวเย่ว์ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ขอบใจเจ้ามากนะโยวเย่ว์”

พวกเว่ยจือฉียากจะเห็นเป่ยกงถังมีความสนใจต่อยาวิเศษชนิดใด จึงได้มีความสนใจใคร่รู้ในยาวิเศษร้อยโคจรขึ้นมาเช่นเดียวกัน

“โยวเย่ว์ ยาวิเศษร้อยโคจรนี่คือยาวิเศษอะไรกันหรือ” เจ้าอ้วนชวีหยิบยาวิเศษขึ้นมาหมายจะใส่เข้าไปในปาก แต่กลับถูกซือหม่าโยวเย่ว์รั้งเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “เจ้าเองยังไม่รู้เรื่อง ไม่กลัวว่าจะเป็นยาพิษหรือไร!”

“แหะๆ เจ้ามิได้บอกว่าเป็นยาวิเศษที่ช่วยยกระดับพลังยุทธ์หรอกหรือ” เจ้าอ้วนชวีพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่เจ้าอ้วนชวีปราดหนึ่ง เจ้านี่สนใจแต่เรื่องกิน ไม่คิดจะฟังเธอพูดเสียบ้างเลย!

หลังจากจัดการเรื่องต่างๆ ในตระกูลไปมากพอสมควรแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงไปยังวิทยาลัย ตอนนี้เธอยังไม่จบการศึกษา อาจารย์ใหญ่ก็ทราบเรื่องจึงยอมให้เธอลาพักได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเห็นว่าตระกูลซือหม่าเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วเธอจึงกลับไปเรียนต่อ

อันที่จริงสำหรับเธอในตอนนี้ก็เรียนรู้อะไรจากที่นี่มิได้มากนักอีกต่อไปแล้ว แต่เธอไม่อยากละทิ้งไปกลางคัน ตระกูลซือหม่าก็ยังต้องการให้เธอทุ่มเทความคิดจิตใจ ดังนั้นเธอจึงยังไม่มีความคิดที่จะจากไปในตอนนี้

เมื่อกลับไปถึงเรือนพัก พวกเว่ยจือฉีต่างก็ไปเข้าชั้นเรียนกันหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่ในเรือนพักเลยแม้แต่คนเดียว เมื่อนึกถึงว่าคราวก่อนตอนที่ตนอยู่ที่นี่ ยังเป็นคุณชายที่ไม่ต้องแยแสสิ่งใดอยู่เลย แต่พอมาที่นี่อีกครั้ง ตนกลับกลายเป็นประมุขของตระกูลไปเสียแล้ว

อืม… เรื่องที่ประมุขตระกูลยังต้องมาเข้าเรียนนี้คงเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่เคยพบเจอมาก่อนอย่างแน่นอน

เมื่อเก็บกวาดห้องเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว พอนึกขึ้นมาได้ว่ามิได้กินข้าวมาเป็นเวลานานแล้ว ทั้งยังนึกขอบคุณความใส่ใจและความช่วยเหลือที่ทุกคนมีต่อตนในช่วงนี้ เธอจึงไปที่ห้องครัวแล้วทำกับข้าวขึ้นมาหลายอย่าง

“ข้าว่าแล้ว ได้กลิ่นหอมอร่อยนี้ก็รู้แล้วว่าโยวเย่ว์กลับมาน่ะ” เจ้าอ้วนชวีเสียงนำมาก่อนตัว จมูกของเขาเฉียบคมอย่างยิ่งยามได้กลิ่นอาหารอันโอชะ

คนทั้งสี่เข้ามายังห้องครัว เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นั่งคอยพวกเขาอยู่ที่โต๊ะจึงพากันเดินไปนั่งประจำที่แล้วเริ่มกินอย่างรู้งาน

“จัดการธุระเสร็จแล้วหรือ” เว่ยจือฉีถาม

“เข้าที่เข้าทางเกือบหมดแล้วล่ะ เรื่องที่เหลือก็ต้องค่อยๆ ทำกันไป” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เรื่องใหญ่ที่สุดในตอนนี้ก็คือปัญหาการฝึกสัตว์อสูรวิเศษกว่าร้อยตัวให้เชื่อง แต่สัตว์อสูรวิเศษยังมาไม่ถึง ดังนั้นเธอจึงยังไม่ต้องรีบไปจัดการ

“ความเร็วในการสร้างบ้านของเจ้านั้นทำเอาพวกเราตาพร่ากันเลยทีเดียว มิได้ออกไปแค่ไม่กี่วัน ตอนออกไปเมื่อวานถึงได้พบว่าบ้านของเจ้าสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว!” เจ้าอ้วนชวีคีบเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปากแล้วพูดพลางเคี้ยวมันไปด้วย

“อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย ข้าเองก็ยังตกใจจนตัวลอย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าปลีกวิเวกไปไม่กี่วัน ตอนออกมาเห็นพื้นที่ว่างกลายเป็นเรือน ตอนนั้นข้าขนลุกไปหมด ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการสร้างบ้านนั้นรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้ด้วย!”

“ข้าได้ยินว่ามีคนมากมายร่วมกันลงแรง จึงได้รวดเร็วถึงเพียงนั้น” เว่ยจือฉีพูด “เช่นนี้ก็ดี พวกเจ้าเกณฑ์คนมามากมายถึงเพียงนั้น ก็จำเป็นจะต้องจัดการที่ทางกันสักหน่อย”

“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วถามว่า “ระยะนี้พวกเจ้าเป็นอย่างไรกันบ้าง”

“ในวิทยาลัยก็เหมือนๆ กับก่อนหน้านี้นั่นแหละ เพียงแต่ตอนนี้พวกเราเดินไปมาในวิทยาลัยมักมีผู้หญิงมาหาพวกเราอยู่บ่อยๆ น่ารำคาญยิ่งนัก” เว่ยจือฉีพูด

“ทำไมหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตา “พวกเจ้าเด็ดดอกไม้แล้วถูกเปิดโปงอย่างนั้นหรือ”

“พวกเรามิได้เด็ดดอกไม้เสียหน่อย แต่เป็นเจ้าต่างหากเล่าที่เด็ดดอกไม้!” เจ้าอ้วนชวีพูด “คนพวกนั้นมาหาพวกเราเสียที่ไหนเล่า พวกนางมาหาเจ้ากันทั้งนั้นแหละ! ทุกครั้งที่มาหาพวกเราล้วนเอาแต่คอยถามว่าเจ้าจะกลับมาที่วิทยาลัยเมื่อใด เจ้าชมชอบสิ่งใด ชอบสตรีที่มีลักษณะเช่นไร จริงๆ เลยนะ เจ้าเป็นสตรีแท้ๆ เหตุใดจึงได้รับความนิยมมากมายเช่นนี้อีก”

“…”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าอ้วนชวีโอดครวญอย่างอับจนคำพูด คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ตนได้กลายเป็นคนดังของวิทยาลัยไปเสียแล้ว

อ้อ… ก่อนหน้านี้ก็เป็นคนดังนี่นา เพียงแต่ก่อนหน้านี้โด่งดังเพราะเป็นคนไร้ค่า แต่ตอนนี้โด่งดังเพราะเป็นผู้มีพรสวรรค์เท่านั้นเอง

“เจ้าไม่รู้หรอกว่าสตรีพวกนั้นดื้อดึงกันขนาดไหน พวกนางทำกันทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รู้ข่าวคราวของเจ้า” เว่ยจือฉีพูดขึ้นมาแล้วก็ออกจะหวั่นกลัวอยู่บ้าง “โอวหยางกับเป่ยกงยังดีหน่อย คนหนึ่งคือภูเขาน้ำแข็ง ส่วนอีกคนเป็นหญิง คนอื่นจึงไม่กล้าเข้าใกล้พวกเขา แต่ข้ากับเจ้าอ้วนนี้ช่างน่าอนาถนัก พวกเราช่วยเจ้าเก็บจดหมายรักเอาไว้เป็นกองพะเนิน เจ้าอยากดูหรือไม่เล่า”

“ไม่อยาก!” ซือหม่าโยวเย่ว์รีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว เธอไม่อยากดูของไร้สาระเหล่านั้นหรอก

“เจ้าไม่ต้องไปสนใจคนเหล่านี้ก็ได้นะ” เป่ยกงถังพูด “ขอเพียงแค่เจ้าไม่สนใจ พวกนางก็ไม่มีทางมาล่วงเกินเจ้าได้อยู่แล้ว”

“ข้ารู้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ใช่แล้ว โยวเย่ว์ เจ้าคิดจะศึกษาที่วิทยาลัยตลอดไปหรือไม่ แล้วเรื่องราวในบ้านเจ้าจะจัดการเช่นไร” เจ้าอ้วนชวีถาม

“ข้ายกให้พวกท่านอาฝูจัดการเรื่องราวต่างๆ แล้ว ข้าเพียงแต่ต้องกลับบ้านไปดูทุกสองสามวันก็ใช้ได้แล้ว ถ้าหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นที่บ้าน ก็ค่อยขอลาจากวิทยาลัยก็แล้วกัน ถึงอย่างไรภาคเรียนนี้ก็เหลืออีกไม่นานเท่านั้น รอให้จบภาคเรียนนี้ก่อน ข้าก็จะขอจบการศึกษา”

“เจ้าจะขอจบการศึกษาแล้วหรือ”

“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ “ระยะเวลาเพียงสามปี ข้าจำเป็นต้องไปที่อื่นเพื่อยกระดับพลังยุทธ์ เพราะพลังยุทธ์ยกระดับได้ช้าเกินไปภายในวิทยาลัยแห่งนี้”

พวกเว่ยจือฉีล้วนรู้ถึงสัญญาสามปีของเธอด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นจึงรู้ว่าตอนนี้เธอแบกรับภาระหนักเอาไว้บนหลัง

“แล้วเรื่องของตระกูลซือหม่าจะทำเช่นไรเล่า” เว่ยจือฉีถาม

“ระยะเวลาหลายเดือนก็เพียงพอให้พวกเรารวบรวมขุมอำนาจได้แล้วล่ะ พอถึงเวลานั้นก็ยกธุระให้พวกท่านอาฝูจัดการ แล้วข้าจะให้คนส่งสิ่งของที่จำเป็นกลับมาตามระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้าวางแผนจะไปที่ไหนหรือ” เป่ยกงถังถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์เงียบงันไปชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “ไปเทือกเขาสั่วเฟยย่าก็แล้วกัน ไปหาประสบการณ์ที่นั่นสักหน่อย หลังจากนั้นก็ตรงออกไปจากที่นั่นเลย”

“มิได้บอกว่ามีขอบกั้นหรอกหรือ แล้วเจ้าจะออกไปได้อย่างไรกัน” เจ้าอ้วนชวีถาม

“เจ้าคำรามน้อยบอกว่าค่ายกลเหล่านั้นไม่มีผลต่อมันเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พอถึงตอนนั้นก็ให้มันเปิดขอบกั้นเหล่านั้นแล้วกัน”

โอวหยางเฟยขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยว่า “สัตว์อสูรวิเศษของเทือกเขาสั่วเฟยย่าล้วนมีระดับสูงกว่าของเทือกเขาผู่สั่วไม่น้อยเลย หากเจ้าไปที่นั่นแล้วจะอันตรายเกินไปหรือไม่”

“ภยันตรายทำให้คนพัฒนาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าเชื่อมั่นว่าอันตรายนั้นพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ได้ดียิ่งกว่า และทำให้ยกระดับพลังยุทธ์ของตัวเองได้”

“ก็ดีเหมือนกัน หากเจ้าอยู่ในวิทยาลัย พลังยุทธ์ก็คงยกระดับได้ช้าจริงๆ นั่นแหละ สู้ออกไปข้างนอกมิได้หรอก” เป่ยกงถังพูด

“อื้ม ใช่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ความคิดวูบไหวคราหนึ่งแล้วหยิบเอาขวดหยกออกมาสี่ใบก่อนจะส่งให้กับพวกเขาทั้งสี่พลางเอ่ยว่า “นี่คือสิ่งที่รับปากพวกเจ้าเอาไว้ในตอนนั้น”

ทุกคนรับขวดหยกมาเปิดออก เมื่อเห็นยาวิเศษสองเม็ดในขวดจึงเอ่ยถามว่า “นี่คือยาวิเศษอะไรหรือ”

“ยาวิเศษร้อยโคจร” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เป่ยกงถังได้ยินชื่อยาวิเศษร้อยโคจร ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันใดแล้วถามว่า “นี่คือยาวิเศษร้อยโคจรจริงๆ น่ะหรือ”

“ใช่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เดิมทีคิดจะหลอมยาวิเศษชนิดอื่น แต่คนที่หลอมยาให้กับข้าผู้นั้นบอกว่าหลอมยาวิเศษร้อยโคจรจะดีกว่า ก็เลยหลอมยานี้ขึ้นมาน่ะ”

“แต่ข้าเอาผลอสรพิษทองคำมาผลหนึ่งแล้วนะ ก็ไม่ควรมีส่วนของข้าแล้วสิ” เป่ยกงถังพูด

“เจ้าไม่เห็นต้องสนใจเรื่องยิบย่อยพรรค์นี้เลย ผลอสรพิษทองคำผลนั้นมอบให้กับเมิ่งจี ส่วนยาวิเศษร้อยโคจรนี้มอบให้เจ้า ข้าว่าพวกจือฉีก็คงไม่ว่าอะไรหรอก นอกจากนี้เจ้าเองก็ยังต้องการสิ่งนี้ด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เป่ยกงถังมองซือหม่าโยวเย่ว์ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ขอบใจเจ้ามากนะโยวเย่ว์”

พวกเว่ยจือฉียากจะเห็นเป่ยกงถังมีความสนใจต่อยาวิเศษชนิดใด จึงได้มีความสนใจใคร่รู้ในยาวิเศษร้อยโคจรขึ้นมาเช่นเดียวกัน

“โยวเย่ว์ ยาวิเศษร้อยโคจรนี่คือยาวิเศษอะไรกันหรือ” เจ้าอ้วนชวีหยิบยาวิเศษขึ้นมาหมายจะใส่เข้าไปในปาก แต่กลับถูกซือหม่าโยวเย่ว์รั้งเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “เจ้าเองยังไม่รู้เรื่อง ไม่กลัวว่าจะเป็นยาพิษหรือไร!”

“แหะๆ เจ้ามิได้บอกว่าเป็นยาวิเศษที่ช่วยยกระดับพลังยุทธ์หรอกหรือ” เจ้าอ้วนชวีพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่เจ้าอ้วนชวีปราดหนึ่ง เจ้านี่สนใจแต่เรื่องกิน ไม่คิดจะฟังเธอพูดเสียบ้างเลย!

“เป็นทักษะวิญญาณระดับสีดำขั้นสูงเชียวหรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างตกใจ “แต่ต้องไปถึงระดับราชาวิญญาณก่อนจึงจะฝึกได้ ตอนนี้ข้าก็คงได้แต่มองดูมันแล้วล่ะ คิดไม่ถึงว่าท่านปู่จะมีทักษะวิญญาณระดับสีดำขั้นสูงเลยทีเดียว มิน่าเล่าตอนนั้นจึงได้มีพลังคุกคามมากถึงเพียงนั้น”

ในตอนแรกปรมาจารย์วิญญาณทำได้เพียงแค่อาศัยการดูดซับและรวบรวมปราณวิญญาณมาเปรียบกันเท่านั้น สิ่งที่พวกเขาใช้ได้ก็มีเพียงแค่การรวบรวมลูกไฟหรือหยาดน้ำฝนขนาดเล็กเท่านั้น ถ้าหากอยากได้พลังคุกคามที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น ก็จำเป็นต้องใช้ทักษะวิญญาณ

ก่อนหน้านี้เฟิงจือสิงเคยเล่าให้พวกเขาฟังในชั้นเรียนว่าทักษะวิญญาณแบ่งออกเป็นสี่ระดับได้แก่ ฟ้า ดิน สีดำ และสีเหลือง ทั้งนี้แต่ละระดับยังแบ่งออกเป็นขั้นต่ำ ขั้นกลาง และขั้นสูงอีกด้วย โดยพลังคุกคามที่ทักษะวิญญาณระดับต่างๆ แสดงออกมาได้นั้นล้วนมีความแตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว

และหลังจากที่ปรมาจารย์วิญญาณไปถึงระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณแล้วจึงจะฝึกทักษะวิญญาณได้ ยิ่งเป็นทักษะวิญญาณขั้นสูงก็จะยิ่งฝึกฝนได้ยาก ตอนนี้โดยทั่วไปแล้วในดินแดนแห่งนี้ล้วนเป็นระดับสีเหลืองกันทั้งสิ้น แค่ระดับสีเหลืองขั้นสูงก็มีเพียงน้อยนิดเหลือเกินแล้ว

แน่นอนว่าที่เฟิงจือสิงพูดนั้นหมายถึงเพียงแค่อาณาจักรตงเฉินเท่านั้น สำหรับสถานที่อื่นๆ แล้วระดับสีเหลืองนั้นมิอาจนับเป็นอะไรได้เลย

“โดยทั่วไปแล้วเมื่อถึงระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณก็จะฝึกฝนทักษะวิญญาณได้ คิดไม่ถึงว่าต้องไปถึงระดับราชาวิญญาณจึงจะศึกษาสิ่งนี้ได้ ดูท่าทางการศึกษามันคงจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณเป็นอย่างมาก เช่นนั้นพลังคุกคามก็คงจะแข็งแกร่งกว่าระดับขั้นเดียวกันด้วย รอให้ไปถึงระดับราชาวิญญาณก็คงทดสอบดูได้แล้วล่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บตำราเคล็ดแยกอัคคีพิโรธกลับลงไปแล้วจึงเริ่มต้นบำเพ็ญ

ระยะนี้เกิดเรื่องราวมากมายเกินไป ถึงแม้ว่าจะมีเจ้าวิญญาณน้อยคอยช่วยเธอในการฝึก เพื่อมิให้พัฒนาการของเธอล่าช้าลง แต่กลับมิได้มีความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่แต่อย่างใดเลย

คิดอยากจะไปช่วยพวกซือหม่าเลี่ย เธอจำเป็นจะต้องมีพลังยุทธ์มากพอ รวมทั้งมีแผนการอันแยบยลจึงจะใช้ได้

“เช่นนั้นซือหม่าหลินยังไปไม่ถึงระดับจ้าววิญญาณ แต่พลังยุทธ์ก็กล้าแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว ตระกูลซือหม่าจะต้องมีบุคคลที่ร้ายกาจกว่า ไม่แน่ว่าอาจเป็นระดับจ้าววิญญาณแล้ว นึกอยากจะช่วยพวกท่านปู่ ข้าจำเป็นต้องยกระดับตัวเองให้เร็วที่สุดจึงจะใช้ได้”

ตอนนี้เธอยังเป็นเพียงแค่ปรมาจารย์วิญญาณขั้นหกเท่านั้น เพิ่งจะสัมผัสได้ถึงขอบเขตของปรมาจารย์วิญญาณขั้นเจ็ด แต่ระหว่างนั้นยังมีระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณ ราชาวิญญาณ และบรรพวิญญาณอยู่อีก หลังจากนั้นจึงจะเป็นระดับราชันวิญญาณ

มีบางคนที่ใช้เวลาทั้งชีวิตจึงจะไปถึงระดับบรรพวิญญาณได้ แต่เธอใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งปีก็ไปถึงระดับปรมาจารย์วิญญาณขั้นหกแล้ว ยังมีเวลาอีกสามปี ไม่รู้ว่าจะไปถึงระดับขั้นใด

ช่วงเวลาแห่งการบำเพ็ญผ่านไปในพริบตา การบำเพ็ญของเธอในครั้งนี้กินเวลาสองวัน

เพราะแผนการใหญ่ได้ดำเนินการไปจนเสร็จสิ้นแล้ว ตลอดสองวันมานี้จึงไม่มีใครมารบกวนเธอเลย

หลังผ่านไปสองวัน จวนแม่ทัพจึงออกประกาศว่าต้องการรับสมัครพนักงานจำนวนหนึ่งโดยด่วน ผลตอบแทนก็คือจะได้รับสัตว์อสูรวิเศษที่ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกหัดด้วยตัวเองตนหนึ่งในทันทีที่เข้าร่วม รวมทั้งยาวิเศษที่จำเป็นสำหรับการบำเพ็ญด้วย ในภายหน้าจะได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกับยามรักษาการณ์ของตระกูล เงื่อนไขคือเป็นระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณขึ้นไป ทำงานให้ตระกูลซือหม่าสิบปี พอครบสิบปีแล้วจะอยู่หรือจะไปก็แล้วแต่ตนจะเลือก

เรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกสัตว์อสูรท่ามกลางสาธารณชนในวันนั้นได้แพร่ออกไปทั่วทั้งเมืองหลวงและเมืองรอบๆ มาก่อนแล้ว แม้กระทั่งคนจากสถานที่ที่ห่างไกลออกไปต่างก็รู้เรื่องนี้ด้วยกันทั้งสิ้น ในขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมกับความน่าอัศจรรย์เปี่ยมพรสวรรค์ของเธอ และยิ่งสนใจในสัตว์อสูรวิเศษที่เธอฝึกนี้ จึงคิดกันว่าหากตนเองได้มาครอบครองสักตนหนึ่งก็ใช้ได้แล้ว

เมื่อประกาศของตระกูลซือหม่าออกมา ผู้คนก็หลั่งไหลกันมาสมัครอย่างไม่ขาดสาย พ่อบ้านผู้ที่เดิมทีคิดว่าคงจะมีคนมาสมัครไม่เท่าไรจึงยุ่งขึ้นมาในทันที วันแรกนั้นขอเพียงแค่ผู้สมัครเป็นระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณขึ้นไปก็ล้วนไม่ปฏิเสธทั้งสิ้น พอถึงวันที่สองจึงเริ่มคัดเลือกคน โดยคัดผู้ที่พลังยุทธ์ต่ำเกินไป หรือบุคลิกไม่ดีจำนวนหนึ่งออก

เพียงไม่นานคนของตระกูลซือหม่าก็เพิ่มขึ้นมาสองเท่า พ่อบ้านทิ้งส่วนหนึ่งเอาไว้ให้อารักขาจวนซือหม่า ส่วนที่เหลือนั้นให้พวกเขาไปจับสัตว์อสูรวิเศษ

เพียงไม่นานสินค้าของตระกูลชวีก็มาถึง สัตว์อสูรวิเศษของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็ส่งมาแล้วเช่นเดียวกัน บวกกับชื่อเสียงของซือหม่าโยวเย่ว์ ร้านค้าของตระกูลซือหม่าเปลี่ยนจากร้านร้างในช่วงก่อนหน้านี้ กลายเป็นลูกค้าหลั่งไหลกันมาอย่างไม่ขาดสาย

คนที่คิดร้ายต่อตระกูลซือหม่าเหล่านั้นจึงได้แต่เก็บงำความคิดของตนเอาไว้ ผู้ใดจะกล้าแตะต้องตระกูลซือหม่าในตอนนี้เล่า เช่นนั้นก็ต้องไปชั่งน้ำหนักดูก่อนว่าตนต่อกรกับวิทยาลัยรวมทั้งสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรไหวหรือไม่

ผู้คนที่รู้เรื่องราวจำนวนไม่น้อยต่างพากันชื่นชม แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นขุมอำนาจใดพัฒนาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้มาก่อนเลย คล้ายกับว่าพัฒนาขึ้นมาในระยะเวลาเพียงเดือนสองเดือนเท่านั้นเอง

แต่เมื่อนึกถึงความสามารถอันน่าอัศจรรย์ในการหลอมยาและฝึกสัตว์อสูรของซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็ดูเป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่

นอกจากนี้แล้ว ก่อนหน้านี้มีบางเรื่องที่ตระกูลซือหม่ามิอาจทำได้โดยสะดวกเพราะสถานะแม่ทัพของซือหม่าเลี่ย ตอนนี้ไม่มีพันธะเหล่านั้นแล้วจึงทำได้อย่างสบายยิ่งขึ้น

เดิมทีพ่อบ้านคิดอยากจะให้คนที่เพิ่งเข้ามาเหล่านั้นไปพบซือหม่าโยวเย่ว์สักหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าเธอกำลังปลีกวิเวกอยู่จึงได้ล้มเลิกไป

ผ่านไปอีกหลายวัน ระหว่างที่ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังฝึกยุทธ์อยู่ก็รู้สึกได้ถึงการเลื่อนระดับ เธอที่เดิมทีคิดจะออกจากการปลีกวิเวกแล้วจึงอาศัยจังหวะนี้ในการฝึกยุทธ์ต่อไป หนึ่งวันให้หลังก็บรรลุเป็นปรมาจารย์วิญญาณขั้นเจ็ดได้สำเร็จ

หลังจากเลื่อนระดับได้สำเร็จแล้วซือหม่าโยวเย่ว์จึงลืมตาขึ้น ก็เห็นดาวระดับขั้นอันแสดงถึงพลังยุทธ์ของตนค่อยๆ เลือนหายไป จึงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ความเร็วในการเลื่อนระดับช้าไปหน่อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปแล้วจะไปช่วยพวกท่านปู่ได้อย่างไรกัน ดูท่าทางคงต้องคิดหาวิธีอื่นมายกระดับพลังยุทธ์เสียแล้ว”

เพราะอยู่ในสภาวะของการบำเพ็ญมาเป็นเวลาหลายวัน ร่างกายจึงเมื่อยตึงอยู่บ้าง เธอเดินลงจากเตียงมาเคลื่อนไหวร่างกายแล้วเปิดประตู ทันใดนั้นก็ชะงักงันไป

ก่อนการปลีกวิเวกยังเป็นพื้นที่โล่งๆ อยู่เลย เหตุใดตอนนี้จึงสร้างคฤหาสน์ขึ้นมาได้ภายในเวลาเพียงชั่วครู่เล่า!

“คุณชาย ท่านออกจากการปลีกวิเวกแล้ว!” ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์อยู่ข้างนอก เมื่อได้ยินเสียงซือหม่าโยวเย่ว์เปิดประตูจึงเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม

“ชุนเจี้ยน ข้าปลีกวิเวกไปนานเท่าใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ออกจะไม่เชื่อสายตาตนเองอยู่บ้าง ตนปลีกวิเวกไปนานมากเลยอย่างนั้นหรือ

“คุณชาย ท่านปลีกวิเวกได้สิบวันแล้วเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนเอ่ยตอบ

“เพิ่งจะสิบวันเท่านั้นเอง แล้วบ้านหลังนี้สร้างเสร็จได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

อวิ๋นเย่ว์ยิ้มแล้วเอ่ยว่า ”คุณชาย ตั้งแต่วันนั้นที่ท่านฝึกสัตว์อสูรท่ามกลางสาธารณชน ทั้งยังสำเร็จเป็นนักฝึกสัตว์อสูรอีก ก็มีผู้คนมากมายมาช่วยก่อสร้างจวนซือหม่าเจ้าค่ะ ดังนั้นความเร็วจึงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในระยะเวลาเพียงชั่วครู่ไงละเจ้าคะ”

ต่อให้เป็นเช่นนี้ นี่ก็ออกจะรวดเร็วเกินไปสักหน่อยกระมัง!

“คุณชาย เรือนของท่านตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วนะเจ้าคะ ท่านอยากไปดูสักหน่อยหรือไม่” ชุนเจี้ยนเอ่ยถาม

“ดีเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

เรือนชั่วคราวหลังนี้ยังมิได้ถูกรื้อถอนเพราะมีซือหม่าโยวเย่ว์ปลีกวิเวกอยู่ภายใน แต่ลานด้านหน้าได้ทำความสะอาดเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์ติดตามชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์ไปยังเรือนของตน เพราะว่าตอนนี้มีเธอเป็นเจ้านายเพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นเรือนของเธอจึงเป็นเรือนหลักในขณะนี้

การก่อสร้างบ้านเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ผลงานก็มิได้ทำไปอย่างลวกๆ ซือหม่าโยวเย่ว์มองอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าสร้างได้ว่าไม่เลวเลย ส่วนของประดับตกแต่งและสวนดอกไม้ต่างๆ นั้น กำลังค่อยๆ ก่อสร้างอยู่ในขณะนี้

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูรอบๆ แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ต้องมีบ้านสิจึงจะเหมือนครอบครัวหน่อย

เมื่อพ่อบ้านได้ยินว่าซือหม่าโยวเย่ว์ออกจากการปลีกวิเวกแล้วจึงมารายงานเรื่องราวตลอดหลายวันนี้ให้เธอฟัง เมื่อได้ยินว่าตระกูลซือหม่ามีคนเพิ่มขึ้นมาเป็นจำนวนมากในชั่วพริบตา นอกจากนี้ยังมีระดับราชาวิญญาณและระดับบรรพวิญญาณมากันเป็นจำนวนไม่น้อยอีกด้วย เรื่องนี้แม้แต่เธอเองก็ยังประหลาดใจเลย

ตอนนี้เธอจินตนาการได้ว่าในภายหน้าเธอต้องฝึกสัตว์อสูรวิเศษเป็นจำนวนมากมายเท่าใดจึงจะเพียงพอต่อความต้องการ แต่ยังดีที่การฝึกสัตว์อสูรวิเศษสำหรับเธอนั้นมิได้เหน็ดเหนื่อยจนเกินไปและยังเพิ่มพูนพลังวิญญาณของเธอได้อีกด้วย ดังนั้นเมื่อคิดๆ ดูแล้วก็ไม่เห็นเป็นไร ในทางกลับกันยังมีความหวังอยู่รางๆ อีกด้วย

“เป็นทักษะวิญญาณระดับสีดำขั้นสูงเชียวหรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างตกใจ “แต่ต้องไปถึงระดับราชาวิญญาณก่อนจึงจะฝึกได้ ตอนนี้ข้าก็คงได้แต่มองดูมันแล้วล่ะ คิดไม่ถึงว่าท่านปู่จะมีทักษะวิญญาณระดับสีดำขั้นสูงเลยทีเดียว มิน่าเล่าตอนนั้นจึงได้มีพลังคุกคามมากถึงเพียงนั้น”

ในตอนแรกปรมาจารย์วิญญาณทำได้เพียงแค่อาศัยการดูดซับและรวบรวมปราณวิญญาณมาเปรียบกันเท่านั้น สิ่งที่พวกเขาใช้ได้ก็มีเพียงแค่การรวบรวมลูกไฟหรือหยาดน้ำฝนขนาดเล็กเท่านั้น ถ้าหากอยากได้พลังคุกคามที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น ก็จำเป็นต้องใช้ทักษะวิญญาณ

ก่อนหน้านี้เฟิงจือสิงเคยเล่าให้พวกเขาฟังในชั้นเรียนว่าทักษะวิญญาณแบ่งออกเป็นสี่ระดับได้แก่ ฟ้า ดิน สีดำ และสีเหลือง ทั้งนี้แต่ละระดับยังแบ่งออกเป็นขั้นต่ำ ขั้นกลาง และขั้นสูงอีกด้วย โดยพลังคุกคามที่ทักษะวิญญาณระดับต่างๆ แสดงออกมาได้นั้นล้วนมีความแตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว

และหลังจากที่ปรมาจารย์วิญญาณไปถึงระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณแล้วจึงจะฝึกทักษะวิญญาณได้ ยิ่งเป็นทักษะวิญญาณขั้นสูงก็จะยิ่งฝึกฝนได้ยาก ตอนนี้โดยทั่วไปแล้วในดินแดนแห่งนี้ล้วนเป็นระดับสีเหลืองกันทั้งสิ้น แค่ระดับสีเหลืองขั้นสูงก็มีเพียงน้อยนิดเหลือเกินแล้ว

แน่นอนว่าที่เฟิงจือสิงพูดนั้นหมายถึงเพียงแค่อาณาจักรตงเฉินเท่านั้น สำหรับสถานที่อื่นๆ แล้วระดับสีเหลืองนั้นมิอาจนับเป็นอะไรได้เลย

“โดยทั่วไปแล้วเมื่อถึงระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณก็จะฝึกฝนทักษะวิญญาณได้ คิดไม่ถึงว่าต้องไปถึงระดับราชาวิญญาณจึงจะศึกษาสิ่งนี้ได้ ดูท่าทางการศึกษามันคงจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณเป็นอย่างมาก เช่นนั้นพลังคุกคามก็คงจะแข็งแกร่งกว่าระดับขั้นเดียวกันด้วย รอให้ไปถึงระดับราชาวิญญาณก็คงทดสอบดูได้แล้วล่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บตำราเคล็ดแยกอัคคีพิโรธกลับลงไปแล้วจึงเริ่มต้นบำเพ็ญ

ระยะนี้เกิดเรื่องราวมากมายเกินไป ถึงแม้ว่าจะมีเจ้าวิญญาณน้อยคอยช่วยเธอในการฝึก เพื่อมิให้พัฒนาการของเธอล่าช้าลง แต่กลับมิได้มีความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่แต่อย่างใดเลย

คิดอยากจะไปช่วยพวกซือหม่าเลี่ย เธอจำเป็นจะต้องมีพลังยุทธ์มากพอ รวมทั้งมีแผนการอันแยบยลจึงจะใช้ได้

“เช่นนั้นซือหม่าหลินยังไปไม่ถึงระดับจ้าววิญญาณ แต่พลังยุทธ์ก็กล้าแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว ตระกูลซือหม่าจะต้องมีบุคคลที่ร้ายกาจกว่า ไม่แน่ว่าอาจเป็นระดับจ้าววิญญาณแล้ว นึกอยากจะช่วยพวกท่านปู่ ข้าจำเป็นต้องยกระดับตัวเองให้เร็วที่สุดจึงจะใช้ได้”

ตอนนี้เธอยังเป็นเพียงแค่ปรมาจารย์วิญญาณขั้นหกเท่านั้น เพิ่งจะสัมผัสได้ถึงขอบเขตของปรมาจารย์วิญญาณขั้นเจ็ด แต่ระหว่างนั้นยังมีระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณ ราชาวิญญาณ และบรรพวิญญาณอยู่อีก หลังจากนั้นจึงจะเป็นระดับราชันวิญญาณ

มีบางคนที่ใช้เวลาทั้งชีวิตจึงจะไปถึงระดับบรรพวิญญาณได้ แต่เธอใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งปีก็ไปถึงระดับปรมาจารย์วิญญาณขั้นหกแล้ว ยังมีเวลาอีกสามปี ไม่รู้ว่าจะไปถึงระดับขั้นใด

ช่วงเวลาแห่งการบำเพ็ญผ่านไปในพริบตา การบำเพ็ญของเธอในครั้งนี้กินเวลาสองวัน

เพราะแผนการใหญ่ได้ดำเนินการไปจนเสร็จสิ้นแล้ว ตลอดสองวันมานี้จึงไม่มีใครมารบกวนเธอเลย

หลังผ่านไปสองวัน จวนแม่ทัพจึงออกประกาศว่าต้องการรับสมัครพนักงานจำนวนหนึ่งโดยด่วน ผลตอบแทนก็คือจะได้รับสัตว์อสูรวิเศษที่ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกหัดด้วยตัวเองตนหนึ่งในทันทีที่เข้าร่วม รวมทั้งยาวิเศษที่จำเป็นสำหรับการบำเพ็ญด้วย ในภายหน้าจะได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกับยามรักษาการณ์ของตระกูล เงื่อนไขคือเป็นระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณขึ้นไป ทำงานให้ตระกูลซือหม่าสิบปี พอครบสิบปีแล้วจะอยู่หรือจะไปก็แล้วแต่ตนจะเลือก

เรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกสัตว์อสูรท่ามกลางสาธารณชนในวันนั้นได้แพร่ออกไปทั่วทั้งเมืองหลวงและเมืองรอบๆ มาก่อนแล้ว แม้กระทั่งคนจากสถานที่ที่ห่างไกลออกไปต่างก็รู้เรื่องนี้ด้วยกันทั้งสิ้น ในขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมกับความน่าอัศจรรย์เปี่ยมพรสวรรค์ของเธอ และยิ่งสนใจในสัตว์อสูรวิเศษที่เธอฝึกนี้ จึงคิดกันว่าหากตนเองได้มาครอบครองสักตนหนึ่งก็ใช้ได้แล้ว

เมื่อประกาศของตระกูลซือหม่าออกมา ผู้คนก็หลั่งไหลกันมาสมัครอย่างไม่ขาดสาย พ่อบ้านผู้ที่เดิมทีคิดว่าคงจะมีคนมาสมัครไม่เท่าไรจึงยุ่งขึ้นมาในทันที วันแรกนั้นขอเพียงแค่ผู้สมัครเป็นระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณขึ้นไปก็ล้วนไม่ปฏิเสธทั้งสิ้น พอถึงวันที่สองจึงเริ่มคัดเลือกคน โดยคัดผู้ที่พลังยุทธ์ต่ำเกินไป หรือบุคลิกไม่ดีจำนวนหนึ่งออก

เพียงไม่นานคนของตระกูลซือหม่าก็เพิ่มขึ้นมาสองเท่า พ่อบ้านทิ้งส่วนหนึ่งเอาไว้ให้อารักขาจวนซือหม่า ส่วนที่เหลือนั้นให้พวกเขาไปจับสัตว์อสูรวิเศษ

เพียงไม่นานสินค้าของตระกูลชวีก็มาถึง สัตว์อสูรวิเศษของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็ส่งมาแล้วเช่นเดียวกัน บวกกับชื่อเสียงของซือหม่าโยวเย่ว์ ร้านค้าของตระกูลซือหม่าเปลี่ยนจากร้านร้างในช่วงก่อนหน้านี้ กลายเป็นลูกค้าหลั่งไหลกันมาอย่างไม่ขาดสาย

คนที่คิดร้ายต่อตระกูลซือหม่าเหล่านั้นจึงได้แต่เก็บงำความคิดของตนเอาไว้ ผู้ใดจะกล้าแตะต้องตระกูลซือหม่าในตอนนี้เล่า เช่นนั้นก็ต้องไปชั่งน้ำหนักดูก่อนว่าตนต่อกรกับวิทยาลัยรวมทั้งสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรไหวหรือไม่

ผู้คนที่รู้เรื่องราวจำนวนไม่น้อยต่างพากันชื่นชม แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นขุมอำนาจใดพัฒนาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้มาก่อนเลย คล้ายกับว่าพัฒนาขึ้นมาในระยะเวลาเพียงเดือนสองเดือนเท่านั้นเอง

แต่เมื่อนึกถึงความสามารถอันน่าอัศจรรย์ในการหลอมยาและฝึกสัตว์อสูรของซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็ดูเป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่

นอกจากนี้แล้ว ก่อนหน้านี้มีบางเรื่องที่ตระกูลซือหม่ามิอาจทำได้โดยสะดวกเพราะสถานะแม่ทัพของซือหม่าเลี่ย ตอนนี้ไม่มีพันธะเหล่านั้นแล้วจึงทำได้อย่างสบายยิ่งขึ้น

เดิมทีพ่อบ้านคิดอยากจะให้คนที่เพิ่งเข้ามาเหล่านั้นไปพบซือหม่าโยวเย่ว์สักหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าเธอกำลังปลีกวิเวกอยู่จึงได้ล้มเลิกไป

ผ่านไปอีกหลายวัน ระหว่างที่ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังฝึกยุทธ์อยู่ก็รู้สึกได้ถึงการเลื่อนระดับ เธอที่เดิมทีคิดจะออกจากการปลีกวิเวกแล้วจึงอาศัยจังหวะนี้ในการฝึกยุทธ์ต่อไป หนึ่งวันให้หลังก็บรรลุเป็นปรมาจารย์วิญญาณขั้นเจ็ดได้สำเร็จ

หลังจากเลื่อนระดับได้สำเร็จแล้วซือหม่าโยวเย่ว์จึงลืมตาขึ้น ก็เห็นดาวระดับขั้นอันแสดงถึงพลังยุทธ์ของตนค่อยๆ เลือนหายไป จึงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ความเร็วในการเลื่อนระดับช้าไปหน่อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปแล้วจะไปช่วยพวกท่านปู่ได้อย่างไรกัน ดูท่าทางคงต้องคิดหาวิธีอื่นมายกระดับพลังยุทธ์เสียแล้ว”

เพราะอยู่ในสภาวะของการบำเพ็ญมาเป็นเวลาหลายวัน ร่างกายจึงเมื่อยตึงอยู่บ้าง เธอเดินลงจากเตียงมาเคลื่อนไหวร่างกายแล้วเปิดประตู ทันใดนั้นก็ชะงักงันไป

ก่อนการปลีกวิเวกยังเป็นพื้นที่โล่งๆ อยู่เลย เหตุใดตอนนี้จึงสร้างคฤหาสน์ขึ้นมาได้ภายในเวลาเพียงชั่วครู่เล่า!

“คุณชาย ท่านออกจากการปลีกวิเวกแล้ว!” ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์อยู่ข้างนอก เมื่อได้ยินเสียงซือหม่าโยวเย่ว์เปิดประตูจึงเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม

“ชุนเจี้ยน ข้าปลีกวิเวกไปนานเท่าใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ออกจะไม่เชื่อสายตาตนเองอยู่บ้าง ตนปลีกวิเวกไปนานมากเลยอย่างนั้นหรือ

“คุณชาย ท่านปลีกวิเวกได้สิบวันแล้วเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนเอ่ยตอบ

“เพิ่งจะสิบวันเท่านั้นเอง แล้วบ้านหลังนี้สร้างเสร็จได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

อวิ๋นเย่ว์ยิ้มแล้วเอ่ยว่า ”คุณชาย ตั้งแต่วันนั้นที่ท่านฝึกสัตว์อสูรท่ามกลางสาธารณชน ทั้งยังสำเร็จเป็นนักฝึกสัตว์อสูรอีก ก็มีผู้คนมากมายมาช่วยก่อสร้างจวนซือหม่าเจ้าค่ะ ดังนั้นความเร็วจึงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในระยะเวลาเพียงชั่วครู่ไงละเจ้าคะ”

ต่อให้เป็นเช่นนี้ นี่ก็ออกจะรวดเร็วเกินไปสักหน่อยกระมัง!

“คุณชาย เรือนของท่านตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วนะเจ้าคะ ท่านอยากไปดูสักหน่อยหรือไม่” ชุนเจี้ยนเอ่ยถาม

“ดีเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

เรือนชั่วคราวหลังนี้ยังมิได้ถูกรื้อถอนเพราะมีซือหม่าโยวเย่ว์ปลีกวิเวกอยู่ภายใน แต่ลานด้านหน้าได้ทำความสะอาดเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์ติดตามชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์ไปยังเรือนของตน เพราะว่าตอนนี้มีเธอเป็นเจ้านายเพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นเรือนของเธอจึงเป็นเรือนหลักในขณะนี้

การก่อสร้างบ้านเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ผลงานก็มิได้ทำไปอย่างลวกๆ ซือหม่าโยวเย่ว์มองอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าสร้างได้ว่าไม่เลวเลย ส่วนของประดับตกแต่งและสวนดอกไม้ต่างๆ นั้น กำลังค่อยๆ ก่อสร้างอยู่ในขณะนี้

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูรอบๆ แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ต้องมีบ้านสิจึงจะเหมือนครอบครัวหน่อย

เมื่อพ่อบ้านได้ยินว่าซือหม่าโยวเย่ว์ออกจากการปลีกวิเวกแล้วจึงมารายงานเรื่องราวตลอดหลายวันนี้ให้เธอฟัง เมื่อได้ยินว่าตระกูลซือหม่ามีคนเพิ่มขึ้นมาเป็นจำนวนมากในชั่วพริบตา นอกจากนี้ยังมีระดับราชาวิญญาณและระดับบรรพวิญญาณมากันเป็นจำนวนไม่น้อยอีกด้วย เรื่องนี้แม้แต่เธอเองก็ยังประหลาดใจเลย

ตอนนี้เธอจินตนาการได้ว่าในภายหน้าเธอต้องฝึกสัตว์อสูรวิเศษเป็นจำนวนมากมายเท่าใดจึงจะเพียงพอต่อความต้องการ แต่ยังดีที่การฝึกสัตว์อสูรวิเศษสำหรับเธอนั้นมิได้เหน็ดเหนื่อยจนเกินไปและยังเพิ่มพูนพลังวิญญาณของเธอได้อีกด้วย ดังนั้นเมื่อคิดๆ ดูแล้วก็ไม่เห็นเป็นไร ในทางกลับกันยังมีความหวังอยู่รางๆ อีกด้วย

เจ้าวิญญาณน้อยและหมัวซาต่างรู้ดีว่าซือหม่าโยวเย่ว์ชอบสมบัติล้ำค่า ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความสนใจของเธอที่มีต่อเจดีย์เจ็ดชั้น แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะเต็มใจเลือกปล่อยวางจากมันเพราะเจ้าวิญญาณน้อย

“ทำไมเล่า” หมัวซามองเธอด้วยความไม่เข้าใจอยู่บ้าง “ต่อให้เจ้าวิญญาณน้อยหายไป ก็ต้องมีวิญญาณครวญตนใหม่ปรากฏขึ้นมา ไม่มีทางส่งผลกระทบต่อศักยภาพของมณีวิญญาณในตอนนี้หรอก”

“นั่นมันไม่เหมือนกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์กอดเจ้าวิญญาณน้อยเอาไว้แล้วพูดว่า “ข้ากับเจ้าวิญญาณน้อยใช้ชีวิตด้วยกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ข้าเห็นว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตข้าไปแล้ว ถึงแม้ว่าหลังจากการผสานรวมเสร็จสิ้นแล้วอาจมีเจ้าวิญญาณน้อยอีกตนหนึ่งเกิดขึ้นมา แต่นั่นก็มิใช่เขาในตอนนี้เสียหน่อย”

“แต่ก็ไม่แน่ว่าการผสานรวมอาจจะช่วยยกระดับศักยภาพของมณีวิญญาณได้” หมัวซาพูดเสริม “นอกจากนี้เจ้าจะไม่ได้สมบัติล้ำค่าภายในเจดีย์เจ็ดชั้นมาครอบครองด้วย เจ้ามิได้สนใจชั้นบนๆ เหล่านั้นมากมายเหลือเกินหรอกหรือ”

“ถูกต้อง ข้าสนใจมันเป็นอย่างยิ่ง แต่ข้าสนใจคนรอบตัวข้ามากกว่าน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ต่อให้ต้องการสิ่งของเหล่านั้น ข้าก็ยังอยากให้เจ้าวิญญาณน้อยอยู่ดีมีสุข”

“จะไม่นึกเสียใจภายหลังใช่ไหม” หมัวซาถาม

“ข้าไม่นึกเสียใจแน่ ตอนนี้เจ้าวิญญาณน้อยก็ล้ำเลิศเหลือเกินแล้ว ต่อให้ยกระดับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” ซือหม่าโยวเย่ว์จุมพิตบนใบหน้าของเจ้าวิญญาณน้อยครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมองหมัวซาพลางเอ่ยว่า “เช่นเดียวกัน ถ้าหากต้องใช้ท่านไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งใด ข้าก็ไม่มีทางยินยอมเช่นกัน มิใช่เพราะว่าท่านล้ำเลิศหรือรู้เรื่องราวต่างๆ มากมายหรอกนะ แต่เพียงเพราะว่าท่านคือท่าน เป็นคนใกล้ตัวข้าเท่านั้นเอง”

เป็นครั้งแรกที่หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์จูบบนใบหน้าของเจ้าวิญญาณน้อยแล้วเขามิได้ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำลายบนใบหน้าออก เขาฝังใบหน้าลงในอ้อมกอดของซือหม่าโยวเย่ว์ รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ

ถึงแม้ว่าเจ้านายคนก่อนหน้านี้จะชอบเขามากเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่เคยมีใครใส่ใจเขาขนาดนี้มาก่อน พวกเขาล้วนเห็นตนเป็นเพียงแค่วิญญาณครวญตนหนึ่งเท่านั้น มิใช่ “มนุษย์” ที่มีชีวิตจิตใจ

มิน่าเล่าตอนนั้นหลิงหลงถึงได้เลือกเธอ มิใช่เพราะเธออาจประสบความสำเร็จในภายหน้า แต่เป็นเพราะเธอเป็นคนที่มีหัวใจต่างหาก

หมัวซาหลุบตาลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนเร้นความรู้สึกในดวงตา

ก่อนหน้านี้เคยมีคนใส่ใจเขาเช่นนี้เสียที่ไหนกัน

ไม่มีเลย

คนเหล่านั้นบางคนก็พึ่งพาตน บางคนก็เคารพยกย่องตน บางคนก็แก้แค้นตน แต่ไม่เคยมีใครบอกกับเขามาก่อนเลยว่าเขาคือเขา เป็นคนใกล้ตัวของนาง ดังนั้นนางจึงต้องใส่ใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์ปล่อยตัวเจ้าวิญญาณน้อยแล้วหยิบเจดีย์เล็กขึ้นมาดูก่อนจะเอ่ยอย่างเสียดายอยู่บ้างว่า “ในเมื่อมิอาจเปิดออกดูได้ เช่นนั้นก็วางเอาไว้ที่นี่ ใช้เป็นหอหนังสือสะสมก็แล้วกัน”

“ได้สิ” หมัวซาพูดทันควัน

“อืม ก็คงได้แต่ทำเช่นนี้แล้วละนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดกับหมัวซา

“ข้าจะบอกว่า ทำการผสานรวมโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงวิญญาณครวญได้ต่างหากเล่า” หมัวซาพูด

“ข้ารู้ ท่านบอกว่าได้… ท่านบอกว่าทำการผสานรวมได้อย่างนั้นหรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งได้สติกลับคืนมา จึงหันหน้ามามองหมัวซาด้วยสองตาเปล่งประกาย

หมัวซาพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ทำได้ เพียงแต่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลายาวนานยิ่งขึ้น”

“จริงหรือ ฮ่าๆ ต้องใช้เวลานานก็ไม่เป็นไรหรอก!” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะเสียงดังลั่น “ขอเพียงแค่ผสานรวมได้โดยไม่ทำร้ายเจ้าวิญญาณน้อย จะใช้เวลามากน้อยเพียงใดล้วนมิใช่ปัญหาเลย”

เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ หมัวซาก็รู้สึกว่าเขาไม่ใช่ตัวเขาคนก่อนแล้ว ระยะหลังมานี้ เขายังใส่ใจความคิดของคนผู้หนึ่งเป็นด้วย คอยคิดว่าทำเช่นนี้แล้วผู้อื่นจะเบิกบานใจหรือไม่…

ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวเข้าไปข้างหน้าหมายจะตบบ่าเขา แต่มือกลับทะลุผ่านร่างกายเขาไป

“แค่กๆ มัวแต่ตื่นเต้นดีใจจนลืมไปเสียแล้วว่าท่านไม่มีร่างกาย” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บมือของตนกลับมาแล้วพูดว่า “ในเมื่อทำได้ เช่นนั้นจะต้องเตรียมสิ่งใดบ้าง แล้วข้าจะต้องทำอะไร”

“เจ้ามันไร้ประโยชน์สิ้นดี จะต้องให้เจ้าทำอะไรด้วยหรือ” หมัวซาพูด “ข้าจัดการเองได้น่า แค่ระยะนี้เจ้าจะมิอาจใช้มณีวิญญาณได้เท่านั้นเอง”

“…”

ความรู้สึกตื่นเต้นของซือหม่าโยวเย่ว์เมื่อครู่มิอาจบดบังความชิงชังที่เธอมีต่อหมัวซาในยามนี้ได้เลย จำเป็นต้องดูแคลนเธออย่างหนักถึงเพียงนี้ด้วยหรือ!

“เช่นนั้นข้าออกไปเก็บตำราข้างนอกมาให้หมดดีกว่า หลังจากนั้นค่อยยกมันให้กับท่าน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วเดินออกไปเก็บตำราทั้งหมดเข้ามาไว้ภายในแหวนเก็บวัตถุ หลังจากนั้นก็หยิบหีบสองใบออกไปจากหอหนังสือสะสม

เมื่อออกมาจากประตูใหญ่ก็พบว่าด้านนอกเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เธอหันหน้ากลับมามองหอหนังสือสะสมแล้วกล่าวอำลาประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นจึงเก็บหีบสองใบเข้าไปไว้ในมณีวิญญาณ

ไม่รู้ว่าหมัวซาทำอะไร หอหนังสือสะสมจึงสั่นสะท้านขึ้นมาในทันใด หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เลือนรางลงอย่างช้าๆ จนหายลับไปในที่สุด!

ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจจนตัวลอยเพราะความเคลื่อนไหวนี้ ยังดีที่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ถ้าหากผู้อื่นเห็นว่าเรือนหลังหนึ่งหายลับไปกลางอากาศตอนกลางวันแสกๆ เกรงว่าคงจะก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาอย่างแน่นอน

หากถึงพรุ่งนี้แล้วยังไม่พบเห็นอีก ก็ยังพูดได้ว่าเก็บกวาดไปในวันนี้แล้ว

เมื่อกลับไปถึงเรือน ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเรียกเจ้าคำรามน้อย หมัวซา ย่ากวงและหลิงหลงออกมา หลังจากนั้นยังหยิบสิ่งของจำเป็นออกมาอีกจำนวนหนึ่งด้วย อย่างเช่นเครื่องยาจำนวนมาก และยาวิเศษที่หลอมขึ้นมาก่อนหน้านี้เป็นต้น หลังจากนั้นจึงหยิบเอามณีวิญญาณอัปลักษณ์รูปร่างคล้ายตุ้มน้ำหนักออกมาแล้วมอบมันให้กับหมัวซา

“ห้ามทำร้ายเจ้าวิญญาณน้อยเด็ดขาดเลยนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์กำชับอีกครั้ง

หมัวซามิได้เอ่ยวาจา เพียงแค่เหลือบมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งแล้วรับเอามณีวิญญาณมา แล้วหยิบเจดีย์เล็กกลับเข้าไปภายในสร้อยข้อมือม่านถัว

พอเขาเข้าไปแล้วซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าตนลืมถามเขาว่าที่แท้แล้วเขาต้องใช้เวลานานเท่าใดกันแน่ ถ้าหากสิบปีแล้วยังผสานรวมไม่สำเร็จ เช่นนั้นก็ไม่เท่ากับว่าตนมิอาจใช้สิ่งของมณีวิญญาณได้ไปสิบปีหรอกหรือ!

แต่เมื่อนึกถึงว่าต่อให้ตนถามก็ไม่แน่ว่าหมัวซาจะบอกตน ถ้าไม่ดูแคลนก็คงไม่แยแส ดังนั้นเมื่อเธอคิดๆ ดูแล้ว ในที่สุดจึงปล่อยเลยตามเลย

“อืม ย่ากวงกับเจ้าคำรามน้อย เวลาต่อจากนี้ของพวกเจ้า คงได้แต่ติดอยู่ในมิติพันธสัญญาแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ได้ขอรับ เจ้านาย” ย่ากวงรับคำอย่างร่าเริง

เจ้าคำรามน้อยเข้ามาตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “เย่ว์เย่ว์เอ๋ย ไม่อย่างนั้นข้าอยู่ข้างนอกดีกว่า มิติพันธสัญญามันน่าเบื่อเกินไป ติดอยู่ข้างในนั้นมันช่างไร้ค่ายิ่งนัก!”

“ไม่ได้!” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บเจ้าคำรามน้อยกลับเข้าไปในมิติพันธสัญญาก่อน หลังจากนั้นย่ากวงก็กลับเข้าไปเองอย่างเชื่อฟัง

“หลิงหลง เจ้าไปอยู่ในแหวนเก็บวัตถุสักระยะหนึ่งก่อนเถิดนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางเก็บตัวหลิงหลงเข้าไปภายในแหวนเก็บวัตถุ

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดวงตากลมโตของเจ้าวิหคน้อยแล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “เจ้าไม่มีมิติพันธสัญญา ก็คงได้แต่อยู่ข้างนอกนี่แล้วล่ะนะ แต่ห้ามเผยพลังยุทธ์ของเจ้าต่อหน้าผู้อื่นเป็นอันขาดเลยนะ เข้าใจหรือไม่”

เจ้าวิหคน้อยพยักหน้าก่อนจะบินขึ้นไปบนคานห้อง

หลังจากจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อบ้านจึงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เมื่อหาตัวเธอพบจึงเอ่ยว่า ”คุณชาย เกิดเรื่องแล้วขอรับ”

“มีอะไรหรือ” พอซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินว่าเกิดเรื่อง จึงรีบเปิดประตูแล้วเอ่ยถาม

“คุณชาย หอหนังสือสะสมหายไปอย่างฉับพลันเลยขอรับ!” พ่อบ้านพูดอย่างร้อนรน

เมื่อซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินว่าเป็นเรื่องนี้จึงค่อยวางใจลงแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก เป็นฝีมือข้าเองแหละ”

“หา?” พ่อบ้านตกตะลึง

“สิ่งนั้นคืออาวุธวิญญาณที่ท่านปู่ทิ้งเอาไว้ เมื่อครู่ข้าก็เลยเก็บมันไปเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนที่ท่านให้คนสร้างบ้าน ก็ให้คนสร้างหอหนังสือสะสมสักแห่งหนึ่งก็แล้วกัน”

ถึงแม้ว่าพ่อบ้านจะไม่เข้าใจ แต่ในเมื่อเธอบอกว่าไม่เป็นไร เช่นนั้นเขาก็สงบจิตสงบใจลงได้

พอพ่อบ้านจากไปแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงปิดประตูลงแล้วนึกขึ้นมาได้ว่าตนยังมิได้อ่านตำราเล่มที่ซือหม่าเลี่ยวางเอาไว้กับหินเสียงเลย เธอจึงล้มเลิกการบำเพ็ญแล้วหยิบตำราออกมา

“เคล็ดแยกอัคคีพิโรธ นี่มันตำราอันใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นชื่อที่เขียนเอาไว้แล้วไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซือหม่าเลี่ยจึงวางตำราเล่มนี้เอาไว้ด้วยกันกับหินเสียง

ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงดาบเปลวเพลิงเล่มที่ปรากฏขึ้นยามซือหม่าเลี่ยและซือหม่าข่ายต่อสู้กันขึ้นมาได้ หรือว่าตำราเล่มนี้จะเกี่ยวกับการศึกษาทักษะนั้น

เจ้าวิญญาณน้อยและหมัวซาต่างรู้ดีว่าซือหม่าโยวเย่ว์ชอบสมบัติล้ำค่า ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความสนใจของเธอที่มีต่อเจดีย์เจ็ดชั้น แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะเต็มใจเลือกปล่อยวางจากมันเพราะเจ้าวิญญาณน้อย

“ทำไมเล่า” หมัวซามองเธอด้วยความไม่เข้าใจอยู่บ้าง “ต่อให้เจ้าวิญญาณน้อยหายไป ก็ต้องมีวิญญาณครวญตนใหม่ปรากฏขึ้นมา ไม่มีทางส่งผลกระทบต่อศักยภาพของมณีวิญญาณในตอนนี้หรอก”

“นั่นมันไม่เหมือนกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์กอดเจ้าวิญญาณน้อยเอาไว้แล้วพูดว่า “ข้ากับเจ้าวิญญาณน้อยใช้ชีวิตด้วยกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ข้าเห็นว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตข้าไปแล้ว ถึงแม้ว่าหลังจากการผสานรวมเสร็จสิ้นแล้วอาจมีเจ้าวิญญาณน้อยอีกตนหนึ่งเกิดขึ้นมา แต่นั่นก็มิใช่เขาในตอนนี้เสียหน่อย”

“แต่ก็ไม่แน่ว่าการผสานรวมอาจจะช่วยยกระดับศักยภาพของมณีวิญญาณได้” หมัวซาพูดเสริม “นอกจากนี้เจ้าจะไม่ได้สมบัติล้ำค่าภายในเจดีย์เจ็ดชั้นมาครอบครองด้วย เจ้ามิได้สนใจชั้นบนๆ เหล่านั้นมากมายเหลือเกินหรอกหรือ”

“ถูกต้อง ข้าสนใจมันเป็นอย่างยิ่ง แต่ข้าสนใจคนรอบตัวข้ามากกว่าน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ต่อให้ต้องการสิ่งของเหล่านั้น ข้าก็ยังอยากให้เจ้าวิญญาณน้อยอยู่ดีมีสุข”

“จะไม่นึกเสียใจภายหลังใช่ไหม” หมัวซาถาม

“ข้าไม่นึกเสียใจแน่ ตอนนี้เจ้าวิญญาณน้อยก็ล้ำเลิศเหลือเกินแล้ว ต่อให้ยกระดับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” ซือหม่าโยวเย่ว์จุมพิตบนใบหน้าของเจ้าวิญญาณน้อยครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมองหมัวซาพลางเอ่ยว่า “เช่นเดียวกัน ถ้าหากต้องใช้ท่านไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งใด ข้าก็ไม่มีทางยินยอมเช่นกัน มิใช่เพราะว่าท่านล้ำเลิศหรือรู้เรื่องราวต่างๆ มากมายหรอกนะ แต่เพียงเพราะว่าท่านคือท่าน เป็นคนใกล้ตัวข้าเท่านั้นเอง”

เป็นครั้งแรกที่หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์จูบบนใบหน้าของเจ้าวิญญาณน้อยแล้วเขามิได้ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำลายบนใบหน้าออก เขาฝังใบหน้าลงในอ้อมกอดของซือหม่าโยวเย่ว์ รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ

ถึงแม้ว่าเจ้านายคนก่อนหน้านี้จะชอบเขามากเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่เคยมีใครใส่ใจเขาขนาดนี้มาก่อน พวกเขาล้วนเห็นตนเป็นเพียงแค่วิญญาณครวญตนหนึ่งเท่านั้น มิใช่ “มนุษย์” ที่มีชีวิตจิตใจ

มิน่าเล่าตอนนั้นหลิงหลงถึงได้เลือกเธอ มิใช่เพราะเธออาจประสบความสำเร็จในภายหน้า แต่เป็นเพราะเธอเป็นคนที่มีหัวใจต่างหาก

หมัวซาหลุบตาลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนเร้นความรู้สึกในดวงตา

ก่อนหน้านี้เคยมีคนใส่ใจเขาเช่นนี้เสียที่ไหนกัน

ไม่มีเลย

คนเหล่านั้นบางคนก็พึ่งพาตน บางคนก็เคารพยกย่องตน บางคนก็แก้แค้นตน แต่ไม่เคยมีใครบอกกับเขามาก่อนเลยว่าเขาคือเขา เป็นคนใกล้ตัวของนาง ดังนั้นนางจึงต้องใส่ใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์ปล่อยตัวเจ้าวิญญาณน้อยแล้วหยิบเจดีย์เล็กขึ้นมาดูก่อนจะเอ่ยอย่างเสียดายอยู่บ้างว่า “ในเมื่อมิอาจเปิดออกดูได้ เช่นนั้นก็วางเอาไว้ที่นี่ ใช้เป็นหอหนังสือสะสมก็แล้วกัน”

“ได้สิ” หมัวซาพูดทันควัน

“อืม ก็คงได้แต่ทำเช่นนี้แล้วละนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดกับหมัวซา

“ข้าจะบอกว่า ทำการผสานรวมโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงวิญญาณครวญได้ต่างหากเล่า” หมัวซาพูด

“ข้ารู้ ท่านบอกว่าได้… ท่านบอกว่าทำการผสานรวมได้อย่างนั้นหรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งได้สติกลับคืนมา จึงหันหน้ามามองหมัวซาด้วยสองตาเปล่งประกาย

หมัวซาพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ทำได้ เพียงแต่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลายาวนานยิ่งขึ้น”

“จริงหรือ ฮ่าๆ ต้องใช้เวลานานก็ไม่เป็นไรหรอก!” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะเสียงดังลั่น “ขอเพียงแค่ผสานรวมได้โดยไม่ทำร้ายเจ้าวิญญาณน้อย จะใช้เวลามากน้อยเพียงใดล้วนมิใช่ปัญหาเลย”

เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ หมัวซาก็รู้สึกว่าเขาไม่ใช่ตัวเขาคนก่อนแล้ว ระยะหลังมานี้ เขายังใส่ใจความคิดของคนผู้หนึ่งเป็นด้วย คอยคิดว่าทำเช่นนี้แล้วผู้อื่นจะเบิกบานใจหรือไม่…

ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวเข้าไปข้างหน้าหมายจะตบบ่าเขา แต่มือกลับทะลุผ่านร่างกายเขาไป

“แค่กๆ มัวแต่ตื่นเต้นดีใจจนลืมไปเสียแล้วว่าท่านไม่มีร่างกาย” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บมือของตนกลับมาแล้วพูดว่า “ในเมื่อทำได้ เช่นนั้นจะต้องเตรียมสิ่งใดบ้าง แล้วข้าจะต้องทำอะไร”

“เจ้ามันไร้ประโยชน์สิ้นดี จะต้องให้เจ้าทำอะไรด้วยหรือ” หมัวซาพูด “ข้าจัดการเองได้น่า แค่ระยะนี้เจ้าจะมิอาจใช้มณีวิญญาณได้เท่านั้นเอง”

“…”

ความรู้สึกตื่นเต้นของซือหม่าโยวเย่ว์เมื่อครู่มิอาจบดบังความชิงชังที่เธอมีต่อหมัวซาในยามนี้ได้เลย จำเป็นต้องดูแคลนเธออย่างหนักถึงเพียงนี้ด้วยหรือ!

“เช่นนั้นข้าออกไปเก็บตำราข้างนอกมาให้หมดดีกว่า หลังจากนั้นค่อยยกมันให้กับท่าน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วเดินออกไปเก็บตำราทั้งหมดเข้ามาไว้ภายในแหวนเก็บวัตถุ หลังจากนั้นก็หยิบหีบสองใบออกไปจากหอหนังสือสะสม

เมื่อออกมาจากประตูใหญ่ก็พบว่าด้านนอกเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เธอหันหน้ากลับมามองหอหนังสือสะสมแล้วกล่าวอำลาประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นจึงเก็บหีบสองใบเข้าไปไว้ในมณีวิญญาณ

ไม่รู้ว่าหมัวซาทำอะไร หอหนังสือสะสมจึงสั่นสะท้านขึ้นมาในทันใด หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เลือนรางลงอย่างช้าๆ จนหายลับไปในที่สุด!

ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจจนตัวลอยเพราะความเคลื่อนไหวนี้ ยังดีที่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ถ้าหากผู้อื่นเห็นว่าเรือนหลังหนึ่งหายลับไปกลางอากาศตอนกลางวันแสกๆ เกรงว่าคงจะก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาอย่างแน่นอน

หากถึงพรุ่งนี้แล้วยังไม่พบเห็นอีก ก็ยังพูดได้ว่าเก็บกวาดไปในวันนี้แล้ว

เมื่อกลับไปถึงเรือน ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเรียกเจ้าคำรามน้อย หมัวซา ย่ากวงและหลิงหลงออกมา หลังจากนั้นยังหยิบสิ่งของจำเป็นออกมาอีกจำนวนหนึ่งด้วย อย่างเช่นเครื่องยาจำนวนมาก และยาวิเศษที่หลอมขึ้นมาก่อนหน้านี้เป็นต้น หลังจากนั้นจึงหยิบเอามณีวิญญาณอัปลักษณ์รูปร่างคล้ายตุ้มน้ำหนักออกมาแล้วมอบมันให้กับหมัวซา

“ห้ามทำร้ายเจ้าวิญญาณน้อยเด็ดขาดเลยนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์กำชับอีกครั้ง

หมัวซามิได้เอ่ยวาจา เพียงแค่เหลือบมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งแล้วรับเอามณีวิญญาณมา แล้วหยิบเจดีย์เล็กกลับเข้าไปภายในสร้อยข้อมือม่านถัว

พอเขาเข้าไปแล้วซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าตนลืมถามเขาว่าที่แท้แล้วเขาต้องใช้เวลานานเท่าใดกันแน่ ถ้าหากสิบปีแล้วยังผสานรวมไม่สำเร็จ เช่นนั้นก็ไม่เท่ากับว่าตนมิอาจใช้สิ่งของมณีวิญญาณได้ไปสิบปีหรอกหรือ!

แต่เมื่อนึกถึงว่าต่อให้ตนถามก็ไม่แน่ว่าหมัวซาจะบอกตน ถ้าไม่ดูแคลนก็คงไม่แยแส ดังนั้นเมื่อเธอคิดๆ ดูแล้ว ในที่สุดจึงปล่อยเลยตามเลย

“อืม ย่ากวงกับเจ้าคำรามน้อย เวลาต่อจากนี้ของพวกเจ้า คงได้แต่ติดอยู่ในมิติพันธสัญญาแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ได้ขอรับ เจ้านาย” ย่ากวงรับคำอย่างร่าเริง

เจ้าคำรามน้อยเข้ามาตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “เย่ว์เย่ว์เอ๋ย ไม่อย่างนั้นข้าอยู่ข้างนอกดีกว่า มิติพันธสัญญามันน่าเบื่อเกินไป ติดอยู่ข้างในนั้นมันช่างไร้ค่ายิ่งนัก!”

“ไม่ได้!” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บเจ้าคำรามน้อยกลับเข้าไปในมิติพันธสัญญาก่อน หลังจากนั้นย่ากวงก็กลับเข้าไปเองอย่างเชื่อฟัง

“หลิงหลง เจ้าไปอยู่ในแหวนเก็บวัตถุสักระยะหนึ่งก่อนเถิดนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางเก็บตัวหลิงหลงเข้าไปภายในแหวนเก็บวัตถุ

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดวงตากลมโตของเจ้าวิหคน้อยแล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “เจ้าไม่มีมิติพันธสัญญา ก็คงได้แต่อยู่ข้างนอกนี่แล้วล่ะนะ แต่ห้ามเผยพลังยุทธ์ของเจ้าต่อหน้าผู้อื่นเป็นอันขาดเลยนะ เข้าใจหรือไม่”

เจ้าวิหคน้อยพยักหน้าก่อนจะบินขึ้นไปบนคานห้อง

หลังจากจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อบ้านจึงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เมื่อหาตัวเธอพบจึงเอ่ยว่า ”คุณชาย เกิดเรื่องแล้วขอรับ”

“มีอะไรหรือ” พอซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินว่าเกิดเรื่อง จึงรีบเปิดประตูแล้วเอ่ยถาม

“คุณชาย หอหนังสือสะสมหายไปอย่างฉับพลันเลยขอรับ!” พ่อบ้านพูดอย่างร้อนรน

เมื่อซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินว่าเป็นเรื่องนี้จึงค่อยวางใจลงแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก เป็นฝีมือข้าเองแหละ”

“หา?” พ่อบ้านตกตะลึง

“สิ่งนั้นคืออาวุธวิญญาณที่ท่านปู่ทิ้งเอาไว้ เมื่อครู่ข้าก็เลยเก็บมันไปเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนที่ท่านให้คนสร้างบ้าน ก็ให้คนสร้างหอหนังสือสะสมสักแห่งหนึ่งก็แล้วกัน”

ถึงแม้ว่าพ่อบ้านจะไม่เข้าใจ แต่ในเมื่อเธอบอกว่าไม่เป็นไร เช่นนั้นเขาก็สงบจิตสงบใจลงได้

พอพ่อบ้านจากไปแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงปิดประตูลงแล้วนึกขึ้นมาได้ว่าตนยังมิได้อ่านตำราเล่มที่ซือหม่าเลี่ยวางเอาไว้กับหินเสียงเลย เธอจึงล้มเลิกการบำเพ็ญแล้วหยิบตำราออกมา

“เคล็ดแยกอัคคีพิโรธ นี่มันตำราอันใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นชื่อที่เขียนเอาไว้แล้วไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซือหม่าเลี่ยจึงวางตำราเล่มนี้เอาไว้ด้วยกันกับหินเสียง

ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงดาบเปลวเพลิงเล่มที่ปรากฏขึ้นยามซือหม่าเลี่ยและซือหม่าข่ายต่อสู้กันขึ้นมาได้ หรือว่าตำราเล่มนี้จะเกี่ยวกับการศึกษาทักษะนั้น

เธอหยิบหีบใบหนึ่งออกมาจากภายในแหวนเก็บวัตถุ หีบใบนี้เหมือนกันกับหีบที่ใส่เจดีย์จำลอง เธอมองเพียงปราดเดียวก็จำได้แล้ว

เธอเปิดหีบออก ภายในมีเพียงแค่แผ่นเหล็กเล็กๆ แผ่นหนึ่งวางอยู่เท่านั้น เมื่อเห็นแผ่นเหล็ก เธอก็นึกถึงร่องขนาดเล็กที่ฐานเจดีย์เล็กขึ้นมาในทันใด

เธอหยิบเจดีย์เล็กออกมาแล้วพลิกกลับด้านแล้ววางแผ่นเหล็กลงไปด้านบน ก่อนจะเทียบกันดู ก็พบว่าขนาดและรูปร่างล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น

เพราะไม่รู้ประโยชน์ของแผ่นเหล็กนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้รีบร้อนใส่แผ่นเหล็กเข้าไป แต่หยิบเจดีย์เล็กขึ้นมาสำรวจก่อน

“นี่คือเจดีย์เจ็ดชั้น” เสียงของหมัวซาดังขึ้น จากนั้นเงาร่างของเขาก็ค่อยๆ ลอยออกมาจากภายในสร้อยข้อมือม่านถัวอย่างช้าๆ

“เจดีย์เจ็ดชั้นหรือ คือสิ่งใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“เจดีย์เจ็ดชั้นคืออาวุธของผู้แกร่งกล้าในอดีตท่านหนึ่ง ต่อมาหลังจากที่ผู้แกร่งกล้าท่านนั้นตายไปแล้วก็ไม่ทราบหลักแหล่งแน่ชัด ว่ากันว่าเจดีย์เจ็ดชั้นมีอยู่เจ็ดชั้น ทุกชั้นล้วนมีประโยชน์แตกต่างกัน แต่ตอนนี้มีคนรู้จักของสิ่งนี้น้อยนัก และยิ่งไม่มีใครรู้ประโยชน์ของแต่ละชั้นของมันเลย” หมัวซาเหลือบมองหอหนังสือสะสมปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าว่าชั้นแรกน่าจะเป็นคลังเก็บของกระมัง”

“อ้อ” ซือหม่าโยวเย่ว์รับคำเสียงหนึ่งแล้วมองหมัวซาพลางถามว่า “เหตุใดวันนั้นท่านจึงไม่ออกมาเล่า”

หมัวซารู้ว่าเธอหมายถึงวันที่ซือหม่าเลี่ยถูกพาตัวไป และฟังออกว่าเธอตำหนิตนอยู่บ้าง แต่เขาเองก็ไม่คิดจะอธิบาย เพียงแค่พูดอย่างเรียบเรื่อยประโยคหนึ่งว่า “เจ้าอยากให้ผู้อื่นรู้ว่าเจ้ามีความเกี่ยวข้องกับคนเผ่ามารอย่างนั้นหรือ หรือจะบอกว่าตระกูลซือหม่ามีความเกี่ยวข้องกับเผ่ามารดี?”

วาจาเพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้คำพูดทั้งหมดของซือหม่าโยวเย่ว์ถูกกลืนกลับลงไป

เขาพูดได้ถูกต้อง ถ้าหากเขาออกมาในเวลานั้น ตระกูลซือหม่าคงไม่มีที่ยืนในอาณาจักรตงเฉินอีกต่อไปแล้ว

“ข้าเข้าใจแล้ว ขอโทษด้วย ข้าไม่ควรตำหนิท่านเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“อันที่จริงตัวเจ้าเองก็รู้ เพียงแต่การให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อมิใช่วิธีจัดการที่ดีเท่านั้นเอง” อาจเป็นเพราะเห็นเธอรู้สึกไม่ดีนัก หมัวซาจึงปลอบประโลมเธออย่างหาได้ยากยิ่ง

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เกิดมาตนไม่เคยปลอบประโลมใครมาก่อนเลย ไม่ฆ่าใครทิ้งก็นับว่าดีแล้ว เป็นเพราะการทำพันธสัญญานี้ทั้งนั้น ทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูกบางอย่างต่อเธอตลอดเวลา

ซือหม่าโยวเย่ว์เงียบไป เหมือนที่เขาพูด เธอก็รู้ว่าการให้พวกเขาอยู่ต่อเป็นเพียงแค่วิธีการแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้น พอพวกซือหม่าหลินกลับไปแล้วย่อมต้องส่งคนมาเพิ่มอีก พอถึงเวลา ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกัน นอกจากนี้การต่อสู้อาจส่งผลกระทบต่อคนบริสุทธิ์อีกด้วย

วิธีการที่ดีที่สุดก็คือพูดเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนั้นออกมาให้กระจ่าง เมื่อถึงตอนนั้นพวกซือหม่าเลี่ยจึงจะใช้ชีวิตได้อย่างสง่าผ่าเผย

“เจ้าคิดไว้เรียบร้อยแล้วมิใช่หรือว่าอีกสามปีให้หลังจะไปช่วยพวกเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ยกระดับพลังยุทธ์ให้เร็วที่สุด ดีกว่ามามัวนั่งเสียใจอยู่ที่นี่” หมัวซาพูด

“ข้าเข้าใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เธอรู้ว่าตอนนี้มิใช่เวลาให้ตนมานั่งจ่อมจม เธอถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะเบนความสนใจไปยังเจดีย์เล็กตรงหน้าอีกครั้ง “ท่านปู่บอกว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าเจดีย์นี้ใช้ประโยชน์อย่างไร ท่านรู้หรือไม่”

“ข้ารู้!” หมัวซายังไม่ทันเอ่ยวาจา เสียงของเจ้าวิญญาณน้อยก็ลอยมาก่อนเสียแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์พาหมัวซาเข้ามาในมณีวิญญาณ เมื่อเห็นเจ้าวิญญาณน้อยและหลิงหลงอยู่ด้วยกันจึงถามว่า “เจ้ารู้หรือว่าใช้อย่างไร”

“เคยได้ยินมาน่ะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “เจดีย์นี้คืออาวุธวิญญาณตั้งแต่สมัยโบราณเนิ่นนานมาแล้ว ถึงแม้ว่าจะสู้ข้ามิได้ แต่ระดับขั้นก็ไม่เบาเลยทีเดียว”

แม้ว่าจะพูดถึงผู้อื่น แต่เจ้าวิญญาณน้อยก็ไม่ลืมที่จะเยินยอตัวเอง

“เช่นนั้นต้องใช้มันอย่างไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด ของสิ่งนี้ก็ไร้ประโยชน์แล้วล่ะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“เพราะเหตุใดเล่า”

“เพราะวิญญาณครวญของมันดับสูญไปแล้วน่ะสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ตอนนี้เจดีย์เล็กที่เจ้าเห็นอยู่นั้นมืดหม่นไร้แสงสว่างเสียแล้ว แสดงว่าวิญญาณครวญไม่อยู่แล้ว”

“วิญญาณครวญของอาวุธวิญญาณก็ดับสูญได้ด้วยอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าวิญญาณน้อยอย่างตกตะลึง “เช่นนั้นเจ้ามีชีวิตอยู่มาหลายแสนหลายล้านปี เหตุใดจึงไม่ดับสูญเล่า!”

“วิญญาณครวญทั่วไปมิอาจดับสูญได้หรอก แต่วิญญาณครวญของเจดีย์เจ็ดชั้นนี้พิเศษยิ่งนัก!” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่าเจดีย์เจ็ดชั้นนี้เป็นสิ่งที่เจ้านายท่านนั้นหลอมขึ้นมาเองกับมือ ขณะที่เขาหลอมได้ใส่วิญญาณของตนเองเข้าไปด้วย ต่อมาเมื่อเขาสิ้นลม วิญญาณส่วนนั้นได้เลือนหายไปอย่างช้าๆ ตามระยะเวลาอันยาวนาน เจดีย์เจ็ดชั้นมิอาจหล่อเลี้ยงวิญญาณได้เหมือนกับข้า”

“เช่นนั้นมันก็ไร้ประโยชน์แล้วน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ก็คงจะประมาณนั้นแหละ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “อย่างไรก็ตาม คลังเก็บของชั้นแรกคงยังใช้ประโยชน์ได้อยู่ เพียงแต่มิอาจเปิดชั้นบนๆ ทั้งหลายออกมาได้เท่านั้น”

“ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์สิ้นหวังอยู่บ้าง นี่เป็นถึงสิ่งที่ผู้แกร่งกล้ายุคโบราณทิ้งเอาไว้เชียวนะ ของชิ้นนี้จะต้องล้ำเลิศอย่างยิ่งแน่นอน

“ไม่มีเลย” เจ้าวิญญาณน้อยส่ายหน้าอย่างเรียบง่าย “เจ้าก็ใช้มันเป็นที่เก็บของแล้วกัน”

ซือหม่าโยวเย่ว์เขกหัวเจ้าวิญญาณน้อยแล้วพูดว่า “มีห้วงมิติอันไร้ขอบเขตอย่างเจ้าอยู่ แล้วข้าจะต้องการมิติเก็บของไปทำไมอีกเล่า!”

“ก็ใช่ เช่นนั้นก็โยนมันทิ้งไปเสียเถิด” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์เขกหัวเขาอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าของชิ้นนี้จะใช้การมิได้ แต่ก็ยังใช้เป็นหอหนังสือสะสมได้อยู่

“เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ ไม่แน่ว่าชั้นบนๆ อาจยังมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าอยู่ก็เป็นได้!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“อันที่จริงก็มิใช่ว่าจะไม่มีวิธีหรอกนะ” หมัวซาพูด

“ท่านรู้อย่างนั้นหรือ!” แววตาที่หม่นหมองของซือหม่าโยวเย่ว์เปล่งประกายขึ้นมาในทันใด สายตาที่มองหมัวซาก็แปรเปลี่ยนไปด้วย

“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะทำได้หรือไม่” หมัวซาพูด “ในเมื่อเป็นสิ่งของจากยุคโบราณ ข้าคิดว่ามันน่าจะผสานรวมกับมณีวิญญาณได้”

“ผสานรวมอย่างนั้นหรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าวิญญาณน้อยส่งเสียงอุทานออกมาพร้อมกันเป็นเสียงเดียว

หมัวซาพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจดีย์เจ็ดชั้นนี้ใช้ไม่ได้เพราะวิญญาณครวญแหลกสลาย ถ้าหากผสานรวมมันกับมณีวิญญาณเข้าด้วยกันแล้วใส่วิญญาณครวญเข้าไปอีกครั้ง ก็น่าจะเปิดชั้นบนๆ หลายชั้นนั้นได้แล้วล่ะ”

“แต่การทำเช่นนี้ต้องให้นักหลอมวัตถุเป็นผู้หลอมเท่านั้นมิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แล้วข้าจะไปหานักหลอมวัตถุเช่นนี้มาจากที่ใดเล่า นอกจากนี้ยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มิอาจเปิดเผยความลับได้อีกด้วย เช่นนั้นก็ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่เลยน่ะสิ”

“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าใครเป็นผู้หลอมสร้อยข้อมือ” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงสร้อยข้อมือที่สวมอยู่ขึ้นมาได้ “ท่านจะบอกว่าท่านเป็นนักหลอมวัตถุอย่างนั้นหรือ”

“ก็หลอมวัตถุได้” หมัวซาพูด

“ระดับขั้นไหนหรือ”

“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ถึงอย่างไรก็ผสานรวมเจดีย์เจ็ดชั้นกับมณีวิญญาณได้แล้วกัน” หมัวซาพูด

“อีกแล้วนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองค้อนเขาคราหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตอนถามเขาเรื่องระดับขั้นการหลอมยาก็เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็เป็นอีกแล้ว ช่างเหลือเกินจริงๆ!

“เช่นนั้นต้องทำอย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก”

“…” ซือหม่าโยวเย่ว์จ้องมองหมัวซาอย่างไร้ซึ่งคำพูด ต้องดูถูกเธอเช่นนี้ด้วยหรือ!

เจ้าคนผู้นี้ ทำได้ทั้งการฝึกสัตว์อสูร ทั้งการหลอมยา ตอนนี้ยังเป็นนักหลอมวัตถุที่มีระดับขั้นมิใช่น้อยอีกด้วย ผู้อื่นล้วนรู้สึกว่าเธอแปลกประหลาด แต่เหตุใดเธอจึงรู้สึกว่าเจ้าคนผู้นี้ต่างหากเล่าที่เป็นตัวประหลาดที่แท้จริง

“เอาละ ท่านไม่บอกก็ช่างเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด หลังจากนั้นจึงมองหมัวซาอย่างจริงจังยิ่งพลางถามว่า “ถ้าหากผสานเจดีย์เจ็ดชั้นกับมณีวิญญาณเข้าด้วยกันแล้วเจ้าวิญญาณน้อยจะหายสาบสูญไปหรือไม่”

“ถ้าหากต้องหายสาบสูญไปเล่า”

“ถ้าหากต้องหายไป เช่นนั้นข้าขอล้มเลิกดีกว่า”

เมื่อเจ้าวิญญาณน้อยที่อยู่ข้างๆ ได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง

เธอหยิบหีบใบหนึ่งออกมาจากภายในแหวนเก็บวัตถุ หีบใบนี้เหมือนกันกับหีบที่ใส่เจดีย์จำลอง เธอมองเพียงปราดเดียวก็จำได้แล้ว

เธอเปิดหีบออก ภายในมีเพียงแค่แผ่นเหล็กเล็กๆ แผ่นหนึ่งวางอยู่เท่านั้น เมื่อเห็นแผ่นเหล็ก เธอก็นึกถึงร่องขนาดเล็กที่ฐานเจดีย์เล็กขึ้นมาในทันใด

เธอหยิบเจดีย์เล็กออกมาแล้วพลิกกลับด้านแล้ววางแผ่นเหล็กลงไปด้านบน ก่อนจะเทียบกันดู ก็พบว่าขนาดและรูปร่างล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น

เพราะไม่รู้ประโยชน์ของแผ่นเหล็กนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้รีบร้อนใส่แผ่นเหล็กเข้าไป แต่หยิบเจดีย์เล็กขึ้นมาสำรวจก่อน

“นี่คือเจดีย์เจ็ดชั้น” เสียงของหมัวซาดังขึ้น จากนั้นเงาร่างของเขาก็ค่อยๆ ลอยออกมาจากภายในสร้อยข้อมือม่านถัวอย่างช้าๆ

“เจดีย์เจ็ดชั้นหรือ คือสิ่งใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“เจดีย์เจ็ดชั้นคืออาวุธของผู้แกร่งกล้าในอดีตท่านหนึ่ง ต่อมาหลังจากที่ผู้แกร่งกล้าท่านนั้นตายไปแล้วก็ไม่ทราบหลักแหล่งแน่ชัด ว่ากันว่าเจดีย์เจ็ดชั้นมีอยู่เจ็ดชั้น ทุกชั้นล้วนมีประโยชน์แตกต่างกัน แต่ตอนนี้มีคนรู้จักของสิ่งนี้น้อยนัก และยิ่งไม่มีใครรู้ประโยชน์ของแต่ละชั้นของมันเลย” หมัวซาเหลือบมองหอหนังสือสะสมปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าว่าชั้นแรกน่าจะเป็นคลังเก็บของกระมัง”

“อ้อ” ซือหม่าโยวเย่ว์รับคำเสียงหนึ่งแล้วมองหมัวซาพลางถามว่า “เหตุใดวันนั้นท่านจึงไม่ออกมาเล่า”

หมัวซารู้ว่าเธอหมายถึงวันที่ซือหม่าเลี่ยถูกพาตัวไป และฟังออกว่าเธอตำหนิตนอยู่บ้าง แต่เขาเองก็ไม่คิดจะอธิบาย เพียงแค่พูดอย่างเรียบเรื่อยประโยคหนึ่งว่า “เจ้าอยากให้ผู้อื่นรู้ว่าเจ้ามีความเกี่ยวข้องกับคนเผ่ามารอย่างนั้นหรือ หรือจะบอกว่าตระกูลซือหม่ามีความเกี่ยวข้องกับเผ่ามารดี?”

วาจาเพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้คำพูดทั้งหมดของซือหม่าโยวเย่ว์ถูกกลืนกลับลงไป

เขาพูดได้ถูกต้อง ถ้าหากเขาออกมาในเวลานั้น ตระกูลซือหม่าคงไม่มีที่ยืนในอาณาจักรตงเฉินอีกต่อไปแล้ว

“ข้าเข้าใจแล้ว ขอโทษด้วย ข้าไม่ควรตำหนิท่านเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“อันที่จริงตัวเจ้าเองก็รู้ เพียงแต่การให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อมิใช่วิธีจัดการที่ดีเท่านั้นเอง” อาจเป็นเพราะเห็นเธอรู้สึกไม่ดีนัก หมัวซาจึงปลอบประโลมเธออย่างหาได้ยากยิ่ง

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เกิดมาตนไม่เคยปลอบประโลมใครมาก่อนเลย ไม่ฆ่าใครทิ้งก็นับว่าดีแล้ว เป็นเพราะการทำพันธสัญญานี้ทั้งนั้น ทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูกบางอย่างต่อเธอตลอดเวลา

ซือหม่าโยวเย่ว์เงียบไป เหมือนที่เขาพูด เธอก็รู้ว่าการให้พวกเขาอยู่ต่อเป็นเพียงแค่วิธีการแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้น พอพวกซือหม่าหลินกลับไปแล้วย่อมต้องส่งคนมาเพิ่มอีก พอถึงเวลา ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกัน นอกจากนี้การต่อสู้อาจส่งผลกระทบต่อคนบริสุทธิ์อีกด้วย

วิธีการที่ดีที่สุดก็คือพูดเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนั้นออกมาให้กระจ่าง เมื่อถึงตอนนั้นพวกซือหม่าเลี่ยจึงจะใช้ชีวิตได้อย่างสง่าผ่าเผย

“เจ้าคิดไว้เรียบร้อยแล้วมิใช่หรือว่าอีกสามปีให้หลังจะไปช่วยพวกเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ยกระดับพลังยุทธ์ให้เร็วที่สุด ดีกว่ามามัวนั่งเสียใจอยู่ที่นี่” หมัวซาพูด

“ข้าเข้าใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เธอรู้ว่าตอนนี้มิใช่เวลาให้ตนมานั่งจ่อมจม เธอถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะเบนความสนใจไปยังเจดีย์เล็กตรงหน้าอีกครั้ง “ท่านปู่บอกว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าเจดีย์นี้ใช้ประโยชน์อย่างไร ท่านรู้หรือไม่”

“ข้ารู้!” หมัวซายังไม่ทันเอ่ยวาจา เสียงของเจ้าวิญญาณน้อยก็ลอยมาก่อนเสียแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์พาหมัวซาเข้ามาในมณีวิญญาณ เมื่อเห็นเจ้าวิญญาณน้อยและหลิงหลงอยู่ด้วยกันจึงถามว่า “เจ้ารู้หรือว่าใช้อย่างไร”

“เคยได้ยินมาน่ะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “เจดีย์นี้คืออาวุธวิญญาณตั้งแต่สมัยโบราณเนิ่นนานมาแล้ว ถึงแม้ว่าจะสู้ข้ามิได้ แต่ระดับขั้นก็ไม่เบาเลยทีเดียว”

แม้ว่าจะพูดถึงผู้อื่น แต่เจ้าวิญญาณน้อยก็ไม่ลืมที่จะเยินยอตัวเอง

“เช่นนั้นต้องใช้มันอย่างไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด ของสิ่งนี้ก็ไร้ประโยชน์แล้วล่ะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“เพราะเหตุใดเล่า”

“เพราะวิญญาณครวญของมันดับสูญไปแล้วน่ะสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ตอนนี้เจดีย์เล็กที่เจ้าเห็นอยู่นั้นมืดหม่นไร้แสงสว่างเสียแล้ว แสดงว่าวิญญาณครวญไม่อยู่แล้ว”

“วิญญาณครวญของอาวุธวิญญาณก็ดับสูญได้ด้วยอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าวิญญาณน้อยอย่างตกตะลึง “เช่นนั้นเจ้ามีชีวิตอยู่มาหลายแสนหลายล้านปี เหตุใดจึงไม่ดับสูญเล่า!”

“วิญญาณครวญทั่วไปมิอาจดับสูญได้หรอก แต่วิญญาณครวญของเจดีย์เจ็ดชั้นนี้พิเศษยิ่งนัก!” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่าเจดีย์เจ็ดชั้นนี้เป็นสิ่งที่เจ้านายท่านนั้นหลอมขึ้นมาเองกับมือ ขณะที่เขาหลอมได้ใส่วิญญาณของตนเองเข้าไปด้วย ต่อมาเมื่อเขาสิ้นลม วิญญาณส่วนนั้นได้เลือนหายไปอย่างช้าๆ ตามระยะเวลาอันยาวนาน เจดีย์เจ็ดชั้นมิอาจหล่อเลี้ยงวิญญาณได้เหมือนกับข้า”

“เช่นนั้นมันก็ไร้ประโยชน์แล้วน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ก็คงจะประมาณนั้นแหละ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “อย่างไรก็ตาม คลังเก็บของชั้นแรกคงยังใช้ประโยชน์ได้อยู่ เพียงแต่มิอาจเปิดชั้นบนๆ ทั้งหลายออกมาได้เท่านั้น”

“ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์สิ้นหวังอยู่บ้าง นี่เป็นถึงสิ่งที่ผู้แกร่งกล้ายุคโบราณทิ้งเอาไว้เชียวนะ ของชิ้นนี้จะต้องล้ำเลิศอย่างยิ่งแน่นอน

“ไม่มีเลย” เจ้าวิญญาณน้อยส่ายหน้าอย่างเรียบง่าย “เจ้าก็ใช้มันเป็นที่เก็บของแล้วกัน”

ซือหม่าโยวเย่ว์เขกหัวเจ้าวิญญาณน้อยแล้วพูดว่า “มีห้วงมิติอันไร้ขอบเขตอย่างเจ้าอยู่ แล้วข้าจะต้องการมิติเก็บของไปทำไมอีกเล่า!”

“ก็ใช่ เช่นนั้นก็โยนมันทิ้งไปเสียเถิด” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์เขกหัวเขาอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าของชิ้นนี้จะใช้การมิได้ แต่ก็ยังใช้เป็นหอหนังสือสะสมได้อยู่

“เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ ไม่แน่ว่าชั้นบนๆ อาจยังมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าอยู่ก็เป็นได้!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“อันที่จริงก็มิใช่ว่าจะไม่มีวิธีหรอกนะ” หมัวซาพูด

“ท่านรู้อย่างนั้นหรือ!” แววตาที่หม่นหมองของซือหม่าโยวเย่ว์เปล่งประกายขึ้นมาในทันใด สายตาที่มองหมัวซาก็แปรเปลี่ยนไปด้วย

“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะทำได้หรือไม่” หมัวซาพูด “ในเมื่อเป็นสิ่งของจากยุคโบราณ ข้าคิดว่ามันน่าจะผสานรวมกับมณีวิญญาณได้”

“ผสานรวมอย่างนั้นหรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าวิญญาณน้อยส่งเสียงอุทานออกมาพร้อมกันเป็นเสียงเดียว

หมัวซาพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจดีย์เจ็ดชั้นนี้ใช้ไม่ได้เพราะวิญญาณครวญแหลกสลาย ถ้าหากผสานรวมมันกับมณีวิญญาณเข้าด้วยกันแล้วใส่วิญญาณครวญเข้าไปอีกครั้ง ก็น่าจะเปิดชั้นบนๆ หลายชั้นนั้นได้แล้วล่ะ”

“แต่การทำเช่นนี้ต้องให้นักหลอมวัตถุเป็นผู้หลอมเท่านั้นมิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แล้วข้าจะไปหานักหลอมวัตถุเช่นนี้มาจากที่ใดเล่า นอกจากนี้ยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มิอาจเปิดเผยความลับได้อีกด้วย เช่นนั้นก็ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่เลยน่ะสิ”

“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าใครเป็นผู้หลอมสร้อยข้อมือ” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงสร้อยข้อมือที่สวมอยู่ขึ้นมาได้ “ท่านจะบอกว่าท่านเป็นนักหลอมวัตถุอย่างนั้นหรือ”

“ก็หลอมวัตถุได้” หมัวซาพูด

“ระดับขั้นไหนหรือ”

“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ถึงอย่างไรก็ผสานรวมเจดีย์เจ็ดชั้นกับมณีวิญญาณได้แล้วกัน” หมัวซาพูด

“อีกแล้วนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองค้อนเขาคราหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตอนถามเขาเรื่องระดับขั้นการหลอมยาก็เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็เป็นอีกแล้ว ช่างเหลือเกินจริงๆ!

“เช่นนั้นต้องทำอย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก”

“…” ซือหม่าโยวเย่ว์จ้องมองหมัวซาอย่างไร้ซึ่งคำพูด ต้องดูถูกเธอเช่นนี้ด้วยหรือ!

เจ้าคนผู้นี้ ทำได้ทั้งการฝึกสัตว์อสูร ทั้งการหลอมยา ตอนนี้ยังเป็นนักหลอมวัตถุที่มีระดับขั้นมิใช่น้อยอีกด้วย ผู้อื่นล้วนรู้สึกว่าเธอแปลกประหลาด แต่เหตุใดเธอจึงรู้สึกว่าเจ้าคนผู้นี้ต่างหากเล่าที่เป็นตัวประหลาดที่แท้จริง

“เอาละ ท่านไม่บอกก็ช่างเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด หลังจากนั้นจึงมองหมัวซาอย่างจริงจังยิ่งพลางถามว่า “ถ้าหากผสานเจดีย์เจ็ดชั้นกับมณีวิญญาณเข้าด้วยกันแล้วเจ้าวิญญาณน้อยจะหายสาบสูญไปหรือไม่”

“ถ้าหากต้องหายสาบสูญไปเล่า”

“ถ้าหากต้องหายไป เช่นนั้นข้าขอล้มเลิกดีกว่า”

เมื่อเจ้าวิญญาณน้อยที่อยู่ข้างๆ ได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง

“คุณชาย” พ่อบ้านกลับมาพอดี เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ยืนค้างอยู่ตรงนั้นจึงเดินเข้ามาหา

ซือหม่าโยวเย่ว์หมุนกายมามองพ่อบ้านแล้วพูดว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”

“ตระกูลชวีตัดสินใจร่วมมือกับพวกเราแล้ว ส่วนประเด็นสำคัญต่างๆ นั้นไว้ค่อยหารือกันต่อไป” พ่อบ้านพูด

วันนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ไปสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร ส่วนเขาไปที่ตระกูลชวีเพื่อพบบิดาของเจ้าอ้วนชวี หารือกันเรื่องการจัดหาสินค้า

“คุณชาย สถานการณ์ทางด้านท่านเป็นเช่นไรบ้าง”

“นับได้ว่าราบรื่นเลยทีเดียว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเรากลับเข้าไปกันก่อนค่อยว่ากันเถิด”

เมื่อกลับไปถึงห้องประชุมชั่วคราว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฟังรอบหนึ่ง เมื่อได้ฟังว่าไม่เพียงแต่ซือหม่าโยวเย่ว์จะต่อรองกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเสร็จเรียบร้อยเท่านั้น แต่ยังได้เป็นผู้อาวุโสของสมาคมอีกด้วย จึงทำให้เขาดีใจไม่น้อย

“ในเมื่อมีชื่อเสียงแล้วพวกเราก็เตรียมการเกณฑ์คนได้แล้วสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนนี้พวกเราต้องการคนอย่างเร่งด่วน ดังนั้นจึงผ่อนคลายเงื่อนไขลงได้เล็กน้อย ขอเพียงแค่มีความสามารถมากพอ และบุคลิกไม่ย่ำแย่มากนักก็ใช้ได้แล้ว นอกจากนี้ยังต้องรับรองว่าจะทำงานให้จวนซือหม่าสิบปี ภายในสิบปีนี้จะได้รับค่าจ้างจากจวนซือหม่า พอครบสิบปีแล้วจะอยู่หรือไปก็ย่อมได้ ให้พวกเขาเลือกกันเอาเอง”

“คุณชาย เหตุใดจึงต้องเป็นสิบปีด้วยเล่า” พ่อบ้านไม่เข้าใจ

“มีปรมาจารย์วิญญาณบางคนที่ไม่ชมชอบการถูกผูกมัด ถ้าหากให้พวกเขาทำงานให้พวกเราไปตลอดชีวิต พวกเขาย่อมไม่มีทางเห็นด้วยแน่ แต่ถ้าหากเป็นระยะเวลาเพียงแค่สิบปี พวกเขาก็จะเห็นสิ่งนี้เป็นเพียงแค่ข้อตกลงแล้วยอมทำอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ทว่าสิบปีก็เพียงพอให้พวกเราพัฒนาหล่อหลอมเป็นขุมอำนาจของตัวเองได้แล้วล่ะ”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง คุณชายช่างคิดไตร่ตรองได้รอบคอบยิ่งนัก” พ่อบ้านพูดพลางพยักหน้า

“สำหรับเงื่อนไขการเกณฑ์คนนั้น จะต้องมีพลังยุทธ์เหนือกว่าระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณขึ้นไป นอกจากนี้ยังจะได้ครอบครองสัตว์อสูรวิเศษระดับต่างๆ โดยอ้างอิงจากระดับขั้น ทั้งยังยังเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่ข้าฝึกให้เชื่องเอง บวกกับยาวิเศษสมุนไพรอื่นๆ อีกด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดเสริม “นอกจากนี้เมื่อเข้าตระกูลซือหม่าแล้วจะได้ค่าจ้างที่ดีเท่ากับทหารยามของพวกเราเองเลย ท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ดี ต้องมีผลตอบแทนที่ดีจึงจะมีคนเต็มใจอยู่ต่อ” พ่อบ้านขานตอบ

“ในเมื่อท่านเองก็เห็นด้วย เช่นนั้นก็ไปเตรียมติดป้ายประกาศเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์เสริม “นอกจากนี้ให้คนเร่งซ่อมแซมจวนซือหม่าด้วย พวกเรามิอาจอยู่อย่างไร้บ้านไปได้ตลอดทั้งยังไม่เอื้อต่อการดึงดูดผู้มีความสามารถอีกด้วย”

“ขอรับคุณชาย”

“ท่านไปจัดการเรื่องหลักๆ ก่อน รอให้เกณฑ์คนได้แล้วค่อยให้คนไปจับสัตว์อสูรวิเศษ พวกเรามิอาจพึ่งพาสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรตลอดไปได้หรอกนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวไปจัดการก่อนนะขอรับ” พ่อบ้านค้อมกายเล็กน้อยเตรียมจะจากไป

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพ่อบ้านเพิ่งกลับมาแล้วกำลังจะไปทำงานต่อโดยที่ยังไม่ทันได้พักหายใจ จึงเอ่ยว่า “เวลาในช่วงนี้ลำบากยิ่งนัก ต้องรบกวนท่านด้วย”

พ่อบ้านส่ายหน้า “ได้เป็นธุระให้ตระกูลซือหม่า นับเป็นวาสนาของตาแก่เช่นข้าแล้วขอรับ”

“ท่านอาฝู ขอบคุณท่านมาก”

พ่อบ้านออกไปพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางที่ซือหม่าเลี่ยจากไปแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ท่านนายพล… คุณชายเติบใหญ่แล้วจริงๆ นะขอรับ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากห้องประชุม ก็เห็นคนที่กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมแซมจวนซือหม่า จึงผ่อนลมหายใจยาว

เมื่อเห็นหอหนังสือสะสมอันสมบูรณ์ไร้ที่ติ เธอจึงนึกถึงข้อสงสัยก่อนหน้านี้ขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปอย่างช้าๆ

เธอหยุดยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าหอหนังสือสะสมแล้วนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ซือหม่าเลี่ยพาตนมาที่นี่เป็นครั้งแรกขึ้นมา ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง กุญแจดอกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่กลางอุ้งมือของเธอ

“คลิก…”

เธอเสียบลูกกุญแจเข้าไปในรูกุญแจ ประตูก็เปิดออกตามเสียงนั้น

เมื่อผลักประตูเปิดเข้าไป เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ประตูก็ปิดลง

เธอเดินขึ้นเดินลงวนไปวนมาอยู่ภายในหอหนังสือหลายรอบก็ไม่พบสิ่งใดเป็นพิเศษ เพียงแค่พบหีบใบหนึ่งที่ชั้นบนสุดเท่านั้น

เธอหยิบหีบมาเปิดออก ก็เห็นว่าภายในนั้นมีแบบจำลองของหอหนังสือสะสมอยู่อันหนึ่งซึ่งมีความละเอียดและประณีต

“คราวก่อนที่มายังไม่เห็นสิ่งนี้เลย ท่านปู่เอามาวางไว้ที่นี่ทีหลังอย่างนั้นหรือ” เธอหยิบหอหนังสือสะสมมาตรวจตราอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จึงเห็นว่ามีร่องเล็กๆ อยู่ที่ด้านล่าง ซึ่งไม่รู้ว่ามีประโยชน์เช่นไร

เธอวางหออันเล็กกลับไปแล้วนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้

“ท่านปู่ ท่านพี่…”

แต่ก่อนล้วนมีคนในครอบครัวอยู่เป็นเพื่อนทุกครั้งยามกลับบ้าน แต่ตอนนี้มีเพียงแค่เธอเพียงคนเดียวจัดการทั้งบ้านด้วยตนเอง เธอจึงรู้สึกว่าแต่ก่อนตนเองโชคดีเพียงใด

เมื่อนึกถึงแหวนที่ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสมอบให้เธอ เธอจึงหยิบมันออกมาจากภายในมณีวิญญาณ ก่อนหน้านี้เพราะในใจเป็นทุกข์มากเกินไป จึงมิทันได้สังเกตว่านี่ก็คือวงที่เธอสวมอยู่เป็นปกตินั่นเอง!

พลังจิตด้านบนได้ถูกขจัดออกไปแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าแหวนวงนี้เป็นแหวนที่ไร้เจ้าของ

“ท่านปู่…”

เธอปล่อยพลังจิตเข้าไป ก็เห็นคลังปกติของซือหม่าเลี่ย จึงค้นพบว่าถึงแม้เขาจะเป็นราชันวิญญาณ ทั้งยังเป็นแม่ทัพแห่งอาณาจักรตงเฉิน แต่กลับมิได้มีสิ่งของมีค่ามากมายสักเท่าใดนัก

ความจริงแล้วทรัพย์สินของซือหม่าเลี่ยก็นับได้ว่ามั่งคั่งในอาณาจักรตงเฉินแล้ว เพียงแต่เธอเคยเห็นสิ่งของมากมายภายในมณีวิญญาณมาแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกว่าซือหม่าเลี่ยอัตคัดนัก

เธอกวาดตามองแหวนเก็บวัตถุรอบหนึ่ง จึงเห็นหนังสือเล่มหนึ่งกับหินเสียงก้อนหนึ่งวางอยู่ที่มุม

เธอหยิบหินเสียงขึ้นมาแล้วใส่พลังวิญญาณเข้าไป อักขระด้านบนเริ่มโคจร จากนั้นน้ำเสียงอันคุ้นเคยของซือหม่าเลี่ยจึงลอยออกมา

“โยวเย่ว์ ถ้าหากเจ้าได้ฟังสิ่งนี้ แสดงว่าตอนนี้ข้าคงจะมิได้อยู่ที่อาณาจักรตงเฉินแล้ว” เสียงของซือหม่าเลี่ยแก่ชราเล็กน้อย น้ำเสียงฟังดูเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง

“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เคยบอกเจ้ามาโดยตลอด แท้ที่จริงแล้วเจ้ามิใช่สายเลือดของตระกูลซือหม่า จำสิ่งที่ข้าเคยบอกเจ้าได้หรือไม่ ตอนนั้นครอบครัวเราหนีไปถึงเทือกเขาสั่วเฟยย่า คนอื่นตายกันหมดแล้ว แต่สุดท้ายข้าได้รับความช่วยเหลือจากคนผู้หนึ่ง พาตัวข้าออกมาจากเทือกเขาสั่วเฟยย่า คนผู้นั้นก็คือบิดาของเจ้า เดิมทีข้าคิดว่าคงจะมิได้พบเจอกับเขาอีกแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนเขาจะปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับอุ้มเจ้าเอาไว้ในอ้อมแขน หลังจากที่เขาฝากฝังเจ้าไว้กับข้าแล้วก็จากไป บอกว่าถ้าหากวันหนึ่งในภายภาคหน้าเจ้าประสบความสำเร็จ ก็ให้อาศัยป้ายหยกในแหวนวงนี้ไปพบเขาที่ดินแดนโบราณ…”

ซือหม่าโยวเย่ว์กวาดตามองภายในแหวนเก็บวัตถุรอบหนึ่งจึงเห็นว่ามีป้ายหยกวางอยู่อย่างโดดเดี่ยวจริงๆ เธอหยิบมันออกมาแล้วพบว่าพื้นผิวของป้ายหยกชิ้นนี้ใกล้เคียงกับที่เฟิงจือสิงให้ตน

“ปู่รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีบางอย่าง เดิมทีคิดจะให้พวกเจ้าจากไปพรุ่งนี้เช้า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทันหรือไม่ ถ้าหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็ขอฝากตระกูลซือหม่าให้เจ้าดูแลด้วย พ่อบ้านน่าจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องต่างๆ ได้ ถ้าหากต้านทานต่อไปไม่ไหว ก็จงแยกย้ายกันไปเสีย…”

“หอหนังสือสะสมนั้นคืออาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่งที่ข้าเคยได้มาครอบครองโดยบังเอิญ ตลอดมาข้าเองก็ยังไม่เข้าใจว่าที่แท้แล้วสิ่งนี้มีประโยชน์เช่นไร ใช้เป็นเพียงแค่หอหนังสือสะสมเท่านั้น ตอนนี้ข้าขอยกมันให้กับเจ้า บางทีเจ้าอาจจะค้นพบความเร้นลับที่ซ่อนอยู่ภายในก็เป็นได้ ภายในแหวนมีกุญแจอยู่ หากเจ้าเห็นก็คงเข้าใจได้เอง…”

“โยวเย่ว์ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ นี่คือความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดของข้ากับบรรดาพี่ชายของเจ้า ข้าเชื่อว่านี่ก็เป็นสิ่งที่บิดามารดาบังเกิดเกล้าของเจ้าปรารถนาเช่นเดียวกัน…”

วาจาสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ซือหม่าโยวเย่ว์มองหินเสียง ขณะนี้เธอมีน้ำตานองเต็มหน้า

เธอสัมผัสได้ถึงความรักอันหนักแน่นที่ซือหม่าเลี่ยมีต่อเธอ สัมผัสได้ถึงความไม่นิ่งนอนใจของเขา รวมทั้งความปรารถนาว่าตนจะมีชีวิตที่สงบสุขอีกด้วย

เธอเก็บหินเสียงขึ้นแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ท่านปู่ ท่านจงวางใจเถิด พวกเรายังต้องได้พบกันอีก ข้าจะต้องไปช่วยพวกท่านให้ได้!”

“คุณชาย” พ่อบ้านกลับมาพอดี เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ยืนค้างอยู่ตรงนั้นจึงเดินเข้ามาหา

ซือหม่าโยวเย่ว์หมุนกายมามองพ่อบ้านแล้วพูดว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”

“ตระกูลชวีตัดสินใจร่วมมือกับพวกเราแล้ว ส่วนประเด็นสำคัญต่างๆ นั้นไว้ค่อยหารือกันต่อไป” พ่อบ้านพูด

วันนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ไปสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร ส่วนเขาไปที่ตระกูลชวีเพื่อพบบิดาของเจ้าอ้วนชวี หารือกันเรื่องการจัดหาสินค้า

“คุณชาย สถานการณ์ทางด้านท่านเป็นเช่นไรบ้าง”

“นับได้ว่าราบรื่นเลยทีเดียว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเรากลับเข้าไปกันก่อนค่อยว่ากันเถิด”

เมื่อกลับไปถึงห้องประชุมชั่วคราว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฟังรอบหนึ่ง เมื่อได้ฟังว่าไม่เพียงแต่ซือหม่าโยวเย่ว์จะต่อรองกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเสร็จเรียบร้อยเท่านั้น แต่ยังได้เป็นผู้อาวุโสของสมาคมอีกด้วย จึงทำให้เขาดีใจไม่น้อย

“ในเมื่อมีชื่อเสียงแล้วพวกเราก็เตรียมการเกณฑ์คนได้แล้วสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนนี้พวกเราต้องการคนอย่างเร่งด่วน ดังนั้นจึงผ่อนคลายเงื่อนไขลงได้เล็กน้อย ขอเพียงแค่มีความสามารถมากพอ และบุคลิกไม่ย่ำแย่มากนักก็ใช้ได้แล้ว นอกจากนี้ยังต้องรับรองว่าจะทำงานให้จวนซือหม่าสิบปี ภายในสิบปีนี้จะได้รับค่าจ้างจากจวนซือหม่า พอครบสิบปีแล้วจะอยู่หรือไปก็ย่อมได้ ให้พวกเขาเลือกกันเอาเอง”

“คุณชาย เหตุใดจึงต้องเป็นสิบปีด้วยเล่า” พ่อบ้านไม่เข้าใจ

“มีปรมาจารย์วิญญาณบางคนที่ไม่ชมชอบการถูกผูกมัด ถ้าหากให้พวกเขาทำงานให้พวกเราไปตลอดชีวิต พวกเขาย่อมไม่มีทางเห็นด้วยแน่ แต่ถ้าหากเป็นระยะเวลาเพียงแค่สิบปี พวกเขาก็จะเห็นสิ่งนี้เป็นเพียงแค่ข้อตกลงแล้วยอมทำอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ทว่าสิบปีก็เพียงพอให้พวกเราพัฒนาหล่อหลอมเป็นขุมอำนาจของตัวเองได้แล้วล่ะ”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง คุณชายช่างคิดไตร่ตรองได้รอบคอบยิ่งนัก” พ่อบ้านพูดพลางพยักหน้า

“สำหรับเงื่อนไขการเกณฑ์คนนั้น จะต้องมีพลังยุทธ์เหนือกว่าระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณขึ้นไป นอกจากนี้ยังจะได้ครอบครองสัตว์อสูรวิเศษระดับต่างๆ โดยอ้างอิงจากระดับขั้น ทั้งยังยังเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่ข้าฝึกให้เชื่องเอง บวกกับยาวิเศษสมุนไพรอื่นๆ อีกด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดเสริม “นอกจากนี้เมื่อเข้าตระกูลซือหม่าแล้วจะได้ค่าจ้างที่ดีเท่ากับทหารยามของพวกเราเองเลย ท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ดี ต้องมีผลตอบแทนที่ดีจึงจะมีคนเต็มใจอยู่ต่อ” พ่อบ้านขานตอบ

“ในเมื่อท่านเองก็เห็นด้วย เช่นนั้นก็ไปเตรียมติดป้ายประกาศเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์เสริม “นอกจากนี้ให้คนเร่งซ่อมแซมจวนซือหม่าด้วย พวกเรามิอาจอยู่อย่างไร้บ้านไปได้ตลอดทั้งยังไม่เอื้อต่อการดึงดูดผู้มีความสามารถอีกด้วย”

“ขอรับคุณชาย”

“ท่านไปจัดการเรื่องหลักๆ ก่อน รอให้เกณฑ์คนได้แล้วค่อยให้คนไปจับสัตว์อสูรวิเศษ พวกเรามิอาจพึ่งพาสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรตลอดไปได้หรอกนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวไปจัดการก่อนนะขอรับ” พ่อบ้านค้อมกายเล็กน้อยเตรียมจะจากไป

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพ่อบ้านเพิ่งกลับมาแล้วกำลังจะไปทำงานต่อโดยที่ยังไม่ทันได้พักหายใจ จึงเอ่ยว่า “เวลาในช่วงนี้ลำบากยิ่งนัก ต้องรบกวนท่านด้วย”

พ่อบ้านส่ายหน้า “ได้เป็นธุระให้ตระกูลซือหม่า นับเป็นวาสนาของตาแก่เช่นข้าแล้วขอรับ”

“ท่านอาฝู ขอบคุณท่านมาก”

พ่อบ้านออกไปพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางที่ซือหม่าเลี่ยจากไปแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ท่านนายพล… คุณชายเติบใหญ่แล้วจริงๆ นะขอรับ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากห้องประชุม ก็เห็นคนที่กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมแซมจวนซือหม่า จึงผ่อนลมหายใจยาว

เมื่อเห็นหอหนังสือสะสมอันสมบูรณ์ไร้ที่ติ เธอจึงนึกถึงข้อสงสัยก่อนหน้านี้ขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปอย่างช้าๆ

เธอหยุดยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าหอหนังสือสะสมแล้วนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ซือหม่าเลี่ยพาตนมาที่นี่เป็นครั้งแรกขึ้นมา ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง กุญแจดอกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่กลางอุ้งมือของเธอ

“คลิก…”

เธอเสียบลูกกุญแจเข้าไปในรูกุญแจ ประตูก็เปิดออกตามเสียงนั้น

เมื่อผลักประตูเปิดเข้าไป เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ประตูก็ปิดลง

เธอเดินขึ้นเดินลงวนไปวนมาอยู่ภายในหอหนังสือหลายรอบก็ไม่พบสิ่งใดเป็นพิเศษ เพียงแค่พบหีบใบหนึ่งที่ชั้นบนสุดเท่านั้น

เธอหยิบหีบมาเปิดออก ก็เห็นว่าภายในนั้นมีแบบจำลองของหอหนังสือสะสมอยู่อันหนึ่งซึ่งมีความละเอียดและประณีต

“คราวก่อนที่มายังไม่เห็นสิ่งนี้เลย ท่านปู่เอามาวางไว้ที่นี่ทีหลังอย่างนั้นหรือ” เธอหยิบหอหนังสือสะสมมาตรวจตราอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จึงเห็นว่ามีร่องเล็กๆ อยู่ที่ด้านล่าง ซึ่งไม่รู้ว่ามีประโยชน์เช่นไร

เธอวางหออันเล็กกลับไปแล้วนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้

“ท่านปู่ ท่านพี่…”

แต่ก่อนล้วนมีคนในครอบครัวอยู่เป็นเพื่อนทุกครั้งยามกลับบ้าน แต่ตอนนี้มีเพียงแค่เธอเพียงคนเดียวจัดการทั้งบ้านด้วยตนเอง เธอจึงรู้สึกว่าแต่ก่อนตนเองโชคดีเพียงใด

เมื่อนึกถึงแหวนที่ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสมอบให้เธอ เธอจึงหยิบมันออกมาจากภายในมณีวิญญาณ ก่อนหน้านี้เพราะในใจเป็นทุกข์มากเกินไป จึงมิทันได้สังเกตว่านี่ก็คือวงที่เธอสวมอยู่เป็นปกตินั่นเอง!

พลังจิตด้านบนได้ถูกขจัดออกไปแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าแหวนวงนี้เป็นแหวนที่ไร้เจ้าของ

“ท่านปู่…”

เธอปล่อยพลังจิตเข้าไป ก็เห็นคลังปกติของซือหม่าเลี่ย จึงค้นพบว่าถึงแม้เขาจะเป็นราชันวิญญาณ ทั้งยังเป็นแม่ทัพแห่งอาณาจักรตงเฉิน แต่กลับมิได้มีสิ่งของมีค่ามากมายสักเท่าใดนัก

ความจริงแล้วทรัพย์สินของซือหม่าเลี่ยก็นับได้ว่ามั่งคั่งในอาณาจักรตงเฉินแล้ว เพียงแต่เธอเคยเห็นสิ่งของมากมายภายในมณีวิญญาณมาแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกว่าซือหม่าเลี่ยอัตคัดนัก

เธอกวาดตามองแหวนเก็บวัตถุรอบหนึ่ง จึงเห็นหนังสือเล่มหนึ่งกับหินเสียงก้อนหนึ่งวางอยู่ที่มุม

เธอหยิบหินเสียงขึ้นมาแล้วใส่พลังวิญญาณเข้าไป อักขระด้านบนเริ่มโคจร จากนั้นน้ำเสียงอันคุ้นเคยของซือหม่าเลี่ยจึงลอยออกมา

“โยวเย่ว์ ถ้าหากเจ้าได้ฟังสิ่งนี้ แสดงว่าตอนนี้ข้าคงจะมิได้อยู่ที่อาณาจักรตงเฉินแล้ว” เสียงของซือหม่าเลี่ยแก่ชราเล็กน้อย น้ำเสียงฟังดูเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง

“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เคยบอกเจ้ามาโดยตลอด แท้ที่จริงแล้วเจ้ามิใช่สายเลือดของตระกูลซือหม่า จำสิ่งที่ข้าเคยบอกเจ้าได้หรือไม่ ตอนนั้นครอบครัวเราหนีไปถึงเทือกเขาสั่วเฟยย่า คนอื่นตายกันหมดแล้ว แต่สุดท้ายข้าได้รับความช่วยเหลือจากคนผู้หนึ่ง พาตัวข้าออกมาจากเทือกเขาสั่วเฟยย่า คนผู้นั้นก็คือบิดาของเจ้า เดิมทีข้าคิดว่าคงจะมิได้พบเจอกับเขาอีกแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนเขาจะปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับอุ้มเจ้าเอาไว้ในอ้อมแขน หลังจากที่เขาฝากฝังเจ้าไว้กับข้าแล้วก็จากไป บอกว่าถ้าหากวันหนึ่งในภายภาคหน้าเจ้าประสบความสำเร็จ ก็ให้อาศัยป้ายหยกในแหวนวงนี้ไปพบเขาที่ดินแดนโบราณ…”

ซือหม่าโยวเย่ว์กวาดตามองภายในแหวนเก็บวัตถุรอบหนึ่งจึงเห็นว่ามีป้ายหยกวางอยู่อย่างโดดเดี่ยวจริงๆ เธอหยิบมันออกมาแล้วพบว่าพื้นผิวของป้ายหยกชิ้นนี้ใกล้เคียงกับที่เฟิงจือสิงให้ตน

“ปู่รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีบางอย่าง เดิมทีคิดจะให้พวกเจ้าจากไปพรุ่งนี้เช้า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทันหรือไม่ ถ้าหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็ขอฝากตระกูลซือหม่าให้เจ้าดูแลด้วย พ่อบ้านน่าจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องต่างๆ ได้ ถ้าหากต้านทานต่อไปไม่ไหว ก็จงแยกย้ายกันไปเสีย…”

“หอหนังสือสะสมนั้นคืออาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่งที่ข้าเคยได้มาครอบครองโดยบังเอิญ ตลอดมาข้าเองก็ยังไม่เข้าใจว่าที่แท้แล้วสิ่งนี้มีประโยชน์เช่นไร ใช้เป็นเพียงแค่หอหนังสือสะสมเท่านั้น ตอนนี้ข้าขอยกมันให้กับเจ้า บางทีเจ้าอาจจะค้นพบความเร้นลับที่ซ่อนอยู่ภายในก็เป็นได้ ภายในแหวนมีกุญแจอยู่ หากเจ้าเห็นก็คงเข้าใจได้เอง…”

“โยวเย่ว์ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ นี่คือความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดของข้ากับบรรดาพี่ชายของเจ้า ข้าเชื่อว่านี่ก็เป็นสิ่งที่บิดามารดาบังเกิดเกล้าของเจ้าปรารถนาเช่นเดียวกัน…”

วาจาสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ซือหม่าโยวเย่ว์มองหินเสียง ขณะนี้เธอมีน้ำตานองเต็มหน้า

เธอสัมผัสได้ถึงความรักอันหนักแน่นที่ซือหม่าเลี่ยมีต่อเธอ สัมผัสได้ถึงความไม่นิ่งนอนใจของเขา รวมทั้งความปรารถนาว่าตนจะมีชีวิตที่สงบสุขอีกด้วย

เธอเก็บหินเสียงขึ้นแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ท่านปู่ ท่านจงวางใจเถิด พวกเรายังต้องได้พบกันอีก ข้าจะต้องไปช่วยพวกท่านให้ได้!”

พวกเขาต่างคิดว่าตนเองจะสงบจิตใจกับเรื่องประหลาดของซือหม่าโยวเย่ว์ได้แล้ว แต่เธอก็ยังกระตุ้นพวกเขาอย่างรุนแรงได้ทุกครั้งอยู่ดี

“อันที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรหรอก การหลอมยาและการฝึกสัตว์อสูรล้วนต้องอาศัยพลังจิตทั้งสิ้น เพราะเหตุผลบางอย่างทำให้พลังจิตของข้าแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปอยู่เล็กน้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“มิใช่คนน่ะสิ!” ผ่านไปครู่ใหญ่ เจ้าอ้วนชวีจึงพ่นวาจาหนึ่งออกมา

“เห็นด้วย” โอวหยางเฟยพยักหน้า

“มิผิด” เป่ยกงถังเห็นพ้อง

“ข้ากำลังคิดว่าข้าจะต้องชำแหละสมองของโยวเย่ว์มาดูสักหน่อยหรือไม่ว่าภายในเก็บสิ่งใดเอาไว้กันแน่” เว่ยจือฉีที่สุภาพนุ่มนวลมาโดยตลอดถูกกระตุ้นจนเผยสัญชาตญาณดิบของตนออกมาเสียแล้ว

เอ่อ…

ซือหม่าโยวเย่ว์มองพวกเขาอย่างอับจนคำพูด เธอเองก็รู้ดีว่าการที่ตนเป็นเช่นนี้ออกจะพิลึกคนอยู่เล็กน้อย แต่เจ้าพวกนี้ก็ไม่เห็นต้องกลายเป็นเช่นนี้เพราะถูกทำให้ตกใจนิดหน่อยเลยนี่นา

ในขณะนี้เอง ประธานสมาคมและรองประธานสมาคมของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็เข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขาพอดี

“ท่านประธานสมาคม ท่านอา” เว่ยจือฉียืนขึ้นคารวะพวกเขาทั้งสองก่อน จากนั้นจึงบอกสถานะของพวกเขาให้พวกซือหม่าโยวเย่ว์รู้

พวกซือหม่าโยวเย่ว์จึงลุกขึ้นคารวะ ประธานสมาคมก็โบกมือให้ทุกคนนั่งลง

ประธานสมาคมเดินมายังที่นั่งประธานแล้วนั่งลง ก่อนจะเริ่มมองประเมินซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์สบสายตากับประธานสมาคมแน่วนิ่ง ในขณะที่เขามองประเมินเธอนั้น เธอก็มองประเมินประธานสมาคมเช่นเดียวกัน

ล้ำลึก… นี่คือความประทับใจแรกที่เธอมีต่อเขา

มั่นใจในตนเอง… นี่คือความรู้สึกแรกที่เขามีต่อเธอ

“คุณชายห้า เมื่อครู่ข้าได้ฟังเรื่องของเจ้าในวันนี้แล้ว สำหรับเรื่องที่เจ้าสำเร็จเป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์อสูรตั้งแต่อายุยังน้อย ช่างทำให้ข้าพรั่นพรึงไม่น้อยเลยจริงๆ” ประธานสมาคมลูบเคราของตนแล้วพูดว่า “มิทราบว่าคุณชายห้าศึกษามาจากที่ใดหรือ”

“อาจารย์ของข้าอยู่อย่างสันโดษภายในหุบเขามาโดยตลอด มิชมชอบความยุ่งยากของโลกภายนอก ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้ข้าเอ่ยถึงเรื่องของเขา ต้องขออภัยท่านประธานสมาคมด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดเหลวไหลไปอย่างนั้น

เธอไม่มีอาจารย์เสียหน่อย แล้วจะให้เธอไปหามาจากไหนกันเล่า

หากให้พูดถึง หมัวซาผู้นั้นเคยชี้แนะเธอตอนที่ฝึกสัตว์อสูร ทั้งยังเป็นผู้มอบเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรให้เธอด้วย ดังนั้นหากพูดกันจริงๆ แล้วก็นับได้ว่าเขาเป็นอาจารย์เธอครึ่งตัว แต่การดำรงอยู่ของเขานั้นเป็นความลับอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่มิอาจพูดออกมาได้

ประธานสมาคมพยักหน้า เข้าใจว่าบุคคลเช่นนี้ล้วนมีความชอบของตนเองทั้งสิ้น มีคนที่ชอบชื่อเสียงโด่งดัง มีคนชอบความสมถะถ่อมตน ในเมื่อเธอไม่เต็มใจบอก เขาก็ไม่ควรฝืนบังคับเธอ

“เจ้าบอกว่าเจ้าอยากร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรของพวกเราอย่างนั้นหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ท่านประธานสมาคมย่อมทราบเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลซือหม่าอยู่แล้ว ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเรามิสู้ดีนัก ขุมอำนาจจำนวนไม่น้อยเห็นว่าพวกท่านปู่ของข้าไม่อยู่จึงคิดจะทำลายตระกูลซือหม่าของข้า ดังนั้นข้าจึงอยากร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร พวกท่านจัดหาสัตว์อสูรวิเศษให้พวกเราสักระยะหนึ่ง แล้วข้าจะฝึกสัตว์อสูรทิพย์จำนวนหนึ่งให้สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเป็นการตอบแทน”

เธอเคยได้ยินเว่ยจือฉีพูดว่าคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรที่ฝึกสัตว์อสูรทิพย์ให้เชื่องได้นั้นมีอยู่ไม่มากนัก นอกจากนี้ระยะเวลาฟื้นฟูของพวกเขายังเนิ่นนานอีกด้วย ดังนั้นเธอจึงเชื่อว่าหากเธอหยิบยกประเด็นนี้มาพูดคุยกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็น่าจะดึงดูดพอสมควร

“พวกเราไม่ต้องให้เจ้าฝึกสัตว์อสูรทิพย์มากมายนักก็ได้” ประธานสมาคมพูด “ข้าอยากเชิญเจ้าเข้าร่วมสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรของพวกเรา พอถึงเวลานั้นสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรของพวกเราจะจัดหาสัตว์อสูรวิเศษที่พวกเจ้าต้องการให้ได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเลย”

“เข้าร่วมสมาคมอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลังเลใจอยู่บ้าง สิ่งนี้มิได้อยู่ในความคาดหมายของเธอเลย เพราะเธอไม่อยากถูกผูกมัด

“ใช่แล้ว เจ้าเข้าร่วมสมาคมในฐานะผู้อาวุโสได้ ยามปกติเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพียงแค่ฝึกสัตว์อสูรวิเศษไม่กี่ตัวให้กับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเป็นครั้งคราวเท่านั้น หากสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรมีภัยก็ออกหน้าสักหน่อยเป็นใช้ได้ เช่นนี้ย่อมดีกว่าให้เจ้าฝึกสัตว์อสูรทิพย์ให้ตั้งมากมาย” ประธานสมาคมพูด

“แต่ตอนนี้ข้ายังไม่มีความคิดที่จะเข้าร่วมองค์กรใดๆ เลยน่ะสิ นอกจากนี้ท่านคงจะทราบว่าอีกสองปีข้างหน้าข้าก็จะไปจากอาณาจักรตงเฉินแล้ว หากเข้าร่วมกับพวกท่านเช่นนี้คงจะไม่ดีนัก” ซือหม่าโยวเย่ว์ปฏิเสธ

เว่ยจือฉีได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเป็นกังวลแทนเธออยู่บ้าง ตำแหน่งผู้อาวุโสสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรนี้มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะครอบครองได้เลย!

“เจ้าไม่ต้องรีบปฏิเสธนักหรอก” ประธานสมาคมโบกไม้โบกมือแล้วพูดว่า “ข้าย่อมรู้เรื่องที่เจ้าจะจากไปดีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เจ้ายังอยู่ที่นี่ นอกจากนี้หากเจ้าเข้าร่วมสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร ขอเพียงแค่ไม่ทำเรื่องที่ผิดต่อสมาคมเท่านั้น ก็จะเป็นผู้อาวุโสของสมาคมตลอดไป พอถึงเวลาที่เจ้าไปจากอาณาจักรตงเฉิน ตระกูลซือหม่าก็ต้องการความช่วยเหลือจากขุมอำนาจมิใช่หรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์นิ่งเงียบไป ประธานสมาคมพูดได้ถูกต้อง อีกไม่นานตนก็จะจากไปแล้ว ถึงเวลานั้นบางทีรากฐานของตระกูลซือหม่าอาจยังไม่มั่นคง จำเป็นต้องมีผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่งจริงๆ และสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็เหมาะสมกับเงื่อนไขนี้พอดี

ผู้คนภายในห้องนั่งเงียบกริบเพื่อให้เธอมีเวลาคิดไตร่ตรอง เพราะนี่เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่เลยทีเดียว

ผ่านไปครู่ใหญ่ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ได้ ข้ารับปากเข้าร่วมสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร”

ผู้คนภายในห้องพากันแย้มยิ้ม ประธานสมาคมพยักหน้าแล้วหยิบป้ายคำสั่งอันหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บวัตถุพลางเอ่ยว่า “นี่คือของผู้อาวุโสสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร เจ้ารับไปสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวเข้าไปข้างหน้าแล้วยื่นมือทั้งสองไปรับป้ายคำสั่งมา

“เอาละ ต่อจากนี้ไปเจ้าก็คือผู้อาวุโสเก้าแล้วนะ” ประธานสมาคมพูดยิ้มๆ

“เสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หลุดปากถาม

ขุมอำนาจแห่งหนึ่งมีผู้อาวุโสเพิ่มขึ้นมาอีกคน ไม่จำเป็นต้องมีขั้นตอนใดๆ เลยหรือ

เมื่อเห็นความสงสัยในแววตาของเธอ ประธานสมาคมจึงอมยิ้มไม่เอ่ยวาจา

รองประธานสมาคมที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “เพราะรู้ว่าเจ้าไม่ชอบเรื่องยุ่งยากซับซ้อนน่ะสิจึงได้ข้ามไป ต่อไปพวกเราอค่ประกาศออกไปว่าเจ้าเป็นผู้อาวุโสของพวกเราก็ใช้ได้แล้ว”

“ขอบคุณท่านประธานสมาคมและท่านรองประธานสมาคมมากขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บป้ายคำสั่งเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุก่อนจะหมุนกายกลับไปยังที่นั่งของตน

“ส่วนเรื่องสัตว์อสูรวิเศษนั้น พอถึงเวลาเจ้าก็ส่งคนมาพบผู้จัดการสมาคมก็พอแล้ว เขาย่อมจัดการให้เจ้าได้อย่างแน่นอน” ประธานสมาคมพูด

“ขอบคุณท่านประธานสมาคมมากขอรับ”

……

หลังออกมาจากสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ยังคงรู้สึกเหมือนอยู่ในเมฆหมอก ตนได้กลายเป็นผู้อาวุโสของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรไปเสียแล้ว

“เจ้าไม่รู้หรอกว่าคนทั่วไปอยากจะเป็นผู้อาวุโสของสมาคมนั้นจำเป็นต้องผ่านการทดสอบและคัดเลือกตั้งกี่ขั้น หลังจากคัดคนแล้วยังมีพิธีสามประการอีก ยุ่งยากยิ่งนัก” เว่ยจือฉีพูดอธิบาย “คาดว่าคงมีแต่เจ้านี่แหละที่มีอภิสิทธิ์เช่นนี้”

“แหะๆ ไม่มีก็ดีแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “วันนี้ต้องขอบใจเจ้ามาก ถ้าหากมิใช่เพราะเจ้า แค่การพบหน้ารองประธานสมาคมก็ทำให้ข้าปวดหัวแล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“มาเกรงใจอะไรกันเล่า” เว่ยจือฉีพูดยิ้มๆ “เอาละ พวกเราสี่คนขอตัวกลับวิทยาลัยก่อนนะ หากเจ้ามีเรื่องอันใดก็ส่งคนไปหาพวกเราได้เลย”

“อื้ม ข้าจะทำตามนั้น”

เมื่อแยกจากพวกเขาแล้วเธอจึงกลับไปยังจวนซือหม่า วันนี้ชื่อเสียงของเธอแพร่ออกไปแล้ว เพียงไม่นานเรื่องที่เธอกลายเป็นผู้อาวุโสสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็คงแพร่ออกไปเช่นเดียวกัน เรื่องของร้านค้าสัตว์อสูรวิเศษก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เธอต้องกลับไปหารือเรื่องก้าวต่อไปกับพ่อบ้าน

เธอยังคงเคยชินกับการเดินบนเส้นทางเดิมไปยังประตูหลัก เมื่อไปถึงแล้วเห็นพื้นราบเรียบจึงนึกขึ้นได้ว่าไม่มีประตูใหญ่อีกต่อไปแล้ว

เธอยืนแน่วนิ่งอยู่ตรงบริเวณที่เคยเป็นประตูใหญ่ เมื่อนึกขึ้นว่าก่อนหน้านี้จวนแม่ทัพเคยตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้ ในใจก็เจ็บแปลบขึ้นมา

ท่านปู่ พี่ๆ รอโยวเย่ว์ก่อนนะ ข้าจะต้องไปช่วยพวกท่านอย่างแน่นอน…

พวกเขาต่างคิดว่าตนเองจะสงบจิตใจกับเรื่องประหลาดของซือหม่าโยวเย่ว์ได้แล้ว แต่เธอก็ยังกระตุ้นพวกเขาอย่างรุนแรงได้ทุกครั้งอยู่ดี

“อันที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรหรอก การหลอมยาและการฝึกสัตว์อสูรล้วนต้องอาศัยพลังจิตทั้งสิ้น เพราะเหตุผลบางอย่างทำให้พลังจิตของข้าแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปอยู่เล็กน้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“มิใช่คนน่ะสิ!” ผ่านไปครู่ใหญ่ เจ้าอ้วนชวีจึงพ่นวาจาหนึ่งออกมา

“เห็นด้วย” โอวหยางเฟยพยักหน้า

“มิผิด” เป่ยกงถังเห็นพ้อง

“ข้ากำลังคิดว่าข้าจะต้องชำแหละสมองของโยวเย่ว์มาดูสักหน่อยหรือไม่ว่าภายในเก็บสิ่งใดเอาไว้กันแน่” เว่ยจือฉีที่สุภาพนุ่มนวลมาโดยตลอดถูกกระตุ้นจนเผยสัญชาตญาณดิบของตนออกมาเสียแล้ว

เอ่อ…

ซือหม่าโยวเย่ว์มองพวกเขาอย่างอับจนคำพูด เธอเองก็รู้ดีว่าการที่ตนเป็นเช่นนี้ออกจะพิลึกคนอยู่เล็กน้อย แต่เจ้าพวกนี้ก็ไม่เห็นต้องกลายเป็นเช่นนี้เพราะถูกทำให้ตกใจนิดหน่อยเลยนี่นา

ในขณะนี้เอง ประธานสมาคมและรองประธานสมาคมของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็เข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขาพอดี

“ท่านประธานสมาคม ท่านอา” เว่ยจือฉียืนขึ้นคารวะพวกเขาทั้งสองก่อน จากนั้นจึงบอกสถานะของพวกเขาให้พวกซือหม่าโยวเย่ว์รู้

พวกซือหม่าโยวเย่ว์จึงลุกขึ้นคารวะ ประธานสมาคมก็โบกมือให้ทุกคนนั่งลง

ประธานสมาคมเดินมายังที่นั่งประธานแล้วนั่งลง ก่อนจะเริ่มมองประเมินซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์สบสายตากับประธานสมาคมแน่วนิ่ง ในขณะที่เขามองประเมินเธอนั้น เธอก็มองประเมินประธานสมาคมเช่นเดียวกัน

ล้ำลึก… นี่คือความประทับใจแรกที่เธอมีต่อเขา

มั่นใจในตนเอง… นี่คือความรู้สึกแรกที่เขามีต่อเธอ

“คุณชายห้า เมื่อครู่ข้าได้ฟังเรื่องของเจ้าในวันนี้แล้ว สำหรับเรื่องที่เจ้าสำเร็จเป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์อสูรตั้งแต่อายุยังน้อย ช่างทำให้ข้าพรั่นพรึงไม่น้อยเลยจริงๆ” ประธานสมาคมลูบเคราของตนแล้วพูดว่า “มิทราบว่าคุณชายห้าศึกษามาจากที่ใดหรือ”

“อาจารย์ของข้าอยู่อย่างสันโดษภายในหุบเขามาโดยตลอด มิชมชอบความยุ่งยากของโลกภายนอก ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้ข้าเอ่ยถึงเรื่องของเขา ต้องขออภัยท่านประธานสมาคมด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดเหลวไหลไปอย่างนั้น

เธอไม่มีอาจารย์เสียหน่อย แล้วจะให้เธอไปหามาจากไหนกันเล่า

หากให้พูดถึง หมัวซาผู้นั้นเคยชี้แนะเธอตอนที่ฝึกสัตว์อสูร ทั้งยังเป็นผู้มอบเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรให้เธอด้วย ดังนั้นหากพูดกันจริงๆ แล้วก็นับได้ว่าเขาเป็นอาจารย์เธอครึ่งตัว แต่การดำรงอยู่ของเขานั้นเป็นความลับอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่มิอาจพูดออกมาได้

ประธานสมาคมพยักหน้า เข้าใจว่าบุคคลเช่นนี้ล้วนมีความชอบของตนเองทั้งสิ้น มีคนที่ชอบชื่อเสียงโด่งดัง มีคนชอบความสมถะถ่อมตน ในเมื่อเธอไม่เต็มใจบอก เขาก็ไม่ควรฝืนบังคับเธอ

“เจ้าบอกว่าเจ้าอยากร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรของพวกเราอย่างนั้นหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ท่านประธานสมาคมย่อมทราบเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลซือหม่าอยู่แล้ว ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเรามิสู้ดีนัก ขุมอำนาจจำนวนไม่น้อยเห็นว่าพวกท่านปู่ของข้าไม่อยู่จึงคิดจะทำลายตระกูลซือหม่าของข้า ดังนั้นข้าจึงอยากร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร พวกท่านจัดหาสัตว์อสูรวิเศษให้พวกเราสักระยะหนึ่ง แล้วข้าจะฝึกสัตว์อสูรทิพย์จำนวนหนึ่งให้สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเป็นการตอบแทน”

เธอเคยได้ยินเว่ยจือฉีพูดว่าคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรที่ฝึกสัตว์อสูรทิพย์ให้เชื่องได้นั้นมีอยู่ไม่มากนัก นอกจากนี้ระยะเวลาฟื้นฟูของพวกเขายังเนิ่นนานอีกด้วย ดังนั้นเธอจึงเชื่อว่าหากเธอหยิบยกประเด็นนี้มาพูดคุยกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็น่าจะดึงดูดพอสมควร

“พวกเราไม่ต้องให้เจ้าฝึกสัตว์อสูรทิพย์มากมายนักก็ได้” ประธานสมาคมพูด “ข้าอยากเชิญเจ้าเข้าร่วมสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรของพวกเรา พอถึงเวลานั้นสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรของพวกเราจะจัดหาสัตว์อสูรวิเศษที่พวกเจ้าต้องการให้ได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเลย”

“เข้าร่วมสมาคมอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลังเลใจอยู่บ้าง สิ่งนี้มิได้อยู่ในความคาดหมายของเธอเลย เพราะเธอไม่อยากถูกผูกมัด

“ใช่แล้ว เจ้าเข้าร่วมสมาคมในฐานะผู้อาวุโสได้ ยามปกติเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพียงแค่ฝึกสัตว์อสูรวิเศษไม่กี่ตัวให้กับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเป็นครั้งคราวเท่านั้น หากสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรมีภัยก็ออกหน้าสักหน่อยเป็นใช้ได้ เช่นนี้ย่อมดีกว่าให้เจ้าฝึกสัตว์อสูรทิพย์ให้ตั้งมากมาย” ประธานสมาคมพูด

“แต่ตอนนี้ข้ายังไม่มีความคิดที่จะเข้าร่วมองค์กรใดๆ เลยน่ะสิ นอกจากนี้ท่านคงจะทราบว่าอีกสองปีข้างหน้าข้าก็จะไปจากอาณาจักรตงเฉินแล้ว หากเข้าร่วมกับพวกท่านเช่นนี้คงจะไม่ดีนัก” ซือหม่าโยวเย่ว์ปฏิเสธ

เว่ยจือฉีได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเป็นกังวลแทนเธออยู่บ้าง ตำแหน่งผู้อาวุโสสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรนี้มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะครอบครองได้เลย!

“เจ้าไม่ต้องรีบปฏิเสธนักหรอก” ประธานสมาคมโบกไม้โบกมือแล้วพูดว่า “ข้าย่อมรู้เรื่องที่เจ้าจะจากไปดีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เจ้ายังอยู่ที่นี่ นอกจากนี้หากเจ้าเข้าร่วมสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร ขอเพียงแค่ไม่ทำเรื่องที่ผิดต่อสมาคมเท่านั้น ก็จะเป็นผู้อาวุโสของสมาคมตลอดไป พอถึงเวลาที่เจ้าไปจากอาณาจักรตงเฉิน ตระกูลซือหม่าก็ต้องการความช่วยเหลือจากขุมอำนาจมิใช่หรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์นิ่งเงียบไป ประธานสมาคมพูดได้ถูกต้อง อีกไม่นานตนก็จะจากไปแล้ว ถึงเวลานั้นบางทีรากฐานของตระกูลซือหม่าอาจยังไม่มั่นคง จำเป็นต้องมีผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่งจริงๆ และสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็เหมาะสมกับเงื่อนไขนี้พอดี

ผู้คนภายในห้องนั่งเงียบกริบเพื่อให้เธอมีเวลาคิดไตร่ตรอง เพราะนี่เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่เลยทีเดียว

ผ่านไปครู่ใหญ่ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ได้ ข้ารับปากเข้าร่วมสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร”

ผู้คนภายในห้องพากันแย้มยิ้ม ประธานสมาคมพยักหน้าแล้วหยิบป้ายคำสั่งอันหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บวัตถุพลางเอ่ยว่า “นี่คือของผู้อาวุโสสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร เจ้ารับไปสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวเข้าไปข้างหน้าแล้วยื่นมือทั้งสองไปรับป้ายคำสั่งมา

“เอาละ ต่อจากนี้ไปเจ้าก็คือผู้อาวุโสเก้าแล้วนะ” ประธานสมาคมพูดยิ้มๆ

“เสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หลุดปากถาม

ขุมอำนาจแห่งหนึ่งมีผู้อาวุโสเพิ่มขึ้นมาอีกคน ไม่จำเป็นต้องมีขั้นตอนใดๆ เลยหรือ

เมื่อเห็นความสงสัยในแววตาของเธอ ประธานสมาคมจึงอมยิ้มไม่เอ่ยวาจา

รองประธานสมาคมที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “เพราะรู้ว่าเจ้าไม่ชอบเรื่องยุ่งยากซับซ้อนน่ะสิจึงได้ข้ามไป ต่อไปพวกเราอค่ประกาศออกไปว่าเจ้าเป็นผู้อาวุโสของพวกเราก็ใช้ได้แล้ว”

“ขอบคุณท่านประธานสมาคมและท่านรองประธานสมาคมมากขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บป้ายคำสั่งเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุก่อนจะหมุนกายกลับไปยังที่นั่งของตน

“ส่วนเรื่องสัตว์อสูรวิเศษนั้น พอถึงเวลาเจ้าก็ส่งคนมาพบผู้จัดการสมาคมก็พอแล้ว เขาย่อมจัดการให้เจ้าได้อย่างแน่นอน” ประธานสมาคมพูด

“ขอบคุณท่านประธานสมาคมมากขอรับ”

……

หลังออกมาจากสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ยังคงรู้สึกเหมือนอยู่ในเมฆหมอก ตนได้กลายเป็นผู้อาวุโสของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรไปเสียแล้ว

“เจ้าไม่รู้หรอกว่าคนทั่วไปอยากจะเป็นผู้อาวุโสของสมาคมนั้นจำเป็นต้องผ่านการทดสอบและคัดเลือกตั้งกี่ขั้น หลังจากคัดคนแล้วยังมีพิธีสามประการอีก ยุ่งยากยิ่งนัก” เว่ยจือฉีพูดอธิบาย “คาดว่าคงมีแต่เจ้านี่แหละที่มีอภิสิทธิ์เช่นนี้”

“แหะๆ ไม่มีก็ดีแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “วันนี้ต้องขอบใจเจ้ามาก ถ้าหากมิใช่เพราะเจ้า แค่การพบหน้ารองประธานสมาคมก็ทำให้ข้าปวดหัวแล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“มาเกรงใจอะไรกันเล่า” เว่ยจือฉีพูดยิ้มๆ “เอาละ พวกเราสี่คนขอตัวกลับวิทยาลัยก่อนนะ หากเจ้ามีเรื่องอันใดก็ส่งคนไปหาพวกเราได้เลย”

“อื้ม ข้าจะทำตามนั้น”

เมื่อแยกจากพวกเขาแล้วเธอจึงกลับไปยังจวนซือหม่า วันนี้ชื่อเสียงของเธอแพร่ออกไปแล้ว เพียงไม่นานเรื่องที่เธอกลายเป็นผู้อาวุโสสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็คงแพร่ออกไปเช่นเดียวกัน เรื่องของร้านค้าสัตว์อสูรวิเศษก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เธอต้องกลับไปหารือเรื่องก้าวต่อไปกับพ่อบ้าน

เธอยังคงเคยชินกับการเดินบนเส้นทางเดิมไปยังประตูหลัก เมื่อไปถึงแล้วเห็นพื้นราบเรียบจึงนึกขึ้นได้ว่าไม่มีประตูใหญ่อีกต่อไปแล้ว

เธอยืนแน่วนิ่งอยู่ตรงบริเวณที่เคยเป็นประตูใหญ่ เมื่อนึกขึ้นว่าก่อนหน้านี้จวนแม่ทัพเคยตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้ ในใจก็เจ็บแปลบขึ้นมา

ท่านปู่ พี่ๆ รอโยวเย่ว์ก่อนนะ ข้าจะต้องไปช่วยพวกท่านอย่างแน่นอน…

“จือฉี โยวเย่ว์สำเร็จเป็นนักฝึกสัตว์อสูรตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ” เจ้าอ้วนชวีไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ จึงคว้าตัวเว่ยจือฉีมาถาม

เว่ยจือฉีปัดมือเขาทิ้งแล้วพูดว่า “เจ้าถามข้าแล้วจะให้ข้าไปถามใครเล่า”

“พวกเราดูกันอย่างสงบดีกว่า” เป่ยกงถังพูด

พวกเจ้าอ้วนชวีต่างพากันเงียบมองดูซือหม่าโยวเย่ว์ท้าชนกับอสูรหมีดิน

สำหรับคนนอก กระบวนการฝึกนั้นก็คือมนุษย์หนึ่งคนกับสัตว์อสูรหนึ่งตนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนไม่พูดไม่จา ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่มีอะไรน่าดูเลย นอกจากนี้ยังกินระยะเวลาค่อนข้างนานอีกด้วย

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกมาตั้งแต่เช้าจนบ่าย ก็ยังไม่มีใครจากไปเลย

ทุกคนล้วนอยากจะเห็นว่าคนไร้ค่าเมื่อวันวาน ไม่เพียงแต่จะสำเร็จเป็นนักหลอมยาเท่านั้น แต่ยังสำเร็จเป็นนักฝึกสัตว์อสูรด้วยจริงหรือไม่ อยากเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วเธอจะฝึกมันให้เชื่องได้สำเร็จหรือไม่

เว่ยจือฉีกับคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรคนอื่นๆ ล้วนเชื่อว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นนักฝึกสัตว์อสูรกันหมดแล้ว ถ้าหากเธอมิใช่ เธอย่อมไม่มีทางต้านทานอสูรหมีดินได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้อยู่แล้ว

“ใกล้สำเร็จแล้วล่ะ” รองประธานสมาคมเห็นแววตาของซือหม่าโยวเย่ว์เปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ

พวกเว่ยจือฉีมองไปทางอสูรหมีดินจึงเห็นว่ามันไม่มีความดุร้ายอยู่ในแววตาอีกต่อไปแล้ว ดูเชื่องพอๆ กับสัตว์อสูรวิเศษที่ขายอยู่ในร้านจำหน่ายสัตว์อสูรวิเศษเลยทีเดียว

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ซือหม่าโยวเย่ว์จึงลืมตาขึ้น พลังจิตมิได้อ่อนล้ามากจนเกินไปนัก

อสูรหมีดินนอนหมอบอยู่ในกรง ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวเข้าไปแล้วเปิดกรงออก อสูรหมีดินยังไม่รู้เลยว่าตัวเองออกมาได้

พอผู้คนในที่นั้นเห็นเธอเปิดกรงออกก็พากันตกใจจนร่นถอยหลังไป แต่เมื่อเห็นอสูรหมีดินมิได้ออกมาโจมตีผู้คนจึงได้ชมต่อไปอย่างสบายใจ

รองประธานสมาคมก้าวเข้ามามองดูอสูรหมีดินพลางเอ่ยว่า “ฝึกมันให้เชื่องได้สำเร็จแล้วจริงด้วย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำได้สำเร็จจริงๆ นอกจากนี้ยังใช้เวลาสั้นกว่านักฝึกสัตว์อสูรทั่วไปถึงหนึ่งในสามส่วนอีกด้วย มิใช่เรื่องง่ายเลยนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “สัตว์อสูรวิเศษที่ข้าฝึกนั้นยังมีความพิเศษอยู่อีกอย่างหนึ่งด้วยนะ”

“อะไรหรือ” รองประธานสมาคมถาม

“เจ้านายของสัตว์อสูรวิเศษตนนี้อยู่หรือไม่ ถ้าหากอยู่ ท่านก็ให้เขาทดสอบดูที่นี่ได้เลย เชื่อว่าผลลัพธ์ไม่ทำให้พวกท่านผิดหวังอย่างแน่นอน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

รองประธานสมาคมมองชายวัยกลางคนที่รออยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง คนผู้นั้นก็เข้าใจแล้วเดินเข้ามา

ความจริงแล้วในตอนแรกเมื่อได้ยินว่าจะให้ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกสัตว์อสูรวิเศษของตนให้เชื่อง เขาไม่เห็นด้วยเลย แต่ตนได้มอบความไว้วางใจให้สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรดูแลสัตว์อสูรวิเศษตนนี้แล้ว รองประธานสมาคมก็มิได้พูดอะไร ดังนั้นเขาจึงได้แต่ดูอยู่ข้างๆ เท่านั้น

คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะฝึกสัตว์อสูรได้สำเร็จจริงๆ ตอนนี้เขาเชื่อในสิ่งที่เธอพูดแล้ว จึงเริ่มคาดหวังในสิ่งที่เธอบอกว่ามีความพิเศษ

รองประธานสมาคมพูดว่า “เจ้าก็ได้ยินที่โยวเย่ว์พูดแล้วนี่ เจ้าอยากทำพันธสัญญาที่นี่เลยหรือไม่”

“ได้สิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์และรองประธานสมาคมถอยไปอีกด้านหนึ่ง คนผู้นั้นมาถึงตรงหน้าอสูรหมีดินแล้ววางมือลงบนหน้าผากของมันเพื่อเริ่มต้นทำพันธสัญญา

เพียงไม่นาน ค่ายกลพันธสัญญาก็ก่อตัวขึ้นเหนือจัตุรัส ห่อหุ้มหนึ่งมนุษย์กับหนึ่งสัตว์อสูรเอาไว้ภายใน หลังจากที่การทำพันธสัญญาสิ้นสุดลงแล้ว ค่ายกลนั้นจึงกลายเป็นลำแสงสีเงินสองสายพุ่งทะลุเข้าไปกลางหว่างคิ้วของมนุษย์กับสัตว์อสูรคู่นั้น

“ไม่เห็นมีสิ่งใดพิเศษเลยนี่!” ผู้คนในที่นั้นมองดูการทำพันธสัญญาที่มิได้แตกต่างไปจากปกติแล้วอดผิดหวังมิได้

เจ้านายของอสูรหมีดินเองก็สัมผัสไม่ได้ว่ามีสิ่งใดพิเศษ ในขณะที่คิดจะเอ่ยปากถามอยู่นั้นเอง พลังวิญญาณมากมายก็พรั่งพรูออกมาจากมิติพันธสัญญา

เขารีบนั่งขัดสมาธิลงแล้วเริ่มเหนี่ยวนำการโคจรพลังของตน เพียงไม่นาน ลำแสงแห่งการเลื่อนระดับก็เปล่งประกายออกมาในเวลาเดียวกัน ห่อหุ้มหนึ่งมนุษย์กับหนึ่งสัตว์อสูรเอาไว้อีกครั้ง

“สวรรค์เอ๋ย นี่พวกเขาเลื่อนระดับไปพร้อมกันอย่างนั้นหรือ!”

“ทำพันธสัญญาแล้วยังเลื่อนระดับได้อีกด้วย!”

“นี่มันวิธีการฝึกสัตว์อสูรอะไรกัน”

“มหัศจรรย์เกินไปแล้ว!”

“……”

ผู้คนในที่นั้นล้วนพรั่นพรึงกับเหตุการณ์นี้ สายตาที่หันไปทางซือหม่าโยวเย่ว์นั้นราวกับมองสมบัติล้ำค่าเลยทีเดียว

ถ้าหากทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษที่เธอฝึกแล้วเลื่อนระดับได้ทั้งหมด เช่นนั้นพวกเขาให้เธอทำพันธสัญญาเสีย ก็มิใช่จะเลื่อนระดับได้เช่นเดียวกันหรอกหรือ!

รองประธานสมาคมเองก็ใช้ชีวิตอยู่มาเนิ่นนาน แต่นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเรื่องอย่างการเลื่อนระดับหลังทำพันธสัญญาเช่นนี้ มิน่าเล่าเธอจึงบอกว่ามีต้นทุนในการร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร

ในขณะที่ทุกคนกำลังซุบซิบกันอยู่นั้น ลำแสงแห่งการเลื่อนระดับก็แผ่ออกไปอย่างช้าๆ เจ้านายเลื่อนขึ้นสองระดับ ส่วนสัตว์อสูรวิเศษเลื่อนขึ้นหนึ่งระดับ

คนผู้นั้นลืมตาขึ้นแล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น เขาลุกขึ้นคารวะซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “ขอบคุณคุณชายห้ามากที่ฝึกสัตว์อสูรให้ข้า หากวันหน้าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับจวนแม่ทัพก็มาหาข้าได้เลย ข้าไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์อมยิ้มพลางโบกไม้โบกมือ “ทว่าไม่มีจวนแม่ทัพอีกต่อไปแล้ว มีเพียงแค่จวนซือหม่าเท่านั้น หากเกิดเรื่องขึ้นในภายหน้า ข้าจะไปขอความช่วยเหลือจากท่านอย่างแน่นอน”

“ท่านแม่ทัพซือหม่ามีหลานเช่นท่าน ย่อมต้องปลอดภัยไร้ปัญหาเป็นแน่ ถ้าหากไม่มีธุระใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

พูดจบแล้วเขาก็คารวะรองประธานสมาคมและซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะหมุนกายจากไป เขาเพิ่งจะเลื่อนระดับ ยังต้องกลับไปตกผลึกพลังยุทธ์ของเขาอีกสักหน่อย

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูผู้คนที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น จึงรู้ว่าตนบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว เธอพูดกับรองประธานสมาคมว่า “ท่านรองประธานสมาคม พวกเรากลับกันเถิด”

“ได้สิ” รองประธานสมาคมพยักหน้าแล้วพาคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรออกมา เหลือเอาไว้เพียงแค่คนเก็บข้าวของเท่านั้น

เมื่อผู้คนที่มาชมดูความคึกคักเห็นตัวต้นเรื่องไปกันหมดแล้วจึงค่อยๆ แยกย้ายกันไป แต่ทุกคนมิได้ปล่อยให้เรื่องนี้เลือนหายไป หากแต่บอกกันปากต่อปาก ต้องบอกเล่าเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ให้ผู้คนรู้กันมากขึ้นอีกสิ!

สือมั่วลี่คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะเป็นนักฝึกสัตว์อสูรจริงๆ นอกจากนี้ยังเป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์อสูรอีกด้วย เมื่อนึกถึงว่าเธอยังหลอมยาได้ร้ายกาจกว่าตนอีกด้วย ถึงแม้จะรู้สึกขุ่นเคืองใจ ทว่าได้แต่จากไปอย่างเดือดดาลเท่านั้น

น่าหลานหลานเองก็ตกใจกับฝีมือของซือหม่าโยวเย่ว์เช่นกัน นางผู้เติบโตอยู่ในตระกูลใหญ่มาตั้งแต่เล็กย่อมรู้ว่าการกระทำของซือหม่าโยวเย่ว์ในวันนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์เช่นไร เมื่อนึกถึงว่าตระกูลของตนยังวางแผนจะลงมือกับตระกูลซือหม่า เธอจึงให้คนรีบกลับมาในทันทีแล้วบอกเรื่องนี้กับบิดาของตน

เมื่อกลับไปถึงสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร สายตาของผู้คนในสมาคมที่มองเธอก็แตกต่างจากเดิมเสียแล้ว ลำพังแค่เป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์อสูรก็ทำให้พวกเขายกย่องได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเธอยังเป็นนักหลอมยาขั้นสองอีกด้วย!

เมื่อกลับมายังโถงรับแขกอีกครั้ง รองประธานสมาคมก็ให้คนมาดูแลซือหม่าโยวเย่ว์กับพวกเว่ยจือฉีเจ้าอ้วนชวี หลังจากนั้นตนจึงออกไปครู่หนึ่ง

เขาจะต้องรายงานเรื่องในวันนี้ให้ท่านประธานสมาคมทราบสักหน่อย เดิมทีเขาเพียงแค่คิดง่ายๆ ว่าจะช่วยเหลือตระกูลซือหม่าสักหน่อยเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะต่อรองอย่างใหญ่โตว่าจะร่วมมือกับพวกเขา ซึ่งหมายถึงว่าเขาให้ผลประโยชน์กับซือหม่าโยวเย่ว์ได้มากกว่านี้ แต่ก็ต้องรายงานท่านประธานสมาคมสักหน่อย

ภายในโถงรับแขก พวกเจ้าอ้วนชวียังคงจมดิ่งอยู่กับเรื่องกระทบใจเมื่อครู่ ยังมิได้สติกลับคืนมา สายตาที่แต่ละคนมองซือหม่าโยวเย่ว์นั้นราวกับกำลังมองสัตว์ประหลาดเลยทีเดียว แม้กระทั่งแววตาของเป่ยกงถัที่เคยพบเห็นผู้มีพรสวรรค์มาไม่น้อยก็มิได้แตกต่างจากพวกเจ้าอ้วนชวีเลย

“โยวเย่ว์ ที่แท้แล้วเจ้ายังมีเรื่องอีกมากมายเพียงใดที่ไม่ยอมให้พวกเรารู้กันแน่!” เจ้าอ้วนชวีบ่นพึมพำ

“แค่กๆ…” ซือหม่าโยวเย่ว์กระแอมกระไอแล้วพูดในใจว่าความลับของตนยังมีอีกไม่น้อยเลยจริงๆ

“โยวเย่ว์ เจ้าสำเร็จเป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์อสูรตั้่งแต่เมื่อใดกัน” โอวหยางเฟยถามอย่างใคร่รู้

“คราวก่อนตอนกลับมาจากเทือกเขาผู่สั่ว ที่ข้าแยกจากพวกเจ้าก็กลับมาฝึกสัตว์อสูรวิเศษในเทือกเขานั่นแหละ ตอนนั้นรู้ว่าอาจเกิดเรื่องกับตระกูลซือหม่า จึงอยากจะยกระดับพลังยุทธ์ของพวกเราสักหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อยเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา”

“เจ้าจะบอกว่าเจ้าสำเร็จเป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์อสูรภายในสิบกว่าวันนั่นน่ะหรือ!” เจ้าอ้วนชวีร้องอุทานอย่างตกใจ

“จือฉี โยวเย่ว์สำเร็จเป็นนักฝึกสัตว์อสูรตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ” เจ้าอ้วนชวีไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ จึงคว้าตัวเว่ยจือฉีมาถาม

เว่ยจือฉีปัดมือเขาทิ้งแล้วพูดว่า “เจ้าถามข้าแล้วจะให้ข้าไปถามใครเล่า”

“พวกเราดูกันอย่างสงบดีกว่า” เป่ยกงถังพูด

พวกเจ้าอ้วนชวีต่างพากันเงียบมองดูซือหม่าโยวเย่ว์ท้าชนกับอสูรหมีดิน

สำหรับคนนอก กระบวนการฝึกนั้นก็คือมนุษย์หนึ่งคนกับสัตว์อสูรหนึ่งตนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนไม่พูดไม่จา ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่มีอะไรน่าดูเลย นอกจากนี้ยังกินระยะเวลาค่อนข้างนานอีกด้วย

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกมาตั้งแต่เช้าจนบ่าย ก็ยังไม่มีใครจากไปเลย

ทุกคนล้วนอยากจะเห็นว่าคนไร้ค่าเมื่อวันวาน ไม่เพียงแต่จะสำเร็จเป็นนักหลอมยาเท่านั้น แต่ยังสำเร็จเป็นนักฝึกสัตว์อสูรด้วยจริงหรือไม่ อยากเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วเธอจะฝึกมันให้เชื่องได้สำเร็จหรือไม่

เว่ยจือฉีกับคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรคนอื่นๆ ล้วนเชื่อว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นนักฝึกสัตว์อสูรกันหมดแล้ว ถ้าหากเธอมิใช่ เธอย่อมไม่มีทางต้านทานอสูรหมีดินได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้อยู่แล้ว

“ใกล้สำเร็จแล้วล่ะ” รองประธานสมาคมเห็นแววตาของซือหม่าโยวเย่ว์เปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ

พวกเว่ยจือฉีมองไปทางอสูรหมีดินจึงเห็นว่ามันไม่มีความดุร้ายอยู่ในแววตาอีกต่อไปแล้ว ดูเชื่องพอๆ กับสัตว์อสูรวิเศษที่ขายอยู่ในร้านจำหน่ายสัตว์อสูรวิเศษเลยทีเดียว

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ซือหม่าโยวเย่ว์จึงลืมตาขึ้น พลังจิตมิได้อ่อนล้ามากจนเกินไปนัก

อสูรหมีดินนอนหมอบอยู่ในกรง ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวเข้าไปแล้วเปิดกรงออก อสูรหมีดินยังไม่รู้เลยว่าตัวเองออกมาได้

พอผู้คนในที่นั้นเห็นเธอเปิดกรงออกก็พากันตกใจจนร่นถอยหลังไป แต่เมื่อเห็นอสูรหมีดินมิได้ออกมาโจมตีผู้คนจึงได้ชมต่อไปอย่างสบายใจ

รองประธานสมาคมก้าวเข้ามามองดูอสูรหมีดินพลางเอ่ยว่า “ฝึกมันให้เชื่องได้สำเร็จแล้วจริงด้วย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำได้สำเร็จจริงๆ นอกจากนี้ยังใช้เวลาสั้นกว่านักฝึกสัตว์อสูรทั่วไปถึงหนึ่งในสามส่วนอีกด้วย มิใช่เรื่องง่ายเลยนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “สัตว์อสูรวิเศษที่ข้าฝึกนั้นยังมีความพิเศษอยู่อีกอย่างหนึ่งด้วยนะ”

“อะไรหรือ” รองประธานสมาคมถาม

“เจ้านายของสัตว์อสูรวิเศษตนนี้อยู่หรือไม่ ถ้าหากอยู่ ท่านก็ให้เขาทดสอบดูที่นี่ได้เลย เชื่อว่าผลลัพธ์ไม่ทำให้พวกท่านผิดหวังอย่างแน่นอน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

รองประธานสมาคมมองชายวัยกลางคนที่รออยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง คนผู้นั้นก็เข้าใจแล้วเดินเข้ามา

ความจริงแล้วในตอนแรกเมื่อได้ยินว่าจะให้ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกสัตว์อสูรวิเศษของตนให้เชื่อง เขาไม่เห็นด้วยเลย แต่ตนได้มอบความไว้วางใจให้สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรดูแลสัตว์อสูรวิเศษตนนี้แล้ว รองประธานสมาคมก็มิได้พูดอะไร ดังนั้นเขาจึงได้แต่ดูอยู่ข้างๆ เท่านั้น

คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะฝึกสัตว์อสูรได้สำเร็จจริงๆ ตอนนี้เขาเชื่อในสิ่งที่เธอพูดแล้ว จึงเริ่มคาดหวังในสิ่งที่เธอบอกว่ามีความพิเศษ

รองประธานสมาคมพูดว่า “เจ้าก็ได้ยินที่โยวเย่ว์พูดแล้วนี่ เจ้าอยากทำพันธสัญญาที่นี่เลยหรือไม่”

“ได้สิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์และรองประธานสมาคมถอยไปอีกด้านหนึ่ง คนผู้นั้นมาถึงตรงหน้าอสูรหมีดินแล้ววางมือลงบนหน้าผากของมันเพื่อเริ่มต้นทำพันธสัญญา

เพียงไม่นาน ค่ายกลพันธสัญญาก็ก่อตัวขึ้นเหนือจัตุรัส ห่อหุ้มหนึ่งมนุษย์กับหนึ่งสัตว์อสูรเอาไว้ภายใน หลังจากที่การทำพันธสัญญาสิ้นสุดลงแล้ว ค่ายกลนั้นจึงกลายเป็นลำแสงสีเงินสองสายพุ่งทะลุเข้าไปกลางหว่างคิ้วของมนุษย์กับสัตว์อสูรคู่นั้น

“ไม่เห็นมีสิ่งใดพิเศษเลยนี่!” ผู้คนในที่นั้นมองดูการทำพันธสัญญาที่มิได้แตกต่างไปจากปกติแล้วอดผิดหวังมิได้

เจ้านายของอสูรหมีดินเองก็สัมผัสไม่ได้ว่ามีสิ่งใดพิเศษ ในขณะที่คิดจะเอ่ยปากถามอยู่นั้นเอง พลังวิญญาณมากมายก็พรั่งพรูออกมาจากมิติพันธสัญญา

เขารีบนั่งขัดสมาธิลงแล้วเริ่มเหนี่ยวนำการโคจรพลังของตน เพียงไม่นาน ลำแสงแห่งการเลื่อนระดับก็เปล่งประกายออกมาในเวลาเดียวกัน ห่อหุ้มหนึ่งมนุษย์กับหนึ่งสัตว์อสูรเอาไว้อีกครั้ง

“สวรรค์เอ๋ย นี่พวกเขาเลื่อนระดับไปพร้อมกันอย่างนั้นหรือ!”

“ทำพันธสัญญาแล้วยังเลื่อนระดับได้อีกด้วย!”

“นี่มันวิธีการฝึกสัตว์อสูรอะไรกัน”

“มหัศจรรย์เกินไปแล้ว!”

“……”

ผู้คนในที่นั้นล้วนพรั่นพรึงกับเหตุการณ์นี้ สายตาที่หันไปทางซือหม่าโยวเย่ว์นั้นราวกับมองสมบัติล้ำค่าเลยทีเดียว

ถ้าหากทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษที่เธอฝึกแล้วเลื่อนระดับได้ทั้งหมด เช่นนั้นพวกเขาให้เธอทำพันธสัญญาเสีย ก็มิใช่จะเลื่อนระดับได้เช่นเดียวกันหรอกหรือ!

รองประธานสมาคมเองก็ใช้ชีวิตอยู่มาเนิ่นนาน แต่นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเรื่องอย่างการเลื่อนระดับหลังทำพันธสัญญาเช่นนี้ มิน่าเล่าเธอจึงบอกว่ามีต้นทุนในการร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร

ในขณะที่ทุกคนกำลังซุบซิบกันอยู่นั้น ลำแสงแห่งการเลื่อนระดับก็แผ่ออกไปอย่างช้าๆ เจ้านายเลื่อนขึ้นสองระดับ ส่วนสัตว์อสูรวิเศษเลื่อนขึ้นหนึ่งระดับ

คนผู้นั้นลืมตาขึ้นแล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น เขาลุกขึ้นคารวะซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “ขอบคุณคุณชายห้ามากที่ฝึกสัตว์อสูรให้ข้า หากวันหน้าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับจวนแม่ทัพก็มาหาข้าได้เลย ข้าไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์อมยิ้มพลางโบกไม้โบกมือ “ทว่าไม่มีจวนแม่ทัพอีกต่อไปแล้ว มีเพียงแค่จวนซือหม่าเท่านั้น หากเกิดเรื่องขึ้นในภายหน้า ข้าจะไปขอความช่วยเหลือจากท่านอย่างแน่นอน”

“ท่านแม่ทัพซือหม่ามีหลานเช่นท่าน ย่อมต้องปลอดภัยไร้ปัญหาเป็นแน่ ถ้าหากไม่มีธุระใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

พูดจบแล้วเขาก็คารวะรองประธานสมาคมและซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะหมุนกายจากไป เขาเพิ่งจะเลื่อนระดับ ยังต้องกลับไปตกผลึกพลังยุทธ์ของเขาอีกสักหน่อย

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูผู้คนที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น จึงรู้ว่าตนบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว เธอพูดกับรองประธานสมาคมว่า “ท่านรองประธานสมาคม พวกเรากลับกันเถิด”

“ได้สิ” รองประธานสมาคมพยักหน้าแล้วพาคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรออกมา เหลือเอาไว้เพียงแค่คนเก็บข้าวของเท่านั้น

เมื่อผู้คนที่มาชมดูความคึกคักเห็นตัวต้นเรื่องไปกันหมดแล้วจึงค่อยๆ แยกย้ายกันไป แต่ทุกคนมิได้ปล่อยให้เรื่องนี้เลือนหายไป หากแต่บอกกันปากต่อปาก ต้องบอกเล่าเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ให้ผู้คนรู้กันมากขึ้นอีกสิ!

สือมั่วลี่คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะเป็นนักฝึกสัตว์อสูรจริงๆ นอกจากนี้ยังเป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์อสูรอีกด้วย เมื่อนึกถึงว่าเธอยังหลอมยาได้ร้ายกาจกว่าตนอีกด้วย ถึงแม้จะรู้สึกขุ่นเคืองใจ ทว่าได้แต่จากไปอย่างเดือดดาลเท่านั้น

น่าหลานหลานเองก็ตกใจกับฝีมือของซือหม่าโยวเย่ว์เช่นกัน นางผู้เติบโตอยู่ในตระกูลใหญ่มาตั้งแต่เล็กย่อมรู้ว่าการกระทำของซือหม่าโยวเย่ว์ในวันนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์เช่นไร เมื่อนึกถึงว่าตระกูลของตนยังวางแผนจะลงมือกับตระกูลซือหม่า เธอจึงให้คนรีบกลับมาในทันทีแล้วบอกเรื่องนี้กับบิดาของตน

เมื่อกลับไปถึงสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร สายตาของผู้คนในสมาคมที่มองเธอก็แตกต่างจากเดิมเสียแล้ว ลำพังแค่เป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์อสูรก็ทำให้พวกเขายกย่องได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเธอยังเป็นนักหลอมยาขั้นสองอีกด้วย!

เมื่อกลับมายังโถงรับแขกอีกครั้ง รองประธานสมาคมก็ให้คนมาดูแลซือหม่าโยวเย่ว์กับพวกเว่ยจือฉีเจ้าอ้วนชวี หลังจากนั้นตนจึงออกไปครู่หนึ่ง

เขาจะต้องรายงานเรื่องในวันนี้ให้ท่านประธานสมาคมทราบสักหน่อย เดิมทีเขาเพียงแค่คิดง่ายๆ ว่าจะช่วยเหลือตระกูลซือหม่าสักหน่อยเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะต่อรองอย่างใหญ่โตว่าจะร่วมมือกับพวกเขา ซึ่งหมายถึงว่าเขาให้ผลประโยชน์กับซือหม่าโยวเย่ว์ได้มากกว่านี้ แต่ก็ต้องรายงานท่านประธานสมาคมสักหน่อย

ภายในโถงรับแขก พวกเจ้าอ้วนชวียังคงจมดิ่งอยู่กับเรื่องกระทบใจเมื่อครู่ ยังมิได้สติกลับคืนมา สายตาที่แต่ละคนมองซือหม่าโยวเย่ว์นั้นราวกับกำลังมองสัตว์ประหลาดเลยทีเดียว แม้กระทั่งแววตาของเป่ยกงถัที่เคยพบเห็นผู้มีพรสวรรค์มาไม่น้อยก็มิได้แตกต่างจากพวกเจ้าอ้วนชวีเลย

“โยวเย่ว์ ที่แท้แล้วเจ้ายังมีเรื่องอีกมากมายเพียงใดที่ไม่ยอมให้พวกเรารู้กันแน่!” เจ้าอ้วนชวีบ่นพึมพำ

“แค่กๆ…” ซือหม่าโยวเย่ว์กระแอมกระไอแล้วพูดในใจว่าความลับของตนยังมีอีกไม่น้อยเลยจริงๆ

“โยวเย่ว์ เจ้าสำเร็จเป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์อสูรตั้่งแต่เมื่อใดกัน” โอวหยางเฟยถามอย่างใคร่รู้

“คราวก่อนตอนกลับมาจากเทือกเขาผู่สั่ว ที่ข้าแยกจากพวกเจ้าก็กลับมาฝึกสัตว์อสูรวิเศษในเทือกเขานั่นแหละ ตอนนั้นรู้ว่าอาจเกิดเรื่องกับตระกูลซือหม่า จึงอยากจะยกระดับพลังยุทธ์ของพวกเราสักหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อยเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา”

“เจ้าจะบอกว่าเจ้าสำเร็จเป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์อสูรภายในสิบกว่าวันนั่นน่ะหรือ!” เจ้าอ้วนชวีร้องอุทานอย่างตกใจ

“เอาล่ะ ถ้าหากเจ้าฝึกสัตว์อสูรทิพย์ให้เชื่องได้จริงๆ เช่นนั้นพวกเราจะจัดการเรื่องสัตว์อสูรวิเศษและนักฝึกสัตว์อสูรของตระกูลซือหม่าในระยะนี้ให้ นอกจากนี้จะไม่คิดค่าใช้จ่ายกับพวกเจ้าอีกด้วย” รองประธานสมาคมพูด “ถ้าหากเจ้าไม่อาจฝึกสัตว์อสูรวิเศษได้ เช่นนั้นพวกเราสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็ยังจะช่วยอยู่ดี เพียงแต่จะเก็บค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่ง”

“ได้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า “แต่ข้ามีคำขอเล็กๆ น้อยๆ อย่างหนึ่ง”

“เจ้าว่ามาได้เลย”

“ข้าจะฝึกสัตว์อสูรในที่สาธารณะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ฝึกสัตว์อสูรในที่สาธารณะอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว จะให้ดีต้องเป็นสถานที่ที่มีคนจำนวนมากๆ อย่างเช่นจัตุรัสอะไรทำนองนี้จะเป็นการดีที่สุด” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ

รองประธานสมาคมคิดดูก็รู้ความคิดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว ถ้าหากเธอฝึกสัตว์อสูรทิพย์ให้เชื่องท่ามกลางผู้คนจำนวนมากได้ เช่นนั้นสถานะในอาณาจักรตงเฉินของเธอก็จะพุ่งทะยานสูงขึ้นในทันใด ผู้คนที่คิดร้ายต่อตระกูลซือหม่าเหล่านั้นย่อมต้องร่นถอยไป นอกจากนี้เธอยังอาศัยชื่อเสียงของตนเองดึงดูดเหล่าปรมาจารย์วิญญาณพเนจรได้อีกด้วย

“เช่นนั้นข้าจะให้คนไปจัดการสักครู่ อีกประเดี๋ยวพวกเราไปฝึกสัตว์อสูรที่จัตุรัสกลางเมืองหลวงกัน!”

ระหว่างที่คนเหล่านั้นไปเตรียมการ รองประธานสมาคมก็พาซือหม่าโยวเย่ว์ดูสัตว์อสูรทิพย์ที่เพิ่งมาถึง

อสูรหมีดินขั้นสองตนหนึ่งถูกขังอยู่ภายในกรง เมื่อเห็นว่ามีคนมา นัยน์ตาก็มีแววดุร้ายวาบผ่าน

“สัตว์อสูรทิพย์ขั้นสองหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเพียงปราดเดียวก็รู้ระดับขั้นของอสูรหมีดินแล้วเอ่ยถามขึ้น

“พลังจิตของอสูรหมีดินตนนี้ค่อนข้างแกร่งกล้า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นขั้นสอง แต่ระดับความยากก็ไม่น้อยไปกว่าสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสามตนอื่นๆ เลย” รองประธานสมาคมพูด

“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์มองอสูรหมีดินที่กระสับกระส่ายไม่หยุดภายในกรงอย่างไม่เป็นกังวลถึงผลลัพธ์ในตอนท้ายเลยแม้แต่น้อย

ขณะนี้เอง เด็กรับใช้สองคนก็เดินเข้ามาแล้วคารวะรองประธานสมาคมก่อนจะเอ่ย่า “ท่านรองประธานสมาคม พวกเรามานำตัวสัตว์อสูรวิเศษไปแล้วขอรับ”

รองประธานสมาคมพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ไปเถิด ระวังด้วยล่ะ”

“ขอรับ”

สองคนนั้นเดินเข้ามายกกรงออกไป ถึงแม้จะเป็นร่างจำแลง แต่ก็มิอาจมองข้ามขนาดตัวของอสูรหมีดินไปได้โดยง่าย

“พวกเราก็ไปกันดีกว่า” รองประธานสมาคมพูดจบแล้วเดินนำออกไป

ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวเท้าจะตามไป แต่ถูกเว่ยจือฉีรั้งเอาไว้

“เป็นอะไรไปหรือ” เธอมองเว่ยจือฉีอย่างไม่เข้าใจ

เว่ยจือฉีดึงตัวนางไว้พลางเอ่ยเสียงเบา “โยวเย่ว์ เจ้าทำให้อสูรหมีดินเชื่องได้จริงๆ หรือ นี่มันสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสองเชียวนะ ถ้าหากทำให้มันเชื่องมิได้ เจ้าจะได้รับบาดเจ็บจากการสะท้อนกลับเอานะ”

“เจ้าวางใจเถิด ข้าเคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดยิ้มๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปพร้อมกับรองประธานสมาคม

เว่ยจือฉีมองเงาหลังของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วถอนหายใจก่อนจะเดินตามไป

ถึงแม้เขาจะรู้ว่านางมั่นใจในตัวเองมาโดยตลอด พูดได้ก็ทำได้ แต่เขาก็ยังลังเลที่จะเชื่อว่านางเป็นนักฝึกสัตว์อสูรแล้วอยู่บ้าง

ขณะที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์ไปถึงจัตุรัส ที่นั่นก็มีผู้คนแน่นขนัดแล้ว ห้อมล้อมทั่วทั้งจัตุรัสจนแม้แต่หยดน้ำก็ยังไหลผ่านไม่ได้ เมื่อได้ยินว่าจะมีคนฝึกสัตว์อสูรท่ามกลางสาธารณชน ทุกคนจึงพากันวิ่งมาอย่างอยากรู้อยากเห็น

สือมั่วลี่และน่าหลานหลานก็ผ่านมาทางจัตุรัสพอดี เมื่อได้ยินว่าคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรจะมาฝึกสัตว์อสูร จึงลงมาจากรถม้าของตนพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายแล้วมาที่กลางจัตุรัส อยากจะดูสักหน่อยว่าที่แท้เป็นใครกันที่ทำเช่นนี้

“หลีกทาง” ทหารยามคนหนึ่งเปิดทางอยู่หน้าพวกรองประธานสมาคม เมื่อทุกคนเห็นว่าเป็นคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร จึงเปิดเส้นทางให้อย่างรู้ตัว

ถึงแม้ว่ายามปกติรองประธานสมาคมผู้นี้จะรักสันโดษ แต่คนเมืองหลวงส่วนใหญ่ล้วนรู้จักเขากันทั้งสิ้น เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่ตามมาด้านหลังเขา ผู้คนไม่น้อยต่างพากันสงสัย ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไร

รองประธานสมาคมพาตัวซือหม่าโยวเย่ว์มายังกลางจัตุรัส ที่นั่นมีกรงใส่อสูรหมีดินวางอยู่

“ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง” รองประธานสมาคมถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูผู้คนรอบๆ ปราดหนึ่ง ไม่เลว คนของขุมอำนาจจำนวนมากล้วนมากันทั้งสิ้น นอกจากนี้คนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรยังรวดเร็วกันเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ดึงดูดผู้คนมาได้มากมายเช่นนี้เท่านั้น แต่ยังจัดวางเส้นเขตแดนชั่วคราวเอาไว้อีกด้วย ทำให้ผู้คนที่มาชมดูความคึกคักมุงกันอยู่ภายนอก

“ดีมาก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เช่นนั้นเจ้าปรับสภาพสักครู่หนึ่งแล้วเริ่มเลยดีกว่า” รองประธานสมาคมพูด

“ไม่ต้องหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วเดินไปยังตรงกลางจัตุรัส เธอเดินไปตรงหน้ากรงแล้วนั่งลง

“ซือหม่าโยวเย่ว์?”

“เขานั่งตรงหน้ากรงทำไมกัน”

“ตระกูลซือหม่ามิได้เกิดเรื่องหรอกหรือ เหตุใดเขาจึงยังอยู่ที่นี่ได้เล่า”

“เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา เขาจะฝึกสัตว์อสูรอย่างนั้นหรือ”

“มิใช่กระมัง! เขามิใช่คนไร้ค่าหรอกหรือ จะเป็นนักฝึกสัตว์อสูรได้อย่างไรกัน”

“เจ้าเพิ่งมาจากโลกภายนอกสินะ ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้มิใช่คนไร้ค่ามาตั้งนานแล้ว เมื่อหนึ่งปีก่อนก็เริ่มฝึกยุทธ์ได้แล้ว นอกจากนี้ตอนนี้ยังเป็นนักหลอมยาขั้นสองแล้วด้วย ชาตินี้พวกเราก็คงไม่มีพรสวรรค์เช่นนี้หรอก จะยังเป็นคนไร้ค่าได้อย่างไรเล่า”

“อะไรนะ เขาเป็นนักหลอมยาอย่างนั้นหรือ ทั้งยังเป็นขั้นสองเชียวหรือ!”

“ก็ใช่น่ะสิ คราวก่อนตอนงานเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาท เขายังหลอมยาท่ามกลางสาธารณชนอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วเมืองหลวงเลยนะ”

“เขาเป็นนักหลอมยา แต่เหตุใดข้าจึงเห็นท่าทางเขาเหมือนกำลังจะฝึกสัตว์อสูรเลยเล่า”

“หรือว่าเขาเป็นนักฝึกสัตว์อสูร”

“จะเป็นไปได้อย่างไร แค่เขาเป็นนักหลอมยาก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว จะยังเป็นนักฝึกสัตว์อสูรอีกได้อย่างไรกัน ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นพวกเราคงต้องแทรกแผ่นดินหนึกันหมดแล้วล่ะ หากเป็นเช่นนี้พวกเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมกัน”

“แต่ข้าเห็นท่าทางเขาเหมือนกำลังจะฝึกสัตว์อสูรจริงๆ นี่นา!”

“ถ้าหากเขาเป็นนักฝึกสัตว์อสูร ทั้งยังเป็นนักหลอมยาจริงๆ เช่นนั้นเขาจะเป็นคนที่ร้ายกาจขนาดไหน! ต่อให้ตระกูลซือหม่าเหลือเขาเป็นเจ้านายอยู่เพียงคนเดียว ก็ไม่มีทางล่มจมอย่างแน่นอน”

“พวกเจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่าดูเหมือนสิ่งที่อยู่ในกรงจะเป็นสัตว์อสูรทิพย์!”

“อะไรนะ!”

คราวนี้สายตาของทุกคนไปจับอยู่ภายในกรง จึงพบว่าเป็นสัตว์อสูรทิพย์ตนหนึ่ง ถ้าหากเขาฝึกมันให้เชื่องได้สำเร็จ เช่นนั้นเขาก็คือนักฝึกสัตว์อสูรจริงๆ แล้ว…

ทุกคนไม่กล้าคิดต่อไปเพราะกลัวว่าหากตนคิดต่อไปจนจบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว

ผู้คนจำนวนไม่น้อยล้วนเชื่อว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นนักฝึกสัตว์อสูรแล้ว แต่แน่นอนว่าย่อมมีคนไม่เชื่อเช่นกัน

สือมั่วลี่ไม่เชื่อ นางมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยว่า “ซือหม่าโยวเย่ว์ ตระกูลซือหม่าเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ เจ้าไม่ยอมอยู่ติดบ้านแล้ววิ่งออกมาทำไมกัน เจ้ามิใช่นักหลอมยาหรอกหรือ ทำไมเล่า เจ้าคิดว่าเจ้าสัตว์อสูรวิเศษนี่จะยอมให้เจ้าควบคุมได้เหมือนเครื่องยาอย่างนั้นหรือ หรือเจ้ายังคิดว่าเจ้าเป็นนักฝึกสัตว์อสูรด้วย ถ้าหากข้าเป็นเจ้าคงไม่มีทางมาขายขี้หน้าที่นี่หรอกนะ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองสือมั่วลี่ปราดหนึ่งแล้วพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “ผู้ใดกำหนดหรือว่าเป็นนักหลอมยาแล้วมิอาจเป็นนักฝึกสัตว์อสูรได้”

พอพูดจบเธอก็ยื่นมือเข้าไปในกรง

ผู้คนจำนวนไม่น้อยเห็นเธอสัมผัสอสูรหมีดินตรงๆ ก็ตกใจจนหลับตาแน่น

กรงสัตว์อสูรวิเศษนี้ดูเหมือนจะกักพลังยุทธ์ของมันเอาไว้ด้วย ถึงแม้ว่าแววตาจะดุร้าย ทั้งยังหงุดหงิดอย่างยิ่ง แต่กลับมิได้ขบกัดมือเธอแต่อย่างใด

เธอวางมือลงบนหน้าผากของอสูรหมีดินแล้วโคจรเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรขึ้นมา เริ่มต้นฝึกมันให้เชื่อง

เป่ยกงถัง โอวหยางเฟย และเจ้าอ้วนชวีผ่านทางมา ก็เห็นเว่ยจือฉีผู้ยืนอยู่กลางพื้นที่ว่าง จึงรีบเบียดตัวเข้ามาดูว่าเหตุการณ์เป็นเช่นไร เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่กำลังฝึกอสูรหมีดินอยู่ เจ้าอ้วนชวีก็ตกใจจนคางแทบร่วงหล่นลงมา

“จือฉี โยวเย่ว์กำลังทำอะไรน่ะ เจ้าอย่าบอกว่านางกำลังฝึกสัตว์อสูรอยู่เชียวนะ!” เจ้าอ้วนชวีมายังข้างกายเว่ยจือฉีแล้วถามขึ้น

“เจ้ามิได้เห็นหมดแล้วหรอกหรือ” เว่ยจือฉีกลอกตาใส่เจ้าอ้วนชวีปราดหนึ่ง

เป่ยกงถังมองอสูรหมีดินภายในกรงพลางเอ่ยว่า “ที่อยู่ในกรงคงเป็นสัตว์อสูรทิพย์สินะ ทั้งยังเป็นอสูรหมีดินขั้นสองอีกด้วย”

“อะไรนะ!” เจ้าอ้วนชวีได้ฟังแล้วรีบยื่นมือไปกุมคางของตัวเองเอาไว้ มิฉะนั้นเขาก็กลัวว่าคางของตนคงจะหล่นหายไปเสียจริงๆ

“เอาล่ะ ถ้าหากเจ้าฝึกสัตว์อสูรทิพย์ให้เชื่องได้จริงๆ เช่นนั้นพวกเราจะจัดการเรื่องสัตว์อสูรวิเศษและนักฝึกสัตว์อสูรของตระกูลซือหม่าในระยะนี้ให้ นอกจากนี้จะไม่คิดค่าใช้จ่ายกับพวกเจ้าอีกด้วย” รองประธานสมาคมพูด “ถ้าหากเจ้าไม่อาจฝึกสัตว์อสูรวิเศษได้ เช่นนั้นพวกเราสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็ยังจะช่วยอยู่ดี เพียงแต่จะเก็บค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่ง”

“ได้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า “แต่ข้ามีคำขอเล็กๆ น้อยๆ อย่างหนึ่ง”

“เจ้าว่ามาได้เลย”

“ข้าจะฝึกสัตว์อสูรในที่สาธารณะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ฝึกสัตว์อสูรในที่สาธารณะอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว จะให้ดีต้องเป็นสถานที่ที่มีคนจำนวนมากๆ อย่างเช่นจัตุรัสอะไรทำนองนี้จะเป็นการดีที่สุด” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ

รองประธานสมาคมคิดดูก็รู้ความคิดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว ถ้าหากเธอฝึกสัตว์อสูรทิพย์ให้เชื่องท่ามกลางผู้คนจำนวนมากได้ เช่นนั้นสถานะในอาณาจักรตงเฉินของเธอก็จะพุ่งทะยานสูงขึ้นในทันใด ผู้คนที่คิดร้ายต่อตระกูลซือหม่าเหล่านั้นย่อมต้องร่นถอยไป นอกจากนี้เธอยังอาศัยชื่อเสียงของตนเองดึงดูดเหล่าปรมาจารย์วิญญาณพเนจรได้อีกด้วย

“เช่นนั้นข้าจะให้คนไปจัดการสักครู่ อีกประเดี๋ยวพวกเราไปฝึกสัตว์อสูรที่จัตุรัสกลางเมืองหลวงกัน!”

ระหว่างที่คนเหล่านั้นไปเตรียมการ รองประธานสมาคมก็พาซือหม่าโยวเย่ว์ดูสัตว์อสูรทิพย์ที่เพิ่งมาถึง

อสูรหมีดินขั้นสองตนหนึ่งถูกขังอยู่ภายในกรง เมื่อเห็นว่ามีคนมา นัยน์ตาก็มีแววดุร้ายวาบผ่าน

“สัตว์อสูรทิพย์ขั้นสองหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเพียงปราดเดียวก็รู้ระดับขั้นของอสูรหมีดินแล้วเอ่ยถามขึ้น

“พลังจิตของอสูรหมีดินตนนี้ค่อนข้างแกร่งกล้า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นขั้นสอง แต่ระดับความยากก็ไม่น้อยไปกว่าสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสามตนอื่นๆ เลย” รองประธานสมาคมพูด

“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์มองอสูรหมีดินที่กระสับกระส่ายไม่หยุดภายในกรงอย่างไม่เป็นกังวลถึงผลลัพธ์ในตอนท้ายเลยแม้แต่น้อย

ขณะนี้เอง เด็กรับใช้สองคนก็เดินเข้ามาแล้วคารวะรองประธานสมาคมก่อนจะเอ่ย่า “ท่านรองประธานสมาคม พวกเรามานำตัวสัตว์อสูรวิเศษไปแล้วขอรับ”

รองประธานสมาคมพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ไปเถิด ระวังด้วยล่ะ”

“ขอรับ”

สองคนนั้นเดินเข้ามายกกรงออกไป ถึงแม้จะเป็นร่างจำแลง แต่ก็มิอาจมองข้ามขนาดตัวของอสูรหมีดินไปได้โดยง่าย

“พวกเราก็ไปกันดีกว่า” รองประธานสมาคมพูดจบแล้วเดินนำออกไป

ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวเท้าจะตามไป แต่ถูกเว่ยจือฉีรั้งเอาไว้

“เป็นอะไรไปหรือ” เธอมองเว่ยจือฉีอย่างไม่เข้าใจ

เว่ยจือฉีดึงตัวนางไว้พลางเอ่ยเสียงเบา “โยวเย่ว์ เจ้าทำให้อสูรหมีดินเชื่องได้จริงๆ หรือ นี่มันสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสองเชียวนะ ถ้าหากทำให้มันเชื่องมิได้ เจ้าจะได้รับบาดเจ็บจากการสะท้อนกลับเอานะ”

“เจ้าวางใจเถิด ข้าเคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดยิ้มๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปพร้อมกับรองประธานสมาคม

เว่ยจือฉีมองเงาหลังของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วถอนหายใจก่อนจะเดินตามไป

ถึงแม้เขาจะรู้ว่านางมั่นใจในตัวเองมาโดยตลอด พูดได้ก็ทำได้ แต่เขาก็ยังลังเลที่จะเชื่อว่านางเป็นนักฝึกสัตว์อสูรแล้วอยู่บ้าง

ขณะที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์ไปถึงจัตุรัส ที่นั่นก็มีผู้คนแน่นขนัดแล้ว ห้อมล้อมทั่วทั้งจัตุรัสจนแม้แต่หยดน้ำก็ยังไหลผ่านไม่ได้ เมื่อได้ยินว่าจะมีคนฝึกสัตว์อสูรท่ามกลางสาธารณชน ทุกคนจึงพากันวิ่งมาอย่างอยากรู้อยากเห็น

สือมั่วลี่และน่าหลานหลานก็ผ่านมาทางจัตุรัสพอดี เมื่อได้ยินว่าคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรจะมาฝึกสัตว์อสูร จึงลงมาจากรถม้าของตนพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายแล้วมาที่กลางจัตุรัส อยากจะดูสักหน่อยว่าที่แท้เป็นใครกันที่ทำเช่นนี้

“หลีกทาง” ทหารยามคนหนึ่งเปิดทางอยู่หน้าพวกรองประธานสมาคม เมื่อทุกคนเห็นว่าเป็นคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร จึงเปิดเส้นทางให้อย่างรู้ตัว

ถึงแม้ว่ายามปกติรองประธานสมาคมผู้นี้จะรักสันโดษ แต่คนเมืองหลวงส่วนใหญ่ล้วนรู้จักเขากันทั้งสิ้น เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่ตามมาด้านหลังเขา ผู้คนไม่น้อยต่างพากันสงสัย ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไร

รองประธานสมาคมพาตัวซือหม่าโยวเย่ว์มายังกลางจัตุรัส ที่นั่นมีกรงใส่อสูรหมีดินวางอยู่

“ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง” รองประธานสมาคมถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูผู้คนรอบๆ ปราดหนึ่ง ไม่เลว คนของขุมอำนาจจำนวนมากล้วนมากันทั้งสิ้น นอกจากนี้คนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรยังรวดเร็วกันเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ดึงดูดผู้คนมาได้มากมายเช่นนี้เท่านั้น แต่ยังจัดวางเส้นเขตแดนชั่วคราวเอาไว้อีกด้วย ทำให้ผู้คนที่มาชมดูความคึกคักมุงกันอยู่ภายนอก

“ดีมาก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เช่นนั้นเจ้าปรับสภาพสักครู่หนึ่งแล้วเริ่มเลยดีกว่า” รองประธานสมาคมพูด

“ไม่ต้องหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วเดินไปยังตรงกลางจัตุรัส เธอเดินไปตรงหน้ากรงแล้วนั่งลง

“ซือหม่าโยวเย่ว์?”

“เขานั่งตรงหน้ากรงทำไมกัน”

“ตระกูลซือหม่ามิได้เกิดเรื่องหรอกหรือ เหตุใดเขาจึงยังอยู่ที่นี่ได้เล่า”

“เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา เขาจะฝึกสัตว์อสูรอย่างนั้นหรือ”

“มิใช่กระมัง! เขามิใช่คนไร้ค่าหรอกหรือ จะเป็นนักฝึกสัตว์อสูรได้อย่างไรกัน”

“เจ้าเพิ่งมาจากโลกภายนอกสินะ ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้มิใช่คนไร้ค่ามาตั้งนานแล้ว เมื่อหนึ่งปีก่อนก็เริ่มฝึกยุทธ์ได้แล้ว นอกจากนี้ตอนนี้ยังเป็นนักหลอมยาขั้นสองแล้วด้วย ชาตินี้พวกเราก็คงไม่มีพรสวรรค์เช่นนี้หรอก จะยังเป็นคนไร้ค่าได้อย่างไรเล่า”

“อะไรนะ เขาเป็นนักหลอมยาอย่างนั้นหรือ ทั้งยังเป็นขั้นสองเชียวหรือ!”

“ก็ใช่น่ะสิ คราวก่อนตอนงานเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาท เขายังหลอมยาท่ามกลางสาธารณชนอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วเมืองหลวงเลยนะ”

“เขาเป็นนักหลอมยา แต่เหตุใดข้าจึงเห็นท่าทางเขาเหมือนกำลังจะฝึกสัตว์อสูรเลยเล่า”

“หรือว่าเขาเป็นนักฝึกสัตว์อสูร”

“จะเป็นไปได้อย่างไร แค่เขาเป็นนักหลอมยาก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว จะยังเป็นนักฝึกสัตว์อสูรอีกได้อย่างไรกัน ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นพวกเราคงต้องแทรกแผ่นดินหนึกันหมดแล้วล่ะ หากเป็นเช่นนี้พวกเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมกัน”

“แต่ข้าเห็นท่าทางเขาเหมือนกำลังจะฝึกสัตว์อสูรจริงๆ นี่นา!”

“ถ้าหากเขาเป็นนักฝึกสัตว์อสูร ทั้งยังเป็นนักหลอมยาจริงๆ เช่นนั้นเขาจะเป็นคนที่ร้ายกาจขนาดไหน! ต่อให้ตระกูลซือหม่าเหลือเขาเป็นเจ้านายอยู่เพียงคนเดียว ก็ไม่มีทางล่มจมอย่างแน่นอน”

“พวกเจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่าดูเหมือนสิ่งที่อยู่ในกรงจะเป็นสัตว์อสูรทิพย์!”

“อะไรนะ!”

คราวนี้สายตาของทุกคนไปจับอยู่ภายในกรง จึงพบว่าเป็นสัตว์อสูรทิพย์ตนหนึ่ง ถ้าหากเขาฝึกมันให้เชื่องได้สำเร็จ เช่นนั้นเขาก็คือนักฝึกสัตว์อสูรจริงๆ แล้ว…

ทุกคนไม่กล้าคิดต่อไปเพราะกลัวว่าหากตนคิดต่อไปจนจบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว

ผู้คนจำนวนไม่น้อยล้วนเชื่อว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นนักฝึกสัตว์อสูรแล้ว แต่แน่นอนว่าย่อมมีคนไม่เชื่อเช่นกัน

สือมั่วลี่ไม่เชื่อ นางมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยว่า “ซือหม่าโยวเย่ว์ ตระกูลซือหม่าเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ เจ้าไม่ยอมอยู่ติดบ้านแล้ววิ่งออกมาทำไมกัน เจ้ามิใช่นักหลอมยาหรอกหรือ ทำไมเล่า เจ้าคิดว่าเจ้าสัตว์อสูรวิเศษนี่จะยอมให้เจ้าควบคุมได้เหมือนเครื่องยาอย่างนั้นหรือ หรือเจ้ายังคิดว่าเจ้าเป็นนักฝึกสัตว์อสูรด้วย ถ้าหากข้าเป็นเจ้าคงไม่มีทางมาขายขี้หน้าที่นี่หรอกนะ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองสือมั่วลี่ปราดหนึ่งแล้วพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “ผู้ใดกำหนดหรือว่าเป็นนักหลอมยาแล้วมิอาจเป็นนักฝึกสัตว์อสูรได้”

พอพูดจบเธอก็ยื่นมือเข้าไปในกรง

ผู้คนจำนวนไม่น้อยเห็นเธอสัมผัสอสูรหมีดินตรงๆ ก็ตกใจจนหลับตาแน่น

กรงสัตว์อสูรวิเศษนี้ดูเหมือนจะกักพลังยุทธ์ของมันเอาไว้ด้วย ถึงแม้ว่าแววตาจะดุร้าย ทั้งยังหงุดหงิดอย่างยิ่ง แต่กลับมิได้ขบกัดมือเธอแต่อย่างใด

เธอวางมือลงบนหน้าผากของอสูรหมีดินแล้วโคจรเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรขึ้นมา เริ่มต้นฝึกมันให้เชื่อง

เป่ยกงถัง โอวหยางเฟย และเจ้าอ้วนชวีผ่านทางมา ก็เห็นเว่ยจือฉีผู้ยืนอยู่กลางพื้นที่ว่าง จึงรีบเบียดตัวเข้ามาดูว่าเหตุการณ์เป็นเช่นไร เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่กำลังฝึกอสูรหมีดินอยู่ เจ้าอ้วนชวีก็ตกใจจนคางแทบร่วงหล่นลงมา

“จือฉี โยวเย่ว์กำลังทำอะไรน่ะ เจ้าอย่าบอกว่านางกำลังฝึกสัตว์อสูรอยู่เชียวนะ!” เจ้าอ้วนชวีมายังข้างกายเว่ยจือฉีแล้วถามขึ้น

“เจ้ามิได้เห็นหมดแล้วหรอกหรือ” เว่ยจือฉีกลอกตาใส่เจ้าอ้วนชวีปราดหนึ่ง

เป่ยกงถังมองอสูรหมีดินภายในกรงพลางเอ่ยว่า “ที่อยู่ในกรงคงเป็นสัตว์อสูรทิพย์สินะ ทั้งยังเป็นอสูรหมีดินขั้นสองอีกด้วย”

“อะไรนะ!” เจ้าอ้วนชวีได้ฟังแล้วรีบยื่นมือไปกุมคางของตัวเองเอาไว้ มิฉะนั้นเขาก็กลัวว่าคางของตนคงจะหล่นหายไปเสียจริงๆ

การประชุมดำเนินไปราวๆ สองชั่วโมงแล้ว หลังออกมาจากห้องประชุมเป็นการชั่วคราวแล้ว บนใบหน้าของผู้จัดการทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง ราวกับได้เห็นอนาคตอันสดใส

ซือหม่าโยวเย่ว์และพ่อบ้านตามออกมาทีหลัง เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ พ่อบ้านก็รู้สึกพึงพอใจอย่างแท้จริง

เธอมิได้หดหู่ มิได้เฉยชา มิได้ล้มลุกคลุกคลาน แต่กลับจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นอย่างดีภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้

ก่อนหน้านี้ทุกคนไม่เคยค้นพบมาก่อนเลยว่าเธอมีความเป็นผู้นำมากถึงเพียงนี้

“คุณชายเจ้าคะ” ชุนเจี้ยนคอยเฝ้าอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ออกมา จึงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า “คุณชาย พวกคุณชายชวีมาเจ้าค่ะ รอกันอยู่ครู่ใหญ่แล้ว”

“พวกเจ้าอ้วนชวีมาอย่างนั้นหรือ อยู่ที่ใดเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“รออยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนพูด “ตอนนี้พวกเราไม่มีเรือนสำรอง จึงได้แต่ให้พวกเขาคอยอยู่ข้างนอกน่ะเจ้าค่ะ”

“ข้ารู้แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านพ่อบ้าน ท่านไปทำงานก่อนเถิด”

“ขอรับ ข้าน้อยขอตัว” พ่อบ้านคารวะก่อนจะหมุนตัวจากไป

ชุนเจี้ยนพาตัวซือหม่าโยวเย่ว์ไปยังด้านหน้า ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนพื้นเรียบ เธอจึงรีบเดินเข้าไปหา

“โยวเย่ว์” เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันไป ก็เห็นเธอเดินเข้ามา

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูแวววิตกกังวลบนใบหน้าของพวกเป่ยกงถังแล้วจึงยิ้มให้กับพวกเขาก่อนจะเอ่ยว่า “ขอโทษด้วยจริงๆ ตอนนี้พวกเจ้ามากันยังไม่มีแม้แต่ที่ให้นั่งเลย”

“โยวเย่ว์ พวกเราได้ยินว่าเจ้าออกมาจากวิทยาลัย ก็เลยมาดูกันสักหน่อยน่ะ” เป่ยกงถังพูด “ร่างกายของเจ้าในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

“เอาละ พวกเราได้ยินว่าร่างกายเจ้ากระดูกหักไปหลายแห่ง ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บตรงไหนอยู่หรือไม่” เจ้าอ้วนชวีถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนั้นเสียที่ไหนกัน ก็แค่หมดสติไปไม่กี่วันเท่านั้น พอฟื้นขึ้นมาก็หายดีแล้ว”

“จริงหรือ” เว่ยจือฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์ เธอขยับร่างกายโดยไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ ทุกคนจึงค่อยวางใจ

“พวกเราย้ายที่คุยกันดีกว่า ตอนนี้จวนแม่ทัพไม่มีสถานที่พอจะรับรองพวกเจ้าได้เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเราไปที่โรงน้ำชาใกล้ๆ ก็แล้วกัน”

ทั้งห้าคนไปยังโรงน้ำชาแล้วหาห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ขณะที่เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นยกน้ำชามาก็ยังมองซือหม่าโยวเย่ว์อยู่หลายครั้ง

ซือหม่าโยวเย่ว์ยกจอกชาขึ้นพลางพูดกับเจ้าอ้วนชวีว่า “เจ้าอ้วน ข้าขอใช้น้ำชาแทนสุราขอบคุณตระกูลพวกเจ้าที่ช่วยเหลือตระกูลข้าในเวลาเช่นนี้”

“โยวเย่ว์ เจ้าช่างเกรงอกเกรงใจเสียเหลือเกิน ข้าไม่คุ้นชินเอาเสียเลย” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางเกาท้ายทอย

ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มพลางดื่มน้ำชาลงไป หลังจากนั้นก็เทมาอีกจอกหนึ่งแล้วพูดกับเว่ยจือฉีว่า “สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรยื่นมือเข้าช่วย คงจะเป็นเพราะเจ้าไปหาท่านอาของเจ้าสินะ ขอบคุณเจ้ามาก จือฉี”

เว่ยจือฉีอมยิ้มพลางโบกไม้โบกมือแล้วยกจอกชาขึ้นดื่มพร้อมกับซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์เทน้ำชาจอกที่สามแล้วพูดว่า “จอกนี้ เป็นการขอบคุณพวกเจ้าสำหรับยาวิเศษในระยะนี้”

โอวหยางเฟยและเป่ยกงถังยกจอกชาขึ้นดื่ม

“โยวเย่ว์ ข้าได้ยินว่าสถานการณ์ของตระกูลซือหม่าในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก เจ้ามีแผนอะไรบ้างแล้วหรือยัง” เจ้าอ้วนชวีถาม

“ต้องมีแน่นอนอยู่แล้วสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “คนเหล่านั้นคิดจะอาศัยโอกาสนี้กลืนกินตระกูลซือหม่าของข้า คงจะไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอก ถึงแม้ว่าพวกท่านปู่จะไม่อยู่ แต่ข้ายังอยู่ทั้งคน ข้าไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลซือหม่าสลายไปเช่นนี้หรอก ข้าจะทำให้มันแข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีก!”

“เจ้าวางแผนจะทำเช่นไรหรือ” เว่ยจือฉีถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้ม “เรื่องนี้ยังต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าด้วย…”

วันต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ไปยังสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรพร้อมกับเว่ยจือฉีเพื่อไปพบรองประธานสมาคม

“ท่านอา โยวเย่ว์มาแล้วขอรับ” เว่ยจือฉีพาตัวซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปในโถงรับแขกแล้วพูดกับคนที่คอยอยู่ที่นั่น

ซือหม่าโยวเย่ว์โค้งกายคำนับน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า “คารวะท่านรองประธานสมาคม”

รองประธานสมาคมพยักหน้าแล้วพูดว่า “คุณชายห้า เชิญนั่งเถิด”

“ขอบคุณท่านรองประธานสมาคม ท่านเรียกข้าว่าโยวเย่ว์ก็พอแล้ว”

ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงพร้อมเว่ยจือฉี ทันใดนั้นก็มีสาวใช้ยกน้ำชามาให้

“โยวเย่ว์ เมื่อวานจือฉีมาพบข้า ต้องการให้ข้าได้พบหน้าเจ้า แต่ว่ามีเรื่องอันใดกันหรือ” รองประธานสมาคมถาม

“เรื่องเป็นเช่นนี้ หลังจากที่ข้าฟื้นขึ้นมาแล้วก็ได้ยินพ่อบ้านพูดว่าสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรช่วยเหลือพวกเราเพราะทำตามคำสั่งของท่าน ดังนั้นจึงอยากมาขอบคุณท่านสักครั้ง นอกจากนี้ยังมีเรื่องบางอย่างที่อยากหารือกับท่านรองประธานสมาคมสักหน่อยด้วย”

“ถึงแม้ว่าข้ากับท่านปู่ของเจ้าจะมิได้ไปมาหาสู่กันมากมายนัก แต่ก็รู้ว่าเขามีอุปนิสัยตรงไปตรงมา บวกกับที่เจ้าและจือฉีมีความสัมพันธ์อันดีเช่นนี้ ดังนั้นช่วยเจ้าสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร” รองประธานสมาคมพูด “สำหรับเรื่องที่เจ้าบอกว่าอยากจะหารือด้วย เรื่องนี้เจ้าคุยรายละเอียดกับคนที่ไปส่งได้เลยนะ”

“เรื่องนี้จำเป็นต้องคุยกับผู้จัดการ ดังนั้นจึงให้จือฉีพามาหาท่าน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านรองประธานสมาคม ข้ามิได้มาถามหาความช่วยเหลือ หากแต่มาร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร”

“ร่วมมือหรือ” รองประธานสมาคมมองซือหม่าโยวเย่ว์ ไม่รู้ว่าเธอจะมีอะไรมาร่วมมือกับตนได้ “สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรมิได้ฟังเพียงข้าคนเดียวเท่านั้น อยากจะร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร เช่นนั้นเจ้าก็ต้องนำเอาสิ่งที่ต้องใจสมาคมมา”

“ในเมื่อข้ามาถึงนี่ ย่อมต้องคิดถึงจุดนี้เอาไว้อยู่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เช่นนั้นเจ้าลองบอกมาสิว่าเจ้าอยากจะร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรอย่างไร” รองประธานสมาคมถาม

“ตอนนี้ร้านค้าตระกูลซือหม่าต้องการสัตว์อสูรวิเศษที่ฝึกให้เชื่องแล้วจำนวนหนึ่ง หวังว่าสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรจะช่วยเติมเต็มช่องว่างของพวกเราได้เป็นการชั่วคราว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “และเพื่อเป็นการตอบแทน ข้ายินดีฝึกสัตว์อสูรทิพย์จำนวนหนึ่งให้กับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร”

“เจ้าว่าอะไรนะ! เจ้าทำให้สัตว์อสูรทิพย์เชื่องได้อย่างนั้นหรือ!”

รองประธานสมาคมและเว่ยจือฉีต่างตกตะลึงไป คิดว่าตนหูแว่วเสียแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว มิทราบว่าเรื่องนี้พอจะแลกเปลี่ยนกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรได้หรือไม่”

“โยวเย่ว์ เจ้าเป็นนักฝึกสัตว์อสูรแล้วหรือ” เว่ยจือฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์ ถึงแม้จะใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับเธอทุกวัน เธอก็ยังคงทำให้พวกเขาประหลาดใจได้ตลอด

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

สายตาของรองประธานสมาคมที่มองไปทางซือหม่าโยวเย่ว์เปลี่ยนแปลงไปอยู่บ้างแล้วพูดว่า “เจ้าเคยฝึกสัตว์อสูรทิพย์มาก่อนหรือ”

“ใช่แล้ว”

“ขั้นใดหรือ”

“ขั้นสี่”

สายตาของเว่ยจือฉีที่มองซือหม่าโยวเย่ว์นั้นราวกับมองสัตว์ประหลาด ท่านอาเคยบอกว่าเขามีพรสวรรค์เหนือผู้ใด ในภายหน้าจะต้องประสบความสำเร็จอย่างไม่ธรรมดา แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อาจฝึกสัตว์อสูรทิพย์ได้เลย ทว่าซือหม่าโยวเย่ว์กลับฝึกสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสี่ให้เชื่องได้แล้ว

แม้กระทั่งท่านอาของเขาผู้เป็นรองประธานสมาคมของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรที่มีชีวิตอยู่มานานกว่าเธอหลายสิบหลายร้อยปีก็ยังฝึกได้เพียงแค่สัตว์อสูรทิพย์ขั้นหกเท่านั้นเอง

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าระดับพลังวิญญาณของนางยังสูงกว่าเขาเสียอีก นอกจากนี้ยังเป็นนักหลอมยาอีกด้วย

เขาลูบหน้าผาก เจ้าคนผู้นี้คือคนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเขาจริงๆ น่ะหรือ

ไม่ถูกสิ นี่ใช่มนุษย์เสียที่ไหนกัน เป็นตัวประหลาดชัดๆ เลย!

“พูดไปก็เท่านั้นแหละนะ” รองประธานสมาคมเก็บความรู้สึกพรั่นพรึงของตนเอาไว้แล้วพูดพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์

“ข้าพิสูจน์ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากสมาคมมีสัตว์อสูรวิเศษที่ยังไม่ได้ฝึก ข้าก็ฝึกมันที่นี่ได้เลย ถือเสียว่าเป็นเครื่องแสดงความจริงใจของความร่วมมือระหว่างพวกเราก็แล้วกัน”

“ได้สิ เมื่อสองวันก่อนมีสัตว์อสูรทิพย์มาใหม่ตนหนึ่งพอดี เดิมทีคิดว่าผ่านไปสักสองวันค่อยฝึกมัน ตอนนี้ยกให้เจ้าทดสอบดูได้เลย” รองประธานสมาคมเกิดความสนใจในตัวเธอขึ้นมา แล้วนึกถึงสัตว์อสูรวิเศษที่เพิ่งส่งมาเมื่อครู่แล้วนึกอยากให้เธอลองดูว่าจะฝึกสัตว์อสูรทิพย์ได้อย่างที่พูดหรือไม่!

ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มอย่างมั่นใจ “ได้เลย!”

การประชุมดำเนินไปราวๆ สองชั่วโมงแล้ว หลังออกมาจากห้องประชุมเป็นการชั่วคราวแล้ว บนใบหน้าของผู้จัดการทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง ราวกับได้เห็นอนาคตอันสดใส

ซือหม่าโยวเย่ว์และพ่อบ้านตามออกมาทีหลัง เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ พ่อบ้านก็รู้สึกพึงพอใจอย่างแท้จริง

เธอมิได้หดหู่ มิได้เฉยชา มิได้ล้มลุกคลุกคลาน แต่กลับจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นอย่างดีภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้

ก่อนหน้านี้ทุกคนไม่เคยค้นพบมาก่อนเลยว่าเธอมีความเป็นผู้นำมากถึงเพียงนี้

“คุณชายเจ้าคะ” ชุนเจี้ยนคอยเฝ้าอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ออกมา จึงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า “คุณชาย พวกคุณชายชวีมาเจ้าค่ะ รอกันอยู่ครู่ใหญ่แล้ว”

“พวกเจ้าอ้วนชวีมาอย่างนั้นหรือ อยู่ที่ใดเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“รออยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนพูด “ตอนนี้พวกเราไม่มีเรือนสำรอง จึงได้แต่ให้พวกเขาคอยอยู่ข้างนอกน่ะเจ้าค่ะ”

“ข้ารู้แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านพ่อบ้าน ท่านไปทำงานก่อนเถิด”

“ขอรับ ข้าน้อยขอตัว” พ่อบ้านคารวะก่อนจะหมุนตัวจากไป

ชุนเจี้ยนพาตัวซือหม่าโยวเย่ว์ไปยังด้านหน้า ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนพื้นเรียบ เธอจึงรีบเดินเข้าไปหา

“โยวเย่ว์” เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันไป ก็เห็นเธอเดินเข้ามา

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูแวววิตกกังวลบนใบหน้าของพวกเป่ยกงถังแล้วจึงยิ้มให้กับพวกเขาก่อนจะเอ่ยว่า “ขอโทษด้วยจริงๆ ตอนนี้พวกเจ้ามากันยังไม่มีแม้แต่ที่ให้นั่งเลย”

“โยวเย่ว์ พวกเราได้ยินว่าเจ้าออกมาจากวิทยาลัย ก็เลยมาดูกันสักหน่อยน่ะ” เป่ยกงถังพูด “ร่างกายของเจ้าในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

“เอาละ พวกเราได้ยินว่าร่างกายเจ้ากระดูกหักไปหลายแห่ง ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บตรงไหนอยู่หรือไม่” เจ้าอ้วนชวีถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนั้นเสียที่ไหนกัน ก็แค่หมดสติไปไม่กี่วันเท่านั้น พอฟื้นขึ้นมาก็หายดีแล้ว”

“จริงหรือ” เว่ยจือฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์ เธอขยับร่างกายโดยไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ ทุกคนจึงค่อยวางใจ

“พวกเราย้ายที่คุยกันดีกว่า ตอนนี้จวนแม่ทัพไม่มีสถานที่พอจะรับรองพวกเจ้าได้เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเราไปที่โรงน้ำชาใกล้ๆ ก็แล้วกัน”

ทั้งห้าคนไปยังโรงน้ำชาแล้วหาห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ขณะที่เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นยกน้ำชามาก็ยังมองซือหม่าโยวเย่ว์อยู่หลายครั้ง

ซือหม่าโยวเย่ว์ยกจอกชาขึ้นพลางพูดกับเจ้าอ้วนชวีว่า “เจ้าอ้วน ข้าขอใช้น้ำชาแทนสุราขอบคุณตระกูลพวกเจ้าที่ช่วยเหลือตระกูลข้าในเวลาเช่นนี้”

“โยวเย่ว์ เจ้าช่างเกรงอกเกรงใจเสียเหลือเกิน ข้าไม่คุ้นชินเอาเสียเลย” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางเกาท้ายทอย

ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มพลางดื่มน้ำชาลงไป หลังจากนั้นก็เทมาอีกจอกหนึ่งแล้วพูดกับเว่ยจือฉีว่า “สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรยื่นมือเข้าช่วย คงจะเป็นเพราะเจ้าไปหาท่านอาของเจ้าสินะ ขอบคุณเจ้ามาก จือฉี”

เว่ยจือฉีอมยิ้มพลางโบกไม้โบกมือแล้วยกจอกชาขึ้นดื่มพร้อมกับซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์เทน้ำชาจอกที่สามแล้วพูดว่า “จอกนี้ เป็นการขอบคุณพวกเจ้าสำหรับยาวิเศษในระยะนี้”

โอวหยางเฟยและเป่ยกงถังยกจอกชาขึ้นดื่ม

“โยวเย่ว์ ข้าได้ยินว่าสถานการณ์ของตระกูลซือหม่าในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก เจ้ามีแผนอะไรบ้างแล้วหรือยัง” เจ้าอ้วนชวีถาม

“ต้องมีแน่นอนอยู่แล้วสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “คนเหล่านั้นคิดจะอาศัยโอกาสนี้กลืนกินตระกูลซือหม่าของข้า คงจะไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอก ถึงแม้ว่าพวกท่านปู่จะไม่อยู่ แต่ข้ายังอยู่ทั้งคน ข้าไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลซือหม่าสลายไปเช่นนี้หรอก ข้าจะทำให้มันแข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีก!”

“เจ้าวางแผนจะทำเช่นไรหรือ” เว่ยจือฉีถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้ม “เรื่องนี้ยังต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าด้วย…”

วันต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ไปยังสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรพร้อมกับเว่ยจือฉีเพื่อไปพบรองประธานสมาคม

“ท่านอา โยวเย่ว์มาแล้วขอรับ” เว่ยจือฉีพาตัวซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปในโถงรับแขกแล้วพูดกับคนที่คอยอยู่ที่นั่น

ซือหม่าโยวเย่ว์โค้งกายคำนับน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า “คารวะท่านรองประธานสมาคม”

รองประธานสมาคมพยักหน้าแล้วพูดว่า “คุณชายห้า เชิญนั่งเถิด”

“ขอบคุณท่านรองประธานสมาคม ท่านเรียกข้าว่าโยวเย่ว์ก็พอแล้ว”

ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงพร้อมเว่ยจือฉี ทันใดนั้นก็มีสาวใช้ยกน้ำชามาให้

“โยวเย่ว์ เมื่อวานจือฉีมาพบข้า ต้องการให้ข้าได้พบหน้าเจ้า แต่ว่ามีเรื่องอันใดกันหรือ” รองประธานสมาคมถาม

“เรื่องเป็นเช่นนี้ หลังจากที่ข้าฟื้นขึ้นมาแล้วก็ได้ยินพ่อบ้านพูดว่าสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรช่วยเหลือพวกเราเพราะทำตามคำสั่งของท่าน ดังนั้นจึงอยากมาขอบคุณท่านสักครั้ง นอกจากนี้ยังมีเรื่องบางอย่างที่อยากหารือกับท่านรองประธานสมาคมสักหน่อยด้วย”

“ถึงแม้ว่าข้ากับท่านปู่ของเจ้าจะมิได้ไปมาหาสู่กันมากมายนัก แต่ก็รู้ว่าเขามีอุปนิสัยตรงไปตรงมา บวกกับที่เจ้าและจือฉีมีความสัมพันธ์อันดีเช่นนี้ ดังนั้นช่วยเจ้าสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร” รองประธานสมาคมพูด “สำหรับเรื่องที่เจ้าบอกว่าอยากจะหารือด้วย เรื่องนี้เจ้าคุยรายละเอียดกับคนที่ไปส่งได้เลยนะ”

“เรื่องนี้จำเป็นต้องคุยกับผู้จัดการ ดังนั้นจึงให้จือฉีพามาหาท่าน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านรองประธานสมาคม ข้ามิได้มาถามหาความช่วยเหลือ หากแต่มาร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร”

“ร่วมมือหรือ” รองประธานสมาคมมองซือหม่าโยวเย่ว์ ไม่รู้ว่าเธอจะมีอะไรมาร่วมมือกับตนได้ “สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรมิได้ฟังเพียงข้าคนเดียวเท่านั้น อยากจะร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร เช่นนั้นเจ้าก็ต้องนำเอาสิ่งที่ต้องใจสมาคมมา”

“ในเมื่อข้ามาถึงนี่ ย่อมต้องคิดถึงจุดนี้เอาไว้อยู่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เช่นนั้นเจ้าลองบอกมาสิว่าเจ้าอยากจะร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรอย่างไร” รองประธานสมาคมถาม

“ตอนนี้ร้านค้าตระกูลซือหม่าต้องการสัตว์อสูรวิเศษที่ฝึกให้เชื่องแล้วจำนวนหนึ่ง หวังว่าสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรจะช่วยเติมเต็มช่องว่างของพวกเราได้เป็นการชั่วคราว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “และเพื่อเป็นการตอบแทน ข้ายินดีฝึกสัตว์อสูรทิพย์จำนวนหนึ่งให้กับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร”

“เจ้าว่าอะไรนะ! เจ้าทำให้สัตว์อสูรทิพย์เชื่องได้อย่างนั้นหรือ!”

รองประธานสมาคมและเว่ยจือฉีต่างตกตะลึงไป คิดว่าตนหูแว่วเสียแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว มิทราบว่าเรื่องนี้พอจะแลกเปลี่ยนกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรได้หรือไม่”

“โยวเย่ว์ เจ้าเป็นนักฝึกสัตว์อสูรแล้วหรือ” เว่ยจือฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์ ถึงแม้จะใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับเธอทุกวัน เธอก็ยังคงทำให้พวกเขาประหลาดใจได้ตลอด

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

สายตาของรองประธานสมาคมที่มองไปทางซือหม่าโยวเย่ว์เปลี่ยนแปลงไปอยู่บ้างแล้วพูดว่า “เจ้าเคยฝึกสัตว์อสูรทิพย์มาก่อนหรือ”

“ใช่แล้ว”

“ขั้นใดหรือ”

“ขั้นสี่”

สายตาของเว่ยจือฉีที่มองซือหม่าโยวเย่ว์นั้นราวกับมองสัตว์ประหลาด ท่านอาเคยบอกว่าเขามีพรสวรรค์เหนือผู้ใด ในภายหน้าจะต้องประสบความสำเร็จอย่างไม่ธรรมดา แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อาจฝึกสัตว์อสูรทิพย์ได้เลย ทว่าซือหม่าโยวเย่ว์กลับฝึกสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสี่ให้เชื่องได้แล้ว

แม้กระทั่งท่านอาของเขาผู้เป็นรองประธานสมาคมของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรที่มีชีวิตอยู่มานานกว่าเธอหลายสิบหลายร้อยปีก็ยังฝึกได้เพียงแค่สัตว์อสูรทิพย์ขั้นหกเท่านั้นเอง

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าระดับพลังวิญญาณของนางยังสูงกว่าเขาเสียอีก นอกจากนี้ยังเป็นนักหลอมยาอีกด้วย

เขาลูบหน้าผาก เจ้าคนผู้นี้คือคนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเขาจริงๆ น่ะหรือ

ไม่ถูกสิ นี่ใช่มนุษย์เสียที่ไหนกัน เป็นตัวประหลาดชัดๆ เลย!

“พูดไปก็เท่านั้นแหละนะ” รองประธานสมาคมเก็บความรู้สึกพรั่นพรึงของตนเอาไว้แล้วพูดพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์

“ข้าพิสูจน์ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากสมาคมมีสัตว์อสูรวิเศษที่ยังไม่ได้ฝึก ข้าก็ฝึกมันที่นี่ได้เลย ถือเสียว่าเป็นเครื่องแสดงความจริงใจของความร่วมมือระหว่างพวกเราก็แล้วกัน”

“ได้สิ เมื่อสองวันก่อนมีสัตว์อสูรทิพย์มาใหม่ตนหนึ่งพอดี เดิมทีคิดว่าผ่านไปสักสองวันค่อยฝึกมัน ตอนนี้ยกให้เจ้าทดสอบดูได้เลย” รองประธานสมาคมเกิดความสนใจในตัวเธอขึ้นมา แล้วนึกถึงสัตว์อสูรวิเศษที่เพิ่งส่งมาเมื่อครู่แล้วนึกอยากให้เธอลองดูว่าจะฝึกสัตว์อสูรทิพย์ได้อย่างที่พูดหรือไม่!

ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มอย่างมั่นใจ “ได้เลย!”

“พวกคนฉวยโอกาสยามผู้อื่นประสบเคราะห์!” ซือหม่าโยวเย่ว์ฟาดมือลงบนโต๊ะ ทำเอาโต๊ะแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“คุณชาย ยังมีอีกเรื่องหนึ่งขอรับ” พ่อบ้านมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเป็นกังวลอยู่บ้าง

“เรื่องอันใดหรือ”

“เพราะคุณชายบอกว่ารู้ที่อยู่ของผลอสรพิษทองคำ ดังนั้นจึงมีผู้คนมากมายคิดทำเรื่องเลวร้ายกับท่าน” พ่อบ้านพูด “ต่อมาท่านอาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยปล่อยข่าวว่าหากผู้ใดกล้าทำร้ายท่านก็เท่ากับเป็นศัตรูของวิทยาลัย ดังนั้นหลายวันมานี้คนพวกนั้นจึงยังไม่มีความเคลื่อนไหวแต่อย่างใด”

“โอ้ วางแผนคิดร้ายต่อข้าอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะเยียบเย็นเสียงหนึ่ง “เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเข้ามาเลยสิ ถึงตอนนั้นใครเข้ามาก็สังหารมันเสีย หากมากันทั้งตระกูล ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะล้างบ้างตระกูลหรอกนะ!”

พ่อบ้านเห็นแววเยียบเย็นในดวงตาของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วสงสารเธออยู่บ้าง ถ้าหากมิใช่เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ เธอจะกลายมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

“คุณชาย ในเมื่อท่านอาจารย์ใหญ่ลั่นวาจาไว้แล้ว คนพวกนั้นย่อมไม่กล้ามาซึ่งๆ หน้าแน่ แต่พวกเราก็ยังต้องป้องกันมิให้พวกเขาลอบทำเรื่องเลวทรามในมุมมืดด้วย” พ่อบ้านคิดว่าซือหม่าโยวเย่ว์พูดเพียงเพราะโมโหเท่านั้น แต่ไม่รู้เลยว่าเธอมีพลังยุทธ์มากพอที่จะทำเช่นนั้นได้จริง

“อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้ในตอนนี้เลย ข้าจะจัดการเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือ “เมื่อครู่ท่านกำลังหารือเรื่องต่างๆ อยู่กับบรรดาผู้จัดการเหล่านั้นใช่หรือไม่”

“ใช่แล้ว ขุมอำนาจจำนวนไม่น้อยคิดว่าท่านแม่ทัพจากไปแล้ว จวนแม่ทัพจะต้องกระจัดกระจายแน่ ดังนั้นจึงคิดจะพากันมาหาส่วนแบ่ง ตระกูลจำนวนหนึ่งมาหาข้า คิดจะซื้อร้านค้าของพวกเราต่อในราคาต่ำ ผู้ส่งของบางรายก็ตัดแหล่งสินค้าของพวกเราเสียอย่างนั้น คงกลัวว่าพวกเราจะไม่มีปัญญาจ่าย ดังนั้นสถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้จึงล่อแหลมมาก แม้แต่ลูกค้าก็หายไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว” พ่อบ้านพูดอย่างหดหู่

“หากพูดเช่นนี้ก็แสดงว่าตอนนี้ร้านค้าของพวกเราก็กลายเป็นร้านร้างเสียแล้วสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ใช่แล้วขอรับ เมื่อครู่ข้ากำลังหารือกับบรรดาผู้จัดการอยู่พอดีว่าจะหาร้านอื่นแทนได้หรือไม่” พ่อบ้านพูด

“คนอื่นๆ ข้างนอกต่างก็ฉวยโอกาสยามพวกเราประสบเคราะห์กันหมดเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกขอรับ ก่อนหน้านี้ตระกูลชวีส่งคนมาบอกเหตุผลที่ส่งสินค้าให้กับพวกเรา แต่ความสามารถของพวกเขาเองก็มีขีดจำกัดเช่นกัน ย่อมมิอาจแก้ไขวิกฤติของพวกเราได้อย่างสมบูรณ์” พ่อบ้านกล่าว “เจ้าอ้วน…” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าระหว่างที่หมดสตินั้นคล้ายจะได้ยินเจ้าอ้วนพูดอยู่ข้างหูตนว่าจะไม่ยอมปล่อยให้เกิดเรื่องกับตระกูลซือหม่า แล้วเขาก็ทำจริงๆ เสียด้วย

“นอกจากนี้ยังมีสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรที่ลั่นวาจาว่าจะช่วยเหลือพวกเรา เต็มใจจะมอบสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำที่ฝึกฝนเรียบร้อยแล้วให้จำนวนหนึ่ง” พ่อบ้านพูดเสริม “ข้าได้ยินคนที่มาพูดว่าเป็นการตัดสินใจของท่านรองประธานสมาคม”

“นั่นคงจะเป็นเพราะจือฉีไปหาท่านอาของเขาสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ส่งถ่านหินให้ในยามหิมะโปรย ย่อมดีกว่าโรยกลีบดอกไม้ตกแต่งอยู่แล้ว ไม่ว่าจะช่วยเหลือพวกเราได้เพียงน้อยนิดแค่ไหน พวกเราล้วนต้องขอบคุณพวกเขา ในขณะเดียวกันพวกเราก็ต้องตอบแทนพวกที่คิดจะฉวยโอกาสยามพวกเราประสบเคราะห์เหล่านั้นให้สาสมด้วย!”

พ่อบ้านเห็นความมั่นใจในตัวเองในแววตาของซือหม่าโยวเย่ว์ ในใจจึงสงบนิ่งลงมาไม่น้อย ขอเพียงแค่เขาไม่ล้มลงไป ตระกูลซือหม่านี้ก็ไม่มีทางล้มลงแน่นอน

“คุณชาย ต่อไปพวกเราควรทำเช่นไรกันดีขอรับ”

“ท่านไปเรียกผู้จัดการเหล่านั้นเข้ามาที พวกเรามาหารือกันสักหน่อยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เธอไม่เชื่อหรอกว่าตนที่เป็นทั้งนักฝึกสัตว์อสูรและนักหลอมยา จะประคับประคองตระกูลซือหม่าเอาไว้มิได้!

“ขอรับ”

พ่อบ้านเดินออกไป เพียงไม่นานก็พาตัวผู้จัดการเหล่านั้นเข้ามา

“คุณชายห้า” ผู้จัดการทำความเคารพซือหม่าโยวเย่ว์อย่างนอบน้อม

ตอนนี้เธอเป็นเจ้านายของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว

ก่อนหน้านี้เพียงแค่ไม่เลือกปฏิบัติต่อเธอตามที่ซือหม่าเลี่ยบอกเท่านั้น แต่ในใจก็มิได้ยอมรับเธอ ทว่าหลังจากได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น ทุกคนต่างก็เห็นเธอเป็นเจ้านายของพวกเขาไปแล้ว

“เอาล่ะ ทุกท่านหาที่นั่งเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ท่านพ่อบ้านเล่าสถานการณ์ให้ข้าฟังหมดแล้ว ก่อนอื่นโยวเย่ว์ต้องขอบคุณที่ทุกท่านไม่ทอดทิ้งตระกูลซือหม่าในช่วงเวลาเช่นนี้ ข้าขอขอบคุณทุกท่านแทนท่านปู่และพวกพี่ๆ ด้วย”

พูดแล้วเธอก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะโค้งคำนับให้ทุกคน

“คุณชายจริงจังเกินไปแล้วขอรับ” บรรดาผู้จัดการเหล่านั้นพากันลุกขึ้นยืน ไม่กล้ารับการขอบคุณจากซือหม่าโยวเย่ว์

“นี่เป็นเรื่องที่สมควรยิ่งนัก” ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงอีกครั้ง บรรดาผู้จัดการจึงนั่งกลับลงไปด้วย “ข้าเองก็ได้ยินมาว่ามีผู้จัดการคนสองคนที่จากไปในช่วงนี้เพราะรู้สึกว่าตระกูลซือหม่าของเราจะกระจัดกระจายกันด้วยเรื่องนี้ ข้าไม่ตำหนิพวกเขาหรอกนะ แต่ข้าขอให้คำมั่นไว้ตรงนี้เลยว่าตระกูลซือหม่าไม่มีทางตกต่ำลงกว่าเมื่อก่อนอย่างแน่นอน จะมีแต่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น พวกเราจะต้องทำให้คนที่จากไปเหล่านั้นนึกเสียใจกับการตัดสินใจในวันนี้ให้จงได้!”

“ยอดเยี่ยม!”

“พวกเราเชื่อมั่นในตัวคุณชาย!”

“คุณชายอยากให้พวกเราทำสิ่งใด พวกเราล้วนเชื่อฟังท่านทั้งสิ้น!”

คำพูดสั้นๆ ของซือหม่าโยวเย่ว์ปลุกใจคนที่นั่งอยู่ในที่นั้นขึ้นมาไม่น้อย ตอนนี้เธอได้กลายเป็นเจ้าชีวิตของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว

“ก่อนอื่น ร้านค้าของพวกเรายังต้องเปิดต่อไป” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าจัดหายาวิเศษให้ได้ พวกท่านไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องยาวิเศษและเครื่องยาเลย ส่วนทางด้านสัตว์อสูรวิเศษก็ไปหานักฝึกสัตว์อสูร ด้านนี้ข้าก็พอหาได้จำนวนหนึ่งเช่นกัน ส่วนด้านอื่นๆ ก็ให้ไปหาตระกูลชวีก่อน ต่อให้ไม่ได้กำไร พวกเราก็ต้องหาสินค้ามาเติมเป็นอันดับแรก อย่าให้ร้านค้าขาดแคลนสิ่งใดเป็นอันขาด”

เธอเป็นนักหลอมยา เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินเธอพูดถึงเรื่องยาวิเศษ พวกเขาจึงมิได้รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง แต่เรื่องเกี่ยวกับสัตว์อสูรวิเศษนั้นพวกเขายังคงลังเลกันอยู่บ้าง

“คุณชาย ถึงแม้ว่าสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรจะบอกว่าจะมอบความช่วยเหลือบางอย่างให้ได้ แต่ก็มิอาจเติมเต็มความต้องการของพวกเราได้หรอก ถ้าหากไปให้พวกเขาช่วย เกรงว่าคงต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลยทีเดียว” ผู้จัดการคนหนึ่งพูด

“พวกเราต้องการแค่ให้พวกเขาจัดหาตามจำนวนเป้าหมายที่ต้องการในตอนนี้ก็พอแล้ว ส่วนการจัดหาในภายหน้า พวกเราต้องพึ่งพาตนเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“พึ่งพาตนเองอย่างนั้นหรือ”

“คุณชาย ไม่มีนักฝึกสัตว์อสูรอะไรอยู่เลย แล้วจะพึ่งพาตนเองได้อย่างไรเล่า”

“ใครบอกว่าไม่มีนักฝึกสัตว์อสูรกันล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“พวกเราล้วนฝึกสัตว์อสูรไม่เป็นกันทั้งนั้น หรือว่า…”

ทุกคนพากันส่งสายตาคาดเดามองไปที่ร่างของเธอ เธอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ข้าเป็นนักฝึกสัตว์อสูร ดังนั้นระยะเวลาต่อจากนี้พวกท่านรับผิดชอบหาคนไปจับสัตว์อสูรวิเศษมา แล้วข้าจะฝึกพวกมันเอง”

“คุณชายเป็นนักฝึกสัตว์อสูรหรือขอรับ!”

ทุกคนมองเธออย่างตกตะลึง คล้ายกับกำลังประเมินความเป็นจริงในเรื่องนี้

“คุณชาย ท่านมิใช่นักหลอมยาหรอกหรือ” มีคนถามขึ้น

“ใครบอกว่าเป็นนักหลอมยาแล้วจะเป็นนักฝึกสัตว์อสูรมิได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามกลับ

“ไม่…ไม่มีขอรับ”

คนผู้นั้นพยักหน้าอย่างโง่งม ดูเหมือนจะถูกกระตุ้นขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว

“แต่ว่า… คุณชายขอรับ ถ้าหากจะไปจับสัตว์อสูรวิเศษ เกรงว่าคนของพวกเราจะไม่พอน่ะสิขอรับ” พ่อบ้านพูด

“เช่นนั้นก็ไปเกณฑ์คนมาเพิ่มสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“แต่คุณชายขอรับ ตอนนี้พวกเรามิได้มีเงินทองมากมายถึงเพียงนั้น” พ่อบ้านพูด “ก่อนหน้านี้พวกเราก็มิได้ทำกำไรได้มากนัก ดังนั้นจึงมิได้มีเหลือมากสักเท่าไหร่ ตอนนี้ยังต้องซ่อมแซมบ้านเรือน ทั้งยังต้องจัดหาสินค้าอีก เรื่องเหล่านี้ล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น นอกจากนี้บรรดาปรมาจารย์วิญญาณเหล่านั้นใช่ว่าจะใช้เงินซื้อมาได้เสมอไปอีกด้วย”

“การไม่มีเงินช่างเป็นปัญหาใหญ่จริงๆ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่หากไม่มีเงินทอง พวกเราก็ใช้วิธีอื่นๆ มาดึงดูดให้พวกเขาลงแรงให้พวกเราได้นี่นา อย่างเช่น… สิ่งที่พวกเขาอยากได้”

“พวกคนฉวยโอกาสยามผู้อื่นประสบเคราะห์!” ซือหม่าโยวเย่ว์ฟาดมือลงบนโต๊ะ ทำเอาโต๊ะแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“คุณชาย ยังมีอีกเรื่องหนึ่งขอรับ” พ่อบ้านมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเป็นกังวลอยู่บ้าง

“เรื่องอันใดหรือ”

“เพราะคุณชายบอกว่ารู้ที่อยู่ของผลอสรพิษทองคำ ดังนั้นจึงมีผู้คนมากมายคิดทำเรื่องเลวร้ายกับท่าน” พ่อบ้านพูด “ต่อมาท่านอาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยปล่อยข่าวว่าหากผู้ใดกล้าทำร้ายท่านก็เท่ากับเป็นศัตรูของวิทยาลัย ดังนั้นหลายวันมานี้คนพวกนั้นจึงยังไม่มีความเคลื่อนไหวแต่อย่างใด”

“โอ้ วางแผนคิดร้ายต่อข้าอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะเยียบเย็นเสียงหนึ่ง “เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเข้ามาเลยสิ ถึงตอนนั้นใครเข้ามาก็สังหารมันเสีย หากมากันทั้งตระกูล ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะล้างบ้างตระกูลหรอกนะ!”

พ่อบ้านเห็นแววเยียบเย็นในดวงตาของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วสงสารเธออยู่บ้าง ถ้าหากมิใช่เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ เธอจะกลายมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

“คุณชาย ในเมื่อท่านอาจารย์ใหญ่ลั่นวาจาไว้แล้ว คนพวกนั้นย่อมไม่กล้ามาซึ่งๆ หน้าแน่ แต่พวกเราก็ยังต้องป้องกันมิให้พวกเขาลอบทำเรื่องเลวทรามในมุมมืดด้วย” พ่อบ้านคิดว่าซือหม่าโยวเย่ว์พูดเพียงเพราะโมโหเท่านั้น แต่ไม่รู้เลยว่าเธอมีพลังยุทธ์มากพอที่จะทำเช่นนั้นได้จริง

“อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้ในตอนนี้เลย ข้าจะจัดการเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือ “เมื่อครู่ท่านกำลังหารือเรื่องต่างๆ อยู่กับบรรดาผู้จัดการเหล่านั้นใช่หรือไม่”

“ใช่แล้ว ขุมอำนาจจำนวนไม่น้อยคิดว่าท่านแม่ทัพจากไปแล้ว จวนแม่ทัพจะต้องกระจัดกระจายแน่ ดังนั้นจึงคิดจะพากันมาหาส่วนแบ่ง ตระกูลจำนวนหนึ่งมาหาข้า คิดจะซื้อร้านค้าของพวกเราต่อในราคาต่ำ ผู้ส่งของบางรายก็ตัดแหล่งสินค้าของพวกเราเสียอย่างนั้น คงกลัวว่าพวกเราจะไม่มีปัญญาจ่าย ดังนั้นสถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้จึงล่อแหลมมาก แม้แต่ลูกค้าก็หายไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว” พ่อบ้านพูดอย่างหดหู่

“หากพูดเช่นนี้ก็แสดงว่าตอนนี้ร้านค้าของพวกเราก็กลายเป็นร้านร้างเสียแล้วสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ใช่แล้วขอรับ เมื่อครู่ข้ากำลังหารือกับบรรดาผู้จัดการอยู่พอดีว่าจะหาร้านอื่นแทนได้หรือไม่” พ่อบ้านพูด

“คนอื่นๆ ข้างนอกต่างก็ฉวยโอกาสยามพวกเราประสบเคราะห์กันหมดเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกขอรับ ก่อนหน้านี้ตระกูลชวีส่งคนมาบอกเหตุผลที่ส่งสินค้าให้กับพวกเรา แต่ความสามารถของพวกเขาเองก็มีขีดจำกัดเช่นกัน ย่อมมิอาจแก้ไขวิกฤติของพวกเราได้อย่างสมบูรณ์” พ่อบ้านกล่าว “เจ้าอ้วน…” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าระหว่างที่หมดสตินั้นคล้ายจะได้ยินเจ้าอ้วนพูดอยู่ข้างหูตนว่าจะไม่ยอมปล่อยให้เกิดเรื่องกับตระกูลซือหม่า แล้วเขาก็ทำจริงๆ เสียด้วย

“นอกจากนี้ยังมีสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรที่ลั่นวาจาว่าจะช่วยเหลือพวกเรา เต็มใจจะมอบสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำที่ฝึกฝนเรียบร้อยแล้วให้จำนวนหนึ่ง” พ่อบ้านพูดเสริม “ข้าได้ยินคนที่มาพูดว่าเป็นการตัดสินใจของท่านรองประธานสมาคม”

“นั่นคงจะเป็นเพราะจือฉีไปหาท่านอาของเขาสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ส่งถ่านหินให้ในยามหิมะโปรย ย่อมดีกว่าโรยกลีบดอกไม้ตกแต่งอยู่แล้ว ไม่ว่าจะช่วยเหลือพวกเราได้เพียงน้อยนิดแค่ไหน พวกเราล้วนต้องขอบคุณพวกเขา ในขณะเดียวกันพวกเราก็ต้องตอบแทนพวกที่คิดจะฉวยโอกาสยามพวกเราประสบเคราะห์เหล่านั้นให้สาสมด้วย!”

พ่อบ้านเห็นความมั่นใจในตัวเองในแววตาของซือหม่าโยวเย่ว์ ในใจจึงสงบนิ่งลงมาไม่น้อย ขอเพียงแค่เขาไม่ล้มลงไป ตระกูลซือหม่านี้ก็ไม่มีทางล้มลงแน่นอน

“คุณชาย ต่อไปพวกเราควรทำเช่นไรกันดีขอรับ”

“ท่านไปเรียกผู้จัดการเหล่านั้นเข้ามาที พวกเรามาหารือกันสักหน่อยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เธอไม่เชื่อหรอกว่าตนที่เป็นทั้งนักฝึกสัตว์อสูรและนักหลอมยา จะประคับประคองตระกูลซือหม่าเอาไว้มิได้!

“ขอรับ”

พ่อบ้านเดินออกไป เพียงไม่นานก็พาตัวผู้จัดการเหล่านั้นเข้ามา

“คุณชายห้า” ผู้จัดการทำความเคารพซือหม่าโยวเย่ว์อย่างนอบน้อม

ตอนนี้เธอเป็นเจ้านายของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว

ก่อนหน้านี้เพียงแค่ไม่เลือกปฏิบัติต่อเธอตามที่ซือหม่าเลี่ยบอกเท่านั้น แต่ในใจก็มิได้ยอมรับเธอ ทว่าหลังจากได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น ทุกคนต่างก็เห็นเธอเป็นเจ้านายของพวกเขาไปแล้ว

“เอาล่ะ ทุกท่านหาที่นั่งเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ท่านพ่อบ้านเล่าสถานการณ์ให้ข้าฟังหมดแล้ว ก่อนอื่นโยวเย่ว์ต้องขอบคุณที่ทุกท่านไม่ทอดทิ้งตระกูลซือหม่าในช่วงเวลาเช่นนี้ ข้าขอขอบคุณทุกท่านแทนท่านปู่และพวกพี่ๆ ด้วย”

พูดแล้วเธอก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะโค้งคำนับให้ทุกคน

“คุณชายจริงจังเกินไปแล้วขอรับ” บรรดาผู้จัดการเหล่านั้นพากันลุกขึ้นยืน ไม่กล้ารับการขอบคุณจากซือหม่าโยวเย่ว์

“นี่เป็นเรื่องที่สมควรยิ่งนัก” ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงอีกครั้ง บรรดาผู้จัดการจึงนั่งกลับลงไปด้วย “ข้าเองก็ได้ยินมาว่ามีผู้จัดการคนสองคนที่จากไปในช่วงนี้เพราะรู้สึกว่าตระกูลซือหม่าของเราจะกระจัดกระจายกันด้วยเรื่องนี้ ข้าไม่ตำหนิพวกเขาหรอกนะ แต่ข้าขอให้คำมั่นไว้ตรงนี้เลยว่าตระกูลซือหม่าไม่มีทางตกต่ำลงกว่าเมื่อก่อนอย่างแน่นอน จะมีแต่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น พวกเราจะต้องทำให้คนที่จากไปเหล่านั้นนึกเสียใจกับการตัดสินใจในวันนี้ให้จงได้!”

“ยอดเยี่ยม!”

“พวกเราเชื่อมั่นในตัวคุณชาย!”

“คุณชายอยากให้พวกเราทำสิ่งใด พวกเราล้วนเชื่อฟังท่านทั้งสิ้น!”

คำพูดสั้นๆ ของซือหม่าโยวเย่ว์ปลุกใจคนที่นั่งอยู่ในที่นั้นขึ้นมาไม่น้อย ตอนนี้เธอได้กลายเป็นเจ้าชีวิตของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว

“ก่อนอื่น ร้านค้าของพวกเรายังต้องเปิดต่อไป” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าจัดหายาวิเศษให้ได้ พวกท่านไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องยาวิเศษและเครื่องยาเลย ส่วนทางด้านสัตว์อสูรวิเศษก็ไปหานักฝึกสัตว์อสูร ด้านนี้ข้าก็พอหาได้จำนวนหนึ่งเช่นกัน ส่วนด้านอื่นๆ ก็ให้ไปหาตระกูลชวีก่อน ต่อให้ไม่ได้กำไร พวกเราก็ต้องหาสินค้ามาเติมเป็นอันดับแรก อย่าให้ร้านค้าขาดแคลนสิ่งใดเป็นอันขาด”

เธอเป็นนักหลอมยา เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินเธอพูดถึงเรื่องยาวิเศษ พวกเขาจึงมิได้รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง แต่เรื่องเกี่ยวกับสัตว์อสูรวิเศษนั้นพวกเขายังคงลังเลกันอยู่บ้าง

“คุณชาย ถึงแม้ว่าสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรจะบอกว่าจะมอบความช่วยเหลือบางอย่างให้ได้ แต่ก็มิอาจเติมเต็มความต้องการของพวกเราได้หรอก ถ้าหากไปให้พวกเขาช่วย เกรงว่าคงต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลยทีเดียว” ผู้จัดการคนหนึ่งพูด

“พวกเราต้องการแค่ให้พวกเขาจัดหาตามจำนวนเป้าหมายที่ต้องการในตอนนี้ก็พอแล้ว ส่วนการจัดหาในภายหน้า พวกเราต้องพึ่งพาตนเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“พึ่งพาตนเองอย่างนั้นหรือ”

“คุณชาย ไม่มีนักฝึกสัตว์อสูรอะไรอยู่เลย แล้วจะพึ่งพาตนเองได้อย่างไรเล่า”

“ใครบอกว่าไม่มีนักฝึกสัตว์อสูรกันล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“พวกเราล้วนฝึกสัตว์อสูรไม่เป็นกันทั้งนั้น หรือว่า…”

ทุกคนพากันส่งสายตาคาดเดามองไปที่ร่างของเธอ เธอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ข้าเป็นนักฝึกสัตว์อสูร ดังนั้นระยะเวลาต่อจากนี้พวกท่านรับผิดชอบหาคนไปจับสัตว์อสูรวิเศษมา แล้วข้าจะฝึกพวกมันเอง”

“คุณชายเป็นนักฝึกสัตว์อสูรหรือขอรับ!”

ทุกคนมองเธออย่างตกตะลึง คล้ายกับกำลังประเมินความเป็นจริงในเรื่องนี้

“คุณชาย ท่านมิใช่นักหลอมยาหรอกหรือ” มีคนถามขึ้น

“ใครบอกว่าเป็นนักหลอมยาแล้วจะเป็นนักฝึกสัตว์อสูรมิได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามกลับ

“ไม่…ไม่มีขอรับ”

คนผู้นั้นพยักหน้าอย่างโง่งม ดูเหมือนจะถูกกระตุ้นขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว

“แต่ว่า… คุณชายขอรับ ถ้าหากจะไปจับสัตว์อสูรวิเศษ เกรงว่าคนของพวกเราจะไม่พอน่ะสิขอรับ” พ่อบ้านพูด

“เช่นนั้นก็ไปเกณฑ์คนมาเพิ่มสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“แต่คุณชายขอรับ ตอนนี้พวกเรามิได้มีเงินทองมากมายถึงเพียงนั้น” พ่อบ้านพูด “ก่อนหน้านี้พวกเราก็มิได้ทำกำไรได้มากนัก ดังนั้นจึงมิได้มีเหลือมากสักเท่าไหร่ ตอนนี้ยังต้องซ่อมแซมบ้านเรือน ทั้งยังต้องจัดหาสินค้าอีก เรื่องเหล่านี้ล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น นอกจากนี้บรรดาปรมาจารย์วิญญาณเหล่านั้นใช่ว่าจะใช้เงินซื้อมาได้เสมอไปอีกด้วย”

“การไม่มีเงินช่างเป็นปัญหาใหญ่จริงๆ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่หากไม่มีเงินทอง พวกเราก็ใช้วิธีอื่นๆ มาดึงดูดให้พวกเขาลงแรงให้พวกเราได้นี่นา อย่างเช่น… สิ่งที่พวกเขาอยากได้”

เปลวเพลิงอันร้อนแรงอาบย้อมทั่วทั้งท้องฟ้าจนกลายเป็นสีแดง บ้านทั้งหลังถูกเผาจนกลายเป็นซากปรักหักพัง ป้ายเหนือประตูที่เขียนว่า จวนซีเหมิน สามตัวอักษร ค่อยๆ ถูกเปลวไฟกลืนกินอย่างช้าๆ

“ซีเหมินโยวเย่ว์ เจ้ามิได้เที่ยวกดดันข้าไปทั่วทุกหนแห่งเพราะถือว่าตัวเองมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมกว่าข้าหรอกหรือ เจ้าหันกลับมาดูบ้างสิว่าตอนนี้ตระกูลซีเหมินของเจ้ากลายสภาพเป็นเช่นไรไปเสียแล้ว ฮ่าๆๆ”เสียงหัวเราะกรีดแหลมดังมาจากกลางกองเพลิง บาดแก้วหูเป็นอย่างยิ่ง

“ลูกเอ๋ย เรื่องนี้มิอาจตำหนิเจ้าได้หรอก ในภายหน้าเจ้าต้องใช้ชีวิตต่อไปให้ดีๆ นะ แม่หวังว่าเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป…” น้ำเสียงอบอุ่นเต็มไปด้วยความรักใคร่บรรเทาความเจ็บปวดอันไร้ที่สิ้นสุดของเธอ

ชุดแต่งงานสีแดง เปลวเพลิงสีแดง หยาดโลหิตสีแดง วาบผ่านไปมาท่ามกลางสายตาไม่หยุดหย่อน ในที่สุดซือหม่าโยวเย่ว์ก็ทนไม่ไหวแล้วลืมตาขึ้นในทันใด

“คุณชาย ท่านฟื้นแล้ว!” ชุนเจี้ยนเห็นหางตาของซือหม่าโยวเย่ว์มีน้ำตาไหลรินไม่หยุด นางกำลังเช็ดน้ำตาที่หางตาให้เธอ เมื่อเห็นเธอลืมตาจึงร้องขึ้นมาอย่างดีใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาไปมองก็เห็นใบหน้าของชุนเจี้ยน สติรับรู้จึงค่อยๆ กลับคืนมา เธออยากเอื้อมมือไปลูบศีรษะตนเอง แต่กลับพบว่าบนมือมีผ้าพันแผลพันเอาไว้อยู่

“คุณชายต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ” ชุนเจี้ยนถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วถามว่า “ที่นี่คือที่ไหนหรือ”

“ที่นี่คือเรือนของท่านอาจารย์ใหญ่เจ้าค่ะ ตั้งแต่ท่านหมดสติไปก็อยู่ที่นี่มาโดยตลอด” ชุนเจี้ยนพูด

ในขณะนี้เองอวิ๋นเย่ว์ก็เข้ามาจากข้างนอก เมื่อเห็นว่าซือหม่าโยวเย่ว์ฟื้นแล้วก็รีบเดินเข้ามาพลางเอ่ยว่า “คุณชาย ในที่สุดท่านก็ฟื้นเสียที ท่านหมดสติไปหลายวันเช่นนี้ทำเอาพวกเราตกใจแทบตายเลยนะเจ้าคะ”

“ข้าหมดสติไปนานเพียงใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นนั่ง จึงเห็นว่าบนร่างของตนมีผ้าพันแผลพันอยู่ไม่น้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปดึง

“สี่วันแล้วเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนพูด “หากมิใช่เพราะท่านอาจารย์ใหญ่คอยบอกพวกเราว่าท่านไม่เป็นไร ข้ากับอวิ๋นเย่ว์คงร้อนใจตายแน่”

ซือหม่าโยวเย่ว์มือหยุดชะงักแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ห้าวัน เช่นนั้นพวกท่านปู่ก็จากไปได้ห้าวันแล้วสินะ…”

อวิ๋นเย่ว์เข้าไปดึงมือซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้พลางพูดว่า “คุณชาย ท่านดึงผ้าพันแผลทำไมกันเจ้าคะ บนร่างท่านยังมีบาดแผลอยู่เลยนะเจ้าคะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ก้มหน้าลงมองร่างกายตนแล้วนึกถึงการประลองกับซือหม่าหลินในวันนั้นขึ้นมา ตนรับไม่ได้แม้กระทั่งการโจมตีสองกระบวนท่าของเขาเลยด้วยซ้ำ

“อาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้ว ไม่ต้องพันผ้านี่ไว้แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางดึงต่อไป

ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์คิดจะห้ามปราม แต่ทั้งสองกลับค้นพบอย่างประหลาดใจว่าหลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงผ้าพันแผลทิ้งไปแล้ว บาดแผลที่เคยมีก่อนหน้านี้ได้หายไปหมดแล้วจริงๆ เธอลงมาจากเตียงแล้วเดินเหินอย่างปกติ ก่อนเปิดประตูแล้วเดินตรงออกไป

“คุณชาย ร่างกายของคุณชาย เขา…” อวิ๋นเย่ว์เห็นซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปก็ตกใจจนพูดไม่ออก

ชุนเจี้ยนดึงเธอเอาไว้แล้วส่ายหน้าให้นางเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องตกใจเรื่องคุณชาย

นางค้นพบแต่เนิ่นๆ แล้วว่าคุณชายไม่เพียงแต่อารมณ์เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น แต่ยังมีความลับเพิ่มขึ้นมากมายอีกด้วย ในฐานะสาวใช้ของเขา พวกนางทั้งสองไม่ถามอะไรเลยจะเป็นการดีที่สุด

ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปในลานบ้าน คราวก่อนที่มาที่นี่ก็คือตอนที่มากล่าวอำลาพร้อมกับเฟิงจือสิง คิดไม่ถึงว่าตนจะได้มาที่นี่อีกครั้งอย่างรวดเร็วเช่นนี้

ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสกำลังง่วนอยู่กับดอกไม้ใบหญ้าในลานบ้านของตน เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว มิได้หันมาก็รู้แล้วว่าเป็นใคร

“หลับมาหลายวันเช่นนี้ ในที่สุดเจ้าก็ตื่นแล้วสินะ”

“รบกวนท่านอาจารย์ใหญ่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์หลุบตาลงซ่อนเร้นความรู้สึกภายในจิตใจ

ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสลุกขึ้นมาจากสวนดอกไม้ ขณะนี้เขาดูราวกับชาวสวน ขากางเกงพับม้วนขึ้น มือไม้เต็มไปด้วยโคลน

“ข้ารับปากท่านปู่กับอาจารย์ของเจ้าเอาไว้ว่าจะดูแลเจ้า ก็ต้องดูแลเจ้าเป็นอย่างดีอยู่แล้วสิ” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสเดินออกมาแล้วพูดว่า “มากับข้าสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสกลั่นไอน้ำออกมาแล้วล้างโคลนบนมือออกจนสะอาด ในใจอับจนคำพูดอยู่บ้าง ใช้ปราณวิญญาณกลั่นไอน้ำมาล้างมือ มีเพียงเขาเท่านั้นที่ทำได้

ทั้งสองมาถึงห้องของท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโส เขาเข้าไปยังห้องข้างในครู่หนึ่งแล้วออกมาอย่างรวดเร็ว ในมือมีแหวนวงหนึ่งอยู่

เขาส่งแหวนให้ซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “ท่านปู่ของเจ้ามอบสิ่งนี้ให้ข้าก่อนเกิดเรื่อง ให้ข้าส่งมอบมันให้กับเจ้า”

ซือหม่าโยวเย่ว์รับแหวนมาแล้วกุมเอาไว้ในอุ้งมือแน่น

“ในเมื่อตอนนี้เจ้าไม่เป็นไรแล้วก็กลับบ้านไปสักคราหนึ่งเถิด” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสพูด “ข้าให้ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์มาอยู่ที่นี่ตลอดหลายวันมานี้เพื่อดูแลเจ้า ตอนนี้เจ้าหายดีแล้วก็ให้พวกนางกลับไปเถิด นอกจากนี้เจ้าเด็กพวกนั้นก็มาเยี่ยมเจ้าหลายครั้งเลยทีเดียว เรื่องในภายหน้า รอให้เจ้ากลับบ้านก่อนแล้วค่อยตัดสินใจเถิดนะ ข้าจะให้เจ้าหยุดเรียนสักระยะ รอให้เจ้าจัดการเรื่องทางบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยกลับมาเรียนก็ได้”

“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณท่านอาจารย์ใหญ่” ซือหม่าโยวเย่ว์คารวะอาจารย์ใหญ่ครั้งหนึ่งก่อนจะหมุนตัวจากไป

ชุนเจี้ยนกับอวิ๋นเย่ว์เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ออกมา ทั้งสองก็รีบเข้าไปหา

“ชุนเจี้ยน หลายวันมานี้สถานการณ์ที่บ้านเป็นเช่นไรบ้าง” เมื่ออกมาจากวิทยาลัยแล้วสถานที่ต่างๆ ภายนอกก็ยังเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงจวนแม่ทัพที่กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้วขึ้นมาจึงเอ่ยถามขึ้น

“คุณชาย หลังจากที่ท่านหมดสติไป พวกเราก็อยู่กันที่วิทยาลัยมาตลอด มิได้ออกมาจากเรือนแห่งนั้นเลย ดังนั้นจึงไม่ทราบสถานการณ์ภายนอกเลยเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนตอบ

“เช่นนั้นพวกเราก็กลับไปดูพร้อมกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์ถอนหายใจแล้วนำทางพวกนางเดินมุ่งหน้าออกจากวิทยาลัย

เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่เคยเป็นจวนแม่ทัพ ซากปรักหักพังได้ถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เรือนหลังใหม่ยังมิได้ถูกปลูกขึ้นมา คนของจวนแม่ทัพเพียงแค่อาศัยอยู่ภายในเรือนที่เหลือรอดจากภัยร้ายเป็นการชั่วคราวเท่านั้น

“คุณชายห้า ท่านกลับมาแล้ว!” ทหารยามคนหนึ่งเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ จึงแจ้งข่าวดีให้คนอื่นๆ ทราบอย่างยินดี

“คุณชายห้า ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ขอรับ”

“คุณชายห้า…”

ทหารยามต่างกรูกันเข้ามา ล้อมซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้ตรงกลาง

พวกซือหม่าเลี่ยและซือหม่าโยวหมิงล้วนจากไปกันหมด ซือหม่าโยวเย่ว์จึงกลายเป็นเจ้านายเพียงคนเดียวของพวกเขาแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าให้พวกเขาเป็นเชิงว่าตนไม่เป็นไรแล้ว เมื่อเห็นว่าจำนวนคนของทหารยามมิได้ลดน้อยลงเลย เธอก็พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครทอดทิ้งจวนแม่ทัพไปเพียงเพราะว่าพวกซือหม่าเลี่ยไม่อยู่เลย

“ท่านพ่อบ้านเล่า”

“ท่านพ่อบ้านกำลังหารือธุระอยู่กับผู้จัดการทั้งหลายอยู่ทางฝั่งห้องครัวเก่าน่ะขอรับ” ทหารยามคนหนึ่งตอบ

“ดีเลย ขอบใจนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เคยเป็นห้องครัว ขณะที่ผ่านหอหนังสือสะสมก็พบว่าบริเวณบ้านส่วนใหญ่ล้วนถูกทำลายไปหมด แต่หอหนังสือสะสมแห่งนี้กลับไม่เป็นไรเลยแม้แต่น้อย

“หรือว่าที่นี่เป็นสิ่งล้ำค่าอะไรบางอย่าง” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูหอหนังสือสะสมพลางเอ่ยพึมพำ

แต่ตอนนี้เธอยังไม่มีเวลามาตรวจสอบเรื่องนี้ จึงคิดว่าภายหลังหากมีเวลาค่อยมาดู หลังจากนั้นจึงตรงไปยังห้องครัว

ตอนนี้ห้องครัวก็ยังคงเป็นห้องครัวอยู่ แต่ห้องกินข้าวข้างๆ ได้กลายเป็นห้องประชุมไปแล้ว

ขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์ไปถึงนั้นพ่อบ้านกำลังหารือธุระอยู่กับผู้จัดการทั้งหลาย เมื่อเห็นเธอเข้ามา ผู้คนภายในห้องต่างพากันลุกขึ้นยืน

“คุณชายห้า ร่างกายท่านหายดีแล้วหรือ” พ่อบ้านถามอย่างตื่นเต้นยินดี

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้พวกท่านช่วยเล่าสถานการณ์ของจวนแม่ทัพกับเมืองหลวงให้ข้าฟังหน่อยสิ เอ้อ… พวกท่านกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถิด ให้ท่านพ่อบ้านอยู่เล่าให้ข้าฟังก็พอแล้ว”

เมื่อได้รับคำสั่งของเธอ ผู้จัดการทั้งหลายจึงพากันออกไป เหลือเพียงแค่พ่อบ้านกับเธอสองคนเท่านั้น

ซือหม่าโยวเย่ว์หาที่ว่างแล้วนั่งลงฟังสถานการณ์ปัจจุบันที่พ่อบ้านเล่าให้ฟัง สีหน้าไม่น่าดูยิ่งขึ้น ไฟโทสะในดวงตาทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

เปลวเพลิงอันร้อนแรงอาบย้อมทั่วทั้งท้องฟ้าจนกลายเป็นสีแดง บ้านทั้งหลังถูกเผาจนกลายเป็นซากปรักหักพัง ป้ายเหนือประตูที่เขียนว่า จวนซีเหมิน สามตัวอักษร ค่อยๆ ถูกเปลวไฟกลืนกินอย่างช้าๆ

“ซีเหมินโยวเย่ว์ เจ้ามิได้เที่ยวกดดันข้าไปทั่วทุกหนแห่งเพราะถือว่าตัวเองมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมกว่าข้าหรอกหรือ เจ้าหันกลับมาดูบ้างสิว่าตอนนี้ตระกูลซีเหมินของเจ้ากลายสภาพเป็นเช่นไรไปเสียแล้ว ฮ่าๆๆ”เสียงหัวเราะกรีดแหลมดังมาจากกลางกองเพลิง บาดแก้วหูเป็นอย่างยิ่ง

“ลูกเอ๋ย เรื่องนี้มิอาจตำหนิเจ้าได้หรอก ในภายหน้าเจ้าต้องใช้ชีวิตต่อไปให้ดีๆ นะ แม่หวังว่าเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป…” น้ำเสียงอบอุ่นเต็มไปด้วยความรักใคร่บรรเทาความเจ็บปวดอันไร้ที่สิ้นสุดของเธอ

ชุดแต่งงานสีแดง เปลวเพลิงสีแดง หยาดโลหิตสีแดง วาบผ่านไปมาท่ามกลางสายตาไม่หยุดหย่อน ในที่สุดซือหม่าโยวเย่ว์ก็ทนไม่ไหวแล้วลืมตาขึ้นในทันใด

“คุณชาย ท่านฟื้นแล้ว!” ชุนเจี้ยนเห็นหางตาของซือหม่าโยวเย่ว์มีน้ำตาไหลรินไม่หยุด นางกำลังเช็ดน้ำตาที่หางตาให้เธอ เมื่อเห็นเธอลืมตาจึงร้องขึ้นมาอย่างดีใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาไปมองก็เห็นใบหน้าของชุนเจี้ยน สติรับรู้จึงค่อยๆ กลับคืนมา เธออยากเอื้อมมือไปลูบศีรษะตนเอง แต่กลับพบว่าบนมือมีผ้าพันแผลพันเอาไว้อยู่

“คุณชายต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ” ชุนเจี้ยนถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วถามว่า “ที่นี่คือที่ไหนหรือ”

“ที่นี่คือเรือนของท่านอาจารย์ใหญ่เจ้าค่ะ ตั้งแต่ท่านหมดสติไปก็อยู่ที่นี่มาโดยตลอด” ชุนเจี้ยนพูด

ในขณะนี้เองอวิ๋นเย่ว์ก็เข้ามาจากข้างนอก เมื่อเห็นว่าซือหม่าโยวเย่ว์ฟื้นแล้วก็รีบเดินเข้ามาพลางเอ่ยว่า “คุณชาย ในที่สุดท่านก็ฟื้นเสียที ท่านหมดสติไปหลายวันเช่นนี้ทำเอาพวกเราตกใจแทบตายเลยนะเจ้าคะ”

“ข้าหมดสติไปนานเพียงใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นนั่ง จึงเห็นว่าบนร่างของตนมีผ้าพันแผลพันอยู่ไม่น้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปดึง

“สี่วันแล้วเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนพูด “หากมิใช่เพราะท่านอาจารย์ใหญ่คอยบอกพวกเราว่าท่านไม่เป็นไร ข้ากับอวิ๋นเย่ว์คงร้อนใจตายแน่”

ซือหม่าโยวเย่ว์มือหยุดชะงักแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ห้าวัน เช่นนั้นพวกท่านปู่ก็จากไปได้ห้าวันแล้วสินะ…”

อวิ๋นเย่ว์เข้าไปดึงมือซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้พลางพูดว่า “คุณชาย ท่านดึงผ้าพันแผลทำไมกันเจ้าคะ บนร่างท่านยังมีบาดแผลอยู่เลยนะเจ้าคะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ก้มหน้าลงมองร่างกายตนแล้วนึกถึงการประลองกับซือหม่าหลินในวันนั้นขึ้นมา ตนรับไม่ได้แม้กระทั่งการโจมตีสองกระบวนท่าของเขาเลยด้วยซ้ำ

“อาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้ว ไม่ต้องพันผ้านี่ไว้แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางดึงต่อไป

ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์คิดจะห้ามปราม แต่ทั้งสองกลับค้นพบอย่างประหลาดใจว่าหลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงผ้าพันแผลทิ้งไปแล้ว บาดแผลที่เคยมีก่อนหน้านี้ได้หายไปหมดแล้วจริงๆ เธอลงมาจากเตียงแล้วเดินเหินอย่างปกติ ก่อนเปิดประตูแล้วเดินตรงออกไป

“คุณชาย ร่างกายของคุณชาย เขา…” อวิ๋นเย่ว์เห็นซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปก็ตกใจจนพูดไม่ออก

ชุนเจี้ยนดึงเธอเอาไว้แล้วส่ายหน้าให้นางเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องตกใจเรื่องคุณชาย

นางค้นพบแต่เนิ่นๆ แล้วว่าคุณชายไม่เพียงแต่อารมณ์เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น แต่ยังมีความลับเพิ่มขึ้นมากมายอีกด้วย ในฐานะสาวใช้ของเขา พวกนางทั้งสองไม่ถามอะไรเลยจะเป็นการดีที่สุด

ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปในลานบ้าน คราวก่อนที่มาที่นี่ก็คือตอนที่มากล่าวอำลาพร้อมกับเฟิงจือสิง คิดไม่ถึงว่าตนจะได้มาที่นี่อีกครั้งอย่างรวดเร็วเช่นนี้

ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสกำลังง่วนอยู่กับดอกไม้ใบหญ้าในลานบ้านของตน เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว มิได้หันมาก็รู้แล้วว่าเป็นใคร

“หลับมาหลายวันเช่นนี้ ในที่สุดเจ้าก็ตื่นแล้วสินะ”

“รบกวนท่านอาจารย์ใหญ่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์หลุบตาลงซ่อนเร้นความรู้สึกภายในจิตใจ

ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสลุกขึ้นมาจากสวนดอกไม้ ขณะนี้เขาดูราวกับชาวสวน ขากางเกงพับม้วนขึ้น มือไม้เต็มไปด้วยโคลน

“ข้ารับปากท่านปู่กับอาจารย์ของเจ้าเอาไว้ว่าจะดูแลเจ้า ก็ต้องดูแลเจ้าเป็นอย่างดีอยู่แล้วสิ” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสเดินออกมาแล้วพูดว่า “มากับข้าสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสกลั่นไอน้ำออกมาแล้วล้างโคลนบนมือออกจนสะอาด ในใจอับจนคำพูดอยู่บ้าง ใช้ปราณวิญญาณกลั่นไอน้ำมาล้างมือ มีเพียงเขาเท่านั้นที่ทำได้

ทั้งสองมาถึงห้องของท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโส เขาเข้าไปยังห้องข้างในครู่หนึ่งแล้วออกมาอย่างรวดเร็ว ในมือมีแหวนวงหนึ่งอยู่

เขาส่งแหวนให้ซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “ท่านปู่ของเจ้ามอบสิ่งนี้ให้ข้าก่อนเกิดเรื่อง ให้ข้าส่งมอบมันให้กับเจ้า”

ซือหม่าโยวเย่ว์รับแหวนมาแล้วกุมเอาไว้ในอุ้งมือแน่น

“ในเมื่อตอนนี้เจ้าไม่เป็นไรแล้วก็กลับบ้านไปสักคราหนึ่งเถิด” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสพูด “ข้าให้ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์มาอยู่ที่นี่ตลอดหลายวันมานี้เพื่อดูแลเจ้า ตอนนี้เจ้าหายดีแล้วก็ให้พวกนางกลับไปเถิด นอกจากนี้เจ้าเด็กพวกนั้นก็มาเยี่ยมเจ้าหลายครั้งเลยทีเดียว เรื่องในภายหน้า รอให้เจ้ากลับบ้านก่อนแล้วค่อยตัดสินใจเถิดนะ ข้าจะให้เจ้าหยุดเรียนสักระยะ รอให้เจ้าจัดการเรื่องทางบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยกลับมาเรียนก็ได้”

“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณท่านอาจารย์ใหญ่” ซือหม่าโยวเย่ว์คารวะอาจารย์ใหญ่ครั้งหนึ่งก่อนจะหมุนตัวจากไป

ชุนเจี้ยนกับอวิ๋นเย่ว์เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ออกมา ทั้งสองก็รีบเข้าไปหา

“ชุนเจี้ยน หลายวันมานี้สถานการณ์ที่บ้านเป็นเช่นไรบ้าง” เมื่ออกมาจากวิทยาลัยแล้วสถานที่ต่างๆ ภายนอกก็ยังเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงจวนแม่ทัพที่กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้วขึ้นมาจึงเอ่ยถามขึ้น

“คุณชาย หลังจากที่ท่านหมดสติไป พวกเราก็อยู่กันที่วิทยาลัยมาตลอด มิได้ออกมาจากเรือนแห่งนั้นเลย ดังนั้นจึงไม่ทราบสถานการณ์ภายนอกเลยเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนตอบ

“เช่นนั้นพวกเราก็กลับไปดูพร้อมกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์ถอนหายใจแล้วนำทางพวกนางเดินมุ่งหน้าออกจากวิทยาลัย

เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่เคยเป็นจวนแม่ทัพ ซากปรักหักพังได้ถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เรือนหลังใหม่ยังมิได้ถูกปลูกขึ้นมา คนของจวนแม่ทัพเพียงแค่อาศัยอยู่ภายในเรือนที่เหลือรอดจากภัยร้ายเป็นการชั่วคราวเท่านั้น

“คุณชายห้า ท่านกลับมาแล้ว!” ทหารยามคนหนึ่งเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ จึงแจ้งข่าวดีให้คนอื่นๆ ทราบอย่างยินดี

“คุณชายห้า ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ขอรับ”

“คุณชายห้า…”

ทหารยามต่างกรูกันเข้ามา ล้อมซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้ตรงกลาง

พวกซือหม่าเลี่ยและซือหม่าโยวหมิงล้วนจากไปกันหมด ซือหม่าโยวเย่ว์จึงกลายเป็นเจ้านายเพียงคนเดียวของพวกเขาแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าให้พวกเขาเป็นเชิงว่าตนไม่เป็นไรแล้ว เมื่อเห็นว่าจำนวนคนของทหารยามมิได้ลดน้อยลงเลย เธอก็พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครทอดทิ้งจวนแม่ทัพไปเพียงเพราะว่าพวกซือหม่าเลี่ยไม่อยู่เลย

“ท่านพ่อบ้านเล่า”

“ท่านพ่อบ้านกำลังหารือธุระอยู่กับผู้จัดการทั้งหลายอยู่ทางฝั่งห้องครัวเก่าน่ะขอรับ” ทหารยามคนหนึ่งตอบ

“ดีเลย ขอบใจนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เคยเป็นห้องครัว ขณะที่ผ่านหอหนังสือสะสมก็พบว่าบริเวณบ้านส่วนใหญ่ล้วนถูกทำลายไปหมด แต่หอหนังสือสะสมแห่งนี้กลับไม่เป็นไรเลยแม้แต่น้อย

“หรือว่าที่นี่เป็นสิ่งล้ำค่าอะไรบางอย่าง” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูหอหนังสือสะสมพลางเอ่ยพึมพำ

แต่ตอนนี้เธอยังไม่มีเวลามาตรวจสอบเรื่องนี้ จึงคิดว่าภายหลังหากมีเวลาค่อยมาดู หลังจากนั้นจึงตรงไปยังห้องครัว

ตอนนี้ห้องครัวก็ยังคงเป็นห้องครัวอยู่ แต่ห้องกินข้าวข้างๆ ได้กลายเป็นห้องประชุมไปแล้ว

ขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์ไปถึงนั้นพ่อบ้านกำลังหารือธุระอยู่กับผู้จัดการทั้งหลาย เมื่อเห็นเธอเข้ามา ผู้คนภายในห้องต่างพากันลุกขึ้นยืน

“คุณชายห้า ร่างกายท่านหายดีแล้วหรือ” พ่อบ้านถามอย่างตื่นเต้นยินดี

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้พวกท่านช่วยเล่าสถานการณ์ของจวนแม่ทัพกับเมืองหลวงให้ข้าฟังหน่อยสิ เอ้อ… พวกท่านกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถิด ให้ท่านพ่อบ้านอยู่เล่าให้ข้าฟังก็พอแล้ว”

เมื่อได้รับคำสั่งของเธอ ผู้จัดการทั้งหลายจึงพากันออกไป เหลือเพียงแค่พ่อบ้านกับเธอสองคนเท่านั้น

ซือหม่าโยวเย่ว์หาที่ว่างแล้วนั่งลงฟังสถานการณ์ปัจจุบันที่พ่อบ้านเล่าให้ฟัง สีหน้าไม่น่าดูยิ่งขึ้น ไฟโทสะในดวงตาทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ซือหม่าเลี่ยมองความตื่นตระหนกในดวงตาของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็รู้ว่าเธอคงมิอาจเข้าใจได้ “โยวเย่ว์ พวกเรามิอาจหลบหนีไปตลอดชีวิตได้อยู่แล้ว มีเรื่องบางอย่างที่พวกเรามิอาจลากผู้อื่นมาเกี่ยวข้องด้วยได้”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองบ่อน้ำที่ถูกทำลายไปไม่น้อยเบื้องล่าง มองดูคนบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างล่างเหล่านั้นแล้วจึงเข้าใจในการกระทำของซือหม่าเลี่ยขึ้นมาบ้าง

“แต่ท่านปู่ หากพวกเรากลับไปกับพวกเขาแล้วพวกเขาจะคืนความยุติธรรมให้กับพวกเราได้จริงๆ น่ะหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองพวกซือหม่าหลินอย่างสงสัย เพราะเรื่องของซือหม่าข่ายทำให้เธอไม่เชื่อมั่นในกลุ่มคนที่เรียกว่าครอบครัวเหล่านี้เลย

“โยวเย่ว์ มีแค่ข้ากับบรรดาพี่ชายของเจ้าเท่านั้น ไม่รวมเจ้า” ซือหม่าเลี่ยพูดอย่างลังเล

“ท่านปู่!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจอย่างรุนแรง

“ต้องพาตัวคนของตระกูลซือหม่ากลับไปให้หมด” ซือหม่าหลินพูด

“อันที่จริงแล้วข้าไม่อยากบอกเรื่องนี้กับเจ้าเลย แต่ตอนนี้จะไม่บอกเจ้าก็คงไม่ได้เสียแล้ว เจ้ามิใช่คนตระกูลซือหม่าของข้า เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กที่พวกเรารับมาเลี้ยงเท่านั้น” ซือหม่าเลี่ยพูด “ดังนั้นเจ้าไม่ต้องมีส่วนร่วมกับเรื่องของตระกูลซือหม่าหรอก”

“ท่านปู่ ข้ารู้ แต่พวกท่านเลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่ พวกท่านก็คือครอบครัวของข้า!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างแน่วแน่

“เจ้า… เจ้ารู้แล้วอย่างนั้นหรือ!” คราวนี้กลับเป็นซือหม่าเลี่ยที่พรั่นพรึงแทน

พวกซือหม่าโยวหมิงบอกนางแล้วอย่างนั้นหรือ

“เพราะเรื่องบางอย่างเคยทำให้ข้าเกิดความสงสัย ต่อมาจึงถามอาจารย์ แล้วเขาก็บอกความจริงกับข้า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ไม่สมควรมาปรากฏตัวที่นี่” ซือหม่าเลี่ยพูดด้วยสีหน้าหม่นลง

“ท่านปู่ ก่อนหน้านี้ท่านคือท่านปู่ของข้า ภายหน้าก็ยังคงเป็นท่านปู่ของข้าอยู่ดี ก่อนหน้านี้ข้าเป็นคนตระกูลซือหม่า ในภายหน้าก็จะเป็นต่อไป เรื่องนี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดกาล!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าเลี่ยพลางพูดความคิดของตนออกมาจนหมดสิ้น

ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างอ่อนไหว เขาคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะล่วงรู้ชาติกำเนิดของตัวเองแล้ว และยิ่งคิดไม่ถึงว่าเธอจะไม่หวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อยในยามอันตรายเช่นนี้

แต่เขามิอาจให้เธอติดตามตนกลับไปได้ เพราะต่อจากนี้จะมีเรื่องเกิดขึ้นอีกมากมายเพียงใดก็มิอาจล่วงรู้ได้ เขามองซือหม่าหลินแล้วพูดว่า “นางมิใช่คนของตระกูลซือหม่า เจ้าจะพาตัวนางกลับไปมิได้”

ซือหม่าหลินเหลือบมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งโดยมิได้แสดงความเห็นแต่อย่างใด

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ลงไปกันก่อนดีกว่า ค่อยลงไปหารือกันข้างล่างว่าจะพาตัวนางกลับไปหรือไม่” ซือหม่าชิงพูด

พวกเขาร่อนลงมาข้างล่าง ซือหม่าเลี่ยรีบเข้าไปดูพวกซือหม่าโยวหมิงในทันที เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่เป็นไรจึงค่อยถอนหายใจออกมา

“โยวเย่ว์ พอพวกเราจากไปแล้วเจ้าต้องตั้งใจฝึกยุทธ์ให้ดีล่ะ ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานเจ้าต้องออกไปจากที่นี่ได้แน่” หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์ลงมาจากร่างของเจ้าคำรามน้อยแล้ว ซือหม่าเลี่ยก็เข้าไปตบบ่าเธอพลางเอ่ยขึ้น

“ท่านปู่…”

“จะฟังที่ปู่พูดหรือไม่!” ซือหม่าเลี่ยถลึงตามองซือหม่าโยวเย่ว์

“เจ้าเป็นปรมาจารย์ค่ายกลหรือ” ซือหม่าหลินถามขึ้นทันควัน

“นับว่าใช่ก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เช่นนั้นพลังจิตของเจ้าคงจะแข็งแกร่งมากแล้วสินะ” ซือหม่าหลินพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าสักครั้งหนึ่ง ถ้าหากเจ้าต้านรับการโจมตีพลังจิตของข้าได้ถึงสามครั้ง เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าไปด้วยกัน ถ้าหากทำมิได้เจ้าก็จะไม่ได้ไป ทั้งยังมิอาจขัดขวางไม่ให้พวกเขาไปด้วย”

“ได้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์รับคำ

“เรื่องนี้…” ซือหม่าเลี่ยลังเลอยู่บ้าง เพราะกลัวซือหม่าโยวเย่ว์จะได้รับบาดเจ็บ

“พี่เลี่ย เชื่อพี่ใหญ่เถิด” ซือหม่าชิงพูดอยู่ข้างๆ

“เข้ามาเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินมาอีกข้างแล้วหมุนตัวไปมองซือหม่าหลิน

ขณะนี้เอง พวกซือหม่าโยวหมิงทั้งสี่คนก็ฟื้นคืนสติขึ้นมา เมื่อเห็นซากปรักหักพังตรงหน้า พวกเขาต่างก็มิได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอยู่ครู่หนึ่ง เพราะไม่รู้เลยว่านี่ก็คือสถานที่ที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่นั่นเอง

ซือหม่าหลินมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “เจ้าคิดดีแล้วหรือ ถ้าหากเจ้าต้านรับสามกระบวนท่าของข้าไม่ไหว เช่นนั้นเจ้าจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างยิ่งเลยทีเดียวนะ”

“ข้าย่อมต้องคิดจนกระจ่างดีแล้วสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เริ่มต้นเลยดีกว่า”

ซือหม่าหลินมองซือหม่าโยวเย่ว์ ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าห้วงสมองของตนราวกับถูกฝังเข็มก็มิปาน สีหน้าซีดขาวในทันใด

ซือหม่าโยวเย่ว์มึนงง แต่มิได้ล้มลง ทว่าพลังจิตเฉื่อยชาลงไปไม่น้อยเลย

ซือหม่าหลินมองซือหม่าโยวเย่ว์ นัยน์ตามีแววประหลาดใจสายหนึ่งวาบผ่าน คิดไม่ถึงว่าพลังจิตของซือหม่าโยวเย่ว์จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ การโจมตีเพียงแค่ทำให้เธอมึนงงเท่านั้นเอง

“ท่านปู่ นี่น้องห้า…” ซือหม่าโยวหรานมองซือหม่าโยวเย่ว์และซือหม่าหลินพลางเอ่ยถามขึ้น

ซือหม่าเลี่ยถอนหายใจแล้วเล่าสถานการณ์ในตอนนี้ให้ฟัง

“การโจมตีครั้งที่สองมาแล้ว” ซือหม่าหลินพูดจบ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้สึกว่าบนแผ่นหลังของตนคล้ายกับมีภูเขาลูกโตงอกขึ้นมาลูกหนึ่ง แรงโน้มถ่วงนั้นกดดันลงสู่ด้านล่างอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายของเธอทรุดลงไปทีละน้อยๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์โคจรพลังจิตมาต้านรับ แต่อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเธอมากเกินไป ทำให้การต้านทานของเธอไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย

“พลั่ก…”

ซือหม่าโยวเย่ว์เปียกชุ่มด้วยเหงื่อไปทั้งตัว ร่างของเธอก็ถูกแรงกดดันนั้นทำเอาเข่าข้างหนึ่งทรุดลงไปกับพื้น

“น้องห้า!”

พวกซือหม่าโยวหมิงทั้งสี่คนเห็นสภาพของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วต่างก็อยากจะเข้าไปช่วยเธอ แต่กลับถูกซือหม่าเลี่ยขวางเอาไว้ที่เดิม

ซือหม่าเลี่ยส่ายหน้าปรามพวกเขา ถึงแม้ว่าพวกซือหม่าโยวหมิงจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน เพียงแค่มองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเป็นกังวลเท่านั้น

“เป๊าะ…”

เพราะคิดจะค่อยๆ ยืนขึ้นมา เธอกลับถูกรั้งกลับไปบนพื้นอีกครั้ง หัวเข่ากระแทกพื้นอย่างรุนแรงจนทุกคนในที่นั้นได้ยินเสียงหัวเข่าของเธอแหลกละเอียด

“น้องห้า!” ซือหม่าโยวเล่ออุทานอย่างตกใจแล้วตะโกนใส่ซือหม่าหลินว่า “เจ้าทำอะไรน่ะ เหตุใดจึงต้องทำให้นางลำบากด้วยเล่า!”

ซือหม่าเลี่ยคิดจะขัดขวาง แต่ซือหม่าชิงคว้ามือเขาเอาไว้แล้วพูดว่า “พี่เลี่ย พี่ใหญ่กำลังเผยศักยภาพของเขาอยู่นะ”

ซือหม่าเลี่ยมองดูก็พบว่าสภาวะของซือหม่าโยวเย่ว์แตกต่างกับก่อนหน้านี้อยู่บ้างจริงๆ จึงปล่อยมือที่ยกขึ้นมาลง

สองคนขับเคี่ยวกันอยู่ราวๆ สิบกว่านาที ซือหม่าโยวเย่ว์จึงพ่ายแพ้ ไอพลังบนร่างหมดสิ้นไป กระดูกหลายแห่งแตกหักและแหลกสลาย ในขณะที่ซือหม่าหลินเก็บพลังจิตของตนกลับมานั้นซือหม่าโยวเย่ว์ก็นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้น แทบจะสูญสิ้นสติรับรู้

“ท่านปู่ น้องห้าคงจะไม่เป็นไรกระมัง” ซือหม่าโยวเล่อพูดพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าเลี่ยเองก็ไม่รู้เช่นกัน เพียงแค่เม้มปาก ไม่เอ่ยวาจา

“เจ้าแพ้แล้ว” ซือหม่าหลินพูดพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่บนพื้น ประกาศผลการแข่งขันระหว่างคนทั้งสอง

ซือหม่าโยวเย่ว์หมอบอยู่บนพื้น ทั้งร่างราวกับถูกรถทับ นี่คือพลังยุทธ์ระดับราชันวิญญาณขั้นสูงอย่างนั้นหรือ

ซือหม่าหลินมองซือหม่าเลี่ยแวบหนึ่ง ซือหม่าเลี่ยเรียกพ่อบ้านมาแล้วพูดว่า “ต่อไปนี้ไม่มีจวนแม่ทัพอีกแล้ว เจ้าจงแบ่งทรัพย์สมบัติของตระกูลให้กับทุกคน จากนี้ไปแต่ละคนต้องแยกย้ายไปตามทางของตัวเองแล้วนะ”

“ท่านแม่ทัพ ท่านจะจากไปจริงๆ หรือขอรับ” พ่อบ้านมองซือหม่าเลี่ยอย่างเป็นกังวล

“จำเป็นต้องไป…” ซือหม่าเลี่ยตบบ่าพ่อบ้าน “รบกวนเจ้าช่วยดูแลคุณชายระหว่างนี้ด้วย หลังจากที่อาการบาดเจ็บของเขาหายดีแล้ว เขาอยากจะทำสิ่งใดก็ให้เขาไปทำเถิดนะ”

“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” พ่อบ้านรับปากอย่างไม่เต็มใจ

พวกซือหม่าโยวหมิงทั้งสี่คนรู้การตัดสินใจของซือหม่าเลี่ยแล้วก็ไม่มีใครเห็นต่างแต่อย่างใด ซือหม่าเลี่ยต้องการกลับไป พวกเขาก็ย่อมต้องไปด้วยอยู่แล้ว

“โยวหลาน เจ้ายังสัมผัสร่องรอยของผลอสรพิษทองคำไม่ได้เลยหรือ” ซือหม่าหลินถาม

“สัมผัสไม่ได้เลย” ซือหม่าโยวหลานส่ายศีรษะ

“พวกเราไม่มีเวลาให้มามัวชักช้าอยู่ที่นี่หรอกนะ ในเมื่อหาไม่พบ เช่นนั้นก็คงได้แต่ปล่อยวางแล้วล่ะ ตอนนี้พวกเรากลับไปกันเดี๋ยวนี้เลย”

ในขณะนี้เอง น้ำเสียงอ่อนแอเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากพื้นดิน

“สามปี…”

น้ำเสียงของซือหม่าโยวเย่ว์อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับลอยเข้าสู่โสตประสาทของทุกคน

“สามปี…”

เสียงของซือหม่าโยวเย่ว์ดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นร่างกายของเธอที่ทุกคนต่างคิดว่าหมดสติไปแล้วก็ขยับเขยื้อน

“โยวเย่ว์”

“แค่กๆ…”

ซือหม่าโยวเย่ว์กระแอมสองครั้ง สองมือเคลื่อนไปด้านหลังอย่างช้าๆ แล้วดันร่างกายตนเองให้ยืนขึ้นมา

“สามปี…” เธอทวนซ้ำอีกรอบหนึ่ง

เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ยืนขึ้นมา ซือหม่าชิงและซือหม่าหลินต่างก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะซือหม่าหลิน ทำให้เธอได้รับบาดเจ็บมากถึงระดับไหน ตัวเขาย่อมรู้ดีที่สุด คิดไม่ถึงว่าเธอไม่เพียงแต่จะยังครองสติเอาไว้ได้เท่านั้น แต่ยังพยุงกายลุกขึ้นยืนได้อีกด้วย

“สามปีอะไรกัน” ซือหม่าโยวหลานก็พรั่นพรึงเพราะซือหม่าโยวเย่ว์เช่นกัน จึงส่งเสียงเอ่ยถาม

“ข้ารู้ว่าผลอสรพิษทองคำอยู่ที่ไหน ภายในระยะเวลาสามปี พวกท่านต้องปกป้องพวกท่านปู่ แค่กๆ ปกป้องพวกเขาให้ปลอดภัย อีกสามปีให้หลังข้าจะไปใช้ผลอสรพิษทองคำที่ตระกูลซือหม่าด้วยตัวเอง ไป ไปเรียกท่านปู่กับพวกพี่ๆ กลับมาเสีย” ซือหม่าโยวเย่ว์ร่างกายโงนเงนราวกับจะล้มลงไปได้ตลอดเวลา เธอพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว แต่แววตากลับแน่วแน่ผิดปกติ

ผู้คนในที่นั้นล้วนตะลึงงันกันไปเสียแล้ว พวกเขามองดูเธอแล้วพูดอะไรไม่ออกอยู่ชั่วครู่

“น้องห้า…” พวกซือหม่าโยวหมิงทั้งสี่คนขอบตาแดงก่ำ

ซือหม่าโยวหรานวิ่งเข้าไปพยุงตัวซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้ ส่วนซือหม่าโยวเล่อก็หยิบยาวิเศษออกมาให้เธอกิน

ซือหม่าหลินแววตาวูบไหวแล้วเอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าเจ้ารู้ที่อยู่ของผลอสรพิษทองคำอย่างนั้นหรือ”

“รู้ว่าอยู่ในมือผู้ใด แต่ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดไปตามน้ำ “ผลอสรพิษทองคำคงจะสำคัญกับพวกท่านมากกระมัง เมื่อเทียบกับพวกท่านปู่ที่ถูกพวกท่านขับออกจากตระกูลในตอนนั้นแล้วคงจะสำคัญกว่ามากเลยสินะ”

“เจ้ามองออกได้อย่างไรกัน” ซือหม่าหลินเลิกคิ้ว ความสนใจในตัวซือหม่าโยวเย่ว์ยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนด้วยตัวเอง ไม่พึ่งพิงซือหม่าโยวหราน ก่อนจะมองซือหม่าหลินพลางเอ่ยช้าๆ ว่า “ตอนที่คนผู้นั้นกลับไป ย่อมต้องนำข่าวของผลอสรพิษทองคำกลับไปด้วยแน่ ถ้าหากสิ่งนี้ไม่สำคัญสำหรับพวกท่าน พวกท่านก็คงไม่กลับมากันอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้หรอก ข้าว่าพวกท่านคงจะมีบุคคลสำคัญอย่างยิ่งที่วิญญาณได้รับบาดเจ็บล่ะสิ พอพวกท่านรู้ข่าวของผลอสรพิษทองคำแล้วจึงรีบมาทันทีโดยไม่หยุดพักเลยกระมัง”

แววตาของซือหม่าโยวหลานที่มองซือหม่าโยวเย่ว์เปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ เธอช่างเฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง คาดเดาเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด

ซือหม่าหลินมิเอ่ยวาจา ซือหม่าโยวเย่ว์กระแอมก่อนจะพูดต่อไปว่า “ดังนั้นผลอสรพิษทองคำนี้จึงมีความสำคัญกับพวกท่านเป็นอย่างยิ่ง ข้าคงมิได้พูดผิดกระมัง ใช้เวลาสามปีของพวกท่านปู่ข้า แลกกับผลอสรพิษทองคำ ก็ไม่เลวสำหรับพวกท่านเลยนะ”

“เหตุใดข้าจึงต้องทำข้อตกลงนี้กับเจ้าด้วยเล่า” ซือหม่าหลินพูด “พวกเราก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะรอได้เป็นเวลานานถึงสามปีหรือไม่ บางทีอีกสามปีให้หลัง พวกเราอาจจะไม่ต้องการผลอสรพิษทองคำนี่แล้วก็เป็นได้”

“ผู้ที่วิญญาณบาดเจ็บจะทำร้ายที่จิตใจ มิได้ทำร้ายร่างกาย อย่าว่าแต่มีชีวิตอยู่อีกสามปีเลย ต่อให้สามสิบปีก็ไม่มีปัญหา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้ารู้วิชาแพทย์หรือ” ซือหม่าชิงถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ตอบ เพียงแค่มองซือหม่าหลินแล้วถามว่า “ทำไมหรือ”

“ต่อให้สิ่งที่เจ้าพูดนี้ถูกต้อง แล้วข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าอีกสามปีให้หลังเจ้าจะนำผลอสรพิษทองคำไปข้างนอก ภายนอกนั้นมีอันตรายมากมายนานัปการ แม้แต่ราชันวิญญาณทั่วๆ ไปก็ยังมิกล้าผ่านออกไปกันเลย เจ้าเป็นเพียงแค่ปรมาจารย์วิญญาณตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แล้วจะไปถึงระดับราชันวิญญาณภายในสามปีได้อย่างไรกัน” ซือหม่าหลินพูด

“ข้ามีวิธีของข้าเองน่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าจะไปหาผลอสรพิษทองคำมาได้อย่างไร จะผ่านทะลุสิ่งกีดขวางภายนอกได้อย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องของข้าเองทั้งสิ้น ท่านต้องทำเพียงแค่ปกป้องพวกท่านปู่ของข้าเป็นระยะเวลาสามปีเท่านั้น วันนี้ในอีกสามปีให้หลัง ข้าจะไปปรากฏตัวหน้าประตูใหญ่ของตระกูลซือหม่าของท่านให้จงได้! ท่านกล้าทำสัญญานี้กับข้าหรือไม่เล่า”

“โยวเย่ว์ เจ้าไม่ต้องสนใจพวกเราหรอก ต่อไปเจ้าทำเรื่องของตัวเจ้าเองก็พอแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราเลย” ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยแววตาเต็มไปด้วยความลำบากใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าหลินเพื่อรอคำตอบกลับจากเขา

“เอาละ ข้าจะทำสัญญานี้กับเจ้าก็ได้” ซือหม่าหลินพูด “ภายในสามปี ข้าจะจัดการดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี ถ้าหากเกินสามปีแล้วเจ้ายังไม่มา พอถึงตอนนั้นจะจัดการพวกเขาเช่นไร ก็แล้วแต่ตระกูลจะตัดสินใจ”

“ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าเชื่อว่าท่านเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ท่านจะต้องปกป้องพวกท่านปู่ของข้าให้ดีนะ มิฉะนั้นข้าจะทำให้ตระกูลซือหม่าของท่านต้องเสียใจแน่…”

เสียงของเธอเบาลงเรื่อยๆ จนถึงคำพูดสุดท้ายก็ได้ยินไม่ชัดเสียแล้ว ในที่สุดเธอก็หมดสติไปก่อนที่จะพูดได้จบประโยค

“น้องห้า!”

“โยวเย่ว์!”

“คุณชายห้า!”

ซือหม่าโยวเย่ว์พิงอยู่บนร่างของซือหม่าโยวหราน สิ้นไร้สติโดยสมบูรณ์

ซือหม่าชิงมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยชมซือหม่าเลี่ยว่า “ท่านเลี้ยงหลานได้ดีทีเดียวนะ”

ซือหม่าเลี่ยเดินเข้าไปโอบกอดซือหม่าโยวเย่ว์แล้วมองเธออย่างรักใคร่ทะนุถนอมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่งตัวเธอให้กับพ่อบ้าน

“ดูแลคุณชายให้ดีล่ะ”

“ขอรับ ท่านแม่ทัพ ข้าจะปกป้องเขาด้วยชีวิตอย่างแน่นอนขอรับ” พ่อบ้านรับตัวซือหม่าโยวเย่ว์มาพลางให้คำสัญญา

เขารู้ชาติกำเนิดของซือหม่าโยวเย่ว์ และสงสารเธอมาโดยตลอด ตอนนี้ยังมาตพตะลึงเพราะสิ่งที่เธอทำ ตอนนี้ตระกูลซือหม่าก็เหลือแค่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาย่อมต้องปกป้องดูแลเธอเป็นอย่างดีอยู่แล้ว

ซือหม่าเลี่ยตบบ่าพ่อบ้านแล้วพูดกับซือหม่าหลินว่า “ไปกันเถิด”

ซือหม่าหลินเรียกตัวเหยี่ยวนกเขาออกมา เหยี่ยวนกเขาขยายร่างใหญ่ขึ้นแล้วร่อนลงกลางลานบ้าน

“สัตว์อสูรเทพ!” มีคนเห็นระดับขั้นของเหยี่ยวนกเขาแล้วร้องอุทานขึ้นมา

ซือหม่าหลินเดินนำเข้าไป ซือหม่าชิง ซือหม่าเลี่ย และคนอื่นๆ จึงเดินตามกันไป แม้กระทั่งซือหม่าเค่อก็ยังพาตัวซือหม่าข่ายที่หมดสติเหาะตามขึ้นไปเช่นกัน

ซือหม่าโยวหลานลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วมายังข้างกายพ่อบ้าน ก่อนจะหยิบยาวิเศษขวดหนึ่งออกมาพลางเอ่ยว่า “นี่คือยาวิเศษขั้นสี่ มีประโยชน์ต่อการรักษาอาการบาดเจ็บของเขาเป็นอย่างยิ่ง อีกประเดี๋ยวท่านให้เขากินก็แล้วกัน”

พอพูดจบเธอก็วางยาวิเศษลงในอ้อมแขนของซือหม่าโยวเย่ว์ ก่อนจะหมุนตัวเหินขึ้นไปบนหลังของเหยี่ยวนกเขา

คนอื่นๆ พากันขึ้นไปจนหมด เหยี่ยวนกเขาสยายปีกเหินบิน ทำเอาฝุ่นทรายหนาทึบบนพื้นลอยตลบ

ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสผู้ที่อยู่บนท้องฟ้าเบื้องบนมาโดยตลอดมองดูพวกซือหม่าเลี่ยจากไปพร้อมกับแอบทอดถอนใจ เขาร่อนลงบนพื้นแล้วพูดกับพ่อบ้านว่า “ยกเขาให้ข้าเถิด เจ้าไปจัดการเรื่องอื่นๆ ของตระกูลซือหม่า พออยู่ตัวเรียบร้อยแล้วค่อยมาหาเขาที่วิทยาลัย”

พ่อบ้านได้ยินสิ่งที่ซือหม่าเลี่ยมอบหมายให้ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าให้ยกซือหม่าโยวเย่ว์ให้กับท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโส

ตระกูลซือหม่าเผชิญกับภัยพิบัติในครั้งนี้ กิจการเหล่านั้นต้องสั่นคลอนอย่างแน่นอน ไม่ว่าในภายหลังซือหม่าโยวเย่ว์จะเลือกอย่างไรเขาก็ต้องรักษาสัญญา ก่อนที่เธอจะฟื้นขึ้นมา กิจการของตระกูลซือหม่าย่อมมิอาจสั่นคลอนมากจนเกินไปได้!

ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสมองซือหม่าโยวเย่ว์ เขาเห็นสิ่งที่เธอแสดงออกเมื่อครู่ทั้งหมด ทั้งสงสาร ทั้งชื่นชม เมื่อนึกถึงเส้นทางในอนาคตของเธอ เขาก็อดทอดถอนใจมิได้

เขาอุ้มซือหม่าโยวเย่ว์ใช้วิชาตัวเบาเหาะไปถึงน่านฟ้าเหนือวิทยาลัย ผู้อำนวยการสอนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็โบกไม้โบกมือ ผู้อำนวยการสอนได้ให้คนปิดค่ายกลอภิบาล

เขาอุ้มซือหม่าโยวเย่ว์ตรงไปยังเรือนที่เขาพักอาศัยอยู่ เมื่อพวกเป่ยกงถังได้เห็นคนที่หมดสติอยู่ก็รีบวิ่งตรงไปยังที่พัก ทิ้งกลุ่มนักเรียนที่ยังคงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับอุบัติเหตุเมื่อครู่กันอยู่เอาไว้

คนของขุมอำนาจต่างๆ ที่คอยสังเกตการณ์อยู่ต่างพากันกลับไปยังเรือนพักของตนแล้วเริ่มหารือเกี่ยวกับปัญหาการแบ่งขั้วอำนาจของเมืองหลวง

ตอนนี้ตระกูลซือหม่าเหลือเพียงแค่ชื่อเท่านั้น ขุมอำนาจของเมืองหลวงก็ต้องแบ่งขั้วกันใหม่ ทุกคนล้วนอยากจะแบ่งผลประโยชน์กันในตอนนี้

ผู้คนมากมายพากันมายังจวนแม่ทัพ จวนใหญ่โอ่อ่าน่าเกรงขามเมื่อวันวานกลายเป็นซากปรักหักพังไปเสียแล้ว เป็นการบอกกับทุกคนว่าเกิดเคราะห์ร้ายเช่นไรขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งวิ่งออกมาจากวิทยาลัยก็เห็นทหารยามคนหนึ่งของจวนแม่ทัพขวางเอาไว้

“คุณชายห้า ท่านแม่ทัพให้ท่านออกไปจากเมืองหลวงเดี๋ยวนี้เลยขอรับ นี่คือสิ่งของที่มอบให้กับท่าน…”

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นแหวนเก็บวัตถุในมือทหารยามแล้วยื่นมือไปรับมา ก่อนจะหมุนกายวิ่งตรงไปยังจวนแม่ทัพ

“คุณชาย… เฮ้!” ทหารยามผู้นั้นเห็นซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งตรงไปยังจวนแม่ทัพ จึงรีบตามไปในทันที

เว่ยจือฉี เป่ยกงถัง และโอวหยางเฟยได้ยินความเคลื่อนไหวข้างนอกจึงรีบออกมาดู ก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์กับเจ้าอ้วนชวีวิ่งออกไป จึงรีบตามไปติดๆ

เจ้าอ้วนชวีตามออกไป แต่เมื่อไปถึงด้านนอกเรือนพักก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของซือหม่าโยวเย่ว์เลย

“เจ้าอ้วน เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” พวกเว่ยจือฉีดึงเจ้าอ้วนชวีเอาไว้พลางเอ่ยถาม

“เกิดเรื่องใหญ่ที่จวนแม่ทัพน่ะสิ!” เจ้าอ้วนชวีทุบต้นขาพลางพูดขึ้น

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” เป่ยกงถังถาม

“ปัง…”

แรงกระแทกอันรุนแรงทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนไปด้วย

“นี่มัน…การต่อสู้ระหว่างราชันวิญญาณนี่นา!” โอวหยางเฟยมองไปยังทิศทางของการต่อสู้อย่างตื่นตกใจ

เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างเป็นกังวล “ไม่รู้ว่าราชันวิญญาณสามคนโผล่มาจากที่ใด ทั้งยังมีบรรพวิญญาณกับราชาวิญญาณด้วย พากันมาก่อเรื่องที่จวนแม่ทัพ ตอนนี้คนหนึ่งในนั้นกำลังต่อสู้กับท่านแม่ทัพอยู่!”

“อะไรนะ! เช่นนั้นโยวเย่ว์วิ่งเข้าไปเช่นนี้ก็มิได้อันตรายอย่างยิ่งเลยหรือ” เว่ยจือฉีพูดอย่างเป็นกังวล

“ใช่แล้ว ข้าตามนางมาติดๆ แต่เพียงพริบตาเดียวก็ไม่เห็นนางเสียแล้ว!” เจ้าอ้วนชวีพูด

“พวกเราไปดูกันหน่อยดีกว่า” เป่ยกงถังพูดแล้ววิ่งนำไปยังประตูวิทยาลัย

มีนักเรียนจำนวนมากพอสมควรออกันที่บริเวณประตูวิทยาลัยอยู่ก่อนแล้ว ทำเอาบริเวณประตูแน่นขนัดจนไร้ช่องว่าง

ประตูใหญ่ปิดสนิท ผู้อำนวยการสอนคนใหม่ยืนอยู่ตรงที่สูงพลางพูดกับนักเรียนที่อยู่เบื้องล่างว่า “ตอนนี้ข้างนอกอันตรายเป็นอย่างยิ่ง วิทยาลัยจึงตัดสินใจปิดผนึกประตูและเริ่มใช้ค่ายกลอภิบาล ไม่มีนักเรียนคนใดได้รับอนุญาตให้ออกไปทั้งสิ้น! เปิดค่ายกล”

เขาเพิ่งเอ่ยวาจาออกไป ลำแสงสีฟ้าอ่อนสายหนึ่งก็ค่อยๆ ห่อหุ้มทั่วทั้งวิทยาลัยเอาไว้อย่างช้าๆ คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า

“จะทำเช่นไรกันดีเล่า โยวเย่ว์ยังอยู่ข้างนอกเลยนะ!” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างร้อนใจ

“เมื่อเปิดค่ายกลอภิบาลแล้ว นอกจากการปิดค่ายกลก็มิอาจเข้าออกได้ ตอนนี้คงได้แต่รออยู่ที่นี่แล้วล่ะ” เว่ยจือฉีพูด

เป่ยกงถังมองเงาร่างคนที่ต่อสู้กันอยู่กลางอากาศแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ขออย่าได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเจ้าเลย…”

ที่กลางอากาศ ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าข่าย สองมือวางอยู่บนหน้าอก ปลายนิ้วประกบกันอย่างรวดเร็ว ปราณวิญญาณธาตุไฟบริเวณรอบๆ รวมตัวกันขึ้นมาตามการเคลื่อนไหวของเขาแล้วก่อตัวขึ้นมาเป็นดาบเปลวอัคคีเล่มหนึ่ง

“เคล็ดแยกอัคคีพิโรธ…”

ดาบเปลวอัคคียาวสามเมตรฟาดฟันเข้าใส่ซือหม่าข่าย

“คิดไม่ถึงว่าเคล็ดแยกอัคคีพิโรธของพี่เลี่ยจะฝึกมาได้ถึงขั้นนี้แล้ว!” ซือหม่าชิงมองดาบเปลวอัคคีฟันเข้าใส่ซือหม่าข่ายแต่กลับมิได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลยแม้แต่น้อย

ซือหม่าข่ายมองดาบใหญ่ที่ฟาดฟันลงมาแล้วรวมพลังอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ก็ยังมิอาจสู้ความเร็วของซือหม่าเลี่ยได้

คราวก่อนก็ถูกสิ่งนี้ทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ คราวนี้มิอาจใช้หนูปีศาจหกนิ้วได้ ดูท่าทางคงต้องได้รับบาดเจ็บอีกครั้งเสียแล้ว

แต่ถ้าหากซือหม่าเลี่ยกล้าทำร้ายตน วันนี้เขาก็อย่าได้คิดจะมีชีวิตรอดอีกต่อไปซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งมาถึงจวนแม่ทัพ ขณะนี้จวนแม่ทัพได้กลายเป็นกองซากปรักหักพังไปเสียแล้ว ประตูได้หักออกเป็นสองท่อน ลานบ้านพังทลาย ยังดีที่คนได้ออกมาก่อนหมดแล้ว จึงไม่มีคนถูกทับอยู่ข้างใน

“ท่านพี่!” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพวกซือหม่าโยวหมิงนอนหมดสติอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังจึงรีบวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว

“คุณชายห้า ท่านมาได้อย่างไร!” พ่อบ้านมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ จึงพูดอย่างเป็นกังวล “ท่านรีบอาศัยจังหวะที่พวกเขายังไม่เห็นหนีไปเสีย!”

“ข้ามิอาจหนีไปคนเดียวได้หรอก!” ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงตรงหน้าพวกซือหม่าโยวหมิงแล้วตรวจดูร่างกายของพวกเขารอบหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นไรจึงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะหันไปมองซือหม่าเลี่ยที่อยู่กลางอากาศแล้วถามว่า “ผู้ที่อยู่กลางอากาศผู้นั้นคือใครหรือ”

“ท่านแม่ทัพเพิ่งบอกไปเมื่อครู่ว่าคราวก่อนก็เป็นเขานี่เองที่ทำร้ายท่าน แต่กลับมิได้บอกว่าเขาเป็นใคร” พ่อบ้านเอ่ยตอบ “คุณชาย ท่านรีบหนีไปดีกว่า!”

“พวกเขาเห็นข้าแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนขึ้นมองซือหม่าข่ายด้วยสายตาเยียบเย็น

เป็นเจ้าคนผู้นี้นี่เองที่มีหนูปีศาจหกนิ้วแล้วใช้มันมาลอบโจมตีท่านปู่จนทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ

ในขณะที่ดาบเปลวอัคคีของซือหม่าเลี่ยฟาดฟันลงมา เคล็ดแยกอัคคีพิโรธของซือหม่าข่ายก็ก่อตัวขึ้นมาพอดี เขาจึงรีบใช้มันต้านรับดาบของซือหม่าเลี่ยเอาไว้

“เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลย ตอนนี้เจ้าก็ยังมิใช่อยู่ดี! คราวก่อนถูกเจ้าลอบโจมตี คราวนี้ข้าไม่มีทางกระทำผิดเช่นเดิมอีกแน่ ข้าจะต้องเอาชีวิตเจ้าให้จงได้!” ซือหม่าเลี่ยมองดาบของซือหม่าข่ายถูกดาบของตนโจมตีจนรางเลือนไปพลางเอ่ยขึ้น

ซือหม่าข่ายเห็นดาบของตนค่อยๆ รางเลือนไป อีกครู่เดียวดาบของซือหม่าเลี่ยก็กำลังจะฟันถูกตนแล้ว

ในขณะนี้เอง ซือหม่าหลินที่มิได้เคลื่อนไหวมาโดยตลอดก็ลงมือ เขาความคิดวูบไหวคราหนึ่ง ดาบเปลวอัคคีของซือหม่าเลี่ยและซือหม่าข่ายราวกับถูกแช่แข็ง ไม่ว่าทั้งสองจะขยับเช่นไร ดาบเปลวอัคคีนั้นก็ไม่ฟังคำสั่งการของทั้งสองคนเลย

“ปิดผนึกมิติ!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองการเคลื่อนไหวของซือหม่าหลินแล้วส่งเสียงอุทานออกมา

ซือหม่าหลินคิดไม่ถึงว่าจะมีคนรู้จักกระบวนท่าของเขา จึงมองลงมาเบื้องล่างปราดหนึ่ง ก็เห็นเงาร่างหยัดตรงสายหนึ่งอยู่ท่ามกลางกองซากปรักหักพัง

“จงสลาย” น้ำเสียงของเขาบางเบาเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับดุจดังอสนีบาตสายหนึ่งที่ฟาดเข้าไปกลางหัวใจซือหม่าโยวเย่ว์

ดาบเปลวอัคคีที่ถูกปิดผนึกค่อยๆ สลายตัวไปตามน้ำเสียงของเขาราวกับไม่มีธาตุไฟปราณวิญญาณคอยส่งเสริม

“พรึ่บ…”

“พรึ่บ…”

อาวุธวิญญาณของตนถูกบีบให้สลายไป ทำให้ซือหม่าข่ายและซือหม่าเลี่ยล้วนได้รับผลสะท้อนกลับจนกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง แต่ละคนกุมหน้าอกพร้อมกับร่นถอยหลังไปหลายเมตร

“พี่เลี่ย ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่!” ซือหม่าชิงเห็นซือหม่าเลี่ยได้รับบาดเจ็บจึงพุ่งตัวเข้าไปหาในทันใด มาถึงยังข้างกายเขาแล้วมองเขาอย่างเป็นห่วงเป็นใย

ซือหม่าเลี่ยเห็นซือหม่าชิงพุ่งเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวอันตราย จึงลูบศีรษะนางเหมือนสมัยเด็กๆ พลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ยังมีชิงเอ๋อร์ที่ยังคงเหมือนกับสมัยก่อนอยู่คนหนึ่ง”

ขอบตาของซือหม่าชิงแดงก่ำขึ้นมาในทันใดแล้วพูดว่า “พี่เลี่ย อย่าฝืนอีกเลย พี่ใหญ่ใกล้จะเลื่อนไปถึงระดับจ้าววิญญาณแล้ว ท่านเอาชนะเขาไม่ได้หรอก! กลับไปกับพวกเราดีกว่า กลับไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นให้กระจ่าง”

“ชิงเอ๋อร์ เจ้าคิดว่ายังจะพูดเรื่องนี้ให้กระจ่างได้อยู่หรือ” ซือหม่าเลี่ยหัวเราะอย่างขมขื่น “ถ้าหากทำได้จริงๆ แน่นอนว่าพวกเราคงไม่จำเป็นต้องหนีมาหรอก!”

“พี่เลี่ย…” ซือหม่าชิงเห็นความเจ็บปวดในดวงตาของซือหม่าเลี่ย นางขบริมฝีปาก คิดจะเอ่ยแนะนำเขาแต่กลับมิอาจพูดออกมาได้

“เลี่ย เรื่องในตอนนั้นยังมิได้ตรวจสอบให้กระจ่าง แต่พวกเจ้ากลับนำเคล็ดแยกอัคคีพิโรธหลบหนีมา วันนี้พวกเจ้าต้องกลับไปกับพวกเรา” ซือหม่าหลินมองซือหม่าเลี่ย “ถ้าหากตระกูลเห็นว่าพวกเจ้ามีความผิดจริงก็จะเนรเทศมาที่นี่ แล้วค่อยให้พวกเจ้ากลับมาก็แล้วกัน”

“ซือหม่าเลี่ย ถึงแม้ว่าตัวเจ้าเองจะเป็นราชันวิญญาณ แต่พวกเราตรงนี้เป็นราชันวิญญาณกันถึงสามคน แล้วเจ้ายังได้รับบาดเจ็บด้วย หากเจ้าไม่ไปกับพวกเราก็อย่าหาว่าพวกเรามาลงโทษพวกเจ้าถึงที่ก็แล้วกัน!” ซือหม่าเค่อพูดพลางมองพวกซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่ข้างล่างปราดหนึ่งด้วย

“ท่านปู่ อย่านะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นแววอาฆาตในดวงตาของซือหม่าข่ายและซือหม่าเค่อจึงตะโกนขึ้น “ถึงจะกลับไปกับพวกเขาก็มีแต่ตายเท่านั้น มิสู้เอาชนะกันให้รู้ดำรู้แดงตอนนี้เลยดีกว่า ต่อให้ต้องตายจริงๆ พวกเราก็ต้องดึงพวกเขาให้ลงนรกไปด้วยกัน! เจ้าคำรามน้อย…”

เจ้าคำรามน้อยปรากฏตัวออกมาแล้วขยายร่างใหญ่ขึ้น ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงบนหลังของมันก่อนจะมายังข้างกายซือหม่าเลี่ย เผชิญหน้ากับพวกซือหม่าหลิน

ซือหม่าหลินมองซือหม่าโยวเย่ว์ เขาเห็นสัตว์อสูรวิเศษของเธอแต่กลับดูไม่ออกว่าเป็นสัตว์อสูรวิเศษชนิดใด

“เจ้าเป็นใครกัน” เมื่อนึกถึงว่าเมื่อครู่เธอดูการปิดผนึกมิติของเขาออกจึงส่งเสียงพูดขึ้น

“ซือหม่าโยวเย่ว์” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าหลิน “ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นในตอนนั้น พวกท่านก็มิอาจพาพวกเรากลับไปได้หรอก คนที่มีสัตว์ปีศาจเป็นพรรคพวก ข้าย่อมไม่มีทางเชื่อคำพูดที่พวกท่านบอกว่าจะคืนความบริสุทธิ์ให้กับพวกเราอะไรนั่นหรอก”

“เจ้าว่าอะไรนะ” ซือหม่าหลินขมวดคิ้ว ใบหน้าฉายแววโมโห

“พูดอะไรหรือ ท่านอายุมากแล้วจึงเริ่มหูไม่ดี ก็เลยฟังสิ่งที่ข้าพูดไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะเยียบเย็น “ดังคำกล่าวที่ว่าคบคนเช่นไรย่อมเป็นเช่นนั้น ในเมื่อเป็นพรรคพวกเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตภพมาร พวกท่านว่าพวกเราจะเชื่อสิ่งที่พวกท่านพูดได้หรือไม่เล่า”

“เป็นพรรคพวกเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตภพมารอะไรกันเล่า เจ้าอย่ามาป้ายสีพวกเราตระกูลซือหม่าเชียวนะ!” ซือหม่าโยวหลานได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็โมโหจนต้องใช้วิชาตัวเบาทะยานเข้ามาพลางกล่าวตำหนิ

“ป้ายสีหรือ พวกเจ้าอย่ามาพูดเลยดีกว่า พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือว่าคราวก่อนท่านปู่ของข้าก็ถูกหนูปีศาจหกนิ้วของตระกูลพวกเจ้าลอบทำร้ายนี่แหละ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“หนูปีศาจหกนิ้วหรือ สัตว์ของภพมารพรรค์นั้นจะมาอยู่ที่ตระกูลซือหม่าของพวกเราได้อย่างไรกัน!” ซือหม่าโยวหลานโมโหจนสีหน้าแดงก่ำ ไม่พอใจที่ซือหม่าโยวเย่ว์มากล่าวหาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“โยวเย่ว์ เจ้าลงไปเสีย” ซือหม่าเลี่ยเห็นสีหน้าของซือหม่าหลินไม่น่าดูมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเอ่ยวาจา

“อ้างอิงจากสิ่งที่เจ้าพูด จะบอกว่าข่ายมีหนูปีศาจหกนิ้วอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าหลินมองซือหม่าโยวเย่ว์ กลิ่นอายของผู้ที่เหนือกว่าทำให้ผู้คนที่อยู่เบื้องล่างหายใจไม่ออกกันอยู่บ้าง

แต่โชคดีที่ก่อนหน้านี้เธอเห็นกลิ่นอายที่หมัวซาแผ่ออกมาจนเคยชินแล้ว จึงมิได้มีปฏิกิริยาตอบสนองมากมายนัก เธอพูดเสียงเยียบเย็นว่า “ต่อให้ท่านคิดอยากจะใช้กำลังมาบีบบังคับพวกเราก็มิอาจเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ได้หรอก”

“ข่าย” ซือหม่าหลินมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วตะโกนเรียกคนด้านหลัง

“พี่ใหญ่ ข้าจะมีสิ่งมีชีวิตภพมารได้อย่างไรกันเล่า หนูปีศาจหกนิ้วหน้าตาเป็นเช่นไรข้ายังไม่รู้เลย” ซือหม่าข่ายคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะแฉเรื่องนี้ออกมา ตอนนี้จึงได้แต่พูดปดเท่านั้น

“ได้ยินแล้วใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวหลานมองซือหม่าโยวเย่ว์ “พวกเราตระกูลซือหม่าเป็นตระกูลใหญ่แห่งดินแดนอี้หลิน แล้วจะไปทำเรื่องเช่นการเป็นพรรคพวกเดียวกับสัตว์ปีศาจเหมือนที่เจ้าว่าได้อย่างไรเล่า”

ถึงแม้ว่าซือหม่าหลินและซือหม่าชิงจะมิได้พูดจา แต่สีหน้าล้วนแฝงไปด้วยความหมายอย่างหนึ่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะเสียงเย็นแล้วตบหลังเจ้าคำรามน้อยเบาๆ เจ้าคำรามน้อยเข้าใจในทันทีจึงรีบกระแอมก่อนส่งเสียงคำรามดังลั่น

“โฮก…”

ถึงแม้ว่าเสียงของเจ้าคำรามน้อยจะดังสนั่น แต่กลับไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อมนุษย์เลย มีเพียงแค่ซือหม่าข่ายที่กุมศีรษะด้วยสีหน้าเจ็บปวด

“ท่านอาสาม ท่านเป็นอะไรไปน่ะ” ซือหม่าโยวหลานเห็นซือหม่าข่ายกุมศีรษะจึงเอ่ยถามขึ้น

เสียงร้องของซือหม่าโยวหลานดึงดูดความสนใจของทุกคนไปจนหมด

“พี่สาม ท่านเป็นอะไรไปน่ะ” ซือหม่าเค่อถาม

ซือหม่าชิงมองซือหม่าข่ายพลางถามด้วยเสียงเฉียบขาดว่า “ซือหม่าข่าย เจ้าเป็นอะไรไป!”

ซือหม่าข่ายมือหนึ่งกุมศีรษะ อีกมือชี้ซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “เจ้าทำอะไรกับข้าน่ะ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ตบศีรษะเจ้าคำรามน้อยเบาๆ เจ้าคำรามน้อยก็คำรามอีกครั้งหนึ่ง ความเจ็บปวดของซือหม่าข่ายทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนมิอาจเหินทะยานได้อีกต่อไป ร่างของเขาร่วงหล่นลงสู่พื้นดินในทันใด

ซือหม่าเค่อร่อนลงไปแล้วรับตัวซือหม่าข่ายเอาไว้ก่อนที่เขาจะหล่นกระแทกพื้น

“เจ้าทำอะไรกับท่านอาสามของข้าน่ะ”

ซือหม่าโยวหลานพูดพลางจะพุ่งเข้าไปโจมตีซือหม่าโยวเย่ว์ แต่ถูกสายตาของซือหม่าหลินตรึงเอาไว้ที่เดิม

ซือหม่าหลินหันมามองเจ้าคำรามน้อยแล้วพูดว่า “นี่มันเรื่องอันใดกัน”

“อีกครั้งหนึ่งท่านก็จะรู้แล้วล่ะว่าเพราะอะไร” พอซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบ เจ้าคำรามน้อยก็ประสานรับโดยการคำรามอีกครั้งหนึ่ง

“อ๊ากกกก…”

ซือหม่าข่ายที่อยู่บนพื้นส่งเสียงตะโกนดังลั่น หนูปีศาจหกนิ้วตนหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากร่างของเขา ทำให้ผู้คนโดยรอบตกตะลึง

“นี่มันสิ่งใดกัน! อัปลักษณ์ยิ่งนัก!” ซือหม่าโยวหลานเห็นหนูตัวสีดำสนิทขนาดพอๆ กันกับกระต่าย อีกทั้งบนร่างยังมีน้ำสีดำไหลหยดออกมาอีกด้วย จึงร้องอุทานออกมาในทันใด

ซือหม่าหลินและซือหม่าชิงมองออกในทันทีว่านี่คือสิ่งมีชีวิตภพมาร เมื่อเห็นหนูหกนิ้วอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ซือหม่าชิงจึงร้องตะโกนว่า “หนูปีศาจหกนิ้ว!”

สีหน้าของคนตระกูลซือหม่ากลายเป็นไม่น่าดูขึ้นมา เมื่อครู่พวกเขายังพูดด้วยความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าตระกูลซือหม่าย่อมไม่มีทางเป็นพวกเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตภพมารแน่นอน ตอนนี้หลักฐานเผยต่อหน้าทุกคนอย่างชัดแจ้ง เหมือนกับตบหน้าพวกเขาฉาดใหญ่เลยทีเดียว

“หนูปีศาจหกนิ้ว…ท่านอาสาม ท่านมีของพรรค์นี้ได้อย่างไรกัน!” ซือหม่าโยวหลานตะลึงงันไปเสียแล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

“จิ๊ดๆ”

ดูเหมือนว่าหนูปีศาจหกนิ้วจะถูกเสียงของเจ้าคำรามน้อยทำร้ายไม่เบาเช่นเดียวกัน หลังจากออกมาแล้วมันก็วิ่งพล่านอยู่บนพื้นมาตลอด

เห็นแววตาของซือหม่าโยวเย่ว์เต็มไปด้วยแววอาฆาต

“ซือหม่าข่าย เจ้ามีสัตว์อสูรปีศาจได้อย่างไรกัน!” ซือหม่าชิงตะคอก

“ใช่แล้ว พี่สามท่านมีสัตว์อสูรปีศาจได้อย่างไร” แม้กระทั่งซือหม่าเค่อก็ยังประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

“จิ๊ดๆ”

ดวงตาของหนูปีศาจหกนิ้วที่เปล่งประกายออกมาราวกับโคมไฟมองดูผู้คนโดยรอบ แววดุร้ายนั้นแสดงธาตุแท้ของสัตว์อสูรปีศาจออกมาอย่างชัดเจน

“จิ๊ดๆ”

เมื่อเห็นซือหม่าเค่อที่อยู่ข้างกายซือหม่าข่าย หนูปีศาจหกนิ้วจึงทะยานเข้าไปหมายจะขบกัดเขา แต่ยังไปไม่ทันถึงตัวเขาก็ถูกพลังวิญญาณสายหนึ่งโจมตี

เมื่อเห็นหนูปีศาจหกนิ้ว เจ้าคำรามน้อยก็คึกคักขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มันคำรามเสียงดังขึ้นมาโดยไม่มีคำสั่งจากซือหม่าโยวเย่ว์ คลื่นเสียงทำให้หนูปีศาจหกนิ้วตระหนกจนวิ่งพล่านอยู่บนพื้น ไม่หยุดนิ่งเลยแม้แต่ครู่เดียว

“พรึ่บ…”

ขณะที่หนูปีศาจหกนิ้วหอบหายใจ ซือหม่าข่ายก็กระอักโลหิตสีดำออกมาคำหนึ่ง หลังจากนั้นจึงหมดสติล้มลงไป

ยอดฝีมือระดับราชันวิญญาณคนหนึ่งถูกจัดการไปเช่นนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผู้คนในที่นั้นปากอ้าตาค้างกันอยู่บ้าง

ซือหม่าหลินมองพื้นดินปราดหนึ่งก็เห็นว่าซือหม่าข่ายยังมีลมหายใจอยู่ ทว่ามิได้สนใจเขาอีก หากแต่เบนสายตาไปมองซือหม่าโยวเย่ว์แทน

“เลี่ย ตอนนี้เจ้าจะว่าอย่างไรเล่า”

“พี่เลี่ย ท่านกลับไปกับพวกเราดีกว่า ถ้าหากพวกเขากล้าคิดสังหารท่านโดยไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดีจริงๆ ข้าก็จะสละชีวิตมาปกป้องความสงบสุขของท่านเอง” ซือหม่าชิงพูด

“ข้า…”

“ท่านปู่” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าเลี่ย เธอไม่อยากให้ซือหม่าเลี่ยเอ่ยวาจาที่เหลือออกมาเลยจริงๆ

ความประทับใจที่ตระกูลซือหม่ามอบให้กับเธอนั้นเลวร้ายเหลือเกิน ถ้าหากกลับไปเช่นนี้ เธอก็เป็นกังวลว่าพวกเขาจะต้องจบชีวิตกันหมด

ซือหม่าหลินมองท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสที่สังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ก็เห็นแวววิตกกังวลในดวงตาของเขา จึงเอ่ยว่า “เลี่ย ในเมื่อรู้แล้วว่าเจ้าอยู่ที่นี่ วันนี้ต่อให้ข้าไม่จับตัวเจ้ากลับไป วันหน้าก็ต้องมีคนอื่นมาจับตัวเจ้าไปอยู่ดี พวกเจ้ากลับไปกับพวกเราเสียดีกว่า พวกเราจะยอมไว้ชีวิตพวกเจ้า ถ้าหากเป็นคนอื่นมา ก็ไม่แน่ว่าพวกคนที่อยู่ข้างล่างเหล่านั้นจะรอดชีวิตไปได้หรอกนะ!”

ซือหม่าเลี่ยมองพวกซือหม่าโยวหมิงที่ยังคงหมดสติอยู่ปราดหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววดิ้นรน

เดิมทีเขาคิดว่าต่อให้ต้องระเบิดตัวเองก็ต้องทำให้พวกเขาจากไปให้ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าพลังยุทธ์ของซือหม่าหลินจะรุดหน้าไปกว่าเขามากเหลือเกิน ทั้งยังรู้เคล็ดวิชาห้วงมิติด้วย ดังนั้นการระเบิดตนเองจึงไม่มีประโยชน์อื่นใดนอกจากการเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆ เท่านั้น

หลบหนีมาหลายปีถึงเพียงนี้ เขาก็ควรกลับไปทวงความยุติธรรมคืนให้บิดาของตัวเองได้แล้ว ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะทำได้หรือไม่ แต่การหลบหนีอยู่ที่นี่ไปตลอดก็จะเป็นการขัดขวางการพัฒนาของพวกพี่น้องซือหม่าโยวหมิงได้

“เอาละ ข้ากลับไปกับพวกเจ้าก็แล้วกัน…”

“ท่านปู่! ! !” ซือหม่าโยวเย่ว์เบิกตาโพลงมองดูซือหม่าเลี่ย ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะยอมกลับไปเช่นนี้ได้

“พี่เลี่ย” เมื่อซือหม่าชิงมองเห็นซือหม่าเลี่ย จึงตะโกนคำเรียกหาสมัยเด็กออกมา

ซือหม่าเลี่ยได้ยินคำเรียกหาที่ห่างหายไปนานจึงมองซือหม่าชิงแล้วพูดว่า “เจ้าคือชิงเอ๋อร์หรือ”

“พี่เลี่ย ยังจำชิงเอ๋อร์ได้หรือไม่” ซือหม่าชิงยิ้มน้อยๆ ทรงเสน่ห์อย่างเหลือล้น

ซือหม่าเลี่ยยิ้มน้อยๆ ให้นาง หลังจากนั้นก็เบนสายตาไปยังร่างของซือหม่าหลินแล้วพูดว่า “นี่คงจะเป็นซือหม่าหลินกระมัง”

ตั้งแต่เล็กจนโต ผู้ที่ซือหม่าชิงยอมฟังคงจะมีเพียงแค่ซือหม่าหลินเท่านั้น

ซือหม่าหลินมองซือหม่าเลี่ย คิดไม่ถึงว่าเขาจะบำเพ็ญมาจนถึงระดับนี้ในสถานที่เนรเทศพรรค์นี้ได้ ถ้าหากยังอยู่ที่ตระกูล เช่นนั้นพลังยุทธ์ของเขาในตอนนี้ก็คงจะไม่ด้อยไปกว่าตนเลย

“ซือหม่าเลี่ย คนอื่นๆ เล่า” ซือหม่าหลินเหลือบมองเบื้องล่างแวบหนึ่งก็เห็นเพียงแค่พวกซือหม่าโยวหมิงวัยเยาว์สี่คนกับทหารรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่เห็นสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ เลย

“คนอื่นๆ หรือ” ซือหม่าเลี่ยหัวเราะเยียบเย็น “คนที่กลับไปในตอนนั้นมิได้บอกพวกเจ้าหรือว่านอกจากข้า คนอื่นๆ ล้วนตายกันไปหมดแล้ว”

“ตายไปหมดแล้ว! เช่นนั้นพวกพี่หญิงสาม…” ซือหม่าชิงมองซือหม่าเลี่ย หมายจะดูว่าเขาโกหกหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่นางมองไม่เห็นความสำนึกผิดแต่อย่างใด เห็นเพียงแค่สายตาเคียดแค้นเท่านั้น

“ตายไปได้เกือบร้อยปีแล้ว” ซือหม่าเลี่ยพูดอย่างเย็นชา

ซือหม่าหลินได้ฟังข่าวนี้แล้วก็ยังตกใจอยู่บ้าง แต่ความตกใจนั้นจางหายไปอย่างรวดเร็ว คล้ายกับไม่เคยปรากฏมาก่อน

“ซือหม่าเลี่ย เจ้าอยู่รอดได้ด้วยตัวคนเดียวมาจนบัดนี้ อีกทั้งยังมีลูกหลานสืบสกุลมากมาย ช่างเป็นปาฏิหาริย์โดยแท้” ซือหม่าเค่อพูดเสียดสี

“ซือหม่าเค่อ หนูสกปรกอย่างเจ้าอุตส่าห์มีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้ก็เป็นปาฏิหาริย์โดยแท้เช่นเดียวกัน” ซือหม่าเลี่ยย้อนด้วยคำพูดของเขา

“เจ้า…” ซือหม่าเค่อคิดไม่ถึงว่าซือหม่าเลี่ยจะรู้จักใช้คำพูดยอกย้อน เขาเอ่ยว่า “คนชั่วที่หลบหนีมาอย่างพวกเจ้า ถ้าหากวันนี้ไม่ยอมกลับไปกับพวกเราอย่างว่าง่าย เช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกเราลงมือไร้น้ำใจก็แล้วกัน”

“กลับไปกับพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่เล่า” ซือหม่าเลี่ยมองพวกเขาด้วยสีหน้าปราศจากความตื่นตระหนก มีเพียงความมั่นใจอย่างเดียวเท่านั้น

“เรื่องราวในตอนนั้นยังมิได้ข้อสรุป พวกเจ้าก็หนีมาเสียก่อนแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าต้องกลับไปกับพวกเรา” ซือหม่าหลินพูด ไม่ใช่การตั้งคำถามแต่เป็นการออกคำสั่งโดยตรง

“หึๆ ถ้าตอนนั้นพวกเราไม่หนีมา กลัวแต่ว่าตอนนี้แม้แต่ข้าก็คงมิอาจมีชีวิตรอด ตอนนี้ตระกูลมีสภาพเป็นเช่นไร หากพวกเราไปแล้วก็คงมีแต่ตายอย่างเดียวเท่านั้นแหละ เจ้าว่ามาสิ เหตุใดจึงต้องกลับไปกับพวกเจ้าด้วยเล่า”

“พี่เลี่ย ภายหลังท่านพ่อบอกว่าความจริงแล้วเคล็ดแยกอัคคีพิโรธนี้เป็นสิ่งที่มิได้ทำให้กระจ่างชัดเจนในตอนนั้นว่าท่านพ่อของท่านสังหารท่านปู่สามเพื่อชิงมันมา หรือท่านปู่สามมอบให้เขาแล้วต่อมาท่านปู่สามก็ถูกผู้อื่นสังหาร บางทีพวกท่านอาจถูกใส่ร้ายจริงๆ ก็ได้ ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง ท่านไม่อยากลบล้างความผิดให้กับสายตระกูลของพวกท่านหรอกหรือ”

นัยน์ตาของซือหม่าเลี่ยมีแววสงสัยสายหนึ่งวาบผ่าน ซือหม่าข่ายมองซือหม่าเค่อปราดหนึ่ง ซือหม่าเค่อจึงรีบตะโกนเสียงดังขึ้นมาในทันที “ในเมื่อเจ้าไม่อยากถูกมัดมือชก เช่นนั้นพวกเราก็ได้แต่จับตัวเจ้ากลับไปแล้วล่ะ! ระวัง…”

ซือหม่าเค่อพูดพลางโจมตีเข้าใส่ซือหม่าเลี่ย ความเร็วนั้นทำให้ซือหม่าชิงและคนอื่นๆ ต่างก็มิอาจรั้งเขาไว้ได้ทัน

ซือหม่าเลี่ยเห็นซือหม่าเค่อโจมตีเข้ามา ความลังเลภายในใจนั้นก็เปลี่ยนกลายเป็นความโกรธแค้น สองมือรวมพลังแล้วพุ่งเข้าหาซือหม่าเค่อ

พลังวิญญาณที่ทั้งสองคนรวบรวมขึ้นมานั้นกลมราวกับรัศมีโค้งสูงหลายเมตร มันปะทะกันกลางอากาศแล้วกระแทกเข้าใส่กันอย่างรุนแรง ทั้งสองคนถูกแรงกระแทกจนกระเด็นถอยหลังไปไกล

“ท่านปู่!”

“ท่านปู่!”

“ท่านแม่ทัพ!”

ซือหม่าโยวหมิงและคนอื่นๆ เห็นซือหม่าเลี่ยต่อสู้กับผู้อื่นจึงร้องตะโกนขึ้นมาอย่างตกใจ

“เด็กๆ พวกเรารีบไปอารักขาท่านแม่ทัพเร็วเข้า!” พ่อบ้านเห็นสองฝ่ายเริ่มต่อสู้กัน จึงเรียกคนระดับราชาวิญญาณขึ้นไปให้เหินขึ้นมากลางอากาศแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าซือหม่าเลี่ย

“น้องห้า!”

ซือหม่าข่ายขึ้นไปรับตัวซือหม่าเค่อเอาไว้แล้วพาตัวเขากลับมาอยู่ข้างกายพวกซือหม่าหลิน

“ท่านอาห้า ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวหลานเหินเข้าไปแล้วถามพลางมองซือหม่าเค่ออย่างเป็นกังวล

ผู้ที่ทะยานอยู่กลางอากาศ นางผู้เป็นคนรุ่นเดียวกันกับพวกซือหม่าโยวเย่ว์ ถึงกับเป็นระดับราชาวิญญาณแล้วเช่นกัน!

“โยวหลาน เจ้าคอยดูแลท่านอาห้าของเจ้าเสีย” ซือหม่าข่ายยกซือหม่าเค่อให้กับซือหม่าโยวหลาน หลังจากนั้นจึงเหินไปด้านหน้าแล้วมองซือหม่าเลี่ย กลิ่นอายแผ่ออกมาตลอดร่าง แล้วหยิบเอาอาวุธของตัวเองออกมาพลางพูดว่า “ดื้อด้านและโง่เขลายิ่งนัก ถึงกับคิดจะเอาชีวิตน้องเค่อ วันนี้จะต้องจัดการคนมากพิษสงอย่างเจ้าให้ได้!”

เขาสำแดงพลังยุทธ์ระดับราชันวิญญาณออกมา ทำให้คนที่ดูอยู่ข้างล่างพากันหลีกหนี คนตัวเล็กตัวน้อยอย่างพวกเขาย่อมต้องรีบหนีการต่อสู้ระหว่างราชันวิญญาณที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและมีพลังแข็งแกร่งเหลือล้นเช่นนี้อยู่แล้ว

ถึงแม้ว่าความคึกคักนี้จะน่าดูชม แต่ชีวิตน้อยๆ ของพวกเขาย่อมสำคัญกว่า!

ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าข่ายแล้วหยิบเอาอาวุธของตัวเองออกมาเช่นกัน “คราวก่อนเจ้าลอบโจมตีข้า วันนี้ก็สบโอกาสแก้แค้นเจ้าพอดี พ่อบ้าน พวกเจ้าลงไปให้หมด!”

“ท่านแม่ทัพ!”

“พวกเจ้าไปคุ้มกันเหล่าคุณชายเสีย นี่คือคำสั่ง!”

เมื่อซือหม่าเลี่ยเอ่ยเช่นนี้ พ่อบ้านจึงนำคนกลับลงไปอย่างไม่เต็มใจนัก

พวกเขาล้วนรู้ดีว่าตนเองมิอาจต้านรับซือหม่าข่ายได้แม้แต่รอบเดียว แต่พวกเขาก็ยังคิดจะใช้ชีวิตมาปกป้องเขา แต่คุณชายทั้งหลายนั้นต้องการการคุ้มกันมากยิ่งกว่า

“ท่านปู่ เขาคือผู้ที่ทำร้ายท่านเมื่อคราวก่อนหรือ ท่านต้องระวังเขาด้วยนะ…อ๊ะ…” ซือหม่าโยวเล่อนึกถึงว่าคราวก่อนซือหม่าเลี่ยก็ถูกคนผู้นี้ทำร้ายเช่นกัน รู้ว่าเขามีสัตว์เลี้ยงมารอยู่กับตัว จึงส่งเสียงเตือนออกมาด้วยสัญชาตญาณ แต่ยังเอ่ยวาจาไม่ทันจบก็ถูกพลังที่ซือหม่าข่ายปล่อยออกมาทำเอาชะงักไป

“หนวกหูนัก!” ซือหม่าข่ายกังวลว่าเขาจะเอ่ยวาจาที่เหลือออกมาจึงทำให้เขาหมดสติไป เมื่อเห็นพวกซือหม่าโยวหมิง จึงทำให้พวกเขาหมดสติไปด้วยเช่นกัน

“คุณชาย!” พ่อบ้านคิดไม่ถึงว่าพลังยุทธ์ระดับราชันวิญญาณจะร้ายกาจถึงเพียงนี้จนทำให้คนหมดสติไปเช่นนี้ได้ เขาจึงรีบวิ่งเข้ามาตรวจดูอาการของพวกเขา เมื่อรู้ว่าพวกเขาเพียงแค่หมดสติไปเท่านั้นจึงผ่อนลมหายใจออกมาแล้วพาเหล่าทหารยามไปคอยอารักขาพวกเขา

“เข้ามาสิ…”

ซือหม่าเลี่ยเห็นซือหม่าข่ายทำให้หลานของตนหมดสติจึงโจมตีเข้าใส่เขา…

ภายในมณีวิญญาณ หลังผ่านการพักผ่อนมาหนึ่งวัน ปราณวิญญาณของซือหม่าโยวเย่ว์ก็ฟื้นฟูขึ้นมาจนเกือบสมบูรณ์แล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอจึงรู้สึกว่าตนเองกระสับกระส่ายอยู่ตลอด เพื่อมิให้วิตกกังวลมากจนเกินไป เธอจึงปล่อยวางการบำเพ็ญแล้วออกมาจากมณีวิญญาณ วางแผนจะมอบยาวิเศษร้อยโคจรให้กับพวกเจ้าอ้วนชวีและคนอื่นๆ ก่อน

ภายในห้องของตน เธอหยิบเอาขวดหยกจำนวนหนึ่งออกมาแล้วแบ่งยาวิเศษใส่ลงไปขวดละสองเม็ด พอถึงเวลาก็ให้คนละขวด เพื่อความสะดวกตอนมอบให้

พอแบ่งยาวิเศษเสร็จก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“โยวเย่ว์ โยวเย่ว์ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! เจ้าออกจากการปลีกวิเวกแล้วหรือยังน่ะ!”

เมื่อได้ยินเสียงร้อนใจของเจ้าอ้วนชวี เธอจึงโบกมือเก็บขวดหยกแล้วรีบไปเปิดประตู

“เจ้าอ้วน เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ”

“โยวเย่ว์ จวนแม่ทัพเกิดเรื่องเสียแล้ว ท่านปู่ของเจ้ากำลังต่อสู้กับผู้อื่นอยู่” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างเร่งร้อน

“ปัง…”

เสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในทันใดราวกับเป็นเครื่องพิสูจน์สิ่งที่เขาพูด พลังคุกคามนั้นเกรงว่าคงจะส่งผลกระทบไปครึ่งเมืองหลวงเลยทีเดียว

“นี่มันเรื่องอันใดกัน ต่อสู้กับตาเฒ่าหนังเหนียวของตระกูลน่าหลานนั่นขึ้นมาอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“มิใช่ ข้าไม่รู้จักคนเหล่านั้น แต่เมื่อครู่ข้าเห็นไกลๆ แวบหนึ่ง ได้ยินผู้คนรอบๆ พูดกันว่าที่นั่นมีราชันวิญญาณสามคน ทั้งยังมีบรรพวิญญาณกับราชาวิญญาณอีกด้วย ไม่รู้เลยว่ามาจากที่ไหนกัน…เอ๊ะ… โยวเย่ว์ เจ้ารอข้าด้วยสิ!”

เจ้าอ้วนชวียังพูดไม่ทันจบ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็วิ่งออกไปนอกประตูใหญ่เสียแล้ว

เขางานยุ่งอยู่ข้างนอกตลอดวัน กว่าจะกลับจากข้างนอกก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ความรู้สึกไม่สงบภายในใจซือหม่าเลี่ยจึงทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

“พ่อบ้าน ตอนนี้บรรดาคุณชายอยู่ที่ไหนกันหรือ”

พ่อบ้านเข้ามาจากข้างนอกแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ คุณชายใหญ่กับคุณชายรองไปตรวจดูโรงงานที่เมืองหลินแล้วขอรับ คุณชายสามอยู่บ้าน ส่วนคุณชายสี่และคุณชายห้าอยู่ที่วิทยาลัยขอรับ”

“ไปเรียกตัวพวกเขากลับมาให้หมด” ซือหม่าเลี่ยพูด

พ่อบ้านมองซือหม่าเลี่ยอย่างประหลาดใจปราดหนึ่ง วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นเสียแล้วกระมัง เหตุใดจึงต้องเรียกตัวพวกเขากลับมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ด้วย

“ท่านแม่ทัพ ตอนนี้เลยหรือขอรับ”

“อืม เจ้าไปตอนนี้เลย ให้คุณชายใหญ่กับคุณชายรองกลับมาคืนนี้เลย” ซือหม่าเลี่ยพูด

พ่อบ้านเห็นท่าทีจริงจังของซือหม่าเลี่ยก็รู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นอย่างแน่นอน จึงพูดว่า “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

พ่อบ้านจากไป ซือหม่าเลี่ยอยู่ในห้องด้วยความกระวนกระวายใจอยู่ตลอด พร้อมกับเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้อง

เพียงไม่นานพ่อบ้านก็กลับมาแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ ส่งคนไปหาตัวคุณชายใหญ่กับคุณชายรองแล้วขอรับ พรุ่งนี้เช้าน่าจะกลับมาได้ คุณชายสี่กลับมาเรียบร้อยแล้ว ส่วนคุณชายห้ากำลังปลีกวิเวกอยู่ จึงไม่เห็นเขาเลยขอรับ”

“ไม่เห็นโยวเย่ว์เลยอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าเลี่ยพูด

“ขอรับ ตอนที่พวกเราไป คุณชายชวีบอกว่าคุณชายห้าพูดเอาไว้ตั้งแต่ก่อนปลีกวิเวกว่าหากเขาไม่ออกมาก็ห้ามไปเรียกเขาเป็นอันขาด คาดว่าคงจะถึงช่วงเวลาวิกฤติแล้วขอรับ” พ่อบ้านตอบ “แต่พวกเขาบอกว่าเขาเข้าไปได้สองวันแล้ว คงใกล้จะออกมาแล้วล่ะขอรับ”

“อืม พรุ่งนี้ตอนเช้าค่อยไปดูอีกทีแล้วกัน ถ้าหากคุณชายห้าออกจากการปลีกวิเวกแล้วก็ให้เขากลับมาทันทีเลย” ซือหม่าเลี่ยพูด

“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” พ่อบ้านรับคำสั่ง

เช้าวันรุ่งขึ้น นอกจากซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว ซือหม่าโยวหมิง ซือหม่าโยวฉี ซือหม่าโยวหราน และซือหม่าโยวเล่อล้วนมาถึงครบทั้งสี่คนแล้ว

“ท่านปู่ ท่านเรียกตัวพวกเรากลับมากะทันหันทำไมหรือ” ซือหม่าโยวหมิงถาม

“ใช่แล้ว มีธุระด่วนอันใด มีอีกตั้งหลายร้านค้าที่นั่นที่พวกเรายังมิได้ไปตรวจตรากันเลย” ซือหม่าโยวฉีพูด

“วันนี้พวกเราก็มีเรียนด้วย” ซือหม่าโยวเล่อพูด

“พวกเจ้ารีบไปจากเมืองหลวงเดี๋ยวนี้เลย ภายในหนึ่งปีนี้ห้ามกลับมาเป็นอันขาด” ซือหม่าเลี่ยพูด

“อะไรนะ!”

“เพราะเหตุใดกัน!”

“ท่านปู่!”

“ออกไปอย่างนั้นหรือ!”

ทุกคนล้วนพรั่นพรึงกับคำพูดของซือหม่าเลี่ย แม้กระทั่งพ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ ก็ยังมองซือหม่าเลี่ยอย่างตกใจ

“อืม อีกประเดี๋ยวไปเก็บข้าวของแล้วจากไปเสีย ภายในหนึ่งปีนี้ห้ามกลับมาเด็ดขาด” ซือหม่าเลี่ยพูด

“ท่านปู่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงต้องให้พวกเราจากไปด้วยเล่า” ซือหม่าโยวหรานพูด

“พวกเจ้าฟังที่ข้าบอกก็พอแล้ว” ซือหม่าเลี่ยพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ท่านปู่ ท่านไม่ยอมบอกเหตุผลพวกเรา พวกเราก็มิอาจจากไปได้หรอก” ซือหม่าโยวหมิงพูด

“ใช่แล้ว ท่านปู่ หากท่านไม่ยอมบอก พวกเราก็ไม่ไป” ซือหม่าโยวเล่อพูด

“พวกเจ้าอย่าทำให้ข้าโมโหเชียวนะ!” ซือหม่าเลี่ยตะคอก

“ท่านปู่ ท่านไม่ยอมบอกเหตุผลพวกเรา ต่อให้พวกเราจากไปแล้วก็ไม่มีทางสงบจิตสงบใจได้หรอก” ซือหม่าโยวหรานเอ่ย

“เฮ้อ…” ซือหม่าเลี่ยถอนหายใจแล้วพูดว่า “นิสัยของพวกเจ้านี่มันจริงๆ เลย เช่นนั้นก็บอกเหตุผลพวกเจ้าแล้วกัน…”

ซือหม่าเลี่ยเล่าเรื่องตระกูลให้ฟัง ทั้งยังเล่าลางสังหรณ์ของตนอีกด้วย

“ท่านปู่ ท่านจะบอกว่าเป็นไปได้ที่คนของตระกูลจะมาถึงที่นี่อย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวหมิงขมวดคิ้ว พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าพวกตนจะมีประวัติความเป็นมาเช่นนี้

“เมื่อวานข้ารู้สึกได้อย่างรุนแรงเป็นพิเศษเลยว่าพวกเขาจะมา” ซือหม่าเลี่ยพูด “พวกเจ้าเป็นกิ่งก้านสาขาของตระกูลซือหม่า ดังนั้นพวกเจ้าจึงจำเป็นต้องจากไป ถ้าหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาจริงๆ ก็ถือว่าเป็นการทำเพื่อรักษาอนาคตวงศ์ตระกูลแล้วกัน”

“ท่านปู่ แล้วน้องห้าเล่า” ซือหม่าโยวหรานถาม

“ยังปลีกวิเวกอยู่ที่วิทยาลัย ข้าให้คนไปบอกนางแล้ว เมื่อใดที่นางออกจากการปลีกวิเวกก็จะส่งนางออกไปทันที” ซือหม่าเลี่ยพูด “เอาละ เรื่องนี้จะเนิ่นช้ามิได้อีกแล้ว พวกเจ้ารีบจากไปเดี๋ยวนี้เลย”

“แต่ว่า… ท่านปู่ ถ้าหากคนพวกนั้นมากันจริงๆ พวกเราจะวางใจให้ท่านอยู่ที่บ้านคนเดียวได้อย่างไรเล่า…” ซือหม่าโยวเล่อไม่อยากจากไป ต้องการจะอยู่เป็นเพื่อนซือหม่าเลี่ย

“เหลวไหล!” ซือหม่าเลี่ยตวาดในทันใด “ถ้าหากคนทางนั้นมากันจริงๆ อาศัยพลังเช่นเจ้าจะต้านทานไหวอย่างนั้นหรือ อีกฝ่ายกวาดสายตาทีเดียวก็ทำให้เจ้าขยับเขยื้อนมิได้แล้ว แล้วเจ้าจะเอาอะไรมาต่อต้านพวกเขากันเล่า ชีวิตอย่างนั้นหรือ”

“แต่ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะมานี่นา…” ซือหม่าโยวเล่อก้มหน้าพลางเอ่ยเสียงเบา

“ท่านปู่ มิสู้ท่านจากไปพร้อมกับพวกเราเลยดีกว่า” ซือหม่าโยวหรานพูด

“ข้าเป็นถึงแม่ทัพแห่งอาณาจักร แล้วจะจากไปพร้อมกับพวกเจ้าได้อย่างไร” ซือหม่าเลี่ยส่ายศีรษะ “พวกเจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็ห้ามกลับมาเป็นอันขาด การรักษาชีวิตเอาไว้ต่างหากเล่าจึงจะสำคัญที่สุด เข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจแล้วขอรับท่านปู่”

“เอาละ จัดเตรียมข้าวของเอาไว้ให้พวกเจ้าเรียบร้อยหมดแล้ว หยิบแหวนเก็บวัตถุไปกันคนละวงแล้วไปเสีย” ซือหม่าเลี่ยพูดก่อนจะหยิบเอาแหวนเก็บวัตถุออกมาสี่วง

ทั้งสี่คนก้าวเข้าไปข้างหน้าแล้วรับแหวนเก็บวัตถุมาก่อนจะหยดโลหิตลงไป

ซือหม่าเลี่ยนำทั้งสี่คนออกมา เพิ่งเดินไปถึงลานบ้าน เขาก็สะดุ้งในทันใด แล้วมองท้องฟ้าอย่างระแวดระวัง

“มาแล้ว!”

ซือหม่าเลี่ยเพิ่งเอ่ยวาจาออกไป พลังกดดันขุมหนึ่งจากนอกเมืองก็กดดันเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“พวกเจ้ารีบไปเร็วเข้าสิ!” ซือหม่าเลี่ยผลักซือหม่าโยวหมิงที่อยู่ข้างตัวพลางเอ่ยเร่ง

“ฮ่าๆ คิดจะหนีก็สายไปแล้วล่ะ!” น้ำเสียงวางอำนาจลอยเข้ามา ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงพรั่นพรึง

ซือหม่าเลี่ยดีดร่างกายขึ้นไปกลางท้องฟ้าเหนือจวนแม่ทัพแล้วมองคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังทะยานเข้ามา ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เมื่อรู้สึกได้ว่ามีผู้แข็งแกร่งมาเยือน ชาวเมืองหลวงจึงพากันหยุดฝีเท้าแล้วมองดู

“พรึ่บ…”

“พรึ่บ…”

เงาร่างคนสองสายวาบผ่านท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสและผู้รักษาการณ์ท่านหนึ่งของราชวงศ์นั่นเอง

เมื่อเห็นซือหม่าเลี่ย ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสจึงทะยานเข้ามาแล้วเอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ กลิ่นอายราชันวิญญาณสามคน ทั้งยังมีบรรพวิญญาณอีกด้วย ผู้ที่มาเป็นใครกัน”

ซือหม่าเลี่ยเหลือบมองท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “นี่เป็นเรื่องของพวกเราตระกูลซือหม่า ท่านกับผู้อาวุโสหวงมิต้องเข้ามาร่วมด้วยหรอก”

ผู้อาวุโสหวงมิได้คิดจะมาเข้าร่วมด้วยอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของซือหม่าเลี่ยจึงยืนอยู่ห่างๆ

“เลี่ย…”

ซือหม่าเลี่ยหยิบแหวนวงหนึ่งออกมาแล้วพูดว่า “รบกวนท่านช่วยมอบสิ่งนี้ให้กับโยวเย่ว์ด้วย ห้ามให้โยวเย่ว์ออกมาเป็นอันขาด และท่านก็กลับไปได้แล้ว”

ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสรับแหวนมาก่อนจะทะยานไปอีกทาง ทว่ามิได้จากไป แต่กลับสังเกตการณ์เรื่องราวทางนี้อยู่ห่างๆ

ซือหม่าหลินนำพวกซือหม่าข่ายมาถึงยังน่านฟ้าเหนือเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นซือหม่าเลี่ย ซือหม่าข่ายก็ตกตะลึงอยู่บ้าง เขาหลุดปากพูดออกมาว่า “เจ้ายังไม่ตายนี่!”

ซือหม่าหลิน ซือหม่าข่าย และซือหม่าชิง ราชันวิญญาณสามคน ทั้งยังมีซือหม่าเค่อผู้เป็นระดับบรรพวิญญาณด้วย พวกเขาก้มหน้าลงมองพวกซือหม่าโยวหมิงทั้งสี่คนในลานบ้านปราดหนึ่ง

“ซือหม่าเลี่ย ตอนนั้นพวกเจ้าหลบหนีความผิด ตระกูลเราใช้พลังมากมายเช่นนั้นก็ยังมิอาจจับตัวพวกเจ้าได้ คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่” เมื่อซือหม่าเค่อมองเห็นซือหม่าเลี่ย นัยน์ตาก็มีอารมณ์แปลกประหลาดสายหนึ่งวาบผ่าน

ก่อนจะมาเขาได้พูดกับซือหม่าข่ายเอาไว้แล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจปล่อยให้พวกเขามีชีวิตรอดกลับไปที่ตระกูลเป็นอันขาด ถ้าหากทำได้ก็สังหารพวกเขาทั้งหมดเสียที่นี่เลยจะเป็นการดีที่สุด

ซือหม่าข่ายที่มองไปยังซือหม่าเลี่ยเต็มไปด้วยแววอาฆาต ในเมื่อก่อนหน้านี้เขาจะรอดชีวิตจากการลอบจู่โจมของหนูปีศาจหกนิ้วได้ เช่นนั้นเขาก็น่าจะมองออกแล้วว่านั่นคือสัตว์ปีศาจ เรื่องนี้มิอาจให้เขาพูดออกมาเป็นอันขาด มิฉะนั้น…

“ท่านพี่สาม ท่านแน่ใจหรือว่านั่นคือคนไร้ค่าที่ถูกขับออกจากตระกูลซือหม่า” ซือหม่าเค่อผู้มีปากแหลมยื่นราวกับลิงเอ่ยถาม

ซือหม่าข่ายลูบท่อนแขน นัยน์ตามีแววมืดหม่นวาบผ่าน บริเวณนั้นคือบาดแผลลึกที่ซือหม่าเลี่ยทิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่นาน

“ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พบกันมาร้อยกว่าปี แต่ข้าไม่มีทางจำผิดแน่นอน” ซือหม่าข่ายพูด “กลยุทธ์ที่ทำร้ายข้าก็คือเคล็ดแยกอัคคีพิโรธของตระกูลเรา”

ซือหม่าหลินที่เดินตามมาขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “น้องสามเป็นระดับราชันวญญาณขั้นสองแล้ว ยังถูกซือหม่าเลี่ยทำร้ายได้อีก หรือพลังยุทธ์ของเขาจะสูงกว่าเจ้า”

“ถ้าหากตอนนั้นพวกเขามิได้แอบลอบเรียนเคล็ดแยกอัคคีพิโรธ เจ้าซือหม่าเลี่ยนั่นจะมีปัญญาทำร้ายข้าได้อย่างไรกัน” ซือหม่าข่ายพูด

“ก็ใช่น่ะสิ คนในตระกูลที่ถูกขับออกไปนั้นมิอาจเรียนเคล็ดแยกอัคคีพิโรธได้ แต่เจ้าซือหม่าเลี่ยนั่นบังอาจเรียนเสียอย่างนั้น รอให้จับพวกเขากลับไปได้ก่อนเถิดข้ำจะทำให้เขาพิการให้ได้!” ซือหม่าเค่อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

เขาเองยังศึกษาแก่นของเคล็ดแยกอัคคีพิโรธไม่ได้เลย แต่เจ้าซือหม่าเลี่ยผู้นี้กลับทำได้ ทั้งยังใช้สิ่งนี้ทำร้ายซือหม่าข่ายได้ แสดงว่าต้องได้ครอบครองแก่นของมันแล้วอย่างแน่นอน เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เขาก็ขบกรามกรอดๆ

“ไม่ว่าจะใช้อะไร บาดเจ็บก็คือบาดเจ็บแล้วอยู่ดีนั่นแหละ!” ซือหม่าข่ายพูด “แต่หากอยากจะจับตัวเขากลับไป เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นแล้ว เขาถูกสัตว์เลี้ยงวิญญาณของข้าทำร้าย มิอาจมีชีวิตรอดได้เกินสองวันอย่างแน่นอน จับเด็กๆ พวกนั้นกลับไปก็พอแล้ว”

หญิงวัยกลางคนอีกคนหนึ่งส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นแล้วพูดว่า “เรื่องในตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดตระกูลทางสายท่านอาสี่จึงต้องหลบหนีด้วย หนีเพราะกลัวความผิดหรือว่าถูกบีบบังคับกันแน่ หากไม่ได้พบพวกเขา ใครเล่าจะกล่าวได้อย่างชัดแจ้ง”

“น้องหญิงเจ็ด เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน!” ซือหม่าเค่อได้ยินซือหม่าชิงพูดแทนซือหม่าเลี่ย สีหน้าจึงเข้มขึ้นพลางเอ่ยเสียงดุ

“หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ!” ซือหม่าชิงพูดพลางถลึงตาใส่ซือหม่าเค่ออย่างไม่ยอมลดราวาศอก

“เอาละ อย่าเอะอะกันอีกเลยน่า อย่าลืมภารกิจสำคัญที่พวกเราต้องทำกันในคราวนี้สิ” ซือหม่าหลินพูด “น้องสาม เจ้าแน่ใจหรือว่าที่นี่มีผลอสรพิษทองคำอยู่”

“พี่ใหญ่ ตอนนั้นข้าคึกคะนองอยู่เสมอ จึงคิดจะมาเที่ยวเล่นยังสถานที่เนรเทศแห่งนี้ คิดไม่ถึงว่าจะมาพบช่วงที่ผลอสรพิษทองคำสุกงอมเข้าพอดี น่าเสียดายที่ข้าช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนที่ไปนั้นก็ไม่มีผลอสรพิษทองคำอีกแล้ว แต่ข้ากล้าฟันธงได้เลยว่านั่นคือผลอสรพิษทองคำไม่ผิดแน่” ซือหม่าข่ายพูดอย่างมั่นใจ

“ท่านลุงใหญ่ หากมีผลอสรพิษทองคำ พวกท่านปู่ทวดก็คงจะหายดีขึ้นมาได้กระมัง” ซือหม่าโยวหลานถาม

นางเป็นชนรุ่นหลังเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม แต่เพราะความพิเศษของนาง แม้จะต้องผ่านสถานที่อันตรายอย่างเทือกเขาสั่วเฟยย่าแห่งนี้ พวกซือหม่าหลินก็ยังพาตัวนางมาด้วย“ก็ยังไม่แน่หรอก” ซือหม่าหลินพูด “เพียงแต่นักหลอมยาเคยบอกว่าถ้าหากมีผลอสรพิษทองคำ พวกท่านปู่ทวดของเจ้าอาจฟื้นขึ้นมาก็เป็นได้”

“พวกท่านปู่นอนเป็นผักกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ถ้าหากผลอสรพิษทองคำรักษาพวกเขาได้จริงๆ การที่พวกเรามาเสี่ยงอันตรายที่เทือกเขาสั่วเฟยย่าแห่งนี้ก็ไม่ถือว่าสูญเปล่า” ซือหม่าชิงพูดอย่างทอดถอนใจ

“คราวนี้พวกเรามีเวลากระชั้นชิดนัก ต้องหาทั้งผลอสรพิษทองคำ แล้วยังต้องพาสายตระกูลท่านอาสี่ทั้งหมดกลับไปอีกด้วย” ซือหม่าหลินพูด

“ไม่รู้ว่าผลอสรพิษทองคำนี้ไปตกอยู่ในมือใครแล้ว” ซือหม่าเค่อพูด “ถึงแม้ว่าสถานที่เนรเทศนี้จะมิได้ใหญ่โต แต่ก็มิได้เล็ก คิดจะหาสิ่งนี้ให้พบ ไม่รู้ว่าต้องสิ้นเปลืองระยะเวลาเท่าใด”

“คงจะไม่หรอก” ซือหม่าข่ายพูด “ความเคลื่อนไหวตอนที่ผลอสรพิษทองคำสุกงอมใหญ่โตถึงเพียงนั้น ย่อมต้องดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก สุดท้ายแล้วมันไปอยู่ในมือของผู้ใดย่อมไม่ใช่ความลับ ถึงเวลานั้นพอพวกเราเข้าไปในเมืองแล้วลองฟังดูสักหน่อยก็คงจะรู้แล้วล่ะ”

“อีกนานเพียงใดพวกเราจึงจะเข้าไปในเมืองกันได้หรือ” ซือหม่าชิงถาม

“ครึ่งวัน…”

พลบค่ำ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงยังเมืองแห่งหนึ่ง เพราะฟ้ามืดแล้ว ทุกคนจึงหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อน

เช้าวันรุ่งขึ้นซือหม่าเค่อก็หาตัวผู้ดูแลโรงเตี๊ยมพบ พอจ่ายค่าห้องแล้วจึงหยิบตำลึงทองออกมาวางตรงหน้าเขาอีกหลายอันพลางเอ่ยว่า “ผู้ดูแลโรงเตี๊ยม เจ้าคงรู้จักคนชื่อซือหม่าเลี่ยกระมัง”

“ผู้ใดในตงเฉินจะไม่รู้จักซือหม่าเลี่ยบ้างเล่าขอรับ!” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเก็บตำลึงทองไปด้วยสีหน้ามีความสุขอย่างยิ่งแล้วพูดต่อไปว่า “เขาก็คือท่านแม่ทัพของอาณาจักรตงเฉินเรา หรือว่าพวกท่านฝึกยุทธ์อยู่ในหุบเขามาโดยตลอด จึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวของโลกภายนอกสินะขอรับ”

“ท่านแม่ทัพหรือ เช่นนั้นเขาพักอาศัยอยู่ที่ไหนกัน”

ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเชื่อว่าคนเหล่านี้จะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างสันโดษแน่นอน ไม่รู้ว่าพวกเขาจะหาตัวซือหม่าเลี่ยไปทำไม แต่เห็นแก่ตำลึงทองหลายก้อนนั้นเขาจึงพูดว่า “ตระกูลซือหม่าอยู่ที่เมืองหลวง อยู่ห่างไกลจากที่นี่มากทีเดียวขอรับ แขกทุกท่านมีเรื่องอันใดหรือ จึงได้ตามหาตัวพวกเขา”

ซือหม่าเค่อถลึงตาใส่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมปราดหนึ่ง ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมจึงรีบหัวเราะแห้งๆ พลางบอกว่าจะไม่ถามอีกแล้ว

“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าผลอสรพิษทองคำไปตกอยู่ในมือของผู้ใด”

“ผลอสรพิษทองคำหรือ เรื่องนี้พวกเราไม่ทราบเช่นกันขอรับ” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมตอบ

เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา พวกซือหม่าหลินจึงมีสีหน้าหม่นลง

ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเห็นพวกเขาไม่พอใจจึงเอ่ยอธิบายต่อไปในทันที “แขกทุกท่าน ข้าไม่ทราบจริงๆ นะขอรับ อย่าว่าแต่ข้าเลย ต่อให้เป็นผู้อื่นก็ไม่รู้เช่นเดียวกันนั่นแหละขอรับ”

“เพราะเหตุใดกัน คนที่ไปช่วงชิงผลอสรพิษทองคำกันในตอนนั้นต้องมีมากมายสิถึงจะถูก จะไม่มีผู้ใดรู้เลยได้อย่างไรกันว่าใครที่ได้ผลอสรพิษทองคำไปครอง” ซือหม่าข่ายถาม

“พวกท่านอาจจะไม่ทราบเรื่อง ได้ยินคนพูดกันว่าตอนนั้นที่ชิงผลอสรพิษทองคำ มีมนุษย์กับสัตว์อสูรวิเศษตั้งไม่รู้มากมายเพียงใด แต่ในที่สุดกลับถูกบุคคลนิรนามผู้หนึ่งช่วงชิงไปเสียอย่างนั้น” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมพูด

“บุคคลนิรนามอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้วขอรับ” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมพูด “ตอนนั้นศึกใหญ่ที่เทือกเขาผู่สั่ว บริเวณนั้นเต็มไปด้วยความอลหม่านวุ่นวาย ได้ยินว่าผู้มีความสามารถในทุกๆ ด้านล้วนไปกันทั้งสิ้น แม้กระทั่งท่านแม่ทัพซือหม่าก็ไปด้วยเช่นกัน นับได้ว่าเขาเป็นผู้ที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรตงเฉินของพวกเราแล้ว แต่ก็ยังมิได้ผลอสรพิษทองคำไปครองเลย”

“เจ้ามิได้บอกว่าเขามีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดหรอกหรือ เหตุใดจึงมิได้มันไปครองเล่า หรือว่าสัตว์อสูรวิเศษได้ไปครอง” ซือหม่าชิงถาม

“ไม่ใช่ ในตอนที่ท่านแม่ทัพซือหม่ากับสัตว์อสูรเทพนั่นต่อสู้พัวพันกันอยู่ คนผู้หนึ่งโผล่มาจากไหนไม่รู้แล้วขุดต้นผลอสรพิษทองคำไปทั้งรากเลย” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมพูด “คนผู้นั้นห่อหุ้มตัวอยู่ใต้ผ้าคลุมตลอดทั้งร่าง ได้ยินว่าพลังยุทธ์ยังสูงส่งกว่าท่านแม่ทัพเสียอีก ว่ากันว่าไปถึงระดับจ้าววิญญาณแล้ว ไม่รู้เลยว่าเป็นปีศาจจากขุนเขาแห่งใดกัน”

ซือหม่าหลินและซือหม่าชิงประสานสายตากันแวบหนึ่ง นัยน์ตาของทั้งสองคนต่างก็เจือความสงสัย อาณาจักรตงเฉินแห่งนี้จะมียอดฝีมือระดับจ้าววิญญาณเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ

“หรือจะข้ามมาจากทางฝั่งพวกเราเล่า ผลอสรพิษทองคำอาจจะไม่อยู่ที่ตงเฉินแล้วก็เป็นได้” ซือหม่าเค่อพูด

ซือหม่าหลินและคนอื่นๆ เบนสายตามาทางซือหม่าโยวหลาน นางส่ายศีรษะแล้วพูดด้วยความมั่นใจอย่างยิ่งว่า “ไม่หรอก ข้าสัมผัสได้ว่าผลอสรพิษทองคำยังคงอยู่ที่นี่ อยู่ที่อาณาจักรตงเฉินนี่แหละ”

“ในเมื่อไม่รู้แน่ชัดว่าอยู่ในกำมือใคร เช่นนั้นการจะหามันมาได้คงยุ่งยากยิ่งนัก” ซือหม่าชิงพูดอย่างวิตกกังวล “พวกเราจะหาพบได้ภายในห้าวันหรือไม่”

ซือหม่าหลินและคนอื่นๆ พากันนิ่งเงียบไป เดิมทีคิดว่าเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นยุ่งยากขึ้นมาเพราะตัวตนของอีกฝ่ายไม่ชัดเจนเอาเสียเลย

“โยวหลาน เจ้ามีสัมผัสไวต่อสิ่งล้ำค่ามาโดยตลอด เจ้าสัมผัสได้บ้างหรือไม่ว่ามันอยู่ที่ใด” ซือหม่าหลินถาม

ซือหม่าโยวหลานหลับตาลงแล้วลองทดสอบดูก่อนจะเอ่ยว่า “มิได้ สัมผัสได้เพียงแค่ทิศทางอย่างคร่าวๆ เท่านั้น อยู่ทางด้านโน้นน่ะ”

ซือหม่าโยวหลานชี้สถานที่แห่งหนึ่ง ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมจึงพูดว่า “เมืองหลวงอยู่ทางนั้น”

ซือหม่าหลินมองผู้ดูแลโรงเตี๊ยมปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “เช่นนั้นพวกเราไปหาคนตระกูลซือหม่าที่เหลืออยู่ที่เมืองหลวงเหล่านั้นกันก่อนดีกว่า”

ซือหม่าเลี่ยที่กำลังเดินออกจากประตูบ้านพอดี คล้ายจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงเงยหน้ามองไปยังทิศทางของเทือกเขาสั่วเฟยย่าปราดหนึ่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์มองส่งเฟิงจือสิงจากไปแล้วมองอุโมงค์นั้นค่อยๆ ปิดลง

เธอรู้ว่าถ้าหากเธอตามไปทั้งอย่างนี้ ก็จะได้เห็นโลกที่อีกฟากหนึ่งของอุโมงค์ ทั้งยังจะได้รู้ข้อเท็จจริงที่เธอถูกส่งตัวมาที่นี่อีกด้วย แต่เธอมิได้ขยับตัว เพราะในใจเธอเข้าใจเป็นอย่างดีว่าด้วยพลังยุทธ์ของตนในตอนนี้ หากไปที่นั่นก็เป็นการรนหาที่ตายเปล่าๆ

เธอกำหมัดแน่นพลางลอบสาบานในใจว่าตนจะต้องไปที่ดินแดนโบราณให้ได้อย่างแน่นอน ไปให้รู้แจ้งในสิ่งที่เฟิงจือสิงไม่ได้พูดออกมาด้วยตัวเอง!

สายลมยามราตรีพัดโชย เธอยืนอยู่บนยอดเขา ปล่อยให้สายลมพัดเส้นผมของเธอปลิวไสว

เธออยู่ในหุบเขาครู่หนึ่ง รอให้จิตใจสงบลงแล้วจึงลงจากเขากลับไปยังเรือนพัก

เจ้าอ้วนชวีออกมาจากห้องพอดี เมื่อเห็นเธอจึงถามว่า “โยวเย่ว์ อาจารย์เฟิงเรียกเจ้าไปทำอะไรหรือ ถึงได้กลับมาดึกดื่นเช่นนี้”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าอ้วนชวีแล้วส่ายหน้า ก่อนจะตรงกลับห้องไป

“เจ้านี่เป็นอะไรไป หน้าตาดูสิ้นหวังเหลือเกิน” เจ้าอ้วนชวีมองประตูห้องซือหม่าโยวเย่ว์อย่างสงสัย

วันรุ่งขึ้น เมื่อถึงเวลาเข้าเรียนของนักเรียนห้องเรียนที่หนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วเป็นชั้นเรียนของเฟิงจือสิง แต่กลับเป็นอาจารย์อีกท่านหนึ่งเดินเข้ามาแทน

“อาจารย์เฟิงไปจากวิทยาลัยเพราะเหตุผลบางอย่างแล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะเป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเจ้าแทน ข้าชื่อหลิงผิง หากพวกเจ้ามีข้อสงสัยอันใดค่อยมาพบข้าหลังเลิกเรียน พวกเจ้ามีเวลาหนึ่งนาทีในการขำขันกับเรื่องนี้ ต่อจากนั้นพวกเราค่อยมาเริ่มต้นเข้าชั้นเรียนกัน” หลิงผิงพูดจบแล้วก็ก้มหน้าลงเปิดตำราของตน

ทั้งชั้นเรียนคุกรุ่นขึ้นมา คนอื่นๆ นอกจากซือหม่าโยวเย่ว์ล้วนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

พวกโอวหยางเฟยทั้งสี่คนล้วนมองมาทางซือหม่าโยวเย่ว์ ก็เห็นเธอฟุบอยู่บนโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยาก สีหน้าไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย จึงรู้ว่าเธอจะต้องรู้เรื่องนี้แล้วอย่างแน่นอน

“เจ้าไปร่ำลาอาจารย์เฟิงมาเมื่อวานใช่หรือไม่” เป่ยกงถังถาม

“อืม อาจารย์พ่อบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ตระกูลของเขา จึงต้องจากไปน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นนั่งพลางพูดขึ้น

พวกเป่ยกงถังล้วนรู้เรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกเฟิงจือสิงว่าอาจารย์พ่อ ดังนั้นเรื่องที่เขาเรียกเธอไปร่ำลาจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

“ในเมื่อมีธุระจำเป็นต้องจากไป ในภายหน้าคงมีโอกาสได้พบกันอีก” เป่ยกงถังเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์หันหน้าไปมองเป่ยกงถังอย่างตกใจอยู่บ้าง นี่เป็นครั้งแรกที่นางปลอบประโลมผู้อื่นเลยทีเดียว

“อืม ข้าเข้าใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เพียงแต่ว่าจากไปอย่างฉุกละหุกเหลือเกิน ข้าจำเป็นต้องใช้เวลาปรับตัวสักหน่อยน่ะ ขอบใจเจ้ามากนะ ข้าไม่เป็นไรหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์ตบหน้าตัวเองเบาๆ แล้วพูดพลางฝืนยิ้มออกมา

ผ่านไปหนึ่งนาที หลิงผิงจึงเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “พวกเราเริ่มต้นบทเรียนวันนี้…”

หลังเลิกเรียน กลุ่มของซือหม่าโยวเย่ว์ก็ตรงไปยังเรือนพัก

“โยวเย่ว์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาจารย์เฟิงจากไปเพราะเหตุใด” เจ้าอ้วนชวีเดินมาข้างเธอพลางเอ่ยถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนเฟิงจือสิงจะจากไปได้บอกเอาไว้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตำหนักผู้วิเศษ แต่รู้ดีว่าเรื่องนี้มีความสำคัญยิ่งนัก จึงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ได้บอกเรื่องอะไรเฉพาะเจาะจงเลย บอกเพียงแค่ว่าเกิดเรื่องขึ้นในตระกูล จึงเรียกตัวเขากลับไปโดยด่วน”

“เช่นนั้นเขาจะกลับมาอีกหรือไม่” เว่ยจือฉีถาม

“คงจะไม่แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่อาจารย์พ่อบอกว่าหากภายหน้าไปที่ดินแดนโบราณก็ไปหาเขาได้”

เมื่อได้ยินชื่อดินแดนโบราณ ร่างกายของเป่ยกงถังก็แข็งเกร็ง ถึงแม้ว่าจะไม่เด่นชัด แต่ก็มิอาจเล็ดลอดสายตาของพวกซือหม่าโยวเย่ว์ไปได้

“ดินแดนโบราณหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์ “ที่นี่มิใช่ดินแดนอี้หลินหรือ หรือว่าอาจารย์เฟิงไม่ใช่คนที่นี่”

“ก็ไม่ใช่น่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ที่นี่คือดินแดนอี้หลิน สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่งคือดินแดนโบราณ ว่ากันว่าสภาพแวดล้อมของดินแดนแห่งนั้นดีกว่าของพวกเราที่นี่มากมายนัก ระดับขั้นก็สูงกว่ามากด้วย อาจารย์พ่อกำชับข้าเอาไว้ว่าหากยังไปไม่ถึงระดับเทพ ก็อย่าได้ไปที่ดินแดนโบราณเป็นอันขาด”

“ระดับเทพหรือ!” เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีพากันตกอกตกใจจนดวงตาเบิกโพลง

“อืม เหนือระดับจ้าววิญญาณขึ้นไปก็คือระดับเทพ หากสำเร็จเป็นระดับเทพจึงจะไปที่ดินแดนโบราณได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“แต่พวกเราที่นี่ไม่เคยมีใครไปถึงระดับจ้าววิญญาณมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับเทพเลย” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ไม่ มิใช่ว่าบนดินแดนอี้หลินจะไม่มีจ้าววิญญาณเสียหน่อย เพียงแต่มิได้อยู่ที่นี่เท่านั้นเอง” โอวหยางเฟยพูด

“โอวหยาง เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” เว่ยจือฉีถาม

“เพราะว่าข้าเคยเห็นน่ะสิ” โอวหยางเฟยพูด

“เจ้าเคยเห็นอย่างนั้นหรือ เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินว่าอาณาจักรตงเฉินมีจ้าววิญญาณมาก่อนเลยเล่า” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางเกาท้ายทอย

“โอวหยางพูดว่าดินแดนอี้หลิน มิใช่อาณาจักรตงเฉินเสียหน่อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “อาณาจักรตงเฉินเป็นเพียงแค่สถานที่อันแห้งแล้งแห่งหนึ่งของดินแดนอี้หลินเท่านั้น เป็นแหล่งที่สถานที่อื่นๆ เอาไว้เนรเทศคนชั่วเท่านั้นเอง”

“อะไรนะ!” เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีอุทานอย่างตกใจจนดึงดูดสายตาของผู้คนบริเวณรอบๆ เข้ามา

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูท่าทางตกใจของเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีก่อนจะมองดูผู้คนโดยรอบพลางเอ่ยว่า “พวกเรากลับเรือนพักแล้วค่อยคุยกันดีกว่า”

เมื่อกลับถึงเรือนพัก ทุกคนก็มารวมตัวกันที่ห้องของซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยความเคยชิน

เจ้าอ้วนชวีชิงถามโดยไม่รอให้ซือหม่าโยวเย่ว์พูดว่า “โยวเย่ว์ เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าที่นี่เป็นสถานที่สำหรับเนรเทศคนชั่วน่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองโอวหยางเฟยปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ให้โอวหยางเป็นคนพูด คงจะพูดได้กระจ่างชัดกว่าข้ากระมัง ใช่หรือไม่เล่า โอวหยาง”

“โอวหยางหรือ” เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีมองโอวหยางเฟย “เจ้ารู้หรือ”

โอวหยางเฟยมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่ง บนสีหน้าเผยแววผิดปกติพลางเอ่ยว่า “บนดินแดนอี้หลินมีอาณาจักรห้าแห่ง สี่อาณาจักรใหญ่ อาณาจักรจันทร์ประจิม อาณาจักรนางแอ่นอุดร อาณาจักรทักษิณายาตร และอาณาจักรอู๋กลาง มีสถานที่เนรเทศแห่งหนึ่งซึ่งก็คืออาณาจักรตงเฉิน เหมือนกับที่โยวเย่ว์พูดนั่นแหละว่าที่นี่คือสถานที่ที่สี่อาณาจักรใหญ่เนรเทศคนชั่ว”

“โอวหยาง เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” เว่ยจือฉีถาม

“เพราะว่าข้ามาจากภายนอกน่ะสิ” โอวหยางเฟยพูด “ข้าเป็นคนจากอาณาจักรทักษิณายาตร เพราะเหตุผลบางอย่างจึงต้องมาที่นี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

“ข้าเข้าใจมาตลอดว่าโลกใบนี้ก็คืออาณาจักรตงเฉินอันใหญ่โตเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่านี่เป็นเพียงแค่ส่วนเดียวของภูเขาน้ำแข็ง พวกเราเป็นเพียงแค่ชิ้นส่วนเล็กๆ บนดินแดนอี้หลินเท่านั้นเอง” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ตระกูลที่อยู่ที่นี่ล้วนถูกเนรเทศจากภายนอกมาที่นี่ทั้งสิ้น หรือไม่ก็หนีมาที่นี่เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ไม่แน่ว่าที่ใดสักแห่งข้างนอกนั่นอาจจะมีตระกูลชวีอยู่ตระกูลหนึ่ง ตระกูลเว่ยตระกูลหนึ่ง และแน่นอนว่าต้องมีตระกูลซือหม่าอยู่ตระกูลหนึ่งด้วย”

“อาณาจักรตงเฉินพื้นที่แห้งแล้ง ทรัพยากรขาดแคลน ความเร็วในการบำเพ็ญเชื่องช้าเป็นที่สุด นอกจากนี้เพราะเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้ปราณวิญญาณของที่นี่เบาบางกว่าข้างนอกอีกด้วย” โอวหยางเฟยพูด

“หากเป็นเช่นนี้จริง เหตุใดจึงไม่เคยมีผู้ใดออกไปเลยเล่า” เว่ยจือฉีไม่เข้าใจ

“เพราะที่นี่มีแนวกั้นตามธรรมชาติอยู่ คล้ายกับฝาปิดครอบทั้งอาณาจักรตงเฉินเอาไว้ หากไปไม่ถึงระดับราชันวิญญาณก็จะไม่มีทางทะลุสิ่งกีดขวางนี้ออกไปได้ แต่ผ่านมานานปีถึงเพียงนี้ อาณาจักรตงเฉินมีราชันวิญญาณสักกี่คนกันเล่า พอผ่านไปนานๆ เข้า ผู้คนก็ลืมเลือนเรื่องนี้กันไปเสียแล้ว” โอวหยางเฟยพูด “แล้วก็เป็นเพราะสิ่งกีดขวางนี้เองที่ทำให้ปราณวิญญาณของที่นี่เบาบางถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งผลไม้ทิพย์หรือศิลาวิญญาณอะไรที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญก็มีอยู่ไม่เท่าไร”

“นอกจากการบำเพ็ญไปให้ถึงระดับราชันวิญญาณก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วหรือ” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ข้าว่าวิธีน่ะคงมีอยู่หรอก แต่ต่อให้มี หากพลังยุทธ์ไม่แกร่งพอก็ออกไปไม่ได้อยู่ดี” โอวหยางพูด

“เพราะเหตุใดเล่า”

“เพราะสิ่งกีดขวางอยู่บนเทือกเขาสั่วเฟยย่าน่ะสิ ที่นั่นมีสัตว์อสูรเทพมากมาย ต่อให้เจ้ามีพลังยุทธ์ระดับราชันวิญญาณ ตอนเจ้าจะออกไปก็ต้องเผชิญกับสัตว์อสูรเทพนับร้อย หากเจ้าไม่ระวัง อาจต้องจบชีวิตลงได้” โอวหยางเฟยพูด

“สัตว์อสูรเทพนับร้อย!” เจ้าอ้วนชวีได้ยินเสียงสูดลมหายใจของตนเอง เทือกเขาสั่วเฟยย่าอันตรายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ!

เทือกเขาผู่สั่วมีสัตว์อสูรเทพวานรอยู่เพียงแค่ตนเดียวเท่านั้น ทว่าเทือกเขาสั่วเฟยย่ากลับมีสัตว์อสูรเทพนับร้อย จึงยากจะตำหนิที่ทุกคนตกอกตกใจ

“มีสิ่งกีดขวางตามธรรมชาติ ทั้งยังมีสัตว์อสูรเทพอยู่ภายนอกอีกด้วย มิน่าเล่าจึงไม่เคยมีใครออกไปได้เลย” ทุกคนเข้าใจได้ในทันที

“โยวเย่ว์ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าโอวหยางรู้เรื่องเหล่านี้ดี” เป่ยกงถังถาม

“ข้าเดาเอาน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้าช่างฉลาดเฉลียวเป็นที่สุด เดาถูกทุกครั้งเลยนะ” เจ้าอ้วนชวีพูด

“โอวหยาง เจ้ามาที่ตงเฉินตั้งแต่เมื่อใด” เว่ยจือฉีถาม

โอวหยางเฟยเงียบงันไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “สองเดือนก่อนการคัดเลือกของวิทยาลัยน่ะ”

เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ทุกคนก็รู้แล้วว่าเขามีเรื่องที่มิอาจพูดได้ซ่อนเร้นเอาไว้อยู่ จึงไม่ไปซักไซ้ไล่เลียงเขาต่อ

“ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็ช่างเถิด แต่ตอนนี้ในเมื่อรู้แล้ว เช่นนั้นในภายหน้าพวกเราต้องไปดูโลกภายนอกกันให้ได้นะ” เว่ยจือฉีกำหมัดแน่น สีหน้าโหยหาโลกที่ไม่รู้จัก

“ก่อนจะถึงตอนนั้น ทุกคนยังต้องตั้งใจบำเพ็ญกันให้ดีๆ เพื่อยกระดับพลังยุทธ์ของตัวเองก่อนนะ” เป่ยกงถังพูด “หากไม่มีอะไรแล้วข้ากลับห้องก่อนล่ะนะ”

“พวกเราก็จะกลับแล้วเช่นกัน” เจ้าอ้วนชวีพูด “ต่อจากนี้ไปข้าจะไม่เกียจคร้านอีกแล้ว ขอเพียงแค่มีเวลาก็จะฝึกยุทธ์ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเราจะถูกกักขังไว้ที่นี่ไปชั่วชีวิต”

เว่ยจือฉีก็ลุกขึ้นยืนเช่นกันพลางเอ่ยว่า “ข้าก็จะกลับแล้วเหมือนกัน”

ทั้งสามคนจากไป เหลือเพียงโอวหยางเฟยและซือหม่าโยวเย่ว์

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามิใช่คนอาณาจักรตงเฉิน” โอวหยางเฟยถามพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์

“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้าเดาเอา” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่ “ยังมีสัญชาตญาณด้วย โอวหยาง ไม่ว่าเจ้าประสบพบเจออะไรมา อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็อยู่ด้วยกัน เรื่องเหล่านั้นของเจ้า ถ้าอยากพูดก็พูดกับทุกคนได้เลย แต่ถ้าไม่อยากพูด ทุกคนก็ไม่มีทางทำตัวแปลกแยกหรือตำหนิเจ้าอย่างแน่นอน”

“ข้ารู้ แต่มีบางเรื่องที่หากพวกเจ้าไม่รู้จะดีกว่า” โอวหยางเฟยยืนขึ้น “ข้าจะกลับแล้วนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองโอวหยางเฟยจากไปพลางลอบทอดถอนใจ ดูท่าทางเขากับเป่ยกงถังล้วนเป็นพวกมีความหลังฝังใจกันทั้งคู่! บวกกับชาติกำเนิดของตน ดูเหมือนว่าพวกเขากลุ่มนี้จะมีเพียงแค่เว่ยจือฉีกับเจ้าอ้วนชวีเท่านั้นที่มีความเป็นมาอันเรียบง่ายสักหน่อย

“เฮ้อ…” ซือหม่าโยวเย่ว์ถอนหายใจยาวแล้วปิดประตูลงก่อนจะหายตัวเข้าไปในมณีวิญญาณ

หมัวซาดูเหมือนกำลังคอยเธออยู่ เมื่อเห็นเธอจึงพูดว่า “วันนี้พวกเราไม่หลอมยานะ”

“เพราะเหตุใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์สะดุ้งคราหนึ่งแล้วถามขึ้น

“สภาวะของเจ้าในตอนนี้มิสู้ดีนัก อาจส่งผลกระทบกับการหลอมยาได้ รอให้ผ่านไปสักสองวันให้อารมณ์นิ่งก่อนแล้วค่อยหลอมยาเถิด” หมัวซาพูดอย่างเรียบเรื่อย

ซือหม่าโยวเย่ว์ครุ่นคิด ด้วยสภาพนี้ พอถึงเวลามิอาจทุ่มเทกายใจให้กับการหลอมยาได้อย่างเต็มที่ ก็กลัวแต่ว่าจะส่งผลต่ออัตราความสำเร็จในการหลอมยา จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้สิ”

“นอกจากนี้ข้ายังหลอมศิลาวิญญาณแล้วอีกด้วย” หมัวซาพูด สร้อยข้อมือลายดอกม่านถัวหลัว[1]สีแดงเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง

“นี่คืออะไรหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือไปสัมผัสสร้อยเส้นนั้นคราหนึ่ง สร้อยเส้นนั้นก็สวมตัวเองลงบนข้อมือเธอราวกับมีสติรับรู้ ล้อมรอบข้อมือขาวเนียนของเธอ ดูแล้วมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง

“นี่คือสร้อยข้อมือที่ข้าใช้ศิลาวิญญาณบวกกับส่วนประกอบที่อยู่ภายในมณีวิญญาณ ใช้เป็นที่พำนักของวิญญาณได้” หมัวซาพูด

“ท่านอยู่ในมณีวิญญาณก็ดีอยู่แล้วมิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“การอยู่ภายในมณีวิญญาณนั้นถึงแม้ว่าข้าจะเห็นเหตุการณ์ภายนอกได้ แต่กลับมิอาจสัมผัสถึงวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของข้าได้เลย” หมัวซาพูด “สวมสิ่งนี้เอาไว้บนมือของเจ้า ข้าก็จะรับสัมผัสได้ในรัศมีประมาณหนึ่ง ถ้าหากวันไหนเจ้าพบเจอวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของข้าเข้า หรือถ้าหากอยู่ห่างจากเขาไม่ไกล ข้าก็จะรับสัมผัสได้”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์ยกมือขึ้นพลางมองดูสร้อยบนข้อมือแล้วถามว่า “ในเมื่อสิ่งนี้เป็นที่พำนักให้ดวงวิญญาณของท่านได้ เช่นนั้นผู้อื่นเล่า”

หมัวซาเหลือบมองเธอปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะยอมให้ผู้อื่นมาแบ่งปันที่นี่กับข้าหรือไม่เล่า”

ความหมายในคำพูดชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง มันก็ได้อยู่ แต่เขาไม่มีทางเต็มใจแน่ ถ้าหากใส่วิญญาณของใครเข้าไปจริงๆ ก็กลัวแต่ว่าจะถูกเขาพร่าผลาญเสียก่อนโดยที่ยังมิทันได้เห็นชัดเจนว่าภายในเป็นอย่างไรเลยด้วยซ้ำ

“ในเมื่อมีสิ่งนี้แล้วต่อไปข้าก็จะดูดซับกลิ่นอายที่ต้นผลอสรพิษทองคำแผ่ออกมาจากภายในนั้นได้แล้ว” หมัวซาพูดจบแล้วกลายร่างเป็นควันดำสายหนึ่งก่อนจะแทรกตัวเข้าไปภายในสร้อยข้อมือของเธอ

ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบสร้อบข้อมือ ชื่นชมไปพลางพูดไปพลาง “ไม่รู้ว่าเจ้าคนผู้นี้หลอมขึ้นมาอย่างไร รูปลักษณ์ไม่เลวเลยทีเดียว จะต้องมิใช่อาวุธวิญญาณธรรมดาทั่วไปแน่ อาจจะเป็นเครื่องมือทิพย์อาวุธเทพอะไรบางอย่างก็เป็นได้ งดงามถึงเพียงนี้ ต่อไปเรียกมันว่าสร้อยข้อมือม่านถัวก็แล้วกัน”

ในเมื่อหมัวซาบอกว่าไม่หลอมยา ดังนั้นเธอจึงมาฝึกยุทธ์ที่ห้องฝึกยุทธ์ ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ของตนเอง

ผ่านไปสองวัน หมัวซาบอกว่าเริ่มต้นหลอมยาได้แล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงสวมสร้อยข้อมือเข้าไปภายในมณีวิญญาณ

ผ่านการปรับตัวมาสองวัน สภาพของซือหม่าโยวเย่ว์จึงฟื้นฟูกลับไปเหมือนในตอนแรก ตามความต้องการของหมัวซา

เมื่อมาถึงห้องหลอมยา เจ้าวิญญาณน้อยได้จัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้เอาไว้แล้วเหมือนดังที่เคยเป็นมา ทั้งสองคนตรวจทานดูรอบหนึ่งแล้วจึงเริ่มต้นหลอมยา

มีประสบการณ์จากครั้งก่อน การหลอมยาในครั้งนี้จึงราบรื่นยิ่งขึ้น ซือหม่าโยวเย่ว์มีความเข้าใจเกี่ยวกับปราณวิญญาณที่ต้องใช้ในการหลอมยาวิเศษร้อยโคจรแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าคราวนี้จะสูบปราณวิญญาณในร่างกายเธอไปจนหมดเกลี้ยงเช่นเดิม แต่กลับมิได้เหน็ดเหนื่อยมากเท่ากับคราวที่แล้ว

“เสร็จแล้ว” หมัวซาดับไฟพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์ที่สิ้นไร้เรี่ยวแรงอีกครั้งแล้วพูดว่า “ถึงแม้จะใช้ปราณวิญญาณในร่างกายเจ้าไปจนหมดเกลี้ยงทุกครั้ง แต่ความจริงแล้วนี่เป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้าด้วย ปราณวิญญาณที่ดูดซับเข้าไปอีกครั้งนั้นจะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พลังยุทธ์ของเจ้าจะใช้ได้จริง ไม่ใช่เพียงของไร้ประโยชน์อีกต่อไป”

“ข้าเข้าใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งบนพื้นพลางพูดด้วยสีหน้าซีดเผือด

หมัวซาหายตัวเข้าไปในสร้อยข้อมือม่านถัว ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบยาวิเศษเม็ดหนึ่งออกมากินลงไปทำให้ร่างกายฟื้นฟูพลังยุทธ์ขึ้นมาได้บ้างเล็กน้อย แล้วจึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้น มาข้างๆ เตาหลอมยาเพื่อเตรียมเก็บยาวิเศษ

เธอเก็บยาวิเศษเข้าไปในขวดหยกทีละเม็ดๆ จนตอนสุดท้ายเธอก็ตกตะลึงไปแล้วเทยาวิเศษทั้งหมดออกมาบนฝ่ามือก่อนจะนับใหม่อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อครู่ตนไม่ได้นับผิดไป

“หมัวซา ท่านไม่ได้บอกว่าเตาหนึ่งหลอมได้มากที่สุดสิบเม็ดหรอกหรือ เหตุใดคราวนี้จึงมีสิบเอ็ดเม็ดเล่า”

เสียงของหมัวซาดังแว่วมาจากภายในสร้อยข้อมือม่านถัวว่า “ตอนที่ข้ามีกายเนื้อ เตาหนึ่งข้าหลอมได้สิบสองเม็ดเป็นอย่างน้อย สิบเม็ดนั้นเป็นการคาดการณ์แบบระมัดระวังตอนที่ข้าอยู่ในสภาวะวิญญาณเท่านั้นเอง”

“อ้อ” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบยาวิเศษทั้งหมดออกมาแล้วมองพวกมันอย่างสุขใจยิ่ง “รวมกับคราวก่อนก็มียี่สิบเอ็ดเม็ดแล้ว ตอนนี้ต้องการเพียงแค่สิบแปดเม็ดเท่านั้น ยังเก็บเอาไว้ได้อีกสามเม็ด รอให้ข้าฟื้นฟูปราณวิญญาณแล้วจะออกไปมอบให้พวกท่านปู่ ให้พวกเขาได้กินกันเสียแต่เนิ่นๆ”

เธอเก็บยาวิเศษร้อยโคจรทั้งหมดกลับเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุแล้วนั่งขัดสมาธิลง เริ่มต้นดูดซับปราณวิญญาณในอากาศ

และในขณะนี้เอง คนกลุ่มหนึ่งก็มายังอาณาจักรตงเฉินผ่านเทือกเขาสั่วเฟยย่า มุ่งตรงไปยังเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ถ้าหากซือหม่าเลี่ยอยู่จะต้องรู้จักอย่างแน่นอน เพราะหนึ่งในนั้นก็คือผู้ที่ทำให้เขาบาดเจ็บนั่นเอง…

………………………………………………

[1] ดอกลำโพง

ในขณะนี้คล้ายกับว่าเธอกลับไปยังสถานที่ที่รอบด้านเต็มไปด้วยแสงดาวแห่งนั้นอีกครั้ง ดวงดาวมากมายเหลือคณานับคล้ายจะกะพริบสู่สายตาเธอไม่หยุดหย่อนในระยะใกล้บ้าง ไกลบ้าง

ขณะนี้ข้างกายเธอมีประกายเล็กๆ วาบผ่าน เปล่งประกายระยิบระยับจับตา จุดแสงเหล่านั้นล่องลอยไปรอบตัวเธอครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ ลอยห่างออกไปช้าๆ แล้วรวมตัวกับแสงดาวที่อยู่ห่างออกไป

ความรู้สึกของเธอในขณะนี้คล้ายกับขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าอย่างฉับพลัน เธอรู้สึกราวกับว่าทั้งห้วงมิติและระยะทางล้วนอยู่ในการควบคุมของตนทั้งสิ้น

ในห้วงสมองของเธอมีประโยคแรกของตำราพื้นฐานค่ายกลปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน

“ห้วงมิติ อาจอยู่ใกล้หรือไกล อาจไร้รูปร่าง หรืออาจสัมผัสได้ ห้วงมิติทุกแห่งล้วนมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับห้วงมิติอื่นๆ หามันให้พบ ทำความเข้าใจกับมัน รู้จักมันให้ดี และควบคุมมัน…”

เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตนจะสำเร็จขั้น “หามันให้พบ” แล้ว เฟิงจือสิงเคยบอกว่าหากทำขั้นนี้ได้สำเร็จก็นับได้ว่าก้าวเข้าสู่การเป็นปรมาจารย์ค่ายกลแล้ว

เมื่อผ่อนคลายความคิดลง ห้วงมิติที่เธออยู่ก็ถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้งราวกับไม่เคยมีอยู่

เธอลืมตาขึ้นแล้วพบว่ายังคงอยู่ในห้องนอนของตน มิได้ไปยังสถานที่ที่เรียกว่าห้วงมิติแห่งนั้น

“หยั่งรู้ได้แล้วหรือ” หมัวซาเห็นสถานะเมื่อครู่ของเธอก็รู้แล้วว่าเธอต้องได้อะไรมาอย่างแน่นอนจึงเอ่ยถามขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า เห็นเจ้าคนผู้นี้นั่งอยู่อย่างเกียจคร้าน งอขาข้างหนึ่งแล้วพาดแขนไว้ข้างบนพร้อมกับใช้ฝ่ามือรองศีรษะเอาไว้ มิได้บำเพ็ญอยู่แต่อย่างใด จึงเอ่ยถามว่า “เหตุใดท่านจึงไม่ฝึกยุทธ์เล่า”

“พอใช้ได้แล้วละ” หมัวซาสะบัดแขนเสื้อ

“จริงหรือ เช่นนั้นพวกเราก็ไปหลอมยากันตอนนี้เลยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนขึ้นพูด

“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องกลับไปรับสัมผัสสิ่งที่เจ้าเพิ่งหยั่งรู้มาสักหน่อยหนึ่งก่อน” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์สะดุ้งคราหนึ่ง เจ้าคนผู้นี้รู้ได้อย่างไรกัน

“รอมาหลายวันถึงเพียงนี้แล้ว ไม่ต้องรีบร้อนกับเวลาเพียงแค่นี้หรอก” หมัวซาในฐานะคนที่ผ่านมาก่อนย่อมรู้ดีว่าโอกาสนั้นช่างน้อยนิด

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดดูแล้วก็เห็นจริงว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหลอมยาในตอนนี้ เธอพยักหน้าแล้วกลับลงไปนั่งใหม่พลางพูดว่า “เช่นนั้นก็ดีเลย คืนนี้ไม่ไปหลอมยาแล้ว ไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”

หมัวซาเห็นเธอหลับตาลงอีกครั้งแล้วไม่พูดอะไรอีก จ้องมองเธอต่อไป

ใบหน้าที่อยู่ใต้เงามืดเล็กน้อยให้เห็นเค้าความงามล่มบ้านล่มเมือง แต่เพราะแหวนมนตร์บนนิ้วแสดงให้เห็นรูปลักษณ์ของบุรุษ ทำให้ความงามล้ำเลิศนั้นเบาบางลงไปเล็กน้อย

เมื่อนึกถึงว่าเธอศึกษาเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรสำเร็จด้วยตนเองโดยปราศจากคนชี้แนะ ทั้งยังหลอมยาได้ไม่ถึงปีก็สำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสอง หรือแม้กระทั่งปรมาจารย์ค่ายกลที่ลำบากยากเย็นที่สุด เธอก็ยังรับสัมผัสห้วงมิติได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ พรสวรรค์นี้ทำให้เขาอดที่จะเกิดความชื่นชมมิได้

“พรสวรรค์ของเจ้าเด็กผู้นี้ มิได้ด้อยไปกว่าตัวข้าในตอนนั้นเลยจริงๆ…”

ซือหม่าโยวเย่ว์นึกย้อนไปถึงห้วงมิติที่ตนได้เห็นเมื่อครู่ นึกย้อนไปถึงความรู้สึกในตอนนั้นรอบแล้วรอบเล่า จนดูเหมือนว่าจะค้นพบลักษณะเฉพาะของห้วงมิติขึ้นมาอย่างช้าๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น ซือหม่าโยวเย่ว์ให้เจ้าอ้วนชวีช่วยลาเรียนให้เธอ หลังจากนั้นจึงขังตัวเองอยู่ในห้องแล้วเริ่มต้นหลอมยา

ภายในมณีวิญญาณ ซือหม่าโยวเย่ว์และหมัวซามาถึงยังห้องหลอมยา เครื่องยาสำหรับหลอมยาวิเศษร้อยโคจรได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้ในห้องเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังมียาวิเศษฟื้นฟูปราณวิญญาณอยู่อีกสองขวดด้วย

“พวกเราเริ่มกันเลยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดกับหมัวซา

หมัวซาพยักหน้าแล้วมาที่ข้างๆ เตาหลอมยา ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง เปลวเพลิงสีดำกองหนึ่งก็พุ่งเข้าไปอยู่ด้านล่างเตาหลอมยา เมื่อเจอลมก็โหมกระพือ จนครอบคลุมด้านล่างเตาทั้งหมดอย่างรวดเร็วซือหม่าโยวเย่ว์ย่อมไม่ปล่อยโอกาสในการเรียนรู้ครั้งนี้ไป เธอดูทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ เธอค้นพบว่าทุกครั้งที่ดูหมัวซาหลอมยา ล้วนได้อะไรกลับไปแตกต่างกัน ซึ่งมีประโยชน์ต่อการหลอมยาของเธอเป็นอย่างยิ่ง

เคยมีประสบการณ์ในการร่วมมือกันมาครั้งหนึ่งแล้ว การประสานงานระหว่างคนทั้งสองจึงราบรื่นกว่ามาก ตอนผนึกยาในท้ายที่สุด ไม่ต้องให้หมัวซาเอ่ยคำพูด เขาเพียงแค่ส่งสายตามาเธอก็รู้แล้วว่าถึงคราวตนเองต้องลงสนาม จึงขยับเข้าไปใกล้เตาหลอมยาก่อนจะใส่ปราณวิญญาณเข้าไปข้างใน

หลังจากกินยาวิเศษไปอีกสองครั้ง ในที่สุดซือหม่าโยวเย่ว์ก็ใส่พลังเข้าไปครั้งแรกได้สำเร็จ เธอไปยืนข้างๆ อย่างหมดแรงอยู่บ้าง คอยดูหมัวซาปิดงานขั้นตอนสุดท้าย

ผ่านไปครู่หนึ่ง หมัวซาก็หลอมยาวิเศษได้สำเร็จแล้วดับไฟ

“เสร็จแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“อืม พวกเราพักผ่อนกันสักวันหนึ่งแล้วพรุ่งนี้ค่อยหลอมเตาที่สอง” หมัวซาพูดพลางพยักหน้า

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าสีหน้าเขายังดูดี จึงรู้ว่าเขาต้องเลื่อนไปหลอมอีกทีในวันพรุ่งนี้เพราะปราณวิญญาณของตนไม่เพียงพอ จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้สิ”

หมัวซาขยับคราหนึ่งก็หายตัวไปเสียแล้ว เธอมาที่ข้างเตาหลอมยาแล้วเปิดฝาออกก่อนจะหยิบขวดหยกออกมาเตรียมเก็บยาวิเศษขึ้นมา เมื่อเห็นยาวิเศษในนั้นเธอก็สะดุ้งเล็กน้อย

สิบเม็ด!

ตอนที่ตนใส่พลังวิญญาณเข้าไปนั้นมีช่วงเวลาที่ต่อไม่ติดอยู่บ้าง เธอยังคิดว่าอาจจะกระทบกับอัตราการหลอมสำเร็จอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าเขายังรักษามันเอาไว้ได้จนสำเร็จได้มากถึงสิบเม็ดเลยทีเดียว!

“ร้ายกาจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าก่อนตายเขาไปถึงระดับขั้นใดแล้ว”

เธอห่อยาวิเศษขึ้นมาแล้วให้เจ้าวิญญาณน้อยเก็บข้าวของ ส่วนตนเองก็ไปยังห้องฝึกยุทธ์เพื่อฟื้นฟูปราณวิญญาณ

ยามบ่าย เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เธอจึงออกมาจากห้อง

“เจ้าอ้วน มีเรื่องอันใดหรือไม่”

“คือว่า อาจารย์เฟิงให้เจ้าไปพบเขา ดูเหมือนว่าจะมีธุระด่วนนะ” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ข้ารู้แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาแล้วปิดประตู

วันนี้เธอมิได้ไปเข้าชั้นเรียน จึงให้เธอไปพบเพราะเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ

แต่ก่อนหน้านี้เธอก็เคยโดดเรียนอยู่บ่อยๆ แต่เขากลับมิได้ว่าอะไร ดังนั้นจึงไม่น่าจะใช่เรื่องนี้

เมื่อมาถึงห้องทำงานของเฟิงจือสิงแล้วเธอก็เคาะประตูเบาๆ หลังจากนั้นค่อยผลักประตูเข้าไป

“อาจารย์พ่อ ท่านหาตัวข้าอย่างนั้นหรือ”

เฟิงจือสิงมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “ตอนแรกคิดว่าจะบอกลาเจ้าตอนหลังเลิกเรียน แต่วันนี้เจ้ามิได้ไปเข้าเรียน ก็เลยเรียกเจ้ามาน่ะ”

“ท่านอาจารย์ ท่านจะจากไปอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเฟิงจือสิงอย่างตกตะลึง ข่าวนี้มาอย่างฉับพลันเหลือเกิน ทำให้เธอไม่ได้เตรียมใจเอาไว้เลย

“อืม เกิดเรื่องขึ้นในตระกูลข้านิดหน่อยน่ะ จึงมาแจ้งให้ข้ากลับไปทันที” เฟิงจือสิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เพราะว่าข่าวคราวมาอย่างฉุกละหุกเหลือเกิน ดังนั้นจึงต้องกลับไปเดี๋ยวนี้เลย”

“เรื่องอันใดกันจึงได้เร่งด่วนถึงเพียงนี้” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“เกิดเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตำหนักผู้วิเศษ จำเป็นต้องให้ข้ากลับไปจัดการน่ะ” เฟิงจือสิงพูด

ตำหนักผู้วิเศษหรือ เกี่ยวกับพวกอูหลิงอวี่หรือไม่

ดูจากสีหน้าของเฟิงจือสิงแล้วเหมือนว่าจะต้องมิใช่เรื่องดีแต่อย่างใด!

แต่การต่อสู้ระหว่างพวกเขานั้นดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่คนในระดับอย่างเธอจะเข้าไปแทรกแซงได้ ถ้าหากพวกเขาต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ จุดจบของตนก็คงมีแต่ถูกระเบิดกลายเป็นผุยผงเท่านั้น

“เช่นนั้นท่านอาจารย์จะไปเมื่อใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างตัดใจไม่ได้อยู่บ้าง

อยู่ใกล้ชิดกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เขาทุ่มเทให้เธอ คอยชี้แนะเธอมาโดยตลอด จู่ๆ ตอนนี้มาพูดว่าจะจากไปอย่างฉับพลัน เธอจึงค้นพบว่านอกจากคนตระกูลซือหม่าแล้ว เธอก็เห็นเขาเป็นคนสนิทเช่นเดียวกัน

“ลาเจ้าเสร็จ ไปร่ำลาท่านอาจารย์ใหญ่ แล้วก็คงไปแล้วละ” เฟิงจือสิงพูด

“รวดเร็วเพียงนี้เลยหรือ!”

“อืม เรื่องทางนั้นค่อนข้างเร่งด่วนน่ะ” เฟิงจือสิงพูด

“เช่นนั้นท่านอาจารย์จะกลับมาอีกหรือไม่”

“ข้าคิดว่ากว่าข้าจะจัดการธุระเสร็จเรียบร้อย เจ้าก็คงไปจากอาณาจักรตงเฉินแล้วล่ะ” เฟิงจือสิงพูดยิ้มๆ “ถ้าหากข้าไม่กลับมา ในภายหน้าเจ้าก็มาหาข้าที่ดินแดนโบราณได้ ข้าเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ของเจ้าแล้วจะต้องไปถึงที่นั่นได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่”

“ดินแดนโบราณ…”

นั่นคือสถานที่ที่เขาใช้ชีวิตอยู่ และยังอาจเป็นสถานที่ที่บิดามารดาของตนใช้ชีวิตอยู่ด้วยใช่หรือไม่

“เจ้าคงจะรู้อยู่แล้วว่าข้ามิใช่คนของดินแดนอี้หลิน ข้าใช้ชีวิตอยู่ที่ดินแดนที่อยู่สูงกว่าดินแดนแห่งนี้ระดับหนึ่ง หลังจากสำเร็จระดับเทพแล้วก็จะไปยังสถานที่แห่งนั้นได้” เฟิงจือสิงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ตกตะลึง ยังคิดว่าเธอเพียงแค่สนใจใคร่รู้ว่าที่นั่นคือสถานที่เช่นไรเท่านั้น

“ระดับเทพจึงจะไปได้อย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว เหนือกว่าจ้าววิญญาณขึ้นไปก็คือระดับเทพ เพิ่งเข้าสู่ระดับเทพ ก็จะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับล่างของที่นั่น ดังนั้นหากไม่ถึงระดับเทพ ก็ย่อมมิอาจไปที่นั่นได้อย่างแน่นอน” เฟิงจือสิงพูด

“อาจารย์พ่อ ท่านน่าจะรู้จักกับท่านพ่อท่านแม่ของข้ากระมัง พวกเขาก็อยู่ที่นั่นด้วยใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่งเสียงถามขึ้นในทันใด

เฟิงจือสิงสะดุ้งแล้วถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ”

หรือซือหม่าเลี่ยบอกชาติกำเนิดของเธอให้เธอรู้ไปแล้ว

“ท่านอย่าได้ปิดบังข้าอีกเลย ข้าเดาได้หมดแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้ามิใช่ลูกของตระกูลซือหม่า และพ่อแม่ข้าก็มิใช่คนอาณาจักรตงเฉินด้วย”

“พวกท่านปู่รู้แล้วใช่หรือไม่” เฟิงจือสิงถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเพียงแค่เดาเอาเองเท่านั้น มิได้ไปถามพวกเขาหรอก อาจารย์พ่อ ท่านทราบชาติกำเนิดของข้าใช่หรือไม่”

เฟิงจือสิงมองซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “ในเมื่อเจ้าเดาได้แล้ว จะบอกเจ้าก็ได้ เจ้ามิใช่ลูกของตระกูลซือหม่าจริงๆ และข้ากับท่านพ่อของเจ้าก็รู้จักกันจริงๆ นั่นแหละ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ประหลาดใจเลย เพราะนี่เป็นเรื่องที่เธอคาดเดาได้อยู่แล้ว

“อาจารย์พ่อ เช่นนั้นท่านรู้…” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดไปได้ครึ่งประโยคก็หยุดลงกลางคัน มิได้เอ่ยคำพูดที่เหลือออกมา

“เจ้าอยากถามว่า เหตุใดพวกเขาต้องปล่อยเจ้าเอาไว้ที่นี่ด้วยใช่หรือไม่” เฟิงจือสิงถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ความจริงแล้วถามเพื่อเจ้าของร่างเดิมนั่นเอง

“ความจริงแล้วพวกเขาก็มิได้อยากทำเช่นนี้หรอก เพียงแต่ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นช่างซับซ้อนเหลือเกิน” เฟิงจือสิงถอนหายใจก่อนจะพูดต่อไป “เรื่องราวเหล่านี้ ข้ามิอาจบอกเจ้าอย่างเฉพาะเจาะจงในตอนนี้ได้ เจ้ารู้เพียงแค่ว่าพวกเขามิได้เจตนาจะปล่อยเจ้าทิ้งเอาไว้ที่นี่ก็พอแล้ว พวกเขาเองก็ความลำบากใจและไร้ซึ่งทางเลือกเหมือนกัน”

“อืม ข้าเข้าใจ ขอเพียงแค่มิใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการข้า ข้าก็จะไม่แค้นฝังใจกับพวกเขา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เมื่อได้ฟังคำพูดของเธอ เฟิงจือสิงก็รู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง

“อาจารย์พ่อ ท่านกับท่านพ่อท่านแม่ข้าเป็นสหายสนิทกันหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

เฟิงจือสิงยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ข้ากับท่านพ่อท่านแม่เจ้าเป็นสหายสนิทกัน ข้ากับท่านพ่อเจ้ารู้จักกันตั้งแต่เด็ก เติบใหญ่มาด้วยกัน วัยเยาว์คึกคะนอง อยากจะวัดกันอยู่ตลอดว่าใครมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมกว่ากัน ความสัมพันธ์จึงมิใคร่จะดีนัก แต่ต่อมากลับค้นพบว่าทั้งคู่พัฒนาขึ้นในระหว่างที่ผลัดกันนำผลัดกันตามนี่เอง ความไม่ลงรอยในอดีตจึงกลายเป็นความทรงจำระหว่างกัน”

ซือหม่าโยวเย่ว์คล้ายกับได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่ชายหนุ่มสองคนไล่ตามกันและกันแล้วพัฒนาขึ้นมาด้วยกันเลยทีเดียว

“เช่นนั้นท่านแม่ข้าเล่า”

“ท่านแม่เจ้า…” นัยน์ตาเฟิงจือสิงฉายแววขมขื่น “นางงดงามยิ่งนัก เอ่อ… มิอาจนับได้ว่าใจดีมีเมตตาหรอก แต่กลับกระตือรือร้นกับคนที่ตนรู้จักอย่างที่สุด เจ้าคล้ายคลึงกับท่านแม่เจ้าในจุดนี้เหลือเกิน”

“ท่านพ่อท่านแม่ข้า…ตอนนี้พวกท่านอยู่ที่ไหนหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ตอนนี้พวกเขาอยู่ในสถานที่ที่คนธรรมดาทั่วไปมิอาจเข้าถึงได้” เฟิงจือสิงพูด “มิใช่ว่าพวกเขาไม่อยากมาดูเจ้าหรอกนะ เพียงแต่พวกเขามิอาจมาได้เท่านั้น”

“มามิได้หรือ เพราะเหตุใดเล่า ท่านยังมาได้เลย แล้วเหตุใดพวกเขาจึงมามิได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“สถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้มิสู้ดีนัก เดิมทีเจ้าไม่อาจบำเพ็ญได้ จึงไม่สมควรบอกเรื่องเหล่านี้แก่เจ้า แต่ตอนนี้เจ้าไม่เพียงแต่จะบำเพ็ญได้แล้วเท่านั้น แต่ถึงกับสำเร็จเป็นนักหลอมยา ในอนาคตยังเป็นไปได้ว่าจะสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกล ดังนั้นข้าจึงบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้าได้ หวังว่าเจ้าจะพัฒนาขึ้นมาโดยเร็วที่สุดแล้วไปที่นั่น แล้วเจ้าก็จะได้รู้เรื่องราวมากขึ้นเองนั่นแหละ” เฟิงจือสิงพูด

ความจริงแล้วเหตุผลที่เขามาที่นี่ก็เพื่อถอนพิษให้กับซือหม่าโยวเย่ว์ คิดไม่ถึงว่าตอนที่เขามา เธอก็เริ่มต้นฝึกยุทธ์ได้แล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเฟิงจือสิง เขาพูดอย่างคลุมเครือเหลือเกิน แต่เธอกลับรู้สึกได้ว่าคล้ายจะเกิดเรื่องใหญ่บางอย่างขึ้นกับบิดามารดาของเธอ ดังนั้นจึงต้องส่งเธอมาที่นี่ในตอนนั้น นอกจากนี้ยังไม่เคยมาดูเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียวจนกระทั่งถึงตอนนี้

“ข้าจะพยายามตั้งใจศึกษาเล่าเรียน”

“โยวเย่ว์ จงจำเอาไว้ว่าจะต้องมีพลังยุทธ์ไร้เทียมทาน เจ้าจึงจะมีสิทธิ์อย่างเด็ดขาดในการพูด จึงจะทำสิ่งที่เจ้าอยากทำได้ เข้าใจหรือไม่” เฟิงจือสิงพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้ง

“ข้าเข้าใจแล้ว อาจารย์พ่อ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบอย่างจริงจัง เหตุผลนี้ เธอเข้าใจมานานแล้ว

เฟิงจือสิงมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างปลาบปลื้มใจ พรสวรรค์ของเธอยังยอดเยี่ยมกว่าบุตรแห่งสวรรค์ที่เบื้องบนเหล่านั้นเสียอีก แต่กลับเข้าใจเหตุผลมากกว่า ทั้งยังไม่มีความหยิ่งยโสโอหังเหมือนคนเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย

เขาความคิดวูบไหวคราหนึ่ง หีบใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาแล้วจึงพูดว่า “สิ่งเหล่านี้คือค่ายกลนำส่งแบบใช้ครั้งเดียว พอเจ้าเปิดพวกมันออกแล้วจะสุ่มส่งตัวเจ้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ในภายหน้าหากเจ้าติดกับก็สามารถใช้มันหนีเอาชีวิตรอดได้”

“ขอบคุณอาจารย์พ่อ” ซือหม่าโยวเย่ว์รับหีบมาอย่างไม่เกรงใจ

“นอกจากนี้ข้ายังคิดว่าจะประทับตราอันหนึ่งเอาไว้บนตัวเจ้าด้วย ในภายหน้าเจ้าก็จะรู้ถึงประโยชน์ของมันเอง เจ้าเข้ามาสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไป เฟิงจือสิงให้เธอนั่งลงบนม้านั่ง หลังจากนั้นก็ยืนอยู่ที่ด้านหลังของเธอ

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้ว่าเฟิงจือสิงทำอย่างไร แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่ามีร่างคนแคระจางๆ ร่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมาในห้วงสมองของเธอ โดยมีรูปลักษณ์เหมือนกับตัวเฟิงจือสิงเอง

“เสร็จแล้ว” เสียงเจือความเหนื่อยล้าของเฟิงจือสิงดังขึ้นมาจากด้านหลัง

ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นแล้วหันไปมอง ก็เห็นว่าสีหน้าของเฟิงจือสิงซีดขาวอยู่บ้าง จึงถามว่า “อาจารย์พ่อ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม”

เฟิงจือสิงโบกไม้โบกมือแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก เพียงแต่การแบ่งสติรับรู้ส่วนหนึ่งออกมานั้นออกจะเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่พักผ่อนสักหน่อยก็หายดีแล้ว”

“ขอบคุณท่านมาก” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าการแบ่งสติรับรู้ออกมานั้นจะต้องทำให้ร่างกายเจ็บปวดอย่างแน่นอน แต่เขากลับทำลงไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เธอจะจดจำความรักนี้เอาไว้ในใจไปตลอดกาล

“นอกจากนี้ ถ้าหากเจ้าไปที่ดินแดนโบราณแล้วประสบความยากลำบาก จงอาศัยป้ายหยกชิ้นนี้ไปขอความช่วยเหลือที่โรงประมูลจันทราวายุ พวกเขาจะช่วยเหลือเจ้าอย่างไร้เงื่อนไข” เฟิงจือสิงพูดพลางหยิบป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมาวางลงบนฝ่ามือซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเฟิงจือสิงพลางพูดอย่างจริงจังว่า “อาจารย์พ่อ ท่านวางใจได้เลย ข้าจะตั้งใจบำเพ็ญอย่างดีแน่นอน แล้วไปหาพวกท่านที่เบื้องบนในเร็ววัน”

“อืม ข้าเชื่อเจ้า” เฟิงจือสิงตบบ่าซือหม่าโยวเย่ว์ “กลับไปเถิด อีกประเดี๋ยวข้าจะไปกล่าวลาท่านอาจารย์ใหญ่แล้ว”

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วหมุนกายเดินออกจากประตูไป เฟิงจือสิงโคจรปราณเพื่อพักผ่อนอยู่ในนั้นครู่หนึ่ง

ลำแสงภายในห้องค่อยๆ หม่นลง เขารู้สึกว่าพลังจิตดีขึ้นบ้างแล้วจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้อง พอเปิดประตูก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์รออยู่นอกประตู

“โยวเย่ว์” เขามองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างประหลาดใจ

“ข้าอยากไปส่งอาจารย์พ่อ ดูอาจารย์พ่อจากไป” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เธอรู้ว่าเฟิงจือสิงต้องการเวลาฟื้นฟู ดังนั้นจึงได้คอยอยู่หน้าประตูมาโดยตลอด

เฟิงจือสิงมองเธออย่างอ่อนไหว เดิมทีเขาคิดจะจากไปคนเดียวอย่างสงบ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้วสิ!

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มาด้วยกันเสียเลยสิ” เฟิงจือสิงพูดแล้วหมุนตัวเดินออกไป ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รีบตามไปติดๆ

ทั้งสองมาถึงลานเล็กแห่งหนึ่งในวิทยาลัย ซึ่งก็คือสถานที่ที่ท่านอาจารย์ใหญ่อาศัยอยู่นั่นเอง

เมื่อได้รู้ว่าเฟิงจือสิงจะไป ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสก็มิได้ตกใจอะไรมากนัก เขารู้มาตลอดว่าช้าเร็วอย่างไรเฟิงจือสิงก็ต้องจากไป

หลังจากบอกลาอย่างง่ายๆ แล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์และเฟิงจือสิงก็ไปยังภูเขาด้านหลังวิทยาลัย

“ข้าไปก่อนนะ หวังว่าคราวหน้าที่พวกเราพบกันหวังเวลานั้นเจ้าจะทำให้ข้าดีใจ” เฟิงจือสิงลูบศีรษะซือหม่าโยวเย่ว์

“ขอให้อาจารย์พ่อเดินทางปลอดภัย” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเฟิงจือสิงพลางเอ่ยขึ้น

เฟิงจือสิงพยักหน้าแล้วปล่อยศีรษะเธอ ปลายนิ้วทั้งสองข้างประทับกัน อุโมงค์แห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา

เขายิ้มให้ซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะหมุนกายเข้าไปในอุโมงค์ห้วงมิติ

“โยวเย่ว์ ข้าอยากล้มเลิกความคิดที่จะล้างบางตระกูลน่าหลานน่ะ” ซือหม่าเลี่ยพูด

“เพราะเหตุใดเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าเลี่ยอย่างประหลาดใจ “เป็นเพราะคนที่เทือกเขาผู่สั่วผู้นั้นหรือ”

ซือหม่าเลี่ยพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะทำให้ฝ่าบาททรงคลางแคลงพระทัยในตระกูลน่าหลานแล้ว แต่ถ้าหากสู้กับตระกูลน่าหลานต่อไป ต่อให้ตระกูลเราเอาชนะได้ในท้ายที่สุดก็ยังมีราคาที่ต้องจ่าย แทนที่จะทำเช่นนี้ ข้าอยากจะทุ่มเทจิตใจไปกับการยกระดับพลังยุทธ์ของทุกคนมากกว่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองความวิตกกังวลบนใบหน้าของซือหม่าเลี่ยแล้วเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ ที่แท้แล้วตระกูลนั้นมีอิทธิพลยิ่งใหญ่เพียงใดกันแน่ จึงทำให้เขากังวลใจเช่นนี้ได้

“แต่ท่านปู่ ถ้าหากพวกเราถอยกลับ เช่นนั้นทางด้านตระกูลน่าหลาน…”

“ทางด้านตระกูลน่าหลานเผยความอ่อนแอกับพวกเราแล้วล่ะ” ซือหม่าเลี่ยพูด “น่าจะเป็นเพราะความเกี่ยวข้องกับเจ้า พวกเขาจึงตระหนักว่าสู้กับพวกเราต่อไปก็คงไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อสองวันก่อนจึงมาหาข้า หวังว่าพวกเราจะยอมปล่อยพวกเขาไปสักครั้ง แน่นอนว่าพวกเขาก็ชดเชยให้พวกเราไม่น้อยเช่นกัน”

“เพราะข้าอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตาปริบๆ แล้วพูดว่า “ข้ากับนักหลอมยาของตระกูลพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกันมิใช่หรือ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงยอมถอยไปก่อนเล่า”

“เจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่าเจ้าก่อให้เกิดคลื่นลมอันใดขึ้นทั่วทั้งอาณาจักรตงเฉิน” ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าโยวเย่ว์ที่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “ตั้งแต่ที่เจ้าเปิดเผยความสามารถนักหลอมยาขั้นสองของเจ้าที่งานเลี้ยงในคราวนั้น เมื่อทุกคนได้รู้ว่าเจ้าใช้ระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปีตั้งแต่เริ่มสัมผัสการหลอมยาจนไปถึงระดับนักหลอมยาขั้นสอง ต่างก็พากันเห็นเจ้าเป็นอัจฉริยะไปกันหมดแล้ว”

“ข้าเป็นอัจฉริยะที่ไหนกันเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูก ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับคำสรรเสริญของผู้คนเลย

ซือหม่าเลี่ยแย้มยิ้ม “ตอนนี้ดูเหมือนว่าตระกูลน่าหลานนั่นคงจะพอๆ กันกับพวกเรานั่นแหละ มีนักหลอมยาขั้นสองคนหนึ่งกันทั้งคู่ แต่ในสายตาของทุกคน อีกไม่นานเจ้าก็จะมีผลสำเร็จที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านี้ และแรงดึงดูดของเจ้าก็แข็งแกร่งกว่านักหลอมยาของตระกูลพวกเขามากมายเลยทีเดียว พวกเขามิได้ร่นถอยเพราะความสามารถของเจ้าในตอนนี้หรอกนะ หากแต่เป็นเพราะศักยภาพของเจ้าต่างหากเล่า”

“หึๆ ข้ายังไม่รู้สึกว่าตัวเองร้ายกาจตรงไหนเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดยิ้มๆ “ในเมื่อท่านปู่อยากปล่อยก็ปล่อยพวกเขาไปเถิด ถึงอย่างไรน่าหลานฉีผู้นั้นก็ถูกข้าจัดการไปแล้ว ส่วนน่าหลานหลานนั่นก็ถูกวิทยาลัยไล่ออก ทั้งยังถูกมู่หรงอานทอดทิ้งอีกด้วย มิได้มีจุดจบที่ดีแต่อย่างใดเลย ใช่แล้ว พวกพี่ๆ รู้กันหรือไม่”

“ข้ายังไม่ได้บอกพวกเขาเลย” ซือหม่าเลี่ยพูด “ข้าคิดว่ารอให้เจ้าเห็นด้วยก่อนแล้วค่อยบอกพวกเขา ขอเพียงแค่เจ้าเห็นด้วย พวกเขาก็คงไม่มีข้อโต้แย้งอันใดหรอก”

“อื้ม เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านปู่ว่าแล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ดีจริง”

“เช่นนั้นหากไม่มีเรื่องอันใดแล้วข้าขอตัวกลับก่อนนะขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นพูด

ซือหม่าเลี่ยโบกมือ เธอจึงหมุนกายจากไป เขามองแผ่นหลังของเธอ ความรู้สึกไม่สงบอย่างหนึ่งวนเวียนอยู่ในใจตลอดเวลา และเพราะความรู้สึกนี้เองที่ทำให้เขาล้มเลิกการจัดการกับตระกูลน่าหลาน

ซือหม่าโยวเย่ว์กลับมายังเรือนของตนแล้วให้พวกชุนเจี้ยนออกไป จากนั้นตนจึงเข้าไปภายในมณีวิญญาณ

“เป็นอะไรไปหรือ” หมัวซาสัมผัสได้ถึงคนที่มาปรากฏตัวตรงหน้าตนอย่างฉับพลันจึงลืมตาขึ้นถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์จ้องมองต้นผลอสรพิษทองคำแล้วพูดว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าจะหลอมผลอสรพิษทองคำให้กลายเป็นยาวิเศษได้อย่างไร”

หมัวซาขมวดคิ้วพลางพูดว่า “หลอมเป็นยาวิเศษร้อยโคจรจะดีที่สุด”

“ยาวิเศษร้อยโคจรหรือ นั่นคือยาวิเศษอะไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ยาวิเศษร้อยโคจรระดับไม่สูง มิอาจยกระดับพลังยุทธ์ของมนุษย์ได้โดยตรง แต่กลับมีประโยชน์ในการชำระล้างเส้นเอ็นตัดไขกระดูก ปรับปรุงโครงสร้างร่างกายมนุษย์ จึงส่งเสริมการบำเพ็ญในภายหน้าได้” หมัวซาพูด

“หลอมง่ายหรือไม่”

“ไม่ยากหรอก” หมัวซาพูด “นี่คือยาวิเศษยุคโบราณชนิดหนึ่งซึ่งค่อยๆ หายสาบสูญไปในยุคหลังเพราะการสูญหายของตำรับยาพื้นบ้านและความหายากของผลอสรพิษทองคำ”

“ถ้าหากให้ท่านหลอมจะมีโอกาสหลอมได้สำเร็จเท่าใดหรือ”

“ถ้าหากเป็นตอนที่ข้ายังมีชีวิต โอกาสเต็มร้อย ถ้าหากให้เจ้ามาใส่ปราณวิญญาณ ก็คงสักร้อยละแปดสิบกระมัง”

ซือหม่าโยวเย่ว์กลั้นหายใจ โอกาสหลอมได้สำเร็จร้อยเต็ม เป็นเพราะยาวิเศษชนิดนี้มีข้อจำกัดต่ำเกินไป หรือเป็นเพราะเขาร้ายกาจเกินไปกันแน่!

“แล้วเครื่องยาอื่นๆ เล่า”

“ที่นี่มีครบทั้งหมด” หมัวซาพูด “แต่การหลอมยาชนิดนี้สิ้นเปลืองพลังอย่างมหาศาล ตอนนี้สถานะของข้ายังไม่ได้เลย”

“ต้องอีกนานเท่าใดหรือ”

หมัวซาเหลือบตามองเธอปราดหนึ่งพลางเอ่ยว่า “นี่ก็ต้องดูว่าเจ้าต้องการหลอมมากเท่าใด ผลอสรพิษทองคำผลหนึ่งสามารถหลอมได้แปดถึงสิบเม็ด ตอนนี้เจ้ามีอยู่สี่ผล ต้องดูว่าเจ้าอยากจะนำมาหลอมยาสักกี่ผลล่ะ ใช่แล้ว มนุษย์คนหนึ่งกินได้มากที่สุดสองเม็ด จะปรับปรุงได้มากเท่าใดก็ต้องดูจากโครงสร้างร่างกายของแต่ละคนด้วย กินมากกว่าสองเม็ดไปก็ไร้ผล”

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดคำนวณในใจรอบหนึ่ง บวกกับตนเองด้วยมีทั้งสิ้นสิบคน เช่นนั้นก็ต้องใช้ยี่สิบเม็ด

เมื่อสัมผัสได้ถึงความคิดในใจเธอ หมัวซาจึงพูดออกมาตรงๆ ว่า “ยาวิเศษร้อยโคจรนี้ไม่มีประโยชน์ต่อเจ้าเลย เจ้าไม่ต้องบวกตัวเองเข้าไปด้วยหรอกนะ”

“เพราะเหตุใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจอย่างยิ่ง

“ตอนที่เจ้าทำพันธสัญญากับไข่ฟองนั้น มันได้ใช้เพลิงนิพพานปรับปรุงร่างกายของเจ้าไปแล้ว เมื่อเทียบกับเพลิงนิพพานแล้ว ยาวิเศษร้อยโคจรนี้ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ กับเจ้าเลย” หมัวซาพูด

“เอ่อ… หากท่านไม่พูดถึงข้าก็ลืมเจ้าเพลิงชาดนั่นไปแล้วนะนี่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

นับตั้งแต่คราวก่อนที่ทำพันธสัญญากับเพลิงชาดที่เทือกเขาผู่สั่วแล้ว มันก็อาศัยอยู่ภายในมิติพันธสัญญาด้วยความสงบเงียบอย่างยิ่งมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเริ่มปริปากก่อนเลย ทุกครั้งที่เธอสัมผัสถึงมันได้ล้วนพบว่ามันนอนหลับอยู่ทั้งสิ้น ผ่านไปเนิ่นนานเธอจึงค่อยๆ ละเลยมันไปเสียแล้ว

ความเจ็บปวดที่ได้รับเมื่อคราวก่อนที่ถูกเพลิงนิพพานปรับปรุงทั่วทุกบริเวณของร่างกายทำให้เธอสั่นสะท้านไปทั้งร่างโดยไม่รู้ตัว

หมัวซามองดูท่าทีตระหนักรู้อย่างฉับพลันของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงลอบคิดว่าเจ้าคนผู้นี้ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน ผู้คนมากมายเคยแค่ได้ยินเกี่ยวกับเพลิงนิพพาน รวมถึงสัตว์อสูรเทพที่ครอบครองมันตนนั้น แต่กลับไม่เคยมีโอกาสได้พบเห็นมันเลย แม้กระทั่งเขาเองในตอนแรกก็ยังต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงมหาศาลในการเสาะหา แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา

แต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือตนเองเป็นเพื่อนบ้านกับสัตว์อสูรเทพตนนั้นมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ และยิ่งคิดไม่ถึงว่าในท้ายที่สุดแล้วจะเป็นเด็กสาวเช่นนี้คนหนึ่งที่เป็นผู้ทำพันธสัญญากับมัน

ไม่ใช่สิ หากจะพูดให้ชัดเจนต้องบอกว่ามันถึงกับยอมรับเธอเป็นเจ้านายได้ นอกจากนี้ยังเป็นฝ่ายเริ่มยอมรับเป็นเจ้านายก่อนอีกด้วย

เห็นเธอเป็นเช่นนี้ ถึงกับลืมเลือนเจ้านั่นไปเสียสนิท คนที่ทำกับเพลิงชาดเช่นนี้ได้ คิดไปคิดมาแล้วก็คงมีแค่เธอเพียงผู้เดียวเท่านั้น

“ในเมื่อไม่มีประโยชน์ต่อข้า เช่นนั้นก็ไม่ต้องนับรวมข้า ตัดของข้าออกไปสองเม็ด ก็ยังต้องการอีกสิบแปดเม็ด เช่นนั้นก็หลอมขึ้นมาสองผลก่อนแล้วกัน ถ้าหากไม่พอค่อยเพิ่มเอา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“อีกครึ่งเดือนให้หลังจะหลอมให้เจ้า” หมัวซาพูด

“ดีมาก”

เธอรู้ว่าอันที่จริงแล้วทุกครั้งที่ให้หมัวซาหลอมยาล้วนต้องใช้พลังวิญญาณของเขาไปจนหมดสิ้น ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าขอเวลาครึ่งเดือน เธอจึงมิได้คิดว่าไม่เหมาะสม

เจรจากับหมัวซาเสร็จแล้วเธอก็ไปที่ห้องหลอมยาเพื่อหลอมยาวิเศษจำนวนหนึ่งให้กับร้านค้าของตระกูลซือหม่า เมื่อเห็นว่ารวมกับยาที่หลอมเอาไว้เมื่อสองวันก่อนก็เพียงพอสำหรับขายในระยะเวลาหนึ่งแล้ว เธอจึงค่อยหายตัวออกไป

เธอให้ชุนเจี้ยนส่งยาวิเศษไปให้ซือหม่าเลี่ย หลังจากนั้นจึงเริ่มนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังจิต เมื่อนึกถึงว่าอีกสิบห้าวันให้หลังก็จะหลอมยาวิเศษที่ปรับปรุงโครงสร้างร่างกายได้ให้กับพวกเขาแล้ว เธอจึงจำเป็นต้องรีบยกระดับพลังยุทธ์ของตนให้ได้โดยเร็วที่สุด

เดิมทีคิดว่าเวลาสิบห้าวันจะมาถึงอย่างรวดเร็ว แต่เธอกลับคิดไม่ถึงว่าความเปลี่ยนแปลงจะมาถึงอย่างกะทันหันเหลือเกิน พวกซือหม่าเลี่ยมิได้อยู่รอเธอหลอมยาวิเศษร้อยโคจรให้เสียแล้ว

ผ่านไปไม่กี่วันก็มาถึงวันเริ่มเข้าชั้นเรียนแล้ว

ในเมื่อล้มเลิกการต่อสู้กับตระกูลน่าหลาน ซือหม่าโยวเย่ว์จึงกลับมายังวิทยาลัย เพียงแค่กำหนดวันให้คนมารับยาวิเศษ

เมื่อกลับมาถึงเรือนพัก ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เห็นคนทั้งสี่ยืนอยู่ในลานบ้าน

“อะแฮ่มๆ พวกเจ้ามาทำอะไรกันอยู่ที่นี่น่ะ” เมื่อเห็นพวกเป่ยกงถังแต่ละคนมีสีหน้าถมึงทึงราวกับผู้พิพากษา เธอจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“บอกมาสิว่าจะให้พวกเราเค้นข้อมูล หรือเจ้าจะสารภาพความจริงออกมาเอง” เว่ยจือฉีพูด

“สารภาพอะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตาปริบๆ

“เจ้าสำเร็จเป็นนักหลอมยาตั้งแต่เมื่อใดกัน พวกเราใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเจ้ายังไม่เคยค้นพบเลย ถ้าหากมิใช่เพราะเรื่องที่งานเลี้ยงในคราวนี้ เกรงว่าพวกเราก็คงยังไม่รู้ว่าในหมู่พวกเรามีนักหลอมยาขั้นสองอยู่คนหนึ่งด้วย” เป่ยกงถังพูด

เจ้าอ้วนชวีมายังข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์แล้วตบบ่าเธอพลางเอ่ยว่า “โยวเย่ว์เอ๋ย คราวนี้มิใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้าหรอกนะ แต่ข้าคิดว่าหากเจ้าไม่ยอมสารภาพความจริง พวกเขาย่อมไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่!”

“มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้วน่ะ หลังจากที่เริ่มฝึกยุทธ์ได้เมื่อปีที่แล้วก็ได้สัมผัสกับการหลอมยาเข้าโดยบังเอิญ หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ทำเป็นขึ้นมา” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูก “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรเสียหน่อย พวกเจ้ามีงานยุ่งกันอยู่ทุกวัน ดังนั้นจึงมิได้สังเกตเห็นข้าน่ะสิ”

“ไม่ว่าอย่างไร เรื่องที่เจ้าปิดบังพวกเราก็เป็นเรื่องจริง เพื่อแสดงความขอโทษ เจ้าต้องทำอาหารมื้อใหญ่เลี้ยงพวกเรา ใช้สิ่งนี้ในการชดเชยให้กับหัวใจที่เจ็บปวดของพวกเรา” โอวหยางเฟยพูดวัตถุประสงค์คราวนี้ออกมาในที่สุด

เอิ่ม…

ซือหม่าโยวเย่ว์มองพวกเขาปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ได้สิ ไม่มีปัญหา วันนี้ข้าจะทำอาหารมื้อใหญ่เลี้ยงพวกเจ้าเป็นมื้อกลางวันเอง!”

อันที่จริงเธอรู้อยู่แล้วว่าระหว่างพวกเขาทุกคนล้วนมีความลับของตนเอง พวกเขาก็มิได้อยากจะให้เธอบอกความจริงกับพวกเขาจริงๆ หรอก แค่อยากจะแกล้งเธอสักหน่อยเท่านั้นเอง

แต่โชคดีที่การทำอาหารนี้เป็นสิ่งที่เธอถนัดพอดี ดังนั้นการเลี้ยงพวกเขาจึงมิใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใดเลย

เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์รับปาก ใบหน้าบึ้งตึงของทุกคนจึงค่อยคลายลง

“ข้าอยากกินไก่ผัดเม็ดมะม่วง” โอวหยางเฟยพูด

“ข้าอยากกินปลาต้มเผ็ด” รสนิยมของเป่ยกงถังไม่ธรรมดาเลย

“ของข้าค่อนข้างง่าย อะไรอร่อยก็ทำอันนั้นแหละ” ความต้องการของเว่ยจือฉีดูเหมือนจะง่าย แต่ความจริงแล้วยากที่สุด

“ในเมื่อโยวเย่ว์รับปากแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ไปจัดการธุระของตัวเองกันก่อน รอเวลากินอาหารกลางวันก็พอแล้ว” เจ้าอ้วนชวีพูด

“โยวเย่ว์ เจ้าทำเสร็จแล้วก็มาเรียกพวกเรานะ” เป่ยกงถังพูดจบก็หมุนตัวเดินกลับไปยังห้องของตน

เว่ยจือฉีและโอวหยางเฟยก็จากไปเช่นกัน เหลือเพียงเจ้าอ้วนชวีกับซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่ในลานบ้าน

“ใช่แล้ว โยวเย่ว์ อาจารย์เฟิงให้คนมาถ่ายทอดคำพูด บอกว่าหากวันนี้เจ้ามาที่วิทยาลัยให้ไปพบเขาก่อนฟ้ามืดจะดีที่สุด” เจ้าอ้วนชวีพูดจบแล้วจึงจากไป

ซือหม่าโยวเย่ว์อมยิ้มมองพวกเขา อยากกินอาหารที่เธอทำก็พูดมาตรงๆ สิ จะต้องทำให้ยุ่งยากเช่นนี้ทำไมกัน

เมื่อนึกถึงสิ่งที่เจ้าอ้วนชวีพูดก่อนจากไป ดูท่าทางเฟิงจือสิงจะให้เธอไปแก้ต่างเรื่องที่ใช้เขามาเป็นโล่กำบังให้ตนเองกระมัง!

บางทีอาจเป็นเพราะรู้ว่าเขาช่วยตนรักษาความลับได้ ดังนั้นตอนที่ว่านอู๋เฟิงถามขึ้นมา เธอจึงยกเขามาเป็นข้ออ้างโดยสัญชาตญาณ

“เฮ้อ…”

เธอถอนหายใจแล้วเข้าไปในห้องครัวอย่างยอมรับชะตากรรม เธอทำอาหารกลางวันให้ทุกคนเสร็จก่อนค่อยไปพบเฟิงจือสิงแล้วกัน

พอหยิบวัตถุดิบออกมา เจ้าวิญญาณน้อยก็ช่วยเธอจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเธอจึงเตรียมอาหารทั้งโต๊ะเสร็จอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้จมูกของทุกคนยังไวกว่าสัตว์อสูรวิเศษเสียอีก เธอยังไม่ทันตะโกนเรียก ทุกคนก็ทยอยมายังห้องครัวแล้วเริ่มต้นกินอาหารกันอย่างรู้งาน

ซือหม่าโยวเย่ว์วางน้ำแกงลงเป็นจานสุดท้าย กับข้าวจานก่อนหน้านี้ถูกพวกเขากินไปเกือบครึ่งแล้ว

เธอตกตะลึงเพราะความรวดเร็วของพวกเขา เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพวกเขามีความสามารถในการต่อสู้สูงส่งถึงขนาดนี้!

ขณะกินอาหาร พวกเว่ยจือฉีก็ถามถึงเรื่องราวของตระกูลซือหม่ากับตระกูลน่าหลาน เมื่อได้ยินเธอบอกว่าพวกเขาทั้งสองฝ่ายสงบศึกกันแล้วต่างพากันตื่นตะลึงอยู่บ้าง

ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็มิได้อธิบายอะไรมากมาย มีบางเรื่องที่เธอไม่สะดวกใจจะพูด

ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของเธอก็รู้แล้วว่าเธอไม่สะดวกใจ จึงมิได้ถามซักไซ้อะไรต่อไปอีก

กินข้าวกลางวันเสร็จแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็งุ่นง่านอยู่พักหนึ่งจึงค่อยไปยังห้องทำงานของเฟิงจือสิง

“เข้ามาสิ”

เธอยังไม่ทันเคาะประตูก็มีเสียงลอยมาจากด้านในแล้ว

มือที่จะเคาะประตูเปลี่ยนเป็นผลักประตูแทน พอเข้าไปก็เห็นเฟิงจือสิงที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ

เดิมทีเฟิงจือสิงนั่งหันหลังให้ประตู เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอจึงหมุนเก้าอี้ที่นั่งอยู่ หันมาประจันหน้ากับเธอ

“อาจารย์เฟิง ท่านหาตัวข้าหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ใช่แล้ว” เฟิงจือสิงมองซือหม่าโยวเย่ว์โดยมิได้พูดอะไรต่อ

“แค่กๆ เรื่องนี้ ตอนนั้นข้าไม่มีวิธีอื่น จึงได้แต่อ้างถึงอาจารย์น่ะขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์เริ่มต้นสารภาพ

“เหตุใดข้าจึงไม่รู้เลยว่าข้าหลอมยาวิเศษเป็นด้วย นอกจากนี้ยังรับศิษย์ที่ร้ายกาจเช่นเจ้ามาอีกต่างหาก” เฟิงจือสิงเลิกคิ้ว

ตอนที่รู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นนักหลอมยาขั้นสอง เขาเองก็ประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน ต่อให้อยู่ที่เบื้องบนก็ยังพบเห็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากกว่าเธอได้ยากยิ่้ง

เมื่อนึกถึงว่าท่านอาจารย์ใหญ่กลับมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงให้ฟัง แล้วถามเขาว่าได้รับซือหม่าโยวเย่ว์เป็นศิษย์จริงหรือไม่ หลังจากที่เขาตกใจแล้วจึงช่วยเธอปั้นเรื่องโกหก

“ท่านอาจารย์มีตัวตนอันเป็นปริศนา ทั้งยังมีสถานะสูงส่ง คนทั่วไปย่อมไม่กล้ามาถามท่านอยู่แล้วว่าท่านหลอมยาเป็นหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ดังนั้นถึงแม้ว่าข้าจะพูดไปก็คงไม่มีใครมาหาเรื่องท่านหรอก นอกจากนี้ท่านยังเป็นที่เคารพนับถือ หากพูดว่าท่านสอน ทุกคนก็คงเชื่อกันหมด”

“เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะช่วยเจ้าโกหก” เฟิงจือสิงรู้สึกขบขันอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้เด็กสาวผู้นี้ยังระมัดระวังตัวกับตนเป็นอย่างยิ่งอยู่เลย เหตุใดตอนนี้จึงเชื่อมั่นในตัวเขาเช่นนี้ได้เล่า

“สัญชาตญาณน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบไปอย่างสัตย์จริง

“เอาล่ะ นับว่าสัญชาตญาณของเจ้าไม่ผิดก็แล้วกัน” เฟิงจือสิงพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “เช่นนี้ก็แปลว่าท่านอาจารย์ยอมช่วยข้าโกหกแล้วสินะ”

เฟิงจือสิงไม่ตอบ เพียงแต่พูดว่า “ในเมื่อคนนอกล้วนคิดว่าเจ้าเป็นศิษย์ของข้าแล้ว เช่นนั้นข้าก็ควรสอนอะไรเจ้าบ้าง”

“ท่านอาจารย์จะสอนอะไรข้าอย่างนั้นหรือ”

เฟิงจือสิงหยิบหีบใบหนึ่งออกมาแล้วพูดว่า “เจ้าเข้ามานี่สิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้แน่ชัด แต่ก็ยังเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย

“วางมือของเจ้าลงบนหีบแล้วหลับตา บอกข้ามาว่าเจ้ามองเห็นสิ่งใด” เฟิงจือสิงวางหีบลงบนโต๊ะพลางเอ่ยขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่งเสียงอ้อแล้ววางมือลงบนหีบ หลังจากนั้นจึงหลับตาลง

หีบใบนี้คล้ายจะมีแรงดึงดูดชนิดหนึ่งอยู่ เธอรู้สึกวิงเวียนหัวหมุน จากนั้นก็รู้สึกราวกับว่าตนอยู่ในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง

“บอกข้ามา เจ้ามองเห็นสิ่งใดหรือ” น้ำเสียงอันเต็มไปด้วยแรงดึงดูดของเฟิงจือสิงดังขึ้นรอบกาย

“ไม่เห็นอะไรเลย มีเพียงความมืดอันไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น ทั่วทุกหนแห่งมีเพียงความมืดมิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้ารับสัมผัสต่อไปอีกสักครู่หนึ่งสิ ตอนนี้ยังไม่เห็นอะไรเลยอยู่อีกหรือไม่” เฟิงจือสิงถามอีก

ซือหม่าโยวเย่ว์รวบรวมสมาธิรับสัมผัสอีกครั้ง บริเวณโดยรอบที่เดิมทีมืดสนิทมีแสงสว่างปรากฏขึ้นมาเต็มไปหมด แสงดาวจุดแล้วจุดเล่าปรากฏขึ้นรอบตัวเธอ

เธอมองความเปลี่ยนแปลงรอบตัวอย่างตกตะลึงแล้วพูดอย่างไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง “ข้า… ข้ารู้สึกเหมือนพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางจักรวาลเลย รอบกายล้วนเต็มไปด้วยแสงดาวดวงเล็กดวงน้อย ช่างงดงามเหลือเกิน…”

เฟิงจือสิงได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วร่างกายก็สั่นสะท้านในทันใด

“มิติที่เจ้าเห็นมีขนาดใหญ่เพียงใด” เฟิงจือสิงถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปรอบด้านแล้วพูดว่า “ใหญ่เพียงใดหรือ ข้ามองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลย ทุกหนแห่งล้วนเปิดโล่งไปหมด”

ความตื่นตระหนกของเฟิงจือสิงเปลี่ยนกลายเป็นขนพองสยองเกล้า เขามองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน

ผ่านไปครู่หนึ่ง เห็นเฟิงจือสิงไม่มีการตอบสนอง ซือหม่าโยวเย่ว์จึงลืมตาขึ้นแล้วตะโกนอย่างสงสัย “ท่านอาจารย์”

เฟิงจือสิงสูดลมหายใจเข้าปากลึกแล้วพูดว่า “เอาละ เก็บกลับมาได้แล้ว”

“อ้อ” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บมือของตนกลับมาพลางเอ่ยว่า “นี่คือสิ่งใดหรือ”

เฟิงจือสิงเก็บหีบกลับมาแล้วพูดว่า “นี่คือของสำหรับทดสอบความสามารถในการสัมผัสรับรู้ห้วงมิติของคนแต่ละคน”

“พลังสัมผัสรู้ต่อห้วงมิติอย่างนั้นหรือ”

เขาให้เธอทดสอบสิ่งนี้ทำไมกัน

“ใช่แล้ว” เฟิงจือสิงพูด “ข้ามิได้บอกไปแล้วหรือว่าจะสอนทักษะอย่างหนึ่งให้กับเจ้า ข้ามิใช่นักหลอมยาจึงมิอาจสอนเจ้าหลอมยาได้ แต่ข้าสอนเจ้าเรื่องค่ายกลได้”

“ค่ายกลหรือ ท่านอาจารย์เป็นปรมาจารย์ค่ายกลอย่างนั้นหรือขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจไม่น้อย แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้ยินเรื่องที่เขาเป็นปรมาจารย์ค่ายกลมาก่อนเลย

ถึงแม้ว่าเธอจะเคยโดยสารค่ายกลนำส่งมาหลายครั้งแล้ว แต่กลับไม่เคยพบเจอปรมาจารย์ค่ายกลเลย ได้ยินว่าปรมาจารย์ค่ายกลของอาณาจักรตงเฉินนั้นมีน้อยยิ่งกว่านักหลอมยาและนักหลอมวัตถุเสียอีก ตอนแรกที่ได้ยินว่าเฟิงจือสิงเป็นปรมาจารย์ค่ายกล ในดวงตาของเธอก็มีแววเหนือความคาดหมายและความกระตือรือร้นอันมิอาจปิดบังได้มิด

เฟิงจือสิงพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “คิดอยากจะเป็นปรมาจารย์ค่ายกล นอกจากจะต้องการพลังจิตอันแข็งแกร่งแล้วยังจำเป็นต้องมีพลังสัมผัสรู้ห้วงมิติด้วย ในเมื่อเจ้าสำเร็จเป็นนักหลอมยาแล้ว ก็แสดงว่าพลังจิตของเจ้าไม่มีปัญหา ผ่านการทดสอบเมื่อครู่ พลังสัมผัสรู้ห้วงมิติของเจ้าก็ไม่เลวเลย ขอเพียงแค่เจ้าตระหนักรู้ได้มากพอก็ต้องสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกลได้อย่างแน่นอน”

“การสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกลนั้นยากเย็นมากเลยใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“นึกถึงสัดส่วนระหว่างปรมาจารย์ค่ายกลกับนักหลอมยา นักหลอมวัตถุ และนักฝึกสัตว์อสูรดูสิ เจ้าก็จะรู้แล้วว่าการสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกลได้นั้นยากเย็นเพียงใด” เฟิงจือสิงพูด “นักหลอมยาล้วนต้องอาศัยพลังจิตอันแกร่งกล้า แต่สำหรับปรมาจารย์ค่ายกลแล้ว สิ่งนี้เป็นเพียงแค่พื้นฐานเท่านั้น เพราะห้วงมิติคือสิ่งที่ว่างเปล่าและไม่มีตัวตนชนิดหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมันมิใช่พลังจิต หากแต่เป็นพลังสัมผัสรู้และการตระหนักรู้ ถ้าหากทำสองสิ่งนี้มิได้ ต่อให้พลังจิตแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ก็ไม่มีทางสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกลได้ตลอดกาล”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ถึงว่าเหตุใดจึงแทบไม่เคยได้ยินชื่อปรมาจารย์ค่ายกลในอาณาจักรตงเฉินเลย! ที่แท้การสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกลนั้นก็ลำบากยากเย็นถึงเพียงนี้” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ใช่แล้ว ดังนั้นจึงพูดได้ว่าสถานะของปรมาจารย์ค่ายกลนั้นอยู่เหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ต่างๆ ถ้าหากเจ้าสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกล ยามผู้เชี่ยวชาญศาสตร์อื่นๆ พบเจอเจ้าก็ต้องเคารพนบนอบทั้งสิ้น” เฟิงจือสิงพูด

“หา? ปรมาจารย์ค่ายกลล้ำเลิศถึงเพียงนั้นเชียวหรือ!”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว” เฟิงจือสิงพูด “ค่ายกลแบ่งได้เป็นหลายประเภท แล้วก็มีประโยชน์ที่หลากหลาย จะมีขนาดใหญ่หรือเล็กก็ได้ ที่ถิ่นของพวกเรานั้นมีเมืองมากมายที่อาศัยค่ายกลในการป้องกันการรุกรานจากภายนอก ค่ายกลนำส่งระหว่างเมืองทุกแห่ง สิ่งเหล่านี้เป็นการพูดในภาพรวมนะ พลังยุทธ์ของนักหลอมยามิได้แข็งแกร่งนัก แต่ค่ายกลป้องกันทำให้เขารอจนกว่าความช่วยเหลือจากผู้อื่นจะมาถึงได้ ค่ายกลลวงทำให้คนที่เข้าสู่ค่ายกลหลงทิศทางได้ ยังมีค่ายกลโจมตีที่เพียงแค่มีคนเข้าไปก็จะถูกพลังที่ค่ายกลสร้างออกมาทำร้าย…”

ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังเฟิงจือสิงพูดอย่างน้ำไหลไฟดับ จึงตีปากสองครั้งแล้วพูดว่า “มีค่ายกลมากมายหลายประเภทถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่…”

“ประเภทของค่ายกลมีมากมาย ในภายหน้าเจ้าก็จะค่อยๆ รู้ไปเองแหละ” เฟิงจือสิงพูด “นอกจากนี้ปรมาจารย์ค่ายกลระดับสูงบางคนยังอาจจะหยั่งรู้กลเม็ดเฉพาะตัวของปรมาจารย์ค่ายกลอีกด้วย”

“กลเม็ดอะไรหรือขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างใคร่รู้

เฟิงจือสิงกวาดสายตามองรอบห้อง เมื่อเห็นเชิงเทียนจึงเอ่ยว่า “เจ้าหยิบเทียนมาจุดไฟสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปหยิบเทียนในเชิงเทียนออกมาจุดแล้ววางลงบนโต๊ะ

เฟิงจือสิงมองเทียนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “เจ้าลองเป่าเทียนให้ดับดูสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ก้มตัวลงมาด้านบนเทียนแล้วเป่าลม โดยทั่วไปแล้วการเป่าด้วยระยะทางใกล้ๆ เช่นนี้ เปลวไฟย่อมต้องดับมอดอย่างแน่นอน แต่เปลวไฟบนเทียนเล่มนี้กลับไม่วูบไหวเลยเสียด้วยซ้ำ คล้ายกับว่าเมื่อครู่เธอมิได้เป่าลมเลย

“เอ๊ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เป่าอีกครั้งหนึ่ง เปลวไฟบนเทียนเล่มนั้นก็ยังคงไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว

“นี่มันเรื่องอันใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเฟิงจือสิงแล้วถามขึ้น

เขามิได้ทำอะไรกับมันเลย เหตุใดจึงเป่าไม่ดับเสียทีเช่นนี้เล่า

“เจ้ายื่นมือไปลูบมันดูสิ” เฟิงจือสิงพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นนิ้วมือออกไปหมายจะไปแตะเทียนสักครั้งหนึ่งแต่กลับพบว่าดูเหมือนตนจะถูกบางสิ่งสกัดเอาไว้ทำให้สัมผัสเทียนมิได้เลย

“ท่านอาจารย์ นี่มันเรื่องอันใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างประหลาดใจ

“เพราะข้าปิดผนึกมิติรอบๆ เทียนอย่างไรเล่า ดังนั้นเจ้าจึงมิอาจสัมผัสถูกมันได้” เฟิงจือสิงพูดพลางยื่นมือไปสัมผัสมันคราหนึ่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้เก็บมือกลับมาเลย เธอสัมผัสสิ่งกีดขวางนั้นได้อย่างชัดเจน แต่เฟิงจือสิงกลับสัมผัสเทียนได้ตรงๆ เสียนี่!

“เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ! น่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์เคาะสิ่งกีดขวางอันไร้รูปร่างนั้นด้วยสีหน้าสนุกสนาน “แต่สิ่งนี้มีประโยชน์เช่นไรหรือ”

“เมื่อปิดผนึกมิติแล้วผู้อื่นจะเข้าไปในมิติแห่งนี้ไม่ได้ ขณะที่เจ้าต่อสู้กับผู้อื่น ฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ภายนอกมิติของเจ้าจะไม่อาจเข้ามาช่วยพวกพ้องข้างในได้ เว้นเสียแต่พวกเขาจะมีทำลายห้วงมิติของเจ้าเสีย นอกจากนี้หากอยู่ภายในห้วงมิติของเจ้า พลังยุทธ์ของอีกฝ่ายจะอ่อนแอลงอย่างมหาศาล ถึงขนาดที่ต่อสู้ข้ามขั้นได้เลยทีเดียว” เฟิงจือสิงอธิบายให้เธอฟัง “ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามโจมตีใส่เจ้า แล้วเจ้าปิดผนึกมิติโดยรอบขึ้นมา ก็จะมิอาจทำร้ายเจ้าได้”

“สกัดการโจมตีของผู้อื่นเอาไว้ภายนอกได้หมด เช่นนั้นก็มิได้ร้ายกาจอย่างยิ่งเลยหรือ! ถ้าหากต่อสู้กับผู้อื่น ตอนที่ผู้อื่นโจมตีเข้ามา ข้าก็ปิดผนึกมิติโดยรอบเสีย เช่นนั้นก็เรียกได้ว่าไร้ซึ่งศัตรูแล้วมิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า! นี่ก็มีความสัมพันธ์กับพลังยุทธ์ของปรมาจารย์ค่ายกลด้วย” เฟิงจือสิงพูด “ยิ่งปรมาจารย์ค่ายกลมีความสามารถในการหยั่งรู้ห้วงมิติสูง ความสามารถในการปิดผนึกมิติจึงจะทวีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ สิ่งนี้ก็เหมือนกับการฝึกยุทธ์นั่นแหละ ยิ่งความสามารถแข็งแกร่ง ห้วงมิติที่ผนึกขึ้นมาจึงจะยิ่งทนทาน ต้านทานการโจมตีได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ขนาดของห้วงมิติที่ผนึกขึ้นมาก็แตกต่างกันเพราะพลังยุทธ์ที่แตกต่างกันด้วย ปรมาจารย์ค่ายกลบางคนผนึกได้ขนาดเท่าห้องห้องหนึ่ง แต่บางคนกลับผนึกได้ขนาดเท่ากำปั้นเท่านั้นเอง”

“ถ้าหากตระหนักรู้การปิดผนึกมิติ เช่นนั้นก็คงร้ายกาจอย่างยิ่งเลยทีเดียว!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“กลเม็ดอื่นๆ ของปรมาจารย์ค่ายกลที่ร้ายกาจกว่าการปิดผนึกมิติก็คือการเคลื่อนย้ายมิติ ที่ร้ายกาจขึ้นอีกหน่อยก็คือการสลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นทักษะใดล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของการหยั่งรู้ห้วงมิติทั้งสิ้น” เฟิงจือสิงพูด “ที่ข้าพูดเรื่องเหล่านี้กับเจ้า เพียงแค่อยากจะบอกถึงสถานะของปรมาจารย์ค่ายกลที่โลกแห่งนี้ให้เจ้ารู้ รวมทั้งทิศทางที่เจ้าต้องพยายามต่อไปในภายหน้าอีกด้วย”

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ในใจยกย่องปรมาจารย์ค่ายกลมากยิ่งขึ้น

“ข้ามีตำราเริ่มต้นค่ายกลอยู่กับตัวสองเล่ม เล่มหนึ่งคือความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับค่ายกล อีกเล่มหนึ่งคือคำอธิบายค่ายกลประเภทต่างๆ ในนั้นมีคำอธิบายประกอบจากข้าเองอยู่บางส่วนด้วย อ่านไปแล้วคงไม่เปลืองแรงมากนักหรอก” เฟิงจือสิงหยิบหนังสือสองเล่มออกมาให้ซือหม่าโยวเย่ว์ “เหมือนกับที่บอกไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละ ถ้าอยากสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกล เจ้าก็ต้องไปหยั่งรู้ความเร้นลับของห้วงมิติด้วยตัวเอง ตำราค่ายกลนี้ก็อยู่บนพื้นฐานของสิ่งนี้นี่แหละ”

ซือหม่าโยวเย่ว์รับตำรามา รู้สึกได้ว่าตำราสองเล่มนี้จะต้องแสดงโลกอันมหัศจรรย์อีกใบหนึ่งให้เธอได้สัมผัสอย่างแน่นอน

“ตำราค่ายกลนี้เป็นสิ่งหายากอย่างยิ่งในโลกใบนี้ ดังนั้นเจ้าจะต้องดูแลรักษาพวกมันเป็นอย่างดีเชียว” เฟิงจือสิงย้ำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า

“ข้าจะรักษาเป็นอย่างดีแน่ ท่านอาจารย์” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าอย่างจริงจังแล้วเก็บตำราเข้าไปภายใน มณีวิญญาณ

“ต่อจากนี้ไปให้เจ้าแบ่งเวลาสองคืนต่อสัปดาห์มาที่นี่ ข้าจะให้ความรู้เรื่องค่ายกลกับเจ้า ตอนนี้เจ้ากลับไปลองอ่านตำราสองเล่มนี้ดูก่อน ไม่เข้าใจตรงไหนค่อยมาถามข้า” เฟิงจือสิงพูด

“ได้ขอรับ”

“ในเมื่อรับเจ้าเป็นศิษย์แล้ว เช่นนั้นต่อจากนี้ไปเจ้าต้องตั้งใจศึกษาให้ดี อย่าทำให้ครูต้องขายหน้า เข้าใจหรือไม่” เฟิงจือสิงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เข้าใจแล้วขอรับ อาจารย์พ่อ”

เธอเปลี่ยนคำเรียกจากคำว่าท่านอาจารย์ เป็นคำว่าอาจารย์พ่อ ซึ่งหมายความว่าระหว่างทั้งสองคนมิได้มีเพียงความสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์เท่านั้น แต่ตอนนี้ยังก้าวหน้าสนิทสนมมากขึ้นไปอีกขั้น

“ใช่แล้ว อาจารย์พ่อ ตอนนี้การปิดผนึกมิติของท่านไปถึงระดับใดแล้วหรือ”

เฟิงจือสิงมองเห็นความใคร่รู้ในดวงตาของซือหม่าโยวเย่ว์จึงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ครูก็เพิ่งจะผนึกได้แค่ครึ่งห้องเท่านั้นเอง”

เธอไม่รู้ว่าการผนึกได้ครึ่งห้องทางศาสตร์นี้นับว่าอยู่ในระดับใด เมื่อนึกถึงที่เขาบอกว่าปรมาจารย์ค่ายกลจำนวนไม่น้อยล้วนทำได้เพียงแค่ผนึกห้วงมิติขนาดเท่ากำปั้นเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้วอาจารย์พ่อผู้นี้ของตนย่อมร้ายกาจกว่ามากมายเลยทีเดียว!

เมื่อเห็นท่าทีคิดใคร่ครวญของซือหม่าโยวเย่ว์ เฟิงจือสิงก็มองอย่างตกตะลึงไปชั่วครู่ คล้ายกับได้เห็นเงาร่างของคนผู้นั้นในตอนนั้นอีกครั้ง

ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์ได้สติกลับคืนมาก็เห็นเฟิงจือสิงจ้องมองตนเขม็ง คล้ายกับว่ากำลังมองตน และคล้ายกับว่ามองเห็นสถานที่อื่นผ่านทางตน แววตานั้นมีความเลือนราง มีความทรงจำ ทั้งยังมีความเจ็บปวดใจแฝงอยู่ด้วย

“อาจารย์พ่อ” เธออดที่จะส่งเสียงขัดความคิดของเขามิได้

“แค่กๆ ถ้าหากเจ้าไม่มีเรื่องอันใดแล้วก็กลับไปก่อนเถิด” เฟิงจือสิงแสร้งทำเป็นกระแอมสองครั้งเพื่อกลบเกลื่อนพฤติกรรมของตน แล้วพูดพลางโบกไม้โบกมือไปทางซือหม่าโยวเย่ว์

“เช่นนั้นข้าขอลา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็จากไป เดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดลงแล้วหันกลับมามองเฟิงจือสิงปราดหนึ่ง ขณะนี้เขาได้ตกลงไปในภวังค์แห่งความทรงจำบางอย่างอีกครั้งแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากห้องทำงานแล้วเดินไปในสวนของวิทยาลัยคนเดียว ในใจมีความสงสัยพรั่งพรูขึ้นมาไม่น้อย

ตอนนั้นซือหม่าเลี่ยเคยพูดเรื่องที่เธอมีป้ายชีวิตออกมาโดยไม่เจตนา ทั้งยังพูดว่าตอนที่สร้างป้ายชีวิตให้กับเธอนั้น เฟิงจือสิงก็อยู่ที่นั่นด้วย

คนปกติทั่วไปย่อมไม่มีทางทำของอย่างป้ายชีวิตออกมาได้อยู่แล้ว แม้กระทั่งซือหม่าเลี่ยก็ยังไม่ทำให้กับพวกซือหม่าโยวหมิงเลย ดังนั้นเรื่องที่เธอมีป้ายชีวิตเพียงคนเดียวก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดอยู่แล้ว

ตอนนั้นเฟิงจือสิงอยู่ที่นั่น อีกทั้งเขายังมิใช่คนของอาณาจักรตงเฉินอีกด้วย นั่นก็มิได้หมายความว่าตอนที่สร้างป้ายชีวิตให้เธอนั้น เธอก็มิได้อยู่ที่อาณาจักรตงเฉินหรอกหรือ

หรือว่าเธอมิใช่คนตระกูลซือหม่ามาตั้งแต่แรกแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจเพราะความคิดภายในใจของตนเองจนสะดุ้งโหยง จึงหยุดฝีเท้าอย่างไม่รู้ตัว

เธอรู้สึกว่าการคาดการณ์ของตนออกจะเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง แต่ก็มีบางอย่างแปลกๆ ในความสัมพันธ์ของเธอกับพวกซือหม่าเลี่ยจริงๆ อย่างเช่น มารดาหรือบิดาของเธอมีฝ่ายหนึ่งที่มิใช่เชื้อสายมนุษย์ หากแต่เป็นเผ่าฝ่ายมืด เช่นนี้เธอจึงได้ครอบครองร่างมารสว่าง แต่เท่าที่เธอรู้ มารดาของพวกซือหม่าโยวหมิงนั้นเป็นมนุษย์จริงๆ

รวมถึงตอนนั้นที่ซือหม่าเลี่ยมอบหีบของท่านพ่อให้กับตน ยังบอกว่าเป็นสิ่งที่บิดาของเจ้าทิ้งไว้ให้กับเจ้า ตอนนั้นดูไม่เหมือนการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นตามปกติเลย แต่ดูเหมือนช่วยเก็บรักษาหีบใบนั้นเอาไว้ให้แทนท่านพ่อของตนมากกว่า

ความจริงก็พอเดาออกจากลักษณะทางกายภาพอันแสนพิเศษของเธอได้แล้วว่าเธอมิใช่คนของตระกูลซือหม่า ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยนึกถึงปัญหานี้มาก่อนเลย ตอนนี้พอเรื่องต่างๆ เชื่อมโยงกันขึ้นมา ทำให้เธอเกิดความสงสัยในตัวตนของตัวเองขึ้นมาในทันที

แต่ต่อให้เดาออกแล้วเธอก็ไม่คิดจะไปถามพวกซือหม่าเลี่ยอยู่ดี มิใช่ว่าเธอไม่อยากรู้สถานะของตัวเอง เพียงแต่ตอนนี้เธอถวิลหาความอบอุ่นของตระกูลซือหม่าเสียแล้ว

เธอเชื่อว่าจะต้องมีวันที่เธอได้รู้ความจริงนั้นอย่างแน่นอน ถ้าหากจังหวะเวลามาถึง พวกซือหม่าเลี่ยจะต้องบอกตนแน่

เมื่อจัดระเบียบความคิดเรียบร้อยแล้วซือหม่าโยวเย่ว์จึงถอนหายใจยาวก่อนกลับไปยังเรือนพัก

เพราะอีกประเดี๋ยวก็จะเข้าสู่การศึกษาในภาคเรียนต่อไปแล้ว ดังนั้นพวกเว่ยจือฉีจึงเตรียมตัวสำหรับบทเรียนวันพรุ่งนี้อยู่ในห้องของตนเอง

เธอกลับไปยังห้องตนเองแล้วหยิบตำราที่เฟิงจือสิงให้เธอออกมาวางบนโต๊ะ

“ปรมาจารย์ค่ายกล…” เธอยื่นมือไปลูบปกหนังสือ จนถึงตอนนี้ยังรู้สึกว่าเหนือความคาดหมายอยู่มากพอสมควรเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะเคยคิดว่าหากมีโอกาสจะไปศึกษาเรื่องค่ายกลสักหน่อย แต่เธอก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้มีโอกาสน้อยนิดเพียงใด คิดไม่ถึงว่าเฟิงจือสิงจะเป็นปรมาจารย์ค่ายกล ทำให้โอกาสมาอยู่ตรงหน้าตนในทันใด

“หยั่งรู้ห้วงมิติ สิ่งนี้จะหยั่งรู้ได้อย่างไรกัน” เธอมองไปรอบด้านก็ยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษเลย แล้วจะหยั่งรู้ได้อย่างไรกัน

“อาจารย์พ่อถึงขนาดผนึกห้วงมิติขนาดใหญ่ครึ่งห้องได้ ช่างร้ายกาจเสียจริง ไม่รู้ว่าความสามารถที่แท้จริงของเขาเป็นเช่นไรเลย”

“โคจรมิติ ปิดผนึกมิติ สองสิ่งนี้แม้แต่อาจารย์พ่อก็ยังทำมิได้ จะต้องยิ่งยากเข้าไปใหญ่แน่ ถ้าหากทำเป็นจะต้องล้ำเลิศมากอย่างแน่นอน

“เอาละ ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดเรื่องพวกนี้เลย มาอ่านตำราให้ดีๆ เสียก่อนดีกว่า หยั่งรู้ว่าที่แท้แล้วห้วงมิติที่อาจารย์พ่อว่านั้นเป็นเช่นไร…”

ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้เวลาบ่ายวันหนึ่งไปกับการอ่านตำราและการหยั่งรู้ แต่เมื่อตกกลางคืน เธอก็ยังคงหาเหตุผลไม่ได้อยู่ดี

แต่เธอก็มิได้สิ้นหวัง ถ้าหากหยั่งรู้ได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ เช่นนั้นปรมาจารย์ค่ายกลก็คงจะมิได้หายากไปกว่านักหลอมยาหรอก

วันต่อมาเริ่มต้นเข้าเรียน ดูเหมือนว่าชีวิตของทุกคนจะกลับสู่ความสงบเงียบเช่นก่อนหน้านี้ ทุกวันล้วนมีแต่การเข้าเรียน การเรียน และการฝึกยุทธ์ เนื่องจากพวกเว่ยจือฉีมีตัวประหลาดอย่างซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้คอยกระตุ้นไม่หยุดหย่อน ดังนั้นจึงมีความพยายามมากยิ่งกว่าคนอื่นๆ เพื่อให้ตามเธอได้ทัน ไม่ถูกเธอทิ้งเอาไว้ห่างไกลมากนัก

ระยะเวลาครึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่ายุ่งวุ่นวายมากขึ้นทุกวัน แต่ต่อมาเธอก็ค้นพบว่าตนเองหยั่งรู้ห้วงมิติในขณะที่ตนฟื้นฟูวิญญาณตอนกลางคืนได้ สิ่งนี้ช่วยให้เธอประหยัดเวลาได้อย่างมหาศาล

ยามราตรี ซือหม่าโยวเย่ว์และหมัวซานั่งประจันหน้ากันที่คนละฝั่งของต้นผลอสรพิษทองคำ แสงจันทร์สาดส่องบนต้นไม้ แผ่ไอสีขาวราวน้ำนมออกมา

นี่คือเรื่องที่ทั้งสองคนทำกันอยู่เป็นประจำในตอนกลางคืน เพราะการทำพันธสัญญาจึงก่อให้เกิดความเชื่อมั่นอันไร้รูปร่างระหว่างกันขึ้นมา เชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายย่อมไม่มีทางทำร้ายตน ดังนั้นจึงเข้าสู่การบำเพ็ญได้อย่างวางใจ

คืนนี้หมัวซามิได้บำเพ็ญ พรุ่งนี้ก็จะเป็นเวลาที่ต้องหลอมยาให้กับซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว ภายในวิญญาณของเขาฟื้นฟูขึ้นมาไม่น้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงให้ตนเองได้หยุดพักผ่อนเป็นการชั่วคราว

เขานั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง มองดูซือหม่าโยวเย่ว์ที่กำลังหยั่งรู้ พลางทอดถอนใจว่าเธอช่างโชคดีเสียจริง คนอื่นเหนื่อยยากกันทั้งชีวิตก็ยังไม่แน่ว่าจะได้สิ่งล้ำค่าเช่นนี้มาครอบครองเลย เธอมีพร้อมไปหมดทุกสิ่งอย่าง ทั้งเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรเอย เคล็ดหลอมวิญญาณเอย ล้วนเป็นสิ่งที่เขาฝ่าฟันความยากลำบากนับพันนับหมื่นมาชั่วชีวิตจึงจะได้มาครอบครอง แต่เธอกลับได้มันมาครองอย่างง่ายดายเพราะความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ตำราปรมาจารย์ค่ายกลในโลกทั้งใบนี้ก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย แต่เธอกลับได้พบกับอาจารย์ที่เป็นปรมาจารย์ค่ายกล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเธอยังมีโลกอีกใบหนึ่งให้สิ่งมีชีวิตอาศัยได้อย่างมณีวิญญาณอยู่ด้วย ทั้งยังมีสุดยอดอาวุธเทพหลิงหลงที่ชั่วชีวิตนี้เขาเพียงแค่เคยได้ยินผ่านหูเท่านั้น

เมื่อนึกถึงสิ่งล้ำค่าเหล่านี้ในตัวเธอ โยนสุ่มๆ ออกไปชิ้นหนึ่งล้วนต้องก่อให้เกิดสงครามนองเลือดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าหากมิได้ทำพันธสัญญากัน แม้กระทั่งเขาเองก็ยังต้องใจสั่นหวั่นไหวด้วยเหตุนี้!

ซือหม่าโยวเย่ว์สัมผัสสายตาของเขาได้แต่ก็มิได้ลืมตา เพราะขณะนี้เธอได้เข้าสู่โลกทิพย์อีกใบหนึ่งแล้ว

“ถูกต้อง” เจ้าอ้วนชวีกะเทาะเมล็ดแตงแล้วพูดว่า “ได้ยินว่าวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบหนึ่งร้อยห้าสิบชันษาของฝ่าบาทในครั้งนี้จะจัดงานใหญ่โต ขุมอำนาจชั้นหนึ่งของเมืองหลวงล้วนได้รับเชิญกันหมด เจ้าก็รู้ว่าตระกูลน่าหลานต้องไปอย่างแน่นอน ไม่เพียงแค่พวกเขาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสมาคมนักหลอมยา สมาคมนักฝึกสัตว์อสูร สมาคมปรมาจารย์วิญญาณอะไรก็ต้องส่งคนไปเข้าร่วมกันหมด อย่างเช่นพวกเราก็ต้องเข้าตาองค์ชายสามจึงจะไปได้”

ซือหม่าโยวเย่ว์เคาะนิ้วบนโต๊ะหินพลางเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าวันนั้นขุมอำนาจทุกฝ่ายคงจะไปกันหมดเลยสินะ!”

“ถูกต้อง” เจ้าอ้วนชวีพยักหน้า “ว่ากันตามจริง วันนั้นเป็นโอกาสอันดีที่จะได้สืบข้อมูลเชิงลึก ถ้าหากเจ้าไปดูได้ก็คงไม่เลวเลย”

“อืม ไม่แน่ว่าถึงวันนั้นแล้วอาจจะไปก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ถ้าหากเจ้าไปด้วย ข้าจะได้มีเพื่อนคุย” เจ้าอ้วนชวีพูด “พี่ชายข้าอยากให้ข้าไปเปิดโลกทัศน์ยิ่งนัก แต่ความจริงแล้วข้าเองก็มิได้สนใจเรื่องนั้นสักเท่าใดหรอก ทั้งยังไม่ชอบประจบประแจงองค์ชายสามผู้นั้นด้วย หากเจ้าไปข้าจะได้ไม่เบื่อหน่ายอย่างไรเล่า”

“ค่อยว่ากันเถิด”

“อืม เช่นนั้นข้ากลับก่อนล่ะ อย่าลืมที่บอกนะ ถ้าหากต้องการไหว้วานอะไรเจ้าอ้วนเช่นข้าก็บอกมาได้เลย” เจ้าอ้วนชวียืนขึ้นพูด

“ข้าจะบอกแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม

เธอเดินไปส่งเจ้าอ้วนชวีแล้วกลับไปยังเรือนพักของตน เรื่องที่เธอเป็นนักหลอมยานี้มีเพียงพวกเขาไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ ดังนั้นสายตาที่ทุกคนมองเธอจึงมิได้มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเลย มีเพียงคนที่สนิทสนมกับเธอเท่านั้นที่รู้ว่าเธอมิใช่เธอคนเดิมอีกต่อไปแล้ว

ทุกคนในเมืองหลวงล้วนให้ความสนใจกับเรื่องของตระกูลซือหม่าและตระกูลน่าหลาน ฝ่ายหนึ่งคือตระกูลน่าหลานที่มีพลังยุทธ์ อีกฝ่ายคือจวนแม่ทัพที่ทรงอิทธิพล พวกเขาล้วนไม่อยากช่วยเหลือเลยสักฝ่ายเดียว เพราะถ้าหากยืนผิดฝ่าย สิ่งที่รอพวกเขาอยู่นั้นย่อมต้องเป็นหายนะของการวางเดิมพันผิดข้าง

ทุกคนต่างรู้เรื่องที่ตระกูลน่าหลานเชิญนักหลอมยาท่านหนึ่งมาเข้าร่วมอยู่ก่อนแล้ว และพวกเขาก็รู้ว่าตระกูลซือหม่ามีความสัมพันธ์ที่มิใคร่จะดีนักกับนักหลอมยามาโดยตลอด คิดในใจไว้ว่าคราวนี้ตระกูลซือหม่าต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

ข่าวที่ว่ายาวิเศษของร้านค้าตระกูลซือหม่าหมดเกลี้ยงนั้นแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟไหม้ ตระกูลจำนวนไม่น้อยได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ ยาวิเศษนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งชีพสำหรับทุกตระกูลเลยก็ว่าได้!

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ร้านค้าตระกูลซือหม่าก็นำยาวิเศษออกมาจำหน่ายอีกครั้ง นอกจากนี้ราคายังต่ำลงกว่าเมื่อก่อนถึงหนึ่งในสามอีกด้วย ราคาถูกกว่าของตระกูลน่าหลานเสียอีก

สำหรับทหารรับจ้างที่มิได้มั่งมีมากนัก ราคานี้ย่อมมีแรงดึงดูดมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเพียงไม่นานทหารรับจ้างจำนวนไม่น้อยจึงย้ายไปที่ร้านค้าตระกูลซือหม่าแทน

ตระกูลน่าหลานก็ได้รับทราบข่าวอย่างรวดเร็วเช่นกัน เรื่องที่ยาวิเศษของตระกูลซือหม่าถูกซื้อไปจนหมดอย่างรวดเร็วก็เป็นเพราะพวกเขาส่งคนไปกว้านซื้อนั่นเอง เพื่อให้ร้านค้าของพวกเขาเสียความดึงดูดใจไป แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะสามารถดึงเอายาวิเศษออกมาได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ราคายังต่ำกว่าของพวกตนเสียอีก ซึ่งเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของพวกเขาอย่างยิ่ง

ในห้องปรึกษาธุระของตระกูลน่าหลาน น่าหลานเหอนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง ผู้อาวุโสสองคนยืนอยู่ข้างๆ ส่วนคนอื่นๆ นั่งอยู่เบื้องล่าง

“ท่านประมุขตระกูล เรื่องที่ตระกูลซือหม่ายังมียาวิเศษอยู่อีกนั้นเป็นความจริงหรือ” ผู้อาวุโสรองพูด

“ใช่” น่าหลานเหอพยักหน้า “เพิ่งได้รับข่าวมาเมื่อครู่ว่าพวกเขายังคงขายยาวิเศษต่อไปจริงๆ”

“แต่มิใช่ว่าพวกเราไปกว้านซื้อยาวิเศษชุดสุดท้ายของพวกเขามาจนหมดแล้วหรือ ร้านค้าเหล่านั้นก็ได้รับปากเอาไว้แล้วว่าจะไม่ให้สินค้ากับตระกูลซือหม่าอีก แล้วพวกเขาไปเอายาวิเศษมาจากไหนกัน” ผู้อาวุโสรองพูดอย่างสงสัย

“หรือจะมีคนไม่ยอมทำตามข้อตกลงที่ทำไว้กับพวกเรา แอบขายยาวิเศษให้พวกเขาเป็นการส่วนตัว” ผู้อาวุโสใหญ่พูด

“ไม่น่าจะใช่หรอก” น่าหลานเหอพูด “ต่อให้คนเหล่านั้นไม่ยอมทำตามข้อตกลงแล้วขายยาวิเศษให้กับพวกซือหม่าเลี่ย พวกเขาก็ไม่มีทางไปซื้อหามาได้มากมายเช่นนั้นในเวลาเพียงชั่วครู่เดียวหรอก นอกจากนี้ยังกดราคาให้ต่ำลงได้ถึงขนาดนี้อีกด้วย”

“เช่นนั้นท่านประมุขตระกูลก็หมายความว่า…”

น่าหลานเหอนิ่งคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด พวกเขาน่าจะหาตัวนักหลอมยาพบแล้วล่ะ”

“จะเป็นไปได้อย่างไร!” ผู้อาวุโสรองส่ายหน้าอย่างมั่นใจ “คนที่พวกเราส่งไปบอกว่านักหลอมยาทุกคนที่ติดต่อกับตระกูลซือหม่าล้วนไม่ประสบความสำเร็จกันทั้งสิ้น จู่ๆ พวกเขาจะมีนักหลอมยาเต็มใจมาเข้าร่วมตระกูลพวกเขาอย่างปุบปับได้อย่างไรกัน”

“ท่านประมุขตระกูล ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสรองขอรับ” ผู้ดูแลร้านหนวดโค้งที่นั่งอยู่เบื้องล่างผู้หนึ่งเอ่ยปากพูด “จากข่าวที่แพร่สะพัดอยู่ข้างล่าง ตระกูลซือหม่ามียาวิเศษกว่าพันเม็ดโผล่มาอย่างปุบปับ นักหลอมยาคนไหนๆ ก็ไม่มีทางหยิบเอายาวิเศษมากมายถึงเพียงนี้ออกมาได้ในชั่วพริบตาหรอกขอรับ”

“กว่าพันเม็ดเลยหรือ” จำนวนนี้ทำเอาผู้อาวุโสใหญ่ที่สงบนิ่งมาโดยตลอดตกตะลึงอยู่บ้าง

“เจ้าแน่ใจหรือ”

“ข้าน้อยแน่ใจขอรับ แน่ใจว่ามีกว่าพันเม็ดเลยทีเดียว” บุรุษหนวดโค้งพูด “นอกจากนี้ราคายาวิเศษของพวกเราในตอนนี้ยังถูกตั้งเอาไว้ที่ราคาทุนแล้วด้วย แต่พวกเขายังตั้งราคาต่ำกว่าเราอีกนะขอรับ”

“เฮอะ ซือหม่าเลี่ยคิดจะดึงดูดลูกค้าเหล่านั้นด้วยวิธีเช่นนี้ ไม่สนใจต้นทุน เช่นนั้นพวกเขาก็คงทนไหวได้ไม่นานเท่าไหร่นักหรอก!” ผู้อาวุโสรองพูด

“ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน” ผู้อาวุโสใหญ่พูด “ฆ่านกเพื่อเก็บไข่ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่แผนการในระยะยาวอยู่ดี”

“เช่นนั้นยาวิเศษของพวกเราจำเป็นจะต้องลดราคาด้วยหรือไม่ขอรับ” บุรุษหนวดโค้งถาม

“ไม่ต้องหรอก” น่าหลานเหอพูด “พวกเขาทนได้ไม่นานหรอก พอพวกเขาขายยาวิเศษหมดแล้ว ลองดูสิว่าพวกเขาจะยังจะทำต่อไปได้อีกหรือไม่ นอกจากพวกเราจะให้การคารวะและมอบเครื่องยาแก่ปรมาจารย์เหอ ก็ทำให้เราเสียรายได้ไปมากพอแล้ว หากลดราคาอีกอาจส่งผลกระทบต่อการจัดหาในภายหน้าได้”

“ขอรับ ท่านประมุขตระกูล”

น่าหลานเหอลูบแขนเสื้อซ้ายอันว่างเปล่า สีหน้ามืดหม่นจนน่ากลัว ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานตรงๆ แต่สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่า เรื่องที่เทือกเขาผู่สั่วย่อมมีความสัมพันธ์กับตระกูลซือหม่าอย่างแยกไม่ออก

“ท่านประมุขตระกูลขอรับ เดือนหน้าเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาท ได้จัดเตรียมของขวัญเอาไว้เรียบร้อยแล้ว วันนี้เพิ่งมาถึงคลังสมบัติเลยขอรับ”

เปรียบเทียบกับเรื่องของตระกูลซือหม่าแล้ว วันเฉลิมพระชนมพรรษาของกษัตริย์ตงเฉินก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่พวกเขาให้ความสำคัญในระยะนี้เช่นเดียวกัน

“ถึงแล้วหรือ เช่นนั้นพวกเราไปดูกันเถิด พวกเจ้ากลับไปสังเกตการณ์ดูสถานการณ์ทางนั้นต่อไปนะ” น่าหลานเหอพูดกับผู้ดูแลร้านที่อยู่เบื้องล่าง

“ขอรับ”

“ผู้อาวุโสทั้งสอง พวกเราไปดูของขวัญวันเฉลิมพระชนมพรรษากันดีกว่า…”

เรื่องที่ร้านค้าตระกูลซือหม่าจำหน่ายยาวิเศษราคาถูกแพร่สะพัดไปในหมู่ทหารรับจ้าง ทหารรับจ้างจำนวนไม่น้อยจึงวิ่งไปซื้อกันคนแล้วคนเล่า นอกจากนี้ยังซื้อมามากกว่าปกติสองเม็ดอย่างเต็มใจเพราะราคาที่ถูกแสนถูก เพียงไม่กี่วันยาวิเศษเหล่านั้นก็ขายไปจนหมดเกลี้ยง

ในขณะที่ทุกคนนั่งรอตอนที่ตระกูลซือหม่าไม่มียาวิเศษจำหน่ายอยู่นั้นเอง พวกเขาก็ยกอีกชุดหนึ่งออกมาวางจำหน่ายในทันที โดยที่ราคายังคงไม่เปลี่ยนแปลง

การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ผู้คนทั้งเมืองหลวงตาค้าง หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ ก็หมายความว่าตระกูลซือหม่าได้เชิญนักหลอมยาท่านหนึ่งมาแล้วจริงๆ! นอกจากนี้เมื่อดูจากยาวิเศษที่พวกเขาวางจำหน่ายแล้ว อย่างน้อยคนผู้นั้นก็ต้องเป็นนักหลอมยาขั้นสองอีกด้วย!

ข่าวนี้ทำให้น่าหลานเหอตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่กลับมิได้โจมตีเขาเลย เขาส่งคนไปตรวจสอบร้านที่เป็นผู้จัดหาเครื่องยาให้ตระกูลซือหม่า พยายามจะตัดต้นทางวัตถุดิบเครื่องยาของพวกเขา แต่ข่าวที่ได้รับกลับกลายเป็นว่า… ตระกูลซือหม่ามิได้ซื้อหาเครื่องยาใดๆ จากผู้อื่นมาตั้งแต่ต้นแล้ว!

“หรือว่ายาวิเศษของพวกเขาหล่นลงมาจากฟ้ากันเล่า” ผู้อาวุโสรองสงสัยไม่น้อยเลย “หรือจะบอกว่ามีขุมอำนาจใหญ่อะไรคอยสนับสนุนพวกเขาอยู่เบื้องหลัง”

น่าหลานเหอส่ายศีรษะ “นอกจากสมาคมนักหลอมยาแล้ว ตอนนี้ขุมอำนาจใดเล่าที่จะมีความสามารถขนาดที่จะมาช่วยเหลือตระกูลซือหม่าอย่างมือเติบเช่นนี้ได้ แต่พวกเราก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของซือหม่าเลี่ยกับสมาคมนักหลอมยาดี ไม่ขุดหลุมพรางขว้างก้อนหินใส่ก็ดีถมไปแล้ว จะยื่นมือช่วยเหลือพวกเขาน่ะหรือ เรื่องนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”

“เช่นนั้นจะอธิบายเรื่องตระกูลซือหม่าอย่างไรเล่า”

น่าหลานเหอหัวเราะเสียงเยียบเย็น “ใกล้จะถึงงานฉลองแห่งรัฐแล้ว ถึงตอนนั้นจะต้องมีวิธีทำให้ตาเฒ่าซือหม่าเลี่ยนั่นคายความจริงออกมาอย่างแน่นอน!”

……………………

ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอาบแดดอยู่บนเก้าอี้โยกอย่างอารมณ์ดียิ่ง วันนี้เธอเพิ่งจะมอบยาวิเศษชุดหนึ่งให้กับพวกซือหม่าโยวหมิง ได้รู้ปฏิกิริยาตอบสนองของตระกูลน่าหลานจากปากพวกเขา เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของคนที่มาสืบข่าวยามที่เห็นพวกเขาหยิบเอายาวิเศษชุดที่สองออกมาแล้ว และเมื่อนึกถึงสีหน้าของพวกน่าหลานเหอในตอนนี้ หัวใจของเธอก็สุขสันต์ยิ่งนัก

“คุณชาย อีกสองวันก็จะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาทแล้วนะเจ้าคะ ท่านจะไปหรือไม่” ชุนเจี้ยนชงน้ำชาให้ซือหม่าโยวเย่ว์ถ้วยหนึ่งก่อนจะส่งให้เธอพลางถามขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์รับถ้วยชามา เมื่อนึกถึงที่เจ้าอ้วนชวีบอกว่าขุมอำนาจมากมายล้วนไปกันทั้งสิ้นจึงพูดว่า “ไปสิ เหตุใดจึงจะไม่ไปเล่า ข้ายังอยากจะไปดูสภาพของน่าหลานเหอผู้นั้นในตอนนี้สักหน่อย”

“กลัวแต่ว่าตระกูลน่าหลานจะมาหาเรื่องคุณชายน่ะสิเจ้าคะ” ชุนเจี้ยนพูด

“คนไร้ค่าที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่เช่นข้า พวกเขาจะมาหาเรื่องภายใต้ชื่อตระกูลใหญ่ได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “สิ่งที่ข้ากังวลก็คือพวกเขาจะมาหาเรื่องท่านปู่น่ะสิ”

นี่คือเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งที่ทำให้เธอคิดจะไป

ตอนนี้สงครามการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายเข้าสู่ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแล้ว สำหรับเรื่องที่มีนักหลอมยาโผล่มาอย่างฉับพลันนั้นเกรงว่าน่าหลานเหอคงจะไม่มีทางปล่อยให้โอกาสในการหาเรื่องนี้หลุดลอยไปแน่

“ตระกูลน่าหลานนี้ครอบครัวก็ใหญ่ ทั้งยังมีธุรกิจใหญ่โต เพียงแต่ว่าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องนัก มีวิธีอะไรที่ทำให้พวกเขาตายไปเลยหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูใบชาในถ้วยชา พลางปล่อยใจไปตามความคิด

“คุณชายเจ้าคะ ไม่ว่าจะทำอย่างไร พวกเราก็มิอาจทำให้คนตระกูลน่าหลานตายไปตรงๆ ได้หรอกเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงเอ่ยขึ้น

“เพราะเหตุใดกัน”

“เพราะราชวงศ์ไม่อนุญาตน่ะสิเจ้าคะ” ชุนเจี้ยนพูด “ท่านแม่ทัพปกครองกองทัพ และถึงแม้ว่าตระกูลน่าหลานนั่นจะเป็นเพียงแค่ตระกูลหนึ่ง แต่ก็ถ่วงสมดุลอำนาจในเมืองหลวงได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว สถานะของท่านแม่ทัพทำให้เขาได้แต่กดดันตระกูลน่าหลาน แต่มิอาจล้างบางพวกเขาได้”

“เช่นนั้นผู้ใดที่ล้างบางพวกเขาได้บ้างเล่า”

“ฝ่าบาทอย่างไรเล่าเจ้าคะ!” ชุนเจี้ยนพูด “มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่มีอิทธิพลพอจะล้างบางตระกูลใหญ่เช่นนี้ได้ ในขณะเดียวกันก็มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่มีความสามารถนี้”

“ฝ่าบาทหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงสิ่งที่ซือหม่าเลี่ยเคยพูด คนผู้นั้นยังคิดจะใช้ตระกูลน่าหลานมายับยั้งตระกูลซือหม่าอยู่เลย แล้วจะมาล้างบางพวกเขาได้อย่างไรกัน

“เรื่องนี้มิใช่ว่าจะหมดหนทางหรอกนะเจ้าคะ เพียงแค่เข้าไปให้ถูกจุดก็ใช้ได้แล้วเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนพูด “ข้าเคยได้ยินท่านแม่ทัพพูดว่าขณะนี้ฝ่าบาททรงคลางแคลงพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้…”

ซือหม่าโยวเย่ว์ดวงตาเป็นประกาย จ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้้นจากเก้าอี้มาขยี้ใบหน้าชุนเจี้ยนพลางพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ชุนเจี้ยน เจ้าช่างแสนรู้เสียจริง ข้าจะไปปรึกษากับท่านปู่เดี๋ยวนี้แหละ”

พูดจบแล้วเธอก็รีบร้อนวิ่งออกไป ทิ้งชุนเจี้ยนเอาไว้ให้ยืนตกตะลึงอยู่

“คุณชาย… เขาไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลยจริงๆ…”

สองวันให้หลังก็ถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบหนึ่งร้อยห้าสิบชันษาของกษัตริย์แห่งอาณาจักรตงเฉิน ราชวงศ์จัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตเชิญแขกเหรื่อมากมายเพื่อพระองค์ องค์ชายใหญ่และองค์ชายสามเป็นเจ้าภาพ เชิญขุมอำนาจชั้นหนึ่งทั่วราชอาณาจักรมาทั้งหมด จัดงานเลี้ยงใหญ่โตมโหฬารขึ้นที่พระราชวังหลวง

ซือหม่าเลี่ยเป็นแม่ทัพใหญ่ จึงต้องดูแลความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในงานเลี้ยง ดังนั้นเขาจึงเข้าวังตั้งแต่เช้า พอพลบค่ำ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยนั่งรถเทียมสัตว์อสูรไปยังพระราชวังกับพวกซือหม่าโยวหมิงทั้งสี่คน

รถเทียมสัตว์อสูรมาถึงประตูพระราชวังแล้วก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งขวางทางเอาไว้

“ทำไมหรือ” ซือหม่าโยวหมิงเปิดประตูรถมาถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปตามประตู ทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งยืนขวางทางพวกเธอไว้อยู่ตรงหน้ารถเทียมสัตว์อสูร

“ที่แท้ก็เป็นคุณชายใหญ่นั่นเอง” ดูเหมือนว่าหัวหน้าทหารองครักษ์จะรู้จักซือหม่าโยวหมิง เขาประสานมือคำนับพลางพูดว่า “องค์ชายใหญ่ทรงมีบัญชา เพื่อแสดงความเคารพต่อฝ่าบาท คืนนี้ทุกคนห้ามนั่งรถเทียมสัตว์อสูรเข้าวัง ดังนั้นขอเชิญคุณชายใหญ่และคุณชายทุกท่านลงจากรถแล้วเดินเท้าเข้าวังนะขอรับ”

“คนอื่นๆ ก็ด้วยหรือ” ซือหม่าโยวฉีถาม

“ขอรับ ต้องจอดรถเทียมสัตว์อสูรเอาไว้รวมกันทางด้านโน้น” ผู้เป็นหัวหน้าชี้ไปยังพื้นที่ว่างด้านข้าง

ซือหม่าโยวเย่ว์มองออกไปจากหน้าต่างก็เห็นรถเทียมสัตว์อสูรจำนวนหนึ่งจอดอย่างเป็นระเบียบอยู่บนพื้นที่ว่างนั้น

ซือหม่าโยวหมิงมองปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ลงไปกันเถิด”

“อื้ม”

ทั้งห้าคนลงจากรถ ทหารองครักษ์คนหนึ่งนำทางคนขับรถม้าไปยังที่จอดรถม้าข้างๆ

“ขอบพระคุณคุณชายทุกท่านที่ให้ความร่วมมือขอรับ” หัวหน้าประสานมือขอบคุณอีกครั้ง

“พวกเราเข้าไปกันเถิด” ซือหม่าโยวฉีตบบ่าซือหม่าโยวเย่ว์ที่กำลังมองประเมินสถานการณ์อยู่ เตือนให้เธอเดินไปพร้อมกับทุกคน อย่าเดินรั้งท้ายอยู่คนเดียว

ในขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าสู่ประตูวังนั้นเอง รถเทียมสัตว์อสูรอีกสองคันก็ถูกขวางเอาไว้เช่นกัน

“อะไรนะ จะให้พวกเราเดินเข้าไปอย่างนั้นหรือ!”

น้ำเสียงตวาดแหลมอย่างฉับพลันดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยรอบในทันใด แม้กระทั่งพวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยังต้องหันมามอง

ซือหม่าโยวเล่อเห็นสัญลักษณ์บนรถเทียมสัตว์อสูรแล้วจึงเบ้ปากก่อนจะเอ่ยว่า “สมาคมนักหลอมยานี่ช่างหยิ่งยโสมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ คงจะรู้สึกว่าตัวเองเลิศเลอมากเลยสินะ!”

“พวกเขายอดเยี่ยมจริงๆ นี่นา” ซือหม่าโยวหมิงถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเล่อทีหนึ่งแล้วพูดว่า “คืนนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของฝ่าบาท พวกเราอย่าก่อเรื่องอันใดเลยจะดีกว่า มิฉะนั้นอาจชักนำเรื่องยุ่งยากมาสู่ท่านปู่ก็ได้”

“พวกเรารู้อยู่แล้วน่า” ซือหม่าโยวเล่อพูดพลางลูบศีรษะ

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเดินลงมาจากรถเทียมสัตว์อสูร ตามด้วยหญิงสาวสวมอาภรณ์สีขาว ทั้งยังมีบุรุษวัยกลางคนอีกคนหนึ่งด้วย และผู้ที่ลงมาท้ายสุดก็คือชายชราคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าหญิงสาวอาภรณ์ขาวจะไม่พอใจที่ถูกขวางทาง สีหน้าดำทะมึนราวกับน้ำหมึก นางเดินเข้าไปชกหัวหน้าทหารยามหมัดหนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้านี่ช่างไม่รู้จักดูเอาเสียเลยว่านี่คือรถของผู้ใด ถึงได้บังอาจให้พวกเราเดินเข้าไป ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้วใช่หรือไม่!”

หัวหน้าทหารยามผู้นั้นลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วพูดว่า “นี่คือบัญชาขององค์ชายใหญ่ขอรับ ไม่ว่าผู้ใดที่จะเข้าไปในพระราชวังล้วนต้องเดินเท้าเข้าไปทั้งสิ้น ขอท่านปรมาจารย์ศิลาและหัวหน้าสมาคมอู๋โปรดอภัยด้วยนะขอรับ”

“เฮอะ องค์ชายใหญ่ก็ตรัสว่าพวกเราจำเป็นต้องเดินเท้าเข้าไปในพระราชวังด้วยอย่างนั้นหรือ” บุรุษวัยกลางคนเชิดคางขึ้นสูง วางท่าทียโสโอหังอย่างยิ่ง

“ปรมาจารย์ศิลาขอรับ องค์ชายใหญ่ตรัสว่าทุกคนเลยขอรับ” หัวหน้าทหารยามพูด

สือเหล่ยคิดไม่ถึงว่าหัวหน้าทหารยามผู้นั้นจะกล้าตอบเขามาเช่นนี้ จึงหน้าเสียไปในทันที ในขณะที่กำลังจะบันดาลโทสะใส่หัวหน้าทหารยามผู้นั้นนั่นเอง ซือหม่าโยวเย่ว์ก็พูดขึ้นมา

“โอ้… นี่มิใช่ปรมาจารย์ศิลาหรอกหรือ มาโวยวายอะไรอยู่ที่นี่เล่า”

สือเหล่ยที่กำลังจะบันดาลโทสะถูกขัดจังหวะ จึงถลึงตาใส่ผู้พูดอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าเป็นซือหม่าโยวเย่ว์คนไร้ค่าผู้นี้ สีหน้าจึงยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่

“ซือหม่าโยวเย่ว์หรือ เจ้ามาด้วยได้อย่างไรกัน” บุรุษหนุ่มมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ จึงหรี่ตาทั้งสองลงเล็กน้อย

ซือหม่าโยวเย่ว์จึงได้เห็นบุรุษหนุ่มผู้นั้นเต็มๆ ตา มู่หรงอานผู้นี้ไปอยู่กับสมาคมนักหลอมยาตั้งแต่เมื่อใดกัน

เมื่อมองหญิงสาวอาภรณ์ขาวข้างกายเขาอีกครั้ง พอน่าหลานหลานถูกขับไล่ออกจากวิทยาลัย เขาก็เปลี่ยนคนเลยหรือ

“วันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาททั้งที คนอย่างข้าก็ต้องอยากมาเปิดหูเปิดตาอยู่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ปรมาจารย์ศิลา หากไม่เต็มใจเข้าไปก็ไม่ต้องเข้าไปก็ได้นี่นา ไอ้หยา ท่านพี่ทหารยาม ท่านก็ไม่ดูเสียบ้างเลยว่านี่คือรถเทียมสัตว์อสูรของใคร นี่คือปรมาจารย์ศิลาและหัวหน้าสมาคมอู๋แห่งสมาคมนักหลอมยาเชียวนะ ท่านจะให้พวกเขาลงมาได้อย่างไรกัน ข้ารู้ดีที่ท่านบอกว่านี่คือบัญชาขององค์ชายใหญ่ แต่สถานะของสมาคมนักหลอมยาเป็นสิ่งที่คนทั่วไปสั่นคลอนได้หรือไร พวกเขายังจำเป็นต้องลงมาเดินเท้าอีกหรือ”

เมื่อได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ สีหน้าของหัวหน้าสมาคมผู้นั้นและสือเหล่ยก็แปรเปลี่ยนไปในทันใด สายตาที่ผู้คนรอบๆ มองพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

ถ้าหากพวกเขายังคงยืนกรานที่จะนั่งรถเทียมสัตว์อสูรเข้าไป นั่นก็เท่ากับพูดเป็นนัยว่าสถานะของสมาคมนักหลอมยาอยู่เหนือกว่าองค์ชายใหญ่ เหนือกว่าทั้งราชวงศ์เสียอีก!

…………………..………

เสียงกระซิบกระซาบรอบตัวทำให้พวกอู๋หลินเคอะเขินอยู่บ้าง

อันที่จริงแล้วเพียงแค่บัญชาขององค์ชายใหญ่ สมาคมนักหลอมยาก็อาจจะไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยจริงๆ แต่ตอนนี้อยู่ท่ามกลางแสงไฟในสายตาจับจ้องมากมายเช่นนี้ ถึงแม้ในใจของทุกคนจะรู้สึกเช่นนั้น แต่สมาคมนักหลอมยาก็ยังคงไม่กล้ายโสโอหังถึงเพียงนั้นอยู่ดี

“พวกเราเดินเข้าไปก็ได้” อู๋หลินสะบัดแขนเสื้อ ไม่มองฝูงชน แล้วเดินก้าวยาวๆ มุ่งหน้าเข้าไปทางประตูวัง ในขณะที่เดินผ่านพวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็เหลือบตามองเธอปราดหนึ่ง

ก่อนหน้านี้คนไร้ค่าผู้นี้ขึ้นชื่อในเรื่องความไร้สมอง วาจาที่นางพูดเมื่อครู่นี้เพราะตั้งใจหรือไร้ซึ่งเจตนากันเล่า

ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มให้เขาด้วยท่าทีไร้เดียงสา

“เฮอะ คนไร้ค่ายังมีหน้าโผล่หัวมาอีก” หญิงสาวอาภรณ์ขาวรู้สึกไม่พอใจซือหม่าโยวเย่ว์เป็นอย่างยิ่ง ขณะที่เดินผ่านตรงหน้า นางจึงค้อนใส่เธอแรงๆ ทีหนึ่ง

มู่หรงอานเดินไปพร้อมกับหญิงสาวอาภรณ์ขาวผู้นั้น เมื่อเห็นท่าทางโกรธฟึดฟัดของนางจึงเอ่ยปลอบประโลมว่า “ไม่เห็นจำเป็นต้องไปสนใจเขาเลยนี่”

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินคำพูดของเขาจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนั้นเขาก็คือผู้กระทำผิดที่ทำร้ายร่างเดิมของตนจนตาย ระยะนี้ไม่พบเจอกันนานจนตนแทบจะหลงลืมคนผู้นี้ไปเสียแล้ว!

เธอยิ้มเย็นในใจแล้วปั้นรอยยิ้มบนใบหน้าตะโกนไปทางเขาว่า “คุณชายมู่หรง เหตุใดวันนี้จึงไม่เห็นเจ้าอยู่กับคุณหนูน่าหลานหลานเลยเล่า ตอนนั้นมิได้บอกว่าพวกเจ้าไปถึงขั้นหารือเรื่องงานแต่งงานกันแล้วหรอกหรือ เจ้าคิดว่าเมื่อไหร่จึงจะเชิญพวกเราไปดื่มสุรามงคลกันเสียทีเล่า”

ร่างกายมู่หรงอานสั่นสะท้าน จากนั้นก็เห็นหญิงสาวผู้นั้นบันดาลโทสะใส่เขาจนถูกสือเหล่ยดุคำหนึ่ง พวกเขาจึงเดินมุ่งหน้าต่อไปได้

หลังจากที่คนของสมาคมนักหลอมยาหายลับเข้าไปในประตูวังแล้ว ซือหม่าโยวเล่อจึงค่อยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังขึ้นมา

“น้องห้า เมื่อครู่เจ้าช่างร้ายกาจจริงๆ แค่ไม่กี่ประโยคก็ทำให้สมาคมนักหลอมยายอมจำนนเสียแล้ว เจ้าดูอู๋หลินกับสือเหล่ยนั่นสิ สีหน้าย่ำแย่ราวกับก้อนหินในบ่อเก็บมูลเลยทีเดียว”

พี่ชายอีกสามคนก็หัวเราะออกมาเช่นกัน แต่มิได้มากจนเกินจริงเหมือนกับซือหม่าโยวเล่อ

เพราะซือหม่าเลี่ย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลซือหม่ากับสมาคมนักหลอมยาไม่ดีมาโดยตลอด ทุกครั้งที่พบพวกเขาก็จะต้องถูกหัวเราะเยาะเย้ยอยู่เสมอ วันนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ทำเช่นนี้จึงทำให้ทุกคนสุขใจเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้านี่ช่างซุกซนเสียจริง” ซือหม่าโยวหรานตบบ่าซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “พวกเราเข้าไปกันดีกว่า”

“ฮ่าๆ พวกเราเข้าไปกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะ

“คุณชายห้า ช้าก่อนขอรับ” หัวหน้ากองผู้นั้นเดินเข้ามาแล้วประสานมือคำนับซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “ขอบคุณคุณชายห้ามากนะขอรับที่ช่วยเหลือข้าเมื่อครู่”

ซือหม่าโยวเย่ว์โบกมือพลางพูดว่า “ข้าก็มิได้มีเจตนาจะช่วยท่านหรอก เพียงแต่เห็นคนพวกนั้นแล้วรำคาญสายตาเท่านั้นเอง มีรถมาแล้ว ท่านไปทำงานต่อเถิด”

หัวหน้ากองหันไปมอง ปรากฏว่ามีรถเทียมสัตว์อสูรเข้ามา เขาจึงพยักหน้าให้กับพวกซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะหันกลับไปทำหน้าที่ต่อ

“พวกเรารีบเข้าไปกันดีกว่า ตอนนี้ท่านปู่คงจะรอพวกเราอยู่ข้างในแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวหมิงพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปพร้อมกับพวกเขาแล้วนึกถึงหญิงสาวที่อยู่กับมู่หรงอานเมื่อครู่ขึ้นมาจึงเอ่ยถามว่า “พี่ๆ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าหญิงสาวที่อยู่กับพวกสือเหล่ยเมื่อครู่เป็นใครกัน”

“นั่นคือบุตรสาวของสือเหล่ย ชื่อสือมั่วลี่ ว่ากันว่าอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีก็เป็นนักหลอมยาขั้นหนึ่งแล้ว ทั้งยังเอื้อมไปถึงขอบกั้นของยาวิเศษขั้นสองแล้วด้วย มีพรสวรรค์ด้านการหลอมยาเป็นอย่างยิ่ง เป็นเป้าหมายสำคัญในการบ่มเพาะของสมาคมนักหลอมยาเลยทีเดียว” ซือหม่าโยวหรานเอ่ยตอบ

“ชิ ดูท่าทางของนาง อีกหน่อยคงจะเปี่ยมคุณธรรมเหมือนบิดานางแน่นอน!” ซือหม่าโยวเล่อตำหนิ “นอกจากนี้พรสวรรค์แค่นั้นของนาง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว น้องห้าของพวกเราแซงนางไปไกลลิบ!”

“เจ้าสี่ หยุดพูดได้แล้ว” ซือหม่าโยวหมิงบอกให้ซือหม่าโยวเล่อหยุด มิฉะนั้นปากไม่มีหูรูดของเขาต้องทำให้ผู้อื่นล่วงรู้แน่

ซือหม่าโยวเล่อแลบลิ้น แล้วทุกคนก็เข้าประตูวังไปด้วยกัน

พระราชวังหลวงแห่งนี้ใกล้เคียงกันกับพระราชวังโบราณ แต่การตกแต่งหรูหราอลังการกว่ามาก มองอยู่ครู่หนึ่ง ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าความจริงแล้วโลกแห่งนี้มีสิ่งของแปลกประหลาดอยู่ค่อนข้างมาก ดังนั้นการตกแต่งจึงต้องพิเศษสักหน่อยเท่านั้นเอง

หลังจากเข้ามาในพระราชวังหลวงแล้วก็มีนางในมานำทางพวกเขา เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มองไปทั่วจึงเอ่ยว่า “ตอนนี้ทุกท่านล้วนไปยังตำหนักที่จัดงานเลี้ยงกันหมดแล้ว หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลงจะมีการแสดงอันยิ่งใหญ่ พอถึงตอนนั้นคุณชายก็ไปชมภายในวังได้ แต่ตอนนี้พวกเราต้องไปที่โถงจัดงานเลี้ยงก่อนนะเจ้าคะ”

ซือหม่าโยวเล่อตบบ่าซือหม่าโยวเย่ว์พลางพูดว่า “น้องห้าเพิ่งเคยเข้าวังเป็นครั้งแรกสินะ ครั้งแรกย่อมต้องตื่นตาตื่นใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ตอนข้าเข้ามาครั้งแรกก็ตื่นเต้นยิ่งนัก!”

“ข้ารู้ หลังจากท่านกลับไปแล้วยังดึงมือข้าพลางเอ่ยชมเชยอยู่ครึ่งค่อนวัน” ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาใส่เขา

“ฮ่าๆ แต่น้องห้าสงบนิ่งกว่าตอนที่ข้าเข้ามาตอนแรกมากมายนัก” ซือหม่าโยวเล่อหัวเราะแล้วพูดขึ้น

นางในพาพวกเขามาถึงตำหนักใหญ่ ภายในนั้นมีคนมาถึงไม่น้อยแล้ว

ตำหนักใหญ่มีตั่งตัวเตี้ยเรียงรายอยู่ทั้งสองฟาก บนตั่งนั้นมีผลไม้ทิพย์อยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีของว่างอยู่จำนวนหนึ่งด้วย

ผู้ที่มาถึงก่อนนั่งอยู่ตรงที่นั่งของตน สนทนากันไปพร้อมกับกินผลไม้ทิพย์ สร้างสัมพันธ์กับคนที่นั่งข้างๆ ภายในตำหนักใหญ่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

นางในนำทางพวกเขาไปยังที่นั่งของจวนแม่ทัพแล้วเอ่ยว่า “คุณชายทุกท่าน นี่คือที่นั่งของจวนแม่ทัพเจ้าค่ะ ข้าน้อยขอลา”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองไป ที่นั่งของพวกเขาค่อนไปทางด้านหน้า ดูเหมือนว่าการจัดที่นั่งนี้จะเป็นไปตามสถานะ

ไม่ทราบว่าเจตนาหรือไม่ ที่นั่งตรงข้ามพวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็คือที่นั่งของตระกูลน่าหลานนั่นเอง ตอนนี้ยังเร็วอยู่ คนตระกูลน่าหลานยังมาไม่ถึง เพียงแต่บนโต๊ะมีป้ายชื่อของตระกูลน่าหลานวางเอาไว้

ที่นั่งของสมาคมนักหลอมยาอยู่ด้านบนของตระกูลน่าหลาน เห็นเพียงแค่สือมั่วลี่และมู่หรงอานเท่านั้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่เห็นแม้แต่เงาของอู๋หลินและสือเหล่ย

แต่คิดๆ ดูแล้วก็ใช่ สองคนนั้นประกาศตัวว่ามีสถานะสูงส่ง แล้วจะมารอคอยผู้อื่นอยู่ที่นี่พร้อมกับทุกคนได้อย่างไร

เมื่อเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามานั่ง สือมั่วลี่ก็ถลึงตาใส่เธออย่างแรงคราหนึ่ง ดูเหมือนจะยังแค้นเธอเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูวังอยู่

ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองพวกเขาโดยไม่แยแสสายตาคับแค้นนั้นเลย เธอก็ใช้นิ้วก้อยแหย่รูจมูกของตน  จากนั้นยังแสร้งทำเป็นแคะขี้มูกแล้วดีดไปข้างหน้า

“น่ารังเกียจเสียจริง!” สือมั่วลี่ขยะแขยงการกระทำของซือหม่าโยวเย่ว์จนต้องรีบเบนสายตาหลบไป

“ชิ…” ซือหม่าโยวเย่ว์แคะรูจมูกซ้ายแล้วกำลังคิดจะย้ายมายังฝั่งขวา แต่เห็นว่าสือมั่วลี่ไม่มองตนอีกแล้วจึงล้มเลิกไป

“มู่หรงอานผู้นี้ไปนั่งตรงที่นั่งของสมาคมนักหลอมยาได้อย่างไรกัน”

มีคนพูดเสียงเบาขึ้นมาที่ด้านข้าง เนื้อหานั้นไปกระตุ้นเธอเข้าในทันใด

เธอเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่ามู่หรงอานผู้นี้ไปอยู่กับสมาคมนักหลอมยาได้อย่างไร

“ไอ้หยา… เจ้าไม่รู้หรอกหรือ ได้ยินว่ามู่หรงอานผู้นี้ได้กราบปรมาจารย์ศิลาเป็นอาจารย์เพื่อศึกษาการหลอมยาแล้ว” อีกคนหนึ่งพูดขึ้น

“จริงหรือ เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามู่หรงอานจะศึกษาการหลอมยา ปรมาจารย์ศิลาผู้นั้นสายตาสูงส่งเหนือใคร เหตุใดจึงยอมรับเขาเป็นศิษย์เล่า”

“หึๆ เรื่องนี้พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือ” อีกคนหนึ่งพูดแทรกเข้ามา “ตอนนี้มู่หรงอานกำลังจะเป็นบุตรเขยที่แต่งเข้าตระกูลสือแล้ว พวกท่านดูสิ สองคนนั้นตัวติดกันหนึบราวกับกาว เกรงว่าอีกไม่นานก็คงจะแต่งงานกันแล้วล่ะ”

“มิได้พูดกันว่าเขาเป็นคู่รักกับน่าหลานหลานแห่งตระกูลน่าหลานหรอกหรือ”

“การข่าวของพวกท่านช่างล้าหลังนัก เรื่องของมู่หรงอานกับน่าหลานหลานกลายเป็นอดีตไปแล้วล่ะ ไม่รู้ว่าใครกันที่เป็นคนจัดที่นั่งในคืนนี้ จึงจัดให้สมาคมนักหลอมยานั่งติดกับตระกูลน่าหลาน หึๆ…”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้าม ไม่รู้ว่าเมื่อคนของตระกูลน่าหลานได้เห็นมู่หรงอานแล้วจะมีสีหน้าเช่นไร แค่คิดก็น่าติดตามชมแล้ว!

………………

ซือหม่าโยวเย่ว์รอคอยการเปิดงานเลี้ยงอย่างเบื่อหน่าย เธอหยิบผลไม้ทิพย์มากินอย่างไม่มีอะไรทำ ยามปกติเธอกินผลไม้ทิพย์ภายในมณีวิญญาณอยู่เป็นประจำ ตอนนี้มากินสิ่งนี้จึงรู้สึกว่ารสชาติไม่อร่อยเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินคนข้างๆ เอ่ยปากชมว่าผลไม้ทิพย์อร่อยเพียงใดไม่หยุดปาก เธอก็รู้สึกว่าชีวิตปกติของตนนั้นหรูหราเหลือเกินขึ้นมาในทันที

อันที่จริงแล้วสำหรับคนอื่นๆ ผลไม้ทิพย์เหล่านี้เป็นของหายากอย่างยิ่งจริงๆ เพราะผลไม้ทั่วไปจะกลายเป็นผลไม้ทิพย์ได้นั้นมีเงื่อนไขของสภาวะแวดล้อมในการเจริญเติบโตอันสูงลิบลิ่ว ต้องเป็นสถานที่อันงดงามล้ำเลิศยอดเยี่ยม ทั้งยังต้องผ่านการวิวัฒน์มาเป็นระยะเวลายาวนานจึงจะใช้ได้

ผลไม้ทิพย์นี้ก็เหมือนกับผักทิพย์ เมื่อกินแล้วจะเพิ่มพูนปราณวิญญาณในร่างกายได้ ดังนั้นทุกคนจึงอยากได้ผลไม้ทิพย์มาครอบครอง เมื่อใดที่มีผลไม้ทิพย์โผล่มา เพียงไม่นานก็ต้องถูกคนแย่งกันซื้อจนหมดเกลี้ยง มูลค่ามิอาจประเมินได้ ต่อให้เป็นขุมอำนาจชั้นหนึ่งก็ไม่แน่ว่าจะได้กินผลไม้ทิพย์กันบ่อยๆ

คนทั่วไปอาจจะได้กินผลไม้ทิพย์แค่ไม่กี่ผลตลอดชีวิต แต่บนโต๊ะทุกตัวที่นี่ล้วนมีผลไม้ทิพย์วางอยู่หลายจาน ให้แขกทุกคนได้กินกันตามใจชอบ

“ราชวงศ์ก็คือราชวงศ์ ผลลายหัตถ์นี้ลูกใหญ่น่าดูเลยทีเดียว” มีคนเอ่ยชม

พวกซือหม่าโยวหมิงแต่ละคนกินผลไม้ทิพย์ผลหนึ่งแล้วก็วางลง ซือหม่าโยวเล่อซึ่งนั่งอยู่ข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์เอนตัวมาตรงหน้าเธอแล้วพูดว่า “รสชาติย่ำแย่กว่าผลที่เจ้าให้ข้ากินมากนัก”

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ผลไม้ทิพย์นี้แย่กว่าผลไม้ทิพย์ภายในมณีวิญญาณมากมายจริงๆ ปราณวิญญาณแตกต่างกัน รสชาติที่ได้รับก็แตกต่างกันไปด้วย

หลังจากที่เธอค้นพบผลไม้ทิพย์แล้วก็ส่งไปให้พวกซือหม่าเลี่ยอยู่เป็นประจำ ในตอนแรกพวกเขารู้สึกประหลาดใจที่ซือหม่าโยวเย่ว์มีผลไม้ทิพย์มากมายถึงเพียงนี้ แต่พวกเขาล้วนรู้ดีว่าซือหม่าโยวเย่ว์นั้นมิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลซือหม่า ดังนั้นถึงแม้จะรู้ว่าเธอเก็บซ่อนความลับเอาไว้ก็มิได้ไปสืบเสาะ เพียงแค่เก็บของที่เธอให้พวกเขาเอาไว้เท่านั้น

“โอ้ คืนนี้มีละครสนุกให้ดูแล้วสิ” ซือหม่าโยวเล่อส่งเสียงพูดในทันใด

ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบสายตาขึ้นมองไปตามสายตาของเขา เมื่อเห็นผู้มาแล้วจึงเลิกคิ้วขึ้น

น่าหลานหลานมาแล้ว คราวนี้มีละครสนุกให้ดูแล้วจริงๆ เสียด้วย!

น่าหลานเหอนำตัวน่าหลานหลานกับคนหนุ่มอีกสองคนเข้ามาพร้อมกัน แขนเสื้ออันว่างเปล่าขยับไหวตามการก้าวเดินของเขา

ดูเหมือนว่าคราวก่อนก็คงจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้เขาอยู่เหมือนกัน!

ตอนที่น่าหลานหลานเดินเข้าสู่ตำหนักใหญ่พร้อมกับบิดาก็เห็นเงาร่างของมู่หรงอาน ขณะนั้นเขากำลังกระซิบกระซาบอยู่กับสือมั่วลี่ ศีรษะของทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร แต่สือมั่วลี่แย้มยิ้มอย่างเบิกบานใจยิ่งนัก

มือของน่าหลานหลานที่ปล่อยไว้ข้างตัวกำหมัดแน่น ถึงนางจะบอกว่าตนได้รับบาดเจ็บอย่างไรมู่หรงอานก็มิได้มาเหลียวแลตนเลย ที่แท้ก็มาอยู่กับสือมั่วลี่แล้วจริงๆ เช่นนั้นที่เล่าลือกันเรื่องข่าวดีของทั้งสองก็เป็นเรื่องจริงแล้วสินะ

“หลานเอ๋อร์ สงวนท่าทีด้วย” น่าหลานเหอมองมู่หรงอานผ่านๆ ปราดหนึ่งแล้วพูดกับน่าหลานหลาน

“ข้าทราบเจ้าค่ะท่านพ่อ” น่าหลานหลานสูดหายใจเข้าปากลึก ข่มกลั้นโทสะภายในใจกลับลงไป

ซือหม่าโยวเย่ว์มองพวกน่าหลานหลานเข้านั่งประจำที่ นางนั่งอยู่ตรงตำแหน่งที่นั่งริมสุดพอดี ข้างๆ ก็คือมู่หรงอาน

มู่หรงอานกำลังเย้าแหย่สือมั่วลี่อย่างเบิกบานใจ เมื่อรู้สึกได้ว่าข้างกายมีคนนั่งลงมา จึงหันไปมองปราดหนึ่งโดยสัญชาตญาณ เมื่อเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย เขาก็ตะลึงงันไปในทันใด

น่าหลานหลานสัมผัสสายตาของมู่หรงอานได้ จึงหันหน้ามายิ้มจางๆ “คุณชายมู่หรง ไม่พบกันนานเลยนะ”

“แค่กๆ ไม่พบกันนานเลย” มู่หรงอานตกใจกับรอยยิ้มนั้นของน่าหลานหลานจนหัวใจสั่นสะท้าน หลังจากพูดอย่างเคอะเขินประโยคหนึ่งแล้วก็หันหน้ากลับมา ไม่มองนางอีกต่อไป

“คุณหนูน่าหลาน ไม่พบกันเสียนาน” สือมั่วลี่ยิ้มทักทายน่าหลานหลาน “ได้ยินท่านพ่อพูดว่าก่อนหน้านี้ท่านไปยังเทือกเขาผู่สั่วแล้วได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้หายดีแล้วหรือ”

น่าหลานหลานมองสือมั่วลี่คล้องแขนมู่หรงอานด้วยสายตาเยียบเย็น มุมปากยกยิ้มพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณคุณหนูสือมากที่ใส่ใจ ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ถึงอย่างไรตระกูลน่าหลานของพวกเราก็ทุ่มเทค่าใช้จ่ายไปมากมายถึงเพียงนั้นจึงจะแลกยาวิเศษมาจากกำมือของบิดาเจ้าได้ ถ้าหากไม่ได้ผล ปรมาจารย์ศิลาก็คงมีแต่ชื่อเสียงจอมปลอมแล้ว”

รอยยิ้มบนใบหน้าสือมั่วลี่แข็งค้างไป น่าหลานหลานหาว่าบิดาของตนขูดรีดทรัพย์ท่ามกลางธารกำนัลอย่างนั้นหรือ! นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางเอ่ยว่า “หายดีแล้วก็ดี! ก่อนหน้านี้ข้ายังพูดกับมู่หรงอยู่เลยว่าให้ไปเยี่ยมเจ้าด้วยกัน ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้พวกเจ้าก็เคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน การเอาใจใส่กันก็เป็นสิ่งสมควรทำอยู่แล้ว แต่มู่หรงเพิ่งจะกราบท่านพ่อข้าเป็นอาจารย์ อีกทั้งพวกเรายังอยู่ระหว่างการจัดเตรียมงานแต่งอีกด้วย จึงยุ่งเสียจนมิอาจปลีกตัวไปได้เลยจริงๆ”

“พวกเจ้าจะแต่งงานกันแล้วอย่างนั้นหรือ” น่าหลานหลานมองมู่หรงอานพลางเอ่ยถาม

“ใช่ ใช่แล้ว” มู่หรงอานตอบอย่างอึกอัก

“ถึงตอนนั้นจะส่งเทียบเชิญไปให้ตระกูลน่าหลานด้วย คุณหนูน่าหลานต้องมาให้ได้เลยนะ” สือมั่วลี่พูดด้วยรอยยิ้ม

มือของน่าหลานหลานที่วางอยู่ใต้โต๊ะกุมกระโปรงแน่นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มเพียงเปลือกนอกว่า “คุณหนูสือคิดว่าพวกเจ้าจะแต่งงานกันได้จริงๆ น่ะหรือ”

“คุณหนูน่าหลานหมายความว่าอย่างไร” สีหน้าของสือมั่วลี่หม่นลง

“มิได้หมายความว่าอย่างไรหรอก สำหรับคนกะล่อนหน้าเนื้อใจเสือ ได้ใหม่ลืมเก่านั้น ในเมื่อคุณหนูสือชมชอบ เช่นนั้นก็ได้แต่ขอให้พวกเจ้าสเดินเคียงคู่กันไปได้จริงๆ แล้วกัน” น่าหลานหลานพูดจบแล้วเบือนหน้าหนีไป ไม่มองคนทั้งสองอีก

“เจ้า…เฮอะ!” สือมั่วลี่เห็นน่าหลานหลานไม่พูดจากับพวกเขาอีกต่อไปแล้วจึงส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นอย่างขัดใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์ดูละครฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าสนใจ น่าหลานหลานผู้นี้มิใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน ที่วันนี้มิได้อาละวาดท่ามกลางธารกำนัลก็เป็นเพราะปัญหาเรื่องกาลเทศะเป็นเหตุ จึงระงับเอาไว้ชั่วคราวก่อน

ผ่านไปครู่หนึ่งสือเหล่ยและอู๋หลินก็มาถึงตำหนักใหญ่ ตัวแทนของสมาคมนักหลอมวัตถุและสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร รวมทั้งสมาคมปรมาจารย์วิญญาณก็ทยอยกันเข้าสู่สนาม เห็นการประลองนี้ก็คงจะหมายความว่างานเลี้ยงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูคนเหล่านั้น นอกจากอู๋หลินผู้นั้นแล้ว คนอื่นๆ ล้วนดูอ่อนโยนน่าเข้าหากว่าทั้งสิ้น

ขณะนี้เองซือหม่าเลี่ยก็เข้ามาจากด้านนอกแล้วเข้ามานั่งลงบนที่นั่ง ซือหม่าโยวเย่ว์มองเขาปราดหนึ่งแล้วเขาก็พยักหน้า

เมื่อเห็นเช่นนี้ซือหม่าโยวเย่ว์จึงยกมุมปากยิ้ม

เพียงไม่นานฝ่าบาทของอาณาจักรตงเฉินก็เดินเข้ามาด้วยการประคับประคองขององค์ชายใหญ่และองค์ชายสาม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสีหน้าของเขาจึงมิใคร่จะดีนัก เมื่อเห็นผู้คนในที่นั้น เขาจึงฝืนปั้นหน้ายิ้มแย้มขึ้นมา

“ถวายพระพรฝ่าบาทเนื่องในเฉลิมพระชนมพรรษา ขอฝ่าบาททรงอายุยืนหมื่นปี” ทุกคนในที่นั้นล้วนลุกขึ้นต้อนรับพลางเอ่ยคำถวายพระพร

“ขอบใจทุกท่านมากที่มาร่วมฉลองวันคล้ายวันประสูติของข้า ทุกท่านเชิญนั่งลงได้ ” วั่นอู๋เฟิงพูดพลางโบกไม้โบกมือให้ทุกคน

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

ทุกคนนั่งลงอย่างพร้อมเพรียง เหลือเพียงแค่อู๋หลินคนเดียวเท่านั้นที่ยังยืนอยู่

“วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของฝ่าบาท สมาคมนักหลอมยาของเราจึงเตรียมของขวัญมาให้ฝ่าบาท ขอฝ่าบาทอย่าทรงรังเกียจเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”

วั่นอู๋เฟิงได้ยินเช่นนี้จึงอมยิ้มพูดว่า “หัวหน้าสมาคมอู๋พูดอะไรน่ะ พวกท่านมาร่วมงานเลี้ยงของเราได้ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว”

อู๋หลินหยิบเอาหีบใบหนึ่งออกมา องครักษ์ที่อยู่ข้างๆ ลงมารับหีบแล้วส่งให้ถึงมือวั่นอู๋เฟิง

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ นี่คือเครื่องยาที่ข้าใช้เวลาเสาะหากว่าครึ่งปี เพื่อนำมาหลอมเป็นยาวิเศษยอดราชันขั้นสี่สำหรับถวายฝ่าบาทโดยเฉพาะ” อู๋หลินพูด “ยาวิเศษชนิดนี้สามารถซ่อมแซมร่างกายมนุษย์ได้ ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาททรงเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสมาครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นพระวรกายก็ไม่สู้ดีนักมาโดยตลอด เมื่อเสวยยาวิเศษชนิดนี้เข้าไป พระวรกายของฝ่าบาทก็จะฟื้นฟูขึ้นมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“จริงหรือ ดีๆๆ!” วั่นอู๋เฟิงเปิดหีบอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าภายในมียาวิเศษสีเหลืองทองเม็ดหนึ่งวางอยู่จริงๆ จึงนึกถึงว่าเพราะตนได้รับบาดเจ็บ ร่างกายยังมีอาการหลงเหลืออยู่ ดังนั้นเมื่อบำเพ็ญจึงต้องลงแรงสองเท่าแต่ได้รับผลเพียงครึ่งเดียว  เมื่อเห็นยาวิเศษยอดราชันจึงรู้สึกตื่นเต้นเกินกว่าที่วาจาใดจะอธิบายได้

เมื่อคนด้านล่างมองเห็นยาวิเศษในมือวั่นอู๋เฟิงแล้วก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา

ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก ก็แค่ยาวิเศษยอดราชันเท่านั้นมิใช่หรือ มีอะไรน่าตื่นเต้นกันเล่า!

………………………..

“วิเศษ ขอบใจหัวหน้าสมาคมอู๋มาก” วั่นอู๋เฟิงพูดจบแล้วจึงหยิบยาวิเศษมากินลงไป เพียงไม่นานก็รู้สึกได้ว่าร่างกายอบอุ่น อาการปวดหนึบบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บก็บรรเทาลง น่าพอใจจนเขาพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า

อู๋หลินนั่งลง สมาคมนักหลอมวัตถุจึงยืนขึ้นแล้วมอบอาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่งให้กับวั่นอู๋เฟิง

ถึงแม้ว่าอาวุธวิญญาณนี้จะหายาก แต่สำหรับวั่นอู๋เฟิงแล้วย่อมไม่ดึงดูดใจเท่ายาวิเศษยอดราชัน ดังนั้นเขาจึงมองเพียงสองสามครั้งแล้วให้องครักษ์เก็บลงไปอีกด้านหนึ่ง

ตามด้วยสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร สมาคมสัตว์อสูรวิเศษ และตระกูลใหญ่ตระกูลต่างๆ ทุกคนถวายของขวัญต่างๆ นานา ซึ่งทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์ได้เปิดโลกทัศน์กว้างไกลอย่างแท้จริง

แต่ของขวัญนี้เห็นครั้งเดียวเป็นจำนวนมากก็ไร้ความหมาย ช่วงการถวายของขวัญนี้กลับกลายเป็นการแข่งขันระหว่างขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่ง ยิ่งใครถวายของขวัญล้ำค่าหรือน่าอัศจรรย์ ตระกูลนั้นก็จะได้หน้าเป็นอย่างมาก

ผ่านไปครู่ใหญ่ ช่วงการถวายของขวัญนี้จึงสิ้นสุดลง องค์ชายใหญ่โบกไม้โบกมือ นางในจึงเก็บผลไม้ทิพย์และของว่างก่อนหน้านี้ลงไปแล้วเปลี่ยนเป็นอาหารค่ำของงานเลี้ยงนี้แทน การร้องรำทำเพลงก็เริ่มต้นเปิดฉากแสดง

งานเลี้ยงล้วนเหมือนกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ต่อให้เป็นคนละโลกก็แทบไม่ต่างกัน สำหรับซือหม่าโยวเย่ว์ที่เห็นงานเลี้ยงสังสรรค์นานาชนิดในชาติก่อนมาจนชินตาแล้ว การแสดงเหล่านี้จึงไม่มีแรงดึงดูดอย่างสิ้นเชิง เธอทำความเคารพซือหม่าเลี่ยครั้งหนึ่งแล้วอาศัยจังหวะที่ทุกคนมิได้สนใจออกไปจากตำหนักใหญ่อย่างเงียบๆ

ระยะเวลางานเลี้ยงยาวนานยิ่ง ดังนั้นจึงอาจจะมีคนลุกออกมาสูดอากาศบ้างเป็นระยะๆ อยู่แล้ว การที่ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาย่อมมิได้ไปดึงดูดความสนใจของใครเข้า

“ช่างน่าเบื่อเสียจริง ไม่รู้ว่าจะกลับก่อนได้หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินอยู่ในวังตามลำพัง เมื่อเห็นว่าตระกูลน่าหลานไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร เธอจึงมีความรู้สึกนั่งไม่ติดที่และอยากกลับบ้าน

ได้ยินซือหม่าโยวเล่อพูดว่าทางด้านนี้มีบ่อเก็บน้ำอยู่แห่งหนึ่ง เธอจึงเดินมาทางนี้ตามความรู้สึก ยังเดินไม่ทันถึงก็ได้ยินเสียงสนทนาโต้ตอบ เมื่อฟังออกว่าเป็นใคร ในใจเธอก็มีความสุขอย่างยิ่ง เงาร่างหายลับเข้าไปในภูเขาจำลองด้านข้าง

เธอนึกขึ้นมาได้ว่าหินเสียงก้อนนั้นยังอยู่กับตัวจึงหยิบมันออกมาแล้วใส่พลังวิญญาณเข้าไปในนั้น ลวดลายบนหินเสียงเริ่มโคจร เป็นสัญญาณว่ามันเริ่มบันทึกเสียงในบริเวณรอบๆ แล้ว

“มู่หรงอาน นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร” น่าหลานหลานมองมู่หรงอานทั้งน้ำตา ท่าทางน่าสงสารจับใจนั้นทำให้มู่หรงอานกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว

น่าหลานหลานผู้นี้มีรูปโฉมงดงามอย่างแท้จริง ทั้งยังทำให้คนสงสารจากหัวใจ น่าเสียดายที่ตอนนี้นางไม่มีประโยชน์สำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว หรือพูดได้ว่านางไม่มีประโยชน์ต่อเขามากเท่ากับสือมั่วลี่

แต่เมื่อเนื้อชิ้นโตถูกส่งมาให้ถึงที่แล้วใครจะไม่อยากกัดกินสักคำสองคำบ้างเล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโฉมงามเช่นนี้เลย

ถ้าหากรับการบ่มเพาะจากสมาคมนักหลอมยาไปพร้อมๆ กับได้รับการสนับสนุนจากตระกูลน่าหลาน เช่นนั้นอนาคตของเขาก็คงจะราบรื่นไม่น้อยเลย

เมื่อคิดได้เช่นนี้ สายตาของเขาก็กลับมาอ่อนโยนเช่นเมื่อก่อน เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วดึงมือน่าหลานหลานพลางเอ่ยว่า “เด็กโง่ ข้าจะหมายความว่าอย่างไรได้เล่า หัวใจของข้าอยู่กับเจ้าเสมอ ตอนนี้ในใจของข้าคิดถึงเพียงเจ้าอยู่ตลอดเวลา”

“เช่นนั้นระหว่างเจ้ากับสือมั่วลี่นั่นมันเรื่องอันใดกัน พวกเจ้าไปอยู่ด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งยังจะแต่งงานกันอีกด้วย เช่นนั้นระหว่างพวกเราคืออะไรกันเล่า!” น่าหลานหลานรักมู่หรงอานด้วยใจจริง เมื่อเห็นเขาอ่อนโยนกับตนเช่นเคยจึงใจอ่อนลงมาบ้าง แต่เมื่อนึกถึงท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างเขากับสือมั่วลี่ก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างยิ่ง

มู่หรงอานออกแรงดึง น่าหลานหลานจึงตรงเข้าสู่อ้อมอกของเขา

“ข้ากับนางก็แค่เล่นละครไปอย่างนั้นเอง” มู่หรงอานจุมพิตหน้าผากน่าหลานหลานแล้วพูดว่า “เจ้าก็รู้นี่ บิดาของนางคือปรมาจารย์ศิลาสือเหล่ย ถ้าหากข้าติดตามเขาเพื่อศึกษาการหลอมยาได้ เช่นนั้นอนาคตของข้าก็จะไร้ซึ่งขีดจำกัด แต่เจ้ารู้ไหมว่าสือเหล่ยผู้นั้นเป็นคนเช่นไร การเข้าใกล้เขานั้นไม่ง่ายเลย ถ้าหากข้าไม่ใช้คนที่มีอิทธิพลต่อเขา เขาย่อมไม่มีทางเห็นข้าอยู่ในสายตา ดังนั้นจึงคิดหาวิธีเข้าใกล้นาง ทว่าข้าไม่มีความรู้สึกต่อนางเลย ข้าชอบพอแค่เจ้าเท่านั้น เจ้าต้องเชื่อข้านะ”

“เช่นนั้นเหตุใดตอนที่ข้าบาดเจ็บเจ้าจึงไม่เคยมาเหลียวแลข้าเลยเล่า” น่าหลานหลานได้ฟังคำพูดของมู่หรงอาน ในใจก็เชื่อเขาไปแล้ว แต่ยังคงน้อยใจอยู่เช่นเดิม

“ตอนนั้นข้ายุ่งกับการจัดการสือมั่วลี่อยู่น่ะสิ เพื่อให้นางเชื่อข้า จึงจำเป็นต้องอยู่ข้างกายนางตลอด” มู่หรงอานพูด “แต่ข้าก็ให้คนคอยฟังสถานการณ์จากเจ้าอยู่ด้วยนะ”

“จริงหรือ” น่าหลานหลานมองมู่หรงอาน หัวใจเชื่อคำพูดของเขาไปเรียบร้อยแล้ว

มู่หรงอานเห็นท่าทีเช่นนี้ของนางก็รู้ว่านางเชื่อตนแล้วจึงก้มตัวลงจุมพิตริมฝีปากนางแล้วเอ่ยว่า “เป็นความจริงแน่นอนอยู่แล้ว! พวกเราอยู่ด้วยกันมานานถึงเพียงนี้แล้วข้าจะไปชอบหญิงอื่นได้อย่างไร ข้าก็แค่หลอกใช้นางเท่านั้นเอง”

“เช่นนั้นต่อไปภายหน้าเจ้าไม่ต้องไปอยู่กับนางหรอกหรือ” น่าหลานหลานถาม

“นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!” มู่หรงอานพูดเสียงดัง ต่อมาจึงตระหนักได้ว่าตนตอบสนองอย่างรุนแรงเกินไป จึงลดเสียงเบาเอ่ยปลอบประโลม “ตอนนี้ข้ายังศึกษาการหลอมยาไม่สำเร็จ ถ้าหากแตกหักกับสือมั่วลี่ในตอนนี้ ช่วงที่ผ่านมาของข้าก็คงสูญเปล่าแล้ว”

“แต่ว่า… แต่ข้าไม่อยากเห็นเจ้ากับสือมั่วลี่นั่นใกล้ชิดกันเช่นนั้นนี่นา” น่าหลานหลานพูดอย่างไม่พอใจ

“เด็กโง่ เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าข้ากับนางเพียงแค่แสดงละครเท่านั้น ในใจของข้ามีเพียงแค่เจ้า ไม่มีผู้อื่นอยู่เลย” มู่หรงอานปลอบประโลม พูดจบแล้วยังก้มตัวลงจุมพิตนาง มือยังขยับขึ้นลงอย่างอยู่ไม่สุขอีกด้วย

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าไฟรักระหว่างคนทั้งสองเริ่มติด ทั้งยังรู้สึกว่าฟังมาได้พอสมควรแล้ว จึงเก็บหินเสียงก่อนจะจากไปอย่างเงียบๆ

แต่คิดๆ ดูแล้วก็มิอาจปล่อยพวกเขาสองคนไปง่ายๆ ได้ หลังจากเดินออกห่างมาแล้วจึงบอกกับทหารยามผู้หนึ่งว่าตนคล้ายจะทำของหล่นเอาไว้แถวริมทะเลสาบ ให้เขาไปช่วยหาหน่อย เมื่อเห็นว่าทหารยามหลายคนเดินมุ่งหน้าไปยังริมทะเลสาบแล้วเธอจึงยิ้มอย่างชั่วร้ายก่อนจะหมุนกายเดินกลับไปยังตำหนักใหญ่

ยังเดินไปไม่ถึงประตูตำหนักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงของน่าหลานเหอดังมาจากด้านใน

“ฝ่าบาท ในเมื่อตระกูลซือหม่ามีบุคคลปริศนาผู้นั้นอยู่แต่กลับซ่อนเร้นเอาไว้เช่นนี้ แม้กระทั่งฝ่าบาททรงเอ่ยปากก็ยังไม่ยอมบอก ไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตาเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์หัวใจบีบรัด น่าหลานเหอผู้นี้มาแล้ว

ซือหม่าเลี่ยเงียบงันไม่เอ่ยวาจา เขาเคยคิดว่าน่าหลานเหอจะต้องคิดหาวิธีสืบเรื่องยาวิเศษของตระกูลซือหม่าให้ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะพูดออกมาท่ามกลางธารกำนัล

“ท่านแม่ทัพซือหม่า ท่านหาตัวคนที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้แล้วจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงมิให้พวกเราทุกคนได้รู้จักสักหน่อยเล่า” วาจานี้ของวั่นอู๋เฟิงแฝงไว้ด้วยคำถาม แต่สีหน้าและน้ำเสียงของเขากลับหนาวเหน็บเย็นชา แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

“เรื่องนี้… มิใช่ว่ากระหม่อมไม่อยากพูดหรอกพ่ะย่ะค่ะ แต่เจ้าเด็กผู้นั้นไม่ชอบการเป็นที่รู้จัก…” ซือหม่าเลี่ยพูด

“ท่านปู่ ในเมื่อทุกคนอยากรู้ ท่านก็บอกพวกเขาไปจะเป็นไรเล่า มิฉะนั้นพวกเขาคงจะคิดว่าพวกเราตระกูลซือหม่ามีอะไรที่มิอาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้น่ะสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้ามาจากข้างนอกพลางอมยิ้มเอ่ยว่า “ฝ่าบาท อันที่จริงมิใช่ว่าท่านปู่ไม่อยากบอกนะพ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นข้าน้อยเองที่ไม่ให้ท่านปู่พูดออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ทุกคนคิดว่าข้าน้อยเรียกร้องความสนใจ”

“เจ้าคือซือหม่าโยวเย่ว์หรือ” ถึงแม้ว่าวั่นอู๋เฟิงจะไม่เคยพบเธอมาก่อน แต่ก่อนหน้านี้เธอนั่งอยู่กับพวกซือหม่าเลี่ย แล้วตอนนี้ยังมาเรียกซือหม่าเลี่ยว่าท่านปู่อีก นอกจากคนเหล่านั้นที่เขาเคยพบแล้วก็ต้องเป็นซือหม่าโยวเย่ว์อย่างแน่นอน

แต่เขาเป็นคนไร้ค่ามิใช่หรือ แล้วจะเป็นบุคคลปริศนาที่น่าหลานเหอพูดถึงไปได้อย่างไรกันเล่า

ซือหม่าโยวเย่ว์ทำความเคารพวั่นอู๋เฟิงแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยซือหม่าโยวเย่ว์คารวะฝ่าบาท ขอทรงมีพระชนมายุยาวนานนับหมื่นปี”

วั่นอู๋เฟิงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ยอมรับตัวตนของตนเองจึงเอ่ยว่า “ความหมายในวาจานั้นของเจ้าเมื่อครู่แปลว่าเจ้าคือบุคคลปริศนาของตระกูลซือหม่าที่พูดกันผู้นั้นหรือ”

“ฝ่าบาทโปรดทรงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งด้วย ความจริงแล้วบุคคลปริศนาอะไรนั่นไม่มีตัวตน สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่โลกภายนอกคาดเดาเกี่ยวกับตระกูลเราเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มแล้วพูดว่า “เพราะไม่รู้ว่ายาวิเศษของตระกูลเรามาจากที่ใด ดังนั้นจึงได้คิดฟุ้งซ่านกันไปเอง”

“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าเจ้าเป็นผู้หลอมยาวิเศษที่ตระกูลซือหม่านำมาขายในระยะนี้เองอย่างนั้นหรือ” วั่นอู๋เฟิงพูด

“ข้าน้อยไร้ความสามารถ จึงได้เรียนรู้การหลอมยามาเล็กน้อยภายใต้การชี้แนะของอาจารย์เฟิง” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ

“อาจารย์เฟิงหรือ” วั่นอู๋เฟิงมองไปทางท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโส

ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งพลางเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบแน่ชัด ตัวอาจารย์เฟิงเองก็ค่อนข้างลึกลับ เขามิได้บอกข้าว่าหลอมยาไม่เป็น ดังนั้นข้าจึงไม่ทราบแน่ชัดเช่นกัน แต่เขาก็เอาใจใส่โยวเย่ว์เป็นพิเศษจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

วั่นอู๋เฟิงพยักหน้า ตอนนั้นท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสก็เคยบอกเขาเรื่องที่เฟิงจือสิงมาที่วิทยาลัย มิได้บอกเรื่องตัวตนของเขาอย่างชัดเจน บอกเพียงว่าเขาลงมาจากเบื้องบน ด้วยเหตุนี้แม้กระทั่งตนเองก็ยังต้องเกรงใจเขาเลย

“แต่ว่า… ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าเริ่มบำเพ็ญตั้งแต่เมื่อใดกัน”

เขาย่อมมิได้พูดว่าเธอเป็นคนไร้ค่า แต่ก็หมายความเช่นนั้นนั่นเอง

“ฝ่าบาท ข้าน้อยบำเพ็ญได้ยังไม่ถึงปีเลยพ่ะย่ะค่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด หลังจากนั้นจึงทำความเคารพสือเหล่ย “ท่านปรมาจารย์ศิลาน่าจะยังจำเรื่องที่ตอนนั้นท่านปู่ของข้าใช้โสมร้อยปีแลกกับยาวิเศษขั้นสามสองเม็ดของท่านได้กระมัง ตอนนั้นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ข้าจึงฝึกยุทธ์ได้ขึ้นมา จะว่าไปแล้วยังต้องขอบคุณยาวิเศษของท่านปรมาจารย์ศิลามากจริงๆ มิฉะนั้นตอนนี้ข้าก็คงจะยังเป็นคนไร้ค่าคนหนึ่งอยู่!”

“เช่นนั้นก็ยินดีกับเจ้าด้วย” ปรมาจารย์ศิลาพูดอย่างพิศวง

ถึงแม้ว่าเขาจะชอบให้ผู้อื่นชมว่ายาวิเศษของเขามีประโยชน์ แต่สำหรับตระกูลซือหม่าที่ตนไม่ลงรอยด้วยนี้ การมีคนไร้ค่าเพิ่มขึ้นคนหนึ่งย่อมดีกว่ามีปรมาจารย์วิญญาณเพิ่มขึ้นคนหนึ่งอยู่แล้ว

“ประมุขตระกูลน่าหลาน ตอนนี้ท่านยังมีข้อสงสัยอันใดอีกหรือไม่” วั่นอู๋เฟิงมองน่าหลานเหอพลางเอ่ยถาม

น่าหลานเหอคิดไม่ถึงว่านักหลอมยาปริศนาของตระกูลซือหม่าผู้นั้นจะเป็นซือหม่าโยวเย่ว์ไปได้ เรื่องนี้ทำให้เขาตกตะลึงอย่างแท้จริง

หนึ่งปีก่อนหน้านี้เธอยังบำเพ็ญไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับยืนอยู่ที่นี่ในฐานะนักหลอมยาคนหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้เขาและคนอื่นๆ รู้สึกว่าเหนือความคาดหมายเกินไปเสียแล้ว

“ฝ่าบาท พวกเราเข้าใจว่านักหลอมยาผู้นั้นเป็นนักหลอมยาขั้นสอง หนึ่งปีก่อนหน้านี้ซือหม่าโยวเย่ว์ยังบำเพ็ญไม่ได้เลย ในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี เขาไม่เพียงสำเร็จเป็นนักหลอมยาเท่านั้น แต่ยังเป็นนักหลอมยาขั้นสองอีกด้วย เรื่องนี้คงจะมิได้มีเพียงแต่ข้าคนเดียวเท่านั้นที่สงสัยหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

วั่นอู๋เฟิงได้ฟังคำพูดของน่าหลานเหอแล้วจึงนึกถึงความเป็นไปไม่ได้ในเรื่องนี้ขึ้นมา ภายในระยะเวลาเพียงปีเดียว ไม่เพียงแต่จะฝึกยุทธ์ได้เท่านั้น แต่ยังสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสองอีกด้วย เรื่องนี้ใครจะทำได้บ้างเล่า

“ซือหม่าโยวเย่ว์ ประมุขตระกูลน่าหลานพูดได้ถูกต้อง เจ้าเพิ่งจะฝึกยุทธ์ได้เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้จริงๆ หรือ” วั่นอู๋เฟิงถาม

“ตอนนั้นเรื่องที่ข้าถูกทำร้ายจนเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย ทุกท่านน่าจะเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว ถ้าหากข้าฝึกยุทธ์ได้ ตอนนั้นก็คงจะไม่ถูกทำร้ายอย่างน่าอนาถถึงเพียงนั้นหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เรื่องนี้มู่หรงอานและน่าหลานหลานล้วนเป็นพยานให้ข้าได้ เพราะตอนนั้นพวกเขาเห็นข้าถูกตบตีกับตาเลย”

เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มั่นใจในตนเองถึงเพียงนี้ ทุกคนจึงเชื่อเรื่องที่ก่อนหน้านี้เธอมิอาจบำเพ็ญได้กันหมด ถึงอย่างไรเรื่องนี้แค่เรียกผู้มีส่วนร่วมสักคนหนึ่งมาถามก็รู้เรื่องแล้ว เธอย่อมมิอาจพูดเท็จได้

สือมั่วลี่ได้ยินซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยถึงคนทั้งสองจึงสังเกตว่ามู่หรงอานและน่าหลานหลานต่างก็ไม่อยู่ที่ตำหนักใหญ่กันทั้งคู่!

“เช่นนั้นเจ้าก็หมายความว่าเจ้าเปลี่ยนจากคนธรรมดาที่ไม่อาจบำเพ็ญได้แล้วสำเร็จเป็นนักหลอมยาภายในปีเดียว ทั้งยังเป็นนักหลอมยาขั้นสองอีกด้วยอย่างนั้นหรือ” น่าหลานเหอพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบใบหน้าพลางยิ้มอย่างหลงตัวเอง “ไอ้หยา… พรสวรรค์มันมาเอง ข้าก็ไม่รู้จะทำเช่นไร”

“พรืด…” พี่ชายทั้งหลายต่างพากันขำในท่าทีเช่นนั้นของเธอ

“เป็นไปไม่ได้!” สือเหล่ยพูดเสียงดัง “คนทั่วไปนึกอยากจะสำเร็จเป็นนักหลอมยา ต่างก็มิอาจทำได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ระหว่างแต่ละระดับขั้นล้วนมีช่องว่างใหญ่โต การก้าวข้ามไปนั้นเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง แล้วเจ้าจะสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสองภายในระยะเวลาปีเดียวได้อย่างไรกัน!”

เขาใช้ระยะเวลาเกือบสิบปีตั้งแต่สัมผัสการหลอมยาจนสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสอง จนถึงตอนนี้เขาก็ยังเป็นเพียงแค่นักหลอมยาขั้นสามระดับสูงเท่านั้นเอง แต่ซือหม่าโยวเย่ว์สำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสองได้ภายในหนึ่งปี เช่นนั้นเขาจะนับเป็นอะไรได้เล่า

ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่อย่างจนใจพลางเอ่ยว่า “ท่านทำมิได้ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะทำมิได้เสียหน่อย”

สือมั่วลี่รู้สึกว่าตนเอื้อมถึงขอบกั้นของนักหลอมยาขั้นสองได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีก็นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในบรรดาผู้มีพรสวรรค์แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีแต่กลับแซงหน้าตนไปเสียแล้ว เธอมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเย้ยหยันปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ซือหม่าโยวเย่ว์ ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าเป็นนักหลอมยาขั้นสองแล้ว เช่นนั้นเจ้ากล้าหลอมยาวิเศษขั้นสองต่อหน้าทุกคนหรือไม่เล่า”

“ใช้วิธีก่อกวนหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เลิกคิ้ว “แต่ไม่มีผลต่อข้าหรอก”

สือมั่วลี่เห็นซือหม่าโยวเย่ว์ไม่อยากทำจึงพูดว่า “ฝ่าบาทเพคะ เมื่อครู่ประมุขตระกูลน่าหลานบอกว่านักหลอมยาของตระกูลซือหม่าผู้นั้นเป็นนักหลอมยาขั้นสอง แล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็บอกว่าคนผู้นั้นคือเขาเอง แต่ถ้าหากเขาหลอมยาวิเศษขั้นสองออกมาไม่ได้เล่า เช่นนั้นบุคคลปริศนาก็มิใช่ผู้อื่นหรอกหรือ ซึ่งแปลว่าพวกท่านแม่ทัพซือหม่าหลอกลวงฝ่าบาทมิใช่หรือเพคะ”

วั่นอู๋เฟิงได้ฟังคำพูดแล้วสีหน้าเคร่งขรึมลง ต่อให้เขาซึ่งเป็นคนนอกก็ยังรู้ว่าการจะสำเร็จเป็นนักหลอมยานั้นยากเย็นเพียงใด ส่วนการสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสองนั้นก็ยากเสียยิ่งกว่ายาก! เมื่อได้ยินพวกเขาพูดเช่นนี้แล้วก็มีความเป็นไปได้ที่ซือหม่าโยวเย่ว์จะหลอกลวงตนจริงๆ

“ซือหม่าโยวเย่ว์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็หลอมยาวิเศษขั้นสองต่อหน้าทุกคนเสียสิ ถ้าหากเจ้าหลอมออกมาได้ก็แล้วไป แต่ถ้าหากหลอมออกมามิได้ หรือว่าเจ้ายังมิได้เป็นนักหลอมยาอยู่แล้ว เช่นนั้นก็อย่าตำหนิว่าข้าลงโทษตระกูลซือหม่าแล้วกัน!”

มิได้ปรึกษาหารือ หากแต่เป็นบัญชา

ซือหม่าเลี่ยคิดอยากจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกซือหม่าโยวเย่ว์ยกมือขึ้นปรามเอาไว้

เธอแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อทุกท่านมีความสงสัยอยู่ในใจ เช่นนั้นข้าจะหลอมยาก็ได้ แต่ว่าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ถ้าหากข้าหลอมยาวิเศษขั้นสองนี้ออกมาได้ เช่นนั้นพวกประมุขตระกูลน่าหลานที่ตั้งข้อสงสัยข้าผิดๆ เช่นนี้ก็ควรจะขอขมาข้าด้วยใช่หรือไม่”

วั่นอู๋เฟิงมองน่าหลานเหอปราดหนึ่ง

ทั้งสองคนตอบรับในทันใด “ถ้าหากเจ้าหลอมยาออกมาได้จริงๆ ตระกูลน่าหลานของข้าจะต้องขอขมาเจ้าอย่างแน่นอน!”

“ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านปู่ ท่านกลับไปยังที่นั่งของท่านก่อนเถิด คอยดูโยวเย่ว์หลอมยาให้ดี”

“อื้ม เจ้าพยายามเข้าแล้วกัน” ซือหม่าเลี่ยพูด

ถ้าหากสำเร็จ เช่นนั้นคราวนี้ตระกูลซือหม่าก็จะผ่านไปได้อย่างราบรื่น ถ้าหากล้มเหลว เขาก็จะรับผิดชอบผลที่จะตามมาเอง เธอไม่จำเป็นต้องรับแรงกดดันอะไร เพียงแค่หลอมยาให้ดีๆ ก็พอแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังความหมายของเขาออก จึงยิ้มพลางพยักหน้า

“เจ้าต้องการเตาหลอมยาอะไรบ้างหรือไม่” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสส่งเสียงเอ่ยถาม

“ขอบคุณท่านอาจารย์ใหญ่ที่ใส่ใจ ข้าเป็นนักหลอมยาคนหนึ่ง ย่อมต้องพกของที่จำเป็นต้องใช้มาเองอยู่แล้ว แต่ขอให้ฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาตให้คนหาโต๊ะมาให้ข้าตัวหนึ่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบ เตาหลอมยาใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน

เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอาเตาหลอมยาออกมาจริงๆ ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็เชื่อว่าเธอเป็นนักหลอมยาจริง แต่พวกน่าหลานเหอกับสือมั่วลี่กลับรู้สึกว่านี่เป็นเพียงแค่สิ่งที่เธอเตรียมการเอาไว้ก่อนเป็นอย่างดีแล้วเท่านั้น

วั่นอู๋เฟิงโบกมือ องครักษ์ด้านข้างก็ยกโต๊ะตัวหนึ่งเข้ามากลางตำหนักใหญ่ในทันที

ขณะนี้เองน่าหลานหลานและมู่หรงอานก็เดินตามกันกลับเข้ามาจากข้างนอก เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์กับเตาหลอมยา ต่างพากันสงสัยไม่น้อย

เมื่อสือมั่วลี่เห็นทั้งสองคนกลับมาในเวลาไล่เลี่ยกันจึงมองค้อนเขาอย่างแรงทีหนึ่ง แต่ตอนนี้ยังมิใช่เวลามาถามพวกเขา เธอเคลื่อนสายตากลับไปมองบนร่างของซือหม่าโยวเย่ว์อีกครั้ง

ซือหม่าโยวเย่ว์ตบโต๊ะก่อนจะโบกมือ จัดวางเครื่องยาจำนวนหนึ่งลงบนโต๊ะ

น่าหลานหลานได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนโดยรอบจึงรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์กำลังจะหลอมยา จึงประหลาดใจไม่น้อยขึ้นมาในทันใด

เขามิใช่คนไร้ค่าหรอกหรือ จะกลายเป็นนักหลอมยาไปได้อย่างไรกัน!

นางยังไม่ทันถามคนข้างๆ ก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์ใส่ฟืนจำนวนหนึ่งเข้าไปด้านล่างของเตาหลอมยา หลังจากนั้นจึงรวบรวมปราณวิญญาณออกมาปะทะเข้ากับไม้ฟืน ทำให้เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมา

นี่คือวิธีการที่ซือหม่าโยวเย่ว์พัฒนาขึ้นมาเอง ใช้พลังวิญญาณควบคุมเปลวเพลิง ทำให้ควบคุมขนาดเปลวเพลิงได้ดังใจตลอดเวลา

เมื่อเห็นว่าซือหม่าโยวเย่ว์ใช้พลังวิญญาณได้จริงๆ ทุกคนจึงเชื่อว่าเธอฝึกยุทธ์ได้แล้วจริงๆ

ดีร้ายอย่างไรคนอื่นๆ ก็เตรียมใจกันเอาไว้ก่อนแล้ว แต่มู่หรงอานกับน่าหลานหลานกลับตกใจอย่างรุนแรง

คนข้างกายน่าหลานหลานจึงเล่าสิ่งที่ซือหม่าโยวเย่ว์พูดมาก่อนหน้านี้ให้ฟังรอบหนึ่ง เมื่อได้ฟังว่าเธอเริ่มต้นฝึกยุทธ์หลังจากที่ถูกทำร้ายในครั้งนั้น นางกับมู่หรงอานจึงสบสายตากันปราดหนึ่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์รอให้เตาหลอมยาร้อนได้ที่แล้วจึงเริ่มต้นกลั่นเครื่องยา ทุกคนเห็นว่าเธอดูมีท่าทางเข้าที จึงคิดในใจว่าหรือเธอต้องหลอมยาวิเศษได้จริงๆ

สุภาษิตว่าคนนอกมองหาความสนุก คนในมองหาหนทาง ในขณะที่คนอื่นๆ ยังกังขาเรื่องที่ว่าซือหม่าโยวเย่ว์สำเร็จเป็นนักหลอมยาแล้วหรือยัง สือเหล่ยและอู๋หลินก็มองเห็นได้คร่าวๆ แล้ว

ยาวิเศษที่เธอเลือกคือยาวิเศษบัวขาวที่หลอมง่ายที่สุดในบรรดายาวิเศษขั้นสองทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะหลอมง่ายกว่ายาวิเศษชนิดอื่นๆ แต่ก็สมราคายาวิเศษขั้นสองอย่างแท้จริง

เมื่อดูวิธีการกลั่นสกัดเครื่องยาของเธอ ถึงแม้ว่าสือมั่วลี่จะคลุกคลีกับการหลอมยามาหลายปี แต่เมื่อเปรียบกับเธอแล้วก็ยังห่างชั้นกันหลายช่วงตัว

ดังนั้นแม้ว่าจะไม่อยากยอมรับ แต่ในใจของคนทั้งคู่ก็ตระหนักดีว่าซือหม่าโยวเย่ว์ดูเหมือนจะเป็นนักหลอมยาขั้นสองจริงๆ เสียแล้ว

เมื่อซือหม่าโยวเย่ว์เริ่มต้นหลอมยา จิตใจก็ไม่ว่อกแว่กเลย ไม่ได้สนใจเหตุการณ์รอบตัว เธอคุ้นเคยกับยาวิเศษบัวขาวเป็นอย่างมากแล้ว ใช้เวลาราวๆ หนึ่งชั่วโมงก็หลอมได้สำเร็จ

หลังจากผนึกยาสำเร็จแล้วเธอก็ดับไฟ หลังจากนั้นจึงหยิบยาวิเศษภายในเตาหลอมยาออกมา เพื่อไม่ให้ตนเองโดดเด่นจนเกินไปนัก เธอจึงควบแน่นยาวิเศษออกมาเพียงแค่เม็ดเดียวเท่านั้น

“ฝ่าบาท นี่คือยาวิเศษบัวขาวซึ่งเป็นยาวิเศษขั้นสองพ่ะย่ะค่ะ ขอเชิญฝ่าบาททรงทอดพระเนตร”

เธอส่งยาวิเศษให้กับองครักษ์ ให้เขาส่งต่อให้กับวั่นอู๋เฟิง วั่นอู๋เฟิงยื่นมือไปรับมา หลังจากนั้นก็โบกมือ องครักษ์จึงนำยาวิเศษลงไปให้คนอื่นๆ ประเมินด้วย

“เพิ่งหลอมเมื่อครู่นี้จริงๆ ยาวิเศษยังร้อนๆ อยู่เลย”

“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าเขาเป็นนักหลอมยาขั้นสองจริงๆ น่ะสิ!”

“พรสวรรค์เช่นนี้ช่างร้ายกาจเสียจริง!”

“ดูเหมือนว่าอนาคตในภายภาคหน้าของตระกูลซือหม่าจะประเมินค่ามิได้เสียแล้ว!”

“…”

คนของตระกูลน่าหลานและสมาคมนักหลอมยาต่างหน้าตึงกันไปหมด ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้การกระทำพิสูจน์แล้วว่าเธอเป็นนักหลอมยาขั้นสอง การวางตัวต่อตระกูลซือหม่าจากนี้ไปก็ต้องเปลี่ยนแปลงเสียแล้ว

คนของตระกูลซือหม่าเองก็เพิ่งเคยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์หลอมยาเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นท่าทีคล่องแคล่วราวกับสายน้ำไหลของเธอแล้วก็ประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน

ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บเตาหลอมยาและเครื่องยาที่เหลือกลับลงไปภายในมณีวิญญาณแล้วองครักษ์จึงเข้ามาย้ายโต๊ะกลับออกไป

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่บอกไปแล้วว่าถ้าหากข้าหลอมยาวิเศษขั้นสองออกมาได้ ประมุขตระกูลน่าหลานต้องขอขมาข้าต่อหน้าธารกำนัล”

“เจ้า…” น่าหลานเหอถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสีหน้าโกรธแค้น

“ว่าอย่างไรเล่า เมื่อครู่ท่านประมุขตระกูลน่าหลานก็พูดเอง ตอนนี้จะมานึกเสียใจภายหลังอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปทางน่าหลานเหออย่างไม่เกรงกลัวอำนาจของเขาเลยแม้แต่น้อย

“ประมุขตระกูลน่าหลาน ในเมื่อท่านเป็นคนรับปากเองเมื่อครู่ เช่นนั้นก็ทำตามที่สัญญาเอาไว้เถิด” วั่นอู๋เฟิงพูด

น่าหลานเหอยับยั้งความโกรธเอาไว้ในใจแล้วส่งเสียงพูดอย่างริษยาและไม่เต็มใจว่า “ขอโทษ”

“ประมุขตระกูลน่าหลาน ท่านว่าอะไรนะ เสียงของท่านเบาถึงเพียงนั้น หูของข้าไม่ค่อยดี ไม่ได้ยินเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์เงี่ยหูฟังพลางพูดด้วยรอยยิ้ม

“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าอย่าให้มันเกินไปนักเลย!” น่าหลานหลานฟาดโต๊ะดังฉาดพลางตะคอกใส่ซือหม่าโยวเย่ว์

“เอ๊ะ ข้าทำเกินไปหรือ นักหลอมยาขั้นสองคนหนึ่งถูกผู้อื่นตั้งข้อสงสัย นั่นคือการดูหมิ่นชนิดหนึ่ง ข้าเพียงแค่ให้ประมุขตระกูลน่าหลานขอโทษข้าเท่านั้นก็ไม่เป็นไรแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วตระกูลน่าหลานของท่านทำเกินไปยิ่งกว่าข้าเสียอีก!”

“เจ้า…”

“หลานเอ๋อร์ ถอยไป” น่าหลานเหอพูดเสียงดุ หลังจากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดกับซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยเสียงอันดังว่า “ข้าขอโทษ”

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อประมุขตระกูลน่าหลานก็ได้ขอโทษแล้ว ข้าน้อยก็จะไม่ติดใจเอาความอะไรอีก หวังว่าต่อไปในภายหน้าประมุขตระกูลน่าหลานจะไม่ทำความผิดเช่นนี้อีกนะ ถึงอย่างไรนักหลอมยาทั้งหลายก็มิได้คุยด้วยง่ายๆ เหมือนข้ากันหมดหรอกนะ”

พูดจบเธอก็มองพวกสือเหล่ยด้วยสายตาปราศจากนัยแอบแฝง แล้วหมุนตัวกลับไปยังที่นั่งของตระกูลซือหม่า

“น้องห้า ทำได้ดีมาก!” พวกซือหม่าโยวหมิงทั้งสี่คนล้วนส่งสายตาชื่นชมยินดีมาให้เธอ ซือหม่าโยวเล่อยังยกนิ้วโป้งให้เธออีกด้วย

“เอาละ เรื่องนี้ให้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้แล้วกัน” วั่นอู๋เฟิงพูด “ในช่วงท้ายข้าได้จัดเตรียมงานเลี้ยงเต้นรำร่ำสุราเอาไว้ให้กับทุกท่านด้วย พวกเจ้าคนหนุ่มสาวที่ชอบความครึกครื้นก็ไปเที่ยวเล่น ไป่ชวน เจ้าคอยต้อนรับทุกคนด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ” องค์ชายใหญ่ลุกขึ้นตอบรับวั่นอู๋เฟิง

วั่นอู๋เฟิงนำองครักษ์ออกไปจากตำหนักใหญ่ วั่นไป่ชวนโบกมือ นางในกลุ่มหนึ่งก็เรียงแถวกันเข้ามานำทางทุกคนไปยังตำหนักอีกแห่งหนึ่ง

เพราะรู้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่รักสนุก คนที่เลยวัยไปแล้วจึงพากันปลีกตัวกลับไปก่อน ดังนั้นเมื่อไปถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงสุรา แขกในงานจึงเหลือเพียงรุ่นหนุ่มสาวเท่านั้น

เดิมทีซือหม่าโยวเย่ว์ไม่อยากเข้าร่วม แต่เมื่อนึกถึงหินเสียงในมือ เธอจึงเปลี่ยนความตั้งใจ

“น้องห้า เจ้าจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงสุราด้วยหรือ” เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์กำลังจะเดินตามนางในไป พวกซือหม่าโยวหมิงจึงเรียกเธอเอาไว้

ซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าพูดไปแล้วว่าจะกลับไปด้วยกัน เธอโบกไม้โบกมือไปทางพวกเขาแล้วพูดว่า “พวกท่านกลับกันไปก่อนเถิด ข้าจะไปดูสักหน่อยว่างานเลี้ยงสุรานั้นเป็นเช่นไร”

“แต่เจ้าจะไปคนเดียวได้หรือ เช่นนั้นให้พวกเราไปกับเจ้าด้วยก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวหรานพูด

“ไม่ต้องหรอก พวกท่านไม่ชอบงานเลี้ยงสุราเช่นนี้มิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าไปเที่ยวเล่นครู่เดียวก็จะกลับแล้วล่ะ”

“แต่ว่า…”

“ข้าก็จะไปงานเลี้ยงสุรา อยู่ด้วยกันกับโยวเย่ว์ ท่านพี่ทั้งหลายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าจะดูแลนางให้ดีอย่างแน่นอน” ไม่รู้ว่าเจ้าอ้วนชวีนั้นโผล่มาจากที่ใด มาอยู่ข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ เขาคิดจะเอื้อมมือไปโอบไหล่เธอ แต่เมื่อนึกได้ว่าเธอเป็นหญิงจึงล้มเลิกไป

เมื่อเห็นว่ามีคนอยู่เป็นเพื่อนซือหม่าโยวเย่ว์แล้วซือหม่าโยวหมิงจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็กลับกันให้เร็วหน่อยแล้วกัน พวกเราจะทิ้งรถเทียมสัตว์อสูรเอาไว้ให้เจ้า”

“ไม่ต้องหรอก ประเดี๋ยวข้าให้เจ้าอ้วนไปส่งข้าที่บ้านก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ก็ได้ เช่นนั้นพวกเราไปก่อนนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือให้พวกเขาก่อนจะหมุนตัวเดินมุ่งหน้าไปยังงานเลี้ยงสุราพร้อมกับเจ้าอ้วน

“โยวเย่ว์ บอกมาสิว่ามีเรื่องอะไรจะให้ข้าทำ” เจ้าอ้วนชวีพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าอ้วนชวีด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามีเรื่องจะให้เจ้าทำ”

เจ้าอ้วนชวีหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยว่า “ถ้าหากเจ้าไม่มีเรื่องอันใดก็ไม่มีทางไปเข้าร่วมงานเลี้ยงสุราอันน่าเบื่อหน่ายนั่นแน่นอน ในเมื่อเจ้าต้องการจะไป ย่อมต้องคิดจะทำอะไรบางอย่างแน่”

“อัจฉริยะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่งสายตาชมเชยเขา

เจ้าอ้วนชวีเชิดคางขึ้นอย่างลำพองใจแล้วพูดว่า “นั่นปะไร! ว่ามาสิ อยากให้ข้าทำสิ่งใด”

“ความจริงแล้วง่ายดายยิ่งนัก เจ้ามานี่สิ ข้าจะบอกเจ้าเอง…”

เมื่อมาถึงตำหนักที่จัดงานเลี้ยงสุรา ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าคนวัยหนุ่มสาวส่วนใหญ่ล้วนไปกันหมดแล้ว ในบรรดาแขกเหรื่อมากมาย เธอมองปราดเดียวก็เห็นเงาร่างของมู่หรงอาน

ในขณะนี้มู่หรงอานกำลังพูดอะไรบางอย่างกับสือมั่วลี่อยู่ น่าจะกำลังอธิบายเรื่องที่หายตัวไปก่อนหน้านี้ ส่วนน่าหลานหลานอยู่กับหญิงสาวตระกูลน่าหลานอีกคนหนึ่งห่างออกไปไม่ไกล ถือจอกสุราสนทนากับคนอื่นอยู่ สายตาของนางเหลือบมองไปทางมู่หรงอานอยู่ตลอด คอยสังเกตการสนทนาระหว่างพวกเขา

“คุณชายห้า”

พอซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน สำหรับอดีตคนไร้ค่าที่ตอนนี้ก้าวกระโดดไปเป็นผู้มีพรสวรรค์ ทุกคนยังคงไม่ค่อยเคยชินนัก

แต่ไม่ว่าจะเคยชินหรือไม่ ผู้มีพรสวรรค์เดินไปที่ใดล้วนได้รับการยกย่องชมเชยจากผู้คนทั้งสิ้น ดังนั้นจึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดจะอาศัยโอกาสนี้ในการสานสัมพันธ์กับเธอ

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่มีความคิดและเรี่ยวแรงที่จะมาจัดการกับพวกเขาเหล่านี้ จึงเฉยเมยกับพวกเขา เพียงไม่นานก็มีคนที่ฉลาดพอจะไม่มาสร้างความรำคาญให้เธออีก

มู่หรงอาน สือมั่วลี่ และน่าหลานหลานต่างก็สังเกตเห็นแล้วว่าซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามา สายตาที่มองมาทางเธอแฝงไว้ด้วยความคับแค้นสายหนึ่ง

เป็นคนไร้ค่าชัดๆ แล้วจู่ๆ มาสำเร็จเป็นนักหลอมยาที่แสนล้ำค่าได้อย่างไรกัน!

สือมั่วลี่มองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ จอกสุราในมือเกือบจะถูกนางบีบแหลกเป็นผุยผง

ก่อนหน้านี้เป็นผู้มีพรสวรรค์ซึ่งเป็นที่ยอมรับไปทั่ว อายุไม่ถึงยี่สิบปีก็เอื้อมถึงขอบเขตของนักหลอมยาขั้นสองแล้ว แต่ตอนนี้มีซือหม่าโยวเย่ว์โผล่มาคนหนึ่ง ตนจึงถูกเปรียบเทียบขึ้นมาในทันที นี่ทำให้นางที่เคยชินกับการเป็นจันทราท่ามกลางหมู่ดารารับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง

ในขณะนี้เอง เจ้าอ้วนชวีพูดบางสิ่งขึ้นมาเสียงดังลั่น พลังเสียงนั้นดึงดูดความสนใจของผู้คนทั่วทั้งตำหนักใหญ่ไปจนหมด

ซือหม่าโยวเย่ว์แสร้งทำเป็นดึงรั้งเจ้าอ้วนชวีพลางเอ่ยว่า “เจ้าเบาเสียงลงหน่อยสิ หากใครได้ยินเข้าต้องเป็นเรื่องวุ่นวายแน่!”

ในขณะที่เธอพูดยังเหลือบมองไปทางพวกสือมั่วลี่ด้วย คล้ายกับกลัวว่าพวกเขาจะได้ยินเข้า

เดิมทีสือมั่วลี่ก็ถูกเสียงอุทานของเจ้าอ้วนชวีดึงดูดความสนใจอยู่แล้ว เมื่อเห็นสายตาที่ซือหม่าโยวเย่มองมาทางตน ในใจจึงเกิดความไม่สงบขึ้นมา

หรือเขากำลังพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับตนเล่า

ในใจครุ่นคิด สองเท้าก็ยังย่างก้าวตรงไปทางนั้นอย่างไม่รู้ตัว

เจ้าอ้วนชวีและซือหม่าโยวเย่ว์หมุนตัวหันหลังให้กับทุกคนพลางลดเสียงต่ำเอ่ยว่า “โยวเย่ว์ เจ้าได้ยินมาจริงๆ น่ะหรือ”

“แน่นอนสิ ตอนที่ข้าออกไปเมื่อครู่ก็พบมู่หรงอานกับน่าหลานหลานกำลังพะเน้าพะนอพลอดรักกันอยู่ริมทะเลสาบพอดี ข้าก็เลยเข้าไปฟังอยู่ครู่หนึ่งน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “น่าสงสารสือมั่วลี่ผู้นั้นที่ยังถูกปิดหูปิดตา ถูกมู่หรงอานปั่นหัวเสียจนหัวหมุนติ้วเลยทีเดียว!”

“จริงหรือ โยวเย่ว์ เรื่องนี้เจ้ามิอาจพูดจาเลอะเทอะได้นะ ถ้าหากสือมั่วลี่ได้ยินเข้าคงจะคิดว่าเจ้าป้ายสีมู่หรงอานน่ะสิ!” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ข้ามิได้พูดจาเลอะเทอะเสียหน่อย ตอนนั้นข้ายังใช้หินเสียงบันทึกเสียงที่พวกเขาพูดเอาไว้ด้วย ถ้าหากเจ้าอยากฟัง รอให้งานเลี้ยงสุราสิ้นสุดลงแล้วข้าจะกลับไปเปิดให้เจ้าฟังเอง”

ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็ดื่มสุราอึกหนึ่ง รอให้เจ้าอ้วนชวีรับบทต่อ

“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใดกัน!” เจ้าอ้วนชวียังไม่ทันเอ่ยปาก สือมั่วลี่ก็ตวาดมาจากด้านหลังพวกเขาเสียแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าอ้วนชวีร่างกายสั่นสะท้านแล้วค่อยๆ หมุนตัวกลับมาช้าๆ ก่อนจะยิ้มเยาะคราหนึ่งแล้วพูดว่า “สือมั่วลี่ เหตุใดเจ้าจึงแอบฟังผู้อื่นคุยกันเล่า”

“เมื่อครู่เจ้าพูดอะไร” สือมั่วลี่มองคนทั้งสองอย่างเย็นชา

“ไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย” ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าอ้วนชวีสายตาล่อกแล่ก ไม่ยอมพูดความจริง จงใจล่อให้เธอกระหายรู้มากยิ่งขึ้น

“พูดมาเร็วเข้า เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าเห็นอะไร” สือมั่วลี่เห็นพวกเขาไม่ยอมพูดจึงตะคอกเสียงดัง

เสียงของเธอดึงดูดความสนใจของคนทั่วทั้งตำหนักใหญ่ เมื่อนึกถึงว่าคืนนี้เธอพยายามทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์อับอายที่ตำหนักใหญ่ แต่ละคนจึงพากันคาดเดาว่าทั้งสองเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมาอีกครั้ง

เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสีหน้าลำบากใจพลางพูดว่า “โยวเย่ว์ เช่นนั้นเจ้าก็ให้นางฟังไปเสียเถิด เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ผู้อื่นคิดว่าเจ้าไปทำอะไรนาง พอถึงเวลานั้นหากสมาคมนักหลอมยาตรวจสอบขึ้นมา เจ้าก็จะลำบากเปล่าๆ นะ”

เมื่อได้ยินเจ้าอ้วนชวีพูดเช่นนี้ทุกคนจึงยิ่งคาดเดากันไปใหญ่ว่าซือหม่าโยวเย่ว์ได้ทำอะไรลงไปเพื่อแก้แค้นสือมั่วลี่หรือไม่

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูผู้คนรอบๆ ปราดหนึ่ง สายตาของทุกคนล้วนแฝงไปด้วยความคิดต่างๆ นานา เธอถอนหายใจแล้วพูดว่า “นี่เจ้าอยากให้ข้าพูดเองนะ ถึงเวลานั้นเจ้าก็อย่ามาตำหนิข้าแล้วกัน”

“เฮอะ เมื่อครู่เจ้าพูดให้ร้ายอะไรมู่หรงนะ” สือมั่วลี่พูด

“ข้าก็แค่เห็นเขาพะเน้าพะนออยู่กับผู้อื่นเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เป็นนักหลอมยาเหมือนกัน ข้าจึงขอเตือนเจ้าสักประโยคหนึ่ง มู่หรงอานผู้นี้มิได้จริงใจต่อเจ้า เจ้าเลิกกับเขาให้เร็วหน่อยจะดีกว่า”

“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้ากำลังพูดเหลวไหลอันใดกัน!” มู่หรงอานคิดไม่ถึงว่าตนจะถูกลากไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยจึงเดินเข้ามาตะคอกใส่

ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่พลางพูดว่า “ข้าพูดจาเหลวไหลหรือไม่ เจ้านั่นแหละที่รู้ดีที่สุด”

สือมั่วลี่มองคนทั้งสองอย่างสงสัย เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่มู่หรงอานกับน่าหลานหลานไม่อยู่พร้อมกันแล้วจึงถามว่า “มู่หรง เจ้ามิได้ทำเรื่องที่ผิดต่อข้าจริงๆ ใช่หรือไม่”

“มั่วลี่ เจ้ายังไม่เชื่อคำพูดของข้าอีกหรือ ซือหม่าโยวเย่ว์ยังตัดใจจากข้าไม่ขาดมาโดยตลอด อาจคิดอยากจะแยกพวกเราจากกันก็เป็นได้” มู่หรงอานคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะรู้เรื่องระหว่างตนกับน่าหลานหลานเข้า จึงหยิบยกเรื่องอื้อฉาวที่ซือหม่าโยวเย่ว์ไล่ตามตนในตอนนั้นมาเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคน

“ชิ คนปลิ้นปล้อนเอาแน่เอานอนมิได้ เหยียบเรือสองแคมอย่างเจ้า ไม่คู่ควรแม้แต่จะมาถือรองเท้าให้โยวเย่ว์เสียด้วยซ้ำ!” เจ้าอ้วนชวีมองมู่หรงอานอย่างดูแคลนปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “โยวเย่ว์ เมื่อครู่เจ้าบอกว่ามีหลักฐานมิใช่หรือ หยิบออกมาให้ทุกคนดูเลยสิ มาดูกันว่าเจ้าใส่ร้ายป้ายสีเขาเพื่อจะแยกพวกเขาจากกันหรือไม่”

“เรื่องนี้…” ซือหม่าโยวเย่ว์ยื้อเวลาอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เช่นนี้ไม่ดีกระมัง”

“มีอะไรไม่ดีกันเล่า!” เจ้าอ้วนชวีร้อนรนเสียแล้ว “เจ้าคนผู้นี้คอยทำลายชื่อเสียงของเจ้าอยู่นี่ เจ้ายังจะลังเลไปทำไมกัน!”

“เจ้ามีหลักฐานอะไร” สือมั่วลี่มองซือหม่าโยวเย่ว์ “เจ้ามีหลักฐานจริงๆ จะเป็นการดีที่สุด ถ้าหากใส่ร้ายมู่หรงแล้วล่ะก็ อย่าหาว่าสมาคมนักหลอมยาปิดประตูใส่เจ้าแล้วกัน!”

ข่มขู่หรือ ซือหม่าโยวเย่ว์เลิกคิ้ว

“เอาล่ะ ถึงแม้ว่าข้าจะยังไม่ได้คิดเรื่องที่ว่าในอนาคตจะเข้าร่วมสมาคมนักหลอมยาหรือไม่ แต่ในเมื่อมีสายตามากมายจับจ้องเช่นนี้ ข้าคงมิอาจยอมถูกตราหน้าว่าเป็นคนใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นได้ สือมั่วลี่ หวังว่าเจ้าจะไม่นึกเสียใจภายหลังนะ!”

พูดจบเธอก็หยิบหินเสียงออกมาแล้วใส่พลังวิญญาณเข้าไปในนั้น ลวดลายบนหินเสียงเริ่มโคจร เสียงสนทนาตอนหนึ่งดังออกมา ซึ่งก็คือเสียงสนทนาระหว่างมู่หรงอานและน่าหลานหลานที่ริมทะเลสาบนั่นเอง!

เมื่อได้ยินเสียงสนทนานี้ ผู้คนในที่นั้นต่างตะลึงงันกันไปหมด ในตอนแรกสือมั่วลี่ยังไม่กล้าเชื่อ ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นเดือดดาล นางหันไปมองมู่หรงอานผู้มีสีหน้าแข็งค้าง แล้วฟาดฝ่ามือลงไปฉาดหนึ่ง

“แสดงละครอย่างนั้นหรือ เจ้าช่างเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมเสียจริง! เศษสวะชั้นต่ำ!”

เดิมทีตอนที่น่าหลานหลานได้ฟังบทสนทนาที่ดังมาจากหินเสียง ในใจก็ยังมีความสุขอยู่เล็กน้อย เช่นนี้มู่หรงอานก็มิอาจอยู่ร่วมกับสือมั่วลี่ได้อีกต่อไปแล้ว

คิดไม่ถึงว่าเพียงพริบตาเดียวสือมั่วลี่ก็ฟาดฝ่ามือใส่เขาไปฉาดหนึ่งเสียแล้ว นางจึงรีบเดินเข้าไปดึงตัวมู่หรงอานมาแล้วตะคอกใส่สือมั่วลี่ว่า “เจ้าตบเขาทำไมกัน!”

สือมั่วลี่ส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นคราหนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าไม่เพียงแค่ตบเขาเท่านั้น แต่ข้าจะตบเจ้าด้วย!”

นางพูดพลางฟาดฝ่ามือหนึ่งใส่น่าหลานหลาน

น่าหลานหลานเองก็มิใช่ลูกนกอ่อนแอแต่อย่างใด เมื่อเห็นสือมั่วลี่ฟาดฝ่ามือใส่จึงยื่นมือไปหมายจะขัดขวาง แต่กลับถูกมู่หรงอานที่อยู่ข้างๆ ดึงเอาไว้

“น่าหลานหลาน เจ้าอย่าก่อปัญหาสิ!”

มือของน่าหลานหลานถูกดึงเอาไว้ หากแต่สือมั่วลี่มิได้ถูกดึง ดังนั้น…

“เพียะ…”

รอยนิ้วมือห้านิ้วปรากฏบนใบหน้าของน่าหลานหลานในทันที

ฝ่ามือนี้ทำให้น่าหลานหลานมึนงงไป นางหันไปมองมู่หรงอานอย่างงงงัน

“เจ้ารั้งข้าไว้ทำไมกัน”

ตอนนี้มู่หรงอานไม่มีเวลามาสนใจน่าหลานหลาน เขาปล่อยมือนางแล้วเดินมาตรงหน้าสือมั่วลี่พลางเอ่ยว่า “มั่วลี่ เจ้าอย่าไปเชื่อวาจาเหล่านั้นเลยนะ เป็นนางนั่นแหละที่มาเกาะแกะข้า ทั้งยังยั่วยวนข้า ข้าจึงต้องเอ่ยวาจาเหล่านั้นเพื่อจัดการกับนาง เจ้าต้องเชื่อข้านะ!”

ท่ามกลางสายตาของผู้คน น่าหลานหลานย่อมไม่กล้าเชื่อหูตนเอง นางกุมใบหน้าแล้วร่นถอยหลังไปหลายก้าว

“เจ้า เจ้าว่าอะไรนะ…”

มู่หรงอานถลึงตาใส่นางพลางเอ่ยว่า “ข้ามิได้ชอบเจ้าตั้งนานแล้ว เป็นเจ้าเองนั่นแหละที่ตามเกาะแกะข้ามาโดยตลอด ก่อนหน้านี้มิใช่เจ้าเองหรอกหรือที่ตามข้าไปยังริมทะเลสาบน่ะ”

“มู่หรงอาน เจ้าช่างโง่เง่านัก!” น่าหลานหลานถูกวาจาของมู่หรงอานยั่วยุจนหลุดปากด่าทอออกมาพร้อมกับหลั่งน้ำตาแห่งความโศกศัลย์

“มั่วลี่ เจ้าต้องเชื่อข้านะ ข้าชอบเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นจริงๆ” มู่หรงอานไม่แยแสน่าหลานหลาน สนใจแต่จะอธิบายให้สือมั่วลี่ฟังเท่านั้น

เมื่อเทียบกันแล้วตระกูลน่าหลานนั้นไม่มีจุดใดที่จะเปรียบเทียบกับสมาคมนักหลอมยาได้เลย ดังนั้นเขาจึงมิอาจทอดทิ้งบันไดขั้นสูงอย่างสือมั่วลี่ไปได้

“นี่ เหตุใดข้าฟังน้ำเสียงของเจ้าแล้วจึงไม่รู้สึกถึงการถูกบังคับเลยเล่า ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีความสุขอย่างยิ่งเสียด้วยซ้ำ!” เจ้าอ้วนชวีพูดแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่ง

คนอื่นๆ พากันพยักหน้า พวกเขาไม่เห็นความเหลืออดหรือการถูกบังคับเลยสักนิด พอฟังแล้วเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนเสียด้วยซ้ำ

สือมั่วลี่มิได้พูดจา เพียงแค่มองมู่หรงอานและน่าหลานหลานด้วยสายตาเยียบเย็น เมื่อเห็นมู่หรงอานมาดึงมือของตน นางจึงออกแรงสะบัดพลางเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “มู่หรงอาน พวกเราจบกัน ข้ารับสามีเช่นเจ้ามิได้หรอก ท่านพ่อข้าก็รับศิษย์เช่นเจ้าไม่ไหวเช่นกัน!”

พูดจบแล้วนางก็หมุนตัววิ่งออกไป

“มั่วลี่!”

มู่หรงอานยกเท้าคิดจะวิ่งตามออกไปแต่ถูกน่าหลานหลานตะโกนเรียกให้หยุด

“มู่หรงอาน ถ้าหากวันนี้เจ้าตามออกไป ข้ากับเจ้าขาดกัน!”

มู่หรงอานหันหน้ามามองน่าหลานหลานปราดหนึ่ง หลังจากนั้นจึงวิ่งออกไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

น่าหลานหลานคิดไม่ถึงว่ามู่หรงอานจะวิ่งออกไปโดยไม่หยุดคิดเลยด้วยซ้ำจึงตกตะลึงไป ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างวิปลาสขึ้นมา

“มู่หรงอาน เจ้าช่างใจร้ายนัก! ข้าจะทำให้เจ้าสำนึกเสียใจแน่นอน! พวกเราไปกันเถิด!”

หญิงสาวที่มาพร้อมกับน่าหลานหลานจากไปพร้อมนางโดยไม่กล้าพูดอะไรเลยแม้แต่ประโยคเดียว

ในขณะที่ออกจากตำหนักใหญ่ น่าหลานหลานคล้ายจะนึกถึงต้นตอแห่งปัญหาขึ้นมาได้ จึงหันมาถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่ง ความชิงชังในแววตาเข้มข้นเสียจนดูเหมือนจะกลั่นออกมาเป็นน้ำได้

ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มให้น่าหลานหลานด้วยท่าทีว่าอันที่จริงแล้วข้าทำเพื่อประโยชน์ของเจ้า ทำเอานางสะบัดหน้าจากไปอย่างโมโห

ตัวเอกจากไปกันหมดแล้ว เจ้าอ้วนชวีจึงโบกไม้โบกมือให้ทุกคนพลางเอ่ยว่า “เอาละๆ ละครสนุกจบแล้วนะ พวกเรากินดื่มกันตามสบายได้เลย”

วั่นไป่ชวนออกไปครู่หนึ่ง ตอนที่กลับมาก็พบว่าบรรยากาศแปลกประหลาดอยู่บ้างจึงเรียกนางในมาถามดู ถึงได้รู้ว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้

เขามองดูคนทั้งสองที่ดื่มสุรากันอยู่ตามลำพังที่มุมหนึ่งของตำหนักใหญ่ เขายังไม่เชื่อว่าพวกเขาไม่มีเจตนา แต่ตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์เป็นนักหลอมยา แม้กระทั่งเขาก็ยังมิอาจไปไถ่ถามอีกฝ่ายตามอำเภอใจได้ สุดท้ายจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วปล่อยพวกเขาไป

ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าอ้วนชวีใช้เวลาอยู่ที่งานเลี้ยงสุราครู่หนึ่งก่อนจะไปบอกวั่นไป่ชวนว่าอยากกลับแล้ว วั่นไป่ชวนกล่าวส่งแขกอยู่สองสามประโยคแล้วจึงปล่อยให้พวกเขาจากไป

พอออกไปจากวังหลวงแล้วซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยหัวเราะเสียงดังลั่นกับเจ้าอ้วนชวี กลั้นมาตลอดทั้งคืน ทำเอาพวกเขาอัดอั้นแทบตายเลยทีเดียว

“โยวเย่ว์ เจ้าเห็นสีหน้าของมู่หรงอานในตอนนั้นหรือไม่ หน้าเขียวคล้ำเลยล่ะ! ฮ่าๆๆ ข้าขำแทบตายแน่ะ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะแล้วพูดว่า “ในภายหน้าต้องถูกขุมอำนาจใหญ่ทั้งสองฝ่ายขึ้นบัญชีดำแน่ อนาคตของมู่หรงอานผู้นี้ไม่ต้องบอกก็รู้แล้ว”

“ใช่แล้ว เจ้ามู่หรงอานผู้นี้มิใช่ของดีแต่อย่างใดเลย เขาสมควรมีจุดจบเช่นนี้แล้วล่ะ!”เจ้าอ้วนชวีพยักหน้า “แต่ว่า… โยวเย่ว์ เหตุใดเจ้าจึงอยากลอบทำร้ายเขาเล่า”

เพราะเหตุใดหรือ ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูดวงจันทร์กลมโตบนท้องฟ้าพลางกระซิบในใจว่าเธอก็แค่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าของร่างเดิมในตอนนั้นเท่านั้นเอง…

วันรุ่งขึ้นเรื่องที่เกิดขึ้นที่งานเลี้ยงสุราก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หลังจากที่สือเหล่ยและน่าหลานเหอฟังบุตรสาวของตนร้องไห้คร่ำครวญแล้วก็ใส่ชื่อมู่หรงอานเข้าไปในบัญชีดำจริงๆ

น่าหลานเหอออกคำสั่งห้ามมิให้คนของตระกูลมู่หรงเข้าไปในร้านค้าใดๆ ภายใต้ชื่อของตระกูลน่าหลาน และยุติการค้าทั้งหมดกับตระกูลพวกเขา

สือเหล่ยนั้นโหดเหี้ยมยิ่งกว่า ถึงกับสั่งให้สมาคมนักหลอมยาหยุดการส่งมอบยาวิเศษให้กับพวกเขา จะไม่มีการขายยาวิเศษให้กับตระกูลพวกเขาอีกต่อไป!

เมื่อตระกูลมู่หรงได้ยินบทลงโทษที่ทั้งสองขุมอำนาจใหญ่มอบให้พวกเขาก็ตกตะลึงไปทันที ต่อมาเมื่อได้ยินว่าเกิดปัญหาเพราะเรื่องของมู่หรงอานจึงลงโทษมู่หรงอานอย่างหนักหน่วง นอกจากนี้เพื่อบรรเทาความโกรธและให้ได้รับการอภัยจากสมาคมนักหลอมยากับตระกูลน่าหลาน จึงให้ลาออกจากราชวิทยาลัยแล้วส่งตัวเขาไปดูแลกิจการของตระกูลยังพื้นที่เล็กๆ อันห่างไกล เช่นนี้จึงทำให้สองขุมอำนาจใหญ่ยอมถอนบทลงโทษต่อทั้งตระกูลมู่หรงได้

ตอนที่ได้รับทราบข่าวเหล่านี้ ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังอาบแสงตะวันกินผลไม้ทิพย์อยู่ในลานบ้าน เมื่อนึกถึงว่าชีวิตนี้มู่หรงอานคงไม่มีทางได้ลืมตาอ้าปากอีกแล้ว เธอจึงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง

“เช่นนี้นับได้ว่าชดเชยให้เจ้าได้แล้วหรือยังเล่า”

สายลมอ่อนพัดโชยผ่านไป คล้ายกับการให้คำตอบเธออย่างรางๆ

เธอพิงเก้าอี้นวมตัวยาวพลางหลับตาลงด้วยสีหน้าสุขสันต์

ชุนเจี้ยนเดินเข้ามา ก็เห็นกลิ่นอายสงบนิ่งแผ่ซ่านออกมาจากร่างเธอ เมื่อเห็นใบหน้าอันงดงามของเธอแล้วจึงมองตาค้างอยู่ครู่หนึ่ง

“มีเรื่องอันใดหรือ” เธอรู้สึกได้ตั้งแต่ตอนที่ชุนเจี้ยนเข้ามาแล้ว เมื่อเห็นนางไม่พูดไม่จาจึงเอ่ยปากถามขึ้น

ชุนเจี้ยนได้สติกลับคืนมาแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย ท่านแม่ทัพส่งคนมาเชิญท่านไปพบน่ะเจ้าค่ะ”

“ท่านปู่กลับมาแล้วหรือ ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”

ชุนเจี้ยนยอบกายคารวะครั้งหนึ่งแล้วออกไปจากลานบ้าน ซือหม่าโยวเย่ว์กินผลไม้ทิพย์ในมือจนหมดแล้วจึงลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือของซือหม่าเลี่ย

ตั้งแต่กลับมาจากงานเลี้ยง ซือหม่าเลี่ยก็ออกไปแต่เช้าตรู่แล้วกลับมาค่ำมืดทุกวัน ซือหม่าโยวเย่ว์จึงยังมิได้พบเขาอีกเลย คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะกลับมาเร็วเช่นนี้ได้

แต่เขาเรียกตนไปทำไมกัน

เมื่อมาถึงเรือนของซือหม่าเลี่ย องครักษ์ต่างพากันทำความเคารพเธอแล้วผลักประตูห้องหนังสือให้เปิดออก มองปราดหนึ่งก็เห็นซือหม่าเลี่ยที่กำลังตกตะลึงอยู่

“ท่านปู่ ท่านเรียกหาข้าหรือ”

ซือหม่าเลี่ยได้สติกลับมาแล้วกวักมือเรียกซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “โยวเย่ว์ เจ้ามาแล้ว เข้ามานั่งสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปก็เห็นท่าทีจิตใจไม่สงบของซือหม่าเลี่ย จึงเอ่ยว่า “ท่านปู่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นใช่หรือไม่”

“ถูกต้อง” เจ้าอ้วนชวีกะเทาะเมล็ดแตงแล้วพูดว่า “ได้ยินว่าวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบหนึ่งร้อยห้าสิบชันษาของฝ่าบาทในครั้งนี้จะจัดงานใหญ่โต ขุมอำนาจชั้นหนึ่งของเมืองหลวงล้วนได้รับเชิญกันหมด เจ้าก็รู้ว่าตระกูลน่าหลานต้องไปอย่างแน่นอน ไม่เพียงแค่พวกเขาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสมาคมนักหลอมยา สมาคมนักฝึกสัตว์อสูร สมาคมปรมาจารย์วิญญาณอะไรก็ต้องส่งคนไปเข้าร่วมกันหมด อย่างเช่นพวกเราก็ต้องเข้าตาองค์ชายสามจึงจะไปได้”

ซือหม่าโยวเย่ว์เคาะนิ้วบนโต๊ะหินพลางเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าวันนั้นขุมอำนาจทุกฝ่ายคงจะไปกันหมดเลยสินะ!”

“ถูกต้อง” เจ้าอ้วนชวีพยักหน้า “ว่ากันตามจริง วันนั้นเป็นโอกาสอันดีที่จะได้สืบข้อมูลเชิงลึก ถ้าหากเจ้าไปดูได้ก็คงไม่เลวเลย”

“อืม ไม่แน่ว่าถึงวันนั้นแล้วอาจจะไปก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ถ้าหากเจ้าไปด้วย ข้าจะได้มีเพื่อนคุย” เจ้าอ้วนชวีพูด “พี่ชายข้าอยากให้ข้าไปเปิดโลกทัศน์ยิ่งนัก แต่ความจริงแล้วข้าเองก็มิได้สนใจเรื่องนั้นสักเท่าใดหรอก ทั้งยังไม่ชอบประจบประแจงองค์ชายสามผู้นั้นด้วย หากเจ้าไปข้าจะได้ไม่เบื่อหน่ายอย่างไรเล่า”

“ค่อยว่ากันเถิด”

“อืม เช่นนั้นข้ากลับก่อนล่ะ อย่าลืมที่บอกนะ ถ้าหากต้องการไหว้วานอะไรเจ้าอ้วนเช่นข้าก็บอกมาได้เลย” เจ้าอ้วนชวียืนขึ้นพูด

“ข้าจะบอกแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม

เธอเดินไปส่งเจ้าอ้วนชวีแล้วกลับไปยังเรือนพักของตน เรื่องที่เธอเป็นนักหลอมยานี้มีเพียงพวกเขาไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ ดังนั้นสายตาที่ทุกคนมองเธอจึงมิได้มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเลย มีเพียงคนที่สนิทสนมกับเธอเท่านั้นที่รู้ว่าเธอมิใช่เธอคนเดิมอีกต่อไปแล้ว

ทุกคนในเมืองหลวงล้วนให้ความสนใจกับเรื่องของตระกูลซือหม่าและตระกูลน่าหลาน ฝ่ายหนึ่งคือตระกูลน่าหลานที่มีพลังยุทธ์ อีกฝ่ายคือจวนแม่ทัพที่ทรงอิทธิพล พวกเขาล้วนไม่อยากช่วยเหลือเลยสักฝ่ายเดียว เพราะถ้าหากยืนผิดฝ่าย สิ่งที่รอพวกเขาอยู่นั้นย่อมต้องเป็นหายนะของการวางเดิมพันผิดข้าง

ทุกคนต่างรู้เรื่องที่ตระกูลน่าหลานเชิญนักหลอมยาท่านหนึ่งมาเข้าร่วมอยู่ก่อนแล้ว และพวกเขาก็รู้ว่าตระกูลซือหม่ามีความสัมพันธ์ที่มิใคร่จะดีนักกับนักหลอมยามาโดยตลอด คิดในใจไว้ว่าคราวนี้ตระกูลซือหม่าต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

ข่าวที่ว่ายาวิเศษของร้านค้าตระกูลซือหม่าหมดเกลี้ยงนั้นแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟไหม้ ตระกูลจำนวนไม่น้อยได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ ยาวิเศษนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งชีพสำหรับทุกตระกูลเลยก็ว่าได้!

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ร้านค้าตระกูลซือหม่าก็นำยาวิเศษออกมาจำหน่ายอีกครั้ง นอกจากนี้ราคายังต่ำลงกว่าเมื่อก่อนถึงหนึ่งในสามอีกด้วย ราคาถูกกว่าของตระกูลน่าหลานเสียอีก

สำหรับทหารรับจ้างที่มิได้มั่งมีมากนัก ราคานี้ย่อมมีแรงดึงดูดมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเพียงไม่นานทหารรับจ้างจำนวนไม่น้อยจึงย้ายไปที่ร้านค้าตระกูลซือหม่าแทน

ตระกูลน่าหลานก็ได้รับทราบข่าวอย่างรวดเร็วเช่นกัน เรื่องที่ยาวิเศษของตระกูลซือหม่าถูกซื้อไปจนหมดอย่างรวดเร็วก็เป็นเพราะพวกเขาส่งคนไปกว้านซื้อนั่นเอง เพื่อให้ร้านค้าของพวกเขาเสียความดึงดูดใจไป แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะสามารถดึงเอายาวิเศษออกมาได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ราคายังต่ำกว่าของพวกตนเสียอีก ซึ่งเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของพวกเขาอย่างยิ่ง

ในห้องปรึกษาธุระของตระกูลน่าหลาน น่าหลานเหอนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง ผู้อาวุโสสองคนยืนอยู่ข้างๆ ส่วนคนอื่นๆ นั่งอยู่เบื้องล่าง

“ท่านประมุขตระกูล เรื่องที่ตระกูลซือหม่ายังมียาวิเศษอยู่อีกนั้นเป็นความจริงหรือ” ผู้อาวุโสรองพูด

“ใช่” น่าหลานเหอพยักหน้า “เพิ่งได้รับข่าวมาเมื่อครู่ว่าพวกเขายังคงขายยาวิเศษต่อไปจริงๆ”

“แต่มิใช่ว่าพวกเราไปกว้านซื้อยาวิเศษชุดสุดท้ายของพวกเขามาจนหมดแล้วหรือ ร้านค้าเหล่านั้นก็ได้รับปากเอาไว้แล้วว่าจะไม่ให้สินค้ากับตระกูลซือหม่าอีก แล้วพวกเขาไปเอายาวิเศษมาจากไหนกัน” ผู้อาวุโสรองพูดอย่างสงสัย

“หรือจะมีคนไม่ยอมทำตามข้อตกลงที่ทำไว้กับพวกเรา แอบขายยาวิเศษให้พวกเขาเป็นการส่วนตัว” ผู้อาวุโสใหญ่พูด

“ไม่น่าจะใช่หรอก” น่าหลานเหอพูด “ต่อให้คนเหล่านั้นไม่ยอมทำตามข้อตกลงแล้วขายยาวิเศษให้กับพวกซือหม่าเลี่ย พวกเขาก็ไม่มีทางไปซื้อหามาได้มากมายเช่นนั้นในเวลาเพียงชั่วครู่เดียวหรอก นอกจากนี้ยังกดราคาให้ต่ำลงได้ถึงขนาดนี้อีกด้วย”

“เช่นนั้นท่านประมุขตระกูลก็หมายความว่า…”

น่าหลานเหอนิ่งคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด พวกเขาน่าจะหาตัวนักหลอมยาพบแล้วล่ะ”

“จะเป็นไปได้อย่างไร!” ผู้อาวุโสรองส่ายหน้าอย่างมั่นใจ “คนที่พวกเราส่งไปบอกว่านักหลอมยาทุกคนที่ติดต่อกับตระกูลซือหม่าล้วนไม่ประสบความสำเร็จกันทั้งสิ้น จู่ๆ พวกเขาจะมีนักหลอมยาเต็มใจมาเข้าร่วมตระกูลพวกเขาอย่างปุบปับได้อย่างไรกัน”

“ท่านประมุขตระกูล ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสรองขอรับ” ผู้ดูแลร้านหนวดโค้งที่นั่งอยู่เบื้องล่างผู้หนึ่งเอ่ยปากพูด “จากข่าวที่แพร่สะพัดอยู่ข้างล่าง ตระกูลซือหม่ามียาวิเศษกว่าพันเม็ดโผล่มาอย่างปุบปับ นักหลอมยาคนไหนๆ ก็ไม่มีทางหยิบเอายาวิเศษมากมายถึงเพียงนี้ออกมาได้ในชั่วพริบตาหรอกขอรับ”

“กว่าพันเม็ดเลยหรือ” จำนวนนี้ทำเอาผู้อาวุโสใหญ่ที่สงบนิ่งมาโดยตลอดตกตะลึงอยู่บ้าง

“เจ้าแน่ใจหรือ”

“ข้าน้อยแน่ใจขอรับ แน่ใจว่ามีกว่าพันเม็ดเลยทีเดียว” บุรุษหนวดโค้งพูด “นอกจากนี้ราคายาวิเศษของพวกเราในตอนนี้ยังถูกตั้งเอาไว้ที่ราคาทุนแล้วด้วย แต่พวกเขายังตั้งราคาต่ำกว่าเราอีกนะขอรับ”

“เฮอะ ซือหม่าเลี่ยคิดจะดึงดูดลูกค้าเหล่านั้นด้วยวิธีเช่นนี้ ไม่สนใจต้นทุน เช่นนั้นพวกเขาก็คงทนไหวได้ไม่นานเท่าไหร่นักหรอก!” ผู้อาวุโสรองพูด

“ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน” ผู้อาวุโสใหญ่พูด “ฆ่านกเพื่อเก็บไข่ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่แผนการในระยะยาวอยู่ดี”

“เช่นนั้นยาวิเศษของพวกเราจำเป็นจะต้องลดราคาด้วยหรือไม่ขอรับ” บุรุษหนวดโค้งถาม

“ไม่ต้องหรอก” น่าหลานเหอพูด “พวกเขาทนได้ไม่นานหรอก พอพวกเขาขายยาวิเศษหมดแล้ว ลองดูสิว่าพวกเขาจะยังจะทำต่อไปได้อีกหรือไม่ นอกจากพวกเราจะให้การคารวะและมอบเครื่องยาแก่ปรมาจารย์เหอ ก็ทำให้เราเสียรายได้ไปมากพอแล้ว หากลดราคาอีกอาจส่งผลกระทบต่อการจัดหาในภายหน้าได้”

“ขอรับ ท่านประมุขตระกูล”

น่าหลานเหอลูบแขนเสื้อซ้ายอันว่างเปล่า สีหน้ามืดหม่นจนน่ากลัว ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานตรงๆ แต่สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่า เรื่องที่เทือกเขาผู่สั่วย่อมมีความสัมพันธ์กับตระกูลซือหม่าอย่างแยกไม่ออก

“ท่านประมุขตระกูลขอรับ เดือนหน้าเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาท ได้จัดเตรียมของขวัญเอาไว้เรียบร้อยแล้ว วันนี้เพิ่งมาถึงคลังสมบัติเลยขอรับ”

เปรียบเทียบกับเรื่องของตระกูลซือหม่าแล้ว วันเฉลิมพระชนมพรรษาของกษัตริย์ตงเฉินก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่พวกเขาให้ความสำคัญในระยะนี้เช่นเดียวกัน

“ถึงแล้วหรือ เช่นนั้นพวกเราไปดูกันเถิด พวกเจ้ากลับไปสังเกตการณ์ดูสถานการณ์ทางนั้นต่อไปนะ” น่าหลานเหอพูดกับผู้ดูแลร้านที่อยู่เบื้องล่าง

“ขอรับ”

“ผู้อาวุโสทั้งสอง พวกเราไปดูของขวัญวันเฉลิมพระชนมพรรษากันดีกว่า…”

เรื่องที่ร้านค้าตระกูลซือหม่าจำหน่ายยาวิเศษราคาถูกแพร่สะพัดไปในหมู่ทหารรับจ้าง ทหารรับจ้างจำนวนไม่น้อยจึงวิ่งไปซื้อกันคนแล้วคนเล่า นอกจากนี้ยังซื้อมามากกว่าปกติสองเม็ดอย่างเต็มใจเพราะราคาที่ถูกแสนถูก เพียงไม่กี่วันยาวิเศษเหล่านั้นก็ขายไปจนหมดเกลี้ยง

ในขณะที่ทุกคนนั่งรอตอนที่ตระกูลซือหม่าไม่มียาวิเศษจำหน่ายอยู่นั้นเอง พวกเขาก็ยกอีกชุดหนึ่งออกมาวางจำหน่ายในทันที โดยที่ราคายังคงไม่เปลี่ยนแปลง

การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ผู้คนทั้งเมืองหลวงตาค้าง หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ ก็หมายความว่าตระกูลซือหม่าได้เชิญนักหลอมยาท่านหนึ่งมาแล้วจริงๆ! นอกจากนี้เมื่อดูจากยาวิเศษที่พวกเขาวางจำหน่ายแล้ว อย่างน้อยคนผู้นั้นก็ต้องเป็นนักหลอมยาขั้นสองอีกด้วย!

ข่าวนี้ทำให้น่าหลานเหอตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่กลับมิได้โจมตีเขาเลย เขาส่งคนไปตรวจสอบร้านที่เป็นผู้จัดหาเครื่องยาให้ตระกูลซือหม่า พยายามจะตัดต้นทางวัตถุดิบเครื่องยาของพวกเขา แต่ข่าวที่ได้รับกลับกลายเป็นว่า… ตระกูลซือหม่ามิได้ซื้อหาเครื่องยาใดๆ จากผู้อื่นมาตั้งแต่ต้นแล้ว!

“หรือว่ายาวิเศษของพวกเขาหล่นลงมาจากฟ้ากันเล่า” ผู้อาวุโสรองสงสัยไม่น้อยเลย “หรือจะบอกว่ามีขุมอำนาจใหญ่อะไรคอยสนับสนุนพวกเขาอยู่เบื้องหลัง”

น่าหลานเหอส่ายศีรษะ “นอกจากสมาคมนักหลอมยาแล้ว ตอนนี้ขุมอำนาจใดเล่าที่จะมีความสามารถขนาดที่จะมาช่วยเหลือตระกูลซือหม่าอย่างมือเติบเช่นนี้ได้ แต่พวกเราก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของซือหม่าเลี่ยกับสมาคมนักหลอมยาดี ไม่ขุดหลุมพรางขว้างก้อนหินใส่ก็ดีถมไปแล้ว จะยื่นมือช่วยเหลือพวกเขาน่ะหรือ เรื่องนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”

“เช่นนั้นจะอธิบายเรื่องตระกูลซือหม่าอย่างไรเล่า”

น่าหลานเหอหัวเราะเสียงเยียบเย็น “ใกล้จะถึงงานฉลองแห่งรัฐแล้ว ถึงตอนนั้นจะต้องมีวิธีทำให้ตาเฒ่าซือหม่าเลี่ยนั่นคายความจริงออกมาอย่างแน่นอน!”

……………………

“น้องห้า เจ้าจะบอกว่าเจ้าใช้เวลาเพียงครึ่งปีกว่าก็สำเร็จเป็นนักหลอมยาแล้วอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเล่อมองซือหม่าโยวเย่ว์ สงสัยในคำพูดของเธอเป็นอย่างยิ่ง

ซือหม่าโยวหรานมองยาวิเศษแล้วมองเธอ เมื่อนึกถึงเรื่องที่จู่ๆ เธอก็รู้วิชาแพทย์ขึ้นมา คิดว่าการหลอมยาวิเศษนี้เป็นความทรงจำแต่เดิมของเธอ ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้ว ความตกตะลึงของเขาจึงน้อยกว่ามาก

“ฮ่าๆๆ” ซือหม่าเลี่ยเข้ามาข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์พลางหัวเราะเสียงดังก่อนจะตบบ่าเธอแล้วพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้ารู้ว่าสวรรค์ไม่มีทางทำร้ายพวกเราตระกูลซือหม่าหรอก! ตอนนั้นที่เจ้าบอกว่าอยากเป็นนักหลอมยา คิดไม่ถึงว่าจะทำได้แล้วจริงๆ ไม่เลว ไม่เลวเลย!”

ซือหม่าโยวเย่ว์เม้มปากกัดฟันทนรับแรงของซือหม่าเลี่ย พอเขาตื่นเต้นขึ้นมาก็ไม่รู้จักหนักเบาเลย เมื่อฝ่ามือนี้ตบลงบนบ่าเธอก็เกือบจะฟาดให้เธอทรุดลงไปเลยทีเดียว

“ตอนนี้มียาวิเศษมากมายถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีน้องห้าที่หลอมยาได้อีก เกรงว่าจุดประสงค์ของตระกูลน่าหลานที่นึกอยากจะใช้ยาวิเศษคว่ำพวกเราลงคงจะพังพินาศไปแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวฉีพูด

“น้องห้า คราวนี้ต้องขอบคุณเจ้าแล้ว!” ซือหม่าโยวหมิงพูด

“ขอเพียงแค่ช่วยได้ก็พอ” ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้ม “เอาพวกนี้ไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน ต้องการยาวิเศษชนิดใดก็บอกข้า ข้าจะหลอมมาอีก แล้วข้าจะหลอมยาวิเศษที่ใช้บ่อยมาเพิ่มให้อีกสักหน่อย ด้วย หลอมเสร็จแล้วจะให้พวกชุนเจี้ยนส่งมาให้พวกท่านแล้วกัน”

“ดีเลย” ซือหม่าโยวฉีเก็บยาวิเศษขึ้นมา “ใช่แล้ว เจ้าต้องการเครื่องยาชนิดใดในการหลอมยา ข้าจะให้คนไปจัดเตรียมมาให้”

“ไม่ต้องหรอก ข้าจัดการเรื่องเครื่องยาเองได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้ามีวิธีการใดหรือ” ซือหม่าเลี่ยพูด “พวกเราไม่มียาวิเศษก็จริง แต่เครื่องยานั้นยังมีอยู่มากมายเลยทีเดียว”

“คราวก่อนตอนไปที่เทือกเขาผู่สั่ว ข้าเก็บแหวนเก็บวัตถุได้วงหนึ่ง ภายในมีเครื่องยาอยู่มากมาย เพียงพอให้ข้าเอามาหลอมยาแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “อย่าบอกเรื่องที่ข้าหลอมยาได้ออกไปเป็นอันขาด ดังนั้นเครื่องยาของพวกเราก็ไม่ต้องมีความเคลื่อนไหวใหญ่โตมากนัก พี่ใหญ่พี่รอง ยาวิเศษกับเครื่องยานี้ไม่ต้องคำนวณราคาเลยก็ได้ พวกท่านอยากจะตั้งราคาเช่นไรก็ตั้งได้เลยนะ พวกเขาตระกูลน่าหลานคิดจะใช้วิธีนี้มาฉุดรั้งพวกเรา พวกเราก็ทำได้เช่นกัน”

“เยี่ยมเลย!” ซือหม่าโยวหมิงและซือหม่าโยวฉีประสานสายตากันแล้วยิ้มออกมา

ก่อนหน้านี้ตระกูลน่าหลานล้วนเป็นฝ่ายลงมือ ตอนนี้ถึงเวลาเอาคืนพวกเขาแล้ว!

“ในเมื่อตอนนี้มียาวิเศษแล้ว โยวหมิง โยวฉี พวกเจ้าไปจัดการกันก่อนเถิด” ซือหม่าเลี่ยพูด

“ขอรับ เช่นนั้นพวกเราขอตัวไปที่ร้านกันก่อน” ซือหม่าโยวหมิงและซือหม่าโยวฉีลุกขึ้นทำความเคารพซือหม่าเลี่ยก่อนจะหมุนกายจากไป

“โยวหราน โยวเล่อ พวกเจ้าทั้งสองต้องกลับไปที่วิทยาลัยหรือไม่” ซือหม่าเลี่ยถาม

“ตอนนี้ที่วิทยาลัยยังไม่มีชั้นเรียน ข้าขออยู่บ้านดีกว่า คอยดูว่ามีเรื่องอะไรที่พอจะช่วยได้บ้างหรือไม่” ซือหม่าโยวหรานพูด

“ดีจริง”

“ท่านปู่ หากไม่มีธุระอะไรแล้ว พวกเราขอตัวกลับก่อนนะขอรับ” ซือหม่าโยวเล่อพูด

“ไปเถิด” เมื่อจัดการเรื่องใหญ่ที่กดทับหัวใจอยู่เสร็จเรียบร้อย ซือหม่าเลี่ยจึงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง “โยวเย่ว์ เจ้าอยู่ที่นี่ก่อนประเดี๋ยวหนึ่งสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เตรียมตัวจะจากไปพร้อมพวกเขาอยู่พอดี เมื่อได้ยินคำพูดของซือหม่าเลี่ย จึงกลับมาประจำยังที่นั่งของตน

พวกซือหม่าโยวเล่อมองเธอปราดหนึ่งก่อนจะออกไป

ภายในห้องเหลือปู่และหลานอยู่กันเพียงสองคนเท่านั้น ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเอ่ยถามว่า “ท่านปู่ มีเรื่องอันใดหรือ”

“สัตว์อสูรวิเศษที่เจ้าพากลับมาเมื่อคราวก่อนเหล่านั้น ข้าได้แบ่งให้กับคนในบ้านเรียบร้อยแล้วนะ” ซือหม่าเลี่ยพูด

“เช่นนั้นตอนที่พวกเขาทำพันธสัญญา ได้เลื่อนระดับกันหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ที่ข้าเรียกตัวเจ้าเอาไว้ก็เพราะจะคุยเรื่องนี้นี่แหละ” ซือหม่าเลี่ยพูด “คนที่ทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรทิพย์เหล่านั้น ดูเหมือนว่าจะเลื่อนระดับไปสองถึงสามระดับขั้นย่อย ส่วนผู้ที่ทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำ ก็เลื่อนไปหนึ่งระดับ”

“เลื่อนระดับได้จริงๆ เสียด้วย!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างยินดี ในเมื่อเลื่อนระดับได้จริงๆ เช่นนั้นที่ในตำราบอกเอาไว้ว่าในภายภาคหน้ายามที่การบำเพ็ญของพวกเขาเลื่อนระดับ สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาจะเลื่อนระดับไปด้วยก็เป็นความจริงน่ะสิ!

“อื้ม” ซือหม่าเลี่ยพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ตอนนี้พลังยุทธ์ของตระกูลเราก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อยอย่างเงียบๆ ตอนนี้บวกกับที่เจ้าหลอมยาได้ พวกเราก็มีความมั่นใจในการต่อสู้กับตระกูลน่าหลานมากยิ่งขึ้นแล้ว”

“ท่านปู่ ข้ายังมีจุดที่ไม่เข้าใจอยู่เล็กน้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“อะไรหรือ”

“ท่านปู่มิได้เป็นแม่ทัพแห่งอาณาจักรตงเฉินหรอกหรือ เช่นนั้นคนของตระกูลน่าหลานมาทำเช่นนี้กับพวกเรา เหตุใดราชวงศ์จึงไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดความสงสัยภายในใจออกมา

“หลักๆ เป็นเพราะตระกูลน่าหลานมิใช่ครอบครัวธรรมดาสามัญ นอกจากนี้พวกเขาก็มิได้ใช้กำลังกับพวกเราเลยด้วย ราชวงศ์จึงมิอาจออกหน้าห้ามปรามได้น่ะสิ” ซือหม่าเลี่ยพูด “แต่ข้าว่าเหตุผลสำคัญที่สุดน่าจะเป็นเพราะฝ่าบาทคลางแคลงพระทัยในตระกูลเรา จึงทรงคิดจะยืมมือตระกูลน่าหลานมาทำให้พวกเราอ่อนแอลง”

“เพราะเหตุใดเล่า เป็นเพราะพลังยุทธ์ของท่านปู่ทวีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างนั้นหรือ”

“มิได้เป็นเพราะข้าเท่านั้นหรอก” ซือหม่าเลี่ยพูด “ในสายตาคนนอก พี่ชายทั้งสี่ของเจ้าล้วนมีพรสวรรค์สูงส่งยิ่ง บวกกับที่ข้ามีอำนาจบารมีในอาณาจักรตงเฉินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ฝ่าบาทคงทรงกลัวว่าพวกเราจะมีอิทธิพลมากเกินไปกระมัง”

ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก “ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นฝ่าบาทอะไรนั่นก็คงจะมิใช่คนมีวิสัยทัศน์กว้างไกลสักเท่าไหร่นักหรอก”

ตระกูลซือหม่าไม่ได้มีความคิดร้ายอะไรกับคนในตำแหน่งกษัตริย์อะไรนั่นเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าหากเกิดความแคลงใจเพียงเพราะพลังยุทธ์ของซือหม่าเลี่ยทวีความแข็งแกร่งมากเกินไป และพี่น้องซือหม่าโยวหมิงทั้งหลายมีพรสวรรค์เหนือธรรมดาแล้วละก็ ฝ่าบาทผู้นั้นก็มิใช่คนมีวิสัยทัศน์กว้างไกลนัก

“ใช่แล้ว อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาท ทรงอนุญาตให้พวกเราทุกคนไปเข้าร่วมงานได้ ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะได้เห็นฝ่าบาทแล้ว” ซือหม่าเลี่ยพูด

“เอ่อ… พอถึงเวลานั้นค่อยมาดูว่าอยากไปหรือไม่ก็แล้วกัน หากไม่มีเรื่องอันใดแล้วข้าขอตัวก่อนนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วจึงลุกออกไป

ขณะที่เดินผ่านลานบ้านหลัก เธอจึงค่อยนึกถึงเจ้าอ้วนชวีที่ยังดื่มชาอยู่ในโถงรับแขกขึ้นมาได้ จากนั้นจึงเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปยังโถงรับแขกแทน

นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เจ้าอ้วนชวีได้เข้ามายังจวนแม่ทัพ หลังจากพ่อบ้านให้คนยกชามาให้เขาแล้วก็ไปจัดการธุระต่อ เขาดื่มชาไปหลายถ้วยแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยังไม่มา เขาจึงคิดจะออกไปเดินเล่นข้างนอก เพิ่งเดินไปถึงประตูก็ชนกับคนที่เดินเข้ามา

“โยวเย่ว์ เหตุใดเจ้าจึงเดินเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง!”

“แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่าว่าเจ้าอยู่ที่ประตูน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ”

“ข้ากำลังคิดจะออกไปเดินเล่นในลานบ้านอยู่ แล้วเจ้าก็เข้ามาพอดี” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ดีเลย เจ้าคงยังไม่เคยมาที่จวนแม่ทัพกระมัง ไป ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่นรอบๆ เอง”

“ก่อนจะไปเดินเล่นข้าขอไป เออ… ไปเข้าห้องน้ำก่อนแล้วกัน” เจ้าอ้วนชวีนึกขึ้นมาได้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง คำพูดมาถึงริมฝีปากแล้วจึงเปลี่ยนแปลงไป

“เฮ้อ…” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของเจ้าอ้วนชวีจึงหัวเราะออกมาในทันใดแล้วยื่นมือมาคล้องคอของเขาพลางพูดว่า “ไปเถิด ข้าพาเจ้าไปบุ๋งๆ เอง”

เมื่อจัดการธุระจำเป็นทางร่างกายเรียบร้อยแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงพาเจ้าอ้วนชวีไปเดินชมภายในจวนแม่ทัพ เมื่อเห็นบริเวณบ้านที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย เจ้าอ้วนชวีก็รู้สึกเหนือความคาดหมายเป็นอย่างยิ่ง เขายังคิดว่าจวนแม่ทัพจะหรูหราตระการตาเสียอีก

ซือหม่าโยวเย่ว์พาเขาไปนั่งในศาลาพักร้อนหลังหนึ่งแล้วให้คนส่งของว่างมา ทั้งสองคนกินของว่างไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง

“ใช่แล้ว โยวเย่ว์ อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาท เจ้าจะไปหรือไม่”

“เจ้าก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ”

“อืม พี่ชายข้ามีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับองค์ชายสามน่ะ ด้วยเหตุนี้ตระกูลพวกเราจึงเข้าตาราชวงศ์ บิดาข้าและพี่ชายข้า รวมทั้งข้า ได้รับเชิญให้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยกัน ท่านปู่เจ้าเป็นถึงท่านแม่ทัพ เจ้าก็คงต้องไปด้วยอย่างแน่นอนกระมัง”

“งานเลี้ยงฉลองช่างน่าเบื่อยิ่งนัก จะไปหรือไม่พอถึงเวลาค่อยว่ากันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้าไม่ไปก็ดีแล้ว ถึงตอนนั้นตระกูลน่าหลานจะต้องไปอย่างแน่นอน ถ้าหากพบหน้าพวกเขาเข้าจะต้องอดหาเรื่องเจ้ามิได้แน่”

“คนของตระกูลน่าหลานก็ไปด้วยเหมือนกันหรือ”

……………………

ครึ่งเดือนต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ก็คุ้นเคยกับการหลอมยาวิเศษขั้นสอง แต่การหลอมยามาเป็นระยะเวลายาวนานนั้นทำให้เธอเหนื่อยล้าอยู่บ้าง เธอจึงอนุญาตให้ตนเองได้พักผ่อนสักระยะ ออกมาดูว่าเพื่อนร่วมเรือนพักกำลังทำอะไรกันอยู่

“โยวเย่ว์ เจ้าออกมาแล้วหรือ” เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าอ้วนชวีจึงปรี่เข้ามาหา

“เจ้าอ้วน เป็นอะไรไปหรือ เห็นหน้าตาเจ้าดูกระวนกระวายเหลือเกิน หรือว่าด้านหลังมีสาวงามไล่ตามเจ้าอยู่” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มพลางเอ่ยแซว

เจ้าอ้วนชวีเดินเข้ามาหาพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “ข้าก็อยากให้มีสาวงามมาไล่ตามข้าอยู่หรอก เสียดายก็แต่รูปลักษณ์ภายนอกอันหล่อเหลาองอาจของพี่ชายยังไม่มีสาวงามคนใดชื่นชมเลย ไอ้หยา ข้าไม่ได้อยากมาคุยเรื่องนี้กับเจ้าเสียหน่อย ถ้าหากเจ้ายังไม่ออกมาอีก ข้าก็จะไปเรียกเจ้าอยู่แล้ว!”

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“เป็นจวนแม่ทัพน่ะสิ ระยะนี้เกิดเรื่องยุ่งยากใหญ่โตเลยทีเดียว… เฮ้… โยวเย่ว์ เจ้าลากข้าไปทำไมกัน!”

เจ้าอ้วนชวียังพูดไม่ทันจบก็ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ลากตัวออกวิ่งไปเสียแล้ว

“กลับไปกับข้า เดินไปด้วยเล่าไปด้วย บอกข้ามาว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นในระยะนี้”

ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปถึงจวนแม่ทัพ นอกจากซือหม่าโยวหมิงและซือหม่าโยวฉีที่คอยจัดการดูแลอยู่ตลอดแล้ว แม้กระทั่งซือหม่าโยวหรานและซือหม่าโยวเล่อต่างก็กลับมากันหมดแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา นับจากครั้งก่อนหลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกทำร้าย

เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์กลับมา พวกซือหม่าเลี่ยก็ประหลาดใจกันเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ส่งคนไปหาตัวเธอที่วิทยาลัย พวกเจ้าอ้วนชวีก็ถือจดหมายกลับมาบอกว่าเธอกำลังปลีกวิเวกอยู่ พวกเขาจึงมิได้ไปรบกวนเธอ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เธอจะตรงกลับบ้านมาเสียแล้ว

เมื่อมองเห็นเจ้าอ้วนชวีที่กลับบ้านมาด้วยกัน ซือหม่าเลี่ยจึงพูดว่า “ท่านพ่อบ้าน พาคุณชายชวีไปดื่มชาที่โถงรับแขกทีสิ”

“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” พ่อบ้านก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “คุณชายชวี เชิญขอรับ”

เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ หากมีความต้องการสิ่งใดเจ้าก็ส่งคนไปเรียกข้าได้เลย ตอนนี้ข้าพูดอะไรที่ตระกูลชวีได้มากพอสมควรแล้ว”

ซือหม่าโยวเย่ว์อมยิ้มพยักหน้าไปทางเขา อยากจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือพวกเขาในเวลาเช่นนี้ น้ำใจนี้เธอจดจำเอาไว้แล้ว

เจ้าอ้วนชวีประสานมือคำนับคนอื่นๆ ก่อนจะเดินตามพ่อบ้านออกไป

รอยยิ้มบนใบหน้าซือหม่าโยวเย่ว์ค่อยๆ เลือนหายไปแล้วหันหน้าไปมองซือหม่าเลี่ยพลางเอ่ยว่า “ท่านปู่ ท่านพี่ ข้าได้ยินท่านพี่พูดว่าจวนแม่ทัพหานักหลอมยามาครึ่งเดือนแล้วก็ยังหาไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ”

“ไม่ใช่ว่าหาไม่พบหรอก” ซือหม่าโยวหมิงพูด “เพียงแต่เมื่อนักหลอมยาเหล่านั้นได้ฟังสถานการณ์ของจวนแม่ทัพแล้วก็เอาแต่อ้าปากกว้างเตรียมเขมือบราวกับราชสีห์ เสนอข้อแลกเปลี่ยนที่มากเกินไป พอท่านปู่โมโหก็เลยไล่พวกเขากลับไปหมดเลย”

พอพูดจบเขาก็มองซือหม่าเลี่ยอย่างตำหนิปราดหนึ่ง

“แค่ก ๆ ฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้อื่นยามเดือดร้อน นักหลอมยาพรรค์นี้ยังคิดจะให้พวกเรามาคารวะพวกเขาอีก น่าขันนัก!” ซือหม่าเลี่ยไม่รู้สึกว่าตนทำอะไรผิด ยังคงโมโหนักหลอมยาเหล่านั้นอยู่

ซือหม่าโยวเย่ว์ค้นพบว่าดูเหมือนซือหม่าเลี่ยจะมีอคติต่อนักหลอมยาเป็นอย่างมาก ขอเพียงแค่ได้พบนักหลอมยาพรรค์นี้ ก็มิอาจระงับเพลิงโทสะเอาไว้ได้

“ท่านปู่ ตอนนี้พวกเรามาถึงขั้นนี้กันแล้ว ท่านยังมิอาจข่มโทสะของท่านเอาไว้ได้อีก” ซือหม่าโยวหมิงพูดอย่างปวดหัว

“ท่านปู่ ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์ของท่านจะแข็งแกร่งกว่าท่านบรรพชนตระกูลน่าหลาน แต่ตอนนี้พวกเขามิได้สู้ตัวต่อตัวกับพวกเราตรงๆ อีกแล้ว พวกเราจำเป็นต้องหาวิธีรักษากิจการของครอบครัวเราเอาไว้สิ” ซือหม่าโยวฉีพูด

“ครอบครัวเราคนน้อย ระยะเวลาสั้น ส่วนตระกูลน่าหลานนั้นเป็นครอบครัวที่มีความเป็นมาอันยาวนานกว่า ตอนนี้พวกเขาโจมตีพวกเราทางธุรกิจอยู่ตลอดเช่นนี้ ท่านปู่ก็มิอาจเข้าไปสังหารพวกเขาตรงๆ ได้” ซือหม่าโยวหรานพูดวิเคราะห์ “แต่พวกเขากลับทำให้พลังยุทธ์ของพวกเราอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องได้ พวกเราจำเป็นต้องคิดหาวิธีขัดขวางมิให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปอีก”

“ข้าว่าไปเชิญตัวนักหลอมยาต่อไปดีกว่า” ซือหม่าโยวเล่อพูด “อาณาจักรตงเฉินออกจะใหญ่โต นักหลอมยาคงมิได้ถูกตระกูลน่าหลานซื้อตัวไปหมด หรืออาศัยจังหวะเพลิงไหม้ปล้นชิงกันหมดหรอกน่า!”

“แต่ยาวิเศษของพวกเราหมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ ตั้งแต่เมื่อวานในร้านค้าของพวกเราก็ยิ่งมีลูกค้าน้อยลงไปอีก” ซือหม่าโยวหมิงพูด “ระยะเวลาสั้นเช่นนี้ พวกเราจะไปหาตัวนักหลอมยาสักคนมาจากที่ใดกันเล่า”

“เรื่องนี้…เฮ้…!”

ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งฟังพวกเขาสนทนากันอยู่บนที่นั่งของตน เมื่อเห็นพวกเขาแต่ละคนพากันหน้านิ่วคิ้วขมวดจึงพูดว่า “เรื่องนั้น… ต้องการยาวิเศษมากเท่าใดหรือ บางทีข้าอาจจะหา…”

“น้องห้า ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งยุ่งเรื่องนี้เลยนะ เจ้ากลับไปฝึกยุทธ์ที่วิทยาลัยให้ดีๆ เถิด เรื่องในบ้านมีพวกเราคอยดูแลอยู่แล้ว” ซือหม่าโยวหมิงส่งเสียงขัดจังหวะคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์

เรื่องนี้ให้พวกเขาเครียดกันเองก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ซือหม่าโยวเย่ว์มาเป็นกังวลกับพวกเขาด้วยเลย

“ข้ามียาวิเศษอยู่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ถึงเจ้ามียาวิเศษอยู่ก็ไม่มีประโยชน์หรอก… อะไรนะ เจ้ามียาวิเศษอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวหมิงพูดไปได้ครึ่งเดียวค่อยรับรู้ได้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์พูดอะไร จึงมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างตกใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้ามียาวิเศษขั้นหนึ่งอยู่ จะเอาไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อนก็ได้ นอกจากนี้ยังไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ อีกด้วย พวกท่านกดราคาลงให้ต่ำกว่าตระกูลน่าหลานได้ด้วย”

“น้องห้า เจ้ามียาวิเศษอยู่จริงๆ หรือ”

“น้องห้า เจ้ามียาวิเศษได้อย่างไรกัน”

“เจ้ามียาวิเศษพวกนั้นด้วยหรือ มีมากเท่าใด”

ทุกคนล้วนมีปฏิกิริยาตอบสนองพร้อมกับมองมาทางเธอกันหมด

“มียาวิเศษที่ใช้บ่อยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยาห้ามเลือด ยาฟื้นปราณ และอื่นๆ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางโบกมือ ขวดยาวิเศษหลายร้อยขวดก็ปรากฏขึ้นบนพื้นห้องหนังสือ

“พวกนี้คือยาวิเศษทั้งหมดเลยหรือ” ซือหม่าโยวหมิงถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“พวกพี่ๆ ลองดูก็รู้เองแหละน่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

พวกซือหม่าโยวฉีทั้งสี่คนก้าวเข้าไปแล้วหยิบขวดหยกมาคนละหนึ่งใบก่อนจะเปิดดู ข้างในล้วนเป็นยาวิเศษทั้งสิ้น

“ยาวิเศษเหล่านี้รวมๆ กันขึ้นมาน่าจะเกินกว่าพันเม็ดเลยทีเดียว!” ซือหม่าโยวฉีพูดอย่างตื่นเต้น

ซือหม่าเลี่ยก็ก้าวเข้าไปเช่นกันแล้วหยิบขวดหยกใบหนึ่งมาเปิดดู ปรากฏว่าล้วนเป็นยาวิเศษทั้งสิ้น

“น้องห้า เจ้าไปได้ยาวิเศษมากมายถึงเพียงนี้มาจากที่ใดกัน” ซือหม่าโยวหมิงมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างตื่นเต้น “เสียเงินไปเท่าใดหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูกตัวเองแล้วพูดว่า “ไม่ต้องใช้เงินเลย”

“ไม่ต้องใช้เงินหรือ เช่นนั้นเจ้าไปได้มาอย่างไรเล่า”

“โยวเย่ว์ เจ้าคงมิได้รับปากผู้อื่นทำเรื่องเลวร้ายเพื่อยาวิเศษเหล่านี้หรอกนะ!”

ทุกคนในห้องเบนสายตาจากยาวิเศษมามองซือหม่าโยวเย่ว์แทน

เออ…

ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกปฏิกิริยาของพวกเขาทำเอาใบหน้าหม่นทะมึน พวกเขามีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ได้อย่างไรกัน

“ข้าเป็นคนหลอมยาวิเศษเหล่านี้เอง ดังนั้นจึงไม่ต้องใช้เงิน มิได้รับปากผู้อื่นทำเรื่องเลวร้ายอย่างที่พวกท่านคิดเสียหน่อย”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเธอ พวกเขาจึงค่อยวางใจลง ขอเพียงแค่ไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเธอก็พอแล้ว

“ทำเอาพวกเราตกใจแทบตายเลยทีเดียว” ซือหม่าโยวฉีพูด “ไม่มีเรื่องใดในใต้หล้าที่ได้มาโดยไม่ต้องใช้สิ่งตอบแทน พวกเรายังเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเจ้า ที่แท้เจ้าก็หลอมขึ้นมาเอง เช่นนี้พวกเราก็วางใจได้แล้วล่ะ อะไรนะ เจ้าหลอมเองอย่างนั้นหรือ!”

คราวนี้ทุกคนต่างก็พรั่นพรึงยิ่งกว่าตอนได้เห็นยาวิเศษเหล่านี้เสียอีก พากันมองเธอโดยพูดอะไรไม่ออกเลย

“น้องห้า เจ้าหลอมยาวิเศษเหล่านี้เองอย่างนั้นหรือ เจ้า… เจ้าหลอมยาวิเศษเป็นตั้งแต่เมื่อใดกัน” ซือหม่าโยวเล่อสงสัยว่าตนเกิดภาพหลอนหรือไม่ แต่ไหนแต่ไรพวกเขาก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าซือหม่าโยวเย่ว์หลอมยาวิเศษเป็น จู่ๆ ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทุกคนล้วนรู้สึกว่าเกิดภาพหลอนเสียแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์แอบคิดว่าต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองใหญ่โตเช่นนี้ด้วยหรือ แล้วยิ้มพูดว่า “คราวก่อนข้าก็บอกแล้วมิใช่หรือว่าจะศึกษาการหลอมยา หลังจากที่บำเพ็ญได้แล้วจึงเริ่มต้นศึกษาอย่างไรเล่า”

เธอไม่พูดก็แล้วไป แต่พอพูดเช่นนี้ หัวใจที่เพิ่งพรั่นพรึงไปของทุกคนจึงตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง

…………………

ซือหม่าโยวเย่ว์เริ่มต้นวันเวลาแห่งการฝึกฝนการหลอมยาวิเศษอย่างบ้าคลั่ง ตอนกลางวันเธอหลอมยาวิเศษอยู่ภายในมณีวิญญาณ ส่วนตอนกลางคืนก็ออกมาฟื้นฟูพลังจิต ระหว่างนั้นก็เสริมพลังให้กับต้นผลอสรพิษทองคำไปด้วย

เพื่อช่วยเหลือตระกูลซือหม่าให้ได้ ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์หลอมยาวิเศษ ส่วนใหญ่มักจะหลอมยาวิเศษที่ใช้บ่อยๆ เป็นประจำ อย่างเช่นยาห้ามเลือด และยาฟื้นปราณ ยาเหล่านี้ล้วนเป็นยาวิเศษที่บรรดาทหารรับจ้างและปรมาจารย์วิญญาณเตรียมเอาไว้ตลอดอยู่แล้ว ตระกูลน่าหลานได้รับความชื่นชอบจากเหล่าทหารรับจ้างก็เพราะราคาต่ำกว่าตระกูลซือหม่าอยู่มากพอสมควรเลยทีเดียว

พูดมาถึงตรงนี้ตระกูลซือหม่าเองก็จนใจ เดิมทีร้านค้าของพวกเขาก็ไม่มียาวิเศษขายเพราะไม่มีนักหลอมยา แต่กลับส่งผลกระทบต่อด้านอื่นๆ ไปด้วย เมื่อไม่มีทางเลือก พวกเขาจึงต้องไปยังร้านค้าอื่นๆ เพื่อเหมายาวิเศษมา ก็จะได้ราคาต่ำลงเล็กน้อย หลังจากนั้นค่อยขายออกไปด้วยราคาปกติ

และด้วยเหตุนี้เอง ตระกูลพวกเขาจึงมิอาจตั้งราคายาวิเศษให้ถูกจนเกินไปได้ เมื่อเห็นตระกูลน่าหลานอาศัยสิ่งนี้มากดดันพวกเขา พวกเขาก็ได้แต่จ้องเขม็งโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย

ตระกูลซือหม่าไม่มีนักหลอมยา นี่คือต้นตอของปัญหาทั้งหมด ซือหม่าเลี่ยก็เคยคิดจะเรียกตัวนักหลอมยามาเช่นกัน แต่ท่าทีเย่อหยิ่งเทียมฟ้าของคนเหล่านั้นทำให้เขาทำไม่สำเร็จในท้ายที่สุด

ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เข้าใจ ตอนหลอมยาวิเศษจึงหลอมยาวิเศษที่ใช้บ่อยออกมามากหน่อย นอกจากนี้ยาวิเศษเหล่านี้ยังหลอมได้ง่ายด้วย และภายในมณีวิญญาณยังมีเครื่องยาอยู่ครบถ้วน ผ่านไปหนึ่งเดือน ในมือของเธอก็มียาวิเศษอยู่หลายร้อยขวดแล้ว

วันนี้หลังจากที่เธอหยิบยาวิเศษออกมาจากเตาแล้ว หมัวซาก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธออีกครั้ง

“ตอนนี้เจ้าลองหลอมยาวิเศษขั้นสองดูได้แล้วล่ะ” หมัวซาพูด

“ได้แล้วหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซา ก่อนหน้านี้เขาบอกเอาไว้ว่าหากเขาไม่พูด เธอก็ต้องหลอมยาวิเศษขั้นหนึ่งไปเรื่อยๆ

เธอทำตามที่เขาบอกมาโดยตลอด ถึงแม้เธอจะรู้สึกว่าหลอมยาวิเศษขั้นสองได้ตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ทว่าเธอยังคงหลอมขั้นหนึ่งต่อไป

หมัวซาพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าจะหลอมยาวิเศษขั้นหนึ่งได้คล่องแคล่วดังใจนึกแล้ว แต่ก็เป็นเพราะวลีที่ว่าการฝึกฝนทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบนั่นเพียงคำเดียว ยิ่งหลอมยาวิเศษขั้นหนึ่งได้มาก ก็ยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ในการเข้าสู่การเป็นนักหลอมยาขั้นสองของเจ้า”

“ข้าเข้าใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

หมัวซาความคิดวูบไหวคราหนึ่ง กระดาษแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

“นี่คือตำรับยาพื้นบ้านของยาวิเศษขั้นสองที่พบในห้องหนังสือ ตอนนี้เจ้าฟื้นฟูพลังจิตก่อน หลังจากนั้นก็ท่องจำตำรับยาพื้นบ้านเล่มนี้เสีย ลองดูเอาเองก่อนว่ามีตรงไหนที่ต้องระมัดระวังบ้าง หลังจากนั้นข้าค่อยบอกเจ้าตอนจะหลอมยาก็แล้วกัน”

“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอาตำรับยาพื้นบ้านขึ้นมาก่อนจะนั่งลงบนพื้นแล้วเริ่มต้นศึกษา

หมัวซามองเธอตั้งอกตั้งใจศึกษาตำรับยาพื้นบ้านด้วยนัยน์ตาเปล่งประกาย

ในระยะนี้เรียกได้ว่าเขาอยู่กับเธอทั้งวันทั้งคืน เห็นเธอยกระดับทักษะการหลอมยาวิเศษจากขั้นหนึ่งระดับต่ำไปยังระดับสูงกับตาตนเอง โอกาสสำเร็จเพิ่มจากร้อยละหกสิบไปถึงร้อยละเก้าสิบกว่า จำนวนยาวิเศษก็เพิ่มจากเตาละสามเม็ดจนกลายเป็นเตาละเกือบสิบเม็ด!

แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยเห็นผู้ที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศและใช้การได้เช่นนี้มาก่อนเลย ความอุตสาหะอันแรงกล้าของเธอทำให้เขาหวั่นไหวเลยทีเดียว

เมื่อนึกถึงว่าตอนนั้นเขาก็โดดเด่นเหนือผู้ใดเช่นกัน แต่ก่อนที่ชีวิตจะเกิดความเปลี่ยนแปลง เขาก็มิได้มุมานะมากเท่ากับเธอ

เขาออกจากห้องหลอมยาเพื่อไม่ให้รบกวนการศึกษาของซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์มีทักษะในการผ่านตาแล้วไม่มีวันลืมเป็นทุนอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่ออ่านตำรับยาพื้นบ้านไปรอบหนึ่งก็จดจำเอาไว้ได้หมดแล้ว แต่เธอก็มิได้ไปหลอมยาวิเศษในทันที หากแต่คิดใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิเคราะห์ตำรับยาพื้นบ้านจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้วจึงค่อยลุกขึ้นไปเตรียมตัวเริ่มหลอมยา

เธอลุกขึ้นยืน บนโต๊ะมีเครื่องยาสำหรับหลอมยาวิเศษบัวขาววางอยู่ตั้งแต่เมื่อใดก็มิอาจทราบได้ เธอยิ้มอย่างรู้ทันแล้วหลับตานึกย้อนไปถึงตำรับยาพื้นบ้านอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงลงมือทำการกลั่นพวกมัน

ซือหม่าโยวเย่ว์คุ้นชินกับขั้นตอนการกลั่นเป็นอย่างยิ่งแล้ว ดังนั้นจึงมิได้เกิดปัญหาใหญ่อันใดขึ้นมา หลังจากที่เธอทำการกลั่นเครื่องยาตัวสุดท้ายเรียบร้อยแล้วหมัวซาก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังเธอ

“ยาวิเศษบัวขาวเป็นยาที่ค่อนข้างง่ายในบรรดายาวิเศษขั้นสอง กระบวนการก็ง่ายกว่ายาชนิดอื่นๆ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับยาวิเศษขั้นหนึ่งแล้วก็ซับซ้อนกว่าเล็กน้อย แต่ตรงส่วนเล็กๆ นี้เองที่มีความต้องการต่อพลังจิตสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง”

เหมือนกับที่เขาพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์นั้น พลังจิตมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง จะก้าวสู่ก้าวต่อไปได้หรือไม่ ก็ตัดสินกันที่ตรงนี้เอง

“เริ่มกันเลยดีกว่า ข้าจะคอยดูอยู่ข้างๆ ให้เจ้าเอง”

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วเริ่มใส่เครื่องยาที่กลั่นเสร็จแล้วเข้าไปโดยอ้างอิงจากลำดับที่เขียนบอกไว้ในตำรับยาพื้นบ้าน

ครั้งแรกนั้นล้มเหลวตามคาด แต่เธอก็มิได้ท้อแท้เลย ความแตกต่างระหว่างยาวิเศษขั้นหนึ่งกับยาวิเศษขั้นสองนั้นมิใช่เรื่องเล็กน้อย การทำไม่สำเร็จในครั้งแรกก็เป็นเรื่องปกติ

เธอพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมา ก่อนจะรวบรวมสาเหตุที่ทำให้ล้มเหลวเมื่อครู่ แล้วหยิบเครื่องยามาเริ่มต้นกลั่นสกัดใหม่อีกครั้ง

หมัวซามองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างพึงพอใจ ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะดึงตัวเธอมาอยู่ใต้บังคับบัญชาของตน เขาเชื่อว่าเมื่อถึงเวลา เธอจะต้องยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของโลกแน่นอน

ครั้งแรกที่ล้มเหลวนั้นเป็นตอนที่กำลังทำการผสานรวม ส่วนความล้มเหลวครั้งที่สองเป็นตอนที่กำลังผนึกยา ครั้งที่สาม เธอจึงหลอมยาวิเศษบัวขาวเม็ดหนึ่งออกมาได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะหน้าตาอัปลักษณ์เหมือนยาวิเศษที่เธอหลอมตอนเพิ่งเรียนหลอมยาได้สำเร็จใหม่ๆ ก็ตาม แต่มันก็เป็นสัญญาณว่าเธอก้าวเข้าสู่แถวของนักหลอมยาขั้นสองเรียบร้อยแล้ว

“ใช่แล้ว สามครั้งก็ผ่านข้อกำหนดของการหลอมยาวิเศษขั้นสองได้เรียบร้อยแล้ว” หมัวซาพูด “พอสัมผัสความแตกต่างระหว่างการหลอมยาขั้นหนึ่งกับขั้นสองได้แล้ว เช่นนั้นต่อไปการหลอมยาวิเศษขั้นสองชนิดอื่นๆ ก็จะง่ายดายเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียวล่ะ”

“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูยาวิเศษในมือพลางยิ้มอย่างเบิกบานใจ

“ฟื้นฟูพลังจิตสักหน่อย แล้วค่อยมาต่อ…”

ในขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์ปลีกวิเวกหลอมยา ตระกูลซือหม่าก็ตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง

ณ ห้องหนังสือจวนแม่ทัพ ซือหม่าเลี่ย ซือหม่าโยวหมิง และซือหม่าโยวฉี รวมทั้งพ่อบ้านต่างพากันทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ท่านปู่ ร้านค้าเหล่านั้นล้วนไม่เต็มใจจัดหายาวิเศษให้กับพวกเราอีกต่อไปแล้ว” ซือหม่าโยวหมิงพูด “พอพวกเราขายยาวิเศษในตอนนี้หมด ทหารรับจ้างและปรมาจารย์วิญญาณเหล่านั้นก็คงจะไม่มาที่ร้านค้าของพวกเราอีกต่อไปแล้ว กิจการอื่นๆ ก็จะต้องได้รับผลกระทบเพราะเหตุนี้กันหมด”

ซือหม่าโยวฉีฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะด้านข้างพลางเอ่ยอย่างเดือดดาล “ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าจะส่งมอบยาวิเศษให้พวกเราตลอด แต่ตอนนี้กลับลำเสียแล้ว จะต้องเป็นเพราะตระกูลน่าหลานเอื้อประโยชน์อะไรให้กับร้านค้าเหล่านั้นอย่างแน่นอน!”

“ตอนนี้มิใช่เวลามาเสาะหาสาเหตุหรอกนะ” ซือหม่าเลี่ยขมวดคิ้วพูด “ยาวิเศษของพวกเรายื้อออกไปได้อีกนานเท่าใดหรือ”

“น่าจะอีกสักครึ่งเดือน” ซือหม่าโยวหมิงพูด “เพราะยาวิเศษของตระกูลน่าหลานราคาถูกกว่าของพวกเรา ดังนั้นคนที่มายังร้านค้าของพวกเราจึงบางตากว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อยเลย มูลค่าการซื้อขายของร้านค้าที่มีอยู่ทั้งหมดก็ลดต่ำลงไปหนึ่งในสามส่วนจนถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว”

“อีกเพียงครึ่งเดือนเท่านั้นเองหรือ”

“ท่านปู่ พวกเราจะหาร้านค้าใหม่และให้พวกเขาจัดหายาวิเศษให้พวกเราให้ได้ภายในครึ่งเดือน” ซือหม่าโยวฉีพูด

“ไม่มีนักหลอมยาของตัวเอง สุดท้ายก็ต้องเป็นปัญหาอีกอยู่ดี” ซือหม่าเลี่ยพูด “พ่อบ้าน เจ้าส่งคนไปเกณฑ์นักหลอมยามา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีข้อเสนออันใด ขอเพียงแค่อยู่ในขอบเขตที่จวนแม่ทัพยอมรับได้ก็จงรับปากให้หมด”

“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” พ่อบ้านทำความเคารพครั้งหนึ่งก่อนจะออกไป

ด้วยความสัมพันธ์ที่จวนแม่ทัพมีต่อนักหลอมยาเหล่านั้นก่อนหน้านี้ การจะหานักหลอมยาสักคนมาโดยเร็วนั้นจึงมิใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด!

“ดูท่าทางคงได้แต่ไปเสาะหานักหลอมยาที่ไม่มีอคติจากโลกภายนอกแล้วล่ะ” พ่อบ้านถอนหายใจก่อนจะออกไปจัดการ

……………………

ซือหม่าเลี่ยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มั่นใจในตัวเองเช่นนี้จึงทำใจเชื่อคำพูดของเธอด้วยเช่นกัน คล้ายกับว่าอีกไม่นานจะมีนักหลอมยามาช่วยเหลือตระกูลซือหม่าจริงๆ

“อืม เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะจัดการกับสัตว์อสูรวิเศษเหล่านี้ให้ดีเลย” ซือหม่าเลี่ยพูด

ตระกูลซือหม่ามีสัตว์อสูรวิเศษมากมายโผล่ขึ้นมาในทันทีทันใด นอกจากนี้ในขณะที่คนนอกยังไม่รู้สถานการณ์แน่ชัด ถ้าหากเก็บเป็นความลับกับภายนอกไปตลอด นี่ก็จะเป็นไพ่ไม้ตายใบหนึ่งของพวกเขาเลยทีเดียว

ดังนั้นเรื่องนี้จึงได้แต่ให้คนที่ไว้ใจได้มาจัดการเท่านั้น ผู้ที่จะได้สัตว์อสูรวิเศษเป็นรางวัลก็ต้องเป็นผู้ภักดีต่อจวนแม่ทัพเท่านั้น

“ใช่แล้ว คนผู้นั้นบอกว่าต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ห้ามบอกผู้อื่นเด็ดขาด ข้าขอตัวก่อน” เธอมอบสัตว์อสูรวิเศษให้กับซือหม่าเลี่ยแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงออกไปจากห้องหนังสือ มิได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับการกระจายสัตว์อสูรวิเศษอีก

ซือหม่าเลี่ยใช้ชีวิตอยู่มานานกว่าเธอเป็นร้อยปี ย่อมต้องจัดการเรื่องเหล่านี้ได้อย่างรอบคอบและเหมาะสมกว่าเธออยู่แล้ว

เมื่อกลับมาถึงเรือนตนเองแล้วจึงห้ามมิให้พวกชุนเจี้ยนมารบกวนตน หลังจากที่ขังตัวเองเอาไว้ในห้องเรียบร้อย เธอจึงหายตัวเข้าไปภายในมณีวิญญาณ

“หมัวซา” เธอมาถึงข้างต้นผลอสรพิษทองคำ ก็เห็นหมัวซานั่งอยู่ที่นั่น

หมัวซาลืมตาทรงเสน่ห์ร้ายกาจคู่นั้นขึ้น ก็มองเห็นความสงสัยหนึ่งในใจของเธอ

เพราะเหตุใดทุกครั้งที่เธอมองนัยน์ตาของหมัวซาจึงเกิดความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาตลอด

“มีเรื่องอันใดหรือ” หมัวซาถาม

“ข้าจะต้องสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสองให้ได้โดยเร็วที่สุด” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บงำความคิดภายในใจเอาไว้แล้วถามขึ้น

“เพราะเหตุใดกัน”

ซือหม่าโยวเย่ว์เล่าเรื่องตระกูลน่าหลานให้เขาฟังรอบหนึ่งแล้วพูดว่า “เพราะท่านปู่มิได้สนิทสนมกับนักหลอมยาเหล่านั้น ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์กับพวกเขาไม่ดีสักเท่าไหร่ ในขณะนี้นักหลอมยาเหล่านั้นไม่มีใครเต็มใจมาช่วยเหลือพวกเราทั้งสิ้น แล้วการไปหานักหลอมยาสักคนที่ไว้ใจได้ข้างนอกนั่นก็มิใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสอง เช่นนี้จึงจะเทียบเคียงกับตระกูลน่าหลานได้”

หมัวซาขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “เจ้าเพิ่งจะเป็นนักหลอมยาขั้นหนึ่งได้ไม่นาน คิดอยากจะสำเร็จเป็นขั้นสองในระยะเวลาอันสั้นนั้นก็มิใช่เรื่องง่ายเลย”

“ข้ารู้ดี ดังนั้นจึงได้มาหาท่านให้ช่วยอย่างไรเล่า ท่านต้องช่วยให้ข้าสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสองได้อย่างแน่นอน”

“หนทางน่ะพอมีอยู่หรอก” หมัวซาพูด “แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องทำไปทีละขั้นทีละตอน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าก็คือตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนให้คุ้นเคยกับรอยต่อแต่ละส่วนของการหลอมยาโดยเร็ว การฝึกฝนทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบ พอได้ที่ เจ้าก็จะสำเร็จเป็นขั้นสองได้แล้ว”

“เช่นนั้นก็ไม่ต้องใช้เวลานานมากเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ด้วยคุณสมบัติของเจ้า บวกกับการชี้แนะของข้า คงจะไม่นานมากนักหรอก” หมัวซาพูด

“ดี เช่นนั้นข้าออกไปเตรียมตัวสักหน่อยแล้วเริ่มกันเลยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วเดินออกไป

เดิมทีเธอคิดว่าพรุ่งนี้จะไปที่วิทยาลัย แต่ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ในตอนนี้ เธอจำเป็นต้องปลีกวิเวกฝึกฝนจึงจะใช้ได้ แต่ถ้าหากตนอยู่ภายในมณีวิญญาณไปตลอด ซือหม่าเลี่ยก็อาจจะสัมผัสกลิ่นอายของตนได้แล้วค้นพบอะไรเขาก็เป็นได้

คิดไปคิดมา เธอจึงตัดสินใจไปที่วิทยาลัย ภายในเรือนพัก ต่อให้พวกเจ้าอ้วนชวีอยู่กันครบหมด ก็ไม่มีทางค้นพบว่าเธอไม่อยู่ในห้อง

เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วเธอก็บำเพ็ญอยู่ภายในห้อง จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น เธอจึงรีบมุ่งหน้าไปยังวิทยาลัย

ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์เห็นห้องอันว่างเปล่าของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็พากันทอดถอนใจ

ก่อนหน้านี้ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ทุบตีด่าว่า ตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ พวกนางก็ไม่เป็นอันทำอะไรไปทั้งวัน ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้พวกนางทั้งสองสะเทือนใจไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจว่าตอนนี้คุณชายดีต่อพวกนางแล้ว ให้เวลาและทรัพยากรในการฝึกยุทธ์กับพวกนางอย่างเพียงพอ พวกนางจะต้องพยายามยกระดับพลังยุทธ์ของตัวเองให้ได้ เพื่อที่จะปกป้องเขาได้ในภายภาคหน้า

ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างช่วงการฝึกฝน ทุกวันไม่มีคาบเรียน นักเรียนอาศัยอยู่ในวิทยาลัย หรืออยู่ในเรือนพักเพื่อทำการฝึกยุทธ์ก็ดี หรือจะไปห้องสมุดเพื่อศึกษาตำราก็ย่อมได้ทั้งสิ้น

ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงวิทยาลัย เป่ยกงถังกับโอวหยางเฟยได้ออกไปแล้ว เมื่อนึกถึงว่าพวกเขาสองคนมักทำตัวมีลับลมคมในอยู่ตลอด เธอก็มิได้ประหลาดใจแต่อย่างใด ส่วนเจ้าอ้วนชวีนั้นกลับบ้านไปแล้ว ทั้งเรือนพักจึงเหลือเพียงเว่ยจือฉีนั่งอ่านตำราอยู่ภายในศาลาของเรือนเพียงคนเดียวเท่านั้น

“โยวเย่ว์” เมื่อได้ยินเสียงประตูใหญ่ถูกเปิดออก เว่ยจือฉีจึงเหลือบสายตาขึ้นมอง เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ก็ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นยินดี

“จือฉี เหตุใดจึงเหลือเจ้าอยู่คนเดียวเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปหา ก่อนจะนั่งลงแล้วเอ่ยถาม

“โอวหยางกับเป่ยกงออกไปตั้งแต่รุ่งสางแล้ว ส่วนเจ้าอ้วนกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อวานนี้ยังไม่กลับมาเลย” เว่ยจือฉีพูด “โยวเย่ว์ ตอนอยู่ที่เมืองเหยียนเจ้าไปไหนมาน่ะ เหตุใดจึงจากไปโดยไม่บอกไม่กล่าวกันเลยเล่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูกตัวเองพลางเอ่ยว่า “ตอนนั้นข้ามีธุระเร่งด่วนต้องไปจัดการน่ะ ก็เลยให้พี่สามแจ้งทุกคนให้แทน พวกเราส่งมอบภารกิจเรียบร้อยแล้วหรือยัง”

เว่ยจือฉีพยักหน้า “วันรุ่งขึ้นหลังจากกลับมาก็ไปส่งมอบกันเรียบร้อยแล้วล่ะ โชคดีที่ข้าเป็นคนเก็บเครื่องยาทั้งหมดเอาไว้ ส่วนสัตว์อสูรวิเศษนั้นถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่อยู่ แต่พวกเราสี่คนล้วนมีส่วนที่เกินมากันอยู่  เอามารวมกันเป็นส่วนของเจ้าได้พอดี ดังนั้นภารกิจของพวกเราในคราวนี้จึงได้คะแนนเต็มเลยละ!”

“จริงหรือ” เมื่อได้ยินว่าภารกิจได้คะแนนเต็ม ซือหม่าโยวเย่ว์จึงตื่นเต้นขึ้นมา “ขอบใจพวกเจ้ามากนะ!”

“ขอบใจอะไรกันเล่า” เว่ยจือฉีพูด “ถ้าหากมิใช่เพราะเจ้าทำให้พวกเราทุกคนรู้จักการร่วมแรงร่วมใจกัน พวกเราก็ไม่มีทางได้ซากสัตว์อสูรวิเศษมากมายถึงเพียงนั้นมาครอบครองหรอก คราวนี้เจ้าจะกลับมาพักที่นี่นานเท่าใดหรือ”

“คาดว่าคงอีกสักระยะหนึ่งนั่นแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “คาดว่าช่วงเวลาต่อจากนี้ข้าคงจะปลีกวิเวก ดังนั้นน่าจะมิได้ออกมาบ่อยสักเท่าใดนัก”

“เจ้าจะปลีกวิเวกอย่างนั้นหรือ” เว่ยจือฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างประหลาดใจ โดยทั่วไปแล้วการปลีกวิเวกก็เพื่อการเลื่อนระดับ หรือว่านางสัมผัสถึงขอบกั้นของการเลื่อนระดับแล้ว

จะต้องตีแสกหน้าผู้อื่นถึงเพียงนี้เลยหรือไม่!

ถ้าหากเขาได้รู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์เลื่อนระดับไปเรียบร้อยแล้ว กลัวแต่ว่าหัวใจดวงน้อยของเขาคงจะถูกโจมตีอย่างน่าอนาถยิ่งขึ้นไปอีก

“ใช่แล้ว ข้าขอตัวกลับไปเก็บกวาดห้องก่อนนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็ลุกขึ้นเดินกลับห้องไป

เว่ยจือฉีมองตามหลังซือหม่าโยวเย่ว์พลางลอบรำพึงว่านางขยันถึงเพียงนี้ แล้วตนจะยังไม่ขยันอีกได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจะตัดสินใจแน่วแน่แล้ว แต่ในเวลาต่อมา หากไม่ได้ไปห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลอะไร ก็จะพักผ่อนอยู่ในห้องตลอด

ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บกวาดห้องจนเสร็จแล้ว หลังจากนั้นจึงเข้าไปฝึกฝนการหลอมยาภายในมณีวิญญาณ ตอนนี้คุ้นเคยกับการหลอมยาวิเศษขั้นหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นตอนพลบค่ำที่เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยกลับมา เธอจึงหลอมยาวิเศษออกมาได้หลายเตาแล้ว

เมื่อได้รู้ว่าพวกเขากลับมา ซือหม่าโยวเย่ว์จึงออกมาจากมณีวิญญาณ สนทนากับพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากบอกกับพวกเขาว่าตนจะปลีกวิเวกแล้วจึงกลับเข้าไปภายในมณีวิญญาณอีกครั้ง

“เริ่มปลีกวิเวกตอนนี้เลยแล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซาพลางพูดขึ้น

หมัวซาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ต่อจากนี้ไป ตอนกลางวันเจ้าก็ฝึกยุทธ์อยู่ภายในมณีวิญญาณ ส่วนเวลากลางคืนก็ฟื้นฟูพลังจิตและพลังวิญญาณ ถึงแม้ว่าต้นผลอสรพิษทองคำนี้จะแผ่ไอหล่อเลี้ยงวิญญาณออกมาได้ แต่มันจำเป็นต้องดูดซับแสงจันทรา ดังนั้นในเวลากลางคืน พวกเราจึงจำเป็นต้องออกไปข้างนอก

ซือหม่าโยวเย่ว์มองต้นผลอสรพิษทองคำปราดหนึ่งก็พบว่ามันมิได้มีไอหมอกขาวโอบล้อมอยู่รอบๆ เหมือนในตอนแรกสุดแล้วจริงๆ แสดงว่าพลังจันทราในตัวมันหมดไปพอสมควรแล้ว

“วันนี้เจ้าหลอมยาวิเศษมาทั้งวันแล้ว คืนนี้ฟื้นฟูพลังจิตก่อนดีกว่า” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ความคิดวูบไหวคราหนึ่งแล้วจึงหยิบเอาต้นผลอสรพิษทองคำออกมาจากมณีวิญญาณพร้อมกับหมัวซา

คืนนี้แสงจันทราสว่างไสวพอดี เธอจึงให้เจ้าคำรามน้อยไปยกแผ่นกระเบื้องบนหลังคาออกสองแผ่น เพื่อให้แสงจันทร์สาดส่องเข้ามา

แสงจันทราสาดส่องลงบนต้นผลอสรพิษทองคำ ใบไม้แผ่ไอจางๆ ออกมาในทันที ซือหม่าโยวเย่ว์และหมัวซาต่างคนต่างนั่งขัดสมาธิ อาศัยต้นผลอสรพิษทองคำในการฟื้นฟูวิญญาณของตน

……………………

ความเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนเพียงเล็กน้อยบนใบหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์มิอาจรอดพ้นสายตาชราของซือหม่าเลี่ยไปได้ เขาจ้องมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วดึงสีหน้าพลางเอ่ยว่า “ยังไม่ยอมรับอีกหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะแห้งๆ สองครั้งแล้วพูดว่า “ท่านปู่มิได้กำลังต่อสู้กับวานรอยู่หรอกหรือ แล้วมองเห็นพวกเราได้อย่างไรกัน”

เธอคิดเอาไว้ว่าตราบใดที่ซือหม่าเลี่ยไม่พูดออกมา เธอก็ไม่มีทางยอมรับแน่

“เฮอะ ข้าไม่เห็นเจ้าหรอก แต่เห็นเจ้าเด็กตระกูลชวีผู้นั้นต่างหากเล่า สามคนรอบๆ กายนั่นคงจะเป็นเพื่อนร่วมเรือนพักเดียวกันกับเจ้ากระมัง พวกเขาล้วนอยู่ที่นั่นกันทั้งหมด แล้วเจ้าจะไม่อยู่ได้หรือ” ซือหม่าเลี่ยพูด “ถึงแม้ว่าข้าจะกำลังต่อสู้อยู่ แต่ในจังหวะเวลาว่างก็ยังเห็นพวกเขาเข้าอยู่ดี”

ได้ยินซือหม่าเลี่ยพูดเช่นนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งใจทีหนึ่ง ตอนนี้เขายังคิดว่าตนเพียงแค่ชมดูอยู่บนทางลาดเขาเท่านั้น ถ้าหากเขารู้ว่าเธอคือคนที่ชิงผลอสรพิษทองคำไป ก็คงมิอาจปิดบังเรื่องเกี่ยวกับหมัวซาเอาไว้ได้อีกแล้ว นอกจากนี้เธอยังต้องถูกสั่งสอนอย่างหนักหน่วงยกหนึ่งอย่างแน่นอนอีกด้วย

ถึงอย่างไรก็มิอาจกินผลอสรพิษทองคำลงไปโดยตรงได้อยู่แล้ว พอถึงเวลาที่เธอหลอมเป็นยาวิเศษสำเร็จแล้วค่อยมอบให้พวกเขากินก็ใช้ได้แล้ว

“หึๆ ท่านปู่มิได้กลัวจะถูกวานรทำร้ายเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ผ่อนคลายความวิตกกังวลลงจึงสบายใจมากยิ่งขึ้น

“เรื่องของตระกูลน่าหลาน เป็นฝีมือพวกเจ้าหรือ”

ถึงแม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงของซือหม่าเลี่ยกลับแน่ใจเป็นอย่างยิ่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าได้ยินพวกเขาพูดว่ารอให้กลับจากเทือกเขาผู่สั่วก่อนแล้วจะมาหาเรื่องที่บ้านพวกเรา ก็เลยอยากจะให้พวกเขาติดอยู่ภายในเทือกเขาเท่านั้นเอง แต่ท่านปู่ ตอนนี้เจ้าพวกนั้นเป็นอย่างไรบ้างหรือ”

“จะเป็นอย่างไรได้เล่า ผู้คุ้มกันที่พาไปตายไปกว่าครึ่ง ผู้ที่ไม่ตายก็ไปยมโลกได้ครึ่งทางแล้ว ตอนนี้น่าหลานหลานเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น ส่วนน่าหลานเหอเสียแขนไปข้างหนึ่ง” ซือหม่าเลี่ยพูดถึงเคราะห์ร้ายของตระกูลน่าหลานด้วยสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นโดยไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย

“พวกเขาสองคนยังรอดมาได้อีก!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างสิ้นหวังอยู่บ้าง

ซือหม่าเลี่ยถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ทีหนึ่งแล้วพูดว่า “นี่เป็นเรื่องสาหัสสำหรับตระกูลน่าหลานเลยทีเดียว! อย่างน้อยในระยะนี้ พวกเขาคงไม่กล้ามาท้าทายพวกเราหรอก”

“เช่นนั้นผู้อาวุโสใหญ่ชาติสุนัขนั่นมิได้มาหาเรื่องข้าหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก

สิ่งที่เธอต้องการคือสังหารน่าหลานเหอทิ้งที่เทือกเขาผู่สั่ว หากประมุขตระกูลตายไป ถึงอย่างไรตระกูลน่าหลานคงต้องวุ่นวายกันไปสักระยะ แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำได้เพียงแค่ทำให้เขาเสียแขนไปข้างหนึ่งเท่านั้นเอง

“อันที่จริงสิ่งที่เจ้าคิดก็ไม่เลวเลยนะ เพียงแต่ว่าพวกเขาอ่อนแอทางด้านนี้ไปสักหน่อยเท่านั้น แต่ก็หาด้านอื่นมาชดเชยได้” ซือหม่าเลี่ยพูดพลางถอนหายใจ

“ทำไมหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าเลี่ยอย่างสงสัย

“หลังจากที่เจ้าออกไปจากเมืองหลวง ไม่รู้ว่าตระกูลน่าหลานไปเชิญนักหลอมยาจากไหนมาเข้าร่วมกับตระกูลเขาคนหนึ่ง ว่ากันว่าใกล้จะไปถึงระดับนักหลอมยาขั้นสามแล้ว พวกเขาอาศัยสิ่งนี้ดึงดูดปรมาจารย์วิญญาณที่บำเพ็ญตามลำพังมาเข้าร่วมกับตระกูลน่าหลานได้ไม่น้อยเลย นอกจากนี้ในร้านค้า พวกเขายังอาศัยตลาดยาวิเศษเขมือบธุรกิจของพวกเราอย่างต่อเนื่อง ระยะนี้พี่ใหญ่พี่รองของเจ้ากำลังเป็นกังวลเพราะเรื่องนี้อยู่เลยทีเดียว” ซือหม่าเลี่ยพูด “ต้องโทษที่ยามปกติข้าอารมณ์มิสู้ดีนัก มีความสัมพันธ์กับนักหลอมยาไม่ดีสักเท่าไหร่ ดังนั้นระยะนี้จึงไม่มีใครเต็มใจออกมาช่วยพวกเราเลย”

“มิน่าเล่า ถึงแม้ประมุขตระกูลของพวกเขาอยู่ในสภาพนี้ แต่พวกเขาก็ยังกล้ามาโวยวายใส่พวกเราที่นี่ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างเข้าใจ “แต่ท่านปู่ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ พวกเขามีแค่นักหลอมยาขั้นสองเพียงคนเดียวเท่านั้นมิใช่หรือ พวกเราก็มีได้เช่นกัน”

เธอเข้าใจแรงดึงดูดที่นักหลอมยาคนหนึ่งมีต่อผู้ฝึกยุทธ์เหล่านั้นดี ทั้งยังมีแรงปรารถนาที่ทหารรับจ้างมีต่อยาวิเศษเหล่านั้นอีก ถ้าหากตระกูลน่าหลานมีนักหลอมยาคนหนึ่งเข้าร่วม ก็มีต้นทุนที่จะทำให้พวกเขาหยิ่งผยองต่อไปได้จริงๆ

แต่นั่นเฉพาะในกรณีที่พวกเขาแน่ใจว่าตระกูลซือหม่าหานักหลอมยาไม่ได้จริงๆ เท่านั้น พวกเขามั่นใจในตัวเองว่าซือหม่าเลี่ยมีความสัมพันธ์อันย่ำแย่กับบรรดานักหลอมยา ดังนั้นย่อมไม่มีใครเต็มใจเข้าร่วมตระกูลพวกเขาแน่  แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่าจะมีนักหลอมยาปรากฏขึ้นมาจากภายในตระกูลซือหม่าเอง

ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่ตนเพิ่งมาถึงยังโลกแห่งนี้ ซือหม่าเลี่ยให้เธอกินยาวิเศษ ทั้งสองยังคุยกันอยู่ว่านักหลอมยาเหล่านั้นล้วนหยิ่งยโสเทียมฟ้า ทั้งยังบอกว่าตนจะสำเร็จเป็นนักหลอมยาคนหนึ่งให้จงได้ ตอนนี้เวลาผ่านมาไม่ถึงครึ่งปี เธอก็ทำตามสิ่งที่พูดไว้ในตอนนั้นได้สำเร็จแล้ว

“นักหลอมยาขั้นสองหรือ” เธอพูดพึมพำ “ข้าอยากจะเห็นสักหน่อยว่า นักหลอมยาขั้นสองที่ท่านว่านั้นร้ายกาจสักเพียงใดกัน!”

“เจ้าว่าอะไรนะ” ซือหม่าเลี่ยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์พูดพึมพำอยู่คนเดียวจึงถามขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอก ท่านปู่ หากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อนละนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ไม่มีเรื่องได้อย่างไรเล่า!” ซือหม่าเลี่ยนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้พูด จึงถามว่า “สิบกว่าวันนี้เจ้าหายไปไหนมา พี่สามของเจ้าพูดเพียงแค่ว่าเจ้ามีธุระต้องออกไปก่อน แต่ออกไปทำอะไรที่ไหนก็ไม่ได้บอก เจ้าทำให้พวกเรากังวลกันแทบตายเลยทีเดียวนะ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์จึงนึกถึงเรื่องสัตว์อสูรวิเศษขึ้นมาได้แล้วเอ่ยว่า “ข้าก็มิได้ไปไหนหรอก แค่ออกไปหาเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้นเอง หลังจากที่ฝึกสัตว์อสูรวิเศษได้นิดหน่อยแล้วจึงกลับมา ท่านมิได้บอกว่าคนเหล่านั้นต่างย้อนกลับมาได้ตลอดเวลาหรอกหรือ ข้าก็เลยคิดอยากจะลองดูว่ามีวิธีอะไรที่จะยกระดับพลังยุทธ์ของข้าได้บ้างหรือไม่ ตระกูลน่าหลานก็ไปดึงตัวปรมาจารย์วิญญาณจำนวนไม่น้อยมาพอดีมิใช่หรือ พวกเราก็ใช้สัตว์อสูรวิเศษมาชดเชยสิ”

พูดจบเธอก็เรียกตัวสัตว์อสูรวิเศษที่ทำให้เชื่องแล้วภายในมณีวิญญาณออกมา ทันใดนั้นภายในห้องหนังสือจึงเต็มไปด้วยสัตว์อสูรวิเศษในร่างจำแลง

ซือหม่าเลี่ยสะดุ้งตกใจเพราะความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันที่เกิดขึ้นตรงหน้า จากนั้นจึงมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “พวกมันมาจากไหนกัน”

“บอกไปแล้วมิใช่หรือว่าเป็นฝีมือสหายน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ภายในนี้มีครึ่งหนึ่งเป็นสัตว์อสูรทิพย์ ทั้งยังมีหลายตนที่เป็นเพียงสัตว์อสูรทิพย์ระดับสาม เจ้าพวกนี้ทิ้งเอาไว้ให้พี่ๆ พลังยุทธ์ของพวกเขาในตอนนี้น่าจะทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษตนที่สองได้แล้วกระมัง สำหรับพวกที่ระดับต่ำกว่าเหล่านั้นก็นำไปขายที่ร้านค้า ก็นับได้ว่าชดเชยที่ยาวิเศษหายไป พวกที่ระดับขั้นสูงก็ให้ทหารผู้ดูแลที่เชื่อถือได้ภายในจวนไปทำพันธสัญญาด้วย ท่านปู่ว่าเช่นนี้ดีหรือไม่”

ซือหม่าเลี่ยมองสัตว์อสูรวิเศษเหล่านี้อย่างตื่นเต้นยินดี เดิมทีเขาก็นึกถึงการเสาะหาสัตว์อสูรวิเศษสักฝูงมาให้คนในจวนทำพันธสัญญาเช่นกัน แต่สัตว์อสูรวิเศษที่ระดับขั้นสูงหน่อยนั้นราคาแพงใช่ย่อยเลยทีเดียว ไปหาสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร พวกเขาก็บอกว่าทำได้เพียงแค่ทำให้ระดับสัตว์อสูรทิพย์ลงไปเชื่องได้เท่านั้น ทั้งยังจัดหาระดับสัตว์อสูรทิพย์ขึ้นไปให้ได้เพียงแค่เดือนละหนึ่งถึงสองตนเท่านั้น นอกจากจะต้องจัดหาสัตว์อสูรวิเศษมาเองแล้ว ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาลในการฝึกมันให้เชื่องด้วย

คิดไม่ถึงว่าระยะเวลาที่ซือหม่าโยวเย่ว์หายไปนี้ได้จัดการเรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้ว เขาจึงยินดีกับเรื่องนี้ไม่น้อยเลย พร้อมกันนั้นก็ชื่นชมกับความคิดอันละเอียดอ่อนของซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ในใจ ตนเพิ่งจะบอกเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ไป เธอก็นึกถึงการใช้สัตว์อสูรวิเศษยกระดับพลังยุทธ์ขึ้นมาได้

“ใช่แล้ว ยังมีอีก คนผู้นั้นบอกกับข้าว่าสัตว์อสูรวิเศษที่นางฝึกค่อนข้างพิเศษ ถ้าหากทำพันธสัญญากับมนุษย์แล้ว ขณะที่ทำพันธสัญญา ทั้งสองฝ่ายจะได้รับพลังผันกลับ หากพลังยุทธ์สูงก็จะสามารถเลื่อนระดับได้เลยทีเดียว นอกจากนี้หลังจากที่เจ้านายเลื่อนระดับ สัตว์อสูรวิเศษก็เลื่อนระดับไปด้วยได้เช่นเดียวกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดเสริม

“อะไรนะ” ซือหม่าเลี่ยสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปเสียแล้วจึงถามซ้ำอีกครั้ง “เจ้าบอกว่าการทำพันธสัญญาทำให้เลื่อนระดับได้ด้วยอย่างนั้นหรือ หลังจากที่เจ้านายเลื่อนระดับ สัตว์อสูรวิเศษก็เลื่อนระดับได้ด้วยหรือ”

“อื้ม คนผู้นั้นบอกกับข้าเช่นนี้แหละ เหมือนจะพูดว่าวิธีการฝึกสัตว์อสูรของนางค่อนข้างพิเศษ แต่จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้นข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านปู่ ท่านหาคนมาจัดการกับสัตว์อสูรวิเศษเหล่านี้ก่อนเถิด ส่วนเรื่องยาวิเศษของตระกูลน่าหลาน อีกไม่นานก็คงจะจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ”

…………………………

“คุณชายห้า ท่านรู้ได้อย่างไรกัน”

พ่อบ้านมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างฉงนใจ ตระกูลน่าหลานเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจากภายนอก หากมิใช่เพราะพวกเขาคอยสังเกตการณ์ตระกูลน่าหลานอยู่ตลอดก็คงไม่มีทางรู้ได้เลย

แต่คุณชายห้าเพิ่งจะกลับเข้าเมืองมาหยกๆ มิใช่หรือ แล้วเขารู้ได้อย่างไรกัน

“แค่กๆ ข้าเดาส่งๆ ไปอย่างนั้นแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “มิฉะนั้นผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลน่าหลานคงไม่มีทางมาถึงบ้านพวกเราหรอก”

“ได้ยินว่าน่าหลานเหอผู้นั้นได้รับบาดเจ็บตอนที่ไปยังเทือกเขาผู่สั่ว หลังจากกลับมาแล้วเขาก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องตลอด ไม่ยอมออกมาเลย ผู้คุ้มกันที่ไปด้วยกันก็รอดชีวิตกลับมาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าพวกเขาไปประสบพบเจอเรื่องอันใดเข้า” พ่อบ้านพูดพลางทอดถอนใจ น้ำเสียงเจือด้วยความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็โห่ร้องยินดีในใจ เธอบอกแล้วมิใช่หรือว่าเธอจะคำนวณพลาดได้อย่างไรกัน!

“คุณชาย ท่านกลับมาแล้ว” เมื่อชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์ได้ยินเสียงของซือหม่าโยวเย่ว์จึงออกมาจากในห้องแล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างปีติยินดี

หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์ออกเดินทางไปแล้ว พวกนางก็ไม่มีอะไรทำเลย ท่านแม่ทัพอนุญาตให้พวกนางฝึกยุทธ์ด้วยตนเองได้ ดังนั้นพลังยุทธ์ของพวกนางสองคนจึงยกระดับขึ้นมาในช่วงหลายเดือนมานี้

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพวกนางจึงยิ้มตาหยีพลางถามว่า “พวกเจ้าคิดถึงคุณชายเช่นข้าบ้างหรือไม่”

“คุณชายล้อข้าเล่นอีกแล้วนะเจ้าคะ!” ชุนเจี้ยนพูดยิ้มๆ

“ช่วงนี้คุณชายไม่อยู่บ้านบ่อยๆ พวกเราย่อมคิดถึงท่านอยู่แล้วเจ้าค่ะ” อวิ๋นเย่ว์พูด “คราวนี้คุณชายกลับมาอยู่นานเท่าใดหรือเจ้าคะ”

“พรุ่งนี้น่าจะกลับวิทยาลัยแล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าเห็นพลังยุทธ์ของพวกเจ้าสองคนยกระดับขึ้นมาไม่น้อยเลย ไม่รู้ว่าฝีมือทำครัวของพวกเจ้าพัฒนาขึ้นบ้างหรือไม่ ไปสิ เตรียมมื้อเย็นมาให้ข้าเสีย ข้าหิวจะตายอยู่แล้วนะ”

ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์ประสานสายตากันปราดหนึ่งก่อนจะพูดพร้อมกันว่า “คุณชายรอประเดี๋ยวเจ้าค่ะ พวกบ่าวจะไปเตรียมมาให้”

พูดจบแล้วทั้งสองจึงย่อกายคารวะก่อนถอยออกไปเตรียมมื้อเย็นให้เธอที่ห้องครัว

ซือหม่าโยวเย่ว์เตรียมตัวกลับหอพัก เห็นพ่อบ้านยังคงยืนอยู่ในห้อง เธอจึงโบกไม้โบกมือให้เขาพลางเอ่ยว่า “ท่านไปทำธุระของท่านเถิด ถึงแม้ว่าข้าจะกลับมาที่นี่แล้วก็ไม่มีทางไปพบตาเฒ่าบ้าจากตระกูลน่าหลานผู้นั้นหรอก”

พ่อบ้านก็มีธุระที่ต้องไปจัดการอยู่จริงๆ เขามองเธออย่างสงสัยก่อนจะประสานมือพลางพูดว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”

“ไปเถิด ไปเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกมือ รอจนพ่อบ้านไปแล้วจึงค่อยกลับไปยังเรือนของตน

ผ่านไปครู่หนึ่ง ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์ก็ยกอาหารเย็นเข้ามา เมื่อเห็นกับข้าวหน้าตาสีสันน่ารับประทาน ซือหม่าโยวเย่ว์จึงอดที่จะแอบใช้มือหยิบกินมิได้

“ดูท่าทางตอนที่ข้าไม่อยู่ ฝีมือทำอาหารของพวกเจ้าก็มิได้ถดถอยลงเลยนะ”

เมื่อได้ฟังคำชมของเธอ ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์ต่างพากันยิ้มอย่างเบิกบานใจ

“คุณชายห้า”

ในขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์เตรียมจะเริ่มกินอาหารนั้นเอง ผู้คุ้มกันคนหนึ่งก็ตะโกนเข้ามาจากลานบ้าน

ชุนเจี้ยนออกไปแล้วกลับเข้ามาอย่างรวดเร็วพลางเอ่ยว่า “คุณชาย นายท่านส่งคนมาเรียกท่านไปน่ะเจ้าค่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองข้าวปลาอาหารแวบหนึ่งก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดว่า “รอข้ากลับมาก่อนค่อยกินแล้วกัน”

“คุณชาย เมื่อครู่ผู้คุ้มกันบอกว่าท่านแม่ทัพสั่งการให้ท่านนำอาหารไปด้วยเลย” ชุนเจี้ยนพูดเสริม

“อ้อ เช่นนั้นก็ยกตามมาเลย”

ซือหม่าโยวเย่ว์ไปยังห้องหนังสือของซือหม่าเลี่ย ชุนเจี้ยนยกกับข้าวกับปลาตามมาด้านหลัง เมื่อมาถึงด้านนอกห้องหนังสือ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงรับถาดมาก่อนจะส่งสัญญาณให้ชุนเจี้ยนกลับออกไป

ผู้คุ้มกันด้านนอกห้องหนังสือทั้งหมดล้วนได้รับคำสั่งว่าหากซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามา จะต้องรีบเปิดประตูให้เธอ

ซือหม่าเลี่ยกำลังก้มหน้ามองอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อได้ยินเสียงจึงพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นเลย “นั่งลงกินข้าวสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์วางอาหารลงบนโต๊ะแล้วเอื้อมมือมาหยิบกระดาษจดหมายในมือซือหม่าเลี่ย เธอส่งข้าวชามหนึ่งไปยังมือของเขาพลางเอ่ยว่า “ไหนๆ จะกินข้าว ก็อย่าดูสิ่งเหล่านี้อีกเลย”

ซือหม่าเลี่ยปล่อยให้เธอวางกระดาษจดหมายไปข้างๆ แล้วกินอาหารค่ำเป็นเพื่อนเธอ หลังจากกินเสร็จก็ให้คนมาจัดเก็บถ้วยชาม ทั้งยังให้คนชงชาถ้วยหนึ่งมาให้เธอด้วย

ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าเลี่ยอย่างลำบากใจอยู่บ้าง รู้สึกว่าวันนี้เขาดูแปลกพิกล ตนเองจากไปนานถึงเพียงนี้ เพิ่งได้พบหน้ากัน แต่เขากลับไม่ถามเลยว่าตนไปทำอะไรมา เพียงแค่กินอาหารเย็นและดื่มชากับตนเท่านั้น

“แค่กๆ ท่านปู่ ถ้าหากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน พรุ่งนี้ยังต้องไปที่วิทยาลัยอีก” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่านี่คือสัญญาณเตือนก่อนที่ซือหม่าเลี่ยจะบันดาลโทสะ จึงคิดจะใช้เรื่องนี้หนีกลับไป

“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังเร็วอยู่เลย” ซือหม่าเลี่ยดื่มชาอึกหนึ่ง แล้ววางถ้วยชาลงอย่างช้าๆ

“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์ยกถ้วยชาขึ้นดื่มชา ซือหม่าเลี่ยไม่พูดจา เธอเองก็มิได้พูดอะไรเช่นกัน

“วันนี้คนตระกูลน่าหลานมาหา” ในที่สุดก็เป็นซือหม่าเลี่ยที่อดไม่ไหว เอ่ยปากขึ้นมาก่อน

“ข้าได้ยินมาแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า รับคำประโยคหนึ่งแล้วก็เงียบไปอีก

ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเกิดความสงสัยขึ้นในใจ ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่มีปัญหา เธอมักจะต้องขุดให้ถึงต้นตอเสมอ เหตุใดวันนี้จึงเงียบสงบเช่นนี้ได้ ทำให้เขามิอาจเอ่ยปากตำหนิเธอได้ทั้งที่ใจนึกอยาก

เขาลอบทอดถอนใจ อยากจะตำหนิเธอแต่ก็ทำไม่ลงจริงๆ

“เจ้าน่าจะรู้ว่าพวกเขามาทำอะไรกระมัง” ซือหม่าเลี่ยพูด

“เออ… ไม่รู้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พ่อบ้านมิได้บอกข้า”

“พวกเขาต้องการตัวเจ้า” ซือหม่าเลี่ยจ้องมองซือหม่าโยวเย่ว์ นึกว่าจะมองอะไรออกจากใบหน้าของเธอได้ แต่สีหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์กลับไม่แปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ปราศจากความสำนึกผิด จากนั้นเขาจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “พวกเขาบอกว่าเจ้าสังหารน่าหลานฉี จะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต”

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังแล้วจึงลอบพึมพำว่าที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องของน่าหลานฉีจริงๆ แต่มิใช่เกิดเรื่องขึ้นกับน่าหลานเหอแล้วหรือ เหตุใดจึงยังมีกะจิตกะใจมารังควานเธอถึงที่นี่อีกเล่า

“เฮ้ๆ ไร้ซึ่งหลักฐาน อาศัยอะไรมาหาว่าข้าฆ่าคนกันเล่า!” เธอยิ้มน้อยๆ

“พูดเช่นนี้ก็แปลว่าจริงอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าเลี่ยถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า เธอไม่คิดจะปิดบังซือหม่าเลี่ยเรื่องนี้จึงเอ่ยว่า “คราวก่อนตอนเช้าวันที่ข้าออกจากบ้าน ระหว่างทางไปยังวิทยาลัย เขาได้พาผู้คุ้มกันระดับปรมาจารย์วิญญาณคนหนึ่งมาสังหารข้า เพียงแต่สุดท้ายแล้วกลับถูกข้าสังหารก็เท่านั้นเอง”

อันที่จริงแล้วเช้าวันที่น่าหลานฉีถูกสังหาร ผู้คุ้มกันที่เขาส่งไปคุ้มครองซือหม่าโยวเย่ว์ได้กลับมารายงานเขาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตรอกเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นว่าซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ปิดบัง ซือหม่าเลี่ยจึงพูดว่า “ตอนนี้ตระกูลน่าหลานหาศพของน่าหลานฉีไม่พบ ไม่ว่าใครจะมาถาม เจ้าปฏิเสธท่าเดียวก็ใช้ได้แล้วล่ะ”

“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

“แต่วันนี้ข้ามิได้อยากจะคุยเรื่องนี้กับเจ้าหรอกนะ” ซือหม่าเลี่ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “บอกมาสิว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลน่าหลานในระยะนี้ ใช่ฝีมือเจ้าหรือไม่”

“เรื่องอะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มิอาจได้สติกลับมาอยู่ชั่วครู่ เธอเงยหน้าขึ้นมองซือหม่าเลี่ยพลางถามขึ้น

“น่าหลานเหอไปชิงผลอสรพิษทองคำที่เทือกเขาผู่สั่วในครั้งนี้ ระหว่างทางกลับก็ถูกสัตว์อสูรวิเศษนานาชนิดไล่ตามฆ่า เรื่องนี้เจ้าคงมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยกระมัง”

ซือหม่าโยวเย่ว์หัวใจเต้นตึกตักคราหนึ่ง เขารู้ได้อย่างไรกัน

เมื่อนึกถึงว่าตนมิอาจให้เขาล่วงรู้เรื่องที่ตนไปช่วงชิงผลอสรพิษทองคำได้ เธอจึงส่ายหน้าปฏิเสธ “ท่านปู่ เหตุใดเรื่องของตระกูลน่าหลานจึงต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าด้วยเล่า! ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาไปยั่วยุสัตว์อสูรวิเศษอะไรมาบ้าง มิฉะนั้นจะถูกไล่ตามมาตลอดทางได้อย่างไร”

“พอแล้ว อย่าเฉไฉอีกเลย” ซือหม่าเลี่ยพูด “ข้าเห็นพวกเจ้าหมดนั่นแหละ!”

อะไรกัน!

คราวนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ประหลาดใจจริงๆ เสียแล้ว หรือว่าตอนนั้นตนพรางตัวขนาดนั้นแล้วเขาก็ยังจำได้อีกหรือ

………………

ในเวลาต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ได้เสาะหาสัตว์อสูรวิเศษเพื่อทำพันธสัญญา จากสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นหนึ่ง ไปจนถึงสัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่ง ความเร็วของเธอเพิ่มขึ้นไปทีละขั้นๆ

หลังจากมาที่เทือกเขาได้ห้าวัน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ฝึกสัตว์ให้เชื่องได้มากพอสมควร วันนี้ หลังจากที่ฝึกสัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่งตนหนึ่งให้เชื่องได้แล้ว พลังที่ได้รับกลับมาในระยะนี้ทำให้เธอบรรลุระดับปรมาจารย์วิญญาณขั้นห้า เลื่อนระดับไปยังขั้นหกได้สำเร็จ

“คิดไม่ถึงว่าเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรนี้จะทำให้นักฝึกสัตว์อสูรได้รับพลังขณะที่ฝึกสัตว์อสูรได้จริงๆ ด้วย” หลังจากเลื่อนระดับสำเร็จ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็สัมผัสถึงพลังในร่างกายที่ทวีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ จึงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรนี่จะกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่นักฝึกสัตว์อสูรในตอนนั้นตบตีแย่งชิงกันได้อย่างไรเล่า” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “เจ้านายคนก่อนๆๆ ก็เป็นนักฝึกสัตว์อสูร เขาเคยบอกว่าเขาอยากได้เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรเล่มนี้มาครอบครองเช่นกัน เพราะหากนักฝึกสัตว์อสูรอยากฝึกสัตว์อสูรวิเศษระดับสูงขึ้นให้เชื่อง ก็จำเป็นต้องใช้เวลาไปกับการยกระดับพลังจิตมากยิ่งขึ้น การฝึกยุทธ์ของตนเองก็จะล่าช้าออกไป ถ้าหากได้ครอบครองเคล็ดควบคุมสัตว์อสูร ก็จะได้รับพลังมาระหว่างการฝึกสัตว์อสูรวิเศษให้เชื่อง เขาก็คงไม่…”

“เจ้าวิญญาณน้อย เจ้านายคนก่อนของเจ้าช่างมีมากมายเสียจริง” ซือหม่าโยวเย่ว์หลั่งเหงื่อเยียบเย็น นักหลอมยา นักฝึกสัตว์อสูรล้วนมีทั้งสิ้น ถ้าหากวันใดที่มันพูดอีกว่ามันมีเจ้านายคนก่อนที่เป็นนักหลอมวัตถุ เป็นปรมาจารย์ค่ายกล เธอก็คงไม่ประหลาดใจอีกแล้ว

“หึๆ” เจ้าวิญญาณน้อยสูดจมูก มันจึงไม่บอกซือหม่าโยวเย่ว์ว่าเจ้านายคนก่อนๆ ของมันนั้นมีผู้เชี่ยวชาญครบทุกแขนงเลยทีเดียว

“เอาล่ะ ตอนนี้มาฝึกสัตว์อสูรให้เชื่องกันต่อดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าคำรามน้อย เมื่อครู่ตอนข้าฝึกสัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่ง ยังรู้สึกสบายๆ อยู่เลย เจ้าหาสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสามให้ข้าเลยแล้วกัน”

“ได้สิ เย่ว์เย่ว์ เจ้ารอก่อนนะ!” เจ้าคำรามน้อยพูดจบก็เหาะจากไป ไม่นานนักก็พาตัวสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสามตนหนึ่งกลับมา

ตอนฝึกในครั้งนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่ากินแรงอยู่บ้าง ในที่สุดก็ฝึกมันให้เชื่องได้สำเร็จอย่างทุลักทุเล

หลังการฝึกให้เชื่องสิ้นสุดลง เธอก็เช็ดเหงื่อเยียบเย็นบนหน้าผาก ดูเหมือนว่าเธอจะประเมินพลังของตัวเองสูงเกินไปเสียแล้ว แต่ผู้ที่ฝึกสัตว์อสูรทิพย์ให้เชื่องได้ทั่วทั้งอาณาจักรตงเฉินก็มิได้มีให้เห็นมากนัก

แน่นอนว่านี่ล้วนเป็นเพราะเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรและเคล็ดหลอมวิญญาณที่เธอได้ครอบครอง รวมทั้งพลังจิตอันแข็งแกร่งของเธอเองอีกด้วย

“เย่ว์เย่ว์ ยังต้องการขั้นสี่อีกหรือไม่” เจ้าคำรามน้อยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ทำเสร็จแล้วจึงเหาะเข้ามาถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ฝึกขั้นสามให้เชื่องก็เปลืองแรงมากแล้ว หากฝึกขั้นที่สูงกว่านี้ กลัวแต่ว่าจะทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บเข้าน่ะสิ เจ้าไปช่วยข้าหาขั้นสามมาอีกหลายๆ ตัว รอให้ข้าฟื้นฟูตัวเองแล้วจะเริ่มต้นฝึกพวกมัน”

“ได้เลย” เจ้าคำรามน้อยพูดจบแล้วก็บินจากไป

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเจ้าคำรามน้อยเชี่ยวชาญการล่อลวงสัตว์อสูรวิเศษเช่นนี้ก็ส่ายหน้าพลางอมยิ้ม หลังจากนั้นจึงให้ย่ากวงอารักขาตน ก่อนจะหลับตาลงฟื้นฟูพลังจิตที่เหือดหายไป

บางทีอาจเป็นเพราะเพิ่งเคยใช้พลังจิตจนหมดในขณะฝึกสัตว์อสูรให้เชื่องเป็นครั้งแรก การฟื้นฟูของซือหม่าโยวเย่ว์ในครั้งนี้จึงกินเวลาหนึ่งคืนเต็มๆ จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นจึงฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ ต่อมาเธอก็ใช้เวลาอีกหนึ่งวันในการฝึกให้เชื่อง หนึ่งคืนในการฟื้นฟู เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ฝึกสัตว์อสูรวิเศษขั้นสามหลายตนให้เชื่องได้สำเร็จ

ต่อมาเธอก็ฝึกสัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่งถึงสามอีกจำนวนหนึ่งแล้วเก็บตัวพวกมันเข้าไปไว้ภายในมณีวิญญาณจนหมด เพื่อมิให้พวกมันล่วงรู้ความลับของมณีวิญญาณ เธอจึงให้เจ้าวิญญาณน้อยแยกตัวพวกมันมาขังเอาไว้ด้วยกัน

“เจ้านาย ท่านอยู่ที่นี่มาครึ่งเดือนแล้วนะ” ย่ากวงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เตรียมตัวไปได้พอสมควรแล้ว สัตว์อสูรทิพย์ในบริเวณรอบๆ ก็ถูกเธอกวาดล้างไปไม่น้อย จึงเอ่ยปากเตือน

“อืม พวกเราก็ควรจากไปได้แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า “ไม่รู้ว่าตอนนี้เมืองหลวงเป็นเช่นไรบ้าง รอเจ้าคำรามน้อยกลับมาก่อนแล้วพวกเรากลับกันเลยก็ได้”

พูดจบเธอก็ส่งเสียงเรียกเจ้าคำรามน้อยในใจหลายครั้ง ก่อนจะบอกมันเรื่องที่จะไปจากที่นี่ ให้มันรีบกลับมาโดยเร็ว มิฉะนั้นจะทิ้งมันเอาไว้โดยไม่สนใจไยดี

“เย่ว์เย่ว์ใจอำมหิต!” เจ้าคำรามน้อยบ่นคำหนึ่ง หลังจากนั้นจึงพูดกับสัตว์อสูรวิเศษที่สนทนากันอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆ ว่า “ข้าต้องไปแล้วล่ะ เฮ้อ เจ้าไม่ต้องคิดถึงข้าให้มากนักหรอกนะ”

พอพูดจบมันก็บินไปหาซือหม่าโยวเย่ว์ ทิ้งแม่ลิงสาวตัวนั้นเอาไว้ให้มองตามมันอย่างยากจะตัดใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์สัมผัสได้ถึงสถานการณ์ทางฝั่งเจ้าคำรามน้อย สีหน้าจึงคล้ำเข้ม

เจ้านี่ ไปจีบสาวอีกแล้ว ไม่ใช่สิ ไปล่อลวงสัตว์อสูรวิเศษอีกแล้ว!

“เย่ว์เย่ว์ ข้ากลับมาแล้ว!” พอเจ้าคำรามน้อยกลับมาถึง ก็พุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์หิ้วคอเจ้าคำรามน้อยเอาไว้แล้วยกขึ้นมาตรงหน้าตนก่อนจะมองซ้ายมองขวา

“เย่ว์เย่ว์ เจ้ากำลังดูอะไรของเจ้าน่ะ” เจ้าคำรามน้อยถามพลางกะพริบดวงตากลมโต

“ข้ากำลังดูว่าเจ้าเป็นสัตว์มงคลจริงหรือไม่น่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เจ้าคำรามน้อยเอียงศีรษะพลางพูดอย่างเย่อหยิ่งหาใดเปรียบว่า “เจ้าดูออกแล้วหรือยัง”

“ข้าเห็นเพียงแค่สัตว์อสูรสีรุ้งตนหนึ่งเท่านั้นเอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์โยนเจ้าคำรามน้อยออกไปอย่างส่งๆ ก่อนจะนั่งลงบนหลังย่ากวงแล้วพูดว่า “พวกเราไปกันเถิด”

พอได้รับคำสั่ง ย่ากวงจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป เจ้าคำรามน้อยทรงตัวกลางอากาศจนได้ เมื่อเห็นว่าพวกเขาไปก่อนแล้วจึงบ่นอย่างไม่พอใจว่า “เป็นสัตว์อสูรเทพโบราณที่หล่อเหลางามสง่าถึงเพียงนี้ ช่างเป็นสตรีที่ใจจืดใจดำเสียจริง! แต่สัตว์เพศหญิงอื่นๆ ล้วนไม่อาจต้านทานเสน่ห์ข้าได้ เหตุใดเย่ว์เย่ว์จึงได้หยาบคายเช่นนี้ทุกครั้งเลย หรือว่าชาติก่อนนางเป็นบุรุษ ไม่ถูกสิ ชาติก่อนไม่ใช่เย่ว์เย่ว์นี่นา เฮ้อ ปวดสมองเสียจริง…”

คิดคำตอบไม่ออก ทั้งยังเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งไปไกลแล้ว มันจึงรีบติดตามไปในทันที มันร่อนลงบนหัวย่ากวงแล้วมองไปเบื้องหน้าด้วยท่าทีเช่นผู้บัญชาการ

ด้วยความเร็วของย่ากวง พวกเขาจึงกลับไปถึงเมืองเหยียนอย่างรวดเร็ว

ซือหม่าโยวเย่ว์แวะไปที่โรงเตี๊ยมก่อน เมื่อได้รู้ว่าพวกซือหม่าเลี่ยได้ออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อสิบกว่าวันก่อนแล้ว เธอจึงตรงไปยังสมาคมปรมาจารย์วิญญาณแล้วกลับไปยังเมืองหลวงผ่านค่ายกลนำส่ง

หนึ่งวันให้หลัง ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไปถึงเมืองหลวง แล้วตรงกลับไปยังจวนแม่ทัพ

“คุณชายห้า ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที” เมื่อพ่อบ้านเห็นซือหม่าโยวเย่ว์จึงวิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้นยินดี

“แหะๆ ข้ากลับมาแล้ว ท่านปู่เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามยิ้มๆ

“ท่านแม่ทัพอยู่ในโถงรับแขกขอรับ” พ่อบ้านพูด

“ข้าจะไปหาท่านปู่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบก็ออกเดินไป แต่กลับถูกพ่อบ้านรั้งตัวเอาไว้

“คุณชายห้า ท่านอย่าเพิ่งไปตอนนี้เลยขอรับ คนตระกูลน่าหลานนั่นมาที่นี่แล้ว” พ่อบ้านพูด

“คนของตระกูลน่าหลานมาอย่างนั้นหรือ น่าหลานเหอน่ะหรือ พวกเขามาทำไมกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

มิใช่ว่าเธอให้พวกเป่ยกงถังสร้างปัญหาให้กับพวกน่าหลานเหอแล้วหรอกหรือ เพราะเหตุใดตอนนี้จึงยังมีเวลาว่างมาหาเรื่องที่นี่ได้อีกเล่า

“มิใช่น่าหลานเหอหรอกขอรับ เป็นผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลน่าหลานต่างหากเล่า เขาบอกว่าอยากพบท่าน” พ่อบ้านพูด “แต่ท่านนายพลเห็นพวกเขาแล้วสีหน้ามิสู้ดีนัก กลัวแต่ว่าจะมิใช่เรื่องดี ท่านสั่งเอาไว้ว่าหากคุณชายกลับมา ห้ามมิให้ท่านไปที่โถงรับแขกเป็นอันขาดขอรับ”

“ผู้อาวุโสใหญ่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ค้นหาเกี่ยวกับผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลน่าหลานในความทรงจำอยู่ครู่หนึ่ง ว่ากันว่านอกจากท่านบรรพชนตระกูลน่าหลานแล้ว เขาเป็นผู้ที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุด อีกเพียงนิดเดียวก็จะเป็นผู้แข็งแกร่งที่บรรลุขั้นราชันวิญญาณได้แล้ว

เดิมทีซือหม่าโยวเย่ว์อยากจะไปพบหน้าผู้อาวุโสใหญ่ท่านนั้นที่โถงรับแขก แต่พ่อบ้านดึงตัวเธออย่างสุดชีวิตไม่ยอมปล่อย และเมื่อนึกถึงว่าซือหม่าเลี่ยย่อมต้องรับมือกับตาเฒ่าผู้หนึ่งได้แน่นอนอยู่แล้ว จึงยอมแพ้แล้วหันกลับไปยังเรือนพักของตนเอง

พ่อบ้านส่งสายตาให้ผู้คุ้มกันที่อยู่อีกฟากหนึ่ง เป็นสัญญาณว่าถ้าหากคนของตระกูลน่าหลานกลับไปแล้วให้บอกให้พวกเขารู้ด้วย หลังจากนั้นจึงจากไปพร้อมกับซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปถึงเรือนพักของตนเอง เห็นพ่อบ้านคอยเฝ้าเธอทุกฝีก้าวไม่เว้นห่าง จึงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

เขายังคงเห็นตนเป็นหนุ่มน้อยอ่อนประสบการณ์ ได้รับบาดเจ็บอย่างง่ายดายผู้นั้นอยู่อีกสินะ กลัวว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย เธอจดจำความซาบซึ้งนี้เอาไว้ในหัวใจ

เมื่อนึกถึงตระกูลน่าหลานขึ้นมา เธอก็ยิ้มเย็นขึ้นมาในใจแล้วยิ้มตาหยีมองพ่อบ้าน “ท่านพ่อบ้าน ระยะนี้เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลน่าหลานใช่หรือไม่”

……………………

ซือหม่าโยวหรานมีข้อสงสัยอยู่ในใจ แต่เรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์พูดเหล่านั้นก็เป็นความลับเล็กๆ ที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้จริงๆ

แต่หากให้บอกว่าคนตรงหน้าผู้นี้เป็นน้องสาวของเขา เขาก็ยังรู้สึกแปลกพิกลอยู่ดี คนก่อนหน้ากับคนในตอนนี้เป็นคนละคนกันชัดๆ

“แต่เจ้ารู้วิชาแพทย์ได้อย่างไรกัน”

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเขาถามเช่นนี้ก็รู้ว่าเขาเชื่อถือในตัวตนของเธอแล้ว จึงพูดว่า “ท่านปู่เคยบอกท่านเรื่องที่ในตัวข้ามีผนึกอยู่หรือไม่”

“ผนึกหรือ” ซือหม่าโยวหรานขมวดคิ้ว คล้ายกับว่าเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่เห็นเธอพูดเช่นนี้ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องเท็จ “นั่นมันเรื่องอันใดกัน”

ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่พลางพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ตอนที่ข้าคลอดนั้นมีความทรงจำของชาติก่อนติดมาด้วย แต่เป็นเพราะผนึกนั่นผนึกความทรงจำของข้าเอาไว้ ต่อมาเพราะได้รับบาดเจ็บ ผนึกจึงถูกคลายออก ข้าฟื้นฟูความทรงจำในชาติก่อนกลับมาได้แล้ว วิชาแพทย์นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าได้มาจากชาติก่อนนั่นเอง”

“ความทรงจำในชาติก่อนของเจ้าอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวหรานรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง แต่นี่ก็เป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้แล้ว “มิน่าเล่า นิสัยใจคอของเจ้าจึงได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก อีกทั้งยังทำสิ่งที่ก่อนหน้านี้ทำไม่เป็นได้อีกด้วย เช่นนั้นชาติก่อนเจ้าเป็นเช่นไรหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงเรื่องที่ตนถูกมืออันดับสองขององค์กรวางแผนสังหารตอนอยู่บนโลก นึกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวปานหัวใจแหลกสลายของซีเหมินโยวเย่ว์ สีหน้าก็ออกจะไม่น่าดูอยู่บ้าง

เธอแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่สาม สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงความทรงจำในอดีต ล้วนเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วทั้งสิ้น อย่าไปพูดถึงมันเลยนะ”

ซือหม่าโยวหรานรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงเรื่องระทมทุกข์อันใดขึ้นมาจึงมิได้ซักถามต่อ ทั้งสองคนเงียบงันไป

“ท่านพี่สาม หากท่านอยากบอกเรื่องนี้กับพวกพี่ๆ ก็บอกเถิด ข้าก็ไม่ขอให้ท่านเก็บเป็นความลับหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดขึ้นมาเพราะไม่อยากนิ่งเงียบต่อไป

“ขอเพียงแค่เจ้ายังเป็นน้องห้าของพวกเรา เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญทั้งสิ้น” ซือหม่าโยวหรานอมยิ้มพูด

“ขอบคุณท่านมาก ท่านพี่สาม” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าโยวหรานพลางเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ

“ข้าเป็นพี่ชายของเจ้าก็ย่อมต้องปกป้องเจ้าอยู่แล้ว เจ้าพวกนั้นมิอาจค้นพบได้ก็เพราะว่าพวกเขาไม่ฉลาดเอง มิได้เป็นเพราะข้าไม่ยอมบอกพวกเขาเสียหน่อย”

“อืม ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านพี่สามเฉลียวฉลาดเป็นที่สุด!” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านพี่สาม ข้าอยากขอให้ท่านช่วยข้าสักเรื่องหนึ่งน่ะ”

“เรื่องใดหรือ” ซือหม่าโยวหรานถาม

“ข้าอยากกลับไปที่เทือกเขาผู่สั่วสักรอบหนึ่ง ท่านพาพวกเขากลับไปกันก่อนได้หรือไม่ ข้าเกรงว่าหากบอกท่านปู่แล้วเขาจะไม่ยอมให้ข้าไปน่ะสิ”

ซือหม่าโยวหรานเลิกคิ้ว “เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าบอกข้าแล้วข้าจะเห็นด้วยกับการไปของเจ้า เทือกเขาผู่สั่วอันตรายยิ่งนัก แล้วจะปล่อยเจ้าไปคนเดียวได้อย่างไรเล่า”

“ท่านพี่สาม ท่านลืมแล้วหรือว่าคราวก่อนข้าก็อยู่ที่เทือกเขาผู่สั่วเพียงคนเดียวตั้งหลายเดือน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้ามีธุระด่วนต้องไปจัดการ ท่านวางใจเถิด พอข้าออกมาแล้วก็จะกลับบ้านเอง”

“แต่ว่า…”

“ข้าไม่ใช่ตัวข้าในตอนนั้นอีกแล้ว ข้ามีความทรงจำของทั้งสองภพชาติ ไม่มีทางเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตกลงเช่นนี้แหละ ท่านพี่สาม ท่านคุยกับท่านปู่ให้ข้าด้วย ข้าขอตัวก่อน”

พอพูดจบเธอก็ยกเท้าวิ่งออกไปโดยไม่รอให้ซือหม่าโยวหรานตอบ

ซือหม่าโยวหรานมองดูซือหม่าโยวเย่ว์จากไปแล้วส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าเด็กนี่ นิสัยมุทะลุเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเลย!”

เขาเหลือบตามองไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งไปถึงถนนใหญ่พอดี เมื่อรู้สึกถึงสายตาของเขา เธอยังหันหน้ากลับมาโบกไม้โบกมือให้ด้วย

“ท่านพี่สาม อย่าลืมว่าต้องช่วยปิดเป็นความลับด้วยล่ะ!”

พอพูดจบเธอยังทำสัญลักษณ์มือในอากาศด้วย

ซือหม่าโยวหรานไม่ได้ตอบเธอ แต่ในใจกลับวางแผนว่ากลับไปแล้วจะอธิบายกับซือหม่าเลี่ยอย่างไรดี ในเมื่อเธอบอกว่าต้องเก็บเป็นความลับ ก็แสดงว่าไม่อยากให้ทุกคนรู้ว่าเธอไปที่เทือกเขาผู่สั่ว

เมื่อนึกถึงสัญลักษณ์มือที่ซือหม่าโยวเย่ว์ทำเมื่อครู่ ความเชื่อถือที่ซือหม่าโยวหรานมีต่อนางก็เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง ท่าทางนั้นเป็นท่าที่ทั้งสองคนมักจะทำทุกครั้งที่ขอให้อีกฝ่ายรักษาความลับ นางทำมันออกมาในขณะที่ไม่ได้ตั้งใจ แสดงให้เห็นว่านางคือน้องสาวของเขาจริงๆ ไม่ใช่ผู้อื่นปลอมตัวมา!

แม้เขาจะฉลาดถึงเพียงนี้ ก็ยังคิดไม่ถึงเรื่องวิญญาณใหม่มาเข้าร่างแทนอยู่ดี ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เห็นตระกูลซือหม่าเป็นบ้านของตัวเองจากใจจริง เห็นพวกเขาเป็นครอบครัวของตัวเอง เห็นตัวเองเป็นซือหม่าโยวเย่ว์จริงๆ

“เฮ้อ… ช่างเป็นเจ้าตัวน้อยที่ซุกซนเสียจริง” เขารำพึงคำหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นจากไป ฝีเท้าเบากว่าตอนขามามากมายนัก

ซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปจากเมืองแล้วเรียกตัวย่ากวงออกมา ให้มันพาตนไปยังเทือกเขาผู่สั่ว เธอไม่รู้ว่าซือหม่าโยวหรานจะใช้ข้อแก้ตัวอันใด แต่เธอเชื่อว่าเขาต้องพาพวกซือหม่าเลี่ยกลับไปได้อย่างแน่นอน

ความเร็วของย่ากวงไม่น้อยเลย ทำให้เธอกลับมาถึงเทือกเขาผู่สั่วอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

เป้าหมายของเธอในคราวนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง ซึ่งก็คือการมาจับสัตว์อสูรวิเศษ เพราะไม่รู้ว่าเธอทำให้สัตว์อสูรวิเศษเชื่องได้ถึงระดับใด ดังนั้นเธอจึงเริ่มต้นจากการฝึกสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำก่อน

เธออ่านเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรหลายรอบ จดจำวิธีการและข้อควรระวังที่เขียนอยู่ในนั้นเอาไว้ในสมองจนหมด หลังจากนั้นจึงให้ย่ากวงและเจ้าคำรามน้อยไปจับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นต่ำตนหนึ่งมา

ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรเป็นครั้งแรก ในใจจึงยังมีความสับสนยุ่งเหยิงอยู่บ้าง สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำตนนั้นขนาดไม่ใหญ่นัก มันหมอบลงบนพื้นเสียงดังสวบสาบด้วยแรงกดดันของย่ากวงและเจ้าคำรามน้อย

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปวางมือลงบนหัวของมัน หลังจากนั้นจึงทำตามวิธีที่บอกไว้ในเคล็ดควบคุมสัตว์อสูร โคจรพลังวิญญาณในร่างกาย พยายามสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสัตว์อสูรวิเศษขึ้นมา

ย่ากวงและเจ้าคำรามน้อยดูอยู่ข้างๆ เพราะไม่กล้าส่งเสียงรบกวนเธอ ดังนั้นจึงได้แต่ติดต่อโดยใช้สายสัมพันธ์แห่งพันธสัญญา

“เจ้าคำรามน้อย ตอนถูกฝึกให้เชื่อง รู้สึกอย่างไรบ้างหรือ” ย่ากวงถาม

ตอนนั้นมันยอมรับซือหม่าโยวเย่ว์เป็นเจ้านายเอง ดังนั้นจึงไม่รู้ความรู้สึกตอนถูกฝึกให้เชื่อง

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า” เจ้าคำรามน้อยพูด “ข้าก็ไม่เคยถูกฝึกให้เชื่องมาก่อนเหมือนกัน”

“เจ้าก็ทำพันธสัญญาโดยมิได้ถูกฝึกให้เชื่องเช่นกันหรือ” ย่ากวงมองเจ้าคำรามน้อยอย่างตกตะลึง

“หึๆ ต้องโทษที่ตอนนั้นข้ายังเยาว์วัยไม่รู้เรื่องรู้ราว ถูกยายเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์เย่ว์เย่ว์พบเข้าแล้วหลอกลวงข้า หลังจากนั้นข้าจึงต้องเชื่อฟังนางอย่างเสียไม่ได้ เฮ้อ ตอนนี้มานึกดูแล้วก็น้ำตาเช็ดหัวเข่าเลยทีเดียว!”

ย่ากวงเห็นท่าทางเช่นนั้นของเจ้าคำรามน้อย ในใจก็อุทานขึ้นมาประโยคหนึ่ง แสดงเก่งเสียจริง!

“เจ้าว่าเจ้านายของพวกเราจะฝึกสัตว์อสูรวิเศษให้เชื่องได้หรือไม่” ย่ากวงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ทำอยู่นานสองนานก็ยังไม่สำเร็จ จึงถามขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจอยู่บ้าง

“ได้แน่นอนอยู่แล้ว!” เจ้าคำรามน้อยมีความเชื่อมั่นในตัวซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเหนือธรรมดาตลอดทุกที่ทุกเวลา “ ไม่ว่าเรื่องอันใด ขอเพียงเย่ว์เย่ว์อยากทำ ก็ไม่มีอะไรที่นางทำไม่ได้หรอก!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ที่ทำการฝึกเสร็จได้ยินคำพูดของเจ้าคำรามน้อยเข้าพอดี จึงมองมันโดยไม่พูดอะไร

เจ้านี่ ช่างมั่นใจในตัวเธออย่างเหลือล้น เหตุใดเธอจึงไม่รู้ว่าตนเองร้ายกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน อยากทำอะไรก็ทำได้หมด!

“เย่ว์เย่ว์ ฝึกสำเร็จแล้วหรือ” เจ้าคำรามน้อยเหาะเข้ามา มองดูสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำที่หมอบอยู่บนพื้นอย่างเชื่อฟังพลางถามขึ้น

“อืม ใช้งานเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรเป็นครั้งแรก ไม่ค่อยคุ้นชิน ดังนั้นจึงเดินทางอ้อมไปบ้าง จึงใช้เวลายาวนานไปหน่อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ อาจเป็นเพราะความแข็งแกร่งของเคล็ดควบคุมสัตว์อสูร หรืออาจเป็นเพราะพลังจิตของเธอแข็งแกร่งเกินธรรมดา ระยะเวลาที่เธอใช้ในการฝึกให้เชื่องนั้นจึงน้อยกว่าที่นักฝึกสัตว์อสูรทั่วไปใช้กันอยู่มากนัก โดยเฉพาะเมื่อครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเธออีกด้วย!

ฝึกสัตว์อสูรครั้งแรกก็สำเร็จแล้ว ถ้าหากสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรรู้เข้า เกรงว่าเรื่องนี้คงก่อให้เกิดคลื่นลมขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว

…………………

เจ้าวิญญาณน้อยคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะเปลี่ยนท่าทีแบบปุบปับ ดังนั้นจึงไม่ได้หลบหลีกฝ่ามือเธอ หลังจากถูกฟาดแล้วจึงกุมศีรษะพลางจ้องซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นดวงตากลมโตของเจ้าวิญญาณน้อยจ้องมองตนอย่างแค้นเคือง ทันใดนั้นก็พ่ายแพ้ต่อความน่ารัก มือหนึ่งกอดมันเอาไว้ อีกมือลูบหัวมันพลางเอ่ยว่า “เอาละ ข้ารีบร้อนเกินไปน่ะ บอกมาสิว่ายังมีวิธีการใดอีก”

เจ้าวิญญาณน้อยสัมผัสความรักใคร่ทะนุถนอมของซือหม่าโยวเย่ว์ได้ เมื่อได้ฟังวาจาของเธอจึงเบะปากพูดว่า “เจ้าช่างโง่เง่านัก ยาวิเศษยกระดับพลังยุทธ์ของพวกเขาจากภายใน แต่เจ้ายังทำจากภายนอกได้ด้วยนี่”

“จากภายนอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตา “เจ้าจะบอกว่าให้เตรียมสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาให้พวกเขาอย่างนั้นหรือ”

เจ้าวิญญาณน้อยพยักหน้า “เจ้าลืมสิ่งที่หมัวซามอบให้เจ้าชิ้นนั้นแล้วหรือ นั่นเป็นสิ่งล้ำค่าเลยทีเดียวล่ะ”

“เจ้าหมายถึงเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงสิ่งที่เขียนเอาไว้ในนั้นว่า สัตว์อสูรวิเศษที่ใช้เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรทำให้เชื่อง ช่วยเพิ่มพูนพลังยุทธ์ให้กับทั้งสองฝ่ายในขณะที่ทำพันธสัญญาได้ ดวงตาทั้งสองก็เปล่งประกาย เธอบีบแก้มเจ้าวิญญาณน้อยแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว ข้าจัดเตรียมสัตว์อสูรวิเศษให้พวกพี่ๆ ทำพันธสัญญาด้วยได้ เจ้าวิญญาณน้อย ขอบใจเจ้าที่เตือนข้านะ”

พูดจบเธอก็หอมแก้มเจ้าวิญญาณน้อยทีหนึ่งก่อนจะจากไปอย่างพึงพอใจ

“ยังจะมาทิ้งน้ำลายเอาไว้บนหน้าข้าอีก!” เจ้าวิญญาณน้อยประท้วงใส่แผ่นหลังของเธอ ทว่าแววตากลับแฝงเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม

ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาแล้วเรียกเจ้าคำรามน้อยให้ปรากฏตัว

“เย่ว์เย่ว์ เจ้าคิดถึงข้าแล้วใช่หรือไม่” เจ้าคำรามน้อยออกมาแล้วก็พุ่งตัวเข้าใส่อ้อมแขนของซือหม่าโยวเย่ว์พลางพูดอย่างอวดดี

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยผู้แสนหลงตัวเองแล้วก็อดกลอกตามิได้

เหตุใดจึงมีสัตว์อสูรวิเศษที่หลงตัวเองถึงเพียงนี้อยู่ด้วยเล่า!

“เจ้าคำรามน้อย เจ้าทำให้สัตว์อสูรวิเศษพวกนั้นฟังคำเจ้าได้ใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ขึ้นอยู่กับระดับขั้นด้วยนะ” เจ้าคำรามน้อยพูด “หากเป็นสัตว์อสูรธรรมดาทั่วไปล้วนไม่มีปัญหา แต่ถ้าเจ้าไปหาสัตว์อสูรเหนือเทพมา ด้วยพลังยุทธ์ของข้าในตอนนี้ย่อมทำไม่ได้แน่”

“ไม่ต้องถึงขนาดสัตว์อสูรเหนือเทพหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือ ต่อให้เธออยากได้สัตว์อสูรเหนือเทพ ตอนนี้ก็ไม่มีให้อยู่ดี! “สัตว์อสูรวิเศษธรรมดาทั่วไปนั่นแหละ ข้าอยากเตรียมสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาให้พวกพี่ๆ ทั้งยังต้องเป็นสัตว์อสูรที่ข้าทำให้เชื่องได้ด้วย จึงมิอาจใช้ระดับขั้นสูงเกินไปได้”

“เช่นนี้ก็ง่ายเลย!” เจ้าคำรามน้อยพูด “ต้องการเท่าไหร่เล่า ข้าจะไปลักมาจากเทือกเขาผู่สั่วสักหลายๆ ตัวเลย”

ดีจริง ในที่สุดเจ้าคำรามน้อยก็ยอมรับแล้วว่าตนลักพาตัวสัตว์อสูรวิเศษมา

“พี่ชายสี่คน คนละตัวก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “อ๊ะ ข้าว่าข้าไปพร้อมกันกับเจ้าด้วยดีกว่า จะได้ลองดูว่าข้าจะทำให้สัตว์อสูรเชื่องได้ถึงระดับใด แล้วพยายามเตรียมระดับที่สูงหน่อยมาให้พวกพี่ๆ”

“ดี แล้วพวกเราจะไปกันเมื่อใดหรือ” เจ้าคำรามน้อยเชี่ยวชาญการล่อลวงสัตว์อสูรวิเศษเป็นอย่างยิ่ง มันจึงตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อได้ยินว่าจะไปล่อสัตว์อสูรวิเศษ

“ไปตอนนี้เลยแล้วกัน พรุ่งนี้น่าจะออกเดินทางกลับเมืองหลวงแล้ว ลองดูว่าจะกลับมาก่อนถึงพรุ่งนี้เช้าได้หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“พรุ่งนี้เช้าหรือ พรุ่งนี้เช้าไม่ได้อย่างแน่นอน!” เจ้าคำรามน้อยพูด “เจ้าฝึกสัตว์อสูรวิเศษตนหนึ่งให้เชื่องยังไม่เท่าไหร่ แต่เจ้าต้องเลือกให้ดีด้วย นอกจากนี้ยังต้องทดสอบว่าเจ้าทำพันธสัญญาได้สูงถึงระดับขั้นใดด้วย จะต้องทำไปอย่างช้าๆ หากทำได้ภายในสิบวันก็ถือว่าไม่เลวแล้ว!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ครุ่นคิด เจ้าคำรามน้อยพูดได้ไม่ผิดเลย ดูท่าทางเธอจะต้องหาข้ออ้างในการไปจึงจะใช้ได้

ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน เธอจึงทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ ก่อนจะอุ้มเจ้าคำรามน้อยออกไปจากโรงเตี๊ยม คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินออกนอกประตูใหญ่โรงเตี๊ยม ก็พบกับซือหม่าโยวหรานที่รออยู่นอกประตูเข้า

“ท่านพี่สาม ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

ซือหม่าโยวหรานมองซือหม่าโยวเย่ว์ ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย

แต่ทว่า…

“พวกเขาออกไปที่ร้านค้ากันหมดแล้ว ข้ากำลังรอเจ้าอยู่ที่นี่” ซือหม่าโยวหรานพูดด้วยรอยยิ้ม

“รอข้าทำไมหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกผิดในใจอยู่บ้าง เจ้าคนผู้นี้คงจะมิได้รู้อะไรเข้าจริงๆ หรอกกระมัง

ซือหม่าโยวหรานเห็นสีหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์จึงเดินเข้ามาลูบหัวเธอพลางเอ่ยว่า “สนใจจะไปเดินเล่นกับพี่สามหรือไม่”

“ท่านพี่สามจะไปซื้อของหรือ”

“เปล่าหรอก ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับเจ้าหน่อยน่ะ” ซือหม่าโยวหรานพูด

“อ้อ ได้สิ เช่นนั้นพวกเราไปเดินเล่นกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เธอรู้มาตลอดว่าซือหม่าโยวหรานเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดที่สุดในบรรดาพี่ชายทั้งสี่ ตนแตกต่างจากก่อนหน้านี้มากมายนัก ก่อนหน้านี้เพราะมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อย ดังนั้นเขาจึงมิได้ค้นพบอะไร แต่ความใกล้ชิดกันตลอดหลายวันมานี้ทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้ว

เธอก้มหน้าเดินไปกับซือหม่าโยวหราน คิดว่าจะพูดเรื่องของตนกับเขาอย่างไรดี ก็เข้ามาในโรงน้ำชาแห่งหนึ่งกับเขาโดยไม่รู้ตัว

“พวกเราขึ้นไปดื่มชากันสักหน่อยเถิด” ซือหม่าโยวหรานเดินนำซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นไปโดยไม่ถามความเห็นของเธอเลย

เขาให้เสี่ยวเอ้อร์เตรียมห้องส่วนตัวด้านหน้าถนนห้องหนึ่งเอาไว้ให้ ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงตรงข้ามซือหม่าโยวหราน รอให้เขาเอ่ยปาก

“ข้าได้ยินมาว่าน้ำชาที่นี่ไม่เลวเลย” ซือหม่าโยวหรานรินน้ำชาให้ซือหม่าโยวเย่ว์ถ้วยหนึ่งพลางเอ่ยขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์ยกถ้วยชาขึ้นดม หลังจากนั้นจึงจิบเบาๆ อีกหนึ่ง ก่อนจะวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยว่า “ไม่เลวเลยจริงๆ”

ซือหม่าโยวหรานมองซือหม่าโยวเย่ว์ลิ้มรสน้ำชา พลางหลุบตาลงเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้น้องห้าไม่เคยเข้าใจการดื่มชา ทุกครั้งที่ให้ชาชั้นเลิศแก่เจ้า เจ้าล้วนทำเสียของตลอดเลย”

“เป็นมนุษย์ก็ต้องรู้จักเรียนรู้อยู่ตลอดสิ” หัวใจซือหม่าโยวเย่ว์เต้นผิดจังหวะ มาแล้วจริงๆ ด้วยสิ

“การเรียนรู้นั้นมิใช่ของปลอม หากแต่มีหลายเรื่องที่ที่มิใช่ว่าเรียนรู้ครั้งเดียวแล้วจะทำได้เลย ข้าเห็นความเคลื่อนไหวยามที่น้องห้าช่วยรักษาท่านปู่ ช่างคล่องแคล้วเปี่ยมทักษะ นี่มิใช่สิ่งที่จะเรียนรู้กันได้ในชั่วข้ามคืนหรอกนะ” ซือหม่าโยวหรานพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์นิ่งเงียบ เขาพูดได้ไม่ผิดเลย ความรู้วิชาแพทย์ของเธอจะเรียนรู้ในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างไรกัน ตอนที่เธอฝังเข็มให้ซือหม่าเลี่ยได้แสดงให้เห็นว่าเธอเรียนรู้สิ่งนี้มานาน มิใช่ทักษะที่จะได้มาในสามวันห้าวัน

“ท่านพี่สามคิดจะพูดอะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยปากถามตรงๆ

ซือหม่าโยวหรานคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้จึงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าอยากรู้ว่าเจ้าเป็นใครน่ะสิ เพราะเหตุใดจึงต้องปลอมตัวเป็นน้องห้าของข้าด้วย แล้วตอนนี้น้องห้าของข้าอยู่ที่ไหน”

“ข้า…”

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดจะเอ่ยคำพูด แต่ซือหม่าโยวหรานยกมือขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องมาพูดว่าเจ้าคือน้องห้าของข้า ก่อนหน้านี้นางเป็นเช่นไร ตอนนี้เจ้าเป็นเช่นไร ในใจพวกเราล้วนรู้อย่างกระจ่างแจ้งยิ่งนัก เจ้าบอกว่าเจ้าคือนาง แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อลงหรือไม่เล่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์เงียบงันแล้วก้มหน้าดื่มชาอึกหนึ่ง

“เจ้าอธิบายอย่างตรงไปตรงมาจะเป็นการดีที่สุด มิฉะนั้นหากข้าอยากจะจัดการเจ้าในตอนนี้ก็มิใช่เรื่องยากอะไรเลย บอกมาเร็วเข้า น้องห้าของข้าอยู่ที่ไหน”

ซือหม่าโยวเย่ว์ช้อนสายตาขึ้นมองก็เห็นแวววิตกกังวลในดวงตาของซือหม่าโยวหราน เธอถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “ท่านพี่สาม เป็นข้าจริงๆ นะ”

“เป็นไปไม่ได้” ซือหม่าโยวหรานปฏิเสธ

“ตอนอายุสี่ขวบ ข้าฉี่รดที่นอน ตอนที่ท่านมาปลุกข้าให้ตื่นก็เห็นข้ากำลังเก็บกางเกงเปียกชุ่มของข้าไปซ่อนใต้เตียงเข้าพอดี…”

ซือหม่าโยวหรานร่างกายสั่นสะท้าน เขาจ้องมองซือหม่าโยวเย่ว์

“ตอนอายุห้าขวบ ท่านพาข้าไปยังป่าเล็กนอกเมืองเพื่อเก็บน้ำผึ้ง พวกเราถูกผึ้งรุมต่อย ไม่รู้ว่าผึ้งตัวหนึ่งเข้าไปในกางเกงท่านได้อย่างไร แล้วต่อยของรักของท่าน…”

“ตอนอายุสิบขวบ ท่านไปชอบสตรีนางหนึ่งเข้า เป็นข้าเองที่สนับสนุนให้ท่านไปตามจีบ ถึงแม้ว่าท่านจะยอมแพ้ในที่สุด…”

“ยังมีอีก ตอนอายุสิบขวบนั่นแหละ ข้ามีรอบเดือนมาเป็นครั้งแรก ตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าตัวเองจะตายเสียแล้ว เป็นท่านนั่นเองที่ช่วยไปหาผ้าอนามัยมาให้ข้าจนเกือบจะถูกสาวใช้เข้าใจผิดว่าท่านมีงานอดิเรกอันพิสดารเสียแล้ว…”

“แค่กๆ ไม่ต้องพูดแล้ว” เมื่อพูดถึงเรื่องราวในอดีต ซือหม่าโยวหรานก็ขัดจังหวะคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์อย่างไม่เป็นธรรมชาติ

ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะ “เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเราสัญญากันเอาไว้ว่าจะเก็บเป็นความลับ ตลอดหลายปีนี้ข้าไม่เคยพูดกับใครเลย ตอนนี้ท่านเชื่อข้าแล้วหรือยังเล่า”

…………………

เพื่อเฝ้าดูซือหม่าเลี่ย คืนนั้นซือหม่าโยวเย่ว์จึงฝึกยุทธ์อยู่ภายในห้อง เธอย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่งมาไว้ข้างเตียง นั่งขัดสมาธิบนนั้นแล้วเริ่มฝึกฝนเคล็ดหลอมวิญญาณ

เช้าวันรุ่งขึ้น แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาภายในห้อง

ซือหม่าเลี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นแสงอาทิตย์สาดส่องบนร่างซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้สึกว่าดูระยิบระยับจับตา

ฝึกยุทธ์มาหนึ่งคืน ความเหน็ดเหนื่อยจากเมื่อคืนถูกขจัดออกไปเป็นปลิดทิ้ง ซือหม่าโยวเย่ว์ขย้อนไอเสียออกมาคำหนึ่งแล้วลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ

“ท่านปู่ ท่านฟื้นแล้วหรือ!” เห็นซือหม่าเลี่ยจ้องมองตน โยวเย่ว์ก็ตื่นเต้นยินดีจนแทบจะกระโดดพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้

ซือหม่าเลี่ยพยักหน้าพลางมองเธออย่างเมตตา เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของตนก่อนหน้านี้ จะต้องทำให้เธอตกใจแทบแย่อย่างแน่นอน

“โยวเย่ว์ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่”

“ข้าเจอท่านพี่สามท่านพี่สี่ตอนอยู่ในเทือกเขา พวกเขาบอกว่าท่านพักอยู่ที่นี่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ไอ้หยา ท่านฟื้นแล้ว ข้าไปเรียกพวกท่านพี่ก่อนนะ ท่านได้รับบาดเจ็บจนหมดสติไป ทำเอาพวกเขาตกใจแทบตายเลยทีเดียว”

พูดจบแล้วเธอก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็พาตัวซือหม่าโยวหรานและซือหม่าโยวเล่อกลับเข้ามา

“ท่านปู่ ท่านฟื้นแล้ว! รู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างหรือไม่”

ซือหม่าเลี่ยส่ายศีรษะเป็นเชิงว่าตนสบายดีทุกอย่าง

“เส่าหลิง ให้โรงเตี๊ยมต้มโจ๊กมาให้เป็นอาหารเช้าที” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดกับเส่าหลิงที่เดินเข้ามา จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าอาหารที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ปรุงอาจจะไม่ถูกปาก จากนั้นจึงแก้คำพูดว่า “ช่างเถิด ข้าทำเองดีกว่า ท่านพี่สาม พวกท่านดูแลท่านปู่อยู่ที่นี่นะ ข้าจะไปเตรียมอาหารเช้าก่อน”

เส่าหลิงยังไม่ทันได้ตอบสนอง ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เดินผ่านเขาออกไปเสียแล้ว

เขาคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะช่วยชีวิตซือหม่าเลี่ยได้จริงๆ เมื่อมองไปยังเจ้านายที่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็แดงก่ำ เขาเดินเข้ามาที่หน้าเตียงแล้วคุกเข่าลง “ท่านแม่ทัพขอรับ ข้าน้อยคุ้มกันท่านไม่ได้เรื่องเลย จนทำให้เกิดภัยใหญ่หลวงกับท่านแม่ทัพ ขอท่านแม่ทัพโปรดลงโทษด้วย”

“เส่าหลิง เจ้าลุกขึ้นเถิด เพราะข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าติดตามไปเอง ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้าเสียหน่อย” ถึงแม้ว่าซือหม่าเลี่ยจะฟื้นขึ้นมา แต่ก็ยังอ่อนล้าอยู่บ้าง พูดจาอย่างไม่มีเรี่ยวแรง

“เส่าหลิง เจ้าลุกขึ้นเถิด ท่านปู่ไม่มีทางตำหนิเจ้าหรอกน่า” ซือหม่าโยวหรานพูด

ซือหม่าโยวเล่อมาถึงข้างกายเส่าหลิงแล้วดึงเขาให้ลุกขึ้น หลังจากนั้นจึงพูดกับซือหม่าเลี่ยว่า “ท่านปู่ ท่านไม่รู้หรอกว่าสถานการณ์ของท่านในคราวนี้อันตรายเพียงใด หากมิใช่เพราะน้องห้าหาวิธีช่วยท่านได้ทันการณ์ พวกเราเกรงว่าตอนนี้…”

เขามิได้พูดจนจบประโยค แต่ทุกคนล้วนเข้าใจกันหมด

“โยวเย่ว์เป็นคนช่วยข้าอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าเลี่ยถามอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง

ซือหม่าโยวหรานพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ใช่ขอรับ ตอนที่พวกเรามาถึงโรงเตี๊ยมก็พบกับเส่าหลิงที่กำลังจะไปคืนห้องเข้าพอดี บอกว่าจะพาท่านกลับเมืองหลวงไปพบปรมาจารย์ศิลา แต่น้องห้าดูท่านอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่าหากไม่รักษาให้ทันเวลา ท่านก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งวัน หลังจากนั้นเขาก็ใช้เข็มจำนวนหนึ่งสะกดพิษเอาไว้ที่ทรวงอกของท่าน จึงถ่วงเวลาเอาไว้ได้อีกวันสองวัน”

“ถูกต้อง พวกเรายังได้เชิญท่านหมอจำนวนหนึ่งมาดูอาการด้วย แต่พวกเขาล้วนบอกว่าหมดหนทางทั้งสิ้น ต่อมาก็ยังเป็นน้องห้าที่หาวิธีช่วยท่านได้ในระยะเวลาอันสั้น หลังจากนั้นยังคอยเฝ้าดูท่านอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ เขาบอกว่าท่านน่าจะฟื้นขึ้นมาวันนี้ พอเช้าวันนี้ท่านก็ฟื้นขึ้นมาเลย”

“โยวเย่ว์ช่วยเหลือข้าอย่างไรหรือ” เมื่อได้ยินว่าหลานสาวคนโปรดเป็นผู้ช่วยเหลือตน ซือหม่าเลี่ยจึงอารมณ์ดีเป็นที่สุด

“พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาให้พวกเราออกไปกันหมดเลย” ซือหม่าโยวเล่อพูด

ซือหม่าเลี่ยนึกถึงผู้ที่ช่วยถอนพิษให้ซือหม่าโยวเย่ว์อยู่เบื้องหลัง หรือว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ช่วยชีวิตเขากันหนอ

จวบจนบัดนี้ซือหม่าเลี่ยยังคงรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีคนคอยช่วยเหลือเธออยู่เบื้องหลัง

เพราะว่าอ่อนแอเกินไป ซือหม่าเลี่ยจึงมิได้พูดอะไรมากมายนัก พวกซือหม่าโยวหรานก็เพียงแต่อยู่เป็นเพื่อนเขาข้างๆ กายเท่านั้น

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยกโจ๊กชามหนึ่งเข้ามาแล้วพูดกับพวกซือหม่าโยวหรานว่า “ท่านพี่สาม ท่านพี่สี่ ข้ายังเก็บโจ๊กจำนวนหนึ่งเอาไว้ที่ห้องครัวด้วย ข้าจะป้อนท่านปู่อยู่ที่นี่เอง พวกท่านไปกินอะไรกันสักหน่อยก่อนเถิด พวกท่านก็มิได้กินอะไรเข้าไปกันเป็นวันๆ แล้ว”

“ก็ได้” พวกซือหม่าโยวหรานเคยกินอาหารที่ซือหม่าโยวเย่ว์ทำมาหลายครั้งแล้ว ต่อมาจึงติดใจรสชาติอันโอชะเหล่านั้นกันหมด ไม่ได้กินอะไรมาหนึ่งวันเต็มทำให้หิวอยู่บ้างจริงๆ จากนั้นทุกคนจึงออกไปจนหมด ยกซือหม่าเลี่ยให้เธอเป็นผู้ดูแล

ซือหม่าโยวเย่ว์วางถาดอาหารลงบนโต๊ะ ก่อนจะไปที่ข้างเตียงแล้วพูดว่า “ท่านปู่ ข้าจะพยุงให้ท่านลุกขึ้นนั่งก่อนนะ”

ซือหม่าเลี่ยพยักหน้าก่อนจะขยับร่างกายเอนไปด้านหลังแล้วพิงบนหมอนที่เธอจัดวางเอาไว้แล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์ไปยกโจ๊กมาแล้วหยิบช้อนตักขึ้นมาคำหนึ่ง เธอเป่าโจ๊กก่อนจะป้อนให้ซือหม่าเลี่ย

“ท่านปู่ นี่คือโจ๊กยาที่ข้าใช้เครื่องยาจำนวนหนึ่งต้มขึ้นมา มีประโยชน์ต่อร่างกายที่กำลังฟื้นฟูอยู่ในตอนนี้ของท่านเป็นอย่างมากเลยล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ป้อนไปพลางพูดไปพลาง

ระดับพลังยุทธ์ของซือหม่าเลี่ยมีความต้องการอาหารเพียงน้อยนิดเท่านั้น ตลอดมาตอนอยู่ที่บ้านก็แค่กินข้าวเช้าเป็นเพื่อนซือหม่าโยวเย่ว์เท่านั้น เมื่อครู่ยังคิดว่านี่เป็นเพียงเพราะความเคยชินเท่านั้น คิดไม่ถึงว่านี่จะเป็นโจ๊กที่เธอต้มขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ

“อาหารที่โยวเย่ว์ทำอร่อยขึ้นทุกวันเลยนะ” โจ๊กที่ต้มหอมอร่อยลื่นคอ พอกินลงไปแล้วก็รู้สึกว่ากระแสความร้อนสายหนึ่งโคจรไปทั่วร่างกาย ขับไล่ความหนาวเหน็บในร่างกายไปจนหมดสิ้น พละกำลังในร่างกายก็ค่อยๆ กลับคืนมาแล้ว

“ถ้าหากท่านปู่ชอบ ต่อไปโยวเย่ว์จะทำให้ท่านกินบ่อยๆ เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม

“ฮ่าๆ ดี!” ซือหม่าเลี่ยได้ยินคำพูดอันอบอุ่นใจเช่นนี้แล้วก็นึกถึงคนที่เอาแต่ตามเกาะแกะบุรุษทั้งวันไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องในอดีตขึ้นมา ในใจเกิดความรู้สึกนับพันนับหมื่น

ว่ากันว่าบุตรสาวคือเสื้อกันหนาวที่ห่อหุ้มหัวใจให้อบอุ่น ตอนนี้หลานสาวผู้นี้ของเขาก็ทำให้หัวใจอบอุ่นได้แล้วเช่นกัน

ปู่กับหลานกินโจ๊กชามนั้นหมดเกลี้ยงภายใต้บรรยากาศอบอุ่นเช่นนี้ เมื่อหมดแล้วซือหม่าโยวเย่ว์จึงหยิบผ้าผืนหนึ่งออกมาเช็ดปากให้เขาด้วย ทำให้หัวใจของซือหม่าเลี่ยซาบซึ้งจนระส่ำระสายไปหมด

ซือหม่าโยวเย่ว์วางชามลงในถาดบนโต๊ะก่อนจะกลับมาแล้วพูดว่า “ท่านปู่รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง”

“อืม โจ๊กยาของเจ้านี่ให้ผลลัพธ์ไม่เลวเลยจริงๆ ตอนนี้ร่างกายข้าอบอุ่นไปหมดเลย” ซือหม่าเลี่ยพูด

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านปู่ ท่านได้รับบาดเจ็บได้อย่างไรหรือ”

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ตอนข้าออกไปได้พบกับศัตรูในอดีตเข้าน่ะ” ซือหม่าเลี่ยพูด

“ท่านปู่อย่ามาหลอกข้าเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “สัตว์ปีศาจไม่มีทางมาปรากฏตัวที่ดินแดนอี้หลินได้ ถ้าหากเป็นศัตรูธรรมดาทั่วไปแล้วท่านจะถูกหนูปีศาจหกนิ้วทำร้ายได้อย่างไร ทั้งยังเหลือไอมารทิ้งเอาไว้ในร่างกายอีกต่างหาก”

“เจ้าบอกว่านั่นคือสัตว์ปีศาจอย่างนั้นหรือ!” ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าโยวเย่ว์  สีหน้าตื่นตกใจนั้นไม่น้อยไปกว่าตอนที่เธอเพิ่งได้รู้เรื่องนี้เลย

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ดังนั้นข้าคาดว่าผู้ที่ทำร้ายท่านย่อมมิใช่คู่แค้นธรรมดาๆ แน่ นอกจากนี้พลังยุทธ์ของท่านปู่ ทั่วทั้งดินแดนนี้คงจะมีไม่กี่คนนักหรอกที่ทำร้ายท่านได้”

“ที่แท้เจ้าสัตว์ประหลาดที่ตะปบข้าทีหนึ่งในตอนท้ายสุดก็เป็นสัตว์ปีศาจนี่เอง” ซือหม่าเลี่ยพูดพึมพำ

“ท่านปู่ ท่านยังไม่ยอมบอกข้าอีกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้านี่… ตอนนี้ฉลาดกว่าในอดีตมากมายเลยจริงๆ” ซือหม่าเลี่ยพูด “เพียงแต่คนผู้นั้นน่าจะกลับไปแล้วน่ะสิ ดังนั้นจะว่าไป…”

“ท่านปู่ ในเมื่อเขาเป็นศัตรูที่ต้องการเอาชีวิตท่าน เกรงว่านี่คงจะมิใช่บุญคุณความแค้นธรรมดาทั่วไปแน่ ตอนนี้ถึงจะไปแล้วก็มิได้หมายความว่าในภายหน้าเขาจะไม่กลับมาอีก ถ้าหากต่อไปพบเขาเข้าอีกจะทำเช่นไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ขัดจังหวะคำพูดของซือหม่าเลี่ย ทำเอาเขาสะดุ้ง

ซือหม่าเลี่ยเงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวแล้วเอ่ยว่า “เฮ้อ…นี่คือบุญคุณความแค้นของครอบครัวเราน่ะสิ…”

……………………

หมัวซาพยักหน้าพลางมองดูรอยเท้าที่ประทับอยู่บนทรวงอกของซือหม่าเลี่ยแล้วส่งสัญญาณให้เธอนำยาวิเศษยอดราชันให้เขากิน หลังจากนั้นจึงถอนเข็มเงินบนร่างออก

ซือหม่าโยวเย่ว์ทำตาม เธอหยิบยาวิเศษยอดราชันเม็ดนั้นลงมาวางในปากซือหม่าเลี่ย หลังจากเห็นเขากลืนลงไปแล้วจึงถอนเข็มเงินออกมาตามลำดับ หลังจากนั้นจึงถอยมาอยู่อีกด้านหนึ่ง

หมัวซายื่่นมือขวาออกมาวางลงที่ด้านบนทรวงอกของซือหม่าเลี่ย ไอหมอกดำกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ห่อหุ้มมือเขาอย่างช้าๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์จ้องเขาเขม็ง ไม่รู้ว่าเขาจะขจัดไอมารภายในร่างกายซือหม่าเลี่ยออกไปอย่างไร

ทว่าหมัวซากลับดูผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง ไอมารภายในร่างกายซือหม่าเลี่ยขยับไหวขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งราวกับพบศัตรูตัวฉกาจ ขาไก่หกนิ้วนั้นคล้ายกับมีชีวิตขึ้นมาแล้วเริ่มต้นวิ่งวุ่นไม่หยุด

ซือหม่าโยวเย่ว์ตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า เดิมที่คิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงไอมารเรียบง่ายกลุ่มหนึ่งเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะยังมีชีวิตอีกด้วย

เมื่อเห็นกรงเล็บมารนั้นต่อต้าน หมัวซาก็ส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นเสียงหนึ่งแล้วเพิ่มพลังเข้าไป กรงเล็บมารนั้นก็ถอนตัวออกมาจากภายในร่างซือหม่าเลี่ยอย่างไม่ยินยอม

“จี๊ดๆ…”

ตอนที่กรงเล็บมารผละจากร่างซือหม่าเลี่ยนั้นยังส่งเสียงร้องแหลมราวกับหนูด้วย

“เจ้าหนูปีศาจหกนิ้วตัวกระจ้อยร่อย ยังหลงผิดคิดต่อกรกับข้าอีก!” ไอมารในมือหมัวซาคว้าจับกรงเล็บมารเอาไว้ด้วยแววตาที่ทำให้มันสั่นสะท้านไม่น้อย

หมัวซาออกแรงคราหนึ่ง กรงเล็บมารนั้นก็เปลี่ยนกลายเป็นไอหมอกดำจางๆ ถูกหมอกดำในอุ้งมือเขากลืนหายไปจนสิ้น

“นี่เสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นหมัวซาเก็บไอมารของตัวเองกลับมาแล้วจึงเอ่ยถามขึ้น

หมัวซาพยักหน้าก่อนจะหายตัวกลับเข้าไปในมณีวิญญาณ

ซือหม่าโยวเย่ว์หันมาจับชีพจรให้ซือหม่าเลี่ย สัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาถูกไอมารกัดกร่อนไปมากพอดู ถ้าหากขจัดไอมารออกไปเฉยๆ พลังยุทธ์ของเขาจะต้องหายไปไม่น้อยอย่างแน่นอน

ทว่าตอนนี้ยาวิเศษยอดราชันกำลังค่อยๆ ฟื้นฟูชิ้นส่วนร่างกายที่ถูกกัดกร่อนของเขาทีละน้อย เมื่อเขาฟื้นขึ้นมา พลังยุทธ์จะต้องไม่เสียหายอย่างแน่นอน

พอแน่ใจว่าซือหม่าเลี่ยไม่เป็นไรแล้ว หัวใจที่ลอยคว้างของซือหม่าโยวเย่ว์จึวค่อยคลายลง เธอไปยังช่องประตูแล้วผ่อนลมหายใจ ก่อนจะเปิดประตูแล้วอมยิ้มมองซือหม่าโยวหรานและคนอื่นๆ ที่รอคอยอยู่ข้างนอกอย่างกระวนกระวาย

“ท่านพี่สาม ท่านพี่สี่ เสร็จแล้วล่ะ”

ซือหม่าโยวเล่อกำลังเดินกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวาย พอเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจึงพุ่งตัวขึ้นไปข้างหน้าแล้วคว้าไหล่ทั้งสองของเธอไว้พลางถามว่า ”น้องห้า ท่านปู่หายแล้วหรือ”

“โชคดีที่รักษาชีวิตเอาไว้ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปพร้อมรอยยิ้ม ซือหม่าโยวหรานและซือหม่าโยวเล่อรีบรุดเข้ามา เมื่อเห็นว่าไอดำทะมึนบนร่างซือหม่าเลี่ยหายลับไปแล้วจึงค่อยวางใจลง

“น้องห้า คราวนี้ขอบใจเจ้ามากนะ” ซือหม่าโยวเล่อพูดพลางตบบ่าซือหม่าโยวเย่ว์

“ข้าก็แค่บังเอิญเห็นในตำราโบราณเท่านั้น” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร คราวนี้ล้วนเป็นผลงานของเจ้าทั้งสิ้น” ซือหม่าโยวหรานพูด “ท่านปู่จะฟื้นขึ้นมาเมื่อใดหรือ”

“ร่างกายท่านปู่ถูกสัตว์ปีศาจนั่นทำร้าย ตอนนี้กำลังฟื้นฟูร่างกายอยู่ พรุ่งนี้น่าจะฟื้นขึ้นมาแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“สัตว์ปีศาจหรือ” ซือหม่าโยวหรานขมวดคิ้ว ที่นี่มีสัตว์ปีศาจปรากฏตัวขึ้นมาได้อย่างไรกัน

“อืม เท่าที่ข้ารู้ สัตว์ปีศาจล้วนอยู่ที่ภพมารทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าท่านปู่ไปพบเจอสัตว์ปีศาจได้อย่างไร ทั้งยังถูกทำร้ายมาอีกด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ทั้งหมดนี้ต้องรอให้ท่านปู่ฟื้นขึ้นมาก่อนค่อยถามแล้วล่ะ”

“อืม รอให้ท่านปู่ฟื้นขึ้นมาก่อนค่อยถามเขาแล้วกัน” ซือหม่าโยวหรานพยักหน้า

“ท่านพี่สาม ท่านพี่สี่ พวกท่านดูแลท่านปู่มาหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว ไปพักผ่อนสักหน่อยเถิด เรื่องที่นี่ยกให้ข้าจัดการเอง”

“อืม เจ้าดูแลท่านปู่ให้ดีๆ ล่ะ” กระวนกระวายและวิตกกังวลมาทั้งวัน ทำให้ซือหม่าโยวเล่อเองก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้างจริงๆ

“พวกเราอยู่ห้องข้างๆ นะ หากท่านปู่ฟื้นแล้วต้องบอกให้พวกเรารู้ด้วยล่ะ” ซือหม่าโยวหรานเอ่ยกำชับ

“อืม วางใจเถิด ข้าจะบอกพวกท่านแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงข้างเตียงซือหม่าเลี่ยพลางโบกมือให้คนทั้งสอง

ซือหม่าโยวเล่อออกไปก่อน ซือหม่าโยวหรานเดินอยู่ด้านหลัง เขามองเข้าไปแวบหนึ่งขณะปิดประตู ก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์นั่งมองซือหม่าเลี่ยอยู่ข้างเตียงแล้วสวมเสื้อผ้าให้เขาอย่างระมัดระวัง มุมปากจึงยกเป็นรอยยิ้มน้อยๆ

รอจนเหลือเธออยู่เพียงคนเดียวในห้อง เธอจึงติดต่อกับหมัวซาซึ่งอยู่ภายในมณีวิญญาณ

“หมัวซา เจ้าหนูปีศาจหกนิ้วนั่นคือสัตว์ปีศาจอะไรหรือ”

“ก็แค่สัตว์อสูรปีศาจระดับต่ำสุดของภพมารเท่านั้นเอง” หมัวซาตอบเรียบเรื่อย

“ในเมื่อเป็นสัตว์ปีศาจแล้วเหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่อาณาจักรตงเฉินได้เล่า”

“เรื่องนี้ก็ออกจะแปลกประหลาดอยู่จริงๆ นั่นแหละ” หมัวซาครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ตามปกติแล้วสัตว์ปีศาจจะดำรงชีวิตอยู่ที่ภพมาร ว่ากันตามจริงแล้วก็คือถูกกักขังอยู่ในภพมาร ตอนนี้มาปรากฏตัวที่นี่ก็พูดได้ว่าสัตว์ปีศาจหาทางออกพบแล้ว จนมาถึงที่นี่ได้”

“ถ้าหากคนของเผ่ามารจำนวนมากเข้ามาแล้วจะทำอย่างไรดี” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงว่าแค่หนูปีศาจหกนิ้วระดับต่ำสุดเพียงตัวเดียวยังทำให้ซือหม่าเลี่ยเป็นเช่นนี้ได้ ถ้าหากเผ่ามารกลุ่มใหญ่เข้ามาที่นี่แล้วผลลัพธ์คงจะมิอาจจินตนาการได้ สิ่งมีชีวิตทั่วทั้งแผ่นดินอาจจะสูญสิ้นไปหมดก็เป็นได้!

“เจ้าวางใจเถิด เรื่องที่เจ้าคิดไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก อย่างน้อยก็คงไม่เกิดเร็วๆ นี้แน่” หมัวซารับรู้ความคิดของซือหม่าโยวเย่ว์ได้จึงพูดพร้อมรอยยิ้มเย็น

“เพราะเหตุใดเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“เมื่อครู่ข้าพูดไปแล้วมิใช่หรือ เผ่ามารถูกกักขังเอาไว้ในภพมาร ในเมื่อถูกกักขังแล้วจะปล่อยเผ่ามารกลุ่มใหญ่หลุดออกไปได้อย่างไรกัน ต่อให้มีทางเข้า เผ่ามารก็ไม่มีทางเลือกมาที่ดินแดนอี้หลินหรอก”

“เหตุใดจึงไม่มา”

“เพราะวิถีสวรรค์” หมัวซาพูด

เป็นเพราะวิถีสวรรค์อีกแล้ว!

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินคำนี้เป็นครั้งที่สองแล้วแต่ยังคงไม่รู้ว่าวิถีสวรรค์คือสิ่งใด

“ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายศีรษะ

“พูดเช่นนี้แล้วกัน” หมัวซาพูด “เพราะระดับขั้นของดินแดนอี้หลินต่ำเกินไป พลังยุทธ์อ่อนแอเกินไป เพื่อความสมดุลของโลก สิ่งที่มองไม่เห็นสิ่งหนึ่งจะปรากฏขึ้น สิ่งนั้นทำหน้าที่ควบคุมสถานที่ระดับสูง ทำให้มิอาจมาอาละวาดที่นี่ได้ วิถีสวรรค์จะควบคุมพลังยุทธ์ของพวกเขาตามธรรมชาติ ทำให้พวกเขาแสดงออกได้เพียงพลังยุทธ์ระดับสูงสุดของที่นี่เท่านั้น”

“อย่างเช่นคนระดับเทพคนหนึ่ง พอมาถึงที่นี่แล้วก็จะแสดงออกได้เพียงแค่พลังยุทธ์ระดับจ้าววิญญาณเท่านั้น ถูกต้องหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ถูกต้อง” หมัวซาพูด “เพราะความอ่อนแอ ดังนั้นจึงมีวิถีสวรรค์คอยคุ้มครอง ส่วนกำแพงกั้นของภพมารที่มายังดินแดนอี้หลินนั้นหนาที่สุด เจ้าพวกนั้นเลือกมาที่นี่เพราะมิอาจปล่อยสถานที่ที่อ่อนแอไปได้ ต่อให้มาแล้วก็ไม่ได้ทรัพยากรดีๆ แต่อย่างใด พวกเขามิอาจเสียเวลาเปล่าได้”

ถึงแม้จะไม่สบายใจเพราะถูกบอกว่าเป็นสถานที่ที่อ่อนแอที่สุด แต่เมื่อได้ฟังเช่นนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่ต้องกังวลว่าเผ่ามารจะมาทำร้ายคนในครอบครัวของเธอที่นี่แล้ว

“นอกจากนี้อันที่จริงแล้วเผ่ามารก็มิได้ร้ายกาจอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ” หมัวซาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

“ท่านปู่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชันวิญญาณแต่กลับสู้สัตว์อสูรปีศาจธรรมดาๆ ตนหนึ่งของภพมารมิได้เลย ยังไม่นับว่าร้ายกาจอีกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เชื่อ

“เจ้าหนูปีศาจหกนิ้วตนนี้มีความพิเศษในตัวมันเอง นอกจากนี้ท่านปู่ของเจ้าคงจะถูกลอบโจมตีจึงถูกมันทำร้ายเอาได้ สำหรับไอมารก็เป็นเพียงแค่การตอบโต้กับธาตุแสงสว่างของพวกเจ้าเท่านั้น ถ้าหากเผชิญกับสัตว์อสูรปีศาจตนอื่นๆ ก็มิใช่ว่าท่านปู่ของเจ้าจะตอบโต้ไม่ได้หรอก”

ท่านปู่ถูกลอบทำร้ายหรือ ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าเลี่ย ที่แท้แล้วเมื่อวานนี้เขาพบเจออะไรกันแน่ ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ยังไม่พอ ยังจะถูกสัตว์ปีศาจลอบโจมตีอีก ในเมื่อคนของภพมารมายังโลกแห่งนี้ไม่ได้ เช่นนั้นผู้ที่มีหนูปีศาจหกนิ้วอยู่ยังจะเป็นใครได้อีก เหตุใดเขาจึงต้องทำร้ายท่านปู่ด้วย

“ท่านปู่ ท่านรีบฟื้นขึ้นมาเร็วเข้าเถิด…”

…………………

ซือหม่าโยวเย่ว์รับยาวิเศษมาแล้วมองดูยาลูกกลอนสีดำขลับในมือ คิดไม่ถึงว่ายาวิเศษพลังวิญญาณที่หมัวซาหลอมขึ้นมาส่งๆ ล้วนเป็นขั้นสามทั้งสิ้น เช่นนั้นที่แท้แล้วระดับทักษะการหลอมยาของเขาสูงส่งเพียงใดกันแน่

“ในเมื่อท่านเองก็หลอมยาวิเศษได้ เพราะเหตุใดจึงต้องให้ข้าช่วยท่านหลอมยาด้วยเล่า” เมื่อนึกถึงที่เขาบอกว่าต้องการให้เธอช่วยหลอมยาวิเศษ ในใจซือหม่าโยวเย่ว์จึงเกิดความสงสัยไม่น้อย

“ถึงอย่างไรข้าก็เป็นร่างวิญญาณ ยังพอทนรับการหลอมยาวิเศษขั้นต่ำพรรค์นี้ได้ ถ้าหากหลอมยาระดับสูงๆ ข้าย่อมมีไอมารไม่พอสำหรับการผนึกยาหรอก”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” เธอเก็บยาวิเศษลงไปแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยว่า “พวกเราเริ่มกันเถิด”

หมัวซาไม่รู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์กำลังคิดอะไรอยู่ จึงเดินนำเธอไปยังห้องหลอมยา

เจ้าวิญญาณน้อยรออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว รู้ว่าตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังเป็นกังวล มันจึงมองเธอปราดหนึ่งโดยไม่พูดอะไร

“ข้าจะเริ่มต้นเดี๋ยวนี้ พอข้าบอกให้เริ่ม เจ้าก็เริ่มใส่พลังวิญญาณเข้าไปข้างในเลยนะ หากข้าไม่บอกให้หยุด เจ้าก็ห้ามหยุด มิฉะนั้นคงจบเห่แน่ ตอนที่พลังวิญญาณไม่พอก็ใช้ยาวิเศษช่วย” หมัวซาเอ่ยแนะนำอย่างหาได้ยากยิ่ง

“อืม” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วเบนสายตามายังเตาหลอมยา

คราวนี้ถึงแม้จะบอกว่าหลอมยาวิเศษให้ท่านปู่ แต่ก็เป็นโอกาสในการเรียนรู้ด้วย ยิ่งดูผู้อื่นหลอมยามาก ก็จะสะท้อนข้อบกพร่องของตัวเอง ช่วยในการพัฒนาได้

คล้ายว่าหมัวซาเองก็มีความคิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงพยายามชะลอความเร็วอย่างที่สุดระหว่างกระบวนการหลอมยา ให้ซือหม่าโยวเย่ว์ดูแล้วเข้าใจได้ แต่ด้วยเหตุนี้เดิมทีต้องใช้เวลาเพียงแค่สามสี่ชั่วโมงเท่านั้น จึงเนิ่นช้าไปอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง

“เริ่มได้” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็คาดการณ์เอาไว้ว่าใกล้จะต้องผนึกยาแล้ว ดังนั้นจึงได้เตรียมตัวเอาไว้ก่อนแล้ว พอตอนที่หมัวซาบอกให้เริ่ม เธอจึงรวบรวมพลังวิญญาณออกมาแล้วใส่เข้าไปในเตาหลอมยา

เพื่อให้ยาวิเศษมีพลังวิญญาณเจืออยู่ด้วย เธอจึงจำเป็นต้องใส่พลังวิญญาณเข้าไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเพียงไม่นานเธอก็รู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณในร่างกายไม่เพียงพอเสียแล้ว

ในขณะที่พลังวิญญาณใกล้จะเหือดหายแล้วนั้นเอง เธอก็หยิบยาวิเศษที่หมัวซาหลอมเอาไว้มากิน ยาวิเศษออกฤทธิ์ภายในร่างกายเธออย่างรวดเร็ว เธอรู้สึกว่าพลังวิญญาณที่ว่างโหวงกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง ไม่แน่ว่าพลังภายในยาวิเศษนี้อาจยังดูดซับเข้ามาจากในอากาศอีกด้วย

เดิมทีหมัวซายังเป็นกังวลว่าซือหม่าโยวเย่ว์อาจยังไม่คุ้นชินจนทำให้การใส่พลังวิญญาณขาดตอน แต่เมื่อเห็นเธอใส่พลังเข้ามาด้วยความเร็วคงที่จึงมองเธอด้วยสายตาชื่นชม

เธอกินยาวิเศษลงไปทั้งหมดสองเม็ดแล้วทำต่อไปอีกราวๆ สิบนาที หมัวซาจึงตะโกนให้หยุด ซือหม่าโยวเย่ว์รีบเก็บมือของตัวเองกลับมา  จากนั้นก็ทิ้งตัวลงไปบนพื้นอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง

หมัวซาหลอมยาต่อไปอีกครู่หนึ่ง รอจนหลอมยาวิเศษเสร็จสมบูรณ์แล้วจึงดับไฟแล้วเก็บเม็ดยามา

ยาวิเศษสีเหลืองทองเม็ดหนึ่งปรากฏสู่สายตาของซือหม่าโยวเย่ว์ สีทองอร่ามตานั้นเป็นสีที่คล้ายจะทำให้เธอมองเห็นความหวัง

“เจ้าพักผ่อนฟื้นฟูพลังวิญญาณในร่างกายที่นี่สักครู่หนึ่งก่อนเถิด” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญ ตอนนี้พลังวิญญาณในร่างกายของเธอจวนเจียนจะหมดสิ้นแล้ว พลังวิญญาณที่ดูดซับเข้ามาจากอากาศเข้ามาเติมเต็มภายในร่างกายอย่างรวดเร็ว

เธอรู้สึกว่าพลังวิญญาณในร่างกายถูกเติมเต็มอีกครั้ง ความรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังกลับมาอีกครา

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณเหล่านั้นดูคล้ายจะไม่เสถียรอยู่บ้าง พลังวิญญาณภายนอกยังคงทะลุเข้ามาภายในร่างกายไม่หยุด

“ความรู้สึกเช่นนี้… กำลังจะเลื่อนระดับแล้วอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยพึมพำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ลองทดสอบดูดีกว่าว่าจะเลื่อนไปยังระดับหกได้หรือไม่”

ในขณะที่เธอเตรียมจะวางมืออยู่นั้นเอง เจ้าวิญญาณน้อยก็ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องหลอมยา ขัดจังหวะการบำเพ็ญของเธอ

“มีอะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าวิญญาณน้อยพลางเอ่ยถาม

“ข้าจะบอกให้เจ้าอย่าได้สิ้นเปลืองเวลาและพลังจิตเลย” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “เจ้ามิอาจเลื่อนระดับภายในมณีวิญญาณได้หรอก ไม่ว่าเจ้าจะดูดซับพลังวิญญาณไปมากมายเพียงใด ก็ได้แต่กักตุนเอาไว้ในร่างกายเท่านั้นแหละ”

“มิอาจเลื่อนระดับได้อย่างนั้นหรือ เพราะเหตุใดเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจ

“เพราะที่นี่ไม่มีวิถีสวรรค์” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“วิถีสวรรค์…คือสิ่งใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามต่อไป

“ข้าเองก็บอกมิได้เช่นกันว่าคือสิ่งใด เจ้าสัมผัสเอาเองแล้วกัน” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ที่นี่ไม่สามารถเลื่อนระดับได้ มิสู้เจ้าออกไปข้างนอก ไม่แน่ว่าอาจสำเร็จก็เป็นได้”

เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของซือหม่าเลี่ย เธอก็รู้สึกว่ามิอาจเนิ่นช้าอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว จึงลุกขึ้นไปหาหมัวซา แต่พอเปิดประตูกลับเห็นเขากำลังยืนเอามือไพล่หลังมองดูทิวทัศน์ไกลออกไปอยู่นอกประตู

“เสร็จแล้วหรือ” หมัวซาหันมาถาม

“อืม พวกเราไปกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

หมัวซาพยักหน้า ซือหม่าโยวเย่ว์ออกนำไปก่อนแล้ว

ภายในห้องของซือหม่าเลี่ย ซือหม่าโยวหรานและซือหม่าโยวเล่อมองซือหม่าเลี่ยอย่างเป็นกังวล

“พี่สาม ท่านหมอกับนักหลอมยาที่เชิญมาล้วนบอกว่าไร้หนทางกันทั้งสิ้น ท่านว่าน้องห้าจะมีวิธีอะไรมาช่วยท่านปู่หรือ” ซือหม่าโยวเล่อพูด

ซือหม่าโยวหรานนึกถึงแผ่นหลังของซือหม่าโยวเย่ว์ยามจากไปพลางเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ตอนนี้พวกเราก็ได้แต่หวังว่าเขาจะคิดหาวิธีอันใดได้แล้วเท่านั้น หวังว่าเขาจะมีวิธีจริงๆ นะ…”

ซือหม่าโยวเล่อรู้สึกว่าซือหม่าโยวหรานพูดคำนี้อย่างแปลกพิกล แต่แปลกตรงไหนนั้นก็บอกไม่ถูกเช่นกัน

เส่าหลิงเคาะประตูสองครั้ง จากนั้นจึงผลักประตูเข้ามาพูดกับคนทั้งสองว่า “คุณชายสาม คุณชายสี่ ดูเหมือนว่าคุณชายห้าจะไม่อยู่ในห้องนะขอรับ”

“น้องห้าไม่อยู่ในห้องอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเล่อพูดอย่างไม่เชื่อ “หากเขาไม่อยู่ในห้องแล้วจะไปไหนได้เล่า”

“ข้าน้อยไปเคาะประตูห้องคุณชายห้า แต่คล้ายว่าในนั้นจะไม่มีเสียงอันใดเลยขอรับ” เส่าหลิงพูด

“น้องห้ากลับไปได้เกือบวันหนึ่งแล้ว ตอนนี้ท่านปู่เหลือเวลาอีกเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น แล้วเขาจะไปไหนในเวลาเช่นนี้ได้เล่า” ซือหม่าโยวเล่อพูดอย่างกังวลใจ

“ข้าออกไปหาของมาน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูในทันใด ทำให้ทั้งสามคนตกใจจนสะดุ้ง

“น้องห้า เจ้าคิดวิธีช่วยท่านปู่ออกหรือยัง” ซือหม่าโยวหรานถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “คิดออกแล้ว แต่ข้าต้องการความเงียบสงบ พวกท่านช่วยออกไปสักครู่หนึ่งได้หรือไม่”

ซือหม่าโยวเล่อและซือหม่าโยวหรานประสานสายตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์คิดจะทำเช่นไร

“วางใจได้เลย ข้าจะต้องช่วยท่านปู่กลับมาได้อย่างแน่นอน” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยรับรอง “ข้าไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับท่านปู่แน่”

ซือหม่าโยวหรานยืดกายลุกขึ้นมายังข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ คิดจะลูบหัวเธอ แต่ยื่นมือมาถึงกลางทางแล้วก็ปล่อยทิ้งไปก่อนจะเอ่ยว่า “พวกเราจะไปรอเจ้าข้างนอกแล้วกัน”

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า เธอเห็นแววตาของซือหม่าโยวหรานแปลกพิกลอยู่บ้าง ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความกระจ่างแจ้ง ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าเขาค้นพบตัวตนของเธอแล้วใช่หรือไม่

“น้องห้า ฝากท่านปู่ไว้กับเจ้าด้วยนะ!” ซือหม่าโยวเล่อและซือหม่าโยวหรานออกไปพร้อมกัน

ซือหม่าโยวเย่ว์หันไปปิดประตู พลางมองคนหลายคนที่เฝ้ายามอยู่นอกประตูแล้วเอ่ยว่า “วางใจเถิด ท่านปู่รักใคร่ทะนุถนอมข้าถึงเพียงนี้ ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าจะตอบแทนเขาแล้ว”

พูดจบเธอก็ปิดประตูลง

ซือหม่าโยวเล่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของซือหม่าโยวเย่ว์จึงพูดพึมพำว่า “น้องห้าโตแล้วจริงๆ ด้วย!”

ซือหม่าโยวหรานมองดูประตูห้องที่ปิดสนิทโดยมิได้แสดงความคิดเห็นอันใดต่อคำพูดของซือหม่าโยวเล่อ

โตแล้วจริงๆ น่ะหรือ หรือจะพูดว่าเปลี่ยนคนไปแล้วดี…

ภายในห้อง ซือหม่าโยวเย่ว์มาที่ข้างเตียงของซือหม่าเลี่ย ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง หมัวซาก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ เธอ

เพราะนอกห้องมีคนอยู่ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงมิอาจเอ่ยคำพูดได้ จึงติดต่อกับหมัวซาผ่านสายสัมพันธ์แห่งพันธสัญญา

“หมัวซา เริ่มกันเถิด…”

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ข้ายังคิดวิธีไม่ออกเลย ทำได้เพียงควบคุมพิษในร่างกายท่านปู่เอาไว้ระยะหนึ่งเท่านั้น”

“นานเท่าใดหรือ”

“สองวัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเราจะต้องคิดหาวิธีถอนพิษให้ได้ภายในสองวัน มิฉะนั้นหากเลยสองวันไปแล้วผลลัพธ์ก็จะเป็นเช่นเดียวกัน”

“เอาล่ะ เจ้าควบคุมพิษให้ท่านปู่ก่อนแล้วกัน” ซือหม่าโยวเล่อพูดอย่างกระวนกระวาย

“ถอดเสื้อนอกของท่านปู่ออกสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าไปทางสองคนนั้นแล้วเอ่ยขึ้น

เส่าหลิงเข้ามาพอดี เธอจึงออกคำสั่งว่า “ไปสั่งเสี่ยวเอ้อร์ให้ยกสุราขาวขึ้นมากาหนึ่ง พร้อมกับผ้าฝ้ายด้วย”

เส่าหลิงเห็นซือหม่าโยวเล่อกำลังถอดเสื้อผ้าซือหม่าเลี่ย ไม่รู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์กำลังจะทำอะไร แต่ก็ยังให้ทหารยามหน้าประตูไปทำตามที่ซือหม่าโยวเย่ว์สั่งในทันที

เพียงไม่นาน สุราขาวและผ้าฝ้ายผืนใหม่ก็ถูกยกเข้ามา ซือหม่าโยวเล่อก็ถอดเสื้อนอกของซือหม่าเลี่ยออกเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

เส่าหลิงรับกาสุราขาวมาก่อนจะส่งสัญญาณให้ทหารยามผู้นั้นออกไปแล้วปิดประตู

“คุณชายห้า สุราขาวมาแล้วขอรับ” เส่าหลิงยกกาสุราเดินเข้าไป

ซือหม่าโยวเย่ว์รับเอาผ้าฝ้ายมาแล้วให้เส่าหลิงเปิดกาสุรา หลังจากนั้นจึงยกกาสุราเทใส่ผ้าฝ้าย เมื่อผ้าฝ้ายชุ่มสุราขาวจนทั่วแล้ว เธอจึงหยิบผ้าฝ้ายมาเช็ดทั่วร่างกายท่อนบนของซือหม่าเลี่ยรอบหนึ่ง

เธอเช็ดอยู่เช่นนี้สามรอบแล้วจึงโยนผ้าฝ้ายไปทางหนึ่ง ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง หีบอันประณีตใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน

เธอเปิดหีบออกแล้วหยิบเข็มเงินข้างในออกมาปักลงบนร่างของซือหม่าเลี่ยอย่างรวดเร็ว ตามด้วยเล่มที่สอง เล่มที่สาม…

พวกซือหม่าโยวเล่อมองดูซือหม่าโยวเย่ว์ปักเข็มเงินลงทั่วร่างซือหม่าเลี่ย แต่ละคนต่างสงสัยไม่น้อย ไม่รู้ว่าเข็มเหล่านี้มีประโยชน์เช่นไร

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ซือหม่าโยวเย่ว์ก็มีเหงื่อชุ่มเต็มหน้าผาก เมื่อปักเข็มเล่มสุดท้ายลงไปเรียบร้อยแล้วเธอจึงผ่อนลมหายใจออกทางปาก

“น้องห้า เสร็จแล้วหรือ” ซือหม่าโยวหรานสัมผัสความผ่อนคลายของซือหม่าโยวเย่ว์ได้จึงเอ่ยปากถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วเอ่ยว่า ”อืม ตอนนี้ควบคุมเอาไว้ได้ชั่วคราวแล้วล่ะ”

ทุกย่างก้าวของซือหม่าโยวเย่ว์จะต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง มิอาจให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้แม้แต่น้อย นี่ทำให้เธอกดดันเป็นอย่างยิ่ง ยังดีที่ฝังเข็มสำเร็จในท้ายที่สุด จึงควบคุมพิษเอาไว้ที่ทรวงอกของซือหม่าเลี่ยได้

“ไอทะมึนบนใบหน้าท่านปู่หายไปแล้ว!” ซือหม่าโยวเล่อมองใบหน้าซือหม่าเลี่ยพลางพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นยินดี

ซือหม่าโยวหรานและเส่าหลิงมองตาม ก็พบว่าไอทะมึนบนใบหน้าเขาหายไป กลับมามีสีหน้าปกติแล้ว แต่ยังซีดเผือดอยู่เล็กน้อยเพราะอาการบาดเจ็บ

“น้องห้า เจ้าทำสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวหรานถาม

“ข้าใช้เข็มเงินผนึกจุดฝังเข็มของท่านปู่เอาไว้น่ะ”

“จุดฝังเข็มคือสิ่งใดหรือ” ซือหม่าโยวเล่อขมวดคิ้วถาม “ยังมีอีก น้องห้า เจ้ารู้วิชาแพทย์ตั้งแต่เมื่อใดกัน”

“ข้ารู้มาตลอดนั่นแหละ เพียงแต่ท่านไม่ทราบเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านปู่ยังขยับไม่ได้ชั่วคราว พวกท่านคอยดูแลเขาอยู่ที่นี่ก่อนนะ ข้าจะกลับห้องไปพักผ่อนสักหน่อย ลองดูว่าจะคิดวิธีอะไรออกมาได้หรือไม่

“อืม เจ้าไปพักผ่อนเถิด” ซือหม่าโยวเล่อพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บเข็มเงินที่เหลือกลับเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุ หลังจากนั้นจึงหมุนกายออกไป

ซือหม่าโยวหรานมองเงาหลังของเธอ นัยน์ตามีแววสงสัยวาบผ่าน

ซือหม่าโยวเย่ว์มาที่ห้องข้างๆ มิได้สนใจว่าก่อนหน้านี้จะเป็นของใคร แต่ตอนนี้กลายเป็นของเธอแล้ว เธอลงกลอนประตูจากด้านใน หลังจากนั้นจึงหายตัวเข้าไปในมณีวิญญาณ เธออยากลองดูสักหน่อยว่าที่นี่จะมีวิชาแพทย์ที่พอจะช่วยเหลือเธอได้อยู่บ้างหรือไม่ แต่คิดไม่ถึงว่าพอเธอเข้าไปแล้วจะพบกับหมัวซา

“หมัวซา ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน ท่านมิได้อยู่ข้างๆ ต้นผลอสรพิษทองคำหรอกหรือ”

“ไอดำทะมึนบนทรวงอกของท่านปู่เจ้ามีรูปร่างหน้าตาเช่นไร” หมัวซาถามตรงๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าหมัวซาเข้าออกมณีวิญญาณได้อย่างอิสระ จึงทายถูกว่าเขาล่วงรู้เรื่องราวของโลกภายนอกได้ ดังนั้นจึงไม่ประหลาดใจที่เขารู้สถานการณ์ของซือหม่าเลี่ยเลย

เธอคิดไปคิดมาแล้วเอ่ยว่า “เหมือนรอยขาไก่ แต่มีหกนิ้วน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“หกนิ้วหรือ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” หมัวซาพูดพึมพำ

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นปฏิกิริยาของหมัวซาจึงเอ่ยถามว่า “ท่านรู้หรือ”

“นั่นมิใช่พิษแต่อย่างใด เป็นไอมารต่างหากเล่า” หมัวซาพูด

“อะไรนะ ไอมารหรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์เบิกตากว้าง “ท่านมิได้บอกว่าคนของเผ่ามารอยู่ที่ภพมารกันหมดหรอกหรือ แล้วจะมีไอมารบนร่างท่านปู่ได้อย่างไรเล่า”

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน ข้ามิได้กลับไปตั้งหลายปีแล้วนะ” หมัวซาพูด “บนร่างท่านปู่เจ้ามีไอมารได้อย่างไร เจ้ารอเขาฟื้นขึ้นมาแล้วถามเขาก็สิ้นเรื่องแล้วนี่”

“ในเมื่อเป็นไอมาร ท่านมีวิธีช่วยเหลือท่านปู่ข้าหรือไม่เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซาอย่างเปี่ยมความหวัง

หมัวซาไม่เคยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มองตนด้วยสายตาเช่นนี้มาก่อนเลย ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นข่มขู่เขา ขอบคุณเขา หรือเมินเฉยใส่เขา แววตาของเธอล้วนแฝงความห่างเหินจางๆ เอาไว้ทั้งสิ้น แต่ตอนนี้เขากลับมองเห็นความไว้เนื้อเชื่อใจสายหนึ่งในแววตาของเธอ สิ่งนี้ทำให้ในใจของเขาผู้ไม่เคยสัมผัสความไว้เนื้อเชื่อใจมาก่อนเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา

“เป็นอย่างไรบ้าง สรุปแล้วมีวิธีหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นหมัวซาไม่พูดไม่จาจึงเอ่ยกระตุ้น

หมัวซาเก็บงำความรู้สึกแปลกประหลาดในใจตนแล้วพูดว่า “วิธีน่ะมีอยู่หรอก ทั้งยังง่ายดายอย่างยิ่งอีกด้วย แต่หลังจากขจัดไอมารไปแล้วร่างกายของท่านปู่เจ้าอาจได้รับความเสียหายได้”

“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ขอเพียงแค่เจ้ามียาวิเศษยอดราชันสักเม็ดหนึ่งก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะ” หมัวซาพูด

“ยาวิเศษยอดราชันหรือ นั่นมันยาวิเศษอันใด ขั้นใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ยาวิเศษที่ช่วยให้คนฟื้นฟูร่างกาย ขั้นสี่” หมัวซาพูด

“ขั้นสี่หรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังก็อึ้งไปเสียแล้ว ตอนนี้จะให้เธอไปหายาวิเศษยอดราชันขั้นสี่มาจากไหนเล่า “ถ้าหากไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นก็ยื้อชีวิตท่านปู่เอาไว้ก่อนแล้วค่อยคิดหาวิธีฟื้นฟูพลังยุทธ์ในภายหลังก็ได้”

“ข้าดูเรียบร้อยแล้ว ภายในมณีวิญญาณมีเครื่องยาของยาวิเศษยอดราชันอยู่” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วกะพริบตาปริบๆ “ใช่แล้ว ท่านหลอมยาได้นี่นา ท่านช่วยข้าหลอมยาวิเศษยอดราชันสักเม็ดหนึ่งดีหรือไม่”

“อยากให้ข้าลงมือก็ย่อมได้ แต่เจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่งนะ” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์สะดุ้ง จากนั้นสีหน้าก็เข้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ถ้าหากท่านช่วยท่านปู่ข้าได้ ข้ารับปากท่าน รอให้ถึงเวลาที่ข้าตัดสายสัมพันธ์แห่งพันธสัญญาได้ ข้าจะตัดสายสัมพันธ์แห่งพันธสัญญาให้”

หมัวซาคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะล่วงรู้ความคิดของเขา จากนั้นจึงนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสอง เธอจะรู้ก็มิใช่เรื่องแปลกเลย

แต่เขาก็มิได้รู้สึกไม่ดี ด้วยสถานะของเขาแล้ว จะผูกพันธะกับมนุษย์คนหนึ่งไปชั่วชีวิตได้อย่างไรกัน!

“ในเมื่อเจ้ารู้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้ข้าพูดแล้ว ข้าหลอมยาวิเศษยอดราชันได้ แต่สุดท้ายยังต้องให้เจ้ามาใส่พลังวิญญาณเข้าไปด้วย มิฉะนั้นไม่ต้องใช้ไอมารหรอก แค่ยาวิเศษนั่นก็เอาชีวิตเขาได้แล้ว” หมัวซาพูด

“ข้ารู้ เช่นนั้นพวกเราจะเริ่มกันเมื่อไหร่ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“รอให้เจ้าพักผ่อนเสร็จก่อนก็ได้” หมัวซาพูด “ข้าจะอาศัยจังหวะนี้เตรียมเครื่องยา”

“อืม” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า มายังบริเวณที่ปลูกผลอสรพิษทองคำเอาไว้แล้วนั่งขัดสมาธิลง

ต้นผลอสรพิษทองคำนี้มีประโยชน์ในการฟื้นฟูวิญญาณ ทั้งยังช่วยให้เธอฟื้นฟูพลังจิตได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

เมื่อเธอรู้สึกว่าตัวเองฟื้นฟูขึ้นมาพอสมควรแล้ว หมัวซาก็มาปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอได้ทันเวลาพอดีแล้วพูดว่า “ข้าเตรียมเครื่องยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราเริ่มต้นกันได้เลย ยาวิเศษขั้นสี่นี้ต้องการพลังวิญญาณไม่น้อย เจ้าต้องเตรียมการให้ดี ยาวิเศษเหล่านี้เป็นยาวิเศษฟื้นฟูพลังวิญญาณที่ข้าเพิ่งหลอมขึ้นมา ในร่างกายเจ้ามีไอพลังมืดมิดอยู่ หลังจากกินเข้าไปแล้วย่อมไม่เกิดความผิดปกติ”

…………………

พวกซือหม่าโยวหรานย่อมไม่ทราบเรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์มีความรู้วิชาแพทย์ ดังนั้นจึงคิดไม่ถึงว่าเธอสร้างของสิ่งนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง

“อาศัยความเร็วเท่านี้ เพียงไม่กี่วันพวกเราก็ออกไปได้แล้วล่ะ” เว่ยจือฉีเบี่ยงประเด็นอย่างแนบเนียน

“เย้ ในที่สุดพวกเราก็จะได้ออกไปกันเสียที อยู่ในป่าเขากันเนิ่นนานถึงเพียงนี้ จนรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นสัตว์อสูรวิเศษไปแล้ว!” เจ้าอ้วนชวีอมยิ้มพูด

“ข้าว่าคนบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างเจ้าต้องอยู่ที่นี่ตลอดไปจึงจะถูกต้อง!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม

“คนบ้านป่าเมืองเถื่อนอะไรกัน หึๆ คุณชายเช่นข้าคิดถึงโลกอันหรูหราของเมืองหลวงเสียแล้ว ถ้าหากให้ข้าอยู่ในป่าเขานี่ครึ่งค่อนปีจริงๆ ข้าจะต้องเป็นบ้าตายอย่างแน่นอน” เจ้าอ้วนชวีพูด

“เจ้านี่ จิตใจไม่สงบเอาเสียเลย เจ้าถึงได้ห่างชั้นกับโอวหยางและเป่ยกงอีกมาก” ซือหม่าโยวเย่ว์ตบศีรษะเจ้าอ้วนชวีฉาดหนึ่งพลางเอ่ยขึ้น

เมื่อนึกได้ว่าตนเป็นผู้ที่มีพลังยุทธ์ต่ำสุดในบรรดาพวกเขาทั้งห้าคน เจ้าอ้วนชวีก็มองพลางยักไหล่ โดยมิได้ปฏิเสธคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ แต่ก็ลอบสาบานในใจว่ามิอาจล้าหลังกว่าซือหม่าโยวเย่ว์ได้ และเพราะคำสาบานนี้เองทำให้เขาใส่ใจกับการฝึกยุทธ์มากขึ้นในเวลาต่อมา ทำให้เขาก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การเดินทางออกจากภูเขานั้นราบรื่นตลอดทาง เมื่อเผชิญกับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำ อาศัยพลังยุทธ์ของพวกเขาสิบกว่าคนก็มิได้เป็นปัญหาอะไรมากนัก

สามวันต่อมา ในที่สุดพวกเขาที่ขี่สัตว์อสูรวิเศษเป็นพาหนะออกมาจากอาณาเขตของเทือกเขาผู่สั่วได้สำเร็จ

สัตว์อสูรวิเศษพาพวกเขามุ่งหน้าไปยังเมืองเหยียนกันต่อ ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่บนหลังสัตว์อสูรวิเศษของซือหม่าโยวหราน เธอหันหน้ากลับไปมองทิวเขาอันสลับซับซ้อนภายใต้ท้องฟ้าสีครามด้วยความรู้สึกทอดถอนใจไม่น้อย

เป่ยกงถังผู้นั่งอยู่บนหลังสัตว์อสูรวิเศษของเว่ยจือฉี เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์หันไปมอง พวกเขาจึงหันไปมองด้วยเช่นกัน และเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกันกับเธอ

ทุกคนต่างคิดไม่ถึงว่าการเคลื่อนไหวในครั้งนี้จะเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายเช่นนี้ หลายครั้งที่เดินผ่านชายแดนระหว่างความเป็นความตาย ด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำให้พวกเขาที่แต่เดิมเป็นเพียงแค่ผู้ที่มาอยู่ด้วยกันเพราะข้อกำหนดของวิทยาลัย เกิดมิตรภาพจากการร่วมเป็นร่วมตายขึ้นมา จนกลายเป็นสหายร่วมกลุ่มกันอย่างแท้จริง!

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพวกเป่ยกงถังหันหน้าไปมองเช่นกันจึงเบนสายตามามองพวกเขาแทน ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะหันกลับมามองเธอพอดี ทั้งสามคนประสานสายตากัน จึงยิ้มอย่างรู้ใจ

เมื่อสัมผัสถึงการโต้ตอบระหว่างพวกเขาก่อนหน้านี้ได้ โอวหยางเฟยกับเจ้าอ้วนชวีจึงมองมา ทุกคนล้วนเห็นรอยยิ้มในดวงตาซึ่งกันและกัน ความอบอุ่นสายหนึ่งหลั่งไหลเข้าไปในหัวใจของแต่ละคน ทำให้พวกเขาพบความอบอุ่นที่แตกต่างออกไปในกลุ่มเพื่อนนี้

สัตว์อสูรวิเศษพาคนทั้งกลุ่มไปถึงเมืองเหยียนอย่างรวดเร็ว

เมื่อมาถึงนอกเมือง พวกเขาจึงเก็บตัวสัตว์อสูรวิเศษกลับเข้าไป หลังจากเข้าเมืองแล้วก็ไปยังโรงเตี๊ยมที่ซือหม่าเลี่ยพักแรมอยู่ซึ่งบังเอิญเป็นสถานที่ที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์พักในตอนนั้นพอดี

ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมกำลังนั่งคำนวณบัญชีอยู่ที่โต๊ะยาว เมื่อได้ยินว่ามีคนเข้ามาจึงเงยหน้าขึ้นมองพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “โอ้ ขออภัยแขกทุกท่านจริงๆ ขอรับ โรงเตี๊ยมเล็กจ้อยของพวกเรามีคนเหมาเอาไว้แล้ว มิอาจเข้าพักได้ชั่วคราว พวกท่านลองไปดูที่อื่นกันก่อนดีไหมขอรับ”

“พวกเรามาหาคนน่ะ” ซือหม่าโยวหรานพูด

“มาหาคนหรือขอรับ แขกท่านนั้นมิได้บอกเอาไว้ว่าจะมีคนมาพบเขาเลยนี่นา!” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมพูดอย่างสงสัย “ขออภัยทุกท่านด้วยนะขอรับ คนเหล่านั้นสั่งเอาไว้ว่าหากไม่มีคำสั่งจากพวกเขา พวกเราก็ห้ามไปรบกวนน่ะขอรับ”

ในขณะนั้นเอง ก็มีทหารยามคนหนึ่งเดินลงมาจากชั้นบนเมื่อเห็นพวกซือหม่าโยวหรานก็รีบเดินลงมาที่ข้างกายพวกเขาก่อนจะทำความเคารพแล้วพูดว่า “คุณชายสาม คุณชายสี่ คุณชายห้า ในที่สุดพวกท่านก็มาเสียที”

“เส่าหลิง ท่านปู่ล่ะ” ซือหม่าโยวหรานถาม

“นายท่านอยู่ข้างบนขอรับ พวกเรากำลังเตรียมตัวกลับเมืองหลวงกันอยู่ ข้าจึงลงมาคืนห้องน่ะขอรับ” เส่าหลิงเอ่ยตอบ

เส่าหลิงคือทหารยามที่ติดตามอยู่ข้างกายซือหม่าเลี่ย เมื่อเห็นเขามีสีหน้าผิดปกติซือหม่าโยวเย่ว์จึงถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับท่านปู่ใช่หรือไม่”

เส่าหลิงนึกไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะความรู้สึกไวจนเดาได้ในพริบตาเดียวเช่นนี้ เขาสะดุ้งคราหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ใช่ขอรับ ท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บ พวกเรากำลังเตรียมพาเขากลับไปหาปรมาจารย์ศิลาที่เมืองหลวงน่ะขอรับ”

“จะกลับไปหาเขาอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นท่านปู่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจ “เกิดอะไรขึ้นกับท่านปู่น่ะ”

“พวกเราก็ไม่ทราบเช่นกันขอรับ เมื่อวานตอนที่ท่านแม่ทัพออกไป มิได้ให้พวกเราติดตามไปด้วย หลังจากนั้นเช้าวันนี้ตอนกลับมาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ตอนนี้หมดสติไปครึ่งวัน พวกเราได้ไปตามหมอยาประจำถิ่นมาดู พวกเขาล้วนมิอาจช่วยเหลืออะไรได้ จะหาตัวนักหลอมยามาก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นพวกเราจึงวางแผนกลับเมืองหลวงไปพบปรมาจารย์ศิลาน่ะขอรับ” เส่าหลิงเอ่ยตอบ

“เจ้าอย่าเพิ่งคืนห้องนะ ข้าจะไปดูท่านปู่สักหน่อยก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วจึงวิ่งขึ้นบันไดไป

“เส่าหลิง เจ้าให้ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมจัดห้องให้ทุกคนที” ซือหม่าโยวหรานพูดจบแล้วจึงวิ่งตามไป

ซือหม่าโยวเล่อวิ่งตามขึ้นไปอย่างร้อนรนโดยไม่พูดอะไร

เส่าหลิงไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซือหม่าโยวเย่ว์จึงมิให้เขาคืนห้อง แต่ในเมื่อซือหม่าโยวเย่ว์ออกคำสั่งมาแล้วจึงหันไปพูดกับผู้ดูแลโรงเตี๊ยมว่า “เจ้าช่วยจัดการห้องให้ทุกคนที”

พูดจบแล้วเขาก็ตามขึ้นไปด้วย

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ต้องถามหาห้องของซือหม่าเลี่ยเลย พอขึ้นไปแล้วก็วิ่งตรงไปยังห้องที่มีทหารยามยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู

“คุณชายห้า” เมื่อทหารยามมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แล้วต่างพากันประหลาดใจว่าเหตุใดเธอจึงอยู่ที่นี่ได้ แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ผลักประตูตรงเข้าไปโดยไม่ให้เวลาแก่พวกเขาเลย

ซือหม่าโยวหรานและซือหม่าโยวเล่อรีบตามขึ้นไปติดๆ แล้วผ่านทหารยามทั้งหลายเข้าไปในห้อง

ห้องแห่งนี้คือห้องชุดที่ซือหม่าโยวเย่ว์เคยพักก่อนหน้านี้นั่นเอง เธอเข้าไปในห้อง มองแวบหนึ่งก็เห็นซือหม่าเลี่ยซึ่งนอนอยู่ในห้องนอน

“ท่านปู่ ”

เธอวิ่งเข้าไปก็เห็นสองตาของซือหม่าเลี่ยปิดสนิท หัวคิ้วขมวดขึ้นมา ริมฝีปากสั่นระริกอยู่ตลอดเวลาคล้ายกับว่ายากจะทนรับได้ บนใบหน้ามีกลิ่นอายดำทะมึนลอยวนเวียนคล้ายกับถูกพิษ

เธอรีบคว้ามือของซือหม่าเลี่ยมาเพื่อคลำชีพจร

เมื่อซือหม่าโยวหรานและซือหม่าโยวเล่อเห็นท่าทางของซือหม่าเลี่ยก็ตื่นตระหนกไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์กำลังคลำชีพจรก็ลืมเรื่องที่เธอไม่รู้วิชาแพทย์ไปครู่หนึ่งจึงหลุดปากถามไปว่า “โยวเย่ว์ ท่านปู่เป็นเช่นไรบ้าง”

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ตอบ หลังจับชีพจรเรียบร้อยจึงวางมือของซือหม่าเลี่ยลงแล้วพูดว่า “ภายในร่างกายของท่านปู่มีสารพิษกำลังกัดกร่อนอยู่ ทว่าไม่เหมือนกันกับพิษทั่วไปเลย”

ซือหม่าโยวเย่ว์สงสัยอยู่บ้าง เธอดูร่างของซือหม่าเลี่ยอยู่ครู่ใหญ่ ทันใดนั้นก็คว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้แล้วดึงออก เผยทรวงอกดำทะมึนของเขาออกมา

“นี่… นี่มันอะไรกัน” ซือหม่าโยวเล่อเห็นสิ่งที่อยู่บนแผ่นอกของซือหม่าเลี่ยแล้วจึงร้องออกมาอย่างตกใจ

ส่วนหมัวซาที่กำลังฟื้นฟูวิญญาณอยู่ข้างต้นผลอสรพิษทองคำก็ลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน นัยน์ตาฉายแววสงสัย

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นไอดำบนแผ่นอกของซือหม่าเลี่ยแล้วสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียดหาใดเปรียบ

“โยวเย่ว์ นี่เจ้า…” ซือหม่าโยวหรานถามพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างสงสัย

“นับว่ารู้ก็แล้วกัน ก่อนหน้านี้เคยเห็นในหนังสือน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เช่นนั้นเจ้าก็รู้แล้วสิว่าจะช่วยท่านปู่ได้อย่างไร ถ้าหากไม่ได้ พวกเราจะใช้ค่ายกลนำส่งกลับเมืองหลวงกันเดี๋ยวนี้เลย” ซือหม่าโยวเล่อพูด

“ไม่ทันแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้า “ใช้ค่ายกลนำส่งไปยังเมืองหลวงต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งวัน ถ้าหากไอพิษในร่างกายท่านปู่ยังไม่ออกไปล่ะก็ ภายในครึ่งวันเขาก็คงจบชีวิต!”

“เจ้าว่าอะไรนะ!”

ทั้งซือหม่าโยวหรานและซือหม่าโยวเล่อถูกคำพูดนี้ทำให้ตะลึงค้าง ยังดีที่ซือหม่าโยวหรานได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็วแล้วคว้าหัวไหล่ซือหม่าโยวเย่ว์มาพลางเอ่ยว่า ”น้องห้า ในเมื่อเจ้ารู้ว่ามันคือสิ่งใด เช่นนั้นเจ้าถอนพิษมันออกได้หรือไม่”

……………………

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าท่านปู่มาที่นี่” ซือหม่าโยวหรานจ้องมองซือหม่าโยวเย่ว์ สายตานั้นทำเอาเธออกสั่นขวัญแขวน

“แค่กๆ เรื่องนี้ วันนั้นข้าเห็นเขาน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “ท่านพี่สาม พวกท่านก็มาที่นี่กันตั้งนานแล้วมิใช่หรือ แล้วรู้ได้อย่างไรกันว่าท่านปู่อยู่ที่นี่”

“เมื่อวานตอนเช้าพวกเราพบท่านปู่เข้า เขาบอกว่าจะรออยู่ที่เมืองเหยียนอีกหลายวัน ถ้าหากพวกเราออกไปได้แล้วให้ไปหาเขา” ซือหม่าโยวหรานพูด “เจ้าอย่าคิดจะเบี่ยงประเด็นเลย เมื่อวานท่านปู่ไม่เห็นบอกเลยว่าได้พบเจ้าในภูเขา ชัดเจนว่าเขาไม่รู้ว่าเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย บอกมา เจ้าไปเห็นท่านปู่ที่ไหน เจ้าแอบวิ่งไปช่วงชิงผลอสรพิษทองคำมาใช่หรือไม่”

เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของซือหม่าโยวหราน ซือหม่าโยวเย่ว์จึงฝังหน้าลงในหมอนแล้วพูดว่า “ข้าก็แค่ไปดูมารอบหนึ่งเท่านั้น ดูอยู่ไกลแสนไกล ไม่ได้เข้าไปเสียหน่อย”

“จะให้ข้าเชื่อเจ้าหรือ!” ซือหม่าโยวหรานเห็นท่าทางเช่นนั้นของซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้แล้วว่าเธอจะต้องมิได้ดูอยู่ห่างๆ อย่างแน่นอน

เมื่อซือหม่าโยวเล่อได้ยินว่าซือหม่าโยวเย่ว์ไปช่วงชิงผลอสรพิษทองคำมาด้วย จึงรีบเอ็ดตะโรขึ้นมาในทันใด ”น้องห้า เจ้าไปสถานที่อันตรายเช่นนั้นได้อย่างไร เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าของสิ่งนั้นดึงดูดขุมอำนาจและสัตว์อสูรวิเศษทั้งหลายเข้าไปมากมายเพียงไหน สถานที่อันตรายถึงเพียงนั้น แต่เจ้ายังวิ่งเข้าไปชมความคึกคักได้ เจ้านี่มันช่าง… ถ้าหากท่านปู่รู้เข้า เจ้าคอยดูสิว่าท่านปู่จะจัดการเจ้าอย่างไร!”

เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ของซือหม่าโยวเล่อ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เงยหน้าขึ้นมาทันที

“ท่านพี่สาม ท่านพี่สี่ ท่านต้องช่วยข้าเก็บเป็นความลับนะ อย่าให้ท่านปู่รู้เรื่องนี่เป็นอันขาด” ซือหม่าโยวเย่ว์มองคนทั้งสองอย่างขมขื่นแล้วกะพริบตาปริบๆ เริ่มเลือกเดินเส้นทางน่ารักไร้เดียงสา

ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ให้เธอแสดงกิริยาเช่นนี้ เธอจะต้องรู้สึกไม่ชินอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้อาจเป็นเพราะผู้ที่เผชิญหน้าอยู่เป็นคนใกล้ชิด ดังนั้นจึงไม่รู้สึกเคอะเขินเลยแม้แต่น้อย

“เฮอะ เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ พวกเราจะช่วยเจ้าปกปิดเอาไว้ได้อย่างไร” ซือหม่าโยวหรานเอ่ยตำหนิด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเจ้า พวกเราจะทำอย่างไร แล้วท่านปู่จะเจ็บปวดใจสักเพียงไหน”

“ข้าผิดไปแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ยอมรับผิดอย่างจริงใจ

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดล้วนตกไปหมดสิ้นเมื่อต้องเผชิญกับความกังวลใจของคนในครอบครัว

“รู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้ว!” ซือหม่าโยวเล่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ถูกซือหม่าโยวหรานตำหนิด้วยสีหน้าเย็นชาก็เจ็บปวดใจอยู่บ้าง จึงช่วยพูดแทนเธอ

“เอาละ ท่านพี่สาม ท่านอย่าโมโหอีกเลยนะ ข้าก็แค่ไปแอบดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นเอง จากนี้ไปจะไม่ทำอีกแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์น้ำเสียงจริงใจ ขาดเพียงแค่ไม่ได้ตบหน้าอกรับประกันเท่านั้นเอง

“เฮอะ!” ซือหม่าโยวหรานไม่ได้พูดเก่งเหมือนซือหม่าโยวเล่อ ได้แต่ตีสีหน้าเย็นชามาโดยตลอด

ซือหม่าโยวเล่อขยิบตาให้ซือหม่าโยวเย่ว์ เธอเข้าใจความหมายในทันที จึงดึงแขนเสื้อของซือหม่าโยวหรานแล้วเขย่าไปมา

“ท่านพี่สาม ข้ารู้ซึ้งในความผิดของข้าแล้ว ท่านอย่าได้โกรธอีกเลยนะ พอท่านโมโหขึ้นมาทีข้าก็อกสั่นขวัญแขวนไปหมด โอ๊ย บาดแผลข้าเจ็บขึ้นมาอีกแล้ว”

“น้องห้า เจ้าเจ็บตรงไหนหรือ” ซือหม่าโยวเล่อถามอย่างเป็นกังวล

“โอ๊ย… ตรงไหนก็เจ็บไปหมดเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างน่าสงสาร

“พอกันที ข้ารู้น่ะว่าเจ้าแกล้งทำ” ซือหม่าโยวหรานมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างจนใจ เหตุใดตอนนี้เจ้าเด็กคนนี้จึงได้เหลี่ยมจัดขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากนัก “เรื่องนี้พวกเราจะไม่บอกท่านปู่ก็ได้ แต่คราวหน้าหากเจ้ายังกล้าทำอะไรไม่รู้จักหนักเบาเช่นนี้อีก อย่าว่าแต่บอกท่านปู่เลย ข้านี่แหละจะลงโทษเจ้าเป็นคนแรกเอง!”

รู้อยู่ว่าหากซือหม่าโยวหรานพูดเช่นนี้ แสดงว่าเรื่องนี้ก็จบลงเรียบร้อยแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คราวหน้าข้าจะไม่ทำอีกแล้ว!”

พูดจบเธอก็แอบเติมประโยคหนึ่งในใจว่า คราวหน้าไม่มีทางให้พวกท่านรู้แน่นอน!

ถ้าหากล่วงรู้ความคิดในใจของเธอ ซือหม่าโยวหรานจะต้องโมโหเธอจนตายแน่

“เอาละ วันนี้ก็พักฟื้นต่อไปก่อน พรุ่งนี้มาดูกันว่าร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไร ถ้าหากไม่ไหว พวกเราก็รอกันอีกสักวัน ข้าขอไปหารือกับพวกเขาเรื่องการเดินทางกันสักหน่อยดีกว่า”

ซือหม่าโยวหรานพูดจบก็เดินออกไป ซือหม่าโยวเล่อที่เดินตามหลังหันมาทำท่าโอเค ให้ซือหม่าโยวเย่ว์ หลังจากนั้นจึงค่อยหมุนกายเดินออกไป

ซือหม่าโยวเย่ว์ซุกหน้าลงในหมอนอีกครั้ง ในใจโอดครวญว่าทำผิดพลาดเรื่องตื้นๆ เช่นนี้ได้อย่างไร แต่ก็รู้สึกอบอุ่นใจเพราะความห่วงใยของคนในครอบครัว

หลังจากที่พวกซือหม่าโยวหรานออกไป เว่ยจือฉีก็พยุงเป่ยกงถังเข้ามา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งห้าคนเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเพราะสถานะที่เปลี่ยนไปของเธอ อย่างน้อยเป่ยกงถังก็คุยเรื่องผู้หญิงๆ กับเธอได้แล้ว

ถึงแม้ว่าวันนี้เธอยังคงนอนอยู่บนเตียง แต่บาดแผลของเธอก็สมานกันได้ดีอย่างรวดเร็วชนิดที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

วันรุ่งขึ้น ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนกรานจะเดินทางโดยไม่สนใจว่ายังปวดกระดูกอยู่เล็กน้อยเพื่อไม่ให้แผนการเดินทางของทุกคนล่าช้า ซือหม่าโยวหรานก็ขัดเธอมิได้ จึงได้แต่ให้ทุกคนออกเดินทาง

ทว่าก่อนจะออกจากหุบเขา พวกเขายังมีบางเรื่องที่ต้องจัดการอยู่อีก

“โยวเย่ว์ จะปลุกพวกเขาขึ้นมาตอนนี้เลยหรือไม่” เจ้าอ้วนชวีถาม

“อืม ถ้าหากพวกเขาไม่ตื่นขึ้นมา เรื่องนี้จะนับว่ายุติธรรมได้อย่างไรเล่า!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางหยิบขวดยาใบหนึ่งออกมาโยนให้เจ้าอ้วนชวี “วางสิ่งนี้ให้พวกเขาดมใต้จมูกสักครู่หนึ่ง”

เจ้าอ้วนชวีทำตาม เพียงครู่เดียวหลังจากที่ได้ดมยาขวดนั้นแล้ว คนเหล่านั้นก็ฟื้นขึ้นมา

“ซือหม่าโยวเย่ว์หรือ!” อู่เถียนผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ หัวสมองที่ทึบทึมอยู่ก็โปร่งโล่งขึ้นมาในทันใด

“จำข้าได้ด้วย ดูท่าทางจะตื่นเต็มตาแล้วสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ไม่ได้กินอะไรกันมาตั้งหลายวัน ตอนนี้คงอ่อนแอมากเลยกระมัง”

“เจ้าคิดจะทำอะไร!” เจ้าลิงแห้งเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าซือหม่าโยวเย่ว์ จึงรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาในใจ ไอหนาวยะเยือกสายหนึ่งลอยขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ

“ไม่ทำอะไรหรอก แค่จะเรียนรู้จากพวกเจ้าสักหน่อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ยาถอนพิษนี่ฟื้นฟูพลังของพวกเจ้าไม่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ได้เวลาพอดี เจ้าอ้วน ระวังหน่อยนะ อย่าทำหกใส่ตัวเองล่ะ มิฉะนั้นจะมาหาว่าพวกเราทอดทิ้งเจ้าโดยไม่เหลียวแลไม่ได้นะ”

เจ้าอ้วนชวีรับขวดมาโปรยใส่บนร่างของคนเหล่านั้นพลางเอ่ยว่า “เจ้าก็วางใจเถิด ข้าไม่มีทางโง่เง่าถึงเพียงนั้นหรอก”

หลังจากโปรยผงยาลงบนร่างคนทั้งห้าเรียบร้อยแล้ว ทุกคนจึงเดินมุ่งหน้าออกไปนอกถ้ำ

“พวกเจ้าทำอะไรกับพวกเราน่ะ” ความหวาดกลัวอย่างประหลาดเข้าเกาะกุมหัวใจ อู่เถียนตะโกนเสียงดังใส่ซือหม่าโยวเย่ว์

คนอื่นๆ ออกไปกันเรียบร้อยแล้ว เจ้าอ้วนชวีหันหน้ามาแล้วพูดว่า “มิได้บอกไปแล้วหรือว่าจะเรียนรู้จากพวกเจ้าน่ะ ตอนนี้พวกเจ้าก็จะได้สัมผัสกับความรู้สึกยามได้เป็นที่โปรดปรานของสัตว์อสูรวิเศษบ้างแล้ว”

พูดจบเขาก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก

หลังจากพวกซือหม่าโยวเย่ว์จากไปได้ไม่นาน สัตว์อสูรวิเศษหลายตนก็ตามกลิ่นมาถึงถ้ำ เมื่อเห็นพวกอู่เถียนก็พุ่งเข้าใส่พวกเขาอย่างบ้าคลั่ง จัดการทั้งห้าคนจนสะอาดหมดจดอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งกระดูกก็ไม่เหลือซาก

“โยวเย่ว์ สิ่งที่เจ้าโปรยลงบนร่างพวกเขาคืออะไรหรือ” ห่างออกจากถ้ำมาไกลแล้ว พวกเขาก็ยังได้ยินเสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายของพวกอู่เถียนอยู่ ซือหม่าโยวเล่อมาอยู่ข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์พลางถามขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอก ก็เป็นยาผงที่ดึงดูดสัตว์อสูรวิเศษบางอย่างเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้ามีของสิ่งนั้นได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวหรานถาม

“ซื้อไว้ก่อนมาที่นี่น่ะ” เพราะมีคนนอกอยู่ด้วย ซือหม่าโยวเย่ว์จึงตอบไปอย่างส่งๆ

ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นสหายร่วมกลุ่มของพี่ชายทั้งสอง แต่เธอก็ไม่สนิทสนมด้วย ดังนั้นจึงไม่อยากให้พวกเขารู้เรื่องของตนมากนัก

……………………

เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบยาผงออกมาวางลงในอุ้งมือเป่ยกงถัง

ตอนนี้พวกเธอทั้งสองยังคงเป็นผู้บาดเจ็บอยู่ พลังการต่อสู้ลดต่ำลงไปไม่น้อย ถ้าหากพบกับคนชั่วเข้าจริงๆ ก็คงเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินเลยทีเดียว

ถ้ำที่เจ้าคำรามน้อยเสาะหามาแห่งนี้นับว่าเร้นลับอยู่พอสมควร ทว่าฝีเท้ากลับตรงมาทางถ้ำ แต่ไม่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของพวกโอวหยางเฟยเลย เห็นได้ชัดว่าผู้มามีพลังยุทธ์สูงส่งกว่าพวกเขามากมายนัก จึงทำให้พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ

ตอนนี้เพิ่งผ่านเรื่องผลอสรพิษทองคำไปแค่สองวันเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจยังมีคนของบางขุมอำนาจที่เตร็ดเตร่อยู่ภายในภูเขา ยังมิได้ออกไป แล้วพบเจอกับพวกเจ้าอ้วนชวีเข้าพอดี…

ในขณะที่ทั้งสองคนคาดเดากันไปต่างๆ นานาอยู่นั้นเอง คนเหล่านั้นก็เดินมาถึงถ้ำในที่สุด

“พวกเรากลับมาแล้ว” ร่างกายอ้วนกลมของเจ้าอ้วนชวีปรากฏขึ้นที่ปากถ้ำ ตามมาด้วยโอวหยางเฟยและเว่ยจือฉี

เมื่อเห็นว่าคนทั้งสามไม่ได้รับบาดเจ็บ ทั้งสองคนจึงค่อยคลายใจลงแล้วถามว่า “พวกเจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

“พวกเรา…”

เจ้าอ้วนชวียังพูดไม่ทันจบก็ถูกคนที่แซงขึ้นมาจากด้านหลังผลักออกไปอีกทางหนึ่ง จากนั้นเงาร่างที่เหนือความคาดหมายหลายร่างก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์ ทำให้เธอเรียกออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ท่านพี่สาม ท่านพี่สี่ พวกท่านมาอยู่ที่นี่กันได้อย่างไร”

“น้องห้า ได้ยินว่าเจ้าบาดเจ็บหรือ มาให้พี่สามดูเร็วเข้าสิ” ซือหม่าโยวหรานมาถึงข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์อย่างรวดเร็ว คิดจะสัมผัสเธอแต่ก็กลัวทำให้เธอเจ็บ

“ท่านพี่สาม ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์คว้ามือซือหม่าโยวหราน ระงับความตื่นเต้นของเขาเอาไว้

“น้องห้า นี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดเจ้าจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ได้” ซือหม่าโยวเล่อเดินเข้ามา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและเดือดดาล

“อีกประเดี๋ยวข้าค่อยเล่าเรื่องนี้ให้พวกท่านฟังก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกท่านยังมิได้ตอบข้าเลย เหตุใดพวกท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้”

“พวกเราก็มาฝึกประสบการณ์ที่นี่น่ะสิ” ซือหม่าโยวเล่อพูด “สหายกลุ่มเดียวกันกับพวกเราสองคนจะมาที่เทือกเขาผู่สั่วนี่อยู่พอดี จึงมาด้วยกันเสียเลย”

ซือหม่าโยวเย่ว์จึงได้ค้นพบว่านอกจากพวกเขาสองคนแล้ว ด้านนอกถ้ำยังมีคนยืนอยู่อีกหลายคน ดูท่าทางน่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นของพวกซือหม่าโยวหรานนั่นเอง

“เอาล่ะ ตอนนี้ก็บอกมาได้แล้วว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร” ซือหม่าโยวหรานมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “เมื่อครู่เจ้าเด็กชวีบอกว่าเมื่อวานเจ้ากระดูกหักไปทั่วทั้งร่าง เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน”

เจ้าอ้วนชวีผู้นี้ไม่รู้หรือว่าพี่ชายบ้านนี้เป็นพวกหวงน้องชายกันหมด ยังกล้าไปบอกพวกเขาว่าตนกระดูกหักไปทั่วทั้งร่างอีก!

ซือหม่าโยวเย่ว์มองค้อนเจ้าอ้วนชวีทีหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมองคนห้าคนที่ยังคงนอนหมดสติอยู่แล้วพูดว่า “ก็เพราะพวกเขานั่นแหละที่ล่อพวกเราเข้าไปในอาณาเขตของอสูรดุร้าย ท่านไม่รู้หรอกว่าฝูงหมาป่ามหาศาลทำเอาพวกเราตกใจกลัวกันขนาดไหน”

“เป็นเพราะคนเหล่านี้หรือ!” ซือหม่าโยวหรานมองคนเหล่านั้นด้วยสายตาเยียบเย็นคล้ายกับว่าพวกเขาเป็นซากศพกองหนึ่งไปแล้ว

“อืม เป็นเพราะพวกเขานั่นแหละ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ข้าจะไปฆ่าพวกมันเสีย!” ซือหม่าโยวเล่อชะงักอยู่ครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นยืนพลางหยิบกระบี่ออกมาหมายจะไปสังหารคนเหล่านั้น

“ท่านพี่สี่ ท่านพี่สี่ ท่านอย่าได้หุนหันไปเลย!” ซือหม่าโยวเย่ว์คว้าตัวซือหม่าโยวเล่อเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “จะให้ห้าคนนี้มาตายด้วยฝีมือพวกเราไม่ได้”

“เพราะเหตุใด” ทุกคนไม่เข้าใจ

“เพราะพวกเขาเป็นคนของวิทยาลัยน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์อธิบายถึงที่ไปที่มา แต่เธอไม่ได้พูดเรื่องงูเหอฮวาน แต่กลับนำเรื่องฝูงหมาป่าที่เกิดขึ้นก่อนหน้ามาพูดเหมือนเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในคราวนี้

“น่าชิงชังนัก!” ซือหม่าโยวเล่อโมโหจนขึ้นไปกระทืบคนเหล่านั้นอย่างรุนแรงหลายครั้ง

“เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำเช่นไร” ซือหม่าโยวหรานย่อมสังเกตสิ่งที่หลุดออกมาจากคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ได้ อย่างเช่นเพราะเหตุใดจึงจับคนมาตั้งหลายคน หรือเพราะเหตุใดจึงมีเพียงแค่เธอกับเป่ยกงถังเท่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น แต่ตอนนี้มีคนนอกอยู่ด้วย เขาจึงมิได้เปิดโปงเธอ หากแต่ถามไปตามคำพูดของเธอเท่านั้น

“ก็ย่อมต้องเป็นวิธีหนามยอกเอาหนามบ่งน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเขาปล่อยพวกเราไว้กลางฝูงหมาป่า พวกเราก็ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับเรื่องเดียวกันได้ พวกเรารอดชีวิตมาได้เพราะโชคชะตา ส่วนพวกเขานั้นจะมีชีวิตรอดไปได้หรือไม่ก็ต้องดูความสามารถของพวกเขาแล้ว พี่ชายพี่สาวทุกท่านคงจะไม่ แพร่เรื่องนี้ออกไปกระมัง”

“เดิมทีเทือกเขาผู่สั่วมีสัตว์อสูรวิเศษอาละวาดไปทั่วอยู่แล้ว จะพบเจอสัตว์อสูรวิเศษบ้างนั้นย่อมเป็นเรื่องปกติยิ่งนัก” หญิงสาวในชุดแดงรัดกุมคนหนึ่งพูดขึ้น

“ถูกต้อง”

ทุกคนต่างก็เห็นด้วย มองเห็นความโกรธแค้นในดวงตาของพวกเขา คล้ายว่ารู้สึกรังเกียจในการกระทำอันไร้ยางอายของคนเหล่านี้เช่นเดียวกัน

“ในเมื่อเจ้าอยากทำเช่นนี้ก็ทำไปเถิด” ซือหม่าโยวหรานขยี้ผมซือหม่าโยวเย่ว์จนทำให้ผมของเธอยุ่งเหยิงไปหมด

ซือหม่าโยวเย่ว์ปัดมือเขาทิ้งแล้วพูดว่า “ท่านพี่สาม ท่านพี่สี่ พวกท่านมาปฏิบัติภารกิจใช่หรือไม่ ภารกิจของพวกเราสำเร็จเรียบร้อย พรุ่งนี้ก็จะกลับกันแล้ว พวกท่านไปทำภารกิจของพวกท่านให้สำเร็จเถิด”

“อย่าคิดจะไล่พวกเราไปเชียวนะ” ซือหม่าโยวหรานพูด “พวกเราจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว กำลังเตรียมตัวกลับเช่นกัน พวกเรารอให้เจ้าหายดีก่อนค่อยกลับพร้อมกันก็ได้”

“โอ้ เช่นนี้ไม่ดีกระมัง จะให้พี่ชายพี่สาวท่านอื่นๆ มารอมิได้หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ไม่เป็นไร อยู่นานอีกสักวันสองวันไม่ได้เป็นปัญหาเลย” คนเหล่านั้นพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์มองออกแล้วว่าพี่ชายทั้งสองของตนคือบุคคลผู้เป็นจุดศูนย์กลางของสหายทั้งสองกลุ่ม พอพวกเขาบอกว่าไม่ไป คนอื่นๆ ล้วนมิอาจพูดอะไรได้

“เอาละ” เธอฝังศีรษะลงในหมอน ดูท่าทางพวกเขาคงไม่มีทางกลับกันเองแน่แล้ว

คนเหล่านั้นรู้ว่าพวกซือหม่าโยวเย่ว์สามพี่น้องเพิ่งได้พบหน้ากัน จะต้องมีเรื่องที่อยากพูดคุยกัแน่นอน จึงพากันออกไป แม้กระทั่งเป่ยกงถังก็ยังหาเหตุผลให้พวกโอวหยางเฟยพานางออกไปด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าในถ้ำไม่มีใครอยู่อีกแล้ว ซือหม่าโยวหรานจึงเอ่ยปากถามว่า “บอกมาสิ ที่แท้อาการบาดเจ็บของเจ้านี่มันเรื่องอันใดกัน”

“รู้อยู่แล้วว่าปิดบังท่านไม่ได้ ท่านดูสิ ท่านพี่สี่ยังไม่เห็นอะไรผิดปกติเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปากพูด

“เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก!” ซือหม่าโยวหรานตบศีรษะซือหม่าโยวเย่ว์ “เมื่อครู่หากมิใช่เพราะมีพวกเขาอยู่ ข้าคงฟาดเจ้าไปสองฝ่ามือแล้ว หลอกได้แม้กระทั่งพี่ชายตัวเอง!”

“ไอ้หยา ข้ามิได้จงใจจะหลอกพวกท่านเสียหน่อย!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าโยวเล่ออย่างน้อยใจ คาดหวังว่าเขาจะช่วยตัวเองพูดได้ แต่คราวนี้ซือหม่าโยวเล่อกลับมิได้อยู่ข้างเดียวกับเธอ หันไปอีกทางโดยไม่เหลียวแลเธอเลย!

“เอาล่ะ พูดอย่างสัตย์จริงเลยนะ เจ้าบาดเจ็บเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!” ซือหม่าโยวหรานพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ก็ได้…” ซือหม่าโยวเย่ว์เล่าเรื่องฝูงหมาป่าและเรื่องที่พบกับงูเหอฮวาน หลังจากนั้นจึงมองพวกซือหม่าโยวหรานอย่างน้อยใจ “เมื่อครู่เพื่อนร่วมกลุ่มของท่านอยู่ด้วย ข้าย่อมมิอาจให้พวกเขารู้ได้ว่าข้าเป็นสตรีจึงได้แต่หลอกลวงไปอย่างนั้น! นอกจากนี้นี่ยังไม่นับว่าเป็นการหลอกลวงด้วย เพราะแท้ที่จริงแล้วเรื่องฝูงหมาป่าก็เป็นฝีมือพวกเขาด้วยเช่นกัน”

“คนเหล่านี้!” ซือหม่าโยวเล่อกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขาว จึงระงับตัวเองไม่ให้พุ่งเข้าไปสังหารพวกเขาได้

“หากพูดเช่นนี้ก็หมายความว่าสหายร่วมกลุ่มของเจ้าล้วนรู้กันหมดแล้วว่าเจ้าเป็นสตรีอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวหรานมุ่งความสนใจไปที่เรื่องนี้ ถ้าหากพวกเขาพูดออกไปแล้ว เกรงว่าจะต้องยุ่งยากแน่

“ท่านพี่สาม ท่านวางใจได้ พวกเขาบอกแล้วว่าจะไม่มีวันแพร่งพราย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าเชื่อมั่นในตัวพวกเขา”

“อืม ข้าเชื่อว่าตอนนี้เจ้าคงไม่มีทางทำอะไรมุทะลุแน่” ซือหม่าโยวหรานพูด “วันนี้เจ้าพักฟื้นไปก่อน พรุ่งนี้พวกเราค่อยออกเดินทางไปเมืองเหยียนกัน ท่านปู่ยังรอพวกเราอยู่ที่นั่นด้วย”

“ท่านปู่ยังไม่กลับไปอีกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

พอคำพูดนี้หลุดออกจากปากเธอก็ตระหนักได้ทันทีว่าได้พูดเรื่องที่ไม่ควรพูดไปเสียแล้ว แต่ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว เห็นเพียงแค่ซือหม่าโยวหรานที่สีหน้าเพิ่งจะอ่อนโยนลงขมวดคิ้วนิ่วหน้าอีกครั้ง

“แย่แล้ว คราวนี้หนีไม่รอดแล้วสิ…” ซือหม่าโยวเย่ว์ร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ

………………

“เจ้าอ้วน จือฉี คาดว่าต้องรอสักระยะหนึ่งยาวิเศษของพวกเจ้าทั้งสองจึงจะเสร็จนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ไม่เป็นไร พวกเราไม่รีบหรอก” เจ้าอ้วนชวีพูด

แต่ในใจพวกเขากลับคิดว่าพวกเขาแทบมิได้ช่วยอะไรในเรื่องนี้เลย การได้รับสิ่งตอบแทนมาก็เป็นความยินดีเหนือความคาดหมายแล้ว ถ้าหากได้ยาวิเศษยกระดับพลังยุทธ์มาจริงๆ จะรออีกสักระยะหนึ่งก็ไม่เห็นเป็นไร

“ใช่แล้ว โยวเย่ว์ สิ่งที่เจ้าให้พวกเราโปรยใส่ตระกูลน่าหลานคือสิ่งใดหรือ” เป่ยกงถังถาม

“ผงหอมลวง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ขอเพียงแค่กลิ่นหอมนั้นติดอยู่บนร่าง ต่อให้ล้างก็ล้างไม่ออก”

“มันมีประโยชน์อะไรหรือ” โอวหยางเฟยถาม

“เรื่องนี้ รอให้อาการบาดเจ็บของพวกเราหายก่อน พวกเจ้าลองดูก็รู้แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มยิงฟัน

ในเมื่อคนตระกูลน่าหลานจะกลับไปหาเรื่องตระกูลซือหม่า เช่นนั้นก็ไม่ให้พวกเขาออกไปได้เลยแล้วกัน

“เอาละ โยวเย่ว์ เจ้าได้รับบาดเจ็บอยู่ อย่าเพิ่งพูดอะไรมากเลย ทุกคนเหนื่อยกันมามากแล้ว ไปพักผ่อนกันดีกว่านะ” โอวหยางเฟยพูด

“อืม”

เพราะซือหม่าโยวเย่ว์กับเป่ยกงถังนอนบนเตียงไปแล้ว พวกโอวหยางเฟยจึงได้แต่หาพื้นที่ภายในถ้ำอาศัยนอน พวกเขาไม่มีเตียงใหญ่โต ส่วนพวกเก้าอี้ต่างๆ ล้วนนำมาหมด

เพียงไม่นานภายในถ้ำก็เงียบสงัดลง เพราะทุกคนล้วนหมดเรี่ยวหมดแรงจากเรื่องเมื่อกลางวันจึงผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

ซือหม่าโยวเย่ว์มองใบหน้าด้านข้างของโอวหยางเฟยด้วยแววตาสงสัย

ยาวิเศษขั้นสี่คงมิได้มีอยู่มากมายนักในอาณาจักรตงเฉิน เขาบอกว่าเขาเป็นเด็กกำพร้า แล้วมียาวิเศษอันล้ำค่าเช่นนี้อยู่ได้อย่างไร นอกจากนี้ไม่ว่าจะดูอย่างไรเธอก็รู้สึกว่าเขาดูไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปเลย

ถึงแม้ในใจจะมีข้อสงสัย แต่เธอก็มิได้พูดอะไร คงเหมือนกับเธอที่มีความลับมากมาย ใครบ้างเล่าที่จะไม่มีเรื่องที่ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ซ่อนอยู่

ไม่นานนักราตรีหนึ่งก็ผ่านพ้นไป ยาวิเศษภายในร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว บวกกับสภาวะร่างกายพิเศษของเธอ ตอนที่ตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมา เธอก็ลงจากเตียงมาเดินได้แล้ว

“โอ้… โยวเย่ว์ ความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของเจ้าดีเกินไปแล้วนะ!” เมื่อเห็นท่าทีของซือหม่าโยวเย่ว์ ทุกคนก็อ้าปากค้างอย่างตกใจ

“เพราะยาวิเศษของโอวหยางให้ผลดีน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์ยกความดีทั้งหมดให้กับยาวิเศษ

“เป่ยกง เป็นอย่างไรบ้าง” โอวหยางเฟยมิได้พูดถึงเรื่องยาวิเศษต่อ หากแต่หันไปถามเป่ยกงถังแทน

“นอกจากขาที่ยังเจ็บอยู่นิดหน่อยแล้ว ส่วนอื่นๆ ข้าก็ไม่เป็นไรเลย” เป่ยกงถังพูดยิ้มๆ

ถึงแม้ยาวิเศษที่ซือหม่าโยวเย่ว์มอบให้จะมีระดับขั้นไม่สูงนัก แต่อาการบาดเจ็บของนางก็มิได้สาหัสอะไรมาก ดังนั้นจึงมิได้เป็นปัญหาใหญ่แต่อย่างใด

“วันนี้พวกเราพักผ่อนกันอีกสักวันหนึ่งเถิด พรุ่งนี้ค่อยไปทำเรื่องอื่นกันต่อ” เว่ยจือฉีมองคนที่อยู่ข้างกำแพงทั้งหลายพลางเอ่ยขึ้น

เรื่องอื่นที่เขาว่าก็คือการจัดการคนเหล่านี้นั่นเอง

“พวกเจ้าทั้งสองพักผ่อนกันไปก่อน พวกเราจะไปหาของกินกลับมาให้” โอวหยางเฟยพูด

“ไม่ต้องหรอก ข้ามีอยู่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เช่นนั้นพวกเราไปหาน้ำกลับมาสักหน่อยแล้วกัน”

“ข้าก็มีเช่นกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“แล้วฟืนเล่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์อยากจะพูดว่ามีแล้วเช่นกัน แต่ไม่อยากให้ทุกคนรู้สึกว่าเธอเป็นโดราเอมอนที่มีทุกอย่าง ดังนั้นจึงยิ้มพลางส่ายหน้า

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปหาฟืนก่อนนะ” โอวหยางเฟยพูดแล้วออกไป

“พวกเราอยู่ใกล้ๆ นี่เอง หากมีเรื่องอันใดพวกเจ้าตะโกนดังๆ พวกเราก็จะกลับมาหาเลย”

พูดจบเว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีก็ออกไปเช่นกัน

“นี่พวกเขาเป็นอะไรกันไปหมด” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นคนทั้งสามที่รีบรุดออกไป จึงมองเป่ยกงถังอย่างไม่เข้าใจ

“แค่กๆ คาดว่าคงมีเรื่องอันใดที่ไม่สะดวกใจจะพูดกระมัง” เป่ยกงถังพูด

“เรื่องที่ไม่สะดวกใจจะพูด นั่นคือไปทำธุระส่วนตัวหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าอย่างเข้าใจ

มนุษย์มีเรื่องเร่งด่วนอยู่สามประการ เรื่องพรรค์นี้มีตรงไหนที่พูดไม่ได้กัน ซือหม่าโยวเย่ว์แอบเหยียดหยามพวกเขาทั้งสามอยู่ในใจ

แต่สิ่งที่เธอนึกไม่ถึงก็คือก่อนหน้านี้ตัวตนของเธอเป็นบุรุษ พวกเขาจึงพูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าเธอโดยไม่คิดอะไร ตอนนี้เมื่อนึกถึงว่าเธอเป็นอิสตรี พวกเขาย่อมละอายใจเป็นธรรมดา

“เป่ยกง ได้ผลอสรพิษทองคำมาแล้ว เจ้ารีบเอาให้สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของเจ้ากินเสียสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“อืม” เป่ยกงถังพยักหน้า ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง นกสีครามตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นภายในถ้ำ

“นี่คือ…ปักษาครามอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเมิ่งจีในร่างจำแลงจึงถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

ปักษาครามเป็นเผ่าพันธุ์ปักษาเพลิง ท่านอาจารย์เคยบอกมาก่อนแล้วว่าดินแดนอี้หลินไม่มีปักษาเพลิง แต่เป่ยกงถังทำพันธสัญญากับปักษาครามตนหนึ่งได้ เช่นนั้นนางมิใช่คนของดินแดนแห่งนี้หรอกหรือ!

เป่ยกงถังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นความประหลาดใจที่ภายหลังกลายเป็นความเข้าใจในสายตาของซือหม่าโยวเย่ว์ นางรู้ว่าพอซือหม่าโยวเย่ว์ได้เห็นเมิ่งจีแล้วต้องรู้เรื่องราวบางอย่าง แต่เธอก็เชื่อว่าโยวเย่ว์ไม่มีทางพูดออกไปแน่

“เมิ่งจี เมิ่งจี” เป่ยกงถังเรียกอยู่หลายครั้ง เมิ่งจีจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ

“เจ้านาย” เสียงของเมิ่งจีสั่นเครืออยู่บ้าง ดูท่าทางนางจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเป่ยกงถังไม่มีทางเรียกตนออกมาโดยไม่มีเหตุมีผล สองตาของมันก็เปล่งประกาย ”เจ้านาย ท่านเรียกข้าออกมา หรือว่า…”

เป่ยกงถังยิ้มพลางหยิบเอาผลอสรพิษทองคำออกมาแล้วยื่นส่งไปบริเวณปากของเมิ่งจีพลางเอ่ยว่า “โยวเย่ว์ชิงผลอสรพิษทองคำนี่มาได้ พวกเราล้วนต้องขอบคุณนาง”

เมิ่งจีมองซือหม่าโยวเย่ว์ที่นอนอยู่บนเตียงพลางเอ่ยอย่างซาบซึ้งว่า “ขอบคุณท่านมาก”

ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือแล้วพูดว่า “เจ้านายของเจ้าได้รับปากจะแลกด้วยร่างกายไปแล้ว เจ้าไม่ต้องขอบคุณหรอก”

เมิ่งจีได้ฟังแล้วจึงมองเป่ยกงถังอย่างร้อนรนพลางเอ่ยว่า ”เจ้านาย ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ถ้าหากสิ่งนี้ต้องแลกมาด้วยความสุขชั่วชีวิตของท่าน เมิ่งจีก็ไม่ต้องการมันหรอก!”

“พรืด…” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเมิ่งจี ซือหม่าโยวเย่ว์ก็หัวเราะออกมาในทันใด

“เมิ่งจี โยวเย่ว์ล้อเจ้าเล่นน่ะ” เป่ยกงถังพูดยิ้มๆ “นางเป็นสตรี จะให้ข้าแลกด้วยร่างกายได้อย่างไรกัน เอาละ หากปล่อยผลอสรพิษทองคำนี่ไว้ข้างนอกนานเกินไปอาจล่อสัตว์อสูรวิเศษเข้ามาได้ เจ้ารีบกินแล้วกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บเสียสิ”

“เจ้านาย นางเป็นสตรีจริงๆ หรือ” เมิ่งจียังมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างสงสัย เหตุใดมันจึงมองไม่ออกสักนิดเลยเล่าว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นอิสตรี แม้กระทั่งกลิ่นก็ยังไม่เหมือนเลย

“เอาล่ะ เจ้ารีบกินแล้วกลับไปเสียเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าไม่เพียงแต่จะได้รับบาดเจ็บทางกายเท่านั้น แม้กระทั่งวิญญาณก็ยังได้รับบาดเจ็บไม่เบาเลย ดังนั้นผ่านมาเนิ่นนานเพียงนี้จึงยังไม่หายเสียที ผลอสรพิษทองคำนี่นอกจากจะเพิ่มพูนพลังยุทธ์ของเจ้าได้แล้ว ยังซ่อมแซมวิญญาณของเจ้าได้ด้วย เจ้ายังไม่รีบกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บอีกหรือ”

เมิ่งจีตกตะลึงไม่น้อย นางรู้ได้อย่างไรว่าวิญญาณของตนได้รับบาดเจ็บ เรื่องนี้แม้กระทั่งเป่ยกงถังก็ยังไม่รู้เลย

“วิญญาณได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ มิน่าเล่าเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้วอาการบาดเจ็บของเจ้าจึงยังไม่ดีขึ้นเสียที” เป่ยกงถังพูด

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอตัวกลับก่อน” เมิ่งจีเห็นสายตาเต็มไปด้วยคำถามของเป่ยกงถังจึงคาบผลอสรพิษทองคำขึ้นมาแล้วกลับไปยังมิติพันธสัญญา

เมื่อเห็นเป่ยกงถังมีท่าทีกระวนกระวายอยู่บ้าง ซือหม่าโยวเย่ว์จึงแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “ที่มันไม่อยากบอกเจ้าก็เพราะไม่อยากให้เจ้ากังวลใจนี่แหละ ถึงอย่างไรก็มีผลอสรพิษทองคำแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานมันคงไม่เป็นไรแล้วล่ะ เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลยนะ”

“โยวเย่ว์ เจ้ารู้ได้อย่างไรกันว่าวิญญาณเมิ่งจีได้รับบาดเจ็บ” เป่ยกงถังถาม

“เพราะข้ามีสายตาอันเฉียบคมราวตาทิพย์น่ะสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดยิ้มๆ เธอบอกไม่ได้ว่านี่เป็นสิ่งที่หมัวซาบอกเธอ จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยถามว่า “ใช่แล้ว เหตุใดเจ้าสามคนนั้นจึงยังไม่กลับมาอีก”

เธอเพิ่งเอ่ยวาจาออกไปก็ได้ยินเสียงฝีเท้าพอดี เสียงนั้นมุ่งหน้าเข้ามายังถ้ำอย่างชัดเจน แต่กลับมิใช่สามคนนั้น มีจำนวนมากกว่าอยู่หลายคนเลยทีเดียว

เป่ยกงถังก็ได้ยินเสียงฝีเท้าผิดปกติเช่นกัน ทั้งสองคนจึงมองปากถ้ำอย่างระแวดระวัง

……………………

“โยวเย่ว์ เจ้าเป็นสตรีชัดๆ เหตุใดจึงต้องปลอมตัวเป็นบุรุษด้วยเล่า” เจ้าอ้วนชวีพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปากคราหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านปู่ให้ข้าทำเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้บอกเหตุผลกับข้าเลย”

“เจ้าวางใจเถิด พวกเราปรึกษากันเรียบร้อยแล้วว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่เจ้าเป็นสตรีออกไปเด็ดขาด”

“อืม ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าไม่ทำหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจ ถ้าหากพวกเขามีความคิดเช่นนี้แม้แต่น้อย เธอคงไม่มีทางไปช่วยพวกเขาแน่

“อื้อ…”

มีเสียงละเมอเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างกำแพง เตือนซือหม่าโยวเย่ว์ถึงการมีตัวตนอยู่ของพวกเขา

“คนพวกนี้เป็นใครกัน เหตุใดจึงต้องทำร้ายพวกเราด้วย” เว่ยจือฉีมองคนที่โยนเอาไว้อีกทางหนึ่งเหล่านั้นพลางขมวดคิ้วถามขึ้น

“พวกเจ้ามองคนขวาสุดนั่นให้ดีๆ สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

คนขวาสุดหรือ

คนผู้นั้นหัวทิ่มลงตอนที่ถูกเจ้าอ้วนชวีเหวี่ยงลงไป หน้าหันเข้ากำแพง ดังนั้นทุกคนจึงมิได้สังเกตเห็นเขา

เมื่อได้ฟังซือหม่าโยวเย่ว์พูดเช่นนี้ เจ้าอ้วนชวีจึงวิ่งเข้าไปเตะคนผู้นั้นคราหนึ่งให้เขาหันหน้ามา

“เป็นเขาเองหรอกหรือ” เจ้าอ้วนชวีตะโกนออกมาอย่างตกใจ

“เจ้าอ้วน เจ้ารู้จักด้วยหรือ” เว่ยจือฉีถาม

“ไม่ใช่แค่ข้าหรอกที่รู้จัก พวกเจ้าก็รู้จักเช่นกัน” เจ้าอ้วนชวีเบี่ยงตัวให้พวกเว่ยจือฉีเห็นใบหน้าบนพื้นนั้นได้อย่างชัดเจน

“เป็นเขานี่นา!”

“เป็นเขาได้อย่างไรกัน หรือว่า…”

เมื่อเห็นคนผู้นั้นพวกเขาทั้งสามก็ตกใจเช่นกัน จากนั้นจึงนึกถึงเรื่องฝูงหมาป่าในตอนนั้นขึ้นมา

ขณะนั้นพวกเขายังรู้สึกว่าแปลก แต่ตอนนี้เห็นเช่นนี้แล้ว แสดงว่าตอนนั้นพวกเขาเจตนาล่อฝูงหมาป่าเข้ามา

“พวกเขาคิดจะสังหารพวกเราครั้งแล้วครั้งเล่า!” เว่ยจือฉีกำหมัดแน่น การอบรมสั่งสอนที่ดีทำให้พวกเขามิได้พุ่งตรงเข้าไปสังหารคนเหล่านั้นในทันที

“คนพวกนี้เป็นใครกัน เหตุใดจึงอยากจะสังหารพวกเราเล่า” โอวหยางเฟยไม่เข้าใจ

“ข้าว่าข้ารู้เหตุผลแล้วล่ะ” เจ้าอ้วนชวีพูด

“เจ้ารู้หรือ” เป่ยกงถังมองเจ้าอ้วนชวี เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน

เจ้าอ้วนชวีมายังข้างกายของคนผู้นั้นแล้วเตะเขาครั้งหนึ่งก่อนจะมองหน้าเขาพลางเอ่ยว่า “ข้ารู้จักเจ้านี่ เขาโตกว่าพวกเราหนึ่งชั้นปี ผู้คนเรียกกันว่าเจ้าลิงแห้ง”

“พูดเช่นนี้แสดงว่าคนเหล่านี้เป็นคนของวิทยาลัยน่ะสิ” เว่ยจือฉีถาม

เจ้าอ้วนชวีพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้าลิงแห้งผู้นี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นของอู่เถียน ส่วนเจ้าอู่เถียนนั่น ได้ยินว่าเขาหลงใหลคลั่งไคล้น่าหลานหลานหัวปักหัวปำเลยทีเดียว”

“ดังนั้นหมายความว่าที่เขาทำร้ายพวกเราก็เพราะคิดจะแก้แค้นแทนน่าหลานหลานที่ข้าทำให้นางถูกขับไล่ออกจากวิทยาลัยอย่างนั้นสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “จะว่าไปแล้วเป็นเพราะข้าเองที่ทำให้พวกเจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วย”

“โยวเย่ว์ เจ้าอย่าพูดเช่นนี้สิ พวกเราเป็นสหายกลุ่มเดียวกัน จะมีคำว่าพลอยเดือดร้อนไปด้วยได้อย่างไรกัน หากไม่ใช่เพราะเจ้า เกรงว่าตอนนี้พวกเราคงได้เป็นมื้อเที่ยงแสนอิ่มท้องของงูเหอฮวานไปแล้ว” เว่ยจือฉีพูด

“ใช่แล้ว โยวเย่ว์ เจ้าอย่าคิดมากไปเลย” เจ้าอ้วนชวีพูด “ในเมื่อรู้แล้วว่าพวกเขาเป็นคนของวิทยาลัย เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรกันดีเล่า จะจัดการคนเหล่านี้อย่างไรดี”

พูดมาถึงตรงนี้ ทุกคนต่างพากันเงียบลงไป ในความคิดของพวกเขา ย่อมต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน คิดอยากฆ่าพวกเขาให้ตาย พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องไว้ชีวิตเลย

แต่ตอนนี้เมื่อรู้ว่าพวกเขาเป็นคนของวิทยาลัย กฎของวิทยาลัยไม่อนุญาตให้ทำร้ายนักเรียนด้วยกัน มิฉะนั้นจะถูกขับไล่ออกจากวิทยาลัย เป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ต่อการกระทำของพวกเขา

ทุกคนล้วนเบนสายตามายังร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ ในเมื่อมาเพราะเธอ เธอจึงมีสิทธิ์พูดมากที่สุด

ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้จักคนเหล่านี้เลยสักคน ในเมื่อพบว่ามีคนจะฆ่าพวกเราที่เทือกเขาผู่สั่ว พวกเราย่อมต้องตอบโต้สิ พวกเราก็ไม่เห็นจะรู้เลยว่าคนเหล่านี้เป็นใคร ใช่หรือไม่เล่า”

เมื่อได้ฟังซือหม่าโยวเย่ว์พูดเช่นนี้ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงไป

“ถูกต้อง พวกเราไม่เห็นจะรู้จักคนเหล่านี้เลย ย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาเป็นคนจากขุมอำนาจใด ทั้งยังไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงต้องทำร้ายพวกเราด้วย” เป่ยกงถังตอบสนองกลับมาเป็นคนแรกแล้วเอ่ยตอบสิ่งที่ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เทือกเขาผู่สั่วแห่งนี้มีคนผ่านไปมาตั้งมากมาย เมื่อพบคนที่คิดจะสังหารพวกเขา พวกเขาย่อมต้องตอบโต้เป็นธรรมดา สังหารพวกเขาโดยไม่ระวัง ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิทยาลัย

ถึงอย่างไรในตอนแรกพวกตนก็ไม่รู้ตัวตนของพวกเขาอยู่แล้ว

“ใช่แล้ว พวกเราไม่เห็นจะรู้จักพวกเขาเลย” เว่ยจือฉีก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราควรทำอย่างไรกับคนที่คิดจะสังหารพวกเราแม้ไม่รู้จักกันเหล่านี้ดีล่ะ” โอวหยางเฟยถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินทุกคนพูดเช่นนี้จึงแอบหัวเราะในใจ เจ้าเด็กพวกนี้แต่ละคนล้วนหน้าเนื้อใจเสือกันทั้งสิ้น

“ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็มิอาจให้พวกเขามีชีวิตรอดออกไปจากหุบเขาแห่งนี้ได้เป็นอันขาด” เป่ยกงถังพูด “ถ้าหากไม่มีวิธีอื่น ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะปลิดชีวิตพวกเขาด้วยมือข้าเองหรอกนะ”

“เหตุใดจึงต้องให้มือพวกเราสกปรกด้วยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ในเมื่อพวกเขารู้จักใช้สัตว์อสูรวิเศษจัดการพวกเรา พวกเราก็ต้องใช้วิธีเดียวกันตอบแทนพวกเขาสิ”

“โยวเย่ว์ เจ้าคิดอะไรดีๆ ออกหรือ” เมื่อเห็นแววตาชั่วร้ายของซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าอ้วนชวีก็รู้ว่าเธอต้องมิได้คิดเรื่องดีอยู่แน่นอน

“เรื่องนี้ พอถึงเวลาเจ้าก็รู้เองแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มอย่างมีเลศนัยเท่านั้น

คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็รู้ว่าเธอมีแผนเรียบร้อย จึงมิได้ถามอะไรอีก

“เรื่องนั้น โยวเย่ว์…” เมื่อคุยเรื่องเหล่านี้เสร็จ เป่ยกงถังก็มองซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยติดๆ ขัดๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าใจความหมายของนางในทันใด ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง ผลอสรพิษทองคำผลหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอ

เธอยื่นผลอสรพิษทองคำส่งให้พลางเอ่ยว่า “เจ้ารับสิ่งนี้ไปก่อน ผลอสรพิษทองคำมิอาจอยู่ข้างนอกนานเกินไปได้ ระวังจะล่อสัตว์อสูรวิเศษเข้ามาล่ะ”

“เป็นผลอสรพิษทองคำจริงๆ ด้วย!” เจ้าอ้วนชวีมองผลไม้สีทองอร่ามนั้นอย่างตื่นเต้นดีใจ “โยวเย่ว์ เจ้าเอามันมาได้อย่างไรกัน”

“พวกเจ้าอย่าถามเรื่องนี้อีกเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ยัดผลอสรพิษทองคำใส่ในมือเป่ยกงถัง เป่ยกงถังจึงรีบเก็บเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุทันที

“โยวเย่ว์ ขอบใจเจ้ามาก!”

ถึงแม้ซือหม่าโยวเย่ว์จะไม่พูด แต่พวกเขาต่างก็รู้ว่าเรื่องนี้ต้องไม่ง่ายดายอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรในตอนนั้นสัตว์อสูรวิเศษและขุมอำนาจมากมายต่างพากันกระหายอยากได้ของสิ่งนี้

ซือหม่าโยวเย่ว์มองคนอื่นๆ ทั้งสามคนปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าต่างก็มีส่วนร่วมด้วย แต่ถ้าหากมนุษย์กินผลอสรพิษทองคำนี่ลงไปโดยตรง พลังก็จะปะทุออกมามากเกินไปจนร่างกายมนุษย์ทนรับไม่ไหว ข้ารู้จักนักหลอมยาอยู่คนหนึ่ง ให้เขาหลอมมันเป็นยาวิเศษได้ พวกเจ้าอยากได้ผลไม้ตอนนี้เลย หรืออยากได้ยาวิเศษ?”

พวกเจ้าอ้วนชวีใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ในเมื่อเจ้าผลไม้นี่ไม่เหมาะต่อการให้มนุษย์กินลงไปโดยตรง ข้าก็ต้องการยาวิเศษมากกว่า”

“ข้าก็ต้องการยาวิเศษเช่นกัน” เว่ยจือฉีพูด

โอวหยางเฟยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าอยากได้ผลไม้”

ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่ได้ถามว่าเพราะอะไร เธอหยิบผลไม้ส่งให้โอวหยางเฟยผลหนึ่ง เขาจึงรับมันมาเก็บเอาไว้

ก่อนหน้านี้บอกเอาไว้ว่าเพียงแค่พวกเขาช่วยเป่ยกงถังโปรยของสิ่งนั้นลงบนร่างของคนตระกูลน่าหลาน เธอก็จะแบ่งส่วนให้กับพวกเขาด้วย ดังนั้นพวกเขาอยากได้อะไรก็ย่อมได้ทั้งสิ้น

ถึงอย่างไรก็เก็บต้นผลอสรพิษทองคำเอาไว้แล้ว สิ่งนั้นจึงจะเป็นสิ่งล้ำค่าอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเธอผู้ซึ่งวิญญาณถูกทำลาย  นอกจากนี้เมื่อครู่เจ้าวิญญาณน้อยยังบอกเธอว่ามันแยกพื้นที่ส่วนหนึ่งออกมาต่างหาก แล้วเร่งกาลเวลาของพื้นที่แห่งนั้นเพื่อร่นระยะเวลาในการสุกงอมของผลอสรพิษทองคำ ไม่แน่ว่าผ่านไปไม่นานเธอก็คงจะมีผลอสรพิษทองคำอีกแล้ว

สำหรับยาวิเศษนั้น หมัวซาย่อมช่วยในส่วนนี้ได้ เธอทำเพียงแค่ใส่พลังวิญญาณเข้าไปตอนผนึกยาก็พอแล้ว

เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ใจกว้างเช่นนี้ พวกเขาทั้งสี่คนจึงซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง สหายกลุ่มเดียวกันนี้จึงทวีความกลมเกลียวกันมากยิ่งขึ้น

………………

เว่ยจือฉีวางตัวเป่ยกงถังลงบนหลังเจ้าคำรามน้อยก่อนจะมองตามสายตาซือหม่าโยวเย่ว์ไปแล้วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ศัตรูหรือ”

“คนที่ล่อพวกเรามาที่นี่อย่างนั้นหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม

“อืม พวกเขาถูกข้าวางยาไปเรียบร้อย นอนอยู่ที่นั่นกันหมดแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“โยวเย่ว์ เจ้าไม่เพียงแต่ปรากฏตัวขึ้นมาช่วยพวกเราเท่านั้น แต่ยังจับตัวคนพวกนั้นเอาไว้ด้วย ข้านับถือเจ้าเหลือเกิน!” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ไปกันเถิด พวกเราไปจับตัวคนพวกนั้นแล้วค่อยไปจากที่นี่กัน” โอวหยางเฟยพยุงตัวซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นมาบนหลังเจ้าคำรามน้อยพลางพูดกับเจ้าอ้วนชวีที่ยังอยู่ข้างล่าง

“อืม”

เจ้าอ้วนชวีหมุนตัววิ่งไปยังบริเวณที่พวกเขาอยู่ ก็มองเห็นคนหลายคนที่นอนอยู่บนพื้น เขาหยิบเชือกออกมาแล้วมัดพวกเขาทั้งหมดเอาไว้ หลังจากนั้นจึงโยนขึ้นมาไว้บนหลังเจ้าคำรามน้อย

รอจนเจ้าอ้วนชวีขึ้นไปนั่งเรียบร้อยแล้ว เจ้าคำรามน้อยจึงพาทุกคนไปจากที่แห่งนี้

หลังผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ เจ้าคำรามน้อยก็หาถ้ำแห่งหนึ่งพบ จึงพาพวกซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไป

“ที่นี่ไม่เลวเลย พวกเรามาพักฟื้นที่นี่กันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์มองสภาพแวดล้อมรอบๆ พลางพูดขึ้น

เจ้าอ้วนชวีกระโดดลงไปก่อน จากนั้นก็จับมือห้าคนนั้นคนละข้าง ก่อนจะเหวี่ยงลงมาที่พื้นอย่างส่งๆ หลังจากนั้นจึงร่วมมือกับเว่ยจือฉีและโอวหยางเฟยช่วยพาเป่ยกงถังกับซือหม่าโยวเย่ว์ลงมา

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอาเตียงใหญ่ของตัวเองออกมาทำเป็นพื้นที่พักฟื้นของเธอและเป่ยกงถัง เว่ยจือฉีและโอวหยางเฟยพยุงพวกนางทั้งสองไปที่เตียง

“จือฉี ตอนนี้ข้าขยับตัวไม่ได้ ข้าจะบอกเจ้า เจ้าผสานกระดูกให้เป่ยกงก่อนนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“โยวเย่ว์ เจ้าผสานกระดูกเป็นด้วยหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างประหลาดใจ

“ประสบการณ์จากอดีตน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้ว บนฝ่ามือก็มีกระดานไม้สองอันปรากฏขึ้น “พอผสานกระดูกเสร็จแล้วก็ใช้เจ้านี่พยุงไว้ให้ดีๆ ล่ะ”

“อืม เจ้าบอกมาสิ ข้าจะทำเอง” เว่ยจือฉีรับไม้กระดานมาแล้วพูดขึ้น

หลังจากนั้นซือหม่าโยวเย่ว์ก็ชี้แนะเว่ยจือฉีให้ผสานกระดูกขาเป่ยกงถังจนเสร็จ จากนั้นให้พวกเขาออกไปจนหมดก่อนจะถอดเสื้อผ้าออกแล้วให้เป่ยกงถังผสานกระดูกให้กับเธอ

พวกเจ้าอ้วนชวีมาที่ด้านนอกถ้ำแล้วจึงนึกถึงความลับที่ค้นพบในวันนี้ขึ้นมา

“โยวเย่ว์เป็นสตรีจริงๆ หรือ” จนถึงตอนนี้เจ้าอ้วนชวีก็ยังมิอาจยอมรับความจริงข้อนี้ได้โดยสมบูรณ์ “ถ้าหากผู้อื่นล่วงรู้ว่าโยวเย่ว์เป็นสตรี กลัวแต่ว่าคนทั้งเมืองจะพากันพรั่นพรึงไปหมดน่ะสิ”

พวกเว่ยจือฉีเองก็ไม่แน่ใจ คิดมาตลอดว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นบุรุษ จู่ๆ มาบอกว่าเธอเป็นอิสตรีอย่างกะทันหัน พวกเขาจึงต้องใช้เวลาค่อยๆ ครุ่นคิดกับเรื่องนี้

“ในเมื่อคนของจวนแม่ทัพจะให้นางปลอมตัวเป็นบุรุษมาโดยตลอด ฉะนั้นข้าว่าพวกเราอย่าเพิ่งพูดออกไปจะดีกว่า” โอวหยางเฟยพูด

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” เว่ยจือฉีพูด “ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าโยวเย่ว์เป็นสตรีมาตลอดสิบกว่าปี เห็นได้ว่าจวนแม่ทัพรักษาความลับเรื่องนี้เอาไว้เป็นอย่างดี ถ้าหากโยวเย่ว์อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ก็ต้องพูดออกไปแล้ว ที่นางไม่บอกแสดงว่าต้องมีเหตุผลอันใดอยู่อย่างแน่นอน”

“อืม พวกเจ้าพูดได้ถูกต้อง พวกเราอย่าเพิ่งพูดออกไปเลยจะดีกว่า เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากกับนาง” เจ้าอ้วนชวีพยักหน้าเห็นด้วย “แต่ว่าโยวเย่ว์เป็นถึงปรมาจารย์วิญญาณขั้นห้าแล้ว ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ”

“จริงด้วย” โอวหยางเฟยพยักหน้า

พวกเขาสนทนากันอยู่ที่ปากถ้ำ ผ่านไปครู่หนึ่งเป่ยกงถังจึงแจ้งพวกเขาจากด้านในว่าทำเสร็จเรียบร้อย เข้ามาได้แล้ว

พอพวกเจ้าอ้วนชวีเข้าไปก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์นอนอยู่บนเตียง แก้มขวาถูกบาดเป็นแผลยาวเพราะขูดกับก้อนหินตอนต่อสู้ หลังจากชำระล้างคราบเลือดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เด่นสะดุดตายิ่งกว่าเดิม

“โยวเย่ว์ อาการบาดเจ็บของเจ้า…” เว่ยจือฉีเอ่ยถาม

“ไม่เป็นไรหรอก นอนพักสักสองวันก็หายแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ข้าหมายถึงบาดแผลบนหน้าเจ้า พอถึงเวลาแล้วจะกลายเป็นแผลเป็นหรือไม่” เว่ยจือฉีพูด

ถ้าหากเป็นบุรุษคงจะไม่เป็นไร แต่อิสตรีให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์มากกว่า สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วหากใบหน้าถูกทำลายก็ไม่ต่างอะไรกับการทำให้สูญเสียพลังยุทธ์เลย

ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตา เข้าใจความหมายในคำพูดของเว่ยจือฉี จึงเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรหรอก พอกลับไปแล้วข้าทาขี้ผึ้งขจัดรอยแผลเป็นสักระยะหนึ่งก็หายดีแล้ว”

“เช่นนั้นก็ดี”

เว่ยจือฉีพูดจบ บรรยากาศภายในถ้ำก็แปลกพิกลอยู่ครู่หนึ่ง

“พวกเจ้าเป็นอะไรไปน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพวกเขามองเธออย่างแปลกประหลาดกันหมดจึงรู้สึกขนลุกอยู่ในใจ

“แค่กๆ โยวเย่ว์เอ๋ย จู่ๆ ก็ได้รู้ว่าเจ้าเป็นสตรี พวกเรายังทำใจกันไม่ได้เลย” เจ้าอ้วนชวีพูด “แต่จะว่าไปแล้วหากมิใช่เพราะเรื่องในวันนี้ เกรงว่าพวกเราคงไม่มีทางค้นพบว่าเจ้าเป็นสตรีหรอก ความจริงแล้วเจ้ามาปลอมแปลงเป็นบุรุษทำไมกัน หรือเป็นเพราะลานบินที่เจ้าเคยพูดถึงเล่า”

“แค่กๆ ข้าจะเป็นลานบินไปได้อย่างไรกัน!” ซือหม่าโยวเย่ว์สำลักเพราะเจ้าอ้วนชวีจนแทบจะหายใจไม่ได้ เมื่อคราวก่อนตอนพวกเขาชมหญิงงามด้วยกัน เธอเคยพูดถึงหน้าอกแบนราบคล้ายลานบินอยู่ครั้งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่จะจำได้ด้วย

“เจ้ามิใช่ลานบิน เช่นนั้นเหตุใดยามปกติพวกเราจึงไม่เคยพบเห็นว่าเจ้ามีสิ่งนี้เลยเล่า” พูดจบแล้วเจ้าอ้วนชวีก็ลูบไปมาตรงทรวงอก กิริยาท่าทางต่ำช้าอย่างยิ่ง

“ไปตายเสียเถอะเจ้าอ้วน! อ๊ากกกก….” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกน เพราะออกแรงอย่างฉับพลันจึงไปกระตุ้นบาดแผลบนร่างกาย ทำให้เธอเจ็บจนต้องพ่นลมหายใจเยียบเย็น

“เจ้าระวังหน่อยสิ” เป่ยกงถังนั่งอยู่ข้างเตียงแล้วเอื้อมมือมาพยุงซือหม่าโยวเย่ว์ หลังจากนั้นจึงหันมาตะโกนว่า “เจ้าอ้วน ตอนนี้โยวเย่ว์บาดเจ็บไปทั้งตัว มีกระดูกในร่างกายแค่ไม่กี่ท่อนที่ยังสมบูรณ์ดี เจ้ายังไปยั่วแหย่นางอีก!”

“ข้าพูดความจริงนี่นา” เจ้าอ้วนชวีหดคออย่างสลดใจ

เขาอยากรู้นี่นา ว่าเหตุใดยามปกติซือหม่าโยวเย่ว์จึงรอดพ้นสายตาอันคมกริบของพวกเขาไปได้

“เรื่องนี้พวกเราก็อยากรู้เช่นกัน” เว่ยจือฉีพูดพลางมองประเมินซือหม่าโยวเย่ว์

โอวหยางเฟยจ้องซือหม่าโยวเย่ว์ ความหมายชัดเจนโดยไม่ต้องเอ่ยคำพูด

“อะแฮ่มๆ โยวเย่ว์ ไม่อย่างนั้นเจ้าบอกพวกเขาไปเถิด มิฉะนั้นพวกเขาต้องจ้องมองเจ้าไปตลอดแน่” เป่ยกงถังพูด

นางพูดไม่ได้หรอกว่าอันที่จริงแล้วนางเองก็อยากรู้เช่นกัน

ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาใส่พวกเขาอย่างจนใจแล้วเอ่ยว่า “หากข้าไม่บอก พวกเจ้าคงต้องขาดใจตายแน่  ทั้งยังมาคิดบ้าๆ ว่าข้าแบนราบเหมือนลานบินเช่นนั้น พวกเจ้าจะดูถูกเรือนร่างข้าเกินไปแล้วนะ เป็นเพราะแหวนมนตร์บนนิ้วข้าวงนี้ต่างหาก เพียงแค่สวมมันเอาไว้ พวกเจ้าก็จะเห็นข้าเป็นร่างบุรุษ”

พอพูดจบเธอก็ถอดแหวนมนตร์ออก ร่างกายของเธอดูเหมือนจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในทันใดเว่ยจือฉีและคนอื่นๆ ต่างคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะถอดแหวนมนตร์ออก บุรุษคนหนึ่งเปลี่ยนร่างกลายเป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์อย่างฉับพลัน ทำเอาทุกคนตกใจจนสะดุ้งตัวลอยในทันใด

ซือหม่าโยวเย่ว์สวมแหวนมนตร์กลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่เห็นร่างหญิงสาวอีก เธอในสายตาของทุกคนยังคงสวมเสื้อผ้าบุรุษราวกับว่าหญิงสาวคนเมื่อครู่ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว

“น่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว!” เจ้าอ้วนชวีร้องตะโกนขึ้นมาอย่างตกใจ “บนโลกใบนี้มีแหวนที่ใช้ทำประโยชน์เช่นนี้อยู่ด้วย ข้ายังนึกไปว่ามีเพียงแค่แหวนเก็บวัตถุอย่างเดียวเท่านั้นเสียอีก”

“น่าอัศจรรย์จริงๆ ด้วย” เว่ยจือฉีพูด “เจ้าไปได้แหวนวงนี้มาจากที่ใดกัน ถ้าหากมีโอกาสพวกเราก็จะได้ไปหามาสวมบ้างสักวงหนึ่ง”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ก็สะดุ้งคราหนึ่ง นัยน์ตามีเงาร่างของอูหลิงอวี่วาบผ่าน รวมทั้งจูบอันทรงพลังก่อนจะจากไปนั่นด้วย ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าคนเลวที่ตะโกนบอกให้ตนโตไวๆ หน่อยผู้นั้นกำลังทำอะไรอยู่ ลืมเลือนตนไปแล้วใช่หรือไม่

ณ ตำหนักอันไกลโพ้น อูหลิงอวี่ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่หัวใจวูบไหวขึ้นมาในทันใด จึงมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับรู้สึกได้

“แม่เด็กน้อย เจ้าต้องโตเร็วๆ หน่อยนะ…”

…………………

ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ล่วงรู้ความคิดของพวกเขาที่อยู่ด้านหลังเลย ตอนนี้เธอเองก็มิอาจไปคิดถึงสิ่งอื่นได้เพราะจำเป็นต้องใช้พลังจิตเกินร้อยในการจัดการกับงูเหอฮวานตรงหน้า

ตอนนี้ย่ากวงและพวกเจ้าคำรามน้อยล้วนมิอาจช่วยเหลือเธอได้ เธอได้แต่อาศัยตนเองเท่านั้นในการต่อกรกับงูเหอฮวาน

แต่ก็เหมือนกับที่คนอื่นๆ คิดเอาไว้ โดยทั่วไปแล้วต้องเป็นมหาปรมาจารย์วิญญาณขั้นสูงเท่านั้นจึงจะตอบโต้กับสัตว์อสูรทิพย์ได้ ส่วนเธอนั้นยังห่างชั้นอีกมากนัก หากคิดจะจัดการมันก็จำเป็นต้องหาหนทางอื่น

และสิ่งที่เธอพอจะพึ่งพาได้ในตอนนี้ก็มีเพียงแค่ความเร็วอย่างเดียวเท่านั้น

เธอในชาติก่อนเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคำว่าทุกศิลปะการต่อสู้ในใต้หล้า มิอาจเอาชนะความรวดเร็วได้ ดังนั้นหลังจากที่มายังโลกแห่งนี้แล้ว ตอนออกกำลังกายจึงคิดหาวิธีฟื้นฟูทักษะก่อนหน้านี้ของตนเองขึ้นมา

งูเหอฮวานเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ว่องไวกว่าหางของตนเสียอีก ในใจจึงยิ่งทวีความเดือดดาล และยิ่งตวัดหางอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น กดดันให้ซือหม่าโยวเย่ว์จำเป็นต้องเร่งความเร็วของตนเอง มีหลายครั้งที่เธอถูกหางงูเหอฮวานฟาดใส่จนลอยกระแทกพื้นอย่างแรง

เธอเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบบนแผ่นหลัง เมื่อขยับมือซ้ายก็เกิดความรู้สึกเจ็บปวดบาดหัวใจ อาศัยประสบการณ์จากชาติก่อนเธอจึงรู้ว่าอย่างน้อยกระดูกซี่โครงต้องหักไปสองซี่แล้ว

“จะดันทุรังแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ต้องรีบสู้รีบจัดการซะ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ว่าพลังในร่างกายเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณก็เหลือเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ถ้าหากยังคงลากยาวต่อไป ตนจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

ดังนั้นขณะที่งูเหอฮวานฟาดใส่เธออีกครั้ง เธอจึงมิได้คิดที่จะหลบหลีกอีก หากแต่เบี่ยงกายเล็กน้อยแล้วอาศัยจังหวะที่มันยกหางกลับไปคว้าตัวมันเอาไว้ ก่อนจะเงื้อกระทะก้นแบนฟาดลงไปอย่างรุนแรง

พวกเป่ยกงถังเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ถึงกับคว้าตัวงูเหอฮวานเอาไว้จึงเกิดความเป็นห่วงเธอ แต่เมื่อเห็นเธอเงื้อกระทะก้นแบนฟาดใส่งูเหอฮวานไม่ยั้ง ในใจก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ถ้าหากมิใช่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมาะสม คาดว่าพวกเขาคงจะส่งเสียงหัวเราะออกมาแล้ว

ถ้าหากรอดชีวิตออกไปได้ในวันนี้ เหตุการณ์นี้ก็คงจะกลายเป็นความทรงจำชั่วชีวิตของพวกเขาเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าหลิงหลงจะกลายร่างเป็นกระทะก้นแบน แต่พลังโจมตีนั้นมิใช่สิ่งที่กระทะก้นแบนทั่วไปจะเทียบเคียงได้เลย ต่อให้เป็นสัตว์อสูรวิเศษที่มีหนังหนาทนทาน ก็ต้องถูกซือหม่าโยวเย่ว์ทุบตีจนเนื้อหนังแหลกลาญเช่นเดียวกัน

“โอ๊ย… เจ้ามนุษย์น่าชัง!” งูเหอฮวานเจ็บจนหางปัด ซือหม่าโยวเย่ว์คว้าบริเวณหางเอาไว้ แล้วใช้สองขาหนีบร่างงูเอาไว้แน่น ตนจึงไม่ถูกสะบัดออกไป

“ไปตายเสียเถิด!”

งูเหอฮวานกระดกหางขึ้นอย่างแรง เตรียมจะทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์กระเด็นไปกระแทกพื้นจนตาย

ซือหม่าโยวเย่ว์เล็งตำแหน่งเอาไว้อย่างดีแล้วจึงปล่อยหางงู ก่อนจะขยับไปที่ตำแหน่งส่วนเจ็ดนิ้วของงูเหอฮวาน แล้วเอนกายบดบังสายตาพวกเว่ยจือฉีเอาไว้ จากนั้นหลิงหลงก็แปลงร่างเป็นกริชแทงเข้าไปอย่างรุนแรง

“อ๊ากกกกก….”

จุดสำคัญถูกทำร้าย ทำให้ลำตัวของงูเหอฮวานคดโค้งราวกับคันศร

ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้สองขาหนีบตัวงูเหอฮวานเอาไว้ สองมือกุมกริชแล้วดันส่วนที่เหลือลงไปจนมิดด้าม หลังจากนั้นก็ออกแรงดึงลงไปข้างล่าง ส่วนหลังของงูเหอฮวานถูกเธอกรีดเป็นแผลยาวหลายสิบเซนติเมตร

งูเหอฮวานดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นก่อนจะใช้เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดสะบัดอย่างแรงจนซือหม่าโยวเย่ว์ลอยกระแทกพื้นนอนแน่นิ่ง

“โยวเย่ว์!”

“โยวเย่ว์!”

พวกเป่ยกงถังตกตะลึงเพราะความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน พอเห็นซือหม่าโยวเย่ว์นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้น จึงพากันร้องตะโกนขึ้นมาอย่างร้อนรน

“โอ๊ยยย…อ๊ากกก…”

งูเหอฮวานยังคงดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น แต่ความถี่นั้นลดลงเรื่อยๆ ในที่สุดก็คลายตัวบนพื้น ไม่ขยับเขยื้อนอีก

“โยวเย่ว์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เป่ยกงถังเห็นเงาร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ดวงตาแดงก่ำเป็นครั้งแรกหลังจากการต่อสู้

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเรียกอย่างไร ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไร้การตอบสนอง

“โยวเย่ว์ โยวเย่ว์ เจ้าขานรับสักคำสิ!” เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยดวงตาเอ่อคลอ อยากจะวิ่งเข้าไปหานาง

“ไม่ได้นะ โยวเย่ว์จะมาตายไปเช่นนี้ไม่ได้นะ!” เว่ยจือฉีส่ายศีรษะพลางเอ่ยพึมพำ

“พวกเจ้าตื่นตระหนกอันใดกัน! ย่ากวงยังมีลมหายใจ ก็แสดงว่าโยวเย่ว์ยังมีชีวิตอยู่น่ะสิ” ในยามคับขันก็ยังเป็นโอวหยางเฟยที่ยังครองสติเอาไว้ได้ เมื่อเห็นย่ากวงที่อยู่ใต้ร่างเจ้าอ้วนชวีจึงเอ่ยเตือนสติขึ้นมา

“ไม่… ไม่เป็นไรหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองโอวหยางเฟยอย่างตกใจ เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกภายใต้ร่าง หัวใจของเขาจึงร่วงหล่นลงมาอย่างแรง

ต่อสู้กับงูเหอฮวานที่เป็นระดับสัตว์อสูรทิพย์ พอเห็นเธอนอนนิ่งอยู่บนพื้น ก็ยากจะตำหนิที่ทุกคนคิดว่าเธอตายไปแล้ว

“แค่กๆ”

ผ่านไปครู่ใหญ่จึงมีเสียงไอเบาๆ ดังขึ้น เมื่อลอยเข้าหูคนทั้งสี่นั้นก็ราวกับเสียงสวรรค์เลยทีเดียว

“โยวเย่ว์!”

“โยวเย่ว์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

ซือหม่าโยวเย่ว์ขยับตัวพลันความเจ็บปวดแผ่ซ่านทั่วสรรพางค์กาย เธอความคิดวูบไหวคราหนึ่ง ยาวิเศษเม็ดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในอุ้งมือ เธอกินยาวิเศษลงไปอย่างยากลำบาก หลังจากนั้นจึงหันหน้ามามองพวกเว่ยจือฉี

“ข้าไม่เป็นไรหรอก”

เมื่อเห็นดวงตาอันอ่อนล้าทว่าเปล่งประกายของซือหม่าโยวเย่ว์ ทั้งสี่คนจึงค่อยวางใจลงได้จริงๆ

ขอเพียงแค่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่เป็นไรแล้ว

พักผ่อนกันอยู่ราวๆ ชั่วโมงกว่า พวกเว่ยจือฉีจึงรู้สึกว่าร่างกายฟื้นฟูพละกำลังแล้ว โอวหยางเฟยฟื้นคืนสติขึ้นมาเป็นคนแรกแล้วค่อยๆ ตะเกียกตะกายขึ้นมา ขยับไปข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์อย่างโงนเงน ก่อนจะยื่นมือออกมาหมายจะโอบซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้

“โอ๊ย…”

พอซือหม่าโยวเย่ว์ขยับร่างกายก็เจ็บปวดจนต้องพ่นลมหายใจเย็นเฉียบออกมา

“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือ” โอวหยางเฟยเห็นท่าทางเจ็บปวดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงไม่กล้าขยับอีก แล้วประคองซือหม่าโยวเย่ว์ให้นั่งอยู่ที่เดิม

“แค่กๆ คาดว่าซี่โครงคงเหลือดีอยู่แค่ไม่กี่ซี่เท่านั้น ส่วนบริเวณอื่นๆ ก็บาดเจ็บไม่น้อยเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

โอวหยางเฟยใช้มือหนึ่งพยุงซือหม่าโยวเย่ว์ไว้ ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง ยาวิเศษเม็ดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือเขา

ยาวิเศษขั้นสี่อย่างนั้นหรือ!

ซือหม่าโยวเย่ว์มองยาวิเศษในมือโอวหยางเฟย ในใจพรั่นพรึงไม่น้อย

เขามียาวิเศษล้ำค่าเช่นนี้อยู่ได้อย่างไรกัน!

โอวหยางเฟยไม่พูดอะไรแล้วป้อนยาวิเศษใส่ปากซือหม่าโยวเย่ว์ ไม่ปล่อยให้เธอได้ปฏิเสธ

พวกเว่ยจือฉีก็ฟื้นฟูพลังกลับมาเช่นกัน เขามาที่ข้างกายเป่ยกงถังแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง

“ข้าไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะ เพียงแค่ขาหัก มิอาจเดินได้เท่านั้น” เป่ยกงถังพูด

เว่ยจือฉีเลิกกางเกงของเป่ยกงถังขึ้นก็เห็นว่าขาของนางบวมปูด

“ข้าไปหากิ่งไม้มาดามให้เจ้าหน่อยดีกว่า” เจ้าอ้วนชวีที่ตะเกียกตะกายตามมาพูดขึ้น

“เจ้าอ้วน ช้าก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์พิงอยู่ในอ้อมแขนโอวหยางเฟยแล้วพูดว่า “พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนเถิด มิฉะนั้นหากล่อสัตว์อสูรวิเศษตนอื่นมาจะยุ่งยากเปล่าๆ นะ”

“ถูกต้อง พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนเถิด” เว่ยจือฉีพูด “เป่ยกง ข้าแบกเจ้าเอง อีกประเดี๋ยวค่อยดามให้เจ้าแล้วกัน”

“อืม” เป่ยกงถังพยักหน้า ในยามนี้นางมิได้สนใจความแตกต่างระหว่างชายหญิงอีกต่อไปแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกตัวย่ากวงกลับไป หลังจากนั้นจึงเรียกตัวเจ้าคำรามน้อยออกมาให้มันขยายร่างใหญ่ขึ้น

“เย่ว์เย่ว์ เจ้าบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ได้อย่างไร” เมื่อเจ้าคำรามน้อยเห็นบาดแผลบนร่างซือหม่าโยวเย่ว์จึงพูดเจือสะอื้นว่า “เป็นเพราะเจ้าคำรามน้อยไม่ดีเอง มิได้อยู่ด้วยในยามวิกฤติ”

“ข้าไม่โทษเจ้าหรอก เจ้าขยายร่างให้ใหญ่อีกหน่อยสิ ให้พอสำหรับสิบคนนั่งเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าพูด

“ได้เลย”

เจ้าคำรามน้อยร่างวูบไหวแล้วขยายร่างใหญ่ขึ้น แม้คนสิบคนจะนอนบนนั้นก็ไม่เป็นปัญหา

“โยวเย่ว์ เหตุใดต้องใช้พื้นที่สำหรับสิบคนเลยเล่า” เจ้าอ้วนชวีไม่เข้าใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปที่บริเวณห่างออกไปปราดหนึ่ง นัยน์ตาเปล่งประกายเยียบเย็น “เพราะว่าพวกเราจะพาศัตรูกลับไปด้วยอีกหลายคนเลยน่ะสิ”

………………

“เป่ยกง หนีเร็วเข้าสิ!”

เมื่อพวกเว่ยจือฉีทั้งสามคนเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็พากันตะโกนอย่างร้อนรนด้วยสายตาแดงก่ำ

เป่ยกงถังมองหางขนาดยักษ์ที่ฟาดลงมาใส่ตนเองอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง เมื่อครู่นางได้เรียนรู้ความร้ายกาจของมันแล้ว ถ้าหากถูกมันฟาดใส่เต็มๆ ตนจะต้องได้ไปพบท่านพญายมจริงๆ แน่นอน

ทว่านางขยับตัวไม่ไหว ขาของนางเพิ่งหักไป ตอนนี้จะขยับสักทีก็ยากลำบากยิ่งนัก นางจึงได้แต่หลับตาลงอย่างจนใจ รอคอยวาระสุดท้ายของชีวิต

“เมิ่งจี ขอโทษด้วย ข้ามิอาจอยู่รอเจ้าตื่นขึ้นมาได้แล้ว ท่านแม่ น้องชาย ขอโทษนะ ข้ามิอาจรักษาสัญญา ที่ว่าจะกลับไปพบทุกคนได้แล้ว…”

ทว่าความเจ็บปวดที่คาดคิดเอาไว้กลับมิได้มาถึง แต่กลับได้ยินเสียงโครมครามเสียงหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงหางงูฟาดใส่พื้นดินข้างกาย

“โยวเย่ว์!”

น้ำเสียงยินดีลอยมาเข้าหูเป่ยกงถัง เธอลืมตาขึ้นมองก็เห็นแผ่นหลังอันแน่วแน่ของซือหม่าโยวเย่ว์ ส่วนอาวุธที่เธอถือเอาไว้นั้นก็คือกระทะก้นแบนใบหนึ่ง!

ซือหม่าโยวเย่ว์หันหน้ามามองนางแล้วพูดว่า “เป่ยกง ข้ามาแล้ว”

ถ้าหากมิใช่เพราะอาวุธในมือน่าขำเกินไป เป่ยกงถังจะต้องรู้สึกว่าซือหม่าโยวเย่ว์ในขณะนี้สง่างามมากอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เจ้าอาวุธอันน่าขันนั้นทำลายภาพลักษณ์ของเธอไปจนหมดสิ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นสายตาของเป่ยกงถังจับจ้องอยู่ที่กระทะก้นแบนในมือจึงหัวเราะเยาะเสียงหนึ่งแล้วพูดว่า “สถานการณ์คับขัน จึงได้แต่ด้นสดน่ะสิ”

เธอเองก็หมดคำพูดกับกระทะก้นแบนในมือเช่นกัน ตอนที่เข้ามาเห็นเจ้างูเหอฮวานนั่นกำลังจะฟาดหางลงบนร่างเป่ยกงถัง เธอจึงเรียกหลิงหลงออกมาโดยไม่ทันคิดใคร่ครวญ แต่เธอคิดไม่ถึงว่าหลิงหลงกำลังแปลงร่างเป็นกระทะก้นแบนอยู่โดยบังเอิญ แล้วถูกเธอหยิบออกมาพอดี

หยิบกระทะก้นแบนมาช่วยคน เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในอดีต และคงไม่มีใครทำในอนาคตแน่

สำหรับความรังเกียจต่อซือหม่าโยวเย่ว์นั้น หลิงหลงก็มีความแค้นอันไร้ที่สิ้นสุด เพราะภาพลักษณ์ของนางถูกซือหม่าโยวเย่ว์บดขยี้แหลกลาญไปหมดแล้ว

ทุกคนได้สติกลับคืนมาจากความตกตะลึงแล้วจึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร

“โยวเย่ว์ เจ้ารีบหนีเร็วเข้า นี่คืออาณาเขตของงูเหอฮวาน เพียงแค่สูดกลิ่นที่มันปล่อยออกมา บุรุษล้วนต้องสิ้นไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง!” เป่ยกงถังตะโกนอย่างกระวนกระวาย

ซือหม่าโยวเย่ว์มองงูเหอฮวานที่ถูกตนตีส่วนเจ็ดนิ้วจนได้รับบาดเจ็บนอนดิ้นอยู่บนพื้นปราดหนึ่ง ด้านหนึ่งคือเป่ยกงถังที่ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งพวกเว่ยจือฉีทั้งสามคนและย่ากวงที่ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บแต่นอนปวกเปียกอยู่บนพื้น แล้วจึงเข้าใจว่าเพราะเหตุใดพวกเขาถึงติดอยู่กับงูเหอฮวานที่เพิ่งเลื่อนระดับเป็นสัตว์อสูรทิพย์ตนนี้

ซือหม่าโยวเย่ว์ก้มตัวลงไปอุ้มเป่ยกงถังขึ้นมา แล้วพยุงนางไปถึงข้างกายพวกเว่ยจือฉี ก่อนจะหยิบยาวิเศษขวดหนึ่งออกมามอบให้นางพลางเอ่ยว่า “ยังกินยาวิเศษเองได้อยู่หรือไม่”

เป่ยกงถังพยักหน้าก่อนจะคว้ามือเธอเอาไว้พลางพูดว่า “โยวเย่ว์ เจ้ามิใช่สตรี อีกประเดี๋ยวอาจถูกพิษเข้าได้ เจ้าอาศัยจังหวะที่เจ้างูเหอฮวานนั่นยังไม่เข้ามารีบหนีไปเสียดีกว่า!”

“ใช่แล้ว โยวเย่ว์ เจ้ารีบหนีไปเร็วเข้าสิ!” เจ้าอ้วนชวีนอนนิ่งไม่อาจขยับเขยื้อนอยู่บนตัวย่ากวงพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดขึ้น

ถึงแม้ว่าเว่ยจือฉีและโอวหยางเฟยจะไม่ได้เอ่ยคำพูด แต่สายตาที่พวกเขามองเธอก็แสดงความหมายออกมาอย่างชัดเจนแล้ว

“นี่! เจ้ามนุษย์สมควรตาย ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!” งูเหอฮวานค่อยได้สติกลับคืนมา แล้วพ่นพิษงูเข้าใส่ซือหม่าโยวเย่ว์

ส่วนเจ็ดนิ้วเป็นบริเวณที่อ่อนแอที่สุดของพวกมันเผ่าพันธุ์งู เมื่อถูกเธอโจมตีอย่างรุนแรงทำให้มันต้องใช้เวลาสักพักจึงจะกลับสู่สภาวะปกติ

“โยวเย่ว์…” เป่ยกงถังผลักตัวซือหม่าโยวเย่ว์ให้เธอรีบหนีไป

ซือหม่าโยวเย่ว์ตบหลังมือนางเบาๆ พลางเอ่ยว่า “วางใจเถิด ของเหล่านั้นของมันใช้กับข้ามิได้หรอก”

พูดจบเธอก็หยิบกระทะก้นแบนอันน่าอายใบนั้นขึ้นมาแล้วยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ประจันหน้ากับงูเหอฮวาน

“แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยรู้ว่ามีงูอย่างเจ้าอยู่มาก่อนเลย สิ่งมีชีวิตเพศผู้ล้วนทำอะไรเจ้ามิได้ทั้งสิ้น ทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่มาได้จนถึงบัดนี้ วันนี้ข้าอยากกินน้ำแกงงูอยู่พอดี เจ้าก็สละตัวเองเสียหน่อยสิ!”

งูเหอฮวานหัวเราะเยียบเย็นเสียงหนึ่งกับคำยั่วยุของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “ช่างเป็นเด็กที่โอหังนัก เจ้าอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว อีกประเดี๋ยวก็จะสูญเสียพละกำลังไปเหมือนกับเพศผู้พวกนั้นแหละ จนถึงตอนนี้ยังมีหน้ามาเกรี้ยวกราดเช่นนี้อยู่อีก!”

ซือหม่าโยวเย่ว์กุมกระทะก้นแบนในมือแน่นแล้วพูดว่า “ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า ของของเจ้าไม่มีประโยชน์กับข้าหรอก มิฉะนั้นเหตุใดจนถึงตอนนี้ข้าจึงยังไม่สูญเสียพละกำลังไปอีกเล่า”

“เป็นไปไม่ได้!” งูเหอฮวานเชื่อมั่นในความสามารถของตนเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มิได้เป็นสิ้นเรี่ยวแรงล้มลงไปก็เกิดความลังเลอยู่บ้าง

“มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าบอกตั้งแต่เมื่อใดเล่าว่าข้าเป็นบุรุษ”

พูดจบแล้วเธอก็อาศัยจังหวะที่มันกำลังตะลึงงันพุ่งตัวเข้าไป

ตอนนี้สัตว์อสูรทิพย์มิใช่สิ่งที่เธอจะสู้ตามลำพังคนเดียวได้ เธอต้องอาศัยจังหวะที่มันยังไม่ทันตั้งตัวโจมตีส่วนเจ็ดนิ้ว เช่นนี้จึงจะมีโอกาสชนะได้

งูเหอฮวานตอบสนองกลับมาอย่างรวดเร็ว มันตวัดหางแล้วโจมตีเข้าใส่ซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์เบี่ยงร่างไปทางซ้ายอย่างรวดเร็ว หลบเลี่ยงการโจมตีอย่างชาญฉลาด ทั้งยังฉวยโอกาสเข้าใกล้อีกหลายก้าว ร่นระยะห่างระหว่างงูเหอฮวาน

พวกเจ้าอ้วนชวีต่างก็ตะลึงงันเพราะคำพูดประโยคสุดท้ายของซือหม่าโยวเย่ว์เช่นเดียวกัน พวกเขามองเธอที่ต่อสู้กับงูเหอฮวานอยู่อย่างงงงัน ในหัวยังมีคำพูดประโยคนั้นของเธอสะท้อนก้องอยู่

“ข้าบอกตั้งแต่เมื่อใดเล่าว่าข้าเป็นบุรุษ”

หากเขามิใช่บุรุษ จะบอกว่าเป็นอิสตรีอย่างนั้นหรือ

คนทั้งสี่ต่างไม่เชื่อ แต่เธอมิได้ถูกกลิ่นหอมของงูเหอฮวานทำร้าย จนบัดนี้ก็ยังมีเรี่ยวแรงต่อตีกับมันอยู่ ดูจากการกระโจนขึ้นลง หลบหลีกซ้ายขวานั้นก็มองออกแล้วว่าพลังจิตของเธอยังสมบูรณ์ดียิ่ง

ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงยอมรับความจริงอันชวนให้คนพรั่นพรึงนี้อย่างรวดเร็ว…

ซือหม่าโยวเย่ว์เป็นอิสตรีจริงๆ เสียด้วย!

“ปรมาจารย์วิญญาณขั้นห้า!”

คลื่นความพรั่นพรึงลูกก่อนยังไม่หายไป เพราะการใช้พลังวิญญาณจึงทำให้พวกเขารู้พลังยุทธ์ที่แท้จริงของซือหม่าโยวเย่ว์ ซึ่งทำให้พวกเขาตกตะลึงอย่างรุนแรงอีกครั้ง

“ข้ามิได้ตาฝาดไปกระมัง” เจ้าอ้วนชวีคิดจะเอื้อมมือไปขยี้ตา แต่กลับพบว่ามิอาจขยับเขยื้อนได้ จึงได้แต่กะพริบตาแรงๆ เพื่อให้รู้ว่าตนเองมิได้ตาฝาดไป

“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพลังยุทธ์ของโยวเย่ว์จะไปถึงระดับปรมาจารย์วิญญาณขั้นห้าแล้ว” เว่ยจือฉีอุทานออกมา

“ปรมาจารย์วิญญาณขั้นห้าต่อกรกับสัตว์อสูรทิพย์…” โอวหยางเฟยยังพูดไม่ทันจบประโยค แต่ทุกคนต่างก็เข้าใจความหมายของเขา

ผู้ฝึกวิญญาณ ปรมาจารย์วิญญาณ และมหาปรมาจารย์วิญญาณต่อกรกับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำได้ มหาปรมาจารย์วิญญาณระดับสูง ราชาวิญญาณ และบรรพวิญญาณต่อกรกับสัตว์อสูรทิพย์ได้ ตอนนี้งูเหอฮวานไปถึงระดับสัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่งแล้ว อย่างน้อยก็ต้องเป็นมหาปรมาจารย์วิญญาณจึงจะอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับมันได้

แต่ตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งจะเป็นเพียงปรมาจารย์วิญญาณขั้นห้าเท่านั้น คิดอยากเอาชนะสัตว์อสูรทิพย์สักตน ไม่ต้องพูดก็รู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว

“ข้าเชื่อว่าโยวเย่ว์มิใช่คนหุนหันพลันแล่น ในเมื่อนางลุกยืนขึ้นมาได้ ก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก” เจ้าอ้วนชวีมองแผ่นหลังซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสายตาแน่วแน่ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเริ่มเชื่อมั่นในตัวนางถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด

“ข้าก็เชื่อในตัวนางเช่นกัน” เป่ยกงถังพูด

เมื่อกินยาวิเศษที่ซือหม่าโยวเย่ว์ให้ลงไปเรียบร้อยแล้ว อาการบาดเจ็บที่หน้าอกก็บรรเทาลงไปไม่น้อย เวลาพูดจาก็มิได้เหนื่อยหอบถึงเพียงนั้นอีกต่อไปแล้ว

“วันนี้โยวเย่ว์ทำให้พวกเราพรั่นพรึงกันไม่น้อยเลยจริงๆ แต่ปรมาจารย์วิญญาณคนหนึ่งคิดจะต่อสู้เอาชนะสัตว์อสูรทิพย์นั้นดูเหมือนว่าคงจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ” เว่ยจือฉีพูด

“ไม่แน่ว่านางอาจจะสร้างปาฏิหาริย์ก็เป็นได้!” เป่ยกงถังมองตรงไปยังซือหม่าโยวเย่ว์

นางเชื่อว่าซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ใช่คนพูดจาเรื่อยเปื่อย เมื่อครู่ตอนที่นางพูดกับตน นางได้เห็นแววตาเชื่อมั่นในตัวเองในดวงตาของโยวเย่ว์ แววตานั้นทำให้ตนเชื่อมั่นว่าวันนี้นางจะต้องสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

โอวหยางเฟยมองซือหม่าโยวเย่ว์ เขาเองก็อยากจะเชื่อว่านางจะต้องเอาชนะงูเหอฮวานตนนั้นได้

แต่ความแตกต่างระหว่างระดับพลังยุทธ์นี้มากมายเกินไป นางจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้จริงๆ น่ะหรือ

…………………

หมัวซามิได้ปฏิเสธ เพราะเดิมทีที่เขาเต็มใจสอนเธอหลอมยาตั้งแต่แรกก็เพราะมีจุดประสงค์เช่นนี้จริงๆ นั่นแหละ

“ข้ากลับก่อนนะ ข่าวที่คนชิงผลอสรพิษทองคำไปมีวิหคสี่ปีกอยู่ในครอบครองจะต้องแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วแน่นอน เจ้าเก็บตัวในเขาไปก่อนจะเป็นการดีที่สุดแล้วออกไปด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรด้วยพลังยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ คงไม่มีใครสงสัยเจ้าหรอก”

หมัวซาพูดจบก็เข้าไปภายในมณีวิญญาณ แล้วไปอยู่ข้างๆ ต้นผลอสรพิษทองคำ

เจ้าวิญญาณน้อยได้นำต้นผลอสรพิษทองคำลงไปปลูกในกระถางต้นไม้เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้จะเห็นว่าเพิ่งผ่านการเปลี่ยนดินมาเมื่อครู่ ทว่าผลอสรพิษทองคำกลับไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใดเลย

“ข้าใช้กระถางปลูกมันเป็นพิเศษ” เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นข้างกายหมัวซาแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้านี่จำเป็นต้องดูดซับแสงจันทร์ในยามราตรีเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังของตัวเอง เช่นนี้จะทำให้นางหยิบยกออกมาได้อย่างสะดวกในภายหน้า”

“อืม เจ้าคิดคำนวณได้รอบคอบดีนะ” หมัวซาพยักหน้า วิญญาณลอยไปนั่งลงใกล้ๆ ต้นผลอสรพิษทองคำ ก่อนจะเริ่มต้นหลับตานั่งสมาธิ

เจ้าวิญญาณน้อยเห็นเช่นนี้จึงหายตัวไปอย่างไร้สุ้มเสียงดังเช่นตอนที่มันมาอย่างเงียบเชียบ

หลังจากที่หมัวซาจากไปแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ให้เจ้าวิหคน้อยเลือกสถานที่แห่งหนึ่งร่อนลงพื้น หลังจากนั้นจึงเก็บมันเข้าไปไว้ภายในมณีวิญญาณ

หมัวซาพูดไว้ไม่ผิดเลย เรื่องที่เธอขี่วิหคสี่ปีกนั้นแพร่กลับไปถึงเมืองเหยียนอย่างรวดเร็ว ถ้าหากตนยังขี่มันกลับไปอีก เกรงว่าคงนำพาเรื่องยุ่งยากอันไม่จำเป็นมาให้แน่นอน

แต่ถ้าหากเธอปลอมแปลงตัวตน คนระดับปรมาจารย์วิญญาณคนหนึ่งย่อมไม่มีทางดึงดูดความสนใจใครอยู่แล้ว ถึงอย่างไรตอนนี้ก็มาถึงพื้นที่ชั้นกลางแล้ว ไม่เป็นอันตรายมากมายอะไรสำหรับเธอ

เธออุ้มเจ้าคำรามน้อยเอาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเลือกต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง ไม่กี่อึดใจก็ปีนขึ้นไปยังกิ่งก้านสาขาของมันแล้วเลือกกิ่งหนาใหญ่เพื่อนอนพักหนึ่งคืน

ยามที่แสงแห่งอรุณแสงแรกสาดส่องต้องใบหน้า เธอก็ตื่นนอนก่อนจะกระโจนลงมาบนพื้นดินแล้วปรบมือ  หลังจากให้เจ้าคำรามน้อยจำแนกทิศทางของพื้นที่รอบนอกแล้วจึงเริ่มออกเดินทาง

หลังจากเดินมาครึ่งวัน เธอก็พบกับบรรดาคนที่กำลังเดินทางออกไปเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าตอนที่พวกเขาเห็นเธอจะมิได้เชื่อมโยงกับคนที่เห็นเมื่อคืน ทว่ายังคงรู้สึกประหลาดใจที่เธอเดินทางอยู่ในพื้นที่ชั้นกลางเพียงคนเดียวอยู่ดี

ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ใส่ใจสายตามองประเมินเหล่านั้นเลย เธอมิได้มีความสนใจต่อคนพวกนี้ ทั้งยังคร้านจะชวนพวกเขาสนทนาอีกด้วย

ระหว่างเดินทางเธอได้ติดต่อกับย่ากวงครั้งหนึ่งแล้วพบว่าพวกเขามิได้อยู่ห่างไกลจากกันมากนัก จึงคิดว่าทั้งสองน่าจะออกไปพร้อมกันได้

เจ้าคำรามน้อยหมอบอยู่บนบ่าซือหม่าโยวเย่ว์ตลอดการเดินทาง มิได้เดินด้วยตัวเองเลย แต่เมื่อได้สนทนาพูดคุยกับมันระหว่างทางนั้นทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าเส้นทางไม่ได้ยาวไกลมากเกินไปนัก

“เจ้านาย ช่วยด้วย!”

ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังคุยเรื่องตลกกับเจ้าคำรามน้อยอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือของย่ากวง

“ย่ากวง เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ” เมื่อได้ยินเสียงเรียก ซือหม่าโยวเย่ว์จึงถามขึ้นอย่างกระวนกระวาย

“เจ้านาย มาเร็วเข้า พวกเราไม่ไหวแล้ว ท่านรีบมาเร็วเข้า!”

ย่ากวงพูดจบแล้วก็มิได้ส่งเสียงใดอีก ทำเอาซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจจนสะดุ้งตัวลอย แต่เมื่อสัมผัสถึงสายสัมพันธ์ระหว่างมันได้จึงค่อยคลายใจลงบ้างเล็กน้อย

“เจ้าคำรามน้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกนเรียก

“เย่ว์เย่ว์ ขึ้นมาเร็วเข้าสิ”

เจ้าคำรามน้อยร่างกายขยายใหญ่พอให้ซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นไปนั่งได้ หลังจากนั้นจึงพาเธอเหินทะยาน

โชคดีที่ระยะห่างระหว่างพวกเขาไม่ไกลมากนัก หลังผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมง เธอก็ได้กลิ่นคาวเลือดเข้มข้น รวมทั้งกลิ่นหอมละมุนจางๆ สายหนึ่งที่ปะปนมาในอากาศด้วย

“ไอ้หยา… เย่ว์เย่ว์ ข้าหมดแรงแล้ว” เจ้าคำรามน้อยพูดขึ้นมาอย่างฉับพลัน

“เจ้าคำรามน้อย เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์สัมผัสความผิดปกติของเจ้าคำรามน้อยได้จึงเอ่ยถามขึ้น

“เย่ว์เย่ว์ อากาศนี่ออกจะแปลกพิกลอยู่นะ คล้ายกับจะทำให้พลังในร่างข้าเหือดหายไปหมดสิ้นเลย” เจ้าคำรามน้อยหยุดลง สายตาเริ่มเลือนราง

ซือหม่าโยวเย่ว์รับสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง ตำแหน่งอยู่ห่างจากย่ากวงไม่มากแล้ว ถึงขนาดได้ยินเสียงการต่อสู้รางๆ พื้นที่การต่อสู้น่าจะอยู่ข้างหน้าอีกไม่ไกลแล้ว

“เจ้าคำรามน้อย เจ้ากลับไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวข้าจัดการเรื่องนี้ต่อเอง”

ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวลงมาแล้วเก็บตัวเจ้าคำรามน้อยเข้าไปภายในมณีวิญญาณให้เจ้าวิญญาณน้อยดูแลมัน หลังจากนั้นจึงรีบวิ่งตรงไปด้านหน้า ทันใดนั้นเธอก็พบว่าเบื้องหน้ามีเงาร่างคนหลายคนซ่อนตัวอยู่ ดูจากท่าทีของคนเหล่านั้นแล้วน่าจะกำลังลอบสังเกตการณ์เหตุการณ์เบื้องหน้าอยู่

“พี่ใหญ่ คิดไม่ถึงว่าเจ้าคนพวกนี้จะต้านรับงูเหอฮวานได้นานถึงเพียงนี้”

“ตอนนี้พวกเขาก็ได้แต่อาศัยการต้านทานของเป่ยกงถังผู้นั้นแล้ว ขอเพียงแค่นางล้มลงไปเสีย อีกสามคนที่เหลือก็จบเห่แล้วล่ะ”

“ไม่ว่าอย่างไรคราวนี้พวกเขาก็ตายแน่แล้ว!”

“ฮ่าๆ เป็นเพราะความฉลาดของพี่ใหญ่แท้ๆ ที่คิดล่อลวงให้พวกเขามาอยู่ในอาณาเขตของเจ้างูเหอฮวานนี่”

ชายที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นแล้วพูดขึ้น “คิดไม่ถึงว่าฝูงหมาป่าเมื่อคราวก่อนจะมิอาจฆ่าพวกเขาให้ตายได้ แต่กลับมาพบเข้าที่นี่ เสียดายแค่ว่าซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นั้นมิได้อยู่ที่นี่ด้วย มิฉะนั้นหว่านแหครั้งเดียวก็คงจัดการพวกเขาได้หมด!”

“พี่ใหญ่ ในเมื่อพวกเขาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์นั่นก็ต้องอยู่แถวๆ นี้แน่ ขอเพียงแค่จัดการกับเจ้าสี่คนนี้ได้ เจ้าคนไร้ค่านั่นก็อยู่ในกำมือของพี่ใหญ่แล้วล่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เคลื่อนเข้าไปใกล้พวกเขาอย่างเงียบเชียบ ได้ฟังคำพูดของพวกเขาอย่างชัดเจน จึงลอบหัวเราะเยียบเย็นในใจ เธอคิดอยู่แล้วว่าเรื่องหมาป่าเปลวอัคคีเมื่อคราวก่อนนั้นต้องมีเงื่อนงำ ที่แท้ก็มีคนเล่นตลกจริงๆ เสียด้วย!

ความคิดเธอวูบไหวคราหนึ่ง ขวดหยกใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในอุ้งมือ เธอเปิดฝาขวดออก หลังจากนั้นจึงโยนขวดลงไปกลางวงของคนเหล่านั้น

คนผู้หนึ่งที่กำลังมองดูเป่ยกงถังดิ้นรนต่อสู้อยู่ได้ยินความเคลื่อนไหวจึงหันหน้ามาหมายจะดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับพบว่าซือหม่าโยวเย่ว์กำลังยืนมองพวกเขาอยู่ห่างออกไปไม่ไกลด้วยกลิ่นอายเยียบเย็นตลอดร่าง

“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้ามาอยู่หลังพวกข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน” คนผู้นั้นร้องตะโกนออกมาอย่างตกใจ

เมื่อได้ยินเสียงของคนผู้นั้น คนอื่นๆ ก็พากันหันมาด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือคนที่ถูกฝูงหมาป่าไล่ตามสังหารในตอนนั้นนั่นเอง

“ที่แท้เรื่องในตอนนั้นก็เป็นฝีมือของพวกเจ้านี่เอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่พวกเขา นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววอาฆาตอย่างไม่ปิดบัง

กลิ่นอายของเธอทำให้คนเหล่านั้นพรั่นพรึง นี่คือกลิ่นอายที่คนไร้ค่าคนหนึ่งพึงมีอย่างนั้นหรือ

“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ”

เมื่อได้ยินเสียงการต่อสู้เบื้องหน้า ซือหม่าโยวเย่ว์จึงมองตรงไปด้านหน้า ก็เห็นเป่ยกงถังถูกหางของงูเหอฮวานฟาดใส่จนลอยกระเด็นเข้าพอดี หัวใจของเธอบีบรัดแน่นแล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดจะทำอะไร อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้รู้แล้วล่ะ!”

“เจ้าคงยังคิดอยากจะไปช่วยพวกเขาสินะ” พี่ใหญ่ผู้นั้นมองซือหม่าโยวเย่ว์ “เดิมทีคิดเพียงแค่ว่าจะลอบสังหารพวกเจ้าอย่างลับๆ แต่ในเมื่อตอนนี้ถูกเจ้าค้นพบเข้าเสียแล้ว เช่นนั้นก็ส่งเจ้าไปยมโลกตรงๆ เช่นนี้เลยแล้วกัน!”

“เช่นนั้นก็ต้องดูว่าพวกเจ้ามีความสามารถพอหรือไม่!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบก็วิ่งแทรกผ่านตัวพวกเขาตรงไปยังพื้นที่ว่างเบื้องหน้า

คนเหล่านั้นนึกอยากโจมตีเธอ แต่กลับค้นพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่พวกเขามิอาจขยับตัวได้เสียแล้ว

เป่ยกงถังถูกหางงูเหอฮวานฟาดใส่จนลอยกระเด็นออกไปอย่างแรง แล้วร่วงลงไปบนพื้น ทำให้ฝุ่นผงลอยตลบ

“พรวด…”

นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดในลำคอ จากนั้นโลหิตคำหนึ่งก็กระอักออกมาจากปาก ซึ่งในโลหิตที่พ่นออกมานั้นยังมีเศษเล็กเศษน้อยปะปนออกมาอีกด้วย

“เป่ยกง เจ้ารีบหนีไปเร็วเข้า! ไม่ต้องสนใจพวกเราแล้ว!” เว่ยจือฉีนอนแผ่อยู่บนพื้นพลางตะโกนเสียงดังมาทางเป่ยกงถัง

เป่ยกงถังคิดจะยันตัวขึ้นมาจากพื้น ทว่าสองครั้งที่พยายามไปล้วนล้มเหลว มือข้างหนึ่งของนางยันพื้นเอาไว้ ส่วนอีกข้างกุมหน้าอก พลางมองงูเหอฮวานตรงหน้าด้วยสีหน้าซีดขาวแล้วเอ่ยอย่างอ่อนแอว่า

“ในเมื่อตอนนั้นพวกเจ้าบอกว่าพวกเราเป็นพรรคพวกกลุ่มเดียวกัน เช่นนั้นข้าก็มิอาจปล่อยพวกเจ้าทิ้งเอาไว้ที่นี่โดยไม่สนใจได้หรอก!”

“ช่างเป็นเด็กสาวที่กล้าหาญนัก แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ชอบคนพรรค์นี้เอาเสียเลย!” งูเหอฮวานตวัดหางพลางมองเป่ยกงถัง “คิดไม่ถึงว่าเจ้าคนเดียวจะเกาะแกะข้าได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้ ตอนนี้ข้าจะส่งเจ้าไปลงนรก เจ้าวางใจเถิด พอข้าฟาดหางใส่แล้ว เจ้าก็ไม่ต้องสัมผัสความเจ็บปวดของความตายแล้วล่ะ”

พูดจบแล้วมันก็ยกหางขึ้นสูงพลางเล็งสายตาหมายจะฟาดลงบนร่างของเป่ยกงถัง

……………………

หมัวซาสัมผัสได้ว่าภายในลมหมัดนั้นแฝงเอาไว้ด้วยพลังแห่งความหงุดหงิด จึงพาซือหม่าโยวเย่ว์ถอยผ่านอากาศไปหลายสิบเมตรเพื่อหลบหลีกหมัดที่ปะทุออกมาของเจ้าวานรหมัดนี้

“เฮ้… ข้าว่า ท่านมิได้บอกว่าท่านร้ายกาจหนักหนาหรอกหรือ เหตุใดตอนนี้แม้กระทั่งลิงตัวเดียวยังเอาชนะมิได้”  ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นหมัวซาเพียงแค่พาเธอหลบหลีกเท่านั้นจึงเอ่ยขึ้น

“ตอนนี้วิญญาณข้าไม่เสถียร มิอาจสำแดงพลังยุทธ์ออกมาได้หรอก” หมัวซาพูด “นอกจากนี้เพิ่งรับหมัดของมันมา ยังมิทันเตรียมตัวให้ดีก็ต้องตั้งรับอีกแล้ว ข้าเองก็ได้รับบาดเจ็บด้วยเหมือนกัน”

“เอาเถิด ในเมื่อเอาชนะมิได้ พวกเราก็หนีกันก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้นคนอื่นๆ ย่อมต้องคิดจะเข้ามาแย่งชิงด้วยเช่นกัน พอถึงเวลานั้นพวกเราคงลำบากแน่”

พูดจบแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็เรียกเจ้าวิหคน้อยออกมาจากภายในมณีวิญญาณ พอเห็นมันปรากฏตัวขึ้นมาด้วยร่างจริงจึงดีดตัวเหินขึ้นไปบนหลังของมัน

“เจ้าลิงน้อย วันนี้ข้าคงไม่ได้อยู่เล่นกับเจ้าแล้วล่ะนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าวานรอย่างผู้ที่เหนือกว่า ก็เห็นความหงุดหงิดและเดือดดาลของมัน รวมถึงความไม่ยินยอม ทันใดนั้นก็เกิดความอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาในทันใด สิ่งล้ำค่าที่มันเฝ้าอารักขามานับร้อยนับพันปี แต่ตนกลับขุดรากถอนโคนขึ้นมาเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะทำเกินไปอยู่บ้าง

หัวสมองคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว เธอหยิบผลอสรพิษทองคำออกมาผลหนึ่งแล้วโยนไปทางเจ้าวานรพลางเอ่ยว่า “เจ้าลิงน้อย เจ้าอารักขามาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ข้าก็แบ่งให้เจ้าสักหน่อยด้วยแล้วกัน”

เจ้าวานรรับผลอสรพิษทองคำที่ซือหม่าโยวเย่ว์โยนมาเอาไว้ แน่ใจไร้ข้อกังขา พอเงยหน้าก็เห็นเธออาศัยจังหวะขึ้นนั่งบนร่างเจ้าวิหคน้อยหนีไปเสียแล้ว จึงเกิดความไม่เข้าใจขึ้นมาอยู่บ้าง

เดิมทีมันคิดว่าวันนี้มันคงเอาผลอสรพิษทองคำกลับมามิได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะคืนกลับมาให้มันผลหนึ่งเสียได้ สิ่งนี้ออกจะเหนือความคาดหมายของมันอยู่บ้าง

แต่มันต้องการผลอสรพิษทองคำผลเดียวก็เพียงพอแล้ว เพราะมันมิได้คิดจะอาศัยสิ่งนี้ในการเพิ่มพูนพลังยุทธ์ หากแต่ต้องการสิ่งนี้ในการกระตุ้นสายโลหิตภายในกายตนให้ตื่นรู้ ยังดีที่มนุษย์ผู้นี้มิได้ชิงเอาผลอสรพิษทองคำไปจนหมดสิ้น เหลือความหวังเอาไว้ให้มัน มิฉะนั้นต่อให้ต้องจบลงด้วยการระเบิดตัวเอง มันก็จะลากเธอลงเรือลำเดียวกันให้จงได้!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เจ้าวานรผู้โดดเดี่ยวจึงกลับกลายเป็นรู้สึกซาบซึ้งใจต่อซือหม่าโยวเย่ว์อยู่บ้าง ถ้าหากเธอรู้เข้า อาจจะด่ามันว่าโง่เง่าสิ้นดี!

เจ้าวานรกินผลอสรพิษทองคำเข้าไปแล้วเหาะหนีไปยังอีกทิศทางหนึ่ง ปล่อยบรรดาสัตว์อสูรวิเศษและมนุษย์เอาไว้เต็มหุบเขา

ทุกคนยังคงไร้ซึ่งการตอบสนอง สองฝ่ายที่ช่วงชิงผลอสรพิษทองคำกันต่างก็จากไปแล้ว ในหุบเขาไม่มีกลิ่นอายของผลอสรพิษทองคำอีกต่อไป สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นจึงค่อยๆ ได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา พวกที่ระดับขั้นสูงหน่อยจึงเริ่มจากไปก่อน

“ท่านประมุขตระกูล ผลอสรพิษทองคำก็หมดสิ้นไปเช่นนี้น่ะหรือขอรับ” ผู้อารักขาของตระกูลน่าหลานมายังข้างกายน่าหลานเหอ ตอนนี้พวกเขายังคงรู้สึกว่าตนกำลังอยู่ในห้วงความฝัน เมื่อครู่ยังลงมือหนักหน่วงกับผู้อื่นเพื่อผลอสรพิษทองคำอยู่เลย เพียงพริบตาของสิ่งนี้ก็หมดสิ้นไปเสียแล้วหรือ

“ถ้าหากคนผู้นั้นมิใช่จ้าววิญญาณ อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับราชันวิญญาณขั้นสูง มิฉะนั้นจะใช้เคล็ดวิชาลับยกระดับพลังยุทธ์ไปถึงระดับจ้าววิญญาณได้อย่างไรกัน คนเช่นนี้ยังมีสัตว์อสูรวิเศษบินได้อยู่เคียงข้างกายอีกด้วย เจ้าจะไปชิงมาหรือไม่เล่า” น่าหลานเหอคิดว่าคราวนี้เสียแรงเปล่าแล้ว ในใจจึงเกิดเพลิงโทสะลุกโชน แล้วบันดาลโทสะใส่ผู้อารักขาแทน

“ข้าน้อยมิกล้าขอรับ” ผู้อารักขารีบประสานมือคำนับพลางเอ่ยขึ้น

“ไปเก็บข้าวของกลับ ไปจากหุบเขานี่กันก่อนดีกว่า” น่าหลานเหอออกคำสั่ง

“ขอรับ ท่านประมุขตระกูล”

คนของตระกูลน่าหลานจากไปอย่างรวดเร็ว คนอื่นๆ ก็ทยอยกันออกไปจากยอดเขาแห่งนี้ ถึงแม้ว่าการเดินทางในยามราตรีจะไม่ปลอดภัย แต่การรั้งอยู่ที่นี่นั้น ไม่แน่ว่าบรรดาสัตว์อสูรวิเศษเบื้องล่างเหล่านั้นอาจคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้วโจมตีพวกเขา ก็คงลำบากไม่น้อยเลย

ผู้ที่มิได้ขยับตัวเลยมีอยู่สองคน หนึ่งคือซือหม่าเลี่ย อีกคนคือชิงอู๋หยา

ซือหม่าเลี่ยยืนอยู่ที่ยอดเขา มองไปยังทิศทางที่ซือหม่าโยวเย่ว์จากไป เขารู้สึกคุ้นเคยกับเงาร่างสายนั้นอยู่บ้าง แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน นึกอยู่นานสองนานเขาก็ยังนึกไม่ออกว่านั่นคือหลานสาวที่เขาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่

ทว่าชิงอู๋หยากลับจำได้แล้วว่าเป็นซือหม่าโยวเย่ว์ ในตอนแรกที่เห็นวิหคสี่ปีก เขายังคิดว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่ผู้ชิงผลอสรพิษทองคำไปนั้นครอบครองวิหคสี่ปีกตนหนึ่งอยู่พอดี แต่เมื่อเขาจำได้ว่าเจ้าก้อนสีขาวที่นั่งอยู่บนหัวของวิหคสี่ปีกคือเจ้าคำรามน้อยก็มั่นใจแล้วว่านั่นคือซือหม่าโยวเย่ว์แน่นอน

แต่เขากลับมิได้คิดที่จะพูดเรื่องนี้ออกมา นับว่าตอบแทนบุญคุณที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์ช่วยชีวิตเอาไว้ จึงหมุนกายจากไปพร้อมกับพวกเขา

ส่วนซือหม่าเลี่ยนั้นเดิมทีก็เห็นเจ้าคำรามน้อยแล้ว แต่เพราะไม่เคยเห็นวิหคสี่ปีกมาก่อน จึงคิดไปว่ามันคือขนสีขาวบนหน้าผากวิหคสี่ปีก ด้วยเหตุนี้จึงพลาดโอกาสที่จะดูออกว่าเป็นซือหม่าโยวเย่ว์ไป

“ท่านแม่ทัพ ตอนนี้พวกเรายังเอาชนะคนผู้นั้นไม่ได้…” ผู้อารักขาเดินเข้ามาด้านหลังของซือหม่าเลี่ยจึงเห็นว่าเขามองไปยังทิศทางที่ซือหม่าโยวเย่ว์จากไป จึงคิดว่าเขายังไม่ยอมจำนนใจอยู่

“ข้ารู้” ซือหม่าเลี่ยพูด “ให้ทุกคนเก็บข้าวของไปจากที่นี่เสีย”

“ขอรับ ท่านแม่ทัพ”

เพียงไม่นานหุบเขาอันอึกทึกก็สงบลง เหลือเอาไว้เพียงแค่ซากศพของสัตว์อสูรวิเศษที่ตายในการต่อสู้นอนอยู่ที่นั่นเท่านั้น

มิใช่ว่าผู้คนที่จากไปเหล่านั้นจะไม่มีใครให้ความสนใจกับซากศพเหล่านี้ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นล้วนรังเกียจที่มนุษย์ช่วงชิงซากศพ ต่อให้ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันกับตน พวกมันก็ยังไม่ยินยอมภายใต้สถานการณ์เช่นนี้

ตอนนี้สัตว์อสูรวิเศษมีมากกว่า ต่อให้คนเหล่านั้นมีความคิด แต่ก็ยังเลือกจากไปอยู่ดี

ซือหม่าโยวเย่ว์ขี่เจ้าวิหคน้อยบินมุ่งหน้าไปยังทิศทางของพื้นที่รอบนอก นั่งบนหลังมันแล้วมองลงมาเบื้องล่าง ทัศนียภาพของเทือกเขาผู่สั่วภายใต้แสงจันทร์นั้นไม่เลวเลย

หลังออกห่างจากหุบเขามาไกลแล้ว หมัวซาจึงเก็บพลังของตนเองกลับมาแล้วเอ่ยว่า “ข้ากลับก่อนนะ วิญญาณของข้าไม่เสถียรมาโดยตลอด ตอนนี้ยังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ช่วงนี้มิอาจมอบพลังให้เจ้าได้อีกแล้ว”

เมื่อได้ฟังเสียงที่อ่อนแออยู่บ้างของหมัวซา ซือหม่าโยวเย่ว์จึงถามอย่างกังวลใจว่า “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง  ได้รับบาดเจ็บสาหัสใช่หรือไม่”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า พอได้ซึมซับไอพลังที่ต้นผลอสรพิษทองคำแผ่ออกมาสักระยะหนึ่งก็ใช้ได้แล้ว” หมัวซาพูด “รอคราวหน้าที่ข้าออกมา ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกแล้วล่ะ”

“เช่นนั้นท่านอยากจะกินผลอสรพิษทองคำสักผลหนึ่งหรือไม่เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ไม่ต้อง ข้าไม่กินหรอก ตอนนี้วิญญาณของข้าทนรับพลังที่ปะทุออกมาจากผลอสรพิษทองคำไม่ไหวอยู่แล้ว” หมัวซาพูด “แต่ถ้าหากเจ้าอยากให้ข้าฟื้นฟูได้เร็วๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีหรอกนะ”

“วิธีอะไรหรือ”

“หลอมยาวิเศษ” หมัวซาพูด “ขอเพียงแค่เจ้าสามารถหลอมยาวิเศษที่มีประโยชน์ต่อวิญญาณออกมาได้ ข้าก็จะฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขึ้นแล้วล่ะนะ”

“ข้าจะหลอมยาวิเศษศาสตร์มืดออกมาได้อย่างไรกันเล่า” เดิมทีตอนซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังว่ามีวิธีก็ยังตื่นเต้นยินดีอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินเขาพูดถึงยาวิเศษศาสตร์มืดจึงพูดอย่างท้อใจ

“เจ้าลืมองค์ประกอบร่างกายของเจ้าไปเสียแล้วหรือ” หมัวซาพูด

“ร่างมารสว่างหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจ นี่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับการหลอมยาวิเศษศาสตร์มืดด้วยหรือ

“คนที่ครอบครองร่างมารนั้นซึมซับปราณวิญญาณธาตุมืดได้ ขอเพียงแค่มีปราณวิญญาณธาตุมืด แล้วใส่มันเข้าไปตอนที่เจ้าผนึกยา ก็จะกลายเป็นยาวิเศษศาสตร์มืดได้แล้ว” หมัวซาพูด

“หืม ข้าดูดซับปราณวิญญาณธาตุมืดได้ด้วยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างตกใจ “เช่นนั้นยาวิเศษระดับใดจึงมีประโยชน์กับท่านเล่า”

“อย่างน้อยขั้นหก” หมัวซาพูด “ตอนนี้เจ้าหลอมได้เพียงแค่ขั้นหนึ่งเท่านั้น คิดอยากจะหลอมยาวิเศษที่มีส่วนช่วยเหลือข้าได้นั้นยังเร็วเกินไปมากนัก”

ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูกแล้วพูดว่า “ตอนนั้นท่านเจตนาออกมาชี้แนะข้าเรื่องการหลอมยา เพราะมีจุดประสงค์เช่นนี้อยู่แล้วใช่หรือไม่”

เธอว่าแล้วเชียว ตอนนั้นที่เขาสัมผัสได้ว่าตนเป็นร่างมารสว่าง เหตุใดจึงเต็มใจเปิดเผยสายสัมพันธ์การทำพันธสัญญาระหว่างทั้งสองคน ทั้งยังสอนเธอหลอมยาอย่างกระตือรือร้นเช่นนั้นอีกด้วย ที่แท้ก็คิดว่าในภายภาคหน้าตนจะสามารถหลอมยาวิเศษศาสตร์มืดที่มีประโยชน์ต่อเขาได้นี่เอง!

………………………

เป่ยกงถังมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “เจ้าจะไปเองหรือ”

“เจ้าก็เห็นสถานการณ์เบื้องล่างแล้วนี่ ถ้าหากพวกเราลงไปกันหมด เกรงว่าคงจะไม่พอให้คนกับคมเขี้ยวเล็บของสัตว์อสูรเหล่านี้ขย้ำหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้ามีวิธีแฝงตัวไปที่นั่น แต่ไร้หนทางพาพวกเจ้าไปด้วย จือฉี โอวหยาง เจ้าอ้วน พวกเจ้าสามคนต้องทำหน้าที่ผู้พิทักษ์บุปผาให้ดี พอโปรยยาผงนี้ลงบนร่างของคนตระกูลน่าหลานเรียบร้อยแล้วให้รีบถอยกลับทันที อีกสองวันให้หลังพวกเราไปพบกันที่เมืองเหยียน”

“พวกเราจะปล่อยเจ้าไปคนเดียวได้อย่างไรกัน!” เป่ยกงถังไม่ยอมรับขวดยามา

“ข้ายังจัดการธุระของตัวเองไม่เสร็จ ย่อมไม่มีทางเอาชีวิตของตัวเองไปเล่นตลกอยู่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ยัดขวดยาใส่มือเป่ยกงถังแล้วพูดว่า “เชื่อข้าสิ ข้าจะช่วยเจ้านำผลอสรพิษทองคำกลับมาเอง!”

พูดจบแล้วเธอก็รีบพุ่งออกจากพุ่มไม้แล้วมุ่งหน้าวิ่งลงภูเขาไป

“พวกเราก็ไปกันดีกว่า” โอวหยางเฟยพูด “เขามิใช่คนที่จะคุยโวโอ้อวด ในเมื่อเขาบอกว่าเขามีวิธี ย่อมต้องเป็นความจริงแน่นอน บางทีหากพวกเราไปด้วย อาจจะเป็นตัวถ่วงเขาเปล่าๆ นะ”

พวกเว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีมิได้ตอบโต้คำพูดของโอวหยางเฟย เพราะสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง พวกเขารู้สึกมาตลอดว่าตนเองเป็นคนที่โดดเด่นในบรรดาคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่พวกเขากลายเป็นตัวถ่วงของผู้อื่นไปเสียได้

เป่ยกงถังเห็นซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งไปถึงด้านล่างของภูเขา แล้วกระโจนเข้าไปท่ามกลางฝูงสัตว์อสูรวิเศษอย่างไม่เห็นเงา จึงอดเป็นกังวลขึ้นมาในใจมิได้

ความรู้สึกเป็นห่วงผู้อื่นนี้มิได้ปรากฏขึ้นมาเนิ่นนานเท่าใดแล้ว

นางกำขวดหยกในมือแน่น  เก็บความกังวลในใจตัวเองเอาไว้แล้วพูดว่า “พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปโปรยสิ่งนี้บนร่างคนตระกูลน่าหลานเอง”

พูดจบแล้วนางก็เตรียมจะจากไป แต่ถูกโอวหยางเฟยขัดขวางเอาไว้

“พวกเราไปด้วยกันเถิด”

เป่ยกงถังมองสายตาแน่วแน่ของโอวหยางเฟยแล้วจึงพยักหน้า

“พวกเราไม่ต้องโปรยสิ่งนี้บนร่างของน่าหลานเหอ บริเวณค่ายพักแรมของตระกูลน่าหลานจะต้องมีคนอยู่เป็นแน่ พวกเราไปโปรยใส่ในกระโจมของพวกเขาแล้วจากไปกันเถิด” เว่ยจือฉีพูด “ตอนนี้ที่นี่อลหม่านวุ่นวายเหลือเกิน รีบจากไปโดยเร็วจะดีกว่า”

“อืม ไปกัน!”

“ช้าก่อน” เจ้าอ้วนชวีหยุดทุกคนเอาไว้ ก่อนจะหยิบหน้ากากสี่อันออกมาจากภายในแหวนเก็บวัตถุยื่นส่งให้กับทุกคนแล้วเอ่ยว่า “เพื่อปกปิดตัวตน พวกเราสวมหน้ากากเอาไว้ดีกว่านะ”

“เจ้าอ้วน เจ้ามีหน้ากากได้อย่างไรกัน” เว่ยจือฉีถาม

“โยวเย่ว์ให้ข้าไว้น่ะสิ” เจ้าอ้วนชวีสวมหน้ากากแล้วออกเดินนำไป

พวกโอวหยางเฟยทั้งสามคนมองหน้ากากในมือโดยไม่เอ่ยวาจา ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้เตรียมหน้ากากเอาไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อเตรียมทำเรื่องชั่วหรือไร

“พวกเราก็ไปกันเถิด”

ทั้งสามคนสวมหน้ากากแล้วเดินตามเจ้าอ้วนชวีมุ่งหน้าไปยังกระโจมตระกูลน่าหลาน

เพราะไม่รู้ว่าภายในค่ายพักแรมยังมีคนอยู่มากน้อยเพียงใด พอพวกเป่ยกงถังโปรยผงยาทั่วกระโจมเสร็จจึงรีบออกมาโดยมิได้เห็นว่าที่แท้แล้วภายในกระโจมมีใครอยู่กันแน่

น่าหลานหลานที่อยู่นอกกระโจมมองดูเหตุการณ์เบื้องล่างอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตกใจจนหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ วิ่งโซซัดโซเซกลับมายังกระโจม นางที่มีความหวาดกลัวเอ่อล้นอยู่เต็มหัวใจมิได้สังเกตว่าภายในกระโจมมีกลิ่นหอมจางๆ สายหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

พอพวกเว่ยจือฉีลงมือเรียบร้อยแล้วก็เริ่มวิ่งมุ่งหน้าไปยังอีกฟากหนึ่งของภูเขา วิ่งมาได้ไม่ไกลสักเท่าใดก็เห็นย่ากวงกำลังรอพวกเขาอยู่ข้างหน้า

“เจ้านายบอกให้ข้ามาพาพวกท่านกลับไป” ย่ากวงปรากฏกายขึ้นแล้วพูดกับพวกเว่ยจือฉี

ตอนนี้บริเวณรอบนอกก็มีความวุ่นวายอยู่เช่นกัน ถ้าหากเผชิญกับสัตว์อสูรวิเศษที่คลุ้มคลั่ง ย่ากวงที่มีพลังระดับสัตว์อสูรทิพย์ก็ยังแข็งแกร่งกว่าอยู่เล็กน้อย

พวกเว่ยจือฉีก็ปีนขึ้นหลังของย่ากวงโดยไม่อิดออด ให้มันแบกพวกเขาวิ่งมุ่งหน้าออกไปยังพื้นที่รอบนอก

เป่ยกงถังนั่งอยู่คนท้ายสุด นางหันหน้ากลับไปมองหุบเขาที่เอิบอาบไปด้วยประกายการต่อสู้จนสว่างวาบแล้วหรี่ตาลง

ขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากก้อนหินใหญ่ก็หยิบเอาหน้ากากอันหนึ่งขึ้นมาสวม หลังจากนั้นก็วิ่งมุ่งหน้าลงเขาไป

ในขณะที่เธอเข้าไปท่ามกลางฝูงสัตว์อสูร กลิ่นอายบนร่างเธอก็แปรเปลี่ยนไปในทันใด กลิ่นอายตลอดร่างคล้ายกับหายวับไปเฉยๆ ถึงแม้ว่าจะเดินเฉียดผ่านข้างกายคนและสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นก็มิได้ดึงดูดความสนใจของพวกเขาเลย ดังนั้นเธอจึงผ่านฝูงสัตว์อสูรไปได้อย่างรวดเร็วจนมาถึงด้านล่างของหน้าผา เธอกระโจนครั้งหนึ่งก็เหินลอยมาถึงข้างๆ ต้นผลอสรพิษทองคำแล้ว

“โอ้… คิดไม่ถึงว่าพอมีท่านแล้วข้าจะได้สัมผัสความรู้สึกของการโบยบินกับเขาด้วย” หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์ร่อนลงกับพื้นแล้วจึงรำพึงกับหมัวซา

หมัวซาไม่ได้ตอบเธอแต่กลับพูดว่า “ตอนที่เจ้าสัมผัสผลอสรพิษทองคำ พลังที่ข้าใส่ไว้บนตัวเจ้าก็จะหายไป ถึงเวลานั้นเจ้าก็ได้แต่อาศัยตัวเจ้าเองในการชิงผลอสรพิษทองคำลงมาแล้วนะ นอกจากนี้ยังต้องรวดเร็วด้วย ถ้าหากถูกคนหรือสัตว์อสูรวิเศษเบื้องล่างค้นพบเข้า ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คงไม่ต้องให้ข้าพูดแล้วล่ะนะ”

“ข้าเข้าใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

ยอดฝีมือทั้งมนุษย์และสัตว์อสูรวิเศษที่อยู่เบื้องล่างมากมายถึงเพียงนั้น ถ้าหากอาศัยจังหวะลงมือตอนที่ตนเด็ดผลอสรพิษทองคำ หากตนไม่ตายก็ต้องเฉียดประตูนรกแน่นอน

“หากเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ข้าจะดึงพลังกลับมาล่ะนะ” หมัวซาพูดจบ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้สึกว่าพลังที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายตนเมื่อครู่ขุมนั้นหายไป ความรู้สึกเบาสบายเช่นนั้นก็หายไปด้วยเช่นเดียวกัน

เธอหยิบพลั่วที่ยามปกติใช้ขุดวัชพืชภายในมณีวิญญาณออกมา แล้วย่อตัวลงใต้ต้นผลอสรพิษทองคำก่อนจะเริ่มลงมือขุดอย่างระมัดระวัง

ต้นผลอสรพิษทองคำนี้มีความสูงเพียงห้าสิบกว่าเซนติเมตรเท่านั้น แต่กิ่งก้านด้านล่างนั้นกลับมิได้เล็กไปด้วย เพื่อลดการทำร้ายต้นผลอสรพิษทองคำ เธอจึงพยายามขุดรากทั้งหมดขึ้นมาด้วย ในขณะที่เธอกำลังจะทำเสร็จสิ้นสมบูรณ์นั้นเอง เสียงคำรามอย่างเดือดดาลก็ดังลอยมาจากกลางท้องฟ้า

“โฮก…”

วานรที่กำลังต่อกรอยู่กับซือหม่าเลี่ยรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังแตะต้องผลอสรพิษทองคำ มันที่กำลังครองความได้เปรียบจึงล้มเลิกการตามติดโจมตีซือหม่าเลี่ยแล้วหมุนตัวมุ่งโจมตีไปทางซือหม่าโยวเย่ว์แทน

ซือหม่าเลี่ยต่อกรกับเจ้าวานรไปหลายยกจึงคิดจะจากไป แต่เจ้าวานรกลับไม่ให้โอกาสเขาได้หนี ตอนนี้เมื่อเห็นเจ้าวานรผละจากไป ซือหม่าเลี่ยจึงอาศัยจังหวะใช้วิชาตัวเบาเหาะมายังยอดเขาด้านข้าง หมายจะคอยดูว่าที่แท้แล้วเป็นใครกันแน่ที่หลบหลีกสายตาของผู้คนและสัตว์อสูรวิเศษมากมายถึงเพียงนี้จนมาถึงข้างต้นผลอสรพิษทองคำได้

คนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นเหตุการณ์บนหน้าผาเช่นเดียวกัน จึงพากันมองไปยังต้นผลอสรพิษทองคำ ก็เห็นคนสวมหน้ากากกับเสื้อคลุมตัวใหญ่คนหนึ่งกำลังย่อตัวขุดต้นผลอสรพิษทองคำอยู่ที่นั่น

“นั่นมันใครกันน่ะ”

ทุกคนล้วนนึกไม่ออกเลยว่าหลายวันมานี้มีคนลักษณะเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น แม้จะพินิจดูอย่างละเอียดก็ยังมองตัวตนของเธอไม่ออก

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ว่าเจ้าวานรโจมตีมาทางตน เธอมองเห็นว่ายังมีรากเส้นสุดท้ายอยู่ในดิน จึงกลั้นใจกระชากต้นผลอสรพิษทองคำขึ้นมาแล้วโยนเข้าไปภายในมณีวิญญาณ

ในขณะที่ต้นผลอสรพิษทองคำหายวับไปนั้นเอง พลังของหมัวซาก็พรั่งพรูเข้ามาในร่างกายเธออีกครั้ง ยังไม่ทันเตรียมตัวเสร็จดี เจ้าวานรก็วิ่งเข้ามาเสียแล้ว ได้แต่ทนรับหมัดของมันเอาไว้

“ฟิ้ว…” ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกเจ้าวานรชกจนลอยกระเด็น โลหิตสาดกระเซ็นกลางท้องฟ้า ในท้ายที่สุดก็พลิกกายเหาะเหินไปกลางอากาศ

ในขณะนี้เองทุกคนจึงเห็นรูปลักษณ์ของเธอได้อย่างชัดเจน เงาร่างนั้นบอบบางอยู่เล็กน้อย แต่กลับมิอาจบดบังกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเธอได้เลย

“จ้าว…จ้าววิญญาณหรือ” ซือหม่าเลี่ยพูดอย่างไม่แน่ใจ

“ท่านประมุขตระกูล ดินแดนอี้หลินมีจ้าววิญญาณปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดกันขอรับ”

“ไม่ นั่นมิใช่จ้าววิญญาณ กลิ่นอายของเขาเบาบางยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่ามิใช่พลังยุทธ์ที่แท้จริง”

“…”

“เจ้ามนุษย์บังอาจ ถึงกลับกล้ามาช่วงชิงผลอสรพิษทองคำของข้า!” เจ้าวานรเห็นว่าแม้กระทั่งต้นผลอสรพิษทองคำก็ยังถูกขุดขึ้นมาเสียแล้ว จึงเดือดดาลไม่น้อย นอกจากนี้เมื่อครู่ยังรับหมัดของมันเข้าไปเต็มๆ แต่กลับไม่ตาย ทำให้มันทวีความเดือดดาลมากยิ่งขึ้นไปอีก มันดีดตัวขึ้น กำปั้นมหึมาโจมตีเข้าใส่ซือหม่าโยวเย่ว์อีกครั้ง

…………………

ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูกตนเองแล้วเอ่ยประโยคที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เชื่อออกมา

“แค่กๆ คนบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างข้าจะไปทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า”

พอพวกเจ้าคำรามน้อยที่อยู่ในมณีวิญญาณได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็พากันกลอกตา

เว่ยจือฉีมองเธอด้วยสีหน้าบ่งบอกว่าเจ้ากำลังหลอกลวงผู้อื่นอยู่ หากมิใช่เพราะรู้พลังยุทธ์ของเธออยู่แล้ว พวกเขาก็คงจะเชื่อ แต่ผ่านการผจญภัยที่เทือกเขาผู่สั่วในครั้งนี้ พวกเขาก็ได้รู้ว่าเธอมิได้อ่อนแอไปกว่าพวกเขาเลย หรืออาจจะร้ายกาจกว่าพวกเขาเสียอีก ไม่มีทางหลอกพวกเขาได้หรอก!

“ไม่ว่านี่จะใช่ฝีมือเจ้าหรือไม่ ฟังความหมายของพวกน่าหลานหลานแล้ว กลับไปคราวนี้จะต้องไปหาเรื่องตระกูลซือหม่าแน่” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างกังวลใจอยู่บ้าง

ก่อนหน้านี้เขาไม่ใส่ใจเรื่องราวระหว่างตระกูลซือหม่ากับตระกูลน่าหลานเลย แต่ตอนนี้เขาเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เป็นพี่น้อง ก็ต้องเห็นเรื่องของเธอเป็นเหมือนเรื่องของตนอยู่แล้ว

“เรื่องที่เจ้าทำให้น่าหลานหลานถูกไล่ออกในคราวนั้น ตระกูลน่าหลานย่อมต้องมีความคับแค้นเจ้าอยู่ในใจ ข้าได้ยินมาว่ายังคอยกดดันครอบครัวเจ้าตลอดหลายเดือนมานี้อีกด้วย หากมิใช่เพราะท่านแม่ทัพซือหม่ามีอำนาจกองทัพอยู่ในมือ พวกเขาจะต้องลงมือแล้วอย่างแน่นอน” เว่ยจือฉีพูด “ถึงแม้ว่าน่าหลานฉีผู้นั้นจะเป็นคนไม่เอาไหน แต่ก็เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของน่าหลานเหอ ถ้าหากรู้ว่าเจ้าสังหารเขา  พวกเขาจะต้องใช้มาตรการที่รุนแรงยิ่งขึ้นอีกอย่างแน่นอน”

สำหรับเรื่องที่เว่ยจือฉีบอกว่าเธอสังหารน่าหลานฉีนั้นเธอก็มิได้ปฏิเสธเลย เธอเองก็นึกถึงความกังวลใจที่พวกเขามีต่อเธอเช่นกัน

“ในเมื่อเขาบอกว่าจะกลับไปหาเรื่องท่านปู่ เช่นนั้นพวกเราก็ฆ่ารัดคอเสียแต่เนิ่นๆ เลยไม่ดีกว่าหรือ”

เมื่อได้ฟังคำพูดอันไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อยของซือหม่าโยวเย่ว์ ในใจของทุกคนก็สั่นสะท้าน

“จุ๊ๆ เมื่อครู่เพิ่งบอกว่าตนเป็นคนบริสุทธิ์อยู่หยกๆ ตอนนี้กลับพูดวาจานี้ออกมาอย่างง่ายดายเสียได้” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยเหน็บแนมเธอ

ซือหม่าโยวเย่ว์มองค้อนเขาปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ความบริสุทธิ์นี่ก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายด้วย มังกรมีเกล็ดย้อนกลับ ใครกล้าสัมผัสล้วนต้องวางวาย หากใครหน้าไหนกล้าแตะต้องครอบครัวข้า ข้า ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่มีทางปล่อยให้มันตายดีแน่!”

คนทั้งสี่ล้วนอ่อนไหวเพราะคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ มังกรมีเกล็ดย้อนกลับ ใครกล้าสัมผัสล้วนต้องวางวาย พวกเขาจะมิใช่ได้อย่างไรกัน!

“โฮก…”

เสียงคำรามอย่างเกรี้ยวโกรธเสียงหนึ่งดังลอยมาจากหุบเขาฝั่งตรงข้าม ทำเอาผู้คนที่กำลังรอให้ผลอสรพิษทองคำสุกงอมพากันสะดุ้งตัวลอย

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”

“ไม่รู้สิ เหตุใดจู่ๆ เจ้าสัตว์อสูรเทพนี่จึงเดือดดาลขึ้นมาอย่างฉับพลันเล่า”

“ดูเหมือนว่าจะมีใครเฉียดเข้าใกล้ผลอสรพิษทองคำแน่!”

“เป็นสัตว์อสูรวิเศษตนหนึ่ง สวรรค์เอ๋ย นั่นมันสัตว์อสูรทิพย์ขั้นเก้า!”

“พวกเขาสู้กันแล้ว!”

“……”

พวกซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นยืน ปีนขึ้นไปบนก้อนหินแล้วมองไปทางหุบเขา ก็เห็นสัตว์อสูรวิเศษสองตนต่อสู้กัน การต่อสู้นั้นยังกระทบไปถึงสัตว์อสูรวิเศษที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ด้วย ทำให้พวกมันถอยไปด้านหลังเป็นระยะทางไม่น้อย

“สัตว์อสูรทิพย์ตนนั้นร้ายกาจจริงๆ ต่อสู้กับสัตว์อสูรเทพได้เลยทีเดียว” เจ้าอ้วนชวีเห็นการต่อสู้ด้านล่างแล้วอดจุ๊ปากมิได้

“นั่นเป็นเพราะว่าสายโลหิตของมันสูงกว่าสัตว์อสูรเทพตนนั้นมากพอสมควรเลยน่ะสิ” เว่ยจือฉีพูด “สายโลหิตสัตว์อสูรวิเศษนี้เมื่อไปถึงระดับขั้นหนึ่งก็จะสามารถขจัดแรงกดดันจากระดับขั้นได้แล้ว แต่จะเอาชนะได้หรือไม่ก็ต้องดูความสามารถของแต่ละคนด้วย”

“สัตว์อสูรเทพตนนั้นซ่อนเร้นความสามารถของตัวเองเอาไว้ สัตว์อสูรทิพย์จะแพ้แล้ว!” เป่ยกงถังพูด

คนอื่นๆ ไม่รู้ว่าเป่ยกงถังรู้ได้อย่างไร แต่หลังจากที่นางเพิ่งเอ่ยวาจาออกไปไม่นาน สัตว์อสูรทิพย์ตนนั้นก็ถูกโจมตีจนล้มลงไปกองกับพื้น หายใจรวยริน

“วานรตนนั้นไปถึงระดับสัตว์อสูรเทพขั้นสองแล้วนี่นา!”

ผู้คนที่ชมดูอยู่รอบๆ แต่ละคนพากันตื่นตะลึงกับพลังยุทธ์ที่สัตว์อสูรเทพแผ่ออกมาในท้ายที่สุด จึงวุ่นวายขึ้นมาพร้อมๆ กัน

“ท่านแม่ทัพขอรับ คิดไม่ถึงว่าวานรตนนั้นจะเป็นถึงสัตว์อสูรเทพขั้นสอง เช่นนั้นการช่วงชิงผลอสรพิษทองคำของพวกเราย่อมทวีความยากขึ้นอย่างมหาศาลแล้ว!” ทหารติดตามด้านหลังซือหม่าเลี่ยคนหนึ่งพูดขึ้น

เดิมทีสัตว์อสูรเทพขั้นหนึ่งกับราชันวิญญาณขั้นสองมีพลังยุทธ์พอๆ กัน บวกกับความช่วยเหลือของคนอื่นๆ การที่ซือหม่าเลี่ยจะชิงผลอสรพิษทองคำนี้มา ก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้เจ้าวานรเลื่อนไปถึงระดับสัตว์อสูรเทพขั้นสอง พลังการต่อสู้จึงเทียบเคียงได้กับราชันวิญญาณขั้นสี่ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วสูงกว่าเขาอยู่สองระดับ คิดจะเอาชนะมันนั้นความหวังช่างเลือนรางยิ่งนัก

“ผลอสรพิษทองคำนี้ดึงดูดใจคนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เจ้าวานรนี่ก็เลื่อนระดับขึ้นมาอย่างเงียบๆ เสียแล้ว ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้หาจังหวะเหมาะค่อยลงมือ อย่าหุนหันพลันแล่น” ซือหม่าเลี่ยมองดูค่ายพักของตระกูลน่าหลานที่อยู่ห่างออกไปปราดหนึ่ง น่าหลานเหอกำลังสนทนากับผู้ติดตามอยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่ากำลังพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อยู่เช่นเดียวกัน

ก้อนหินใหญ่ที่ซือหม่าโยวเย่ว์และคนอื่นๆ ซ่อนตัวกันอยู่นั้นอยู่ไม่ห่างจากค่ายพักแรมของตระกูลซือหม่าสักเท่าใดนัก เมื่อได้ฟังคำพูดของซือหม่าเลี่ย หัวใจที่ลอยคว้างอยู่ของเธอจึงค่อยคลายลง เธอกลัวแต่ว่าซือหม่าเลี่ยจะเป็นลมเป็นแล้งไปเพราะเรื่องของสิ่งล้ำค่านี้ แล้วจะไปช่วงชิงผลอสรพิษทองคำกับเจ้าวานรด้วยวิธีการที่ประมาทเลินเล่อ ตอนนี้ได้รู้ว่าเขามิได้มีความคิดเช่นนี้จึงค่อยสงบจิตใจลง

แต่เธอกลับคิดไม่ถึงว่าความกระหายอยากของพวกเขาที่มีต่อผลอสรพิษทองคำ สำหรับผู้อื่นแล้วเป็นการไม่รู้จักประมาณตน

ยามราตรีค่อยๆ คืบคลาน ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ส่องสว่างอย่างน่าประหลาด มันลอยสูงอยู่กลางท้องฟ้าเบื้องบนราวกับจานหยก แสงสีเงินยวงอาบไล้ไปตามหุบเขา

บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกได้ว่าผลอสรพิษทองคำกำลังจะสุกงอมแล้ว ทั้งบรรดาสัตว์อสูรวิเศษในหุบเขารวมถึงเหล่ามนุษย์บนภูเขาล้วนมิได้พักผ่อนกันเลย ทุกคนต่างคอยเฝ้าระวังสภาวการณ์ของผลอสรพิษทองคำกันอย่างตื่นเต้น

ซือหม่าโยวเย่ว์จ้องต้นผลอสรพิษทองคำเขม็ง เพราะมีความรู้ความเข้าใจมากกว่าผู้อื่นอยู่เล็กน้อย ดังนั้นจุดที่เธอให้ความสนใจจึงแตกต่างกัน

คนทั่วไปเห็นเพียงว่าผลอสรพิษทองคำกำลังดูดซับแสงจันทร์ ผลที่ยังมิได้เปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามกำลังค่อยๆ สุกงอมอย่างช้าๆ ส่วนเธอกลับเพ่งสายตาอยู่บนลำต้นผลอสรพิษทองคำ

ลำต้นของผลอสรพิษทองคำเปล่งประกายสีขาวจางๆ คล้ายกับถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยเส้นด้ายเงินบางๆ ชั้นหนึ่ง ภายใต้การปกคลุมของแสงจันทร์ หากไม่พินิจดูอย่างละเอียดก็ย่อมไม่มีทางมองออกได้เลย

“นั่นคือไอพลังฟื้นฟูวิญญาณใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นเจ้าวานรนั่งอยู่ข้างต้นผลอสรพิษทองคำ กำลังดูดซับไอที่ผลอสรพิษทองคำแผ่ออกมาอย่างขะมักเขม้น ดูท่าทางว่าการที่มันสามารถเลื่อนไปถึงระดับสัตว์อสูรเทพขั้นสองได้นั้นต้องมีความเกี่ยวข้องกับไอพลังนี้อย่างแน่นอน

ครึ่งคืนต่อมา ในขณะที่ทุกคนกำลังง่วงเหงาหาวนอนกันอยู่นั้น หมัวซาก็ส่งเสียงเอ่ยว่า “ผลอสรพิษทองคำกำลังจะสุกงอมแล้ว!”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองลำต้นของผลอสรพิษทองคำมาตลอด ก็ย่อมพบเห็นความเปลี่ยนแปลงของผลอสรพิษทองคำแล้ว ผลไม้เจ็ดผลนั้นเปลี่ยนกลายเป็นสีเหลืองทองอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ผลไม้แผ่กลิ่นหอมอันเข้มข้นขจรขจาย เป็นเหตุให้สัตว์อสูรวิเศษในที่นั้นบ้าคลั่งขึ้นมา

สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นรีบพุ่งตัวไปยังริมผา หมายจะไปเด็ดผลไม้ แต่กลับพบว่าผลไม้ถูกแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ ตัดขาดจากสัมผัสของทุกคน

“ยังขาดส่วนสุดท้ายอยู่เล็กน้อย” หมัวซาพูด

“ผลอสรพิษทองคำสุกงอมแล้ว ทุกคนรีบไปเด็ดเร็วเข้า!” ไม่รู้ว่าใครสักคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาบนภูเขา ฝูงชนพุ่งเข้าใส่ผลอสรพิษทองคำในทันใดโดยไม่แยแสฝูงสัตว์อสูรเบื้องล่าง ราวกับถูกผลอสรพิษทองคำผลนั้นล่อลวงจิตใจ

หลังจากที่ปรมาจารย์วิญญาณไปถึงระดับราชาวิญญาณแล้วจะเหาะเหินเดินอากาศได้ ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับราชาวิญญาณขึ้นไปของแต่ละสำนักกันทั้งสิ้น

ปรมาจารย์วิญญาณเหล่านั้นเหาะตรงไปยังหน้าผา แต่กลับถูกลมจากหมัดที่เจ้าวานรต่อยออกมาทำเอาลอยกระเด็นกันไปไม่น้อย เมื่อคนเหล่านั้นร่วงลงสู่พื้น ก็ถูกสัตว์อสูรวิเศษตีวงล้อมเข้ามา

สัตว์อสูรกับสัตว์อสูร มนุษย์กับมนุษย์ ทุกคนตะลุมบอนกันอุตลุด ภายในหุบเขาเต็มไปด้วยความอลหม่าน

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นซือหม่าเลี่ยเหาะตรงไปยังเจ้าวานรเช่นกัน จึงหยิบเอายาผงขวดหนึ่งออกมาวางลงบนมือเป่ยกงถังแล้วพูดว่า “ข้าจะไปชิงผลอสรพิษทองคำ เจ้าช่วยข้าโปรยของสิ่งนี้ลงบนร่างของคนตระกูลน่าหลานทีสิ ถ้าหากข้าชิงผลอสรพิษทองคำมาได้ก็จะแบ่งให้เจ้าด้วยส่วนหนึ่งอย่างแน่นอน!”

………………

“เจ้าบอกว่าวิหคสี่ปีกมีสายโลหิตวิหคยักษ์โบราณอยู่ วิหคยักษ์โบราณนั่นคือสัตว์อสูรวิเศษอะไรหรือ”

เจ้าคำรามน้อยกลอกตาใส่เธอทีหนึ่ง ท่าทางนั้นราวกับชาวเมืองมองดูคนบ้านนอก

“สัตว์อสูรวิเศษอะไรกัน นั่นคือสัตว์อสูรเทพต่างหากเล่า!” เจ้าคำรามน้อยพูด “ในสมัยโบราณยังร้ายกาจกว่าพวกเราคำรามเทพอยู่ขั้นหนึ่งเสียด้วยซ้ำ! บรรดามนุษย์อย่างพวกเจ้าก็มีคำกล่าวที่ว่าวิหคยักษ์สยายปีกเก้าหมื่นลี้อยู่ด้วยมิใช่หรือ ถึงแม้ว่านี่ออกจะเกินจริงไปบ้าง แต่ความเร็วนั้นมิใช่สิ่งที่เหล่าสัตว์ปีกที่เป็นสัตว์อสูรเทพทั้งหลายจะเทียบเคียงได้เลย นอกจากนี้พลังการต่อสู้ก็ยังสุดยอดอีกด้วย ถ้าหาก เจ้าวิหคน้อยตื่นรู้สายโลหิตได้ เช่นนั้นก็นับว่าเจ้าได้ผู้ช่วยดีๆ มาตนหนึ่งแล้วล่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูนกน้อยในอุ้งมือ ยากนักที่จะจินตนาการได้ว่าเจ้านี่จะเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่มีสายโลหิตสัตว์อสูรเทพโบราณอยู่ในตัว

“นอกจากนี้ข้ายังจะบอกเจ้าไว้ด้วยว่าถึงแม้เจ้าวิหคน้อยนี่จะดูไม่เท่าไหร่นัก แต่ด้วยสายตาอันเฉียบแหลมของข้า ต่อให้สายโลหิตของเขาไม่ตื่นรู้ เมื่อมันเติบใหญ่แล้วก็จะเป็นราชันวิหคสี่ปีก เท่าที่ข้ารู้ วิหคสี่ปีกไม่มีราชันปรากฏขึ้นมาเป็นเวลายาวนานแล้ว” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างมีลับลมคมใน

เมื่อได้ฟังว่าเจ้านกน้อยที่หมดสติมาหนึ่งวันหนึ่งคืนยังมีตัวตนเช่นนี้ด้วย ในใจของซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยิ่งทวีความสงสัยว่าเจ้าคำรามน้อยไปหลอกสัตว์อสูรวิเศษเช่นนี้มาได้อย่างไรกัน

“เหตุใดมันจึงยังหมดสติอยู่อีกเล่า”

“คาดว่าคงเป็นผลข้างเคียงจากยาล่อหลอกก่อนหน้านี้กระมัง”

ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงแววสีแดงฉานในดวงตาของวิหคสี่ปีกก่อนหน้านี้ขึ้นมา คาดว่าจะต้องมีความเกี่ยวโยงกับสิ่งนั้นจริงๆ

“แล้วมันยังคงหลับใหลอยู่อย่างนี้ พอถึงเวลาที่ผลอสรพิษทองคำสุกแล้ว มันก็คงไม่ได้ช่วยอะไรมากน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยอย่างจนใจ

“เรื่องนี้…ฮ่า มันฟื้นแล้วล่ะ!” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างยินดี

วิหคสี่ปีกคือผู้ช่วยที่มันตั้งใจหามา ถ้าหากหลับใหลอยู่ตลอดเช่นนี้มันก็มิได้เสียแรงเปล่าหรอกหรือ ดังนั้นเมื่อสัมผัสได้ว่าวิหคสี่ปีกฟื้นแล้ว มันจึงดีใจไม่น้อย

เปลือกตาที่ปิดสนิทของวิหคสี่ปีกค่อยๆ เปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่ามีคนอยู่ แววตาที่หม่นมัวก็แจ่มชัดขึ้นมาในทันที แพขนบนร่างก็ตั้งชันขึ้นมา เมื่อจำได้ว่าเป็นซือหม่าโยวเย่ว์ ร่างกายจึงค่อยผ่อนคลายลง

“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือพวกเรา” วิหคสี่ปีกกระพือปีกพลางเอ่ยขึ้น

“ไม่ลำบากอะไรหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ข้าไม่เป็นไรแล้วละ” วิหคสี่ปีกพูด “ตอนนี้ท่านจะทำพันธสัญญากับข้าหรือไม่”

“หา” ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าวิหคสี่ปีกจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ เธอสะดุ้งก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้ามิอาจทำพันธสัญญากับเจ้าได้ ข้าถึงขีดจำกัดการทำพันธสัญญาแล้ว ตอนนี้มิอาจทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษเพิ่มได้อีก”

“อ้อ” วิหคสี่ปีกพยักหน้าอย่างสงบเสงี่ยมแล้วพูดว่า “เจ้าคำรามน้อยบอกว่าท่านมีสถานที่แห่งหนึ่งไว้ใช้ฝึกยุทธ์ได้ หากบอกว่ามิอาจทำพันธสัญญาได้ ก็ไปฝึกยุทธ์อยู่ที่นั่นก่อน รอจนท่านทำพันธสัญญาได้แล้วค่อยทำพันธสัญญากับข้าก็ได้”

“เออ…” ซือหม่าโยวเย่ว์มองวิหคสี่ปีก “เจ้าเต็มใจจะติดตามข้าอย่างนั้นหรือ”

“อื้ม” วิหคสี่ปีกพยักหน้า

“เพราะเหตุใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจ

“สายโลหิตของเจ้าคำรามน้อยสูงส่งกว่าข้าเสียอีก มันบอกว่าติดตามเจ้าแล้วจะมีอนาคตที่ดี ข้าเชื่อสิ่งที่มันพูด” วิหคสี่ปีกพูดอย่างจริงจัง

ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกคำตอบของมันทำเอาตกใจราวกับสายฟ้าฟาด ที่เจ้าตัวน้อยนี่มามิใช่เพราะตนเอง หากแต่เป็นเพราะเจ้าคำรามน้อยจึงได้มาติดตามตน

ความคิดเธอวูบไหวคราหนึ่ง ทั้งเจ้าคำรามน้อยและวิหคสี่ปีกล้วนถูกเธอโยนเข้าไปในเจ้าวิญญาณน้อย

คู่หูพรรค์นี้มองไปแล้วก็บาดตาเปล่าๆ เก็บไปให้พ้นหูพ้นตาเสียดีกว่า

ทิวทัศน์เบื้องหน้าวิหคสี่ปีกเปลี่ยนไปในพริบตา ทำให้มันตกใจจนสะดุ้ง แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าคำรามน้อยก็อยู่ด้วยจึงค่อยคลายใจลง

“ที่นี่คืออาณาเขตของเย่ว์เย่ว์อย่างไรเล่า เจ้าหาพื้นที่ฝึกยุทธ์ได้ตามใจชอบเลยนะ” เจ้าคำรามน้อยพูด

เจ้าวิญญาณน้อยล่องลอยอยู่กลางอากาศพลางมองวิหคสี่ปีกแล้วพูดว่า “ที่นี่คือโลกของข้า ในเมื่อเจ้าเข้ามาแล้ว ต่อจากนี้เป็นสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของเจ้านายแล้วนะ อ้อ ถึงแม้ว่าเจ้าจะยังมิได้ทำพันธสัญญาก็ตาม เจ้าคำรามน้อย เจ้านายบอกให้เจ้าพาเจ้าวิหคน้อยไปดูรอบๆ ที่นี่ด้วย แนะนำเขาหน่อย”

พูดจบแล้วมันก็หายตัวไป ทิ้งเจ้าวิหคสี่ปีกที่ยังคงพรั่นพรึงอยู่เอาไว้

เจ้าคำรามน้อยบินเข้ามาแล้วพูดว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ข้ามิได้หลอกเจ้าเลยนะ”

เจ้าวิหคน้อยพยักหน้าแรงๆ พลางเอ่ยว่า “ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน ยังมีสถานที่เช่นนี้อยู่ด้วย ปราณวิญญาณของที่นี่เข้มข้นกว่าภายนอกมากนัก!”

“เอาล่ะ ตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปชมให้ทั่ว มีสถานที่บางแห่งที่พวกเรามิอาจเข้าไปเองตามใจชอบได้ มิฉะนั้นเย่ว์เย่ว์ต้องไม่ชอบใจแน่ ”เจ้าคำรามน้อยพูดจบแล้วก็พาตัวเจ้าวิหคน้อยชมภายในมณีวิญญาณ

ซือหม่าโยวเย่ว์ค่อยๆ เดินกลับไปยังข้างกายพวกเว่ยจือฉี เพราะสถานที่เล็กเกินไป พวกเขาจึงมิอาจตั้งกระโจมได้ ทั้งสี่คนนั่งสนทนากันอยู่ด้านหลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง

“โยวเย่ว์ เจ้าไปนานขนาดนี้ คงจะถ่ายท้องจนโล่งเลยสินะ” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยล้อเลียนด้วยรอยยิ้ม

ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะ มิได้ตอบเขา

ทุกคนพบว่าเจ้านกน้อยในอ้อมกอดเธอไม่อยู่แล้ว พากันคิดว่ามันฟื้นขึ้นมาก็จากไปเสียแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปนั่งลงข้างกายพวกเขา ก้อนหินก้อนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ ขนาดพอกำบังพวกเขาห้าคนได้พอดี อีกทั้งยังอยู่หลังพุ่มไม้ ตั้งอยู่ที่ริมผา พวกเขาทั้งห้านั่งเคียงบ่ากัน หากคนด้านนอกเดินผ่านโดยมิได้มองอย่างละเอียดก็ไม่มีทางค้นพบเงาร่างของพวกเขาได้

แต่พวกเขาเพียงแค่ยื่นศีรษะออกไปข้างนอกก็มองเห็นเหตุการณ์เบื้องล่างได้แล้ว

“อีกหนึ่งวันผลอสรพิษทองคำก็จะสุกแล้ว ตอนนี้สัตว์อสูรวิเศษข้างล่างก็ยิ่งมากขึ้น วันนี้ข้าเห็นสัตว์อสูรวิเศษระดับขั้นค่อนข้างสูงมาที่นี่เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยเลย” เว่ยจือฉีพูด

“ชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย ตอนนี้หัวใจเต้นตึกตักๆ เลยทีเดียวล่ะ!” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางตบหน้าอกตนเองเบาๆ

“หากหัวใจเจ้าไม่เต้นเจ้าก็จบเห่แล้ว!” โอวหยางเฟยพูด

“พรืด…”

คิดไม่ถึงว่าโอวหยางเฟยจะพูดจาเช่นนี้กับเขาด้วย ทุกคนจึงพากันหัวเราะ

“มีคนมา!” เป่ยกงถังเอ่ยเตือน

ทุกคนเงียบเสียงลง มีพุ่มไม้สูงใหญ่กั้นอยู่ คนที่ผ่านทางมาข้างนอกจึงมองไม่เห็นพวกเขา

“ท่านพ่อ ข้าสงสัยว่าน้องชายจะถูกคนตระกูลซือหม่าสังหารจริงๆ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังคนที่เอ่ยวาจาแล้วคิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนคุ้นเคย

น่าหลานเหอและน่าหลานหลานเดินอยู่ในป่าโดยที่มิได้สังเกตคนที่อยู่หลังพุ่มไม้เลย

“หลานเอ๋อร์ ฉีเอ๋อร์เพียงแค่หายสาบสูญไประยะหนึ่งเท่านั้นเอง เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาถูกคนตระกูลซือหม่าสังหารเสียแล้ว” น่าหลานเหอถาม “เจ้ามีเรื่องอันใดปิดบังข้าอยู่ใช่หรือไม่”

น่าหลานหลานกัดริมฝีปาก นัยน์ตาฉายแววดิ้นรน ในที่สุดความกังวลภายในใจก็เหนือกว่า จึงเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ตอนเช้าวันที่น้องชายหายตัวไป เขามาพบข้า บอกว่าคนไร้ค่าตระกูลซือหม่าผู้นั้นกลับมาบ้านแล้ว บอกว่าพอเช้าแล้วเขาจะกลับไปที่วิทยาลัย เขาจึงพาคนคุ้มกันไปบอกว่าจะไปคิดบัญชีกับเขา ลอบจัดการเขาอย่างเงียบๆ แต่คิดไม่ถึงว่าพอไปแล้วมิได้กลับมาอีกเลย ถึงอยู่ก็ไม่เห็นตัวคน ตายไปก็ไม่เห็นศพ ท่านว่านอกจากเขาจะถูกคนของตระกูลซือหม่าฆ่าแล้วจะยังมีความเป็นไปได้อันใดอีกเล่า!”

“เหลวไหล!” น่าหลานเหอเอ่ยเสียงดุ “เจ้าเพิ่งจะถูกขับออกจากวิทยาลัยมาหมาดๆ เหตุใดจึงกล้าไปก่อเรื่องอีก!”

“ท่านพ่อ ข้ามิได้ให้น้องชายไปเสียหน่อย ตอนนั้นข้าเตือนเขาแล้ว แต่เขาไม่ฟังข้าเลย” น่าหลานหลานพูดอย่างเศร้าโศก “ท่านพ่อ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญคือเรื่องนี้ น้องชายหายตัวไปได้เดือนเศษแล้ว พวกเราต้องไปถามหากับตระกูลซือหม่าหรือไม่”

“เฮอะ ถ้าหากตระกูลซือหม่ากล้าสังหารบุตรชายข้าจริงๆ ละก็ ตระกูลน่าหลานกับพวกมันก็มิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้แล้ว!” น่าหลานเหอขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “รอให้พวกเราจัดการเรื่องชิงผลอสรพิษทองคำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอกลับไปจะไปยังตระกูลซือหม่า!”

พวกเขาสองคนพูดพลางเดินจากไปไกล พวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งห้าคนจึงค่อยพ่นลมหายใจยาวออกมา ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงที่พวกเขาพูดว่าจะกลับไปหาเรื่องตระกูลซือหม่า พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นทุกคนจ้องมองตนอยู่

“พูดมาสิ เป็นเจ้าใช่หรือไม่”

……………………

“เย่ว์เย่ว์” เจ้าคำรามน้อยมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างลำพองใจ ร่างกายเล็กจ้อยนั้นเมื่อเทียบกับร่างใหญ่มหึมาของวิหคสี่ปีกแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับหนูน้อยและช้างตัวเขื่องเลย

ซือหม่าโยวเย่ว์มองแววตาหยิ่งยโสนั้นของเจ้าคำรามน้อยแล้วเอ่ยว่า “ให้พวกมันไปกันได้แล้ว”

“อื้ม” เจ้าคำรามน้อยขานรับเสียงหนึ่ง หลังจากนั้นก็คำรามใส่บรรดาสัตว์อสูรวิเศษ สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นก็ทยอยกันจากไป เหลือเพียงแค่วิหคสี่ปีกที่อยู่ภายใต้ร่างมันเท่านั้น

“มันไม่กลับไปหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองวิหคสี่ปีกปราดหนึ่งแล้วถามขึ้น

เจ้าคำรามน้อยลงมาจากร่างวิหคสี่ปีกแล้วมาหมอบอยู่บนศีรษะของเธอพลางเอ่ยว่า “เจ้าวิหคยักษ์เป็นสหายของข้า มันมาพร้อมกันกับข้า ก็ย่อมจากไปไหนไม่ได้อยู่แล้วล่ะ!”

พอซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่มันหลอกให้ย่ากวงมาทำพันธสัญญากับตนในตอนนั้นขึ้นมา หรือว่าเจ้าวิหคสี่ปีกนี่ก็ถูกมันล่อลวงมาเช่นกัน

เมื่อสัมผัสได้ถึงความสงสัยที่เธอมีต่อตน เจ้าคำรามน้อยจึงประท้วงอยู่ในใจ “ข้าเคยล่อลวงผู้อื่นตั้งแต่เมื่อใดกัน ย่ากวงกับเจ้าวิหคยักษ์ล้วนติดตามข้ามาด้วยความเต็มอกเต็มใจมิได้หรือ อย่าเห็นข้าเป็นคนที่จิตใจเต็มไปด้วยแผนร้ายเหมือนเจ้าสิ!”

เมื่อได้ยินเจ้าคำรามน้อยพูดอยู่ในใจว่าตนเป็นคนที่จิตใจเต็มไปด้วยแผนร้าย ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ดึงตัวเจ้าคำรามน้อยลงมาจากบนศีรษะ ยังไม่ทันจะได้สั่งสอนมันก็เห็นวิหคสี่ปีกแปลงกายเป็นร่างจำแลงบินเข้ามาหาตน สองตาปิดลงแล้วผล็อยหลับไปในทันที

เมื่อรู้สึกได้ว่านกน้อยบนไหล่ร่วงหล่นลงไป ซือหม่าโยวเย่ว์ก็โยนตัวเจ้าคำรามน้อยทิ้งแล้วเอื้อมมือไปรับตัวเจ้านกน้อยเอาไว้

“เย่ว์เย่ว์ เจ้าลำเอียงนี่!” เจ้าคำรามน้อยคำราม

ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาใส่มันทีหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมองนกน้อยในมือพลางเอ่ยว่า “เหตุใดมันจึงหมดสติไปเสียแล้วเล่า”

เว่ยจือฉีเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “คงจะเป็นเพราะยาล่อหลอกเมื่อครู่เป็นเหตุกระมัง”

ชิงอู๋หยาประสานมือคำนับพวกเขาพลางเอ่ยว่า “อู๋หยาขอขอบคุณบุญคุณช่วยชีวิตของทุกท่านในวันนี้ ในภายหน้าหากมีความประสงค์อันใดได้โปรดบอกอู๋หยา อู๋หยาไม่มีทางลังเลใจอย่างแน่นอน!”

“พี่ใหญ่ชิงพูดเกินไปแล้ว” เว่ยจือฉียกสองมือขึ้นรับแล้วเอ่ยว่า “แต่เหตุใดพี่ใหญ่ชิงจึงยังอยู่ที่เทือกเขาผู่สั่วอีกเล่า”

“อีกประเดี๋ยวข้าค่อยเล่าให้พวกเจ้าฟังก็แล้วกัน ตอนนี้พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่านะ” ชิงอู๋หยาพูด

ทหารรับจ้างอย่างพวกเขาคลุกคลีอยู่ที่เทือกเขาผู่สั่วมานานปี ย่อมรู้ดีว่ากลิ่นคาวเลือดนี้อาจเป็นเหตุดึงดูดสัตว์อสูรวิเศษตนอื่นๆ เข้ามาอีกก็เป็นได้

คนทั้งห้าเร่งฝีเท้าไปจากที่ตั้งค่ายพักแรมแห่งนี้ ชิงอู๋หยาเดินไปพร้อมกับเล่าเรื่องว่าเหตุใดตนจึงมาอยู่ที่นี่ได้

อันที่จริงแล้วภารกิจในครั้งก่อนของพวกเขาสำเร็จเสร็จสิ้นไปตั้งแต่สิบวันก่อนแล้ว ต่อมาพวกเขากลุ่มทหารรับจ้างรับภารกิจที่สองเพื่อพาคนของตระกูลใหญ่กลุ่มหนึ่งเข้ามายังพื้นที่ชั้นใน

ความจริงพวกเขามิได้เต็มใจเลย ถึงอย่างไรพื้นที่ชั้นในนี้ก็อันตรายเกินไป แต่คนตระกูลนั้นบอกว่าระยะนี้เทือกเขาผู่สั่วค่อนข้างปลอดภัย เพราะสัตว์อสูรวิเศษถูกสิ่งล้ำค่าดึงดูดไปจนหมดแล้ว บวกกับพวกเขาจ่ายให้อย่างงาม บิดาของชิงอู๋หยาจึงตอบตกลง แต่ส่งเพียงคนสองคนในกลุ่มที่พลังยุทธ์สูงหน่อยมาด้วยเท่านั้น ส่วนชิงอู๋หยาติดตามมาด้วยเพื่อดูสภาพของพื้นที่ชั้นใน

เล่าเรื่องของตนเองจบแล้วชิงอู๋หยาจึงพูดว่า “แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงยังอยู่ในเทือกเขานี้อีกเล่า นอกจากนี้ยังมาถึงพื้นที่ชั้นในนี่อีกด้วย ถึงแม้ว่าตอนนี้จะค่อนข้างปลอดภัย แต่นี่ก็ไม่แน่เสมอไปหรอกนะ”

“พวกเราก็แค่มาชมดูความครึกครื้นเท่านั้นเอง” เว่ยจือฉีพูด “เมื่อครู่เห็นท่าทีของพี่ใหญ่ชิงดูคล้ายจะรู้จักกับคนของกลุ่มทหารรับจ้างนั่นด้วยหรือ”

“อื้ม นั่นคือกลุ่มทหารรับจ้างหมีดำที่เป็นอริกับกลุ่มทหารรับจ้างชิงซานของพวกเรามาเนิ่นนาน ถึงแม้ว่าหัวหน้าห่าวโหย่วไฉของพวกเขาจะมีพลังยุทธ์ไม่เลว แต่นิสัยต่ำทรามนัก มักจะนำลูกน้องมาช่วงชิงสมบัติของผู้อื่นอยู่บ่อยๆ ทำเรื่องเลวร้ายมาไม่น้อยเลย! คิดไม่ถึงว่าคราวนี้พวกเขาจะร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรทำเรื่องชั่วเช่นนี้ออกมาได้” ชิงอู๋หยาพูด

“ท่านรู้จักกับปรมาจารย์มู่ผู้นั้นด้วยหรือไม่” เว่ยจือฉีถาม

“รู้จักสิ เขาเป็นนักฝึกสัตว์อสูรของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรแห่งเมืองเหยียน ได้ยินว่าอุปนิสัยเขาก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่นัก ทั้งยังทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อีก”

“ข้าคิดว่าลำพังแค่เขาคนเดียวมิอาจทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้หรอก เขากล้าทำเช่นนี้ได้ จะต้องมีสมาคมทหารรับจ้างคอยหนุนหลังเขาอยู่อย่างแน่นอน หรือบางทีอาจเป็นสมาคมเองนั่นแหละที่ชี้แนะให้เขาทำเช่นนี้!” เว่ยจือฉีพูด “รอข้ากลับไปแล้วจะต้องบอกเรื่องนี้ให้ท่านอารู้อย่างแน่นอน”

ชิงอู๋หยาได้ฟังคำพูดของเว่ยจือฉีแล้วก็รู้ถึงตัวตนของเขาในทันที ก่อนหน้านี้เพียงแค่คาดเดาเอาไว้ว่าตัวตนของเขาจะต้องไม่ธรรมดาแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นถึงคนของตระกูลนักฝึกสัตว์อสูรเลยทีเดียว!

พวกเขาเดินมุ่งหน้าไปยังทิศที่ตั้งของต้นผลอสรพิษทองคำ หนึ่งวันให้หลังก็ไปถึงที่ตั้งค่ายพักแรมแล้ว ชิงอู๋หยาเชื้อเชิญให้พวกเขาไปยังสถานที่ตั้งค่ายพักแรมด้วยกัน แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับปฏิเสธอย่างสุภาพ อยู่ร่วมกันกับผู้อื่น เวลาคิดจะเคลื่อนไหวก็คงไม่ค่อยสะดวกนัก

เดิมทีชิงอู๋หยาเป็นกังวลเรื่องพวกเขายิ่งนัก แต่เห็นพวกเขาไม่ต้องการจริงๆ จึงมิได้ฝืนใจ เพียงแค่บอกให้พวกเขาไปหาหากเผชิญกับเรื่องราวอันใดเข้า

พวกซือหม่าโยวเย่ว์รับปากเรียบร้อยแล้วชิงอู๋หยาจึงจากไป

เมื่อเห็นว่าในหุบเขามีมนุษย์และสัตว์อสูรวิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นจำนวนไม่น้อย เจ้าอ้วนชวีจึงแตะไหล่ซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “โยวเย่ว์ สองวันมานี้มีคนมาเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยเลยนะ!”

เมื่อเห็นมนุษย์และสัตว์อสูรวิเศษเต็มภูเขา นัยน์ตาของซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังต่างก็ฉายแววเคร่งขรึมอย่างที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้

“เหลืออีกหนึ่งวันหนึ่งคืนผลอสรพิษทองคำก็จะสุกงอมแล้ว พวกเราไปพักผ่อนที่บริเวณใกล้ๆ นี้ก่อนเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์เสนอ

พวกเขาเสาะหาพื้นที่ที่ซ่อนเร้นและสามารถมองเห็นเหตุการณ์เบื้องล่างได้แห่งหนึ่งสำหรับพักผ่อน

เพราะว่าพื้นที่แห่งนี้เล็กมาก ถึงแม้ว่าจะซ่อนเร้นเป็นอย่างดีแล้วแต่ก็ไม่มีใครมาครอบครอง

ขณะที่กำลังรอเวลาให้ผลอสรพิษทองคำสุกงอม ซือหม่าโยวเย่ว์อาศัยเหตุผลว่าจะไปทำธุระส่วนตัวปลีกตัวออกมาจากพวกเว่ยจือฉี

เธอมองไปรอบทิศ เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร จึงเรียกตัวเจ้าคำรามน้อยออกมา ก่อนจะจ้องมองมันแล้วถามว่า “เจ้าวิหคสี่ปีกนี่มีที่มาที่ไปอย่างไรกัน”

“เจ้าวิหคน้อยน่ะหรือ” เจ้าคำรามน้อยเอียงคอพลางเอ่ยว่า “ข้าเห็นเจ้าอยากจะชิงผลอสรพิษทองคำมา เจ้าวิหคน้อยนี่สามารถบินได้ ถึงเวลานั้นพอเจ้าชิงผลอสรพิษทองคำมาได้แล้ว มันก็สามารถพาพวกเราบินหนีไปได้อย่างไรล่ะ!”

“ดังนั้นเจ้าก็เลยล่อลวงมันมาอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ไอ้หยา เย่ว์เย่ว์ อุตส่าห์มีสัตว์อสูรวิเศษเต็มใจติดตามเจ้า นี่ก็เป็นเรื่องดีแล้วนะ!” เจ้าคำรามน้อยพูด

“ข้าย่อมชอบให้มีสัตว์อสูรวิเศษยิ่งมากยิ่งดีอยู่แล้วล่ะ แต่นี่เจ้าล่อลวงผู้อื่นมา ถึงเวลานั้นพอผู้อื่นเขาได้สติรู้ตัวขึ้นมาแล้วมาคิดบัญชีกับข้าจะทำอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือไปเขกศีรษะเจ้าคำรามน้อยทีหนึ่ง “ระดับขั้นของเจ้าวิหคสี่ปีกนี่มิได้ต่ำต้อยเลยกระมัง พอถึงเวลานั้นหากอาละวาดขึ้นมาแล้วเจ้าจะเอาชนะมันไหวหรือไม่เล่า”

“มีพี่ใหญ่เพลิงชาดอยู่ทั้งคน สัตว์อสูรวิเศษตนไหนจะกล้าบุ่มบ่ามต่อหน้าเจ้าบ้างเล่า!” เจ้าคำรามน้อยพึมพำเสียงเบา

“เจ้าว่าอะไรนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวเจ้าคำรามน้อยมาถาม

“ไม่มีอะไรหรอกน่า!” เจ้าคำรามน้อยนึกเรื่องที่เพลิงชาดบอกว่าห้ามพูดถึงเรื่องของมันขึ้นมาได้ จึงรีบปฏิเสธแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ถึงอย่างไรเจ้าวิหคน้อยก็ไม่มีทางทำร้ายเจ้าอยู่แล้วล่ะ เจ้าวางใจได้เลย!”

“แต่ตอนนี้ข้าทำพันธสัญญาเต็มพิกัดแล้ว มิอาจทำพันธสัญญากับมันได้อีก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ไม่เห็นเป็นไรนี่ เจ้าให้มันอยู่ในเจ้าวิญญาณน้อยก็ใช้ได้แล้ว รอให้ถึงเวลาที่เจ้าทำพันธสัญญาได้ก็ค่อยทำแล้วกัน!” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ถึงแม้ว่าตอนนี้มันเพิ่งจะเป็นเพียงแค่สัตว์อสูรทิพย์ขั้นเก้าเท่านั้น แต่ในร่างของมันมีสายโลหิตวิหคยักษ์โบราณอยู่ เมื่อใดที่สายโลหิตตื่นรู้ก็นับได้ว่าเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่ไม่เลวเลยทีเดียว”

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังคำพูดของเจ้าคำรามน้อยแล้วก็เบ้ปากน้อยๆ อะไรกันที่เรียกว่าสัตว์อสูรทิพย์ขั้นเก้านี่มิใช่สิ่งมีชีวิตที่อีกเพียงก้าวเดียวก็จะเลื่อนระดับเป็นสัตว์อสูรเทพแล้วหรอกหรือ ซึ่งเทียบเคียงได้กับสิ่งมีชีวิตระดับราชันวิญญาณเลยทีเดียว ถ้าหากต่อสู้กับซือหม่าเลี่ยขึ้นมา ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ! เหตุใดพอมันพูดออกมาแล้วจึงฟังดูมีค่าพอๆ กับผักกาดขาวไปได้เล่า!

……………………

“จิ๊บๆ…”

นกตัวที่ถูกขังเอาไว้กับเจ้าคำรามน้อยก็ร้องขึ้นมาเช่นเดียวกัน เสียงนั้นบาดแหลมยิ่งนัก จนทำให้คนอดที่จะอุดหูมิได้

“ท่านอาจารย์มู่ สัตว์อสูรวิเศษเหล่านี้เป็นอะไรไปหรือ” คนของกลุ่มทหารรับจ้างถูกเหตุการณ์นี้ทำให้พรั่นพรึงไปเสียแล้ว ห่าวโหย่วไฉมาที่ข้างกายปรมาจารย์มู่พลางถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“นี่คือเหตุการณ์ที่สัตว์อสูรวิเศษตื่นตัวน่ะสิ!”

ปรมาจารย์มู่พูดจบแล้วก็เดินไปยังกระโจมที่วางกรงขังสัตว์อสูรวิเศษเอาไว้ ยังไม่ทันเปิดม่านประตู ร่างจำแลงสัตว์อสูรวิเศษก็วิ่งออกมาเสียแล้ว

“โฮก!”

สัตว์อสูรวิเศษร้องคำรามก่อนจะคืนสู่ร่างเดิม ตนแล้วตนเล่าจนเต็มแน่นไปทั้งค่ายพักแรม

“เจ้าพวกมนุษย์สามหาว ถึงกับบังอาจใช้ยาล่อหลอกชั้นต่ำเช่นนี้มาจัดการพวกเรา ต้องจ่ายด้วยชีวิต!”

สัตว์อสูรทิพย์ที่ฟื้นฟูพลังยุทธ์แล้วมองดูคนของกลุ่มทหารรับจ้างก่อนจะพุ่งเข้าใส่คนของกลุ่มทหารรับจ้างพลางร้องเสียงดังลั่น

ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงกรงขังเจ้าคำรามน้อยตั้งแต่เมื่อไหร่ก็มิอาจรู้ได้ เธอเปิดกรงออก เจ้าคำรามน้อยก็พุ่งออกมาหาในทันใด

“ฮือๆ เย่ว์เย่ว์ ข้ายังคิดว่าจะมิได้พบเจ้าอีกต่อไปแล้ว!”

เจ้าคำรามน้อยร้องห่มร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดซือหม่าโยวเย่ว์ แต่กลับไม่เห็นน้ำตาของมันเลยแม้แต่หยดเดียว

“เอาละ อย่าเล่นละครให้ข้าดูอีกเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์หิ้วคอของเจ้าคำรามน้อยขึ้นมาแล้วพูดว่า “เจ้ามิได้บอกว่าจะออกไปดูลาดเลาหรือไร แล้วเหตุใดจึงถูกคนจับมาอยู่ที่นี่ได้เล่า”

“เออ.. อืม… ไอ้หยา… เพื่อนของข้าจะอาละวาดแล้ว ข้าต้องไปให้กำลังใจมันสักหน่อย!” ดวงตาของเจ้าคำรามน้อยกลอกไปมาซ้ายทีขวาที เมื่อเห็นเจ้านกตัวที่อยู่กับมันคืนสู่ร่างเดิม ร่างกายขยับคราหนึ่งก็หลุดออกจากกรงเล็บของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วบินไปอยู่บนหลังของนกตัวนั้น

“เจ้าวิหคยักษ์ คนพวกนี้บังอาจจับมาเช่นนี้ ก็ให้พวกเขาได้ลิ้มรสความร้ายกาจของเจ้าสักหน่อยสิ!” เจ้าคำรามน้อยตะโกนอยู่บนร่างวิหคสี่ปีก

คนของกลุ่มทหารรับจ้างต่างพรั่นพรึงกันไปหมดแล้ว พวกเขาไม่มีทางจับสัตว์อสูรวิเสษนี้มาได้แน่หากไม่วางยา ตอนนี้มีกันมากมายถึงเพียงนี้ นอกจากนี้สัตว์อสูรวิเศษทั้งหลายยังจ้องมองพวกเขาอย่างชิงชังจนแทบจะเข้ามาฉีกทึ้งพวกเขาในทันทีอยู่แล้ว

ห่าวโหย่วไฉเห็นสัตว์อสูรวิเศษตนแล้วตนเล่าออกมาแปลงกายเป็นร่างเดิมต่อหน้าพวกเขาแล้วก็เข้าไปดึงเสื้อผ้าปรมาจารย์มู่ด้วยร่างกายอันสั่นสะท้านพลางเอ่ยว่า “ปรมาจารย์มู่ ท่านมิได้บอกว่ายาล่อหลอกจะมีฤทธิ์ไปอย่างน้อยๆ ก็เดือนสองเดือนหรอกหรือ เหตุใดตอนนี้พวกมันจึงฟื้นคืนสติกันขึ้นมาหมดแล้วเล่า”

ตอนนี้ปรมาจารย์มู่เองก็มิได้วางท่าผึ่งผายเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว พอเห็นสัตว์อสูรวิเศษตัวยาวสองสามเมตรก็ได้แต่กลืนน้ำลาย เมื่อได้ฟังคำพูดของห่าวโหย่วไฉจึงเอ่ยว่า “เจ้าถามข้าแล้วให้ข้าไปถามใครกันเล่า!”

“หัวหน้า จะต้องเป็นฝีมือเจ้าพวกเด็กบ้านั่นอย่างแน่นอนเลยขอรับ!” อาโม่นึกถึงคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นมาได้จึงชี้ไปทางนางแล้วพูดขึ้น

“ฮ่าๆ พวกเจ้าทายได้ถูกต้องแล้วละ!” พวกเว่ยจือฉีออกมาจากภายในกระโจม ในมือของเขายังถือหญ้าม่วงขมเอาไว้อีกด้วย

“หญ้าม่วงขม!” ปรมาจารย์มู่มองปราดเดียวก็จำสิ่งที่อยู่ในมือเว่ยจือฉีได้ “หญ้าม่วงขมถอนพิษยาล่อหลอกทั้งหมดได้ มิน่าเล่ายาล่อหลอกของข้าจึงสิ้นฤทธิ์!”

“เฮอะ ตัวท่านเป็นถึงนักฝึกสัตว์อสูรแห่งสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร แต่ถึงกับไม่สนใจข้อตกลงระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูรวิเศษ ใช้ยาล่อหลอกจับตัวสัตว์อสูรวิเศษ!” เว่ยจือฉีเอ่ยเสียงดุ

“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร ก็ต้องรู้สิว่านี่เป็นธุระของพวกเราสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร แต่ยังกล้ามาก่อความวุ่นวายอีก!” ปรมาจารย์มู่ได้ฟังคำพูดของเว่ยจือฉีแล้วจึงตอบพลางมองประเมินเขาอย่างละเอียดไปพลาง ดูจากสิ่งที่เขาพูดแล้วไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปเลย

“สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรหรือ ไม่รู้ว่าหากคนทั้งสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรได้รู้ว่าท่านทำเรื่องพรรค์นี้แล้วจะยังอยากเป็นร่มคุ้มภัยให้พวกท่านอยู่อีกหรือไม่! เกรงแต่ว่าเว่ยเหิงคงจะไม่เก็บพวกท่านเอาไว้น่ะสิ!”  เว่ยจือฉียิ้มเย็น

“เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงรู้จักเว่ยเหิง” เมื่อปรมาจารย์มู่ได้ยินชื่อเว่ยเหิงก็รู้สึกผิดขึ้นมาวูบหนึ่ง คนที่อยู่ในสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรคนไหนบ้างที่จะไม่รู้จักท่านรองประธานสมาคมผู้นี้ แต่เขาใช้ชีวิตวิเวกสมถะ น้อยนักที่จะปรากฏตัวให้คนข้างนอกเห็น คนที่รู้จักเขามีอยู่ไม่มากนัก ในตอนนี้เมื่อได้ยินเว่ยจือฉีเอ่ยถึงเว่ยเหิง เขาก็รู้ว่าตัวตนของอีกฝ่ายต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!

“เว่ยเหิงคือท่านอาของข้า ข้าเป็นคนตระกูลเว่ย!” เว่ยจือฉีเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

“คนตระกูลเว่ย!” สองตาของปรมาจารย์มู่เบิกโตเท่าไข่ห่าน เมื่อครู่เขาเกือบจะสังหารคนตระกูลเว่ยเสียแล้ว!

“จือฉี เจ้ามัวแต่เปลืองน้ำลายกับเขาอยู่ทำไมกัน สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นฟื้นตัวขึ้นมาไม่น้อยแล้ว ถ้าหากพวกเรายังไม่ไปอีก เกรงว่าอาจจะได้รับผลกระทบเข้า” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยเตือนอยู่ข้างๆ

สัตว์อสูรวิเศษที่ได้สติกลับคืนมาจากยาล่อหลอกเมื่อครู่นี้คลุ้มคลั่งอยู่ไม่น้อย เมื่อนึกถึงว่าถูกมนุษย์ลอบทำร้ายดักจับมาก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ตอนนี้ได้เห็นคนที่ทำร้ายพวกมันก็ยิ่งควบคุมความคิดของตนเอาไว้ไม่อยู่

“โฮก…”

สัตว์อสูรวิเศษส่งเสียงคำรามโฮกใส่พวกเขา จากนั้นก็พุ่งเข้าโจมตีคนของกลุ่มทหารรับจ้าง พวกเว่ยจือฉีถอยออกไปไกลจากจุดนี้แล้ววิ่งขึ้นไปบนต้นไม้เก่าแก่ที่อยู่ไกลออกไปอย่างรวดเร็ว

“พวกเจ้ามาถึงกันหมดแล้วแต่ไม่เห็นเรียกพวกเราเลย!” เจ้าอ้วนชวีเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่บนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่กันเรียบร้อยหมดทั้งสี่คนแล้วจึงกล่าวตำหนิประโยคหนึ่ง

“พวกเราเห็นพวกเจ้าสนทนากับพวกเขาอยู่อย่างออกรส เลยไม่อยากขัดจังหวะพวกเจ้าน่ะ” เป่ยกงถังพูดล้อเล่นอย่างหาได้ยากยิ่ง

“พวกเจ้าจงใจน่ะสิ!” เจ้าอ้วนชวีนั่งบนกิ่งไม้เรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยตำหนิเสียงเบา

“สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นพากันคลุ้มคลั่งไปหมดแล้ว เหตุใดเจ้าคำรามน้อยจึงไม่เห็นเป็นอะไรเลยเล่า” เว่ยจือฉีมองดูเจ้าคำรามน้อยที่กระโดดไปพลาง ชี้ไม้ชี้มือไปพลางอยู่บนร่างวิหคสี่ปีกแล้วถามขึ้นอย่างสงสัย

ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน โอ้ สัตว์อสูรวิเศษเหล่านี้ช่างลงมือกันรุนแรงเสียจริง!”

ทุกคนมองตามสายตาของเธอไป เสือดำตนหนึ่งกำลังฉีกร่างอาโม่ออกเป็นสองส่วนอยู่พอดี ภาพเหตุการณ์นั้นนองเลือดไม่น้อยเลยทีเดียว

“เดิมทีหญ้าม่วงขมก็สามารถทำให้สัตว์อสูรวิเศษคลุ้มคลั่งได้อยู่แล้ว บวกกับถูกมนุษย์ทำร้าย มีความแค้นในใจ ก็ย่อมลงมือไม่เบากันอยู่แล้ว” โอวหยางเฟยพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉากนี้มากสักเท่าใดนัก ก่อนหน้านี้คนพวกนี้ยังพูดว่าจะสังหารพวกตนปิดปาก ทั้งยังฝ่าฝืนข้อตกลงอีกด้วย ตอนนี้ได้พบกับจุดจบเช่นนี้ก็นับว่ารับกรรมที่ตนก่อไว้แล้วกัน

เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีไม่เคยเห็นฉากนองเลือดเช่นนี้มาก่อน เมื่อเห็นโลหิตสาดกระจายไปทั่วบริเวณจึงหันหน้าหนีไปโดยสัญชาตญาณ

ถึงแม้ว่ากลุ่มทหารรับจ้างจะมีกันอยู่ถึงสามสิบกว่าคน แต่เมื่อเทียบกับสัตว์อสูรวิเศษเกือบยี่สิบตนแล้วพลังการต่อสู้ย่อมอ่อนแอกว่าเป็นธรรมดา เพียงไม่นานคนเหล่านั้นก็ถูกสัตว์อสูรวิเศษทำลายไปจนหมดสิ้น

หลังจากสัตว์อสูรวิเศษระดับขั้นค่อนข้างต่ำเหล่านั้นสังหารคนจนหมดสิ้นแล้วก็เริ่มหันมาห้ำหั่นกันเอง

“เจ้าคำรามน้อย!” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยปากขึ้นมาในทันใด

เจ้าคำรามน้อยมองเธอปราดหนึ่งก่อนจะกระแอมให้คอโล่งแล้วเงยหน้าส่งเสียงคำรามเสียงหนึ่ง

“โฮก…”

จะว่าไปแล้วก็ประหลาดนัก สัตว์อสูรวิเศษที่ยังคงคลุ้มคลั่งไม่น้อย เตรียมตัวจะเปิดศึกใหญ่กันยกหนึ่งอยู่เมื่อครู่ต่างพากันเงียบสงบลงในทันใดแล้วหมอบลงบนพื้น ไม่เหลือท่าทีเมื่อครู่อีกต่อไป

ซือหม่าโยวเย่ว์กระโจนลงมาจากกิ่งไม้แล้วเดินตรงไปหาพวกเจ้าคำรามน้อย ปล่อยให้คนที่เหลือปากอ้าตาค้างจ้องมองเธอ

“น้องซือหม่า นั่นมันสัตว์อสูรวิเศษอันใดกัน” ชิงอู๋หยาถามอย่างตกตะลึง

“พวกเราก็ไม่เคยเห็นร่างจริงของมันมาก่อนเช่นกัน” เจ้าอ้วนชวีพูด

“แต่ต่อให้พวกเราได้เห็นก็ใช่ว่าจะรู้จักหรอกนะ ทำให้ฝูงสัตว์วิเศษยอมศิโรราบได้ นี่ย่อมมิใช่สิ่งที่สัตว์อสูรวิเศษธรรมดาทั่วไปทำได้อย่างแน่นอน” เว่ยจือฉีพูดพลางส่ายหน้า

“ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่ล้ำเลิศมากนั่นแหละ!” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ท่าทีเช่นนั้นราวกับว่าเจ้าคำรามน้อยเป็นสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของเขาเอง

“มีคุณธรรมหน่อย!” โอวหยางเฟยขยับออกมาจากข้างกายเจ้าอ้วนชวีแล้วอดกลอกตาใส่เขาทีหนึ่งมิได้

ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงค่ายพักแรมเมื่อครู่ก็เห็นซากศพกระจัดกระจายกลาดเกลื่อน เธอมองเจ้าคำรามน้อย… และวิหคสี่ปีกที่อยู่ข้างล่างปราดหนึ่ง ก็พบว่าแววตาของมันยังคงมีสีแดงฉานที่ไม่จางหายไป

……………………

“โยวเย่ว์ เจ้ามีหญ้าม่วงขมอยู่ได้อย่างไรกัน” เว่ยจือฉีพูดอย่างตกใจ “ก่อนหน้านี้ตอนเบื่อๆ เคยเก็บเอาไว้เล่นๆ น่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์อธิบาย “ตอนนี้มีหญ้าม่วงขมแล้ว พวกเราควรทำเช่นไรต่อหรือ” “พวกเราทำการเผาหญ้าม่วงขมเสีย ไอของมันก็จะแผ่กำจายออกไปได้ พอถึงตอนนั้นก็จะขจัดยาล่อหลอกไปได้แล้วล่ะ” เว่ยจือฉีพูด “ทำเช่นนี้จะมีประโยชน์หรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม “มีประโยชน์หรือไม่ แค่ลองดูก็รู้แล้วมิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็จุดไฟเผาหญ้าม่วงขมในมือ ถึงแม้ว่าชื่อของหญ้าม่วงขมจะมีคำว่าขมอยู่ แต่กลิ่นรสที่แผ่ออกมานั้นกลับมีกลิ่นหอมอ่อนจาง กลิ่นหอมแผ่กำจายออกมาจากในกำมือของเธอแล้วลอยไปทางที่ตั้งของค่ายพักแรมอย่างไร้สุ้มเสียง “แค่กๆ…” คล้ายกับสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอม เพราะสัตว์อสูรวิเศษที่เพิ่งถูกจับตัวมาเมื่อครู่เพิ่งจะถูกวางยาล่อหลอกไปเป็นเวลาไม่นาน ดังนั้นฤทธิ์ยาจึงยังไม่ลึกนัก หลังจากได้สูดกลิ่นหอมของหญ้าม่วงขมแล้วจึงเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้านี่เป็นอะไรไปน่ะ” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของสัตว์อสูรทิพย์ ห่าวโหย่วไฉจึงพูดขึ้น “ปรมาจารย์มู่ ยาที่ท่านให้นี่คงมิได้มีปัญหาอันใดกระมัง” “ไม่มีทางหรอก” ปรมาจารย์มู่พูดอย่างมั่นใจ “ก่อนหน้านี้สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นก็มิได้มีปัญหามิใช่หรือ” เพิ่งเอ่ยวาจาออกไป บุรุษทั้งสองก็วิ่งออกมาจากภายในกระโจมใหญ่หลังหนึ่งอย่างรีบร้อน ก่อนจะเอ่ยอย่างกระวนกระวายว่า “หัวหน้า ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรวิเศษภายในนั้นจะมีบางอย่างผิดปกติ คล้ายว่ายาล่อหลอกเริ่มจะสิ้นฤทธิ์เสียแล้วขอรับ” “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! ยาล่อหลอกนี่ของข้า หากไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ไม่มีทางหมดฤทธิ์แน่นอน” ปรมาจารย์มู่พูดอย่างมั่นใจ “ฮ่าๆ จะต้องเป็นเพราะพวกเจ้าทำเรื่องชั่วช้ามากเกินไปอย่างแน่นอน ยาล่อหลอกจึงไร้ประโยชน์เสียแล้ว!” ชิงอู๋หยาหัวเราะเสียงดังลั่นแล้วพูดขึ้น “พูดจาสามหาวนัก!” ห่าวโหย่วไฉตบหน้าชิงอู๋หยาฉาดหนึ่ง ฟาดจนเขาลอยกระเด็นกระแทกพื้น “เจ้านี่มันรู้เรื่องพวกเราแล้ว ปล่อยเอาไว้บนโลกก็รังแต่จะเป็นปัญหาเปล่าๆ” ปรมาจารย์มู่มองชิงอู๋หยาอย่างเย็นชา “ปรมาจารย์มู่พูดได้ถูกต้อง มาสิ พวกเรามาร่วมส่งท่านหัวหน้าน้อยกันดีกว่า” ห่าวโหย่วไฉพูด “ขอรับ หัวหน้า!” สองคนนั้นรับคำเสียงหนึ่งแล้วหยิบกระบี่ออกมาฟันลงไปทางชิงอู๋หยา “หยุดนะ!” เสียงที่แหวกอากาศมาทำให้ชายสองคนนั้นหยุดการเคลื่อนไหว จากนั้นก็รู้สึกว่าเบื้องหน้ามีเงาร่างมนุษย์วาบผ่าน ก่อนที่ตนจะถูกเตะลอยกระเด็น เดิมทีชิงอู๋หยาหลับตารอความตายแล้ว กำลังนึกเสียใจว่าตนไม่ควรออกมาคนเดียวเลย แต่ความเจ็บปวดที่คาดเอาไว้กลับมิได้เกิดขึ้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงตกกระแทกพื้นสองเสียง เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นเงาร่างอันเยียบเย็นยืนอยู่ตรงหน้าตน “น้องหญิงเป่ยกงหรือ” ชิงอู๋หยาตะโกนออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “พี่ใหญ่ชิง ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์และโอวหยางเฟยปรากฏตัวออกมาจากที่ซ่อนแล้วมองชิงอู๋หยาพลางถามขึ้น ชิงอู๋หยาส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่กันได้อย่างไรหรือ” “ผ่านทางมาแล้วเห็นพวกเขาจะสังหารท่านเข้าพอดีน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เดิมทีเห็นลูกน้องของตนถูกเตะลอยกระเด็น ก็ยังคิดว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ที่ไหนโผล่มา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมสามคนเท่านั้น “เจ้าพวกเด็กน้อยทั้งสาม ถึงกับเรียนรู้ที่จะสอดเรื่องชาวบ้าน อยากเอาชีวิตมาทิ้งเช่นนี้ก็โทษผู้อื่นมิได้หรอกนะ” ห่าวโหย่วไฉส่งเสียงเฮอะเยียบเย็น เรื่องของพวกเขาถูกพวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งสามคนทำลาย แล้วเขายังรู้จักกับชิงอู๋หยาด้วย วันนี้จึงมิอาจปล่อยให้พวกเขาจากไปได้อย่างแน่นอน “มีคนรนหาที่ตายอีกสามคนแล้วสินะ!” ปรมาจารย์มู่ขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “ธุระของพวกเรามิอาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้ ในเมื่อพวกเขามาด้วยกัน เช่นนั้นก็ส่งพวกเขาไปสู่ความตายพร้อมกันเลยดีกว่า” น้ำเสียงไร้ซึ่งความปรานี ชีวิตหลายชีวิตในสายตาของเขานั้นไม่ต่างอะไรจากมดปลวกเลย “คิดจะสังหารพวกเรานั้นก็ต้องดูว่าพวกเจ้ามีความสามารถพอหรือไม่ด้วยสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ “ฮ่าๆ แค่จัดการพวกเจ้าสามคน จะต้องใช้ความสามารถอันใดด้วยหรือ” ห่าวโหย่วไฉหัวเราะเสียงดังลั่นแล้วพูดขึ้น “พวกเราที่นี่สองคนจะใคร ก็จัดการพวกเจ้าได้ทั้งนั้น! อาโม่ อาไฉ พวกเจ้าลุยเลย” “ขอรับ หัวหน้า” บุรุษร่างใหญ่สองคนเดินออกมาจากกลุ่มคนแล้วบุกเข้าใส่พวกซือหม่าโยวเย่ว์พร้อมรอยยิ้มเย็น “เจ้าเด็กน้อย อยากจะโทษก็โทษความแส่หาเรื่องของพวกเจ้าเองนั่นแหละ ล่วงรู้แผนการของพวกเราเข้าแล้ว วันนี้ก็มีแต่ปากคนตายนั่นแหละจึงจะปิดได้สนิทที่สุด” “อาโม่ จะมัวเปลืองน้ำลายกับพวกเขาอยู่ทำไมกัน ยังไม่รีบจัดการอีก!” ห่าวโหย่วไฉเอ่ยเร่ง ซือหม่าโยวเย่ว์และโอวหยางเฟยประสานสายตากันแวบหนึ่งก่อนจะมองอาโม่และอาไฉที่เดินเข้ามาใกล้ ทั้งสองคนขยับร่างกายพร้อมกันแล้ววิ่งตรงไปหาพวกเขาก่อนจะอาศัยจังหวะที่ไม่ระวังตัวเตะพวกเขาจนลอยกระเด็นไป โอวหยางเฟยเก็บขาของตัวเองกลับมา ไม่สนใจคนที่ถูกตนเตะกระเด็น หากแต่เหลือบมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่ง เขาฝึกฝนร่างกายตนเองอยู่ตลอด ดังนั้นร่างกายของเขาจึงเทียบเคียงได้กับปรมาจารย์กระบี่ การเตะปรมาจารย์วิญญาณคนหนึ่งลอยกระเด็นนั้นจึงมิใช่เรื่องน่าแปลกแต่อย่างใดเลย แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือซือหม่าโยวเย่ว์ก็มีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้ด้วยเช่นกัน ถึงกับเตะชายฉกรรจ์คนหนึ่งลอยกระเด็นได้เลยทีเดียว! ที่แท้แล้วเขามิได้มีเพียงร่างกายที่คล่องแคล่วเท่านั้น แต่ยังมีพลังอันชวนให้คนตกใจอีกด้วย “ไปหามารดาเจ้าเถอะ!” อาโม่อาไฉรู้สึกว่าตนถูกเจ้าเด็กน้อยสองคนเตะกระเด็นต่อหน้าพรรคพวกของตนนั้นช่างน่าขายหน้าเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อปรมาจารย์มู่คอยดูอยู่ที่นี่ด้วย แต่พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าเป็นเพราะเมื่อครู่ประมาทจนเกินไปทำให้เจ้าเด็กสองคนนั้นอาศัยทีเผลอได้ ดังนั้นทั้งสองคนจึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นแล้วพุ่งเข้าไปหาพวกซือหม่าโยวเย่ว์อีกครั้ง “วิ่ง!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกนดังลั่นเสียงหนึ่งแล้วเริ่มต้นวิ่งในค่ายพักแรม เพิ่งเอ่ยวาจาออกไป เธอจึงค่อยค้นพบว่าโอวหยางเฟยออกวิ่งนำเธอไปก้าวหนึ่งแล้ว “เฮ้!” ถึงแม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาหารือกันเรียบร้อยแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าการเคลื่อนไหวของโอวหยางเฟยจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ คนทั้งสองได้สำรวจพื้นที่บริเวณนี้เอาไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขามิได้วิ่งไปไกลนัก หากแต่วิ่งวนไปรอบๆ ค่ายพักแรมเท่านั้น อาโม่และอาไฉวิ่งไล่ตามจนหอบเหนื่อยก็ยังวิ่งตามไม่ทัน “ไปตามจับมาเร็ว อย่าให้พวกเขาสองคนหนีไปได้ล่ะ!” ปรมาจารย์มู่ตะโกนเสียงดัง “ไป… ไปตามจับมาเร็ว! ถ้าหากปล่อยพวกเขาหนีไปได้ข้าจะเด็ดหัวพวกเจ้าเสีย!” ห่าวโหย่วไฉเอ่ยข่มขู่ หลังจากนั้นก็มีอีกหลายคนเข้ามาร่วมวิ่งไล่ตาม ชิงอู๋หยาเห็นว่าความสนใจของคนอื่นๆ ถูกพวกซือหม่าโยวเย่ว์ดึงดูดไปจนหมดแล้ว แต่การคิดจะหลบหนีนั้นย่อมต้องถูกค้นพบอย่างแน่นอน เขามายังข้างกายเป่ยกงถังแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “น้องหญิงเป่ยกง อีกประเดี๋ยวข้าจะเบนความสนใจของพวกเขา เจ้าอาศัยจังหวะนั้นวิ่งหนีไปเลยนะ” “ภารกิจของข้าคือการปกป้องท่าน มิใช่การหลบหนีเสียหน่อย” เป่ยกงถังพูดอย่างเรียบเรื่อย “รออีกครู่เดียวก็ใช้ได้แล้วล่ะ” ชิงอู๋หยามองดูสีหน้าอันไร้ซึ่งความกังวลใจของเป่ยกงถังแล้วนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีพวกเขาอีกสองคนที่ไร้ซึ่งร่องรอย จึงนึกเดาไปว่าพวกเขาต้องมีแผนการอะไรบางอย่างอยู่แล้ว เลยไม่เร่งให้นางหนีไปอีก มีคนหลายคนมาไล่จับพวกเขาเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์และโอวหยางเฟยจะมีฝีมือไม่เลว แต่สองหมัดยากจะต่อกรสี่มือได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีคนเพิ่มขึ้นมามากมายถึงเพียงนี้ ทั้งสองคนค่อยๆ ถูกบีบเข้ามาอยู่ด้วยกัน คนของกลุ่มทหารรับจ้างเหล่านั้นล้อมวงกันเข้ามา โอบล้อมคนทั้งสองเอาไว้ตรงกลาง “เจ้าเด็กบ้า มาดูกันสิว่าตอนนี้พวกเจ้าจะวิ่งหนีไปไหนได้อีก!” อาโม่คิดไม่ถึงว่าต้องใช้เวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้จึงจะล้อมคนทั้งสองเอาไว้ได้ เจ้าสองคนนี้ลื่นราวกับปลาไหล ทุกครั้งที่กำลังจะจับตัวพวกเขาก็หนีออกไปได้ก่อนทุกที “หนีหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูผู้คนที่ล้อมตนเอาไว้แล้วส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยว่า “ตอนนี้คนที่ต้องหนีไม่ใช่พวกเราหรอก เป็นพวกเจ้าต่างหากเล่า” “ฮ่าๆ พวกเจ้าจะต้องไปพบท่านพญายมอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว ยังจะมีหน้ามาข่มขู่พวกเรา…” “โฮก…” อาไฉยังเอ่ยไม่ทันจบก็มีเสียงคำรามเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากภายในกระโจม ตามมาด้วยเสียงสัตว์ร้องหลายครั้งหลายครา ทำเอาทุกคนในที่นั้นตกใจจนสะดุ้งเฮือก …………………

“โยวเย่ว์ เจ้ามีหญ้าม่วงขมอยู่ได้อย่างไรกัน” เว่ยจือฉีพูดอย่างตกใจ

“ก่อนหน้านี้ตอนเบื่อๆ เคยเก็บเอาไว้เล่นๆ น่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์อธิบาย “ตอนนี้มีหญ้าม่วงขมแล้ว พวกเราควรทำเช่นไรต่อหรือ”

“พวกเราทำการเผาหญ้าม่วงขมเสีย ไอของมันก็จะแผ่กำจายออกไปได้ พอถึงตอนนั้นก็จะขจัดยาล่อหลอกไปได้แล้วล่ะ” เว่ยจือฉีพูด

“ทำเช่นนี้จะมีประโยชน์หรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม

“มีประโยชน์หรือไม่ แค่ลองดูก็รู้แล้วมิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็จุดไฟเผาหญ้าม่วงขมในมือ

ถึงแม้ว่าชื่อของหญ้าม่วงขมจะมีคำว่าขมอยู่ แต่กลิ่นรสที่แผ่ออกมานั้นกลับมีกลิ่นหอมอ่อนจาง กลิ่นหอมแผ่กำจายออกมาจากในกำมือของเธอแล้วลอยไปทางที่ตั้งของค่ายพักแรมอย่างไร้สุ้มเสียง

“แค่กๆ…”

คล้ายกับสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอม เพราะสัตว์อสูรวิเศษที่เพิ่งถูกจับตัวมาเมื่อครู่เพิ่งจะถูกวางยาล่อหลอกไปเป็นเวลาไม่นาน ดังนั้นฤทธิ์ยาจึงยังไม่ลึกนัก หลังจากได้สูดกลิ่นหอมของหญ้าม่วงขมแล้วจึงเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

“เจ้านี่เป็นอะไรไปน่ะ” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของสัตว์อสูรทิพย์ ห่าวโหย่วไฉจึงพูดขึ้น “ปรมาจารย์มู่ ยาที่ท่านให้นี่คงมิได้มีปัญหาอันใดกระมัง”

“ไม่มีทางหรอก” ปรมาจารย์มู่พูดอย่างมั่นใจ “ก่อนหน้านี้สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นก็มิได้มีปัญหามิใช่หรือ”

เพิ่งเอ่ยวาจาออกไป บุรุษทั้งสองก็วิ่งออกมาจากภายในกระโจมใหญ่หลังหนึ่งอย่างรีบร้อน ก่อนจะเอ่ยอย่างกระวนกระวายว่า “หัวหน้า ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรวิเศษภายในนั้นจะมีบางอย่างผิดปกติ คล้ายว่ายาล่อหลอกเริ่มจะสิ้นฤทธิ์เสียแล้วขอรับ”

“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! ยาล่อหลอกนี่ของข้า หากไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ไม่มีทางหมดฤทธิ์แน่นอน” ปรมาจารย์มู่พูดอย่างมั่นใจ

“ฮ่าๆ จะต้องเป็นเพราะพวกเจ้าทำเรื่องชั่วช้ามากเกินไปอย่างแน่นอน ยาล่อหลอกจึงไร้ประโยชน์เสียแล้ว!” ชิงอู๋หยาหัวเราะเสียงดังลั่นแล้วพูดขึ้น

“พูดจาสามหาวนัก!” ห่าวโหย่วไฉตบหน้าชิงอู๋หยาฉาดหนึ่ง ฟาดจนเขาลอยกระเด็นกระแทกพื้น

“เจ้านี่มันรู้เรื่องพวกเราแล้ว ปล่อยเอาไว้บนโลกก็รังแต่จะเป็นปัญหาเปล่าๆ” ปรมาจารย์มู่มองชิงอู๋หยาอย่างเย็นชา

“ปรมาจารย์มู่พูดได้ถูกต้อง มาสิ พวกเรามาร่วมส่งท่านหัวหน้าน้อยกันดีกว่า” ห่าวโหย่วไฉพูด

“ขอรับ หัวหน้า!” สองคนนั้นรับคำเสียงหนึ่งแล้วหยิบกระบี่ออกมาฟันลงไปทางชิงอู๋หยา

“หยุดนะ!”

เสียงที่แหวกอากาศมาทำให้ชายสองคนนั้นหยุดการเคลื่อนไหว จากนั้นก็รู้สึกว่าเบื้องหน้ามีเงาร่างมนุษย์วาบผ่าน ก่อนที่ตนจะถูกเตะลอยกระเด็น

เดิมทีชิงอู๋หยาหลับตารอความตายแล้ว กำลังนึกเสียใจว่าตนไม่ควรออกมาคนเดียวเลย แต่ความเจ็บปวดที่คาดเอาไว้กลับมิได้เกิดขึ้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงตกกระแทกพื้นสองเสียง เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นเงาร่างอันเยียบเย็นยืนอยู่ตรงหน้าตน

“น้องหญิงเป่ยกงหรือ” ชิงอู๋หยาตะโกนออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“พี่ใหญ่ชิง ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์และโอวหยางเฟยปรากฏตัวออกมาจากที่ซ่อนแล้วมองชิงอู๋หยาพลางถามขึ้น

ชิงอู๋หยาส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่กันได้อย่างไรหรือ”

“ผ่านทางมาแล้วเห็นพวกเขาจะสังหารท่านเข้าพอดีน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เดิมทีเห็นลูกน้องของตนถูกเตะลอยกระเด็น ก็ยังคิดว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ที่ไหนโผล่มา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมสามคนเท่านั้น

“เจ้าพวกเด็กน้อยทั้งสาม ถึงกับเรียนรู้ที่จะสอดเรื่องชาวบ้าน อยากเอาชีวิตมาทิ้งเช่นนี้ก็โทษผู้อื่นมิได้หรอกนะ” ห่าวโหย่วไฉส่งเสียงเฮอะเยียบเย็น

เรื่องของพวกเขาถูกพวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งสามคนทำลาย แล้วเขายังรู้จักกับชิงอู๋หยาด้วย วันนี้จึงมิอาจปล่อยให้พวกเขาจากไปได้อย่างแน่นอน

“มีคนรนหาที่ตายอีกสามคนแล้วสินะ!” ปรมาจารย์มู่ขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “ธุระของพวกเรามิอาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้ ในเมื่อพวกเขามาด้วยกัน เช่นนั้นก็ส่งพวกเขาไปสู่ความตายพร้อมกันเลยดีกว่า”

น้ำเสียงไร้ซึ่งความปรานี ชีวิตหลายชีวิตในสายตาของเขานั้นไม่ต่างอะไรจากมดปลวกเลย

“คิดจะสังหารพวกเรานั้นก็ต้องดูว่าพวกเจ้ามีความสามารถพอหรือไม่ด้วยสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ

“ฮ่าๆ แค่จัดการพวกเจ้าสามคน จะต้องใช้ความสามารถอันใดด้วยหรือ” ห่าวโหย่วไฉหัวเราะเสียงดังลั่นแล้วพูดขึ้น “พวกเราที่นี่สองคนจะใคร ก็จัดการพวกเจ้าได้ทั้งนั้น! อาโม่ อาไฉ พวกเจ้าลุยเลย”

“ขอรับ หัวหน้า” บุรุษร่างใหญ่สองคนเดินออกมาจากกลุ่มคนแล้วบุกเข้าใส่พวกซือหม่าโยวเย่ว์พร้อมรอยยิ้มเย็น “เจ้าเด็กน้อย อยากจะโทษก็โทษความแส่หาเรื่องของพวกเจ้าเองนั่นแหละ ล่วงรู้แผนการของพวกเราเข้าแล้ว วันนี้ก็มีแต่ปากคนตายนั่นแหละจึงจะปิดได้สนิทที่สุด”

“อาโม่ จะมัวเปลืองน้ำลายกับพวกเขาอยู่ทำไมกัน ยังไม่รีบจัดการอีก!” ห่าวโหย่วไฉเอ่ยเร่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์และโอวหยางเฟยประสานสายตากันแวบหนึ่งก่อนจะมองอาโม่และอาไฉที่เดินเข้ามาใกล้ ทั้งสองคนขยับร่างกายพร้อมกันแล้ววิ่งตรงไปหาพวกเขาก่อนจะอาศัยจังหวะที่ไม่ระวังตัวเตะพวกเขาจนลอยกระเด็นไป

โอวหยางเฟยเก็บขาของตัวเองกลับมา ไม่สนใจคนที่ถูกตนเตะกระเด็น หากแต่เหลือบมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่ง

เขาฝึกฝนร่างกายตนเองอยู่ตลอด ดังนั้นร่างกายของเขาจึงเทียบเคียงได้กับปรมาจารย์กระบี่ การเตะปรมาจารย์วิญญาณคนหนึ่งลอยกระเด็นนั้นจึงมิใช่เรื่องน่าแปลกแต่อย่างใดเลย แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือซือหม่าโยวเย่ว์ก็มีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้ด้วยเช่นกัน ถึงกับเตะชายฉกรรจ์คนหนึ่งลอยกระเด็นได้เลยทีเดียว!

ที่แท้แล้วเขามิได้มีเพียงร่างกายที่คล่องแคล่วเท่านั้น แต่ยังมีพลังอันชวนให้คนตกใจอีกด้วย

“ไปหามารดาเจ้าเถอะ!”

อาโม่อาไฉรู้สึกว่าตนถูกเจ้าเด็กน้อยสองคนเตะกระเด็นต่อหน้าพรรคพวกของตนนั้นช่างน่าขายหน้าเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อปรมาจารย์มู่คอยดูอยู่ที่นี่ด้วย

แต่พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าเป็นเพราะเมื่อครู่ประมาทจนเกินไปทำให้เจ้าเด็กสองคนนั้นอาศัยทีเผลอได้ ดังนั้นทั้งสองคนจึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นแล้วพุ่งเข้าไปหาพวกซือหม่าโยวเย่ว์อีกครั้ง

“วิ่ง!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกนดังลั่นเสียงหนึ่งแล้วเริ่มต้นวิ่งในค่ายพักแรม

เพิ่งเอ่ยวาจาออกไป เธอจึงค่อยค้นพบว่าโอวหยางเฟยออกวิ่งนำเธอไปก้าวหนึ่งแล้ว

“เฮ้!”

ถึงแม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาหารือกันเรียบร้อยแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าการเคลื่อนไหวของโอวหยางเฟยจะรวดเร็วถึงเพียงนี้

คนทั้งสองได้สำรวจพื้นที่บริเวณนี้เอาไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขามิได้วิ่งไปไกลนัก หากแต่วิ่งวนไปรอบๆ ค่ายพักแรมเท่านั้น อาโม่และอาไฉวิ่งไล่ตามจนหอบเหนื่อยก็ยังวิ่งตามไม่ทัน

“ไปตามจับมาเร็ว อย่าให้พวกเขาสองคนหนีไปได้ล่ะ!” ปรมาจารย์มู่ตะโกนเสียงดัง

“ไป… ไปตามจับมาเร็ว! ถ้าหากปล่อยพวกเขาหนีไปได้ข้าจะเด็ดหัวพวกเจ้าเสีย!” ห่าวโหย่วไฉเอ่ยข่มขู่

หลังจากนั้นก็มีอีกหลายคนเข้ามาร่วมวิ่งไล่ตาม

ชิงอู๋หยาเห็นว่าความสนใจของคนอื่นๆ ถูกพวกซือหม่าโยวเย่ว์ดึงดูดไปจนหมดแล้ว แต่การคิดจะหลบหนีนั้นย่อมต้องถูกค้นพบอย่างแน่นอน

เขามายังข้างกายเป่ยกงถังแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “น้องหญิงเป่ยกง อีกประเดี๋ยวข้าจะเบนความสนใจของพวกเขา เจ้าอาศัยจังหวะนั้นวิ่งหนีไปเลยนะ”

“ภารกิจของข้าคือการปกป้องท่าน มิใช่การหลบหนีเสียหน่อย” เป่ยกงถังพูดอย่างเรียบเรื่อย “รออีกครู่เดียวก็ใช้ได้แล้วล่ะ”

ชิงอู๋หยามองดูสีหน้าอันไร้ซึ่งความกังวลใจของเป่ยกงถังแล้วนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีพวกเขาอีกสองคนที่ไร้ซึ่งร่องรอย จึงนึกเดาไปว่าพวกเขาต้องมีแผนการอะไรบางอย่างอยู่แล้ว เลยไม่เร่งให้นางหนีไปอีก

มีคนหลายคนมาไล่จับพวกเขาเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์และโอวหยางเฟยจะมีฝีมือไม่เลว แต่สองหมัดยากจะต่อกรสี่มือได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีคนเพิ่มขึ้นมามากมายถึงเพียงนี้ ทั้งสองคนค่อยๆ ถูกบีบเข้ามาอยู่ด้วยกัน คนของกลุ่มทหารรับจ้างเหล่านั้นล้อมวงกันเข้ามา โอบล้อมคนทั้งสองเอาไว้ตรงกลาง

“เจ้าเด็กบ้า มาดูกันสิว่าตอนนี้พวกเจ้าจะวิ่งหนีไปไหนได้อีก!” อาโม่คิดไม่ถึงว่าต้องใช้เวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้จึงจะล้อมคนทั้งสองเอาไว้ได้ เจ้าสองคนนี้ลื่นราวกับปลาไหล ทุกครั้งที่กำลังจะจับตัวพวกเขาก็หนีออกไปได้ก่อนทุกที

“หนีหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูผู้คนที่ล้อมตนเอาไว้แล้วส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยว่า “ตอนนี้คนที่ต้องหนีไม่ใช่พวกเราหรอก เป็นพวกเจ้าต่างหากเล่า”

“ฮ่าๆ พวกเจ้าจะต้องไปพบท่านพญายมอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว ยังจะมีหน้ามาข่มขู่พวกเรา…”

“โฮก…”

อาไฉยังเอ่ยไม่ทันจบก็มีเสียงคำรามเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากภายในกระโจม ตามมาด้วยเสียงสัตว์ร้องหลายครั้งหลายครา ทำเอาทุกคนในที่นั้นตกใจจนสะดุ้งเฮือก

…………………

“นี่ คราวนี้พวกเราจับตัวสัตว์อสูรวิเศษมาได้มากแค่ไหนแล้วหรือ” บุรุษเคราดกยาวถึงช่วงเอวหนาคนหนึ่งเดินออกมาจากกระโจมพลางถามคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงกลางค่ายพักแรม “หัวหน้า พวกเราจับสัตว์อสูรวิเศษได้เกือบยี่สิบตนแล้วขอรับ สองตนในนั้นยังเป็นสัตว์อสูรทิพย์พูดได้อีกด้วย!” ชายสองคนยืนขึ้นพูด “หา มีเกือบยี่สิบตนแล้วหรือ” บุรุษเคราดกหนาผู้นั้นพูดอย่างตื่นเต้น “คราวนี้พวกเราจะรวยกันแล้ว ฮ่าๆๆ!” “หัวหน้า วิธีการของท่านช่างยอดเยี่ยมเสียจริง คนพวกนั้นพากันไปชิงสิ่งล้ำค่ากันหมด แต่พวกเรากลับคอยดักจับสัตว์อสูรวิเศษกันอยู่ที่นี่” “สัตว์อสูรวิเศษล้วนถูกสิ่งล้ำค่าดึงดูดไป ส่วนพวกที่ผ่านทางมาล้วนถูกยาล่อหลอกที่พวกเราโปรยเอาไว้ทำให้สูญเสียพลังการต่อสู้ไปแล้วถูกพวกเราจับกุมเอาไว้ได้ ถ้าหากขายสัตว์อสูรวิเศษพวกนี้ให้กับบรรดาร้านค้าเหล่านั้น คราวนี้พวกเราต้องรวยเละแน่!” สองคนนั้นถามหาความดีความชอบจากหัวหน้าของตน ทว่าหัวหน้าผู้นั้นกลับถลึงตาใส่พวกเขาแล้วพูดว่า “ขายให้กับบรรดาร้านค้าเหล่านั้นอะไรกัน ช่างโง่เง่านัก พวกเราจะขายพวกมันให้กับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรต่างหากเล่า!” “หา สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรอย่างนั้นหรือ” “เฮอะ เจ้าพวกโง่ดักดานทั้งสอง! ข้าคุยกับปรมาจารย์เก๋อเรียบร้อยแล้ว หากพวกเราขายสัตว์อสูรวิเศษให้กับพวกเขา สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็จะฝึกสัตว์อสูรวิเศษห้าตนให้กับพวกเราโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย” บุรุษเคราดกหนาพูด “จริงหรือ โอ้ สัตว์อสูรวิเศษที่ฝึกให้เชื่องแล้วห้าตนเชียวนะ!” สองคนนั้นร้องอย่างตื่นเต้นขึ้นมา “เจ้าสองคนเบาเสียงลงหน่อยสิ ถ้าหากผู้อื่นล่วงรู้เข้า ระวังข้าจะทำให้ขาพวกเจ้าพิการเสีย!” บุรุษเคราดกหนาพูดเสียงดุ “หึๆ ขอเพียงแค่มีสัตว์อสูรวิเศษที่ฝึกจนเชื่องก็ทำพันธสัญญาได้แล้ว ความตื่นเต้นของพวกเขานั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ” บุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งออกมาจากกระโจมแล้วพูดยิ้มๆ “ปรมาจารย์มู่ ท่านออกมาทำไมหรือขอรับ” บุรุษเคราดกหนามองบุรุษอาภรณ์เขียวพลางเอ่ยขึ้น “ข้าออกมาดูสัตว์อสูรวิเศษที่เพิ่งจับได้เมื่อครู่สักหน่อยน่ะ” ปรมาจารย์มู่พูด “สองตนนี้ล้วนเป็นตัวที่เพิ่งจับได้เมื่อครู่ขอรับ” ชายคนหนึ่งยกกรงที่ใส่เจ้าคำรามน้อยและนกน้อยตัวนั้นเข้ามาพลางพูดขึ้น บุรุษเคราดกหนามองเจ้าคำรามน้อยและเจ้านกน้อยพลางขมวดคิ้วพูดว่า “เหตุใดคราวนี้จึงจับได้เพียงแค่สัตว์อสูรวิเศษเยี่ยงนี้สองตนเท่านั้นเองเล่า พวกมันใช่สัตว์อสูรวิเศษหรือไม่!” “หัวหน้าห่าว ท่านอย่าเพิ่งโมโหไป ถึงแม้จะไม่เคยพบเห็นสัตว์อสูรวิเศษสองตนนี้มาก่อน…” ปรมาจารย์มู่พูดพลางเบิกตากว้างมองเจ้านกน้อยแล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้นยินดีว่า “นี่คือวิหคสี่ปีกหรือ เป็น… เป็นวิหคสี่ปีกจริงๆ ด้วย!” ปรมาจารย์มู่เข้ามายังข้างกรงแล้วมองเจ้านกน้อยที่ไร้ชีวิตชีวาภายในกรงอย่างตื่นเต้น คิดจะเอื้อมมือไปสัมผัสมัน แต่ดูคล้ายว่าจะมีความลังเลใจอยู่บ้าง สุดท้ายก็กระโดดโลดเต้นไปรอบกรง “ปรมาจารย์มู่ เจ้าวิหคสี่ปีกนี่คือสัตว์อสูรวิเศษอะไรกันหรือ” เมื่อเห็นท่าทีของปรมาจารย์มู่ หัวหน้าห่าวกับลูกน้องของเขาต่างก็พากันมองเขาอย่างสงสัย “อะแฮ่ม” ปรมาจารย์มู่พูดพลางแกล้งวางท่าสงบนิ่ง “ข้าเองก็เคยเห็นวิหคสี่ปีกนี่เพียงแค่ในตำราเท่านั้น  มันเป็นเพียงแค่สัตว์อสูรวิเศษธรรมดาทั่วไปเท่านั้นเอง เอ๊ะ แล้วเจ้าตัวที่ดูเหมือนกระต่ายนี่มันสัตว์อสูรวิเศษอันใดกัน เหตุใดแม้กระทั่งข้าก็ยังไม่รู้จักเลยเล่า” เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เชื่อคำพูดของปรมาจารย์มู่เลย บอกว่าเคยเห็นเพียงแค่ในตำราเท่านั้น  แล้วจะเป็นสัตว์อสูรวิเศษธรรมดาทั่วไปได้อย่างไรกัน แต่เขาพูดเช่นนี้พวกเขาก็มิได้พูดอะไร ทว่าหัวหน้าห่าวกลับลอบส่งสายตาว่าเมื่อถึงเวลาขาย จะต้องเรียกราคาเจ้านกน้อยตนนี้ให้สูงหน่อยอย่างแน่นอน “ปรมาจารย์มู่ ข้าดูแล้วเหมือนจะมิใช่สัตว์อสูรวิเศษแต่อย่างใด คงเป็นกระต่ายตัวหนึ่งนั่นแหละ” ลูกน้องคนหนึ่งพูด “ข้าก็รู้สึกว่าเหมือนกระต่ายเช่นกัน” มีคนพูดอย่างเห็นด้วย “นี่จะเป็นกระต่ายตนหนึ่งไปได้อย่างไรเล่า!” ปรมาจารย์มู่ส่ายหน้าพูด “สามารถอยู่กับวิหคสี่ปีกได้ ก็จะต้องมิใช่สัตว์อสูรวิเศษธรรมดาๆ อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้มันอยู่ในสภาพร่างจำแลง รอให้ข้าได้เห็นร่างจริงของมันแล้วอาจจะรู้จักก็ได้นะ” ขณะนี้เอง คนอื่นๆ อีกสิบกว่าคนก็เดินออกมาจากในป่า ทั้งยังพูดคุยหัวเราะกันตลอดทาง “หัวหน้า ท่านดูสิ พวกเราจับสัตว์อสูรทิพย์ได้อีกตนหนึ่งแล้วนะ!” ชายหนุ่มวัยเยาว์ผู้หนึ่งยกกรงอันหนึ่งเดินกลับเข้ามา สิ่งที่ถูกขังอยู่ในกรงคือสัตว์อสูรทิพย์เสือดำขั้นหนี่ง “หัวหน้า ยาที่ท่านมอบให้พวกเราช่างมีประโยชน์เหลือเกิน เมื่อครู่เจ้านี่ยังดุร้ายยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าพอดมยานั่นเข้าไปก็กลายเป็นร่างจำแลงจนมีรูปลักษณ์เช่นนี้ ยอมให้พวกเราจับตัวมาได้” “ฮ่าๆ ปรมาจารย์มู่ ดูท่าคราวนี้พวกเราจะได้ผลตอบแทนคุ้มค่ายิ่งนัก!” หัวหน้าห่าวหัวเราะเสียงดัง ดูคล้ายว่าจะจับสัตว์อสูรทิพย์ได้อีกตนแล้ว ปรมาจารย์มู่ยิ้มเสียจนหน้าบานราวกับดอกเบญจมาศแล้วเอ่ยว่า “ไม่เลว ไม่เลวเลยนะ” “หัวหน้า พวกเราพบเจ้าตัวเล็กนี่เข้าระหว่างทาง” คนเหล่านั้นดันตัวคนผู้หนึ่งขึ้นมาจากด้านหลัง พวกซือหม่าโยวเย่ว์มองดู คนที่ถูกมัดตัวเอาไว้คือคนที่พวกเขารู้จักคุ้นเคย “ชิงอู๋หยา เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน” เจ้าอ้วนชวีพูด “ห่าวโหย่วไฉ เจ้าถึงกับละเมิดข้อตกลงระหว่างมนุษย์ ใช้ยาล่าสังหารสัตว์อสูรวิเศษจำนวนมาก!” ชิงอู๋หยาถลึงตาใส่ห่าวโหย่วไฉพลางเอ่ยอย่างเดือดดาล “อ้าว นี่มิใช่หัวหน้ากลุ่มชิงซานหรอกหรือ เจ้าไม่คอยรับภารกิจกระจอกๆ อยู่ที่เมืองเหยียนล่ะ วิ่งเข้ามาทำอะไรที่พื้นที่ชั้นในนี่เล่า” เห็นได้ชัดว่าห่าวโหย่วไฉรู้จักกับชิงอู๋หยา นอกจากนี้ดูจากน้ำเสียงที่เขาพูดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างทหารรับจ้างทั้งสองกลุ่มดูจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก “สมควรตาย พวกเขาบังอาจทำเช่นนี้กับสัตว์อสูรวิเศษได้!” เว่ยจือฉีได้ยินคำพูดของชิงอู๋หยาแล้วก็โมโหจนแทบจะพุ่งตัวเข้าไปในทันที แต่ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวเอาไว้ก่อน “ตอนนี้พวกเขาอยู่กันเยอะแยะ ทั้งยังมิอาจเรียกตัวสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของพวกเราออกมาได้ในตอนนี้ด้วย ก็ได้แต่อาศัยพวกเรากันเองนี่แหละ จะสู้กับพวกเขาอย่างไรดี นอกจากนี้พลังยุทธ์ของพวกเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าพวกเราอยู่มากอีกด้วย!” “แต่ว่า…” “จือฉี เจ้าอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปเลยนะ โยวเย่ว์พูดเช่นนี้ จะต้องคิดวิธีแก้ไขได้แน่ เจ้าคำรามน้อยยังอยู่ในเงื้อมมือพวกเขาอยู่นะ” เจ้าอ้วนชวีพูดปลอบประโลม “จือฉี เหตุใดเจ้าจึงเดือดดาลเช่นนี้เล่า” โอวหยางเฟยมองเว่ยจือฉี ในใจเกิดความสงสัยอยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้เห็นเจ้านี่สุภาพอ่อนโยน แต่ตอนนี้กลับเดือดดาลถึงเพียงนี้เสียอย่างนั้น “ใช่แล้ว จือฉี เหตุใดเจ้าจึงเดือดดาลเช่นนี้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน “ข้าเป็นนักฝึกสัตว์อสูร สัตว์อสูรวิเศษทุกตัวล้วนเป็นสหายของข้าทั้งสิ้น ใช้ยาล่อหลอกมาล่อลวงดักจับสัตว์อสูรวิเศษ คนเช่นนี้คือศัตรูของทั้งโลกนักฝึกสัตว์อสูร!” เว่ยจือฉีพูด เขาถูกคนในครอบครัวปลูกฝังความคิดมาตั้งแต่เล็กว่าสัตว์อสูรวิเศษคือเพื่อน มีเพียงคนที่เลี้ยงดูสัตว์อสูรวิเศษเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกสัตว์อสูรวิเศษระดับสูงให้เชื่องได้ นอกจากนี้เว่ยจือฉียังสื่อสารกับสัตว์อสูรวิเศษมาตั้งแต่เด็ก จึงเคยชินกับการให้สัตว์อสูรวิเศษเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตนไปเสียแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าพวกเขาใช้วิธีการเช่นนี้ในการจับสัตว์อสูรวิเศษเกือบยี่สิบตัว เขาจึงเดือดดาลไม่น้อยเลยทีเดียว “โยวเย่ว์ ตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรกันดี” เป่ยกงถังเอ่ยปากถามอย่างหาได้ยากยิ่ง เห็นได้ชัดว่าตอนนี้นางคุ้นชินกับคนกลุ่มนี้แล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยที่อยู่ในกรงแล้วพูดว่า “พวกเขามีจำนวนคนมาก ตอนนี้พวกเรามิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ประเด็นหลักในตอนนี้คือต้องหาให้ได้ว่ายาที่พวกเขาใช้คือยาอะไร ในเมื่อนั่นคือยาล่อหลอกชนิดหนึ่งที่ใช้ในอากาศ ยาถอนพิษก็ต้องสามารถแพร่กระจายไปในอากาศได้เช่นเดียวกัน ขอเพียงแค่ถอนพิษยาล่อหลอกได้ ด้วยอุปนิสัยของสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นแล้วก็ต้องมิใช่เรื่องดีสำหรับเจ้าพวกนั้นแน่นอน” “แต่อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้ พวกเราก็คงไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่พวกเขาใช้คือยาอะไร” เจ้าอ้วนชวีพูด “มีสิ!” เว่ยจือฉีพูด “มีหญ้าชนิดหนึ่งชื่อว่าหญ้าม่วงขม หญ้าชนิดนี้สามารถทำให้สัตว์อสูรวิเศษหงุดหงิดขึ้นมาได้ เพิ่มการไหลเวียนโลหิตของสัตว์อสูรวิเศษ สามารถเรียกได้ว่าเป็นยาถอนพิษของยาล่อหลอก ทั้งหมดทั้งมวล ขอเพียงแค่หาหญ้าม่วงขมมาได้ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ยาล่อหลอกชนิดได้ก็ล้วนได้ผลทั้งสิ้น” “แต่ตอนนี้จะไปหาหญ้าม่วงขมมาจากไหนกันเล่า” โอวหยางเฟยขมวดคิ้ว ………………

“นี่ คราวนี้พวกเราจับตัวสัตว์อสูรวิเศษมาได้มากแค่ไหนแล้วหรือ” บุรุษเคราดกยาวถึงช่วงเอวหนาคนหนึ่งเดินออกมาจากกระโจมพลางถามคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงกลางค่ายพักแรม

“หัวหน้า พวกเราจับสัตว์อสูรวิเศษได้เกือบยี่สิบตนแล้วขอรับ สองตนในนั้นยังเป็นสัตว์อสูรทิพย์พูดได้อีกด้วย!” ชายสองคนยืนขึ้นพูด

“หา มีเกือบยี่สิบตนแล้วหรือ” บุรุษเคราดกหนาผู้นั้นพูดอย่างตื่นเต้น “คราวนี้พวกเราจะรวยกันแล้ว ฮ่าๆๆ!”

“หัวหน้า วิธีการของท่านช่างยอดเยี่ยมเสียจริง คนพวกนั้นพากันไปชิงสิ่งล้ำค่ากันหมด แต่พวกเรากลับคอยดักจับสัตว์อสูรวิเศษกันอยู่ที่นี่”

“สัตว์อสูรวิเศษล้วนถูกสิ่งล้ำค่าดึงดูดไป ส่วนพวกที่ผ่านทางมาล้วนถูกยาล่อหลอกที่พวกเราโปรยเอาไว้ทำให้สูญเสียพลังการต่อสู้ไปแล้วถูกพวกเราจับกุมเอาไว้ได้ ถ้าหากขายสัตว์อสูรวิเศษพวกนี้ให้กับบรรดาร้านค้าเหล่านั้น คราวนี้พวกเราต้องรวยเละแน่!”

สองคนนั้นถามหาความดีความชอบจากหัวหน้าของตน ทว่าหัวหน้าผู้นั้นกลับถลึงตาใส่พวกเขาแล้วพูดว่า “ขายให้กับบรรดาร้านค้าเหล่านั้นอะไรกัน ช่างโง่เง่านัก พวกเราจะขายพวกมันให้กับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรต่างหากเล่า!”

“หา สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรอย่างนั้นหรือ”

“เฮอะ เจ้าพวกโง่ดักดานทั้งสอง! ข้าคุยกับปรมาจารย์เก๋อเรียบร้อยแล้ว หากพวกเราขายสัตว์อสูรวิเศษให้กับพวกเขา สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็จะฝึกสัตว์อสูรวิเศษห้าตนให้กับพวกเราโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย” บุรุษเคราดกหนาพูด

“จริงหรือ โอ้ สัตว์อสูรวิเศษที่ฝึกให้เชื่องแล้วห้าตนเชียวนะ!” สองคนนั้นร้องอย่างตื่นเต้นขึ้นมา

“เจ้าสองคนเบาเสียงลงหน่อยสิ ถ้าหากผู้อื่นล่วงรู้เข้า ระวังข้าจะทำให้ขาพวกเจ้าพิการเสีย!” บุรุษเคราดกหนาพูดเสียงดุ

“หึๆ ขอเพียงแค่มีสัตว์อสูรวิเศษที่ฝึกจนเชื่องก็ทำพันธสัญญาได้แล้ว ความตื่นเต้นของพวกเขานั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ” บุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งออกมาจากกระโจมแล้วพูดยิ้มๆ

“ปรมาจารย์มู่ ท่านออกมาทำไมหรือขอรับ” บุรุษเคราดกหนามองบุรุษอาภรณ์เขียวพลางเอ่ยขึ้น

“ข้าออกมาดูสัตว์อสูรวิเศษที่เพิ่งจับได้เมื่อครู่สักหน่อยน่ะ” ปรมาจารย์มู่พูด

“สองตนนี้ล้วนเป็นตัวที่เพิ่งจับได้เมื่อครู่ขอรับ” ชายคนหนึ่งยกกรงที่ใส่เจ้าคำรามน้อยและนกน้อยตัวนั้นเข้ามาพลางพูดขึ้น

บุรุษเคราดกหนามองเจ้าคำรามน้อยและเจ้านกน้อยพลางขมวดคิ้วพูดว่า “เหตุใดคราวนี้จึงจับได้เพียงแค่สัตว์อสูรวิเศษเยี่ยงนี้สองตนเท่านั้นเองเล่า พวกมันใช่สัตว์อสูรวิเศษหรือไม่!”

“หัวหน้าห่าว ท่านอย่าเพิ่งโมโหไป ถึงแม้จะไม่เคยพบเห็นสัตว์อสูรวิเศษสองตนนี้มาก่อน…” ปรมาจารย์มู่พูดพลางเบิกตากว้างมองเจ้านกน้อยแล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้นยินดีว่า “นี่คือวิหคสี่ปีกหรือ เป็น… เป็นวิหคสี่ปีกจริงๆ ด้วย!”

ปรมาจารย์มู่เข้ามายังข้างกรงแล้วมองเจ้านกน้อยที่ไร้ชีวิตชีวาภายในกรงอย่างตื่นเต้น คิดจะเอื้อมมือไปสัมผัสมัน แต่ดูคล้ายว่าจะมีความลังเลใจอยู่บ้าง สุดท้ายก็กระโดดโลดเต้นไปรอบกรง

“ปรมาจารย์มู่ เจ้าวิหคสี่ปีกนี่คือสัตว์อสูรวิเศษอะไรกันหรือ” เมื่อเห็นท่าทีของปรมาจารย์มู่ หัวหน้าห่าวกับลูกน้องของเขาต่างก็พากันมองเขาอย่างสงสัย

“อะแฮ่ม” ปรมาจารย์มู่พูดพลางแกล้งวางท่าสงบนิ่ง “ข้าเองก็เคยเห็นวิหคสี่ปีกนี่เพียงแค่ในตำราเท่านั้น  มันเป็นเพียงแค่สัตว์อสูรวิเศษธรรมดาทั่วไปเท่านั้นเอง เอ๊ะ แล้วเจ้าตัวที่ดูเหมือนกระต่ายนี่มันสัตว์อสูรวิเศษอันใดกัน เหตุใดแม้กระทั่งข้าก็ยังไม่รู้จักเลยเล่า”

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เชื่อคำพูดของปรมาจารย์มู่เลย บอกว่าเคยเห็นเพียงแค่ในตำราเท่านั้น  แล้วจะเป็นสัตว์อสูรวิเศษธรรมดาทั่วไปได้อย่างไรกัน แต่เขาพูดเช่นนี้พวกเขาก็มิได้พูดอะไร ทว่าหัวหน้าห่าวกลับลอบส่งสายตาว่าเมื่อถึงเวลาขาย จะต้องเรียกราคาเจ้านกน้อยตนนี้ให้สูงหน่อยอย่างแน่นอน

“ปรมาจารย์มู่ ข้าดูแล้วเหมือนจะมิใช่สัตว์อสูรวิเศษแต่อย่างใด คงเป็นกระต่ายตัวหนึ่งนั่นแหละ” ลูกน้องคนหนึ่งพูด

“ข้าก็รู้สึกว่าเหมือนกระต่ายเช่นกัน” มีคนพูดอย่างเห็นด้วย

“นี่จะเป็นกระต่ายตนหนึ่งไปได้อย่างไรเล่า!” ปรมาจารย์มู่ส่ายหน้าพูด “สามารถอยู่กับวิหคสี่ปีกได้ ก็จะต้องมิใช่สัตว์อสูรวิเศษธรรมดาๆ อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้มันอยู่ในสภาพร่างจำแลง รอให้ข้าได้เห็นร่างจริงของมันแล้วอาจจะรู้จักก็ได้นะ”

ขณะนี้เอง คนอื่นๆ อีกสิบกว่าคนก็เดินออกมาจากในป่า ทั้งยังพูดคุยหัวเราะกันตลอดทาง

“หัวหน้า ท่านดูสิ พวกเราจับสัตว์อสูรทิพย์ได้อีกตนหนึ่งแล้วนะ!” ชายหนุ่มวัยเยาว์ผู้หนึ่งยกกรงอันหนึ่งเดินกลับเข้ามา สิ่งที่ถูกขังอยู่ในกรงคือสัตว์อสูรทิพย์เสือดำขั้นหนี่ง

“หัวหน้า ยาที่ท่านมอบให้พวกเราช่างมีประโยชน์เหลือเกิน เมื่อครู่เจ้านี่ยังดุร้ายยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าพอดมยานั่นเข้าไปก็กลายเป็นร่างจำแลงจนมีรูปลักษณ์เช่นนี้ ยอมให้พวกเราจับตัวมาได้”

“ฮ่าๆ ปรมาจารย์มู่ ดูท่าคราวนี้พวกเราจะได้ผลตอบแทนคุ้มค่ายิ่งนัก!” หัวหน้าห่าวหัวเราะเสียงดัง

ดูคล้ายว่าจะจับสัตว์อสูรทิพย์ได้อีกตนแล้ว ปรมาจารย์มู่ยิ้มเสียจนหน้าบานราวกับดอกเบญจมาศแล้วเอ่ยว่า “ไม่เลว ไม่เลวเลยนะ”

“หัวหน้า พวกเราพบเจ้าตัวเล็กนี่เข้าระหว่างทาง” คนเหล่านั้นดันตัวคนผู้หนึ่งขึ้นมาจากด้านหลัง พวกซือหม่าโยวเย่ว์มองดู คนที่ถูกมัดตัวเอาไว้คือคนที่พวกเขารู้จักคุ้นเคย

“ชิงอู๋หยา เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ห่าวโหย่วไฉ เจ้าถึงกับละเมิดข้อตกลงระหว่างมนุษย์ ใช้ยาล่าสังหารสัตว์อสูรวิเศษจำนวนมาก!” ชิงอู๋หยาถลึงตาใส่ห่าวโหย่วไฉพลางเอ่ยอย่างเดือดดาล

“อ้าว นี่มิใช่หัวหน้ากลุ่มชิงซานหรอกหรือ เจ้าไม่คอยรับภารกิจกระจอกๆ อยู่ที่เมืองเหยียนล่ะ วิ่งเข้ามาทำอะไรที่พื้นที่ชั้นในนี่เล่า” เห็นได้ชัดว่าห่าวโหย่วไฉรู้จักกับชิงอู๋หยา นอกจากนี้ดูจากน้ำเสียงที่เขาพูดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างทหารรับจ้างทั้งสองกลุ่มดูจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก

“สมควรตาย พวกเขาบังอาจทำเช่นนี้กับสัตว์อสูรวิเศษได้!” เว่ยจือฉีได้ยินคำพูดของชิงอู๋หยาแล้วก็โมโหจนแทบจะพุ่งตัวเข้าไปในทันที แต่ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวเอาไว้ก่อน

“ตอนนี้พวกเขาอยู่กันเยอะแยะ ทั้งยังมิอาจเรียกตัวสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของพวกเราออกมาได้ในตอนนี้ด้วย ก็ได้แต่อาศัยพวกเรากันเองนี่แหละ จะสู้กับพวกเขาอย่างไรดี นอกจากนี้พลังยุทธ์ของพวกเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าพวกเราอยู่มากอีกด้วย!”

“แต่ว่า…”

“จือฉี เจ้าอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปเลยนะ โยวเย่ว์พูดเช่นนี้ จะต้องคิดวิธีแก้ไขได้แน่ เจ้าคำรามน้อยยังอยู่ในเงื้อมมือพวกเขาอยู่นะ” เจ้าอ้วนชวีพูดปลอบประโลม

“จือฉี เหตุใดเจ้าจึงเดือดดาลเช่นนี้เล่า” โอวหยางเฟยมองเว่ยจือฉี ในใจเกิดความสงสัยอยู่ไม่น้อย

ก่อนหน้านี้เห็นเจ้านี่สุภาพอ่อนโยน แต่ตอนนี้กลับเดือดดาลถึงเพียงนี้เสียอย่างนั้น

“ใช่แล้ว จือฉี เหตุใดเจ้าจึงเดือดดาลเช่นนี้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

“ข้าเป็นนักฝึกสัตว์อสูร สัตว์อสูรวิเศษทุกตัวล้วนเป็นสหายของข้าทั้งสิ้น ใช้ยาล่อหลอกมาล่อลวงดักจับสัตว์อสูรวิเศษ คนเช่นนี้คือศัตรูของทั้งโลกนักฝึกสัตว์อสูร!” เว่ยจือฉีพูด

เขาถูกคนในครอบครัวปลูกฝังความคิดมาตั้งแต่เล็กว่าสัตว์อสูรวิเศษคือเพื่อน มีเพียงคนที่เลี้ยงดูสัตว์อสูรวิเศษเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกสัตว์อสูรวิเศษระดับสูงให้เชื่องได้

นอกจากนี้เว่ยจือฉียังสื่อสารกับสัตว์อสูรวิเศษมาตั้งแต่เด็ก จึงเคยชินกับการให้สัตว์อสูรวิเศษเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตนไปเสียแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าพวกเขาใช้วิธีการเช่นนี้ในการจับสัตว์อสูรวิเศษเกือบยี่สิบตัว เขาจึงเดือดดาลไม่น้อยเลยทีเดียว

“โยวเย่ว์ ตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรกันดี” เป่ยกงถังเอ่ยปากถามอย่างหาได้ยากยิ่ง เห็นได้ชัดว่าตอนนี้นางคุ้นชินกับคนกลุ่มนี้แล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยที่อยู่ในกรงแล้วพูดว่า “พวกเขามีจำนวนคนมาก ตอนนี้พวกเรามิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ประเด็นหลักในตอนนี้คือต้องหาให้ได้ว่ายาที่พวกเขาใช้คือยาอะไร ในเมื่อนั่นคือยาล่อหลอกชนิดหนึ่งที่ใช้ในอากาศ ยาถอนพิษก็ต้องสามารถแพร่กระจายไปในอากาศได้เช่นเดียวกัน ขอเพียงแค่ถอนพิษยาล่อหลอกได้ ด้วยอุปนิสัยของสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นแล้วก็ต้องมิใช่เรื่องดีสำหรับเจ้าพวกนั้นแน่นอน”

“แต่อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้ พวกเราก็คงไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่พวกเขาใช้คือยาอะไร” เจ้าอ้วนชวีพูด

“มีสิ!” เว่ยจือฉีพูด “มีหญ้าชนิดหนึ่งชื่อว่าหญ้าม่วงขม หญ้าชนิดนี้สามารถทำให้สัตว์อสูรวิเศษหงุดหงิดขึ้นมาได้ เพิ่มการไหลเวียนโลหิตของสัตว์อสูรวิเศษ สามารถเรียกได้ว่าเป็นยาถอนพิษของยาล่อหลอก ทั้งหมดทั้งมวล ขอเพียงแค่หาหญ้าม่วงขมมาได้ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ยาล่อหลอกชนิดได้ก็ล้วนได้ผลทั้งสิ้น”

“แต่ตอนนี้จะไปหาหญ้าม่วงขมมาจากไหนกันเล่า” โอวหยางเฟยขมวดคิ้ว

………………

นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นเป่ยกงถังยิ้ม ก่อนหน้านี้เธอเป็นคนเย็นชามาโดยตลอด รอยยิ้มนี้ชวนให้คนหลงใหลงงงวยอยู่บ้าง “แค่กๆ” เว่ยจือฉีได้สติกลับคืนมาแล้วแกล้งกระแอมสองครั้งก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าผลอสรพิษทองคำนี่อยู่ที่ใดกันหรือ อีกนานเท่าใดจึงจะสุกงอม มีมนุษย์และสัตว์อสูรวิเศษให้ความสนใจกับมันมากมายเช่นนี้  พวกเราต้องคิดทางหนีทีไล่อะไรกันไว้หรือไม่” เมื่อเว่ยจือฉีพูดเช่นนี้ ทุกคนก็ขมวดคิ้วมุ่น ลำพังแค่คิดถึงสัตว์อสูรเทพตนนั้นก็มากพอจะทำให้พวกเขาปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว ยังบวกกับสัตว์อสูรวิเศษทั่วทั้งเทือกเขาที่ถูกดึงดูดเข้ามาอีก รวมทั้งมนุษย์ที่คอยจ้องตาเป็นมันราวกับเสือจ้องเหยื่อ หากไม่วางแผน เกรงว่าคงยากที่จะสำเร็จได้ “ผลอสรพิษทองคำนี้อีกเจ็ดวันจึงจะสุกงอม ตอนนี้พวกเราไปหาที่ตั้งของมันกันก่อน หลังจากนั้นก็ไปดูลาดเลาที่นั่น แล้วค่อยมาคิดหาวิธีกันก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ว่าเจ้าผลอสรพิษทองคำนั่นอยู่ที่ไหนกัน พวกเราจะเดินทางไปยังทิศทางใดเล่า” เจ้าอ้วนชวีพูด “ข้าพอจะรู้ที่ตั้งคร่าวๆ อยู่ เข้าไปยังพื้นที่ชั้นในก่อนก็จะหาพบได้อย่างง่ายดายแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไปดูลาดเลากันก่อนเถิด” โอวหยางเฟยพูด “ช้าก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่งเสียงเรียกหยุดพวกเขาเอาไว้ เมื่อเห็นพวกเขาหันมามองตนจึงเอ่ยว่า “ซากหมาป่าเปลวอัคคีเมื่อคราวก่อนอยู่กับข้ามาโดยตลอด ตอนนี้ข้าจะแบ่งมันให้กับพวกเจ้า ถ้าถึงตอนนั้นพวกเราถูกจับแยกกัน พวกเจ้าก็ยังนำกลับไปส่งมอบภารกิจได้” พูดแล้วเธอก็นำซากหมาป่าเปลวอัคคีภายในแหวนเก็บวัตถุออกมาจนหมดก่อนจะแบ่งให้คนละหลายตัวให้แต่ละคนเก็บเข้าไปไว้ภายในแหวนเก็บวัตถุของตนเอง หลังจากนั้นจึงเริ่มออกเดินทาง อันที่จริงซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่รู้เส้นทางเช่นกัน แต่มีหมัวซาคอยชี้ทางให้กับพวกเขาอยู่แล้ว พวกเขาเพียงแค่ต้องเดินตามทางเท่านั้นเอง สามวันให้หลัง พวกเธอมาถึงพื้นที่ชั้นในของเทือกเขาอันเป็นที่อยู่ของผลอสรพิษทองคำแล้วตามรอยเท้าที่คนเหล่านั้นทิ้งเอาไว้มาถึงบนภูเขาแห่งหนึ่ง ผลอสรพิษทองคำนั้นตั้งอยู่ตรงกลางหน้าผาแห่งหนึ่ง บนเนินเขาในรัศมีห่างไปร้อยกว่าเมตรล้วนมีผู้คนยืนอยู่เต็มไปหมด ภายในหุบเขาถูกสัตว์อสูรวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนครอบครองเอาไว้ ซือหม่าโยวเย่ว์และคนอื่นๆ มาถึงยังพื้นที่ว่างแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นสถานการณ์โดยรอบแล้วต่างพากันสะดุ้งตัวลอย “ผู้คนและสัตว์อสูรวิเศษมากมายเหลือเกิน!” เว่ยจือฉีอุทาน “คิดจะช่วงชิงผลอสรพิษทองคำมาจากกำมือของผู้คนและสัตว์อสูรวิเศษมากมายถึงเพียงนี้…” โอวหยางเฟยมิได้เอ่ยคำพูดที่เหลือ แต่ทุกคนเข้าใจความหมายของเขา นั่นย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ แน่” เป่ยกงถังพูดพลางกำหมัดแน่น “นั่นก็คือผลอสรพิษทองคำใช่หรือไม่” เจ้าอ้วนชวีชี้ต้นผลอสรพิษทองคำที่อยู่ตรงกลางหน้าผาพลางเอ่ยถามขึ้น “พื้นที่สูงเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีผู้อื่น คิดจะเด็ดผลอสรพิษทองคำลงมาก็มิใช่เรื่องง่ายเลยนะ!” เว่ยจือฉีพูด “ถึงแม้ว่าหน้าผานั้นจะสูง แต่กลับมิได้ชันมากนัก เบื้องล่างยังมีทางลาดอยู่อีกด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์สังเกตอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น “แต่คนธรรมดาทั่วไปก็ปีนขึ้นไปไม่ได้กระมัง อย่างน้อยพวกเราปีนไม่ได้แน่” เจ้าอ้วนชวีพูด “ตอนนี้คงได้แต่รอดูแล้วว่าจะอาศัยจังหวะที่ผลอสรพิษทองคำสุกงอมแล้วก่อให้เกิดความวุ่นวายลงมือได้หรือไม่” โอวหยางเฟยพูด “เป่ยกง ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ เจ้า…” “ข้าเข้าใจ” เป่ยกงถังพยักหน้า ถ้าหากคิดหาทุกวิถีทางแล้วยังไม่ได้อีก นางคงไม่ทุ่มสุดตัว ถ้าหากต้องเอาชีวิตไปทิ้งด้วยเหตุนี้จริงๆ เช่นนั้นก็ไม่คุ้มเอาเสียเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีเรื่องอีกมากมายรอให้นางไปทำอยู่อีก “กลัวแต่ว่าอาศัยความชุลมุนแล้วก็ยังทำไม่ได้น่ะสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางพลางคิดใคร่ครวญ “ดูท่าว่าจะต้องคิดหาวิธีการอะไรสักอย่างเสียแล้วจริงๆ” “โยวเย่ว์ เจ้าดูสิ นั่นมิใช่ท่านแม่ทัพหรอกหรือ” เจ้าอ้วนชวีชี้ไปยังกระโจมแห่งหนึ่งพลางพูดขึ้นในทันใด ซือหม่าโยวเย่ว์มองตามไปพบว่าเป็นซือหม่าเลี่ยกำลังนำกลุ่มคนของจวนแม่ทัพหลายคนตั้งค่ายพักแรมบนเนินเขาตรงข้ามที่ตั้งของผลอสรพิษทองคำอยู่ “ท่านปู่มาได้อย่างไรกัน” เมื่อเห็นซือหม่าเลี่ยที่กำลังสังเกตการณ์อยู่นอกกระโจม เธอก็หลบเข้าไปอยู่หลังเจ้าอ้วนชวีในทันใดแล้วพูดกับคนอื่นๆ ว่า “ถึงอย่างไรตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกตั้งสี่วันกว่าผลอสรพิษทองคำจะสุกงอม พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า” “ก็ดีเหมือนกันนะ หากพวกเราอยู่ที่นี่ก็เกะกะขวางทางขุมอำนาจเหล่านั้นเปล่าๆ” เว่ยจือฉีพูด ทุกคนไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซือหม่าโยวเย่ว์จึงไม่อยากไปพบซือหม่าเลี่ย แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยจริงๆ จึงได้แต่พยักหน้าแล้วไปจากที่นี่พร้อมกัน ทั้งห้าคนหลบหลีกผู้อื่นแล้วลงจากเขาไปเงียบๆ เมื่อมาถึงยอดเขาข้างๆ แล้วจึงหาพื้นที่แห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อน “โยวเย่ว์ เหตุใดพอเจ้าเห็นพวกท่านแม่ทัพแล้วจึงต้องหนีมาด้วยเล่า” เมื่อนั่งลงแล้วเจ้าอ้วนชวีจึงถามข้อสงสัยในใจออกมา “ถ้าหากท่านปู่ล่วงรู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่ จะต้องให้คนมาพาตัวพวกเรากลับไปในทันทีอย่างแน่นอน พอถึงตอนนั้นพวกเราจะไปช่วงชิงผลอสรพิษทองคำกันได้อย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ระยะเวลาอีกสามวันที่เหลือ พวกเราต้องคอยตรวจตราสถานการณ์รอบๆ กันให้ดีด้วย” เว่ยจือฉีพูด “ก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้ความสนใจของสัตว์อสูรวิเศษล้วนอยู่ที่ผลอสรพิษทองคำ พื้นที่ชั้นในจึงปลอดภัยกว่ายามปกติไม่น้อยเลย” เป่ยกงถังพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเรา…” ซือหม่าโยวเย่ว์ยังเอ่ยวาจาไม่ทันจบสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปในทันใด เธอพูดว่า “พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้าขอตัวสักครู่” “โยวเย่ว์ เจ้าจะไปไหนน่ะ ถึงแม้ว่าพื้นที่ชั้นในนี่จะปลอดภัยกว่ายามปกติ แต่ไปคนเดียวก็ยังคงอันตรายอย่างยิ่งอยู่ดีนะ” เจ้าอ้วนชวีพูด “เกิดเรื่องอันใดขึ้นใช่หรือไม่” เว่ยจือฉีถาม “เมื่อครู่เจ้าคำรามน้อยส่งสารบอกข้า ดูคล้ายว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากบางอย่างขึ้นกับมันเสียแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างกระวนกระวาย ถึงแม้ว่าเจ้าคำรามน้อยจะพูดอยู่ตลอดว่าตนเป็นสัตว์อสูรเทพโบราณ แต่มันในตอนนี้ก็มิได้มีพลังการต่อสู้แต่อย่างใดเลย ถ้าหากเกิดความขัดแย้งกับผู้อื่นซึ่งๆ หน้า แพ้ชนะก็คงยากจะล่วงรู้ได้ นอกจากนี้หากมิใช่เพราะมันประสบอันตรายอะไร คงจะไม่มีทางเรียกหาตนอย่างกระวนกระวายถึงเพียงนั้น เมื่อคิดได้เช่นนี้จิตใจของเธอก็ยิ่งร้อนรนราวกับไฟ แล้วอดที่จะพุ่งตัวออกไปในทันทีมิได้ “พวกเราจะไปกับเจ้าด้วย!” เป่ยกงถังพูด ซือหม่าโยวเย่ว์มองทุกคนปราดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ตนไปคนเดียวอย่างแน่นอนจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ย่ากวง เจ้าพาพวกเราไปหาเจ้าคำรามน้อยที” ในขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยว่าย่ากวงเป็นใครอยู่นั้นเอง เสือกรงเล็บเหล็กองอาจสง่างามตนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา “เจ้านาย รีบขึ้นมาเร็วเข้า” ย่ากวงเองก็รู้สึกได้ว่าเจ้าคำรามน้อยตกอยู่ในอันตรายจึงออกมาแล้วแปลงกายเป็นร่างหลักพลางเอ่ยขึ้น “พูด… พูดได้ด้วย เป็นสัตว์อสูรทิพย์อีกตัวอย่างนั้นหรือ” เมื่อเห็นย่ากวงจึงมองไปที่ซือหม่าโยวเย่ว์อีกครั้ง ทุกคนต่างตกอกตกใจกันไม่น้อย คิดไม่ถึงว่านอกจากเจ้าคำรามน้อยแล้วจะยังมีสัตว์อสูรทิพย์อีกตนหนึ่งด้วย! แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตกใจ ทุกคนรีบเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองแล้วกระโจนขึ้นไปบนร่างของย่ากวงพร้อมกับเธอ ย่ากวงพูดว่า “ตามติดเลย” ประโยคหนึ่งแล้วจึงควบตะบึงออกไป มุ่งหน้าไปตามการรับสัมผัสถึงเจ้าคำรามน้อยตลอดทาง ในที่สุดอีกครึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็มาถึงตำแหน่งที่เจ้าคำรามน้อยอยู่ แต่สิ่งที่พวกเขาได้เห็นนั้นมิใช่การห้ำหั่นกันระหว่างสัตว์อสูรวิเศษ หากแต่เป็นกรงขนาดเล็กอันหนึ่ง เจ้าคำรามน้อยและนกน้อยตัวหนึ่งหมอบอยู่ในนั้นด้วยสองตาไร้แวว ศีรษะผิดมุม มองปราดเดียวก็เห็นถึงความไม่ปกติ นับตั้งแต่เจ้าคำรามน้อยฟื้นขึ้นมา ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่เคยเห็นมันไร้ซึ่งชีวิตชีวาเช่นนี้มาก่อนเลย เมื่อเห็นสภาพของมันในตอนนี้เธอก็เจ็บปวดใจเสียแล้ว แต่เธอหงุดหงิดนัก ก่อนหน้านี้เธอไม่น่าฟังคำพูดของเจ้าคำรามน้อยแล้วอนุญาตให้มันไปเดินเที่ยวเล่นภายในเทือกเขาเองเลย มิฉะนั้นคงไม่มีทางถูกคนทำให้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้หรอก คล้ายกับรู้สึกถึงการมาเยือนของซือหม่าโยวเย่ว์ได้ เจ้าคำรามน้อยที่หมอบอยู่ในกรงแววตาสว่างไสวขึ้นมาในทันใด แล้วมองมายังบริเวณที่พวกเธอซ่อนตัวกันอยู่ ในขณะที่เธอกำลังคิดวางแผนจะไปช่วยเจ้าคำรามน้อยอยู่นั้นเอง คนสองคนที่กำลังนั่งดื่มสุราอยู่ตรงกลางเริ่มพูดเรื่องการจับตัวสัตว์อสูรวิเศษขึ้นมา ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าการมาถึงของพวกเขาจะทำลายแผนการใหญ่ได้! ………………

นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นเป่ยกงถังยิ้ม ก่อนหน้านี้เธอเป็นคนเย็นชามาโดยตลอด รอยยิ้มนี้ชวนให้คนหลงใหลงงงวยอยู่บ้าง

“แค่กๆ” เว่ยจือฉีได้สติกลับคืนมาแล้วแกล้งกระแอมสองครั้งก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าผลอสรพิษทองคำนี่อยู่ที่ใดกันหรือ อีกนานเท่าใดจึงจะสุกงอม มีมนุษย์และสัตว์อสูรวิเศษให้ความสนใจกับมันมากมายเช่นนี้  พวกเราต้องคิดทางหนีทีไล่อะไรกันไว้หรือไม่”

เมื่อเว่ยจือฉีพูดเช่นนี้ ทุกคนก็ขมวดคิ้วมุ่น ลำพังแค่คิดถึงสัตว์อสูรเทพตนนั้นก็มากพอจะทำให้พวกเขาปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว ยังบวกกับสัตว์อสูรวิเศษทั่วทั้งเทือกเขาที่ถูกดึงดูดเข้ามาอีก รวมทั้งมนุษย์ที่คอยจ้องตาเป็นมันราวกับเสือจ้องเหยื่อ หากไม่วางแผน เกรงว่าคงยากที่จะสำเร็จได้

“ผลอสรพิษทองคำนี้อีกเจ็ดวันจึงจะสุกงอม ตอนนี้พวกเราไปหาที่ตั้งของมันกันก่อน หลังจากนั้นก็ไปดูลาดเลาที่นั่น แล้วค่อยมาคิดหาวิธีกันก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“แต่ว่าเจ้าผลอสรพิษทองคำนั่นอยู่ที่ไหนกัน พวกเราจะเดินทางไปยังทิศทางใดเล่า” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ข้าพอจะรู้ที่ตั้งคร่าวๆ อยู่ เข้าไปยังพื้นที่ชั้นในก่อนก็จะหาพบได้อย่างง่ายดายแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไปดูลาดเลากันก่อนเถิด” โอวหยางเฟยพูด

“ช้าก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่งเสียงเรียกหยุดพวกเขาเอาไว้ เมื่อเห็นพวกเขาหันมามองตนจึงเอ่ยว่า “ซากหมาป่าเปลวอัคคีเมื่อคราวก่อนอยู่กับข้ามาโดยตลอด ตอนนี้ข้าจะแบ่งมันให้กับพวกเจ้า ถ้าถึงตอนนั้นพวกเราถูกจับแยกกัน พวกเจ้าก็ยังนำกลับไปส่งมอบภารกิจได้”

พูดแล้วเธอก็นำซากหมาป่าเปลวอัคคีภายในแหวนเก็บวัตถุออกมาจนหมดก่อนจะแบ่งให้คนละหลายตัวให้แต่ละคนเก็บเข้าไปไว้ภายในแหวนเก็บวัตถุของตนเอง หลังจากนั้นจึงเริ่มออกเดินทาง

อันที่จริงซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่รู้เส้นทางเช่นกัน แต่มีหมัวซาคอยชี้ทางให้กับพวกเขาอยู่แล้ว พวกเขาเพียงแค่ต้องเดินตามทางเท่านั้นเอง

สามวันให้หลัง พวกเธอมาถึงพื้นที่ชั้นในของเทือกเขาอันเป็นที่อยู่ของผลอสรพิษทองคำแล้วตามรอยเท้าที่คนเหล่านั้นทิ้งเอาไว้มาถึงบนภูเขาแห่งหนึ่ง

ผลอสรพิษทองคำนั้นตั้งอยู่ตรงกลางหน้าผาแห่งหนึ่ง บนเนินเขาในรัศมีห่างไปร้อยกว่าเมตรล้วนมีผู้คนยืนอยู่เต็มไปหมด ภายในหุบเขาถูกสัตว์อสูรวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนครอบครองเอาไว้

ซือหม่าโยวเย่ว์และคนอื่นๆ มาถึงยังพื้นที่ว่างแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นสถานการณ์โดยรอบแล้วต่างพากันสะดุ้งตัวลอย

“ผู้คนและสัตว์อสูรวิเศษมากมายเหลือเกิน!” เว่ยจือฉีอุทาน

“คิดจะช่วงชิงผลอสรพิษทองคำมาจากกำมือของผู้คนและสัตว์อสูรวิเศษมากมายถึงเพียงนี้…” โอวหยางเฟยมิได้เอ่ยคำพูดที่เหลือ แต่ทุกคนเข้าใจความหมายของเขา นั่นย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ แน่” เป่ยกงถังพูดพลางกำหมัดแน่น

“นั่นก็คือผลอสรพิษทองคำใช่หรือไม่” เจ้าอ้วนชวีชี้ต้นผลอสรพิษทองคำที่อยู่ตรงกลางหน้าผาพลางเอ่ยถามขึ้น

“พื้นที่สูงเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีผู้อื่น คิดจะเด็ดผลอสรพิษทองคำลงมาก็มิใช่เรื่องง่ายเลยนะ!” เว่ยจือฉีพูด

“ถึงแม้ว่าหน้าผานั้นจะสูง แต่กลับมิได้ชันมากนัก เบื้องล่างยังมีทางลาดอยู่อีกด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์สังเกตอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น

“แต่คนธรรมดาทั่วไปก็ปีนขึ้นไปไม่ได้กระมัง อย่างน้อยพวกเราปีนไม่ได้แน่” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ตอนนี้คงได้แต่รอดูแล้วว่าจะอาศัยจังหวะที่ผลอสรพิษทองคำสุกงอมแล้วก่อให้เกิดความวุ่นวายลงมือได้หรือไม่” โอวหยางเฟยพูด “เป่ยกง ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ เจ้า…”

“ข้าเข้าใจ” เป่ยกงถังพยักหน้า ถ้าหากคิดหาทุกวิถีทางแล้วยังไม่ได้อีก นางคงไม่ทุ่มสุดตัว ถ้าหากต้องเอาชีวิตไปทิ้งด้วยเหตุนี้จริงๆ เช่นนั้นก็ไม่คุ้มเอาเสียเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีเรื่องอีกมากมายรอให้นางไปทำอยู่อีก

“กลัวแต่ว่าอาศัยความชุลมุนแล้วก็ยังทำไม่ได้น่ะสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางพลางคิดใคร่ครวญ “ดูท่าว่าจะต้องคิดหาวิธีการอะไรสักอย่างเสียแล้วจริงๆ”

“โยวเย่ว์ เจ้าดูสิ นั่นมิใช่ท่านแม่ทัพหรอกหรือ” เจ้าอ้วนชวีชี้ไปยังกระโจมแห่งหนึ่งพลางพูดขึ้นในทันใด

ซือหม่าโยวเย่ว์มองตามไปพบว่าเป็นซือหม่าเลี่ยกำลังนำกลุ่มคนของจวนแม่ทัพหลายคนตั้งค่ายพักแรมบนเนินเขาตรงข้ามที่ตั้งของผลอสรพิษทองคำอยู่

“ท่านปู่มาได้อย่างไรกัน” เมื่อเห็นซือหม่าเลี่ยที่กำลังสังเกตการณ์อยู่นอกกระโจม เธอก็หลบเข้าไปอยู่หลังเจ้าอ้วนชวีในทันใดแล้วพูดกับคนอื่นๆ ว่า “ถึงอย่างไรตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกตั้งสี่วันกว่าผลอสรพิษทองคำจะสุกงอม พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า”

“ก็ดีเหมือนกันนะ หากพวกเราอยู่ที่นี่ก็เกะกะขวางทางขุมอำนาจเหล่านั้นเปล่าๆ” เว่ยจือฉีพูด

ทุกคนไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซือหม่าโยวเย่ว์จึงไม่อยากไปพบซือหม่าเลี่ย แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยจริงๆ จึงได้แต่พยักหน้าแล้วไปจากที่นี่พร้อมกัน

ทั้งห้าคนหลบหลีกผู้อื่นแล้วลงจากเขาไปเงียบๆ เมื่อมาถึงยอดเขาข้างๆ แล้วจึงหาพื้นที่แห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อน

“โยวเย่ว์ เหตุใดพอเจ้าเห็นพวกท่านแม่ทัพแล้วจึงต้องหนีมาด้วยเล่า” เมื่อนั่งลงแล้วเจ้าอ้วนชวีจึงถามข้อสงสัยในใจออกมา

“ถ้าหากท่านปู่ล่วงรู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่ จะต้องให้คนมาพาตัวพวกเรากลับไปในทันทีอย่างแน่นอน พอถึงตอนนั้นพวกเราจะไปช่วงชิงผลอสรพิษทองคำกันได้อย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ระยะเวลาอีกสามวันที่เหลือ พวกเราต้องคอยตรวจตราสถานการณ์รอบๆ กันให้ดีด้วย” เว่ยจือฉีพูด

“ก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้ความสนใจของสัตว์อสูรวิเศษล้วนอยู่ที่ผลอสรพิษทองคำ พื้นที่ชั้นในจึงปลอดภัยกว่ายามปกติไม่น้อยเลย” เป่ยกงถังพูด

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเรา…” ซือหม่าโยวเย่ว์ยังเอ่ยวาจาไม่ทันจบสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปในทันใด เธอพูดว่า “พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้าขอตัวสักครู่”

“โยวเย่ว์ เจ้าจะไปไหนน่ะ ถึงแม้ว่าพื้นที่ชั้นในนี่จะปลอดภัยกว่ายามปกติ แต่ไปคนเดียวก็ยังคงอันตรายอย่างยิ่งอยู่ดีนะ” เจ้าอ้วนชวีพูด

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นใช่หรือไม่” เว่ยจือฉีถาม

“เมื่อครู่เจ้าคำรามน้อยส่งสารบอกข้า ดูคล้ายว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากบางอย่างขึ้นกับมันเสียแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างกระวนกระวาย

ถึงแม้ว่าเจ้าคำรามน้อยจะพูดอยู่ตลอดว่าตนเป็นสัตว์อสูรเทพโบราณ แต่มันในตอนนี้ก็มิได้มีพลังการต่อสู้แต่อย่างใดเลย ถ้าหากเกิดความขัดแย้งกับผู้อื่นซึ่งๆ หน้า แพ้ชนะก็คงยากจะล่วงรู้ได้

นอกจากนี้หากมิใช่เพราะมันประสบอันตรายอะไร คงจะไม่มีทางเรียกหาตนอย่างกระวนกระวายถึงเพียงนั้น เมื่อคิดได้เช่นนี้จิตใจของเธอก็ยิ่งร้อนรนราวกับไฟ แล้วอดที่จะพุ่งตัวออกไปในทันทีมิได้

“พวกเราจะไปกับเจ้าด้วย!” เป่ยกงถังพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์มองทุกคนปราดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ตนไปคนเดียวอย่างแน่นอนจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ย่ากวง เจ้าพาพวกเราไปหาเจ้าคำรามน้อยที”

ในขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยว่าย่ากวงเป็นใครอยู่นั้นเอง เสือกรงเล็บเหล็กองอาจสง่างามตนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา

“เจ้านาย รีบขึ้นมาเร็วเข้า” ย่ากวงเองก็รู้สึกได้ว่าเจ้าคำรามน้อยตกอยู่ในอันตรายจึงออกมาแล้วแปลงกายเป็นร่างหลักพลางเอ่ยขึ้น

“พูด… พูดได้ด้วย เป็นสัตว์อสูรทิพย์อีกตัวอย่างนั้นหรือ” เมื่อเห็นย่ากวงจึงมองไปที่ซือหม่าโยวเย่ว์อีกครั้ง ทุกคนต่างตกอกตกใจกันไม่น้อย คิดไม่ถึงว่านอกจากเจ้าคำรามน้อยแล้วจะยังมีสัตว์อสูรทิพย์อีกตนหนึ่งด้วย!

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตกใจ ทุกคนรีบเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองแล้วกระโจนขึ้นไปบนร่างของย่ากวงพร้อมกับเธอ ย่ากวงพูดว่า “ตามติดเลย” ประโยคหนึ่งแล้วจึงควบตะบึงออกไป

มุ่งหน้าไปตามการรับสัมผัสถึงเจ้าคำรามน้อยตลอดทาง ในที่สุดอีกครึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็มาถึงตำแหน่งที่เจ้าคำรามน้อยอยู่ แต่สิ่งที่พวกเขาได้เห็นนั้นมิใช่การห้ำหั่นกันระหว่างสัตว์อสูรวิเศษ หากแต่เป็นกรงขนาดเล็กอันหนึ่ง เจ้าคำรามน้อยและนกน้อยตัวหนึ่งหมอบอยู่ในนั้นด้วยสองตาไร้แวว ศีรษะผิดมุม มองปราดเดียวก็เห็นถึงความไม่ปกติ

นับตั้งแต่เจ้าคำรามน้อยฟื้นขึ้นมา ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่เคยเห็นมันไร้ซึ่งชีวิตชีวาเช่นนี้มาก่อนเลย เมื่อเห็นสภาพของมันในตอนนี้เธอก็เจ็บปวดใจเสียแล้ว

แต่เธอหงุดหงิดนัก ก่อนหน้านี้เธอไม่น่าฟังคำพูดของเจ้าคำรามน้อยแล้วอนุญาตให้มันไปเดินเที่ยวเล่นภายในเทือกเขาเองเลย มิฉะนั้นคงไม่มีทางถูกคนทำให้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้หรอก

คล้ายกับรู้สึกถึงการมาเยือนของซือหม่าโยวเย่ว์ได้ เจ้าคำรามน้อยที่หมอบอยู่ในกรงแววตาสว่างไสวขึ้นมาในทันใด แล้วมองมายังบริเวณที่พวกเธอซ่อนตัวกันอยู่

ในขณะที่เธอกำลังคิดวางแผนจะไปช่วยเจ้าคำรามน้อยอยู่นั้นเอง คนสองคนที่กำลังนั่งดื่มสุราอยู่ตรงกลางเริ่มพูดเรื่องการจับตัวสัตว์อสูรวิเศษขึ้นมา

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าการมาถึงของพวกเขาจะทำลายแผนการใหญ่ได้!

………………

“พวกเจ้ากลับกันก่อนเถิด ข้าอยากจะอยู่ในหุบเขานี่อีกสักหลายๆ วันหน่อย” เป่ยกงถังเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน

“ทำไมเล่า เป่ยกง เจ้าจะไม่ไปพร้อมกับพวกเราหรือ” เว่ยจือฉีถาม

เป่ยกงถังมองไปยังทิศทางของพื้นที่ชั้นในแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ข้ายังมีธุระอีก ไม่ไปพร้อมกับพวกเจ้าหรอก”

“เป่ยกง ภายในเทือกเขาแห่งนี้อันตรายยิ่งนัก เจ้าไปคนเดียว…” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างไม่วางใจ

“ข้ามีเรื่องที่จำเป็นจะต้องไปทำน่ะ” เป่ยกงถังขัดจังหวะคำพูดของเจ้าอ้วนชวี

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีแน่วแน่ของเป่ยกงถังจึงนึกคาดเดาไปว่านางต้องคิดจะไปแย่งชิงผลอสรพิษทองคำเช่นกัน เห็นนางเป็นเช่นนั้นก็น่าจะเป็นเพราะมีเหตุผลที่ไม่ทำไม่ได้อยู่เช่นเดียวกันกระมัง

“เจ้าอยากจะไปแย่งชิงสิ่งล้ำค่านั่นสินะ” โอวหยางเฟยพูด

“จริงหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองเป่ยกงถังพลางเอ่ยถาม

เป่ยกงถังสะดุ้งคราหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเพียงครู่เดียวโอวหยางเฟยก็เดาได้แล้ว จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่”

“เป่ยกง เมื่อวานพวกเราเพิ่งได้ยินคนที่เดินผ่านทางมาพูดว่าสิ่งล้ำค่านั่นอยู่ในพื้นที่ชั้นใน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพื้นที่ชั้นในอันตรายมากเพียงใด ในระยะนี้มีผู้แข็งแกร่งมากมายเพียงใดแห่กันมาที่นี่ คิดจะช่วงชิงสิ่งล้ำค่ามาจากกำมือพวกเขานั้นจะต้องมีพลังยุทธ์มากพอจึงจะทำได้” เว่ยจือฉีพูดอย่างจริงจัง

“ข้ารู้” เป่ยกงถังพูด “แต่ข้าจะต้องชิงของสิ่งนั้นมาให้ได้”

“เพราะเหตุใดหรือ” โอวหยางเฟยถาม

เป่ยกงถังเงียบงันไปชั่วครู่ก่อนจะพูดว่า “ข้ามีเหตุผลของข้า พวกเจ้ากลับกันไปก่อนเถิด ไม่ต้องรอข้าหรอก”

“ไม่ได้ เจ้าไม่ยอมบอกเหตุผล พวกเราก็ปล่อยให้เจ้าไปไม่ได้หรอกนะ!” เว่ยจือฉีพูดอย่างเด็ดขาด “พวกเราเป็นสหายร่วมการต่อสู้ มิอาจทอดทิ้งเจ้าเอาไว้คนเดียวได้หรอก ทั้งยังมิอาจให้เจ้าไปเผชิญอันตรายตามลำพังได้ด้วย!”

“ถูกต้อง เป่ยกง พวกเราไม่มีทางทิ้งเจ้าเอาไว้ที่นี่คนเดียวแน่” เจ้าอ้วนชวีพูดผสมโรง

เป่ยกงถังได้ยินแล้วก็สะดุ้งพลางอ้าปากค้าง แต่กลับมิได้พูดอะไรออกมาเลย

ซือหม่าโยวเย่ว์มายังข้างกายเป่ยกงถังแล้วตบบ่านางพลางเอ่ยว่า “สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของเจ้าได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” เป่ยกงถังพรั่นพรึงไม่น้อย ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้บอกความคิดที่แท้จริงของตนออกมาได้ทุกครั้งเลยทีเดียว

“ข้าเดาเอาน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เป่ยกง เป็นเช่นนี้จริงหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม

เป่ยกงถังพยักหน้าแล้วพูดว่า “เมื่อหลายปีก่อนข้าประสบอันตราย เพื่อช่วยเหลือข้า สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของข้าจึงได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องอยู่ในห้วงนิทราเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บตลอดหลายปีมานี้ ไม่กี่วันมานี้มันบอกข้าว่าหากได้สิ่งล้ำค่านั้นมามันก็จะสามารถตื่นขึ้นมาได้ มันต้องอยู่ในห้วงนิทราก็เพราะช่วยเหลือข้า ตอนนี้พอรู้ว่ามีสิ่งที่รักษาอาการบาดเจ็บของมันให้หายดีได้ ข้ามิอาจวางเฉยได้หรอก”

นางพูดจบแล้วทุกคนต่างพากันนิ่งงัน ซือหม่าโยวเย่ว์โอบบ่านางเอาไว้พลางเอ่ยว่า “เดิมทีข้าเองก็คิดจะไปดูสิ่งล้ำค่านั่นด้วยตัวเองสักหน่อย แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะไปพร้อมกันกับเจ้าด้วยเลยดีกว่า”

“เจ้าจะไปด้วยหรือ” เว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีร้องออกมาพร้อมกัน แม้กระทั่งโอวหยางเฟยยังมองคนทั้งสองอย่างไม่เห็นด้วย

“ใช่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า “ข้าและเป่ยกงไปด้วยกัน พวกเจ้าสามคนกลับ…”

“อย่าพูดว่าให้พวกเรากลับกันไปก่อนเชียวนะ!” เจ้าอ้วนชวีพูด “หากพวกเจ้าจะไป ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วยเช่นกัน!”

เว่ยจือฉีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “แม้จะไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นคือสิ่งใดกันแน่จึงได้ดึงดูดพวกเจ้าสองคนถึงเพียงนี้ แต่ในเมื่ออยากจะไป เช่นนั้นก็นับข้าเข้าไปด้วยอีกคนแล้วกัน มีคนเพิ่มอีกคนก็มีพลังเพิ่มขึ้นมาอีกส่วนหนึ่งนะ”

“ข้าไม่มีทางจากไปคนเดียวหรอก” โอวหยางเฟยพูด

“พวกเจ้า…” เป่ยกงถังมองพวกเว่ยจือฉีแล้วมองรอยยิ้มที่มุมปากซือหม่าโยวเย่ว์ ทันใดนั้นก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมา ในใจเกิดความรู้สึกอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว ตลอดมาเธอรู้สึกว่าตัวเองกับพวกเขามิอาจนับได้ว่าสนิทสนมกัน แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะดีต่อนางเช่นนี้

“เอาละ ในเมื่อทุกคนจะไปกันหมด ถึงเวลานั้นจะให้สิ่งล้ำค่ากับเจ้าคนเดียวมิได้หรอกนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีซาบซึ้งของเป่ยกงถังแล้วจึงพูดยิ้มๆ

“หืม โยวเย่ว์หมายความว่าอย่างไรหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม

“ในเมื่อทุกคนตัดสินใจจะไปด้วยกัน เช่นนั้นข้าจะเล่าสถานการณ์ที่นั่นให้ทุกคนฟังสักหน่อย รอจนข้าเล่าจบแล้วพวกเจ้าค่อยตัดสินใจกันอีกทีว่าจะไปหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“โยวเย่ว์ เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”

“ไม่ต้องถามหรอกว่าข้ารู้ได้อย่างไร ฟังสิ่งที่ข้าพูดให้ดีก็พอแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “สิ่งล้ำค่านั้นก็คือผลอสรพิษทองคำที่ยากจะพบเจอได้บนโลกใบนี้”

“ผลอสรพิษทองคำคือสิ่งล้ำค่าอันใดกันหรือ”

สีหน้าโอวหยางเฟยและเป่ยกงถังเต็มไปด้วยตื่นตระหนก ส่วนสีหน้าของเจ้าอ้วนชวีกับเว่ยจือฉีเต็มไปด้วยความสงสัย

ถึงแม้ว่าเป่ยกงถังจะรู้ว่าสิ่งล้ำค่านั้นต้องไม่ธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นผลอสรพิษทองคำ มิน่าเล่าเมิ่งจีถึงได้ตื่นขึ้นมาบอกเรื่องนี้แก่นาง

“ผลอสรพิษทองคำ เจ็ดร้อยปีจึงผลิดอก เจ็ดร้อยปีจึงออกผล เจ็ดร้อยปีจึงสุกงอม ครั้งหนึ่งออกผลเพียงเจ็ดร้อยผลเท่านั้น การใช้ผลอสรพิษทองคำโดยตรงสามารถยกระดับการฝึกฝนของมนุษย์ได้ หากหลอมเป็นยาวิเศษก็จะยิ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงเป็นสิ่งล้ำค่าที่ทั้งคนและสัตว์อสูรวิเศษต่อสู้แย่งชิงกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอธิบาย

“บ้าจริง ช่างร้ายกาจอะไรเช่นนี้!” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างตกใจ

“ดังนั้นจึงดึงดูดผู้คนมามากมายถึงเพียงนี้อย่างไรเล่า!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะมาถกกันเรื่องมูลค่าของผลอสรพิษทองคำหรอกนะ พวกเจ้าก็รู้ว่าบริเวณรอบๆ ของล้ำค่าแห่งฟ้าดินจะต้องมีสัตว์อสูรวิเศษที่ร้ายกาจอยู่อย่างแน่นอน ผลอสรพิษทองคำนี้ก็มีสัตว์อสูรเทพตนหนึ่งคอยอารักขาอยู่เช่นเดียวกัน”

“สัตว์อสูรเทพ!”

คนอื่นๆ อีกสี่คนต่างพากันสูดลมหายใจเข้าปากลึก สัตว์อสูรเทพนี้คือสิ่งมีชีวิตที่เทียบเคียงได้กับจ้าววิญญาณเลยทีเดียว จัดเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดแห่งแดนดิน พวกเขาคิดจะชิงผลอสรพิษทองคำเจ็ดผลนั้นมาจากคมเขี้ยวของสัตว์อสูรวิเศษ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่ายากเย็นเพียงใด

“ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้นนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดต่อ “ยามที่ผลอสรพิษทองคำสุกงอมจะส่งกลิ่นหอมขจรไกลนับหมื่นลี้ ดึงดูดสัตว์อสูรวิเศษบริเวณรอบๆ เข้าไป ระยะหลังๆ มานี้พวกเราแทบไม่ได้พบเจอสัตว์อสูรวิเศษที่ร้ายกาจเลย เพราะผลอสรพิษทองคำใกล้สุกงอมแล้ว สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นจึงพากันเข้าไปยังพื้นที่ชั้นในกันหมด ดังนั้นนอกจากสัตว์อสูรเทพตนนั้นแล้ว พวกเรายังอาจจะพบเจอกับสัตว์อสูรวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วน”

“โห…”

ทุกคนถูกคำพูดของเธอทำเอาตกตะลึงจนพูดไม่ออกกันหมดแล้ว

“ยังมีอีกนะ…” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีของพวกเขาแล้วเริ่มคิดว่าการบอกเรื่องเหล่านี้กับพวกเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือไม่

“ยังมียอดฝีมือที่พากันหลั่งไหลเข้ามาตลอดหนึ่งเดือนให้หลังนี้ด้วยใช่หรือไม่” โอวหยางเฟยพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ตลอดช่วงครึ่งเดือนกว่าๆ ในเทือกเขาแห่งนี้ พวกเขาได้เห็นคนของขุมอำนาจจำนวนไม่น้อยเข้าไปยังพื้นที่ชั้นใน เรื่องนี้ไม่ต้องให้เธอพูด ทุกคนต่างก็เข้าใจกันดีอยู่แล้ว

“ข้าตกใจแทบแย่ การต่อสู้นี้ช่างชวนให้คนประหวั่นพรั่นพรึงเกินไปแล้ว!” เนิ่นนานกว่าเจ้าอ้วนชวีจะหาเสียงของตัวเองกลับมาได้แล้วอุทานออกมา

“ดังนั้นพวกเจ้าต้องคิดใคร่ครวญกันให้ดีๆ นะ ยังอยากจะไปกันอยู่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้ากับเป่ยกงต่างมีเหตุผลที่ไม่ไปไม่ได้ แต่พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงอันตรายก็ได้นะ ถึงอย่างไรแม้ว่าของสิ่งนั้นจะยอดเยี่ยม แต่ก็มีอันตรายใหญ่หลวงเช่นเดียวกัน”

เมื่อได้ฟังคำพูดของเธอ พวกเว่ยจือฉีก็พากันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงพูดอย่างจริงจังว่า “ในเมื่อมันอันตรายถึงเพียงนี้ แล้วพวกเจ้าไปกันตามลำพังจะไม่อันตรายเข้าไปใหญ่หรอกหรือ พวกเราไปดูพร้อมกันเถิด ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ พวกเจ้าก็อย่าฝืนแล้วกัน!”

“ข้ารับปากคุณชายโยวเล่อเอาไว้แล้วว่าจะดูแลเจ้าให้ดี หากเจ้าไม่กลับแล้วข้าจะกลับไปได้อย่างไรเล่า” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ข้าสนใจเจ้าสิ่งล้ำค่านั่น” โอวหยางเฟยพูด

เป่ยกงถังสูดจมูกพลางระงับความซาบซึ้งในใจนั้นเอาไว้ก่อนจะมองพวกเขาพร้อมพูดว่า “ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร เป่ยกงจะไม่มีวันลืมเลือนมิตรภาพจากพวกเจ้าไปตลอดกาล!”

“แต่ข้าอยากจะไปเอง เจ้าไม่ต้องนับรวมข้าเข้าไปด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่พูด

เมื่อเห็นท่าทีอันธพาลเช่นนั้นของเธอ เป่ยกงถังก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจเป็นครั้งแรก

………………………

ในขณะเดียวกันภายในกระโจมของซือหม่าโยวเย่ว์ เธอมองดูหมัวซาที่ออกมาอย่างตกใจ

“ข้ามิได้เรียกท่านแล้วท่านออกมาทำไมกัน”

“ข้าเข้าออกมณีวิญญาณนี่ได้ตามใจชอบ นอกเสียจากเมื่อใดที่พลังยุทธ์ของเจ้าสูงกว่าข้าไปเสียแล้ว” หมัวซาพูด

“ช่างเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่แล้วพูดว่า “แล้วคราวนี้ท่านออกมาทำไมหรือ”

หมัวซามองไปยังทิศทางของเขตชั้นในแล้วพูดว่า “ข้าได้กลิ่นแล้ว”

“กลิ่นหรือ กลิ่นอันใดกัน เหตุใดข้าจึงไม่ได้กลิ่นเลยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ดมอย่างจริงจัง แต่ก็มิได้พบกลิ่นพิเศษแต่อย่างใดเลย

“อยู่ห่างจากที่นี่มากนัก ตอนนี้เจ้าจะไปได้กลิ่นได้อย่างไรกันเล่า” หมัวซาพูด

“ของสิ่งใดกันที่ดึงดูดให้ท่านออกมาได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างใคร่รู้

“ผลอสรพิษทองคำ”

หา!

เมื่อได้ยินว่าผลอสรพิษทองคำ ห้วงสมองของซือหม่าโยวเย่ว์ก็นึกถึงผลไม้สีแดงสดคล้ายผลแอปเปิลของโลกในชาติก่อนขึ้นมา แต่เธอรู้ว่าจะต้องไม่ใช่ของธรรมดาๆ พรรค์นั้นอย่างแน่นอน หลังจากนั้นในห้วงสมองจึงค่อยปรากฏข้อมูลของผลอสรพิษทองคำขึ้นมา

คราวก่อนเธอเคยเห็นในตำราแพทย์ในมณีวิญญาณมาแล้วว่าผลอสรพิษทองคำคือผลไม้ที่มีผลสีเหลืองทองชนิดหนึ่ง เจ็ดร้อยปีผลิดอกบาน เจ็ดร้อยปีจึงออกผล เจ็ดร้อยปีจึงจะกลายเป็นผลสุก ทุกรอบจะออกผลเพียงเจ็ดร้อยผลเท่านั้น

ใช้ผลไม้ในการยกระดับการฝึกยุทธ์ได้ แต่ครั้งหนึ่งกินได้เพียงแค่ขนาดเท่าปลายนิ้วมือเท่านั้น มิฉะนั้นพละกำลังในร่างกายก็จะมากเกินไป อาจเกิดการระเบิดของเส้นลมปราณได้อย่างง่ายดาย

ถ้าหากหลอมเป็นยาวิเศษก็จะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่ยาวิเศษพรรค์นี้เม็ดหนึ่งอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีราคากว่าหมื่นชั่งทอง ล้ำค่ากว่ายาวิเศษที่เม็ดหนึ่งราคาไม่กี่สิบชั่งทองที่เธอเคยกินในตอนนั้นเป็นร้อยเท่า

ไม่เพียงแค่ผลจะมีฤทธิ์ในการยกระดับพลังยุทธ์เท่านั้น แม้กระทั่งกิ่งก้านและรากต่างก็เป็นสิ่งล้ำค่าทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อใดที่ผลอสรพิษทองคำถูกค้นพบ จึงมักจะเป็นเป้าหมายในการต่อสู้แย่งชิงของทุกคน

แต่ผลอสรพิษทองคำนี้กลับมิอาจได้มาอย่างง่ายดายเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่าบริเวณใกล้ๆ มันนั้นมีสัตว์อสูรวิเศษคอยเฝ้าระวังอยู่ตลอด เมื่อใดที่ผลไม้สุก กลิ่นหอมโชยไปนับหมื่นลี้ จึงดึงดูดสัตว์อสูรวิเศษที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเข้ามาได้ เพราะสิ่งนี้มิได้มีประโยชน์แค่กับมนุษย์เท่านั้น เมื่อสัตว์อสูรวิเศษนำไปใช้ก็ให้ผลลัพธ์ช่วยในการเลื่อนระดับเช่นเดียวกัน

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าผลอสรพิษทองคำนี่จะมีแรงดึงดูดมหาศาลถึงเพียงนี้ ถึงขนาดที่แม้แต่ท่านยังหัวใจสั่นไหวเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยเหน็บแนม

“ของล้ำค่าแห่งฟ้าดิน กว่าจะพบได้มิใช่เรื่องง่ายเลยนะ” หมัวซามิได้ปฏิเสธ “นอกจากนี้ของสิ่งนี้ก็มีประโยชน์กับเจ้าด้วยเช่นกัน”

“มีประโยชน์อันใดหรือ ยกระดับการบ่มเพาะหรือ” พอได้ยินว่ามีประโยชน์ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ตื่นตัวขึ้นมาในทันที

หมัวซาส่ายหน้า “คนทั่วไปรู้เพียงแค่ว่ามันสามารถยกระดับการบ่มเพาะได้ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามันยังเป็นสิ่งบำรุงหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณไปด้วยในขณะเดียวกัน วิญญาณของเจ้าเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อน นี่อาจส่งผลกระทบต่อการปรับปรุงและการหลอมยาวิเศษของเจ้าในอนาคตอย่างมหาศาล หากได้รับการหล่อเลี้ยงจากผลอสรพิษทองคำได้ ก็จะมีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูวิญญาณของเจ้าเป็นอย่างมาก”

“หา ยังสามารถฟื้นฟูวิญญาณได้ด้วยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซาอย่างประหลาดใจ

“ใช่แล้ว ผลอสรพิษทองคำดูดซับรัศมีจันทรา หลังจากนั้นก็แปรเปลี่ยนภายในร่างกายแล้วแผ่ไอพลังสีขาวราวน้ำนมชนิดหนึ่งออกมา ซึ่งไอพลังชนิดนี้เองที่มีประโยชน์ต่อวิญญาณของมนุษย์” หมัวซาพูดอธิบาย “ถึงแม้ว่าจะเป็นวิญญาณที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ภายใต้การหล่อเลี้ยงเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ก็ช่วยเพิ่มพูนความแข็งแกร่งขึ้นได้เช่นเดียวกัน”

“ช่างยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้! เป็นสิ่งล้ำค่าจริงๆ เสียด้วย! หึๆ ข้าจะต้องคว้าสิ่งนี้มาไว้ในกำมือให้ได้อย่างแน่นอน” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นนั่งก็เห็นหมัวซาหันหน้ามามองตนเอง จึงพูดยิ้มๆ ว่า “ข้ารู้ว่าท่านก็อยากใช้ของสิ่งนี้ฟื้นฟูวิญญาณเช่นกันสินะ ไม่อย่างนั้นผู้ที่ไม่มีผลประโยชน์ก็ไม่มีทางโผล่หน้ามาอย่างท่านจะออกมาพูดสิ่งเหล่านี้ให้ข้าฟังทำไมกัน”

“ข้าสัมผัสได้ว่าอย่างน้อยๆ ที่นั่นมีสัตว์อสูรเทพตนหนึ่งอยู่บริเวณใกล้ๆ ผลอสรพิษทองคำ ” หมัวซาพูด “นอกจากนี้ตอนที่ผลอสรพิษทองคำสุกงอมอาจจะดึงดูดสัตว์อสูรวิเศษฝูงใหญ่เข้ามาอีกด้วย บวกกับในระยะหลังๆ นี้ยังดึงดูดมนุษย์เข้ามาอีกด้วย การคิดจะช่วงชิงมานั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย”

“ท่านต้องช่วยข้านะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างแน่วแน่

“งั้นหรือ เจ้าช่างมั่นใจในตัวเองเสียจริงนะ” หมัวซาเลิกคิ้ว

“แน่นอนอยู่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจ “ถ้าหากของสิ่งนี้มิได้มีความเกี่ยวโยงอันใดกับท่าน บางทีท่านอาจจะไม่ลงมือ แต่วิญญาณของท่านแยกจากร่างกายท่านไม่รู้กี่ปีแล้ว ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยไปกว่าข้าเลย ถึงแม้ว่ามณีวิญญาณจะหล่อเลี้ยงท่านได้ แต่ผลลัพธ์ก็มิได้รวดเร็วสักเท่าใดนัก ถ้าหากบวกกับผลอสรพิษทองคำได้ ท่านก็จะฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นท่านจึงมุ่งหมายจะคว้าผลอสรพิษทองคำนี้มาให้จงได้เช่นเดียวกัน”

“ข้ามิอาจลงมือได้อย่างง่ายๆ หรอก” หมัวซาพูด

“ข้ารู้น่า ท่านแค่ลงมือในยามจำเป็นก็พอแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือพลางเอ่ยขึ้น

“ผลอสรพิษทองคำนี้ค่อนข้างจะจุกจิกกับสภาพแวดล้อมการเจริญเติบโต ไม่รู้ว่าคราวนี้มาเจริญอยู่ที่พื้นโลกระดับล่างอย่างดินแดนอี้หลินนี่ได้อย่างไรกัน” หมัวซาพูดอย่างสงสัย

“ใครจะไปรู้เล่า บางทีอาจเป็นเพราะรู้ว่ามีประโยชน์ต่อท่านกับข้า เลยมาเติบโตที่นี่ก็เป็นได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดติดตลก

หมัวซาถูกคำพูดนี้ของเธอทำให้ต้องเบ้ปาก คร้านจะตอบเธอ เขาหลับตาลงหยั่งรู้ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลืมตาแล้วพูดว่า “ยังเหลืออีกยี่สิบวันกว่าผลอสรพิษทองคำจะสุกงอม จะให้ดีเจ้าต้องไปก่อนล่วงหน้าสักสองวันเพื่อคอยสังเกตดูสถานการณ์”

“ข้ารู้แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าพูด

หมัวซาเห็นเช่นนี้แล้วจึงแปลงร่างเป็นควันดำกลุ่มหนึ่งกลับเข้าไปภายในมณีวิญญาณ

ซือหม่าโยวเย่ว์เอนกายกลับลงไปบนเตียงอีกครั้งแล้วพูดกับตัวเองว่า “ยี่สิบวัน เก็บรวบรวมซากสัตว์อสูรวิเศษได้มากพอแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่การเสาะหาสมุนไพรแล้ว ถึงอย่างไรก็น่าจะทำสำเร็จได้ภายในครึ่งเดือนอยู่แล้ว แต่พื้นที่ชั้นในอันตรายถึงเพียงนั้น ถึงเวลาให้ข้าไปเองก็พอแล้ว เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องตกอยู่ในอันตรายด้วย แต่จะให้พวกเขาจากไปได้อย่างไรนี่สิ เอาละ ไม่คิดแล้วดีกว่า ถึงเวลาค่อยว่ากัน”

หลังจากคิดทะลุปรุโปร่งแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็หลับตาแล้วท่องเคล็ดหลอมวิญญาณเงียบๆ ในใจ เริ่มต้นฝึกวิญญาณ

ผ่านการพักฟื้นมาหนึ่งวันหนึ่งคืน อาการบาดเจ็บของพวกเจ้าอ้วนชวีก็ดีขึ้นไม่น้อยเลย อย่างน้อยก็เดินทางได้อย่างไม่มีปัญหาแล้ว เมื่อนึกถึงว่ายังมีสมุนไพรที่ต้องเสาะหากันอีกหลายชนิด เช้าวันรุ่งขึ้นทุกคนเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วจึงออกเดินทางกัน

เพื่อให้ระยะเวลาสั้นที่สุด ซือหม่าโยวเย่ว์ก็โยนเจ้าคำรามน้อยออกไป ให้มันไปหาสัตว์อสูรทิพย์พูดได้ตนหนึ่งแล้วถามว่าสมุนไพรเจริญเติบโตอยู่ที่ใด หลังจากนั้นจึงมาบอกเธอ แล้วเธอก็พาทุกคนไปเก็บสมุนไพรที่นั่น

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยังใช้เวลาไปนานถึงสิบสองวันจึงจะเก็บเครื่องยาได้ครบถ้วน

ณ บริเวณรอยต่อระหว่างพื้นที่ชั้นกลางและชั้นนอก พวกซือหม่าโยวเย่ว์เก็บหญ้าเปลวเพลิงที่ทำเป็นแผ่นเอาไว้ในหุบเขาเข้าไปภายในแหวนเก็บวัตถุของตนเอง

“หึๆ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าที่นี่จะมีหญ้าเปลวเพลิงมากมายถึงเพียงนี้” เจ้าอ้วนชวีหัวเราะอย่างมีความสุขแล้วเอ่ยขึ้น “เป่ยกง เจ้ามิได้บอกว่าแถวๆ หญ้าเปลวเพลิงมีอันตรายอยู่หรอกหรือ เหตุใดพวกเราจึงไม่พบเจอแม้แต่สัตว์อสูรวิเศษสักตัวเดียวเลยเล่า”

เป่ยกงถังเองก็สงสัยอยู่บ้างแล้วพูดว่า “โดยหลักการแล้วที่นี่ต้องมีสัตว์อสูรวิเศษรวมตัวกันอยู่สิ แต่เหตุใดจึงไม่มีเลยเล่า”

“จะต้องถูกความเคลื่อนไหวของพื้นที่ชั้นในดึงดูดไปอย่างแน่นอน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “หลายวันมานี้พวกเราก็พบเจอสัตว์อสูรวิเศษกันน้อยมากเลยมิใช่หรือ ว่ากันว่ายามที่ของล้ำค่าแห่งฟ้าดินบางอย่างปรากฏขึ้น ล้วนอาจก่อให้เกิดความโกลาหลอันยิ่งใหญ่ขึ้นได้ คาดว่าคงไปร่วมในความคึกคักกันกระมัง”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” เจ้าอ้วนชวีพยักหน้าอย่างเป็นจริงเป็นจัง

พอเก็บเกี่ยวหญ้าเปลวเพลิงที่มีอายุมากกันจนหมดแล้วก็นับได้ว่าภารกิจของพวกเขาในครั้งนี้เสร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เว่ยจือฉีมองเงาหลังของซือหม่าโยวเย่ว์ ตอนแรกคิดว่าการพาเธอมาด้วยจะเป็นภาระ แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากมาถึงที่นี่แล้วเธอกลับมีส่วนช่วยเหลือทุกคนมากที่สุด

“ภารกิจของพวกเราสำเร็จเรียบร้อยแล้ว จะกลับกันเมื่อไรดีเล่า” เว่ยจือฉีถาม

เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา ร่างกายของซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังก็แข็งเกร็ง

………………

“ยังมีสิ่งใดแปลกประหลาดอีกหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม

“เจ้าอ้วน เจ้าไม่รู้สึกหรือ ตอนที่คนผู้นั้นยังมาไม่ถึงตัวพวกเรา ความเร็วไม่ได้ต่างจากฝูงหมาป่าเลย แต่หลังจากโยนลูกหมาป่าให้เจ้าแล้ว ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นมากอย่างฉับพลัน เพียงครู่เดียวกลับไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว ความเร็วก่อนหลังแตกต่างกันมากมายถึงเพียงนี้ เจ้าไม่รู้สึกว่าแปลกประหลาดอย่างยิ่งหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าว่าดูเหมือนเขาล่อฝูงหมาป่ามาหาพวกเราที่นี่หรือไม่เล่า”

“เจ้า… เจ้าจะบอกว่าคนผู้นั้นจงใจล่อฝูงหมาป่ามาหาพวกเราที่นี่อย่างนั้นหรือ คนผู้นั้นคิดจะทำร้ายพวกเราอย่างนั้นหรือ” เจ้าอ้วนชวีร้องออกมาอย่างตกใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์แสดงสีหน้าว่าเจ้ายังไม่ได้โง่เง่าถึงเพียงนั้นใส่เขา

“บัดซบ เจ้าคนผู้นั้นเป็นใครกัน คิดทำร้ายพวกเราด้วยเหตุใด” เจ้าอ้วนชวีตะโกนเสียงดังลั่น

“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องรู้ให้จงได้ ตอนนี้คาดเดาไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” โอวหยางเฟยพูด

“ถูก ตอนนี้เดาไปก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อเขายังอยู่ในเทือกเขาแห่งนี้ พวกเรายังมีโอกาสได้พบกับเขาอีก” เว่ยจือฉีพูด “วันนี้ทุกคนเหนื่อยกันมากแล้ว ข้าคิดว่าพวกเราตั้งที่พักแล้วพักผ่อนกันก่อนดีกว่านะ”

“ดีเลย”

ทั้งห้าคนพักผ่อนกันหนึ่งวันเต็ม ตลอดเวลาหนึ่งวันนี้มีผู้คนเดินผ่านบริเวณที่พักของพวกเขาไปไม่น้อย

“โยวเย่ว์ เจ้าดูสิ เป็นกลุ่มคนของตระกูลใหญ่ผ่านมาอีกแล้ว” เจ้าอ้วนชวีนั่งอยู่ข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ มองดูผู้คนที่เดินผ่านมาแล้วพูดขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูผู้คนที่เดินผ่านไปด้วยท่าทียโสโอหังเหล่านั้นแล้วมิได้เกิดความประทับใจอันดีแต่อย่างใดเลย

“แต่จะว่าไปแล้วจือฉีก็เป็นคนตระกูลใหญ่ เหตุใดจึงไม่หยิ่งยโสเทียมฟ้าเหมือนคนพวกนี้เลยเล่า” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างสงสัย

“เจ้าเองก็เหมือนกันมิใช่หรือ” เว่ยจือฉีพูดยิ้มๆ

“ตระกูลของข้าจะไปเปรียบกับตระกูลเว่ยของเจ้าได้อย่างไรกัน” เจ้าอ้วนชวีส่ายหน้า “นี่ จะว่าไปแล้วพวกเรายังไม่รู้จักตระกูลโอวหยางกับตระกูลเป่ยกงเลยนี่นา”

“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น” เว่ยจือฉีพยักหน้า

ตอนแรกที่รู้จักกัน โอวหยางเฟยและเป่ยกงถังต่างมิได้พูดถึงเรื่องของตัวเองเลย แต่ในเวลานั้นยังไม่สนิทสนมคุ้นเคยกัน พวกเขาจึงมิได้ไถ่ถามรายละเอียดซอกแซก ต่อมาเมื่อทุกคนสนิทสนมกันแล้วก็ลืมถามไปเสียสนิท

โอวหยางเฟยยักไหล่พูดว่า “ข้าเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีญาติใกล้ชิดหรอก”

เขาพูดอย่างผ่อนคลายยิ่ง แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับรู้สึกได้ถึงความชิงชังสายหนึ่งในน้ำเสียงของเขา

“ข้ามีเพียงแค่ท่านแม่กับน้องชายคนหนึ่งเท่านั้น แต่พวกเขาอยู่ ณ สถานที่อันไกลแสนไกล” เป่ยกงถังพูดด้วยแววตาพร่าเลือน จ้องมองท้องฟ้า บนร่างแผ่รังสีแห่งความเจ็บปวดและความคับข้องใจออกมา

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูคนทั้งสองแล้วหรี่ตาลง ดูท่าทางคนทั้งคู่จะต้องมีเรื่องที่มิอาจให้ผู้ใดล่วงรู้ซ่อนเร้นอยู่อย่างแน่นอน!

เว่ยจือฉีตบบ่าโอวหยางเฟยพลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรนะ ต่อจากนี้ไปพวกเราก็คือครอบครัวของเจ้าแล้วล่ะ”

“ถูกต้อง พวกเราเป็นคนในเรือนพักเดียวกัน ทั้งยังเป็นพรรคพวกเดียวกันอีกด้วย ต่อจากนี้ไปพวกเราคือครอบครัวของเจ้า” เจ้าอ้วนชวีก็พูดขึ้นเช่นกัน

โอวหยางเฟยหันหน้าไปเห็นสายตาจริงใจของเว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวี สายตาที่เย็นชามาโดยตลอดอ่อนโยนลงไปไม่น้อย

“ดี ต่อจากนี้ไปพวกเราก็คือพี่น้องกันแล้วนะ!”

“ใช่แล้ว พี่น้องกัน!” เจ้าอ้วนชวีลุกขึ้นไปนั่งข้างกายโอวหยางเฟยก่อนจะตบมือเข้าด้วยกัน

อันที่จริงแล้วมิตรภาพระหว่างบุรุษนั้นบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงแค่แน่ใจแล้ว เจ้าก็คือพี่น้องของข้า ผ่านการคลุกคลีกันมาหลายเดือน โอวหยางเฟยก็รู้จักลักษณะนิสัยของพวกเขา และค่อยๆ ยอมรับพวกเขาอย่างช้าๆ หัวใจที่เยียบเย็นดุจน้ำแข็งนั้นก็ค่อยๆ อบอุ่นขึ้นทีละเล็กละน้อย

ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มยิงฟันมองดูคนทั้งสามแล้วพูดว่า “เฮ้ๆๆ นับข้าเข้าไปด้วยสิ!”

“ฮ่าๆ ขาดเจ้าไปไม่ได้หรอกน่า!” เจ้าอ้วนชวีพูดแล้วหัวเราะเสียงดัง

เป่ยกงถังมองดูพวกเขาที่สนุกสนานเฮฮากันแล้วความโดดเดี่ยวก็เคลื่อนผ่านนัยน์ตา คล้ายกับว่าทนรับแรงกระตุ้นของเหตุการณ์ที่เห็นตรงหน้ามิได้ จึงลุกขึ้นเดินจากไป

“เป่ยกงเป็นอะไรไปน่ะ”

ทุกคนมองหน้ากันไปมา นัยน์ตาแสดงความไม่เข้าใจ

“ข้าไปดูนางสักหน่อยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เป่ยกงถังจากไป

เป่ยกงถังมาถึงยังริมลำธารเล็กพลางเหม่อมองผิวน้ำ เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวด้านหลังจึงหันหน้าไปมองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นซือหม่าโยวเย่ว์จึงถามว่า “เจ้ามาทำไม”

“ควรจะเป็นข้าที่ถามเจ้ามากกว่านะ เจ้าวิ่งออกมาคนเดียวทำไมกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์มายังข้างกายเป่ยกงถัง เตะก้อนหินก้อนหนึ่งลงน้ำไปอย่างส่งๆ ก่อให้เกิดระลอกคลื่นน้ำ

“ข้าเป็นอะไรเสียที่ไหนกัน” เป่ยกงถังส่ายหน้า

“เจ้ากำลังจงใจปลีกตัวห่างจากทุกคน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เป่ยกงถังตกตะลึงแล้วเอ่ยปฏิเสธ “ข้าเปล่านะ”

“เจ้าทำ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเป่ยกงถัง “พวกเราก็รู้จักกันมาตั้งหลายเดือนแล้ว เจ้าวางตัวไม่ใกล้ชิดไม่ห่างเหินกับทุกคนมาโดยตลอด เมื่อครู่เห็นพวกโอวหยางกับจือฉีเป็นเช่นนั้นกันแล้วก็ยังจากมาอีกหรือ”

เป่ยกงถังไม่พูดไม่จา เพียงแค่มองผิวน้ำเท่านั้น

“เจ้ากำลังกังวลใจใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดต่อไป “เป็นกังวลถึงท่านแม่และน้องชายของเจ้า”

เมื่อได้ยินคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ กลิ่นอายบนร่างเป่ยกงถังก็แปรเปลี่ยนไปในทันใด เป่ยกงถังมองเธออย่างระแวดระวังแล้วถามอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่”

ทว่าซือหม่าโยวเย่ว์กลับมิได้ตกใจเพราะท่าทีเช่นนี้ของนาง เธอแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องกระวนกระวายไปหรอกนะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าประสบพบเจอกับอะไรมา แล้วยิ่งไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงอ่อนไหวง่ายถึงเพียงนี้ แต่ข้าเพียงแค่มองความกังวลใจออกจากสายตาของเจ้าเท่านั้นเอง”

“จริงหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่ “ตอนข้าอยู่ที่เมืองหลวงก็นับได้ว่าเป็นบุคคลที่ทุกคนรู้จักกันดีคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าชื่อเสียงข้าจะมิได้ดีสักเท่าใดนัก ตัวตนของข้าก็ไม่เคยเป็นความลับแต่อย่างใดเลย”

เป่ยกงถังจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงค่อยคิดสิ่งใดขึ้นมาได้แล้วหมุนตัวไปมองจ้องผิวน้ำ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่กลับมิได้แผ่กลิ่นอายเยียบเย็นตลอดร่างดังเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเช่นนี้จึงรู้ว่านางไม่ได้ระวังเนื้อระวังตัวกับตนเช่นนั้นอีกแล้ว จึงยกมุมปากยิ้มก่อนเอ่ยว่า “ถึงแม้ก่อนหน้านี้ข้าจะไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด แต่ระยะหลังมานี้ข้าเพิ่งค้นพบว่าความรู้สึกที่มีคนอยู่ด้วยก็ไม่เลวเลยทีเดียว ไม่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าจะเป็นเช่นไร ในภายภาคหน้าจะพบเจอกับอะไร แต่ในขณะนี้พวกเราอยู่ด้วยกัน อย่าได้ลืมไปเสียล่ะว่าพวกเราคือสหายที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ตอนนี้พวกเราคือคนที่สามารถฝากชีวิตเอาไว้ได้ ถ้าหากเจ้าอยากจะหาคนหารือด้วย พวกเราก็พร้อมอยู่ด้วยเสมอนั่นแหละ”

“อืม” เป่ยกงถังพยักหน้าเป็นเชิงว่าตนเข้าใจในความหมายของซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว

“เอาละ พวกเรากลับกันเถิด พวกเขาเห็นเจ้าจากมาโดยไม่พูดจาสักคำ เป็นห่วงเจ้ากันแทบแย่แล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางตบบ่าเป่ยกงถัง

ทั้งคู่กลับมายังที่พัก พวกเว่ยจือฉีจึงค่อยถอนหายใจแล้วสนทนาสัพเพเหระกันต่อไป

ถึงแม้ว่าเป่ยกงถังจะมิได้พูดสอดแทรกอะไรสักเท่าใดนัก แต่ตอบในสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันเป็นระยะๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูพวกเขาแล้วก็ค้นพบว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ทำให้พวกเขาใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นไม่น้อย ถ้าหากบอกว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่กลุ่มก้อนหนึ่งแล้วละก็ เช่นนั้นตอนนี้ทุกคนก็คือสหายร่วมการต่อสู้

ยามราตรี ทุกคนพากันแยกย้ายกลับไปพักผ่อนยังกระโจมของตน เป่ยกงถังเอนตัวนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงเล็กของตน สองตาเบิกกว้าง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสุขอย่างมิอาจควบคุมได้

“เมิ่งจี เจ้าฟื้นแล้วหรือ”

“เจ้านาย คราวก่อนข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป ตอนนี้เพียงแค่ฟื้นขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้นเอง” น้ำเสียงผู้หญิงเสียงหนึ่งดังขึ้นในห้วงสมองของเป่ยกงถัง

“เมิ่งจี ที่เจ้าบาดเจ็บจนอยู่ในสภาพนี้ ก็เพื่อคุ้มกันให้ข้าหลบหนีมาได้ ผ่านมานานปีถึงเพียงนี้แล้ว เจ้าก็ยังต้องพึ่งการนิทราเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บอยู่เลย” เป่ยกงถังเอ่ยอย่างโทษตัวเอง

“เจ้านายอย่าได้โทษตัวเองไปเลย การปกป้องท่านเป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว” เมิ่งจีพูด

“เจ้านาย ระยะเวลาที่ข้าจะตื่นขึ้นมาในครั้งนี้มิได้ยาวนานนัก ข้าขอบอกจุดประสงค์ที่ข้าตื่นขึ้นมาในครั้งนี้กับท่านตรงๆ เลยแล้วกัน ข้าสัมผัสได้ว่าภายในเทือกเขามีเครื่องยาชนิดหนึ่งที่กำลังจะเจริญขึ้น ถ้าหากใช้ได้ ข้าก็จะสามารถฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ เจ้านาย ถ้าหากทำได้…”

เสียงของเมิ่งจีเบาลงเรื่อยๆ ยังพูดคำสุดท้ายไม่จบก็หลับใหลลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้งเสียแล้ว

“เมิ่งจี ถ้าหากเครื่องยาชนิดนั้นมีประโยชน์ต่ออาการบาดเจ็บของเจ้า ข้าจะช่วงชิงมาให้เจ้าอย่างแน่นอน!” เมื่อนึกถึงเมิ่งจีที่หลับใหลไม่ฟื้น เป่ยกงถังก็ผูกรัดเสื้อผ้าบริเวณเอวแน่น

………………………

ในขณะที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์ต่อสู้กับฝูงหมาป่านั้นเอง ชายที่ไปล่อฝูงหมาป่ามาผู้นั้นก็เคลื่อนตัวผ่านยอดเขาอย่างรวดเร็ว วิ่งตรงไปยังยอดเขาอีกแห่งหนึ่ง ไปรวมตัวกับพรรคพวกของตนอย่างรวดเร็ว

“หวงซื่อ เป็นอย่างไรบ้าง” คนที่รออยู่ที่เดิมเห็นพรรคพวกของตนกลับมาจึงเอ่ยถามขึ้น

“ตอนที่ข้าวิ่งมา ฝูงหมาป่าก็ล้อมพวกซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้แล้ว” หวงซื่อดึงกระดาษที่มีอักขระแปลกประหลาดวาดอยู่ที่ติดอยู่บนร่างออกมาแล้วยื่นให้กับชายเสื้อดำพลางพูดว่า “พี่ใหญ่ ของสิ่งนี้ของท่านคืออะไรหรือ พอติดมันลงไปแล้วความเร็วของข้าก็เพิ่มขึ้นมากมายเลย ราวกับว่าขาทั้งสองข้างนี้มิใช่ของข้าเลยทีเดียวล่ะ”

“คือสิ่งใดนั้นเจ้าไม่ต้องถามหรอก” ชายเสื้อดำเก็บแผ่นยันต์กลับมาแล้วเอ่ยว่า “ฝูงหมาป่าเหล่านั้นล้อมพวกเขาเอาไว้แล้วจริงๆ หรือ”

“จริงสิ พี่ใหญ่!” หวงซื่อเอ่ยยืนยัน “ หมาป่าเปลวอัคคีสามสิบสี่สิบตัวเลยทีเดียวนะ ต่อให้พวกเขาพลังยุทธ์ไม่อ่อนแอ ก็ไม่อาจเอาชนะหมาป่าเปลวอัคคีมากมายถึงเพียงนั้นได้หรอก”

“เช่นนี้ก็ดี” ชายเสื้อดำพูด “เฮอะ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมิอาจมีชีวิตรอดต่อไปได้ แต่ก็มิอาจเอาชีวิตเจ้าคนไร้ค่าผู้นั้นด้วยมือตัวเองได้ ช่างน่าละอายยิ่งนัก!”

“พี่ใหญ่ พวกเราต้องไปดูพวกมันตายสักหน่อยหรือไม่” หวงซื่อถาม

“ไม่ต้องไปหรอก” พี่ใหญ่ชุดดำส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าหากเจอกับฝูงหมาป่าเข้า พวกเราก็จะเป็นฝ่ายลำบากแทนน่ะสิ นอกจากนี้กลิ่นคาวเลือดยังอาจจะไปล่อสัตว์อสูรวิเศษที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามาก็เป็นได้ ในเมื่อรู้แล้วว่าพวกเขามิอาจเอาชีวิตรอดได้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายหรอก”

“พี่ใหญ่พูดได้ถูกต้อง”

“พวกเรามาที่นี่ก็มีภารกิจของตัวเองอยู่ จัดการซือหม่าโยวเย่ว์เรียบร้อย พวกเราก็ควรไปทำภารกิจของพวกเราให้เสร็จสิ้นได้แล้วสิ! ไปกันเถิด” พี่ใหญ่ชุดดำพูดจบแล้วก็นำทางพรรคพวกของตนเดินมุ่งหน้าไปยอดเขาอีกแห่งหนึ่ง

ที่อีกด้านหนึ่ง พวกโอวหยางเฟยเก็บตัวสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของตนกลับเข้าไปในมิติพันธสัญญา ประคับประคองกันและกันออกจากป่าที่ทำการต่อสู้เมื่อครู่

เดินไประยะหนึ่งก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำ เมื่อเห็นพื้นที่ว่างริมน้ำ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็พูดว่า “ที่นี่อยู่ห่างจากพื้นที่การต่อสู้มาไกลพอสมควรแล้ว พวกเรามาล้างแผลที่นี่กันสักหน่อยก่อนเถิด”

“ดีเลย” เว่ยจือฉีประคองตัวเจ้าอ้วนชวีให้นั่งลงบนก้อนหินใหญ่ริมแม่น้ำก้อนหนึ่งก่อนที่ตนจะนั่งลงข้างๆ

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะกินยาวิเศษที่ซือหม่าโยวเย่ว์ให้ลงไปแล้ว แต่ยารักษาบาดแผลขั้นหนึ่งออกฤทธิ์ค่อนข้างช้า ทั้งยังมีผลลัพธ์ไม่ค่อยดีนัก มิอาจทำให้บาดแผลสมานตัวได้ในระยะเวลาอันสั้น

โอวหยางเฟยมาที่ริมแม่น้ำแล้วถอดเสื้อชิ้นบนออกก่อนจะเริ่มต้นชำระล้างบาดแผลบริเวณท่อนบนของร่างกาย ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบตามองก็พบว่าบนร่างของเขามีรอยแผลเป็นมากมายกระจัดกระจายไปทั่ว

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอาอ่างใบหนึ่งออกมา เธอมาที่ริมน้ำแล้วตักน้ำอ่างหนึ่งยกมาที่ข้างกายเจ้าอ้วนชวี ยื่นมือจะไปเปลื้องเสื้อผ้าของเจ้าอ้วนชวี

“อ๊า… โยวเย่ว์ เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ!” เจ้าอ้วนชวีเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เปลื้องเสื้อผ้าของตนแล้วก็ร้องเสียงแหลมออกมาโดยสัญชาตญาณพลางยกสองมือขึ้นปิดหน้าอก

ซือหม่าโยวเย่ว์สีหน้าถมึงทึง เจ้านี่จะตอบสนองใหญ่โตถึงเพียงนี้ไปทำไมกัน!

“ถ้าเจ้ารู้สึกว่าดึงรั้งบาดแผลแล้วมันไม่เจ็บ เจ้าจะรั้งบาดแผลเช่นนี้ต่อไปข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ” เธอพูดพลางเหลือบมองบาดแผลบนร่างของเจ้าอ้วนชวีปราดหนึ่ง

เจ้าอ้วนชวีจึงค่อยนึกถึงบาดแผลบนร่างตนขึ้นมาได้เมื่อได้ฟังคำพูดของเธอ การขยับเมื่อครู่นี้ทำให้บาดแผลทวีความเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นจนอดที่จะร้องโอดโอยขึ้นมามิได้

ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงมือของเขาลงแล้วใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าของเขาออก เผยให้เห็นบาดแผลบนหัวไหล่และแผ่นหลังของเขา

แน่นอนว่ากรรไกรเล่มนั้นก็คือหลิงหลงที่แปลงร่างมาอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนั่นเอง นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดเจ้านายจึงเอาแต่ให้นางแปลงเป็นอาวุธหน้าตาแปลกประหลาด ทั้งยังไม่มีประโยชน์อันใดอีกด้วยเล่า

เพื่อความสะดวก ซือหม่าโยวเย่ว์จึงตัดเสื้อเจ้าอ้วนชวีออกหมด หลังจากนั้นก็หยิบเอาผ้าฝ้ายผืนหนึ่งออกมาชุบน้ำในอ่าง เช็ดล้างคราบเลือดบริเวณบาดแผลออกจนสะอาด พลางหยิบเอายาผงขวดหนึ่งออกมาโรยจนทั่วบาดแผลของเขา ก่อนจะใช้แถบผ้าพันแผลให้เขาเป็นลำดับสุดท้าย

เว่ยจือฉีกลับมาจากการล้างรอยเลือดบนเนื้อตัวที่ริมแม่น้ำ ก็เห็นการเคลื่อนไหวอันเปี่ยมทักษะของซือหม่าโยวเย่ว์ จึงเอ่ยเย้าแหย่ว่า “คิดไม่ถึงว่าท่าทางการพันแผลของโยวเย่ว์จะเชี่ยวชาญถึงเพียงนี้”

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยๆ น่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ

ที่เธอพูดนั้นหมายถึงว่าชาติก่อนตอนที่ตนเป็นมือสังหารเคยได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยๆ แต่พวกเจ้าอ้วนชวีกลับเข้าใจไปว่าก่อนหน้านี้เขาเคยถูกคนรอบกายมู่หรงอานทุบตี

“โยวเย่ว์ เจ้าวางใจเถิด ต่อจากนี้ไปใครกล้ามารังแกเจ้า เจ้าอ้วนอย่างข้านี่แหละจะไม่ยอมเป็นคนแรกเลย!” เจ้าอ้วนชวีมองดูแถบผ้าบนหัวไหล่พลางพูดขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มก่อนจะขยับไปอยู่ด้านหลังเขาแล้วโรยผงยาลงไปที่บาดแผลบนหลังของเขา หลังจากนั้นก็พันแผลอย่างตั้งอกตั้งใจ

“เสร็จแล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์ทำเสร็จแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ยาผงชนิดนี้มีประโยชน์ต่อบาดแผลเป็นอย่างยิ่ง เมื่อรวมกับยาวิเศษแล้วก็ให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้นไปอีก โอวหยางเฟย บนร่างของพวกเจ้าก็มีบาดแผลเช่นกัน มาให้ข้าทำแผลให้พวกเจ้าด้วยสิ”

“ข้าทำเองก็ได้” โอวหยางเฟยไม่ค่อยเคยชินกับการให้ผู้อื่นมาสัมผัสบนร่างกาย จึงรับเอาขวดยาของซือหม่าโยวเย่ว์มาทำแผลด้วยตนเอง แต่เป็นเพราะว่ามีบาดแผลอยู่บนแขนด้วย จึงต้องให้เธอช่วยเหลืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์ทำแผลบนร่างกายของเว่ยจือฉีและเป่ยกงถังเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าอ้วนชวีจึงค่อยคิดอะไรขึ้นมาได้แล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างแปลกพิกล

“เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ มองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกสายตาของเจ้าอ้วนชวีมองจนประหม่าอยู่บ้าง

“โยวเย่ว์ พวกเราได้รับบาดเจ็บกันหมด แต่เจ้ากลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยนี่” เจ้าอ้วนชวีพูด

พอเอ่ยคำพูดนี้ออกมา เว่ยจือฉี เป่ยกงถัง และโอวหยางเฟยก็นึกขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน พวกเขาล้วนได้รับบาดเจ็บกันหมด แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่นิดเดียว!

“แค่กๆ เรื่องนี้…” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี จึงได้แต่แกล้งกระแอมกระไอ

“ฮ่าๆ ก่อนหน้านี้พวกเราก็ยังกังวลใจกันอยู่ตลอดว่าเจ้าเข้ามาภายในเทือกเขาแล้วอาจเกิดอันตรายได้ ที่แท้แล้วเจ้าต่างหากที่เป็นพวกคมในฝัก!” เว่ยจือฉีระเบิดเสียงหัวเราะแล้วพูดขึ้น

“แหะๆ…” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูกของตัวเองพลางหัวเราะ

“เจ้าช่างแข็งแกร่งนัก” โอวหยางเฟยพูดพร้อมกับมองซือหม่าโยวเย่ว์

เขาค้นพบตั้งแต่ตอนต่อสู้แล้วว่าทุกครั้งที่ซือหม่าโยวเย่ว์สังหารหมาป่าเปลวอัคคีนั้นช่างรวดเร็วและแม่นยำ ถึงแม้ว่านางจะรู้จักจุดอ่อนของหมาป่าเปลวอัคคีก็จริง แต่นี่ก็มิอาจแยกจากพลังยุทธ์ของนางได้เลย

“ถึงอย่างไรข้าก็รู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มีบางอย่างผิดปกติ” เป่ยกงถังพูด

“เจ้าก็สัมผัสได้เหมือนกันหรือ” โอวหยางเฟยมองเป่ยกงถัง ดูเหมือนว่าคนที่สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจะมิใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้น

“มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองพวกเขาอย่างไม่เข้าใจ

“อะไรก็ไม่ปกติทั้งนั้นแหละ” เว่ยจือฉีพูด

“หา หมายถึงอะไรหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองท่าทางสับสนของเจ้าอ้วนชวีแล้วพูดว่า “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าการปรากฏตัวของคนผู้นั้นแปลกประหลาดเหลือเกิน”

“คนผู้นั้นมีอะไรแปลกประหลาดหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่งสายตาดูแคลนปราดหนึ่งไปให้เขา เธอพูดถึงขนาดนี้แล้วเจ้าคนผู้นี้ก็ยังไม่เข้าใจอีก!

“เจ้าอ้วน วันนี้เจ้าคนผู้นั้นดูเหมือนว่าจะมีพลังยุทธ์ใกล้เคียงกันกับพวกเราเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าอาจจะสู้พวกเรามิได้ แต่เขาจะมายังเทือกเขาผู่สั่วที่เต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้ตามลำพังได้อย่างไรกัน แล้วสหายของเขาเล่า” เว่ยจือฉีอธิบายอย่างอดทน

เจ้าอ้วนชวีกะพริบตาพลางพูดว่า “ฟังเจ้าพูดเช่นนี้แล้วก็ออกจะแปลกอยู่เหมือนกันนะ”

“ที่แปลกประหลาดน่ะมิใช่เพียงเท่านี้หรอกนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มน้อยๆ นัยน์ตามีประกายเยียบเย็นเคลื่อนผ่าน

…………………

ไม่เพียงแค่เจ้าอ้วนชวีเท่านั้น พวกเป่ยกงถังก็ถูกฝูงสัตว์อสูรที่วิ่งควบเข้ามาทำเอาตะลึงงันไปเช่นเดียวกัน

“ช่วยด้วย…”

พอฝูงสัตว์อสูรเข้ามาใกล้ พวกซือหม่าโยวเย่ว์จึงเห็นเงาร่างคนผู้หนึ่งที่วิ่งอยู่ด้านหน้าฝูงสัตว์อสูร

“โฮก…”

เสียงคำรามอันเปี่ยมไปด้วยความป่าเถื่อนของฝูงหมาป่าทำให้คนผู้นั้นตัวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แต่เมื่อเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่เบื้องหน้า เขาจึงกัดฟันวิ่งตรงมาทางพวกเขา

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นคนผู้นั้นวิ่งตรงมาทางพวกตนจึงตอบสนองออกไปในทันที เธอวิ่งพลางคำรามเสียงหนึ่งพร้อมลากเป่ยกงถังที่อยู่ข้างกายวิ่งไปด้านหลังด้วย

เมื่อถูกเธอตะโกนใส่เช่นนี้ พวกเว่ยจือฉีจึงค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา พวกเขาซอยเท้าวิ่งโดยมิอาจเก็บข้าวของได้ทัน

“ช่วยข้าด้วย… สหายตรงหน้า ช่วยข้าด้วย…” คนผู้นั้นเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์พากันวิ่งหนีไปหมดแล้วจึงส่งเสียงร้องเรียก

“ช่วยบ้านน้องสาวเจ้าสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกนด่าพลางดึงเป่ยกงถังให้เร่งความเร็วยิ่งขึ้น

แต่ไม่ว่าอย่างไรพลังฝีเท้าของคนทั้งห้าก็มีขีดจำกัด จะวิ่งเก่งกว่าหมาป่าเปลวอัคคีได้อย่างไร เมื่อเห็นสัตว์อสูรวิเศษใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไหนจะยังมีคนเสื้อดำผู้นั้นอีก เจ้าอ้วนชวีจึงด่าว่า “บัดซบ เหตุใดเจ้านี่มันจึงได้วิ่งเร็วถึงเพียงนี้เล่า!”

เพียงไม่นานคนที่ถูกหมาป่าเปลวอัคคีไล่หลังก็ตามพวกเขามาจนทัน พอเห็นว่าในมือของเขาอุ้มลูกหมาป่าตัวน้อยตัวหนึ่งเอาไว้ด้วย ซือหม่าโยวเย่ว์จึงได้เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงถูกฝูงหมาป่าวิ่งไล่ตามไปทั่วภูเขาเช่นนี้ได้

“ไอ้เวรนี่ เจ้าไปอุ้มเอาลูกหมาป่ามาทำไมกัน รีบคืนเขาไปเร็วเข้าสิ!”

คนผู้นั้นดูคล้ายว่าได้ยินคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงค่อยได้สติกลับคืนมา เขาก้มหน้าลงมองลูกหมาป่าตัวน้อยในอ้อมแขน แล้วจึงโยนลูกหมาป่าตัวน้อยใส่อ้อมแขนของเจ้าอ้วนชวีที่อยู่ข้างกาย หลังจากนั้นก็เร่งฝีเท้าวิ่งหนีไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

“ไอ้บัดซบ เจ้าคิดบ้าบอจะฆ่าผู้อื่นให้ตายหรืออย่างไร!” เจ้าอ้วนชวีรับลูกหมาป่ามาโดยสัญชาตญาณ กว่าเขาจะเข้าใจอะไรขึ้นมา คนผู้นั้นวิ่งหนีหายไปจนไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นสายตาที่คนผู้นั้นวิ่งหนีพวกเขาไปอย่างรวดเร็วแล้วนัยน์ตาก็มีแววสงสัยสายหนึ่งวาบผ่าน

“เจ้าอ้วนชวี เจ้าจะอุ้มลูกหมาป่าเอาไว้ทำไมกัน โยนเจ้าลูกหมาป่าทิ้งไปเสียสิ!” เว่ยจือฉีตะโกนพูด

เจ้าอ้วนชวีรีบโยนลูกหมาป่าทิ้งไป ทว่านอกจากหมาป่าตัวสองตัวที่วิ่งไปตามทิศทางของลูกหมาป่าแล้ว ตัวที่เหลือก็ยังไล่ตามพวกเขาไม่เลิกรา

“วิ่งไม่ไหวแล้ว ดูท่าทางคงได้แต่สู้กับพวกมันตรงๆ เสียแล้ว!” โอวหยางเฟยมองไปยังฝูงหมาป่าที่วิ่งตามพวกเขามาติดๆ อย่างไม่ลดละพลางหยิบอาวุธของตัวเองออกมาแล้วหมุนตัวบุกสังหารไปทางฝูงหมาป่า

คนอื่นๆ ก็เข้าใจว่าฝูงหมาป่านี้หมายหัวพวกเขาเอาไว้แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะวิ่งไปเนิ่นนานเท่าใดก็ไม่ยอมปล่อยแน่ นอกจากนี้พวกเขาวิ่งกันมานานถึงเพียงนี้แล้ว แรงกายก็ถดถอย เพียงแค่แรงเฮือกสุดท้ายหมดสิ้นไปเท่านั้น ฝูงหมาป่านึกอยากจะฆ่าพวกเขาให้ตายย่อมง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้เป็นกังวลกับฝูงหมาป่าที่ด้านหลังตนสักเท่าไรนัก เจ้าคำรามน้อยกับย่ากวงออกมาสุ่มๆ สักตนหนึ่งก็ทำให้พวกมันพรั่นพรึงได้แล้ว แต่เธอไม่คิดจะทำเช่นนั้น ถ้าหากเคยชินกับการอาศัยสัตว์อสูรผูกพันธสัญญายามเผชิญอันตรายตั้งแต่ต้นจนติดนิสัยพึ่งพาผู้อื่น ในภายหน้าหากตนคิดอยากจะแข็งแกร่ง ก็คงจะเป็นได้แค่เพียงลมปากแล้ว!

“พวกเราแย่แล้ว!” เว่ยจือฉีหยุดฝีเท้าลงเช่นกัน แล้วเรียกสัตว์อสูรวิเศษที่ตนทำพันธสัญญาด้วยออกมาเผชิญหน้ากับหมาป่าเปลวอัคคี

“ข้าไม่วิ่งแล้ว ย่ายายพวกมันเถอะ!” เจ้าอ้วนชวีเรียกสัตว์อสูรวิเศษของตนออกมาเช่นกันพลางหยิบขวานของตนออกมาแล้วสับเข้าใส่หมาป่าเปลวอัคคี

เป่ยกงถังมิได้เรียกสัตว์อสูรวิเศษของตนออกมา เพียงแค่หยุดฝีเท้าลงแล้วโยนลูกพลังวิญญาณที่รวมตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้วในมือไปยังหมาป่าเปลวอัคคี

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูแวบหนึ่ง ของโอวหยางเฟยเป็นเสือดาวเมฆา สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นเก้าตนหนึ่ง ดูท่าทางคล้ายว่าอีกไม่นานจะเลื่อนไปเป็นระดับสัตว์อสูรทิพย์แล้ว

ส่วนของเจ้าอ้วนชวีเป็นจิ้งจอกเสน่หา สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นเจ็ด จิ้งจอกนั่นดูแล้วมีขนาดร่างกายเตี้ยเล็กกว่าหมาป่าเปลวอัคคีอยู่มาก แต่พลังการต่อสู้กลับมิได้ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย

สัตว์อสูรวิเศษของเว่ยจือฉีนั้นแม้ว่าระดับขั้นจะมิได้สูงเหมือนของโอวหยางเฟย แต่เป็นกิ้งก่าเพลิงที่หาได้ยาก เมื่อมันตวัดหางคราหนึ่ง หมาป่าเปลวอัคคีตนหนึ่งก็ถูกกวาดลอยกระเด็นออกไป

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอากริชที่แปลงร่างมาจากหลิงหลงออกมา เธอดีดตัวครั้งหนึ่งก็มาถึงตรงหน้าหมาป่าเปลวอัคคีตนหนึ่งแล้ว พอมันกระโจนเข้ามาใกล้ จึงแทงกริชเข้าไปตรงหว่างคิ้วของมันอย่างรวดเร็ว แล้วดึงกริชออกมาในตอนที่มันยังไม่ทันได้ตอบสนอง

พวกโอวหยางเฟยต่างคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะสังหารหมาป่าตนหนึ่งได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ จึงพากันจ้องมองเธออย่างตกใจ

“ตรงหว่างคิ้วและจุดที่ต่ำลงมาจากคางสามนิ้วคือบริเวณที่อ่อนแอที่สุดของหมาป่าเปลวอัคคี โจมตีไปที่สองจุดนี้จะให้ผลลัพธ์ดีที่สุด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยถูกเวลานัก แต่เจ้าอ้วนชวีก็ยังถามออกมา

“อาจารย์เคยสอนในชั้นเรียนมาก่อนอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

ทุกคนเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ คล้ายว่าตอนนั้นที่อาจารย์พูดถึงสัตว์อสูรวิเศษภายในเทือกเขาผู่สั่วเคยพูดถึงสิ่งนี้มาก่อนแล้วจริงๆ ทว่าทุกคนมิได้ใส่ใจฟังกันสักเท่าไร ถ้ามิใช่เพราะเธอเตือน พวกเขาก็นึกไม่ออกเลยว่ามีบทเรียนเช่นนี้อยู่ด้วย

“จะต้องรวดเร็วพอดูเลย มิฉะนั้นอาจถูกฝูงหมาป่าทำร้ายเข้าก็เป็นได้” โอวหยางเฟยพูด

“การต่อสู้ระยะประชิดของโอวหยางและเป่ยกงค่อนข้างแข็งแกร่ง พวกเราสามคนรับผิดชอบการโจมตีระยะประชิด จือฉีกับเจ้าอ้วนชวี พวกเจ้าทั้งสองใช้พลังวิญญาณโจมตีเป็นหลักนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ตอนนี้พวกเราเป็นกลุ่มเดียวกันแล้ว ถ้าหากคิดอยากจะบุกฝ่าออกไปแบบมีชีวิตรอด ก็ต้องพยายามร่วมมือกันจึงจะใช้ได้”

ทุกคนมองดูฝูงหมาป่าที่โอบล้อมพวกเขาเอาไว้แล้วต่างพยักหน้า ถือว่ายอมรับในสิ่งที่ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“จือฉี เจ้าอ้วนชวี พวกเราอยู่ข้างนอก พวกเจ้าอยู่ตรงกลาง รวบรวมพลังวิญญาณออกมาให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด ทางฝั่งพวกเราถูกโจมตี พวกเจ้าสองคนก็อาจมีอันตรายตามไปด้วยได้”” โอวหยางเฟยเอ่ยเตือน

“พวกเจ้าวางใจได้เลย” เจ้าอ้วนชวีให้สัญญา

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีปราดหนึ่งพลางพูดอย่างจริงจังว่า “ก่อนหน้านี้น้อยครั้งนักที่ข้าจะให้ผู้อื่นระวังหลังให้ เพราะนั่นเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง วันนี้พวกเราสามคนยกให้พวกเจ้าช่วยระวังหลังให้ พวกเจ้าก็ต้องคอยเฝ้าระวังแทนพวกเราด้วยล่ะ!”

พวกเว่ยจือฉีทั้งสี่คนได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็อดหัวใจสั่นสะท้านมิได้ เธอพูดได้ไม่ผิดเลย ก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนต่างคนต่างมา แม้กระทั่งยามอยู่ในตระกูลของตัวเองก็ยังไม่มีทางไว้เนื้อเชื่อใจถึงขนาดให้ผู้อื่นระวังหลังให้ ทว่าวันนี้พวกเขากลับฝากความปลอดภัยของตนเอาไว้กับผู้อื่น เพราะไร้ซึ่งทางเลือก และเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจ

“โยวเย่ว์ พวกเจ้าวางใจเถิด พวกเราเป็นพรรคพวกเดียวกัน พวกเราจะเป็นสหายที่พวกเจ้าฝากชีวิตเอาไว้ได้ไปตลอดกาลเลย!” เว่ยจือฉีพูดอย่างเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

“ใช่แล้ว พวกเราจะเป็นสหายที่พวกเจ้าฝากชีวิตเอาไว้ได้ไปตลอดกาล!” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างแน่วแน่

ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี พวกเราเริ่มต้นต่อสู้กันเถิด!”

เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยประสานสายตากันปราดหนึ่ง มองเห็นจิตวิญญาณการต่อสู้อันเข้มข้นในดวงตาของกันและกัน รวมทั้งความร่วมมือร่วมใจที่เกิดขึ้นมาท่ามกลางความเหนื่อยยากอีกด้วย

“บุก!”

โอวหยางเฟยยังคงเป็นคนแรกที่พุ่งไปถึงตรงหน้าฝูงหมาป่า ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังก็ตามมาติดๆ สามคนบวกกับสัตว์อสูรวิเศษสามตน ก่อให้เกิดเป็นวงล้อมวงหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว โอบล้อมเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีเอาไว้ตรงกลาง ให้เวลาพวกเขารวบรวมปราณวิญญาณอย่างเพียงพอ

ส่วนเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีรวบรวมเอาลูกพลังวิญญาณออกมา คอยดูว่าหากใครมีอันตราย หรือว่าระหว่างต่อสู้เกิดสถานการณ์ตึงเครียด ก็จะโยนลูกพลังวิญญาณไปยังทิศทางนั้น หรือบางทีพวกเขาก็โยนลูกพลังวิญญาณเข้าไปท่ามกลางฝูงหมาป่า ทำเอาพวกมันส่งเสียงโอดโอย

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เพราะพรรคพวกบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก หัวหน้าของหมาป่าเปลวอัคคีจึงจำใจพาผู้ใต้บังคับบัญชาของตนวิ่งหนีไปอย่างหดหู่

ฝูงหมาป่าจากไปแล้ว ทุกคนต่างทรุดฮวบ บาดแผลน้อยใหญ่บนร่างกายยังคงมีเลือดไหลซิบ การต่อสู้เมื่อครู่ทำเอาพวกเขาหมดสิ้นเรี่ยวแรง หลังจากที่เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีหมดสิ้นปราณวิญญาณแล้วก็เลือกที่จะสู้กับฝูงหมาป่าตรงๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบขวดยาใบหนึ่งออกมาแล้วเทเม็ดยาเม็ดหนึ่งออกมากินลงไป หลังจากนั้นมอบขวดหยกให้กับเป่ยกงถัง เป่ยกงถังเทออกมาสี่เม็ดให้ทุกคนได้กิน

“ตอนนี้พวกเราไปจากที่นี่กันได้แล้ว ไม่แน่ว่าการเคลื่อนไหวและกลิ่นคาวโลหิตเมื่อครู่อาจไปดึงดูดสัตว์อสูรวิเศษอื่นๆ มาก็เป็นได้” เมื่อเห็นสภาพสิ้นไร้เรี่ยวแรงของทุกคน ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปเก็บซากศพหมาป่าเปลวอัคคีทั้งหมดเข้าไปไว้ภายในแหวนเก็บวัตถุ

……………………

พออ่านตำราเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรจบแล้ว เธอจึงค้นพบว่าอันที่จริงแล้ววิธีการมิได้ยุ่งยากเลย ไม่รู้ว่าสิ่งนี้หายสาบสูญไปได้อย่างไรกัน

ประโยคสุดท้ายของตำราเขียนเอาไว้ว่าระดับของการฝึกสัตว์อสูรวิเศษนี้มีความเชื่อมโยงกับพลังจิต ยิ่งเป็นสัตว์อสูรวิเศษระดับสูง ยิ่งต้องการพลังจิตที่แข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย ในจุดนี้ก็เหมือนกับการหลอมยาวิเศษนั่นเอง

“เฮ้อ ดูท่าทางจะต้องยกระดับพลังจิตให้สูงขึ้นเสียก่อน!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ถอนหายใจ ก่อนหน้านี้รู้สึกเพียงแค่ว่าการฝึกฝนพลังวิญญาณมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าการฝึกฝนวิญญาณนี้ก็มีความสำคัญต่อการฝึกพลังวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน

เธอวางตำราเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรลงแล้วมาตรงหน้าตำราเคล็ดหลอมวิญญาณก่อนจะหยิบตำราลงมา ประกายสีเงินที่อาบอยู่บนเล่มตำราจึงจางหายไป ทำให้เธอมองเห็นรูปลักษณ์ทั้งหมดของตำรา

เธอพลิกเปิดหน้าแรกเบาๆ ประโยคหนึ่งในนั้นทำให้หัวใจของเธอสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

“ระดับสูงสุดของการหลอมวิญญาณ ทำให้วิญญาณดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระจากร่างกายได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ท่องคำพูดนี้แล้วก็นึกถึงวิญญาณว่างเปล่าโปร่งใสของหมัวซาขึ้นมา “เขาคงจะฝึกสิ่งนี้สินะ ดังนั้นวิญญาณของเขาจึงดำรงอยู่บนโลกนี้อย่างอิสระได้ ดูท่าทางเคล็ดหลอมวิญญาณนี่จะสุดยอดมากจริงๆ”

เธออ่านด้านล่างต่อไป ในนั้นพูดถึงระดับต่างๆ ของการหลอมวิญญาณ เริ่มต้นด้วยขั้นเริ่มสัมฤทธิ์ ตามด้วยขั้นจำแลงทิพย์ ถัดมาเป็นขั้นหลอมจินตภาพ และสุดท้ายคือขั้นมหทวี

และระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณนี้ก็แสดงออกผ่านทางพลังจิตนั่นเอง

ขั้นเริ่มสัมฤทธิ์ พลังจิตไปถึงขอบเขตที่แน่ชัดอันหนึ่ง ซึ่งจะสัมผัสรับรู้เรื่องราวโดยรอบในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรได้

ขั้นจำแลงทิพย์ พลังจิตจะรวมตัวกันเป็นรูปร่างจำเพราะนอกร่างกายได้

ขั้นหลอมจินตภาพ พลังจิตรวมตัวกันเป็นรูปร่างที่สอง

ขั้นมหทวี คือขั้นที่วิญญาณดำรงอยู่ได้อย่างอิสระ

แต่ละระดับขั้นล้วนมีช่องว่างระหว่างกันอย่างมหาศาล ทุกการก้าวผ่านระดับขั้นล้วนมีของกำนัลอันใหญ่โตทั้งสิ้น

ต่อจากระดับขั้นคือวิธีการบำเพ็ญวิญญาณ ซือหม่าโยวเย่ว์อ่านดูรอบหนึ่ง ในตอนแรกๆ นั้นค่อนข้างง่าย ใช้เพียงแค่เคล็ดคาถาไม่กี่ประโยคมาใช้ในการหลอมวิญญาณเท่านั้น และหลังจากนั้นก็คือวิธีการยกระดับพลังจิตต่างๆ

“ดูเหมือนว่าการหลอมวิญญาณนี้กับพลังจิตจะสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดจริงๆ แยกขาดจากกันมิได้เลย มิน่าเล่าหมัวซาจึงบอกว่าหลังจากการหลอมวิญญาณแล้วพลังจิตก็สามารถยกระดับขึ้นได้เช่นเดียวกัน”

เธอทอดถอนใจก่อนจะถอนตัวออกมาจากทะเลแห่งความรู้ แล้วฝึกฝนตามเคล็ดคาถาในตำรา

เวลาทะยานผ่านไปอย่างรวดเร็วในระหว่างการบำเพ็ญ ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกเจ้าคำรามน้อยเรียกให้ตื่นขึ้นจากสภาวะการบำเพ็ญนั้นฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว

คิดไม่ถึงว่าตนบำเพ็ญไปนานถึงหนึ่งคืนเต็มๆ อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว นอกจากนี้ยังมีสติแจ่มใส ไม่มีความอิดโรยจากการอดหลับอดนอนตลอดหนึ่งคืนเลยแม้แต่น้อย

“ดูท่าทางหลังจากนี้หากตอนกลางคืนไม่มีเรื่องอะไร ก็สามารถฝึกฝนสิ่งนี้ได้สินะ” เธอลงมาจากเตียงแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเก็บข้าวของภายในกระโจมเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุ หลังจากนั้นก็เก็บกระโจมเข้าไปด้วย

“น้องซือหม่า เจ้าก็ตื่นแล้วหรือ” ชิงอู๋หยาเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เก็บข้าวของจึงเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มมาจากทางฝั่งของตน

“อรุณสวัสดิ์พี่ใหญ่ชิง!” ซือหม่าโยวเย่ว์ผงกศีรษะให้เขาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ หลังจากนั้นจึงไปล้างหน้าล้างตาที่ลำธาร แล้วกลับมาหยิบเอาถ้วยชามหม้อไหออกมาเตรียมอาหารเช้า

ขณะที่เธอทำอาหารเช้า พวกเป่ยกงถังทยอยกันลุกจากเตียง เก็บข้าวของของตนเองแล้วรอกินอาหารเช้า

“น้องเว่ย พวกเราจะเข้าไปในเทือกเขากันแล้วนะ จะต้องจำสิ่งที่ข้าบอกพวกเจ้าเมื่อคืนเอาไว้ให้จงดี อย่าได้ไปยังสถานที่อันตรายเป็นอันขาด” หลังจากพวกชิงอู๋หยาเก็บข้าวของกันเรียบร้อยแล้วเขาก็พูดกับเว่ยจือฉี

“พี่ใหญ่ชิงจะเข้าไปในเทือกเขาแต่เช้าตรู่ขนาดนี้เลยหรือ” เว่ยจือฉีพูดพลางมองกลุ่มทหารรับจ้างที่เตรียมพร้อมกันอย่างเต็มที่แล้ว

“อืม ภารกิจของพวกเราในครั้งนี้ค่อนข้างหนักเลยทีเดียว ทว่าเวลาค่อนข้างกระชั้นชิด ดังนั้นจึงต้องเข้าไปให้เร็วหน่อยน่ะ” ชิงอู๋หยาเอ่ยตอบ

“เช่นนั้นขอให้พวกพี่ใหญ่ชิงทำภารกิจสำเร็จในเร็ววันนะ” เว่ยจือฉีพูด

“ขอบใจน้องเว่ย ไว้พบกันใหม่นะ!”

“ไว้พบกันใหม่”

ชิงอู๋หยาประสานมือคารวะพวกซือหม่าโยวเย่ว์ หลังจากนั้นจึงกลับไปอยู่ท่ามกลางพรรคพวกของตนพลางพูดว่า “พวกเราไปกันเถิด”

เจ้าอ้วนชวีมองพวกชิงอู๋หยาจากไปแล้วจึงเอ่ยว่า “คนกลุ่มทหารรับจ้างชิงซานนี้ใช้ได้เลยทีเดียวนะ”

“ใช้ได้เลยล่ะ ดีกว่าที่เคยพบเจอมาก่อนหน้านี้มากมายนัก”

“กินข้าวกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์วางอาหารลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยเรียกทุกคน

พวกซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ได้รีบเร่งเหมือนกลุ่มทหารรับจ้างชิงซาน พวกเขากินอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้วจึงค่อยมุ่งหน้าเข้าไปภายในเทือกเขา

คราวนี้พวกเขาจะต้องเก็บสะสมเครื่องยาหลายชนิด ทั้งยังต้องการซากสัตว์อสูรวิเศษคนละหนึ่งตนอีกด้วย เป็นภารกิจอันหนักอึ้งเช่นเดียวกัน

ภารกิจเสาะหาเครื่องยานั้นง่ายดายขึ้นมากเมื่อมีซือหม่าโยวเย่ว์ เพราะเธอรู้จักเครื่องยาต่างๆ เป็นอย่างดี รู้ว่าเครื่องยาเหล่านั้นเจริญเติบโตอยู่ในสภาวะแวดล้อมแบบไหน ดังนั้นบริเวณที่ต้องไปเสาะหาจึงตีวงแคบลงเป็นอย่างมาก

ผ่านไปหนึ่งวันแล้วพวกเขาก็เสาะหาเครื่องยาส่วนแรกพบ

“โยวเย่ว์ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จักเครื่องยาเป็นอย่างดีถึงเพียงนี้” เว่ยจือฉีมองดูเครื่องยาที่วางอยู่ในกล่องแล้วร้องอุทานขึ้น

“ใช่แล้ว โยวเย่ว์ ก่อนหน้านี้ทำไมพวกเราจึงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้ารู้จักเครื่องยาดีถึงเพียงนี้” เจ้าอ้วนชวีพูด

“เจ้ามิได้อยู่กับข้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเสียหน่อยนี่ ข้าทำอะไรได้บ้าง เจ้าจะไปรู้ทั้งหมดได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบตามองเจ้าอ้วนชวีปราดหนึ่งโดยมิได้ตอบคำถามของพวกเขาตรงๆ

“ตอนนี้หาหญ้าหัวใจธรณี รวมทั้งหญ้าเปลวเพลิง กับเครื่องยาสี่รสพบแล้ว” โอวหยางเฟยพูด

“ข้ารู้จักหญ้าเปลวเพลิง มันเจริญอยู่ในบริเวณที่เผชิญกับแสงอาทิตย์ แต่บริเวณใกล้ๆ หญ้าเปลวเพลิงนี้ล้วนมีสัตว์อสูรวิเศษที่ค่อนข้างแข็งแกร่งคอยเฝ้ารักษาอยู่ทั้งสิ้น” เป่ยกงถังขมวดคิ้วพูด

“อืม ข้าเสนอให้มาหาเจ้าหญ้าเปลวเพลิงนี่เป็นอย่างสุดท้าย พวกเราไปหาเครื่องยาอื่นๆ ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” เว่ยจือฉีพูด

“เห็นด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า “สัตว์อสูรวิเศษที่บริเวณรอบนอกเทือกเขาผู่สั่วแห่งนี้ระดับขั้นไม่สูงนัก ถ้าหากพบเข้า พวกเราก็ใช้ฝึกฝีมือได้”

“ดี เช่นนั้นพวกเราหากันต่อเถิด” เว่ยจือฉีพูด

“อืม”

พวกเขาออกจากหุบเขา เพียงครู่เดียวคนอีกกลุ่มหนึ่งก็มาถึงยังบริเวณที่พวกเขาเพิ่งมาเมื่อครู่

“พี่ใหญ่ คนกลุ่มนั้นเดินทางกันอย่างไม่มีแบบแผนเลยแม้แต่น้อย พวกเราไม่มีทางวางกับดักได้เลย!” คนผู้หนึ่งในนั้นพูดขึ้น

“ไม่มีทาง ก็ต้องคิดหาทางให้ได้สิ!” ชายเสื้อดำพูด “เขาทำให้น่าหลานหลานถูกขับไล่ออกจากวิทยาลัย ข้าจะต้องชำระแค้นนี้แทนนางให้จงได้”

“พี่ใหญ่ พวกเราไม่อาจลงมือจัดการพวกเขาตรงๆ ได้ เช่นนี้จะทำอย่างไรกันดีเล่า” อีกคนหนึ่งถามขึ้น

ชายเสื้อดำนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่แล้วพูดว่า “พวกเขามิได้บอกว่าจะหาสัตว์อสูรวิเศษเพื่อฝึกฝีมือกันหรอกหรือ พวกเราก็หาคู่ต่อสู้ให้พวกเขาฝึกฝีมือเสียสิ ถ้าหากถูกสัตว์อสูรวิเศษในเทือกเขาสังหาร วิทยาลัยก็ไม่มีทางกล่าวโทษมาถึงพวกเราได้หรอก”

“แต่ว่าพี่ใหญ่ ได้ยินมาว่าระดับขั้นของคนพวกนั้นสูงส่งไม่เบาเลยทีเดียว นอกจากเจ้าคนไร้ค่าซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นั้นแล้ว คนอื่นๆ ก็มิได้ด้อยไปกว่าพวกเราเลย พวกเราจะต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้พวกเขาถูกสัตว์อสูรวิเศษ…”

“เรื่องนี้ข้ามีวิธี พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ใดพอจะมีสัตว์อสูรวิเศษที่อาศัยกันเป็นฝูงอยู่บ้าง” ชายเสื้อดำพูด

“พี่ใหญ่ ข้ารู้! ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินทหารรับจ้างคนหนึ่งพูดถึง”

“เช่นนั้นก็ดี ไป พวกเราไปหาสัตว์อสูรวิเศษให้เจ้าพวกนั้นฝึกฝีมือกันดีกว่า…”

พวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งห้าคนเสาะหากันอยู่ภายในเทือกเขามาตลอดหนึ่งวัน โดยที่วันนี้ไม่ได้อะไรมาเลย แต่ระหว่างกระบวนการเสาะหานั้นได้พบกับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นหกตนหนึ่ง พวกเขาร่วมมือร่วมแรงกันจัดการมันได้อย่างรวดเร็ว แล้วให้ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บมันเอาไว้ สำหรับเหตุผลที่ทำไมจึงให้เธอเก็บไว้นั้นก็เป็นเพราะว่าแหวนเก็บวัตถุของเธอมีขนาดใหญ่ที่สุดนั่นเอง

ในขณะที่พวกเขากำลังพักผ่อนอยู่นั้นเอง ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ว่าอันตรายขุมหนึ่งกำลังโจมตีเข้ามา จึงผุดลุกขึ้นยืนโดยสัญชาตญาณ

“โยวเย่ว์ เป็นอะไรไปหรือ” เจ้าอ้วนชวีเห็นท่าทางกระวนกระวายของซือหม่าโยวเย่ว์จึงเอ่ยถามขึ้น

“มีความเคลื่อนไหวน่ะสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

คนอื่นๆ ยังมิทันได้เอ่ยคำพูด พลันได้ยินเสียงฝีเท้าอันชุลมุนวุ่นวาย จากนั้นหมาป่าเปลวอัคคีฝูงหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคน ก่อนจะวิ่งตรงมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว

“สัตว์…สัตว์อสูรวิเศษมากมายเหลือเกิน…” เจ้าอ้วนชวีเห็นหมาป่าเปลวอัคคีมากมายถึงเพียงนี้แล้วอดที่จะกลืนน้ำลายมิได้

…………………………

ชิงอู๋หยาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้สิ มีบางบริเวณของเทือกเขาผู่สั่วแห่งนี้ที่ค่อนข้างอันตราย บอกพวกเจ้าเอาไว้ พวกเจ้าจะได้ไม่รุกล้ำเข้าไปละกัน”

“พวกเจ้าคุยกันไปก่อนนะ ข้าไปทำอาหารก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นจากม้านั่งพลางเอ่ยขึ้น

ชิงอู๋หยาพูดได้ไม่ผิดเลย ภายในเทือกเขานี้ฟ้าจะมืดค่อนข้างเร็วจริงๆ ดังนั้นจึงต้องกินอาหารเย็นให้เร็วสักหน่อย

ทุกคนต่างรู้ดีว่ารสนิยมด้านอาหารของเธอค่อนข้างประณีต ขอเพียงแค่มีเวลา เธอไม่มีทางกินอาหารแห้ง ดังนั้นทุกคนจึงได้มีลาภปากตามเธอไปด้วย

เธอมาถึงยังพื้นที่ว่างแห่งหนึ่งแล้วหยิบอุปกรณ์ทำอาหารต่างๆ ออกมา ถ้วยชามหม้อไหนานาชนิด ทำเอาคนของกลุ่มทหารรับจ้างชิงซานพากันตกตะลึง

“แค่กๆ ดูท่าทางจะต้องเป็นคนที่มาจากตระกูลใหญ่แน่นอน ออกจากบ้านแล้วยังต้องพกเอาของเหล่านี้มาด้วย” ทหารรับจ้างคนหนึ่งมองดูข้าวของของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วอุทานออกมา

“แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าดูสิ่งที่คนพวกนั้นสวมก็รู้แล้วว่าจะต้องมิใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน”

“แหวนเก็บวัตถุนี่ต้องใหญ่มากเลยทีเดียว!”

“เอาละ เลิกอิจฉาได้แล้ว มาดื่มเหล้าดีกว่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้สนใจความอิจฉาริษยาที่มีต่อตนเลย เธอหยิบผักจำนวนหนึ่งออกมาจากในมณีวิญญาณ แล้วทำอาหารเย็นขึ้นมาด้วยตัวเอง

ชิงอู๋หยาเองก็ตกตะลึงเพราะซือหม่าโยวเย่ว์เช่นเดียวกัน เขาเพิ่งเคยเห็นคนที่พกแม้กระทั่งอุปกรณ์ทำกับข้าวเอาไว้ติดตัว

“พี่ใหญ่ชิงอย่าได้ตกใจไปเลย เขาเป็นคนที่ค่อนข้างจุกจิกเรื่องกินน่ะ ไม่ชอบกินอาหารแห้ง” เว่ยจือฉีพูด “เมื่อครู่ท่านบอกว่าคนที่มายังเทือกเขาผู่สั่วในระยะนี้ค่อนข้างมากอย่างนั้นหรือ”

ชิงอู๋หยาถอนสายตากลับมาจากอุปกรณ์ทำอาหารของซือหม่าโยวเย่ว์พลางพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “มิผิด ข้าเพิ่งจะเคยพบเห็นเมื่อเร็วๆ นี้เองแหละ ตอนที่พวกเรากลุ่มทหารรับจ้างชิงซานอยู่ในเมืองเหยียนก็นับได้ว่าเป็นกลุ่มทหารรับจ้างอันดับต้นๆ เข้าออกเทือกเขาผู่สั่วแห่งนี้อยู่เป็นประจำ ขอเพียงแค่ที่นี่มีความผิดปกติเพียงเล็กน้อย พวกเราก็ดูออกแล้ว ถึงแม้ว่าคนที่มายังเทือกเขาผู่สั่วจะมีค่อนข้างมากอยู่ตลอด แต่ครึ่งเดือนให้หลังมานี้ คนที่มาที่นี่ก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย นอกจากนี้ส่วนมากยังเป็นคนที่มาจากตระกูลใหญ่อีกด้วย”

“หืม เหตุใดจึงมีผู้คนเพิ่มขึ้นมามากมายอย่างฉับพลันได้เล่า” เจ้าอ้วนชวีถามอย่างใคร่รู้

“ตอนแรกพวกเราก็ไม่รู้เช่นกัน ต่อมาเกิดได้ยินคนบางกลุ่มพูดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ คล้ายว่าจะมีของมีค่าอันใดปรากฏขึ้นมากระมัง แล้วยังมีเครื่องยาแปลกๆ อะไรบางอย่างอีกด้วย แต่จะเป็นสิ่งใดแน่นั้นพวกเราก็ไม่รู้ชัดหรอกนะ” ชิงอู๋หยายักไหล่พูด “เพราะมิได้เกี่ยวข้องกับพวกเรามากสักเท่าใดนัก ดังนั้นพวกเราจึงมิได้สนใจสักเท่าไหร่”

“พี่ใหญ่ชิงไม่รู้สึกสนใจในของสิ่งนั้นเลยหรือ” เว่ยจือฉีถาม

“สนใจหรือไม่มิใช่ปัญหาหรอก หากแต่ว่ากันว่าของสิ่งนั้นหากมิได้อยู่ที่ชั้นในก็ต้องอยู่บริเวณใกล้ๆ ชั้นในสุดแล้วล่ะ นั่นมันใช่บริเวณที่พวกเรากล้าเข้าไปเสียที่ไหนกัน! ดังนั้นพวกเราก็เลยแค่ฟังๆ ไปอย่างนั้นเอง” ชิงอู๋หยาพูด “น้องเว่ย พวกเจ้าอย่าได้ถูกชื่อเสียงของสิ่งล้ำค่านั่นล่อลวงเสียล่ะ สิ่งล้ำค่าถึงแม้จะดี แต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่ครอบครองมันด้วยจึงจะใช้ได้”

“ฮ่าๆ เหตุผลนี้พวกเราก็พอเข้าใจได้อยู่หรอก” เว่ยจือฉีหัวเราะ

พื้นที่ชั้นในสุดนั้นเป็นสถานที่ที่สัตว์อสูรทิพย์อาศัยอยู่ ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบพลังยุทธ์ของพวกเขาเหล่านี้กับคนรุ่นราวคราวเดียวกันแล้วจะใช้ได้ แต่เมื่ออยู่ในโลกกว้างก็มิอาจนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือแต่อย่างใดเลย พวกเขาจึงมิได้หาญกล้าไปต่อสู้กับสัตว์อสูรทิพย์

ซือหม่าโยวเย่ว์ผัดกับข้าวไปพลาง ฟังเรื่องสถานที่ที่พวกชิงอู๋หยาบอกให้พวกเขาระมัดระวังไปพลาง พอได้ยินเขาพูดว่าสิ่งล้ำค่า มือก็หยุดชะงัก

สิ่งล้ำค่าเอ๋ย นางชมชอบมันเป็นที่สุด ถ้าหากมีโอกาส อาจจะไปดูคนเดียวก็ได้

เพียงไม่นานก็ทำกับข้าวเต็มโต๊ะเสร็จ กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วหมู่แมกไม้ ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนไม่น้อย

“กับข้าวที่น้องซือหม่าทำช่างหอมหวนเสียจริง” ชิงอู๋หยาได้กลิ่นหอมแล้วก็อดชมประโยคหนึ่งมิได้

“ฮ่าๆ ขอบคุณพี่ใหญ่ชิงมากที่เล่าเรื่องราวของเทือกเขาผู่สั่วให้พวกเราฟังมากมายเช่นนี้ ในเมื่อทุกคนก็สนทนากันมาถึงขนาดนี้แล้ว มาดื่มด้วยกันสักจอกหนึ่งมิดีหรือ” เว่ยจือฉีพูด

“เรื่องนี้… คงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่กระมัง” ชิงอู๋หยาเกรงอกเกรงใจอยู่บ้าง

“ข้าทำกับข้าวไว้มากมายพอดูทีเดียว พี่ใหญ่ชิงมากินด้วยกันเถิดน่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพร้อมรอยยิ้ม

ชิงอู๋หยาผู้นี้เป็นคนใช้ได้เลยทีเดียว เรื่องเหล่านั้นที่พูดมาเมื่อครู่ก็มีประโยชน์กับพวกเขามากพอดู การเชิญเขามาร่วมกินข้าวดื่มสุราก็ไม่เสียหายอะไรเลย

“ไปกันเถิด พี่ใหญ่ชิง กับข้าวที่โยวเย่ว์ทำนั้นอร่อยอย่าบอกใครเลยเชียว ออกไปข้างนอกอยากกินก็ไม่มีให้กินแล้วนะ มา พวกเรามาดื่มกันหลายๆ จอกเลย!” เว่ยจือฉีพูด

“ในเมื่อพูดขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นอู๋หยาก็ขอรบกวนด้วย” ชิงอู๋หยายิ้มพลางประสานมือ

ความประทับใจของเขาต่อพวกเว่ยจือฉีนั้นก็ไม่เลวเช่นกัน ถึงแม้จะมองออกว่าตัวตนของพวกเขาไม่ธรรมดา แต่กลับไม่มีความหยิ่งยโสของคนตระกูลใหญ่เหล่านั้นอยู่เลย

กับข้าวที่ซือหม่าโยวเย่ว์ปรุงทำให้ทุกคนกินดื่มกันอย่างอิ่มหนำ พอกินหมดแล้วชิงอู๋หยาก็ยังรำพึงอยู่ว่านี่คืออาหารอร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยกินมาเลยทีเดียว

กินมื้อค่ำเสร็จฟ้าก็เกือบจะมืดแล้ว ชิงอู๋หยาก็กลับไปทางกลุ่มทหารรับจ้างของตน ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังช่วยกันเก็บถ้วยชามแล้วยกไปล้างที่ลำธารเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

“พรุ่งนี้ก็จะเข้าไปในเทือกเขาแล้ว ทุกคนพักผ่อนให้เร็วหน่อยดีกว่า วันนี้ข้าจะเฝ้ายามเอง” พอทุกคนกลับมาแล้วโอวหยางเฟยก็เอ่ยขึ้น

“ไม่ต้องหรอก เจ้าเองก็ไปนอนพักผ่อนเถอะ ยกเรื่องการเฝ้ายามให้เจ้าคำรามน้อยจัดการก็พอแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูเจ้าคำรามน้อยที่ถือน่องไก่อันหนึ่งเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่

โอวหยางเฟยมองเจ้าคำรามน้อยปราดหนึ่ง เขารู้ถึงความร้ายกาจของมันดีจึงไม่แย่งเฝ้ายามอีก เขาพยักหน้าให้กับทุกคนก่อนจะกลับไปยังกระโจมของตนเอง

“ราตรีสวัสดิ์ทุกคน” เว่ยจือฉีพูดจบก็กลับไปเช่นกัน

“ราตรีสวัสดิ์”

ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปยังกระโจมของตนก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง เจ้าคำรามน้อยถือน่องไก่เหาะเข้ามา

“เจ้าคำรามน้อย คืนนี้เจ้าระมัดระวังหน่อยล่ะ”

“ไม่มีปัญหาหรอก! เจ้านอนอย่างสบายใจได้เลย!” เจ้าคำรามน้อยพูดพลางกัดน่องไก่คำหนึ่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าทว่ากลับมิได้นอนหลับ หากแต่หลับตาแล้วเคลื่อนย้ายพลังจิตไปภายในทะเลแห่งความรู้ ซึ่งที่นั่นมีเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรและเคล็ดหลอมวิญญาณตั้งอยู่กลางอากาศอย่างเงียบเชียบ

พลังจิตเปลี่ยนแปรเป็นมนุษย์ร่างเล็กขนาดย่อส่วนเหินไปถึงตรงหน้าเคล็ดควบคุมสัตว์อสูร ก่อนจะยื่นมือไปหยิบขึ้นมา

เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรมีจำนวนตัวอักษรไม่มากนัก หลักๆ พูดถึงว่าจะฝึกสัตว์อสูรวิเศษได้อย่างไร ทั้งยังมีแนวทางการทำพันธสัญญาแบบต่างๆ ด้วย ดูจากที่พูดในนั้น ซือหม่าโยวเย่ว์จึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วแนวทางการทำพันธสัญญาที่แตกต่างกัน ก็ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันด้วย

โดยทั่วไปแล้วการทำพันธสัญญาแบ่งออกเป็นการทำพันธสัญญาด้วยชีวิต การทำพันธสัญญาวิญญาณและการทำพันธสัญญานายบ่าว

การทำพันธสัญญาด้วยชีวิตนั้นตรงตามชื่อเรียก เป็นการทำพันธสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นร่วมตายกัน หากฝ่ายหนึ่งตายไป อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องตายตามไปด้วย นี่คือแนวทางการทำพันธสัญญาที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด ระหว่างซือหม่าโยวเย่ว์กับไข่ที่ไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามนั้นก็คือการทำพันธสัญญาด้วยชีวิตนี่เอง

การทำพันธสัญญาวิญญาณก็คือแนวทางของการทำพันธสัญญาระหว่างวิญญาณของทั้งสองฝ่าย การทำพันธสัญญาชนิดนี้ถึงแม้ว่าตัวคนจะตายไป ขอเพียงแค่วิญญาณยังคงอยู่ สัตว์อสูรวิเศษก็ไม่มีทางตาย อย่างเช่นการทำพันธสัญญาของเธอกับเจ้าคำรามน้อย

การทำพันธสัญญานายบ่าว คือมนุษย์เป็นเจ้านาย ส่วนสัตว์อสูรวิเศษเป็นข้ารับใช้ การทำพันธสัญญาชนิดนี้ หากสัตว์อสูรวิเศษถึงแก่ความตาย เจ้านายก็ไม่ต้องตายไปด้วย อย่างมากที่สุดก็อาจจะแค่พลังยุทธ์ถดถอยลงบ้างเท่านั้น การทำพันธสัญญาชนิดนี้เป็นแนวทางที่สัตว์อสูรวิเศษมิอาจยอมรับได้มากที่สุด

โดยทั่วไปแล้วการทำพันธสัญญาด้วยชีวิตและการทำพันธสัญญาวิญญาณ ล้วนสามารถทำพันธสัญญาได้เพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น ทำให้ในตอนนั้นหลังจากที่ไข่ฟองนั้นสัมผัสได้ถึงการทำพันธสัญญาวิญญาณระหว่างซือหม่าโยวเย่ว์กับเจ้าคำรามน้อยแล้วจึงได้เลือกการทำพันธสัญญาด้วยชีวิตที่ดีรองลงมา

คนในปัจจุบันนี้รู้จักเพียงแค่การทำพันธสัญญาด้วยชีวิตและการทำพันธสัญญานายบ่าวเท่านั้น ส่วนการทำพันธสัญญาวิญญาณนั้นมีคนล่วงรู้น้อยนัก

นอกจากนี้การทำพันธสัญญายังเกี่ยวพันกับพลังจิตของคนอย่างลึกซึ้ง ยิ่งพลังจิตแข็งแกร่ง สัตว์อสูรวิเศษที่ทำพันธสัญญาได้ก็ยิ่งมาก ปรมาจารย์วิญญาณทั่วๆ ไปอาจทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้เพียงแค่ตนเดียวเท่านั้น ผู้ที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งขึ้นหน่อยจึงจะสามารถทำพันธสัญญากับตนที่สองได้

ส่วนผู้ที่ทำพันธสัญญาถึงสามตนแล้วอย่างซือหม่าโยวเย่ว์ สำหรับผู้ที่มีพลังยุทธ์เท่าเธอนั้นแปลกยิ่งกว่าแปลกเสียอีก

คนกลุ่มหนึ่งออกจากประตูเมือง มุ่งหน้าไปยังเทือกเขาผู่สั่ว ตลอดทางก็เห็นคนจำนวนไม่น้อยเดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกันกับพวกเขา

“เหตุใดจึงมีคนไปมากมายเช่นนี้เล่า” เจ้าอ้วนชวีมองดูผู้คนที่หลั่งไหลกันมาแล้วก็อดถามขึ้นมิได้

“คนเหล่านี้มีบางส่วนที่มาหาประสบการณ์เช่นเดียวกันกับพวกเรา แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นทหารรับจ้างที่มากจากที่ต่างๆ” ก่อนหน้านี้ซือหม่าโยวเย่ว์เคยพบทหารรับจ้างมาบ้างแล้ว แค่เห็นเสื้อผ้าของพวกเขาก็รู้แล้ว

“ทหารรับจ้างจะมายังสถานที่แบบนี้ด้วยหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองคนเหล่านี้ มีจำนวนมากที่มีท่าทางโหดเหี้ยมดุร้าย ดูเหมือนว่าจะเป็นบุคคลชั้นยอดกันทั้งสิ้น

“ใช่แล้ว ทหารรับจ้างบางคนอาจรับภารกิจบางอย่าง อย่างเช่นถ้าต้องการเครื่องยาหรือว่าสัตว์อสูรวิเศษแก้วผลึกมนตราอันใด หรือจะเป็นวัตถุอื่นใดก็ตาม ก็จำเป็นต้องเข้าไปในเทือกเขา” เว่ยจือฉีอธิบาย

“ดังนั้นพวกเขาก็จะเข้าไปในภูเขาเช่นกันหรือ ข้ายังคิดว่าเทือกเขาผู่สั่วอันตรายถึงเพียงนั้น คงไม่มีใครเข้าไปหรอก!” เจ้าอ้วนชวีพูด

“นี่คงแตกต่างจากที่เจ้าคิดเอาไว้มากเลยสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตบบ่าเจ้าอ้วนชวี เติบโตขึ้นมาที่เมืองแห่งนั้นเช่นเดียวกัน ถ้าหากมิใช่ว่าตอนนั้นเธอเคยมาอาศัยอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง ก็คงจะไม่รู้อะไรเลยเช่นเดียวกันกับเจ้าอ้วนชวี

พวกเขาเดินทางกันเป็นเวลากว่าครึ่งวัน เพิ่งเดินถึงเทือกเขาผู่สั่ว เจ้าอ้วนชวีก็ร้องออกมาว่าเดินไม่ไหวแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์มองปราดหนึ่ง นอกจากเธอแล้ว เจ้าอ้วนชวีกับเว่ยจือฉีเหน็ดเหนื่อยจนหอบแฮ่กๆ ส่วนโอวหยางเฟยและเป่ยกงถังก็หมดเรี่ยวหมดแรงเช่นกัน

เธอมองสภาพแวดล้อมรอบทิศปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ตอนนี้ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว มิสู้พวกเราหาสถานที่สักแห่งตั้งที่พัก พักผ่อนกันสักคืนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปในเทือกเขาก็แล้วกัน”

เมื่อได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าอ้วนชวีก็ทรุดนั่งลงกับพื้น มองดูซือหม่าโยวเย่ว์ที่มีสีหน้าผ่อนคลายพลางเอ่ยว่า “โยวเย่ว์ พวกเราเหนื่อยแทบตายกันอยู่แล้ว เหตุใดเจ้าจึงดูไม่เหน็ดเหนื่อยสักนิดเลยเล่า”

“ข้าฝึกปรือร่างกายอยู่เป็นประจำ การสิ้นเปลืองพลังกายพรรค์นี้ไม่มีผลอะไรกับข้าหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่พูด “พวกเจ้าพักผ่อนกันที่นี่ก่อนเถิด ข้าจะไปดูว่าแถวๆ นี้มีพื้นที่ที่กว้างขวางสักหน่อยหรือไม่”

เธอพูดจบแล้วก็จากไป ทิ้งอีกสี่คนให้พักผ่อนอยู่ที่เดิม

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซือหม่าโยวเย่ว์ไปเตร็ดเตร่รอบหนึ่งกลับมาแล้วก็เห็นว่าพวกเจ้าอ้วนชวีพักผ่อนกันเสร็จแล้วจึงเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้าพบสถานที่แห่งหนึ่งตรงโน้นที่เหมาะสำหรับการตั้งที่พัก พวกเราไปกันดีกว่า”

“ดี”

ซือหม่าโยวเย่ว์พาคนอื่นๆ ไปยังสถานที่ที่ตนเห็นเมื่อครู่ แต่คิดไม่ถึงว่าตอนที่ไปจะมีคนชิงตั้งที่พักที่นั่นไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว

ผู้ที่กำลังตั้งที่พักคือทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่ง พอเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามา ชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบสามสิบปีผู้หนึ่งก็ยิ้มให้พวกเขาก่อนเอ่ยว่า “พวกเจ้าก็หมายตาสถานที่แห่งนี้เช่นกันใช่หรือไม่ ที่นี่ก็ใหญ่โตอยู่นะ พวกเรามารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็ได้ ถ้าหากพวกเจ้าไม่รังเกียจก็ตั้งที่พักที่อีกฟากหนึ่งได้เลย”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองคนอื่นๆ ปราดหนึ่งเป็นเชิงถามความเห็นของพวกเขา

“ก็คงต้องเป็นเช่นนี้กระมัง” โอวหยางเฟยพูด “ถึงอย่างไรก็เพียงแค่คืนเดียวเท่านั้นเอง”

เป่ยกงถังไม่พูดอะไรแล้วหยิบเอากระโจมของตนเองออกมาเตรียมตัวจัดแจงที่พัก

“โอวหยางพูดได้ไม่ผิดเลย ถึงอย่างไรก็เพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น เพียงแค่ครู่เดียว” เว่ยจือฉีพูด

เมื่อเห็นว่าทุกคนเห็นด้วยกันหมด ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าอ้วนชวีก็หยิบเอากระโจมของตนเอง

ออกมาเช่นเดียวกันแล้วกางกระโจมตามวิธีการที่ทางร้านบอก หลังจากทำเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงค่อยหยิบเตียงใหญ่หลังหนึ่งออกมาจากภายในแหวนเก็บวัตถุแล้ววางไว้ตรงกลางกระโจม

“โอ้… เจ้าออกจากบ้านก็ยังพกเตียงใหญ่โตเช่นนี้มาด้วยหรือ!” เมื่อเจ้าอ้วนชวีที่จัดการข้าวของของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วเห็นเตียงขนาดใหญ่ของเธอก็ตะลึงงันไปในทันที

ซือหม่าโยวเย่ว์สะดุ้งโหยงเพราะปฏิกิริยาของเจ้าอ้วนชวีจึงถลึงตาใส่เขาที่หนึ่งแล้วพูดว่า “นี่มันมีอะไรให้น่าตกใจเล่า พวกเจ้ามิได้ทำเช่นนี้กันหรอกหรือ”

เจ้าอ้วนชวีเบ้ปากก่อนจะพูดว่า “พวกเราจะไปหาพื้นที่ใหญ่โตเช่นนั้นมาวางเตียงขนาดใหญ่โตถึงเพียงนี้จากไหนกันเล่า!”

“หืม” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจ หรือว่าแหวนเก็บวัตถุของพวกเขามีขนาดเล็กมาก

“แหวนเก็บวัตถุของพวกเราก็ใหญ่พอๆ กับห้องห้องหนึ่งเท่านั้นเอง ถ้าหากวางเตียงขนาดใหญ่เช่นนี้ก็คงไม่ต้องพกของอื่นๆ กันแล้วล่ะ” เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเศร้าสร้อย เป็นคุณชายแห่งจวนแม่ทัพมันดีอย่างนี้นี่เอง แหวนเก็บวัตถุนี้จะต้องใหญ่กว่าของตนหลายเท่าเลยทีเดียว

“เจ้าแหวนเก็บวัตถุนี่มิได้มีขนาดใหญ่เท่าๆ กันหมดหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

เจ้าอ้วนชวีกลอกตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ทีหนึ่งแล้วพูดว่า “แหวนเก็บวัตถุจะมีขนาดใหญ่เท่ากันหมดได้อย่างไรเล่า! แหวนเก็บวัตถุธรรมดาทั่วไปมีขนาดแค่หนึ่งหรือสองลูกบาศก์เท่านั้นเอง อย่างของข้าก็มีขนาดพอๆ กับห้องห้องหนึ่งเท่านั้น ก็นับว่าดีมากแล้ว”

เมื่อได้ฟังคำพูดของเจ้าอ้วนชวี ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ลูบแหวนเก็บวัตถุบนนิ้วมือ นี่คือสิ่งที่ซือหม่าเลี่ยมอบให้หลังจากที่เธอฝึกยุทธ์ได้แล้ว บอกว่าเป็นสิ่งที่ท่านพ่อทิ้งเอาไว้ให้เธอ หลังจากนั้นก็ใช้งานมันมาโดยตลอด ดูเหมือนว่ามันจะมีพื้นที่ขนาดเทียบเคียงได้กับคฤหาสน์หรูหลังหนึ่งเลยทีเดียว เธอไม่กล้าคิดเลยว่าบิดาของเธอทิ้งสิ่งของระดับใดเอาไว้

“เอาล่ะ เก็บท่าทีราวกับภรรยาผู้เศร้าโศกของเจ้าไปเสีย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ในภายหน้าหากมีโอกาส หาอันใหญ่ๆ ให้เจ้าก็ใช้ได้แล้วนี่ พวกเราไปดูกันหน่อยดีกว่าว่าพวกโอวหยางเป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว”

ตอนที่พวกเขาออกไป เว่ยจือฉีและเป่ยกงถัง รวมทั้งโอวหยางเฟยต่างก็นั่งสนทนากันอยู่ตรงกลางพื้นที่ตั้งที่พักแรมแล้ว

ทั่วทุกหนแห่งของพื้นที่ที่พวกเขาเลือกล้วนเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ กิ่งก้านใบอันแน่นทึบรวมตัวกันเป็นแผ่นเดียว ส่วนลำต้นของต้นไม้ด้านล่างนั้นหาได้ยากยิ่ง มองแล้วโปร่งโล่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ทหารรับจ้างเหล่านั้นก็จัดแจงที่พักของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน พวกเขาจับกลุ่มรับประทานมื้อเย็นกันกลุ่มละสองสามคน

“โยวเย่ว์ เจ้าจัดที่พักเรียบร้อยแล้วหรือ” เว่ยจือฉีโบกมือไปทางซือหม่าโยวเย่ว์

“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์มองประเมินทหารรับจ้างเหล่านั้น ชายหนุ่มผู้พูดชักชวนให้มาตั้งที่พักก่อนหน้านี้สัมผัสสายตาของเธอได้จึงหันหน้ามายิ้มให้เธอ จากนั้นก็หันกลับไปสนทนากับกลุ่มของตัวเองต่อ

หลังจากพวกซือหม่าโยวเย่ว์สนทนากันเสร็จแล้วชายหนุ่มผู้นั้นก็ยืดกายลุกขึ้นก่อนจะประสานมือคำนับพวกเขาห้าคน “ข้าคือชิงอู๋หยาแห่งกลุ่มทหารรับจ้างชิงซาน ทุกท่านคงมาที่เทือกเขาผู่สั่วเป็นครั้งแรกกระมัง”

“ใช่แล้ว คุณชายชิงมีธุระอันใดหรือ” เว่ยจือฉีตอบกลับ

“ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูกสินะ” ชิงอู๋หยายิ้มพลางพูดว่า “ข้าเพียงแค่เห็นพวกเจ้าตั้งที่พักแรมกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้วยังไม่เริ่มกินมื้อเย็นกันเลย จึงอยากจะเตือนพวกเจ้าสักหน่อยว่าเนื่องจากในป่าแห่งนี้มีต้นไม้ใหญ่จำนวนค่อนข้างมาก ฟ้ามืดค่อนข้างไว ดังนั้นพวกเจ้าก็ควรจะกินข้าวเย็นกันให้เร็วสักหน่อย  มิฉะนั้นก็จะมืดสนิทเลยนะ”

“เช่นนี้ก็ขอบคุณคุณชายชิงมากที่เตือน” เว่ยจือฉีพูดด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก พวกเราทหารรับจ้างมิได้มีพิธีรีตองอะไรมากมายเช่นนั้น ถ้าหากพวกเจ้าไม่รังเกียจ จะเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ชิงก็ได้นะ คุณชายชิงอันใดกัน ข้าฟังแล้วแปลกพิกล ไม่คุ้นหูเอาเสียเลย” ชิงอู๋หยาพูดพลางเกาท้ายทอย

“หึๆ พี่ใหญ่ชิง ถ้าหากพี่ใหญ่ชิงพอมีเวลาว่างก็มานั่งสนทนากับทุกคนเสียเลยดีกว่าไหมเล่า” เว่ยจือฉีหยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บวัตถุแล้วพูดขึ้น

ชิงอู๋หยามองปราดเดียวก็ดูออกว่าแหวนเก็บวัตถุของเว่ยจือฉีไม่ธรรมดา มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะใช้ได้ เมื่อเห็นว่าเขาถึงกับหยิบเก้าอี้ออกมาแล้วจึงยิ้มพูดว่า “ได้สิ”

“พี่ใหญ่ชิง พวกท่านเคยมาที่เทือกเขาผู่สั่วแล้วใช่หรือไม่” เว่ยจือฉีถาม

“ใช่แล้ว เรียกได้ว่าเทือกเขาผู่สั่วเป็นสถานที่ที่พวกเราทหารรับจ้างมากันบ่อยที่สุดเลยก็ว่าได้” คุณชายชิงเอ่ยตอบ

“เช่นนั้นพวกท่านก็คงจะรู้จักสถานที่แห่งนี้ดีเลยทีเดียวสิ ท่านช่วยเล่าสถานการณ์ของที่นี่ให้พวกเราฟังสักหน่อยได้หรือไม่” เว่ยจือฉีถามพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเว่ยจือฉี เจ้าคนผู้นี้มีรูปโฉมหล่อเหลา รอยยิ้มอบอุ่น ทั้งยังรู้จักพูดจา ชวนให้คนรู้สึกสุภาพสง่างาม เผลอวางตัวใกล้ชิดเขาอย่างไม่รู้ตัว

ความใกล้ชิดเช่นนี้ไม่เหมือนกับความใกล้ชิดที่แผ่ออกมาจากมณีวิญญาณที่ตนทำพันธสัญญาด้วย นี่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างหนึ่ง

………………………

“อาจารย์เฟิง ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเงาร่างของเฟิงจือสิงพลางหยุดฝีเท้าลงแล้วเอ่ยถามขึ้น

ที่นี่คือทางเดินเล็กที่นำไปสู่เรือนพัก ยามปกติก็มีผู้คนเดินผ่านน้อยมากอยู่แล้ว อีกทั้งตอนนี้ยังค่อนข้างเช้าอยู่ บนทางเดินจึงไม่มีคนเลย คิดไม่ถึงว่าเฟิงจือสิงจะมารอเธออยู่ที่นี่ได้

“มารอเจ้าอย่างไรเล่า” เฟิงจือสิงมองซือหม่าโยวเย่ว์ พูดอย่างเรียบเรื่อย

“มีเรื่องอันใดหรือขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองท่าทีราวกับสายลมอ่อนโชยของเฟิงจือสิง หัวใจอันฉุนเฉียวจากการสังหารคนเมื่อครู่นี้จึงสงบลงตามไปด้วย

“เมื่อวานโอวหยางเฟยมาพบข้า บอกว่าวันนี้พวกเจ้าจะออกไปจากวิทยาลัยกันแล้ว” เฟิงจือสิงพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าจะไปกันอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ แต่เมื่อนึกถึงว่าล่าช้ามาหลายวันแล้วเพราะตนเป็นเหตุ พวกโอวหยางเฟยก็ย่อมต้องร้อนใจแน่นอนอยู่แล้ว

“ขอรับ พวกเขาบอกว่าจะออกเดินทางกันเร็วหน่อย” เธอพยักหน้า

“ภารกิจของพวกเจ้าครั้งนี้ยากที่สุด ทั้งยังมีความอันตรายเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย เจ้าต้องระมัดระวังความปลอดภัยของตัวเองด้วย” เฟิงจือสิงพูด

“ข้าจะระวัง ขอบคุณท่านอาจารย์มากที่เป็นห่วง ถ้าหากไม่มีเรื่องใดแล้วข้าขอตัวก่อน พวกเขากำลังรอข้าอยู่” ซือหม่าโยวเย่ว์เกาแก้มพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ไปเถิด” เฟิงจือสิงโบกไม้โบกมือ เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์จากไปแล้วจึงเอ่ยพึมพำว่า “มีกลิ่นคาวเลือดด้วย เจ้าเด็กผู้นี้ทำอะไรลงไปกันหนอ”

“เจ้านาย ท่านวางใจให้นางออกไปทำภารกิจกับคนพวกนั้นหรือ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมากลางอากาศ

“มีอะไรให้ต้องวางใจหรือไม่วางใจกันเล่า นางอยากทำก็ให้นางไปทำสิ ประสบการณ์น่ะเป็นผลดีกับการยกระดับพลังยุทธ์นะ” เฟิงจือสิงพูดแล้วก็ค่อยๆ เดินออกไปจากทางเดินเล็ก

ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับมาถึงเรือนพัก คนอื่นๆ อีกสี่คนก็เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอเพียงแค่ให้เธอกลับมาเท่านั้น

“จือฉี เจ้ามิได้บอกว่าจะรออีกสองวันหรอกหรือ เหตุใดจึงรีบร้อนถึงเพียงนี้เล่า” เมื่อเห็นคนทั้งสี่ที่เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอจึงดึงตัวเว่ยจือฉีมาถาม

เว่ยจือฉีมองโอวหยางเฟยอย่างจนใจปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “เดิมทีคิดว่าเขาได้รับบาดเจ็บ จึงจะให้เขารักษาอาการบาดเจ็บสักสองวันก่อนแล้วค่อยไป แต่เขายังคงยืนกราน พวกเราก็เลยไม่รู้จะพูดอย่างไร แล้วเจ้าเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยหรือยัง”

“ข้าพกข้าวของติดตัวไว้แล้วล่ะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกแหวนเก็บวัตถุบนนิ้วมือพลางพูดอมยิ้ม

“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด” เว่ยจือฉีตบบ่าซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดกับคนอื่นๆ อีกสามคน

แรงกดดันบนร่างของโอวหยางเฟยยังคงต่ำเช่นเดียวกันกับเมื่อวาน เมื่อได้ยินคำพูดของเว่ยจือฉี เขาก็เดินมุ่งหน้าออกไปจากลานบ้านโดยไม่มีแม้แต่เสียงกระแอมสักเสียงเลยด้วยซ้ำ

“ไปกันเถิด” เป่ยกงถังพูดอย่างเรียบเรื่อย จากนั้นก็เดินมุ่งหน้าตามออกไปข้างนอก

ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าอ้วนชวี รวมทั้งเว่ยจือฉีประสานสายตากัน ก่อนจะยักไหล่แล้วติดตามไปด้วย

“ใช่แล้ว จือฉี พวกเจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าที่แท้แล้วภารกิจของพวกเราคือสิ่งใดกันแน่!” จากนั้นพวกเขาก็มาถึงยังสมาคมปรมาจารย์วิญญาณ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงนึกขึ้นมาได้ว่าระยะนี้ตนมัวแต่ยุ่งอยู่กับการฝึกยุทธ์และการหลอมยาจนลืมถามถึงเรื่องเกี่ยวกับภารกิจไปอย่างสิ้นเชิง

เว่ยจือฉีตบหน้าผากทีหนึ่งแล้วพูดอย่างหงุดหงิดอยู่บ้างว่า “ดูสิ ข้าก็ลืมบอกเรื่องภารกิจของพวกเรากับเจ้าไปเสียสนิทเลย ภารกิจของพวกเราในครั้งนี้ก็คือการรวบรวมเครื่องยาจำนวนหนึ่ง”

“เครื่องยาหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ประหลาดใจ หากต้องการเครื่องยา ก็แค่ตรงไปซื้อที่ร้านขายยาก็ใช้ได้แล้วนี่นา เพราะเหตุใดจึงต้องให้พวกเขาไปเสาะหามาด้วยเล่า

“อันที่จริงการเสาะหาเครื่องยานี้เป็นเพียงแค่ภารกิจผิวเผินเท่านั้น” เจ้าอ้วนชวีพูด “วิทยาลัยอยากจะให้อาศัยตอนที่เสาะหาเครื่องยาในการฝึกฝนตนเอง เพราะเครื่องยาที่พวกเราต้องไปหากันนั้นมีแค่ที่เทือกเขาผู่สั่วเพียงที่เดียวเท่านั้น ซึ่งที่นั่นมีอสูรปีศาจอยู่มากมาย ถ้าหากได้พบพวกมันบ้างก็จะช่วยยกระดับจากประสบการณ์ตรงของตัวเองอีกด้วย”

เมื่อได้ยินว่าเทือกเขาผู่สั่ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็สะเทือนอารมณ์อยู่บ้าง ดูเหมือนว่าตนเพิ่งจะกลับมาได้เพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น ก็ต้องกลับไปที่นั่นอีกแล้ว

“ไปกันเถิด พวกเราจะไปที่เมืองใกล้ๆ เทือกเขาผู่สั่วผ่านทางค่ายกลนำส่ง” เมื่อถึงคราวของพวกเขา เว่ยจือฉีก็จ่ายค่าใช้งานสำหรับห้าคน ก่อนจะบอกชื่อเมืองแห่งหนึ่งแก่สาวใช้ผู้นั้น

“เมืองเหยียน ห้าคน” สาวใช้ผู้นั้นพูดพลางหยิบเอาป้ายสัญลักษณ์ห้าอันส่งให้แก่เว่ยจือฉี แล้วเว่ยจือฉีก็เอาป้ายสัญลักษณ์มาแจกจ่ายให้กับทุกคน

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูป้ายสัญลักษณ์ในมือพลางคิดว่าที่นี่ไม่เห็นจำเป็นต้องกรอกข้อมูลอันใดเลย คาดว่าคงเป็นเพราะที่นี่มีผู้คนผ่านไปมามากมายเหลือเกิน การกรอกข้อมูลจึงเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไป

“เมืองเหยียนนี้เป็นเมืองที่ข้าและโอวหยางตัดสินใจเลือกเองแหละ” เว่ยจือฉีเดินไปพลาง พูดอธิบายให้ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังไปพลาง “พวกเราเคยได้ยินมาว่าสัตว์อสูรวิเศษทางตอนเหนือของเทือกเขาผู่สั่วนั้นมีจำนวนค่อนข้างน้อย คราวนี้พวกเราก็เลยจะไปทางด้านเหนือกัน และเมืองเหยียนก็เป็นเมืองใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือ”

เมื่อมาถึงห้องที่ค่ายกลนำส่งตั้งอยู่ พวกเป่ยกงถังก็ส่งป้ายสัญลักษณ์ให้กับคนที่อยู่ด้านข้าง หลังจากนั้นก็ไปยืนอยู่ภายในค่ายกลนำส่งแล้วมองพวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งสามคน

ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงตอนที่ใช้ค่ายกลนำส่งเมื่อคราวก่อนแล้วตนล้มลุกคลุกคลานเสียจนราวกับสุนัข พอเห็นค่ายกลนำส่งอีกครั้ง ดวงตาก็เปล่งประกายวาบ

รอจนทั้งห้าคนขึ้นไปกันครบแล้ว ค่ายกลนำส่งจึงเริ่มทำงาน เพียงไม่นานพวกเขาก็หายลับไปจากห้อง

หลังจากที่พวกเขาเพิ่งไปได้ไม่นาน คนอีกสองกลุ่มก็มาที่สมาคมปรมาจารย์วิญญาณเช่นเดียวกัน ดูจากสิ่งที่พวกเขาสวม ก็เป็นนักเรียนของวิทยาลัยเช่นเดียวกัน

“เมืองเหยียน” ตอนที่คนหนึ่งในนั้นยื่นป้ายสัญลักษณ์ออกไป ก็พูดกับผู้ดูแลสองคำ หลังจากนั้นก็เข้าไปยืนในค่ายกลนำส่ง

“พี่ใหญ่ ท่านว่าพวกเขาจะไปจากเมืองเหยียนถึงเทือกเขาผู่สั่วได้จริงๆ หรือ” คนที่มาถึงค่ายกลนำส่งเป็นคนที่สองถาม

คนที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่มองคนผู้นั้นปราดหนึ่งโดยไม่เอ่ยวาจา คนผู้นั้นจึงยักไหล่ก่อนจะเข้ามายืนอยู่ข้างๆ

ยามพลบค่ำ พวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็มาปรากฏตัวขึ้นที่สมาคมปรมาจารย์วิญญาณแห่งเมืองเหยียน

“พวกเราไปหาโรงเตี๊ยมสักแห่งพักผ่อนกันก่อนเถิด ระหว่างนั้นจะได้ฟังข่าวคราวเกี่ยวกับสถานการณ์ของเทือกเขาผู่สั่วไปพลางๆ ด้วย พวกเจ้าว่าไง” เว่ยจือฉีถาม

“ดีเลย!” เจ้าอ้วนชวีเห็นด้วยก่อนใคร อยู่ในค่ายกลนำส่งเนิ่นนานถึงเพียงนั้น ทำเอาปวดหลังปวดเอวไปหมดแล้ว

“ข้าไม่มีข้อโต้แย้ง” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบ

เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยก็พยักหน้าเช่นกัน ตอนนี้ท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว หากเร่งรีบไปยังเทือกเขาผู่สั่วในตอนนี้ก็เป็นเรื่องค่อนข้างอันตรายเลยทีเดียว

จากนั้นตอนที่ทั้งห้าคนออกจากสมาคมปรมาจารย์วิญญาณ ก็แวะถามสถานที่ตั้งของโรงเตี๊ยมที่ใกล้ที่สุดไปด้วย ก่อนจะไปเปิดห้องพักห้าห้อง หลังจากกินอาหารเย็นแล้วก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน

หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในโรงเตี๊ยมได้ไม่นาน คนจำนวนหนึ่งก็เข้ามาพักด้วยเช่นกัน

ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปที่ห้องพักแล้วนอนแผ่หลาลงบนเตียง

ตอนกินมื้อเย็นเธอเห็นว่าสี่คนที่เหลือล้วนมีสีหน้าจริงจัง เธอรู้ว่าพวกเขากำลังกระวนกระวายเรื่องการเข้าไปยังเทือกเขาในวันพรุ่งนี้ แต่สำหรับเธอที่เคยอาศัยอยู่ในเทือกเขาผู่สั่วมาเป็นเวลานานเช่นนี้กลับมิได้กระวนกระวายแต่อย่างใดเลย

ต่อมา หลังจากล้างเนื้อล้างตัวอย่างง่ายๆ รอบหนึ่งแล้วเธอก็กอดผ้าห่มผล็อยหลับไป

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาลงมารวมตัวกันกินอาหารเช้าที่ชั้นล่าง

“เมื่อคืนข้าได้รู้สถานการณ์ของเทือกเขาผู่สั่วจากเจ้าของโรงเตี๊ยมแล้วนะ” เว่ยจือฉีกินข้าวเช้าไปพลาง พูดกับอีกสี่คนที่เหลือไปพลาง “เทือกเขาผู่สั่วแห่งนี้แบ่งออกเป็นชั้นนอก ชั้นกลาง และชั้นใน…”

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สิ่งที่เว่ยจือฉีพูดหมดแล้ว แต่เมื่อได้ฟังเขาพูดอย่างละเอียดลออเช่นนั้น ก็ตะลึงไปกับความสามารถในการสืบหาข่าวสารของเขา

“ขอเพียงแค่พวกเราไม่ไปที่ชั้นกลางและชั้นใน ก็ไม่มีทางประสบกับอันตรายใหญ่หลวงหรอก” เว่ยจือฉีเอ่ยสรุปในที่สุด

“แต่ถ้าหากพวกเราจำเป็นต้องรวบรวมเครื่องยาที่มิได้อยู่ที่ชั้นนอกเล่า ก็คงได้แต่เสี่ยงอันตรายเข้าไปลองดูที่ชั้นกลางน่ะสิ” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ชั้นกลางอันตรายเกินไป หากหลีกเลี่ยงไม่ไปได้ ก็พยายามอย่าไปเลยดีกว่า” เว่ยจือฉีพูด

“ไปกันเถิด ข้าก็เพิ่งเคยมาที่เทือกเขาผู่สั่วนี่เป็นครั้งแรก แทบจะอดใจรอดูว่ามันหน้าตาเป็นเช่นไรไม่ไหวอยู่แล้ว”

………………

ก่อนหน้านี้คนที่ติดตามอยู่ด้านหลังซือหม่าโยวเย่ว์ยังสงสัยอยู่ว่าเธอเข้ามาทำอะไรที่ตรอกแห่งนี้ แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของเธอแล้วจึงรู้ว่าเธอจงใจนำทางพวกเขามาที่นี่

“คิดไม่ถึงว่าคนไร้ค่าอย่างเจ้าจะพบตัวพวกเราได้ด้วย” คนชุดดำคนหนึ่งออกมาจากด้านหลังเครื่องกำบังแล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเยียบเย็น

อีกคนหนึ่งออกมาจากอีกฟากหนึ่งของตรอก กักตัวซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้ภายในตรอก

ซือหม่าโยวเย่ว์มองคนที่เพิ่งส่งเสียงเมื่อครู่แล้วจึงเอ่ยว่า “น่าหลานฉี สุนัขอย่างเจ้ายังมีหน้าคิดจะมาเล่นสะกดรอยตามผู้อื่นเขาอีกหรือ อย่าเล่นตลกไปหน่อยเลยน่า!”

“คนไร้ค่าอย่างเจ้า เงาหัวจะขาดอยู่แล้วยังมีหน้ามาตีฝีปากอีก!” น่าหลานฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์ นัยน์ตาเผยแววอาฆาตอย่างไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย “เจ้าทำให้พี่สาวข้าต้องถูกกักบริเวณตั้งเดือนหนึ่ง วันนี้ข้าจะต้องแก้แค้นแทนนางให้ได้!”

“คิดสังหารข้าอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์คุ้นเคยกับความอาฆาตเป็นอย่างดีที่สุด จึงหัวเราะเยียบเย็นเสียงหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าสังหารข้าได้หรือ”

“ฮ่าๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าเบื้องหลังเจ้ามีคนคุ้มกันที่เป็นปรมาจารย์วิญญาณระดับเดียวกันกับข้าอยู่ ข้าเองก็เป็นถึงผู้ฝึกวิญญาณขั้นแปด จะมิอาจจัดการคนไร้ค่าที่ทำไม่ได้แม้แต่การรับสัมผัสพลังวิญญาณอย่างเจ้าเลยเชียวหรือ” น่าหลานฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสายตาที่ราวกับมองคนโง่งม “คราวก่อนมิได้ตีเจ้าจนตาย วันนี้ข้าจะต้องส่งเจ้าไปพบท่านพญายมให้จงได้ การได้เห็นเจ้ากระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้ามันช่างเสียสายตาจริงๆ”

“อืม เจ้าพูดได้ไม่ผิดเลย การเห็นเจ้ากระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้ามันช่างเสียสายตาออกจะตายไป ในเมื่อพวกเรามีจุดประสงค์เดียวกัน เช่นนั้นก็อย่ามัวเปลืองน้ำลายกันอยู่เลย ลงมือเสียทีเถิด!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็หันหลังออกวิ่ง

“คิดจะวิ่งหนีหรือ สกัดนางเอาไว้!” น่าหลานฉีเห็นซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งก็คิดว่าเธออยากจะหนี จึงให้คนที่ขวางอยู่อีกฟากหนึ่งของตรอกปิดทางหนีเธอเอาไว้

คนคุ้มกันผู้นั้นเห็นซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งมาด้วยความรวดเร็วจึงสะดุ้งคราหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าคนไร้ค่าผู้นี้จะวิ่งจากกลางตรอกมาถึงตรงหน้าตนได้ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ

ขณะที่เขากำลังฟังคำสั่งของน่าหลานฉี ก็เริ่มต้นรวบรวมปราณวิญญาณไปด้วย ตอนที่กำลังประหลาดใจอยู่นั้นก็ไม่ลืมที่จะโยนลูกพลังปราณวิญญาณเข้าใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ด้วย

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นลูกพลังวิญญาณที่พุ่งเข้ามาแล้วร่างกายก็ขยับไหว เธอวิ่งตามแนวกำแพงมาหลายก้าวใหญ่ หลบเลี่ยงการโจมตีของลูกพลังวิญญาณไปได้

“ปึง…”

ลูกพลังวิญญาณระเบิดออกบนผิวดิน ฝุ่นควันตลบไปรอบทิศ

ขณะที่คนคุ้มกันผู้นั้นคิดว่าตนทำสำเร็จแล้วนั้นเอง เงาร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ก็วิ่งออกมาจากบนกำแพง ในมือถือกริชเล่มหนึ่ง หลบเลี่ยงมาถึงตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้มร้ายกาจ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเขา เธอตวัดกริชตรงไปที่ลำคอ หลังจากนั้นก็ถอยหลังออกมา

ตอนที่คนคุ้มกันผู้นั้นเห็นรอยยิ้มนั้นของซือหม่าโยวเย่ว์ เขาเกิดความหนาวเหน็บขึ้นมาในใจขุมหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าตนยังมิทันได้ตอบสนองก็รู้สึกชาที่ลำคอ จากนั้นก็มองเห็นเลือดของตัวเองพุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอ

“โครม…”

ร่างกายของเขาล้มเอนไปด้านหลัง จนสิ้นลมก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคนไร้ค่าที่ร่ำลือกันผู้นี้สามารถหลบหลีกการโจมตีของตนไปได้อย่างไร และเพราะเหตุใดจึงรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้ แถมมีไอสังหารอันเข้มข้นอีก เหตุใดจึงมาปรากฏอยู่ในตัวของคนไร้ค่าที่ถูกฟูมฟักเลี้ยงดูมาอย่างสูงศักดิ์ผู้นี้ได้เล่า

น่าหลานฉีออกมานอกกลุ่มฝุ่นควัน รอจนฝุ่นควันจางลงแล้วจึงค่อยไปดูซากศพของซือหม่าโยวเย่ว์ แต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ได้เห็นกลับเป็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่ยืนประจันหน้ากับตนอย่างไร้อาการบาดเจ็บใดๆ แม้แต่น้อย และคนคุ้มกันของตนก็นอนไร้วิญญาณอยู่ด้านหลังเธอ

“เจ้าไม่ตายหรือนี่!” เขาอุทานออกมาอย่างตกใจ

การโจมตีของคนคุ้มกันของตนเมื่อครู่นี้ ต่อให้เป็นตัวเขาเอง หากไม่ตายก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไม่มีแม้แต่อาการบาดเจ็บเลยด้วยซ้ำ นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!

ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มอย่างร้ายกาจ “เจ้ายังไม่ตายเลย แล้วข้าจะตายได้อย่างไรเล่า”

“เฮอะ ถึงแม้เมื่อครู่เจ้าจะโชคดีหลบได้พ้น แต่ตอนนี้เจ้าจะไม่โชคดีเช่นนั้นอีกแล้วล่ะ!” น่าหลานฉีพูดจบแล้วก็เริ่มต้นรวบรวมปราณวิญญาณภายในร่างกาย

“ความจริงแล้วเดิมทีข้ามิได้คิดจะเอาชีวิตเจ้าอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้หรอกนะ แต่เจ้ารนหาที่เอง ข้าจะให้เจ้าเสียความตั้งใจได้เช่นไร” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางเริ่มต้นรวบรวมปราณวิญญาณภายในร่างกาย

น่าหลานฉีมองการกระทำของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ “เจ้าก็เป็นปรมาจารย์วิญญาณเช่นกันหรือ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มไม่เอ่ยวาจา สำหรับศัตรูที่หมายเอาชีวิตตนหลายครั้งหลายครานั้นแต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่เคยใจอ่อนอยู่แล้ว

ณ ตระกูลน่าหลาน

น่าหลานหลานอยู่ภายในห้องของตนเอง ในใจรู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง คล้ายกับว่ามีเรื่องบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น

“หรือน้องชายจะไปหาเรื่องซือหม่าโยวเย่ว์จริงๆ เสียแล้ว” น่าหลานหลานพูดพึมพำกับตนเอง

ในตอนเช้าน่าหลานฉีวิ่งมาบอกว่าเมื่อคืนซือหม่าโยวเย่ว์กลับบ้านมาแล้ว วันนี้กำลังจะกลับไปที่วิทยาลัยเขาจึงคิดจะพาคนไปสังหารเขาระหว่างทาง

เดิมทีนางไม่เห็นด้วยเลย แต่น่าหลานฉียังคงยืนกรานและพาคนคุ้มกันออกไปในท้ายที่สุด

ตั้งแต่น่าหลานฉีออกไปเธอก็เริ่มกระวนกระวายใจ เป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็เป็นเพียงแค่คนไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น ด้วยพลังยุทธ์ของน่าหลานฉีและคนคุ้มกันแล้ว การจัดการกับนางก็เป็นเพียงเรื่องง่ายราวกับกระดิกนิ้วเท่านั้น เมื่อคิดเช่นนี้แล้วหัวใจของตนจึงค่อยสงบลงมา

“ซือหม่าโยวเย่ว์ มันก็น่าเสียใจอยู่บ้างที่มิอาจปลิดชีวิตเจ้าด้วยมือตัวเอง แต่ตายด้วยน้ำมือของน้องชายข้าก็เหมือนกันนั่นแหละ!” เมื่อนึกถึงว่าตนถูกไล่ออกจากวิทยาลัย น่าหลานหลานก็กำหมัดแน่น

ภายในตรอก ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงข้างกายน่าหลานฉี มองดูเขาถูกเปลวเพลิงปราณวิญญาณของตนเผาไหม้จนหน้าตาดูไม่ได้ ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตกใจ เธอเตะเขาทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ตกใจถึงเพียงนี้เพราะอะไรกัน เพราะว่าข้าฝึกยุทธ์ได้ หรือเพราะคิดไม่ถึงว่าตนจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วเช่นนี้กันเล่า”

น่าหลานฉีกะพริบตา พูดไม่ออกเลยแม้แต่ประโยคเดียว

เขาคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เพียงแค่ฝึกยุทธ์ได้เท่านั้น แต่ระดับขั้นยังสูงกว่าตนเสียอีก ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้ปราณวิญญาณจึงไม่มีดาวเดือนอันเป็นสัญลักษณ์ระดับขั้นปรากฏขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้า แต่เขากลับสัมผัสได้ว่าอย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับขั้นปรมาจารย์วิญญาณแล้ว

เมื่อเห็นแววอาฆาตในดวงตาของซือหม่าโยวเย่ว์ ในใจของเขาก็รู้สึกสำนึกเสียใจขึ้นมาในทันที ถ้าหากวันนี้ตนมิได้พาคนมาสังหารเขา หรือตนมิได้อวดเบ่ง พาคนมาให้มากอีกสักหน่อย ก็คงไม่ต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้หรอก

“แต่ไหนแต่ไรคนอย่างข้าก็พูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว ในเมื่อพูดไว้แล้วว่าวันนี้จะเอาชีวิตเจ้า ก็ต้องทำตามที่พูดเอาไว้ให้ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอากริชที่เป็นหลิงหลงแปลงกายมาแล้วเอ่ยว่า “ชีวิตนี้ของเจ้าช่างอำมหิตนัก น่าเสียดายที่พลังยุทธ์ไม่เพียงพอ ภาวนาว่าชาติหน้าอย่าได้พบเจอข้าอีกเลย”

พูดจบแล้วเธอก็แทงกริชในมือเข้าสู่หัวใจของน่าหลานฉี จบชีวิตของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ

เพื่อไม่ให้การค้นพบศพของน่าหลานฉีนำเรื่องยุ่งยากมาให้ เธอจึงนำศพของน่าหลานฉีและคนคุ้มกันเก็บเข้าไปไว้ในมณีวิญญาณ ยกให้เจ้าวิญญาณน้อยจัดการ

เจ้าวิญญาณน้อยเห็นศพที่ซือหม่าโยวเย่ว์โยนเข้ามาแล้วปรบมือสองสามครั้ง ซากศพทั้งสองก็กลายเป็นฝุ่นควัน จางหายไปกลางอากาศ

เมื่อจัดการเรื่องราวทางนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ค่อยๆ เดินออกจากตรอกอย่างช้าๆ แล้วเดินมุ่งหน้าไปยังวิทยาลัย

หลังจากนั้นเงาร่างสองสายก็ปรากฏตัวขึ้นภายในตรอก เมื่อมองเห็นรอยเลือดที่เหลืออยู่บนพื้นแล้วก็ประสานสายตากันแวบหนึ่ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความพรั่นพรึงอย่างมิอาจปิดบังได้

“คุณชายห้าถึงขนาดสังหารอีกฝ่ายได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าพลังยุทธ์จะมิได้อ่อนด้อยเลย! ข้าจะไปติดตามคุณชายห้าต่อ เจ้ากลับไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ให้ท่านแม่ทัพทราบเสีย”

“ได้…”

พูดจบแล้วทั้งสองคนก็แยกกันไปคนละทาง

ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงวิทยาลัย ยังมิทันกลับไปถึงเรือนพักก็พบกับคนที่มารออยู่ที่ทางเดินเล็กอันเงียบเชียบอยู่ก่อนแล้ว

……………………

ซือหม่าโยวเย่ว์หาเครื่องยาสำหรับหลอมยาผนึกโลหิตมาหลายส่วนแล้วทำการกลั่นเครื่องยาทุกชนิดออกมาภายใต้การสังเกตการณ์ของหมัวซา

หมัวซามองดูความเคลื่อนไหวในการกลั่นเพื่อสกัดเครื่องยาของเธอแล้วนัยน์ตาก็เผยแววยอมรับออกมา

ระยะเวลาในการหลอมยาตามลำพังของเธอไม่นานเลย แต่การเคลื่อนไหวกลับดูช่ำชองยิ่งนัก ดูท่าทางเธอไม่เพียงแต่จะมีพรสวรรค์ในการหลอมยาเท่านั้น แต่ยังมีความมุมานะอุตสาหะอีกด้วย

หลังจากทำการกลั่นเครื่องยาเรียบร้อยแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็มองหมัวซาที่อยู่ข้างๆ

“ใส่เครื่องยาเข้าไปในเตาหลอมยาตามลำดับ ข้าจะเตือนเรื่องที่ควรระวังในทุกขั้นตอนกับเจ้าเอง” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์สูดหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่งก่อนจะใส่เครื่องยาที่ทำการกลั่นสกัดเรียบร้อยแล้วเข้าไปภายในเตาหลอมยาตามลำดับ เมื่อใดที่ควรใส่เครื่องยาชนิดต่อไป เมื่อใดที่ควรควบคุมความร้อนของไฟ หมัวซาก็คอยส่งเสียงบอกในเวลาที่สมควรทั้งสิ้น

ด้วยการชี้แนะของหมัวซา ครึ่งชั่วโมงต่อมา ยาวิเศษที่แผ่กำจายกลิ่นหอมของยาจางๆ เม็ดหนึ่งก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว

“เอาล่ะ ดับไฟได้” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์ลดไฟที่ด้านล่างเตาหลอมยาลงพลางแอบทอดถอนใจว่าถ้าหากมีเปลวเพลิงเป็นของตนเอง เธอคงไม่ต้องยุ่งยากกับการลดเปลวเพลิงลงถึงขนาดนี้หรอก

เธอเปิดเตาหลอมยาออกแล้วหยิบเอายาวิเศษข้างในออกมา ถึงแม้ว่ารูปทรงออกจะอัปลักษณ์อยู่บ้าง แต่นี่คือยาวิเศษที่เธอหลอมสำเร็จเป็นครั้งแรก พอคิดดูแล้วมันช่างน่าตื่นเต้นนัก

แต่หมัวซากลับมิใคร่จะพึงพอใจกับผลสำเร็จของเธอสักเท่าใดนัก เขาพูดว่า “ข้าจะหลอมยาวิเศษรอบหนึ่ง เจ้าต้องคอยดูอยู่ข้างๆ ให้ละเอียดๆ ล่ะ”

“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าหมัวซากำลังดูแคลนผลสำเร็จของตนอยู่ แต่มันมิได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเธอเลย

เธอหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาแล้วใส่ยาวิเศษเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นก็ถอยออกมาข้างๆ คอยดูว่าหมัวซาทำอย่างไร เมื่อเห็นเขายืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงหน้าเครื่องยาจึงกดคางลงพูดพึมพำว่า “ไม่รู้เลยว่าร่างวิญญาณนี้จะหลอมยาวิเศษได้อย่างไร”

“ข้าจะพยายามชะลอการเคลื่อนไหวของข้าให้ช้าที่สุด เจ้าต้องคอยดูให้ละเอียด” หมัวซาพูดจบแล้ว ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง เปลวเพลิงสีดำกองหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในอุ้งมือของเขา เขาโบกมือตามใจชอบคราหนึ่งแล้วเปลวเพลิงก็วิ่งเข้าไปที่ด้านล่างของเตาหลอมยา รอจนเตาหลอมยาร้อนแล้วจึงใส่เครื่องยาแต่ละอย่างเข้าไปทำการกลั่น

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกถึงอุณหภูมิอันน่าหวาดหวั่นในขณะที่เปลวเพลิงสีดำปรากฏขึ้น ถ้าหากมิใช่เพราะวิญญาณของเธอค่อนข้างไวต่อสัมผัส ก็คงยากที่จะค้นพบได้

เธอนึกอยากถามหมัวซาว่านี่คือเปลวเพลิงอันใด ทว่าพอเห็นเขาเอาแต่หลอมยาวิเศษเพียงอย่างเดียวจึงกลืนข้อสงสัยนั้นกลับลงไปแล้วศึกษาดูการเคลื่อนไหวของเขาอย่างตั้งใจ

ถึงแม้ว่าหมัวซาจะพยายามบังคับการเคลื่อนไหวของตนให้ช้าลงแล้ว แต่ก็ยังหลอมยาวิเศษเสร็จโดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเธออยู่ดี

เขาเก็บเปลวไฟลง หลังจากนั้นจึงหยิบเอายาวิเศษออกมาให้ซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์รีบก้าวเข้าไปแล้วเปิดฝาออกอย่างอดใจรอไม่ไหว ยาวิเศษที่ปรากฏอยู่ข้างในนั้นมีรูปร่างกลมอย่างสมบูรณ์แบบ ส่งกลิ่นยาโชยเตะจมูก แค่มองก็เห็นแล้วว่าดีกว่ายาวิเศษที่เธอหลอมไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ลักษณะเช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นยาวิเศษขั้นหนึ่งระดับสูง

“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าไปตกตะกอนสิ่งที่ข้าบอกเจ้าสักหน่อยก่อน ไปลองขัดเกลาด้วยตัวเองดูก็แล้วกัน” หมัวซาพูดจบแล้วก็กลับเข้าไปในศิลาวิญญาณ โดยที่ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่ทันได้ถามถึงเปลวเพลิงสีดำของเขาเลย

“ไปเร็วจริงๆ เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปากพลางคิดว่าไว้ค่อยถามคราวหน้าก็ได้ เธอนั่งลงบนม้านั่งแล้วหลับตาลง กระบวนการหลอมยาของหมัวซาเมื่อครู่…ฉายวาบขึ้นตรงหน้าเธอ

หนึ่งวันให้หลัง เจ้าวิญญาณน้อยได้กลิ่นหอมของยาอันเข้มข้นขุมหนึ่ง ทำเอาสองตาเปล่งประกาย เพียงครู่เดียวก็มาปรากฏตัวที่ห้องหลอมยา

“เจ้านาย หลอมสำเร็จแล้วหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บยาวิเศษที่เพิ่งหลอมเสร็จลงไปในขวดหยก ละเลยท่าทางกระหายอยากของเจ้าวิญญาณน้อยไปแล้วพูดว่า “อืม หลอมเสร็จแล้วล่ะ”

“ฮ่าๆ ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าเจ้าจะต้องสำเร็จเป็นนักหลอมยาได้แน่!” เจ้าวิญญาณน้อยหัวเราะเสียงดังพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยท่าทีราวกับมองทารกน้อยอยู่

ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นขวดหยกให้ถึงมือเจ้าวิญญาณน้อยพลางเอ่ยว่า “จัดการเลย”

หลังจากนั้นเธอก็กะพริบร่างออกมาจากมณีวิญญาณ

เจ้าวิญญาณน้อยมองดูความระเกะระกะทั่วทั้งห้องหลอมยาแล้วจึงโบกมือน้อยๆ คราหนึ่ง ภายในห้องก็กลับมาเป็นระเบียบเรียบร้อยตามเดิม จากนั้นเขาก็หยิบขวดหยกก่อนจะหายตัวไปด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

ภายในห้อง ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ไม่นานก็ลืมตาทั้งสองขึ้นแล้วกระอักเอาสิ่งปฏิกูลออกมาคำหนึ่ง ความเหนื่อยล้าที่เกิดจากการหลอมยาก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง

“เย่ว์เย่ว์ หลายวันมานี้ที่เจ้าปลีกวิเวกไป พวกเจ้าอ้วนชวีมาหาเจ้าหลายครั้งเลยนะ” เจ้าคำรามน้อยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ตื่นขึ้นมาแล้วจึงเอนกายลงบนโต๊ะพลางเอ่ยขึ้น

“มีเรื่องอันใดหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ลงมาจากเตียง

“ไม่รู้สิ พวกเขาเพียงแค่เขย่าประตูอยู่หลายครั้ง แล้วคงคิดเอาว่าเจ้ากำลังฝึกยุทธ์อยู่จึงมิได้บุกเข้ามาน่ะ” ขาอันสั้นป้อมทั้งสี่ของเจ้าคำรามน้อยขยับไหวอย่างสุดแรงเกิด หมายจะพลิกกลับมา แต่ลองดูอยู่หลายครั้งก็ล้มเหลวตลอด

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้ามาแล้วก้มศีรษะลงมองแวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมาพลิกตัวมันแล้วเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “เจ้าควรลดความอ้วนได้แล้วนะ”

พูดจบเธอก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป

เจ้าคำรามน้อยปีนป่ายอยู่บนโต๊ะมองเงาหลังของซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยน้ำตานองหน้าพลางคร่ำครวญอยู่ในใจว่า นั่นก็เป็นเพราะก่อนหน้านี้เจ้าขุนข้าจนอ้วน แล้วตอนนี้กลับมาหาว่าข้าอ้วนอีก!

ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวออกนอกประตูห้อง ก็เห็นโอวหยางเฟยที่เดินเข้ามาจากข้างนอกพอดี กลิ่นเลือดจางๆ สายหนึ่งโชยมาจากบนร่างเขา

“เจ้าได้รับบาดเจ็บมาอย่างนั้นหรือ”

โอวหยางเฟยมองเธอโดยไม่พูดอะไรเลยแล้วตรงกลับไปยังห้องของตนเอง

ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูกตัวเอง วันนี้แรงกดดันของเจ้าคนผู้นี้ต่ำกว่าที่เคยเป็นมา หรือเป็นเพราะว่าถูกคนโจมตีมากันนะ

“โยวเย่ว์ เจ้าออกจากการปลีกวิเวกแล้วหรือ” เว่ยจือฉีออกมาจากห้องของตัวเองแล้วอมยิ้มมองซือหม่าโยวเย่ว์

“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า “เจ้าคำรามน้อยบอกว่าช่วงก่อนหน้านี้พวกเจ้ามาหาข้าอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับภารกิจน่ะ เดิมทีอยากจะมาหาเจ้าเพื่อหารือกันสักหน่อย แต่เห็นในห้องเจ้าไม่มีความเคลื่อนไหวก็เลยไม่อยากรบกวนเจ้า” เว่ยจือฉีพูด

“ทำไมหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“เพราะภารกิจของพวกเราในครั้งนี้ค่อนข้างยาก ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจจะออกเดินทางกันเร็วหน่อย และตอนนี้ชั้นเรียนก็หยุดลงพอดีด้วย คิดกันว่ารอให้เจ้าออกมาแล้วจะเริ่มเดินทางกันเลย” เว่ยจือฉีพูดอย่างขอโทษขอโพยอยู่บ้างความจริงแล้วเป็นกิจกรรมกลุ่ม แต่พวกเขากลับตัดสินใจไปเรียบร้อยโดยไม่รอให้ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมา

“เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางของเว่ยจือฉีจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะถ่วงเวลาการผจญภัยของทุกคนสินะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าขอไปจัดการอะไรให้เรียบร้อยก่อน จะกลับไปบอกพวกท่านปู่สักหน่อยว่าจะออกตัวแล้ว”

“เจ้าไม่ต้องรีบร้อนหรอก” เว่ยจือฉีพูด “ดูท่าทางของโอวหยางแล้วพวกเราคงมิได้ไปกันในวันสองวันนี้หรอก เจ้าค่อยๆ เตรียมตัวไปก็ได้นะ”

“ได้ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนละนะ พรุ่งนี้จึงจะมา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ได้เลย” เว่ยจือฉีพยักหน้า เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ปิดประตูจากไปแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ในทันใด จึงเรียกเพื่อรั้งตัวเธอเอาไว้ “ใช่แล้ว ในช่วงเวลาที่เจ้าปลีกวิเวกนี้ เหอชิวจือถูกคนพบเห็นเป็นศพอยู่ในเมือง ซึ่งศัตรูลงมือได้อย่างสะอาดเรียบร้อย คงจะเป็นฝีมือของตระกูลน่าหลานนั่นแหละ”

ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ตกใจแต่อย่างใดเมื่อได้ยินข่าวการตายของเหอชิวจือ เธอรู้อยู่แล้วว่าตระกูลน่าหลานย่อมไม่มีทางปล่อยนางไปอยู่แล้ว

เธอโบกไม้โบกมือไปทางเว่ยจือฉีก่อนจะหมุนกายจากไป

คนที่คิดจะทำร้ายเธอก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจตายมาก่อนแล้วสิ

พอกลับถึงจวนแม่ทัพ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไปหาซือหม่าเลี่ยแล้วบอกเขาว่าจะไปจากที่นี่เพื่อออกปฏิบัติภารกิจสักระยะหนึ่ง ในตอนแรกซือหม่าเลี่ยไม่เห็นด้วย แต่ก็มิอาจทานทนต่อการรบเร้าทุกวิถีทางของเธอได้ จึงได้รับปากไปอย่างกระอักกระอ่วน

พอเขาเห็นเธอจากไปแล้วก็เรียกตัวพ่อบ้านมาก่อนจะพูดว่า “คุณชายห้าจะออกไปแล้ว เจ้าส่งคนไปคอยอารักขาเขาด้วยล่ะ”

“ขอรับนายท่าน” พ่อบ้านรับคำสั่งแล้วจึงออกไปจัดการเรื่องกำลังคน

ซือหม่าโยวเย่ว์ค้างที่บ้านคืนหนึ่ง เช้าวันต่อมาก็กลับมาที่วิทยาลัย หลังจากผ่านถนนใหญ่มาหลายสายแล้วเธอก็เข้ามาในตรอกเล็กๆ เส้นหนึ่ง

“ไหนๆ ก็มาแล้ว ยังมัวหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ทำไมกันเล่า”

…………………

ซือหม่าโยวเย่ว์สะดุ้งอย่างแรงเพราะคำพูดของหมัวซา เขามิใช่คนของเผ่ามาร แล้วกลายเป็นรูปลักษณ์เช่นในตอนนี้ได้อย่างไรกัน

“เช่นนั้นท่านกลายเป็นเผ่ามารได้อย่างไรหรือ” เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของหมัวซา เธอก็ยังระงับความใคร่รู้ในใจเอาไว้ไม่ได้เลย

หมัวซารู้สึกสะเทือนใจอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้นแล้วเก็บงำสีหน้าอารมณ์ของตนลงไปอย่างรวดเร็วก่อนจะเอ่ยตอบว่า “บิดาของข้าเป็นมนุษย์ ส่วนมารดาเป็นเผ่ามาร จะว่าไปแล้วในร่างกายข้าก็มีสายเลือดเผ่ามารไหลเวียนอยู่”

“ดังนั้นท่านจึงได้เป็นร่างมารสว่าง” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าอย่างกระจ่างแจ้ง

ถ้าหากบิดามารดาของเขาเป็นมนุษย์ เช่นนั้นในร่างกายเขาก็ไม่มีทางมีไอพลังมืดมิดอยู่ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของเธอก็บีบรัดแน่น ถ้าหากพูดเช่นนี้ บิดามารดาของเธอก็ต้องมีฝ่ายหนึ่งที่ไม่ใช่มนุษย์เหมือนกันน่ะสิ!

“สถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้คล้ายๆ กันกับของข้าก่อนหน้านี้เลย ตอนนี้ผนึกถูกคลายออก สำหรับเจ้าแล้วก็มิได้มีผลกระทบมากสักเท่าใดนัก แต่ยังกลับกลายเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ” เห็นได้ชัดว่าหมัวซาไม่อยากพูดถึงเรื่องของตัวเองอีก เขามองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “ตอนนี้ไอพลังทั้งสองขุมยังอยู่ในระดับที่เจ้ายังควบคุมได้ทั้งหมด ดังนั้นคงจะไม่เกิดเหตุการณ์ระเบิดร่างจนตัวตายขึ้นอยู่แล้ว แต่คุณสมบัติทางร่างกายของร่างมารสว่างทำให้การฝึกยุทธ์ของเจ้าเร็วกว่าคนธรรมดาหลายเท่า เดิมทีพรสวรรค์ของเจ้าก็สูงส่งกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ตอนนี้ก็จะยิ่งร้ายกาจขึ้นไปอีก”

“จริงหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซาด้วยสองตาเป็นประกาย ถ้าหากเขามิใช่ร่างวิญญาณ ไม่แน่ว่าเธออาจจะวิ่งเข้าไปกอดเขาเอาไว้แล้วจูบเขาแรงๆ สักทีหนึ่งก็เป็นได้

“เจ้าอย่าเพิ่งด่วนดีใจไปเลย” หมัวซาเห็นท่าทางเช่นนั้นของเธอแล้วก็อดนึกอยากจะสาดน้ำเย็นใส่เธอมิได้ “เมื่อพลังยุทธ์ของเจ้าเพิ่มพูนขึ้น ไอพลังทั้งสองขุมของร่างมารสว่างก็จะทวีความแข็งแกร่งขึ้นด้วย ถ้าหากถึงตอนนั้นแล้วเจ้าควบคุมมันเอาไว้ไม่ได้ ก็อาจจะเกิดสถานการณ์อันตรายขึ้นมาได้”

พอได้ฟังคำแล้วซือหม่าโยวเย่ว์กลับมิได้เป็นกังวลแต่อย่างใด

“ถึงอย่างไรท่านก็มีทางแก้ใช่หรือไม่ ในเมื่อตอนนั้นท่านยังมีชีวิตรอดมาได้ ข้าก็ต้องทำได้เช่นกันสิ!”

คำพูดที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจในตนเองทำให้หมัวซาหัวใจสั่นสะท้าน ตอนนั้นตนก็ยังเยาว์วัยสดใสร่าเริงเช่นนี้ มีความมั่นใจในตนเองอย่างเต็มเปี่ยม ตอนที่รู้ว่าตนเองเป็นร่างมารสว่าง เขาก็มั่นใจว่าตนเองจะมีชีวิตรอดต่อไปได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่กระบวนการนี้มีความเจ็บปวดอยู่บ้างเท่านั้น

“ใช่แล้ว วิธีการที่ท่านว่าคืออะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เงยหน้าขึ้นถาม

“บอกเจ้าไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก” หมัวซาพูดอย่างเรียบเรื่อย

“ชิ วางมาดอีกแล้วนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก แต่ก็มิได้ถามซักไซ้ต่อไปอีก ถ้าหากเจ้าคนผู้นี้ไม่คิดอยากพูดจริงๆ ก็ไม่มีทางเปิดปากพูดแน่นอน ถึงอย่างไรตอนนี้เธอก็เชื่อว่าเขาไม่มีทางทำร้ายเธออยู่แล้ว

หมัวซาทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดก่อนหน้านี้ของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วถามว่า “เอาละ พวกเราคุยเรื่องร่างกายของเจ้ากันจบแล้ว ตอนนี้มาพูดเรื่องต่อไปกัน”

“ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือ”

“หลอมยา ระเบิด” หมัวซาพูดอย่างเรียบเรื่อย

“เรื่องนี้เองหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ขมวดคิ้ว “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดตอนหลอมยาจึงเอาแต่ระเบิดอยู่ตลอดเลย ทั้งๆ ที่ข้าทำตามที่หนังสือบอกเอาไว้ชัดๆ”

“ข้าเคยเห็นเจ้าหลอมยามาก่อนแล้ว เห็นวิธีการอะไรต่างๆ ของเจ้าทั้งหมด ปัญหาอยู่ที่การควบคุมอุณหภูมิของเจ้า” หมัวซาพูด “ยาวิเศษแต่ละชนิด แต่ละขั้นตอนล้วนใช้อุณหภูมิที่แตกต่างกันทั้งสิ้น ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยล้วนอาจนำไปสู่ความล้มเหลวในการหลอมยาได้ทั้งสิ้น”

“ท่านหลอมยาเป็นด้วยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เลิกคิ้ว เห็นท่าทางในการพูดของเขาแล้วดูไม่เหมือนมือสมัครเล่นเลย

“เป็นสิ” หมัวซายอมรับ

“ขั้นใดหรือ”

“อีกหน่อยเดี๋ยวเจ้าก็รู้เองนั่นแหละ” หมัวซาตอบ “ถึงอย่างไรก็เพียงพอที่จะสอนเจ้าแล้วกัน”

“เชอะ” ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง เจ้าคนผู้นี้ช่างชอบทำไขสือเสียเหลือเกิน “ก็ท่านไม่พูด แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านทำเป็นจริงๆ หรือไม่”

หมัวซาขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางพูดอย่างไม่พอใจว่า “ไม่อยากเรียนก็ช่างเถิด”

“เฮ้ๆๆ ข้าไม่ได้พูดสักหน่อยนี่ว่าจะไม่เรียน!” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นหมัวซาคล้ายจะถูกตนทำให้เหลืออดเต็มทีแล้วจึงแย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่พูดก็ไม่พูดสิ! ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ข้าต้องแข็งแกร่งจึงจะช่วยท่านตามหาอีกครึ่งหนึ่งของท่านได้ และไม่ต้องมาคอยกังวลว่าท่านจะลอบแทงข้างหลังข้าด้วย”

หมัวซาหลุบตาลงให้เปลือกตาบดบังอารมณ์ในแววตาเอาไว้ ที่เขาเจตนาสอนเธอหลอมยานั้นมิใช่ว่าไม่มีจุดประสงค์ของตัวเองเสียหน่อย

“เอาละ ตอนนี้ข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของการหลอมยา…”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของหมัวซา ซือหม่าโยวเย่ว์จึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับการหลอมยามากขึ้นระดับหนึ่ง

ที่แท้แล้วการหลอมยานี้มิได้ง่ายดายเช่นที่เธอจินตนาการเอาไว้ สามขั้นตอนที่ดูเหมือนจะง่ายดาย ทว่าหนทางภายในนั้นกลับมีเป็นหมื่นเป็นแสน หากทำไม่ถูกต้องแม้เพียงนิดเดียวก็ไม่อาจเป็นนักหลอมยาได้สำเร็จแล้ว

“มิน่าเล่า มีปรมาจารย์วิญญาณมากมายถึงเพียงนี้ แต่กลับมีนักหลอมยาเพียงน้อยนิดเท่านั้น” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคาง

“สิ่งเหล่านี้จะมีได้ภายใต้เงื่อนไขข้อหนึ่งเท่านั้น” หมัวซาพูด

“เงื่อนไขอันใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“พลังจิตอันแข็งแกร่ง” หมัวซาพูดจบแล้วก็เหลือบตามองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่ง เรียกได้ว่าพลังจิตของเธอแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่เขาเคยเห็นมา ถ้าหากมิใช่ว่าเธอมีพลังจิตอันแข็งแกร่งเช่นนี้ เขาก็คงไม่ผุดความคิดที่จะสอนเธอออกมาอยู่แล้ว

“พลังจิตอันแข็งแกร่งหรือ”

“ตอนหลอมยาจำเป็นต้องใช้พลังจิตมาควบคุม โดยเฉพาะยาวิเศษที่มีระดับค่อนข้างสูง การควบคุมก็จะยิ่งซับซ้อน ความต้องการพลังจิตก็จะยิ่งสูง ถ้าพลังจิตยิ่งแข็งแกร่งก็จะสามารถไปได้ไกลยิ่งขึ้นบนเส้นทางการหลอมยาวิเศษ” หมัวซาพูดอธิบาย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์ประสานสองมือเอาไว้ที่ท้ายทอยก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองหมัวซาแล้วถามว่า “ท่านมิใช่คนของเผ่ามารหรอกหรือ เหตุใดจึงรู้วิธีการหลอมตำรับยาพื้นบ้านของมนุษย์ด้วยเล่า”

“วิธีการหลอมตำรับยาพื้นบ้านของเผ่ามารและเผ่ามนุษย์นั้นเหมือนกัน เพียงแต่ตอนผนึกยาจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง” หมัวซาพูด “ตอนท้ายสุดในการหลอมยาของเผ่ามนุษย์จำเป็นต้องเติมพลังวิญญาณแห่งแสงสว่างเข้าไป ส่วนยาวิเศษของเผ่ามารนั้นต้องเติมพลังวิญญาณแห่งความมืดมิด ยาวิเศษที่เหมือนกันบางอย่าง ถ้าหากคนของเผ่ามารกินยาวิเศษที่มีพลังวิญญาณแห่งแสงสว่างเข้าไป ยาวิเศษก็จะกลับกลายเป็นยาพิษ ในทางเดียวกันเผ่ามนุษย์ก็ไม่อาจกินยาวิเศษที่มีไอพลังมืดมิดได้เช่นเดียวกัน”

“เข้าใจแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

“เจ้าวางศิลาวิญญาณเอาไว้บนหน้าผากสิ” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่ก็ยังหยิบเอาศิลาวิญญาณออกมาตามที่เขาพูดแล้ววางลงบนหน้าผาก ในขณะที่หน้าผากและศิลาวิญญาณสัมผัสกันนั้นเอง ลำแสงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากศิลาวิญญาณแล้วพุ่งทะลุหว่างคิ้วเธอเข้าไปภายในห้วงสมองของเธอ

“นี่คือเคล็ดวิชาเสริมสร้างพลังจิต เจ้าฝึกตามเคล็ดวิชาในนั้น จะทำให้พลังจิตของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นได้” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์หลับตาลงรับสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง ในห้วงสมองของตน นอกจากเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรในตอนแรกแล้ว ตอนนี้ยังมีตำราที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

“เคล็ดหลอมวิญญาณ” ซือหม่าโยวเย่ว์อ่านตัวอักษรที่เขียนอยู่บนปกหนังสือ ในใจเกิดความสั่นสะท้านที่มิอาจอธิบายได้อย่างหนึ่งขึ้นมา เธอลืมตาขึ้นมองหมัวซาแล้วถามว่า “มิใช่หลอมพลังจิตหรอกหรือ เหตุใดจึงเป็นเคล็ดหลอมวิญญาณเล่า”

วิญญาณยิ่งแข็งแกร่ง พลังจิตก็จะยิ่งแข็งแกร่ง” หมัวซาอธิบายอย่างง่ายๆ “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราไปที่ห้องหลอมยากัน เจ้าลองหลอมยาเมื่อคราวก่อนดูอีกรอบหนึ่ง ข้าจะคอยชี้แนะเจ้าอยู่ข้างๆ เอง”

“ได้สิ” ได้ยินหมัวซาพูดเช่นนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเก็บข้อสงสัยและความใคร่รู้เกี่ยวกับเคล็ดหลอมวิญญาณภายในใจเอาไว้ แล้วนำทางเขาไปยังห้องหลอมยา

หลังจากนี้ค่อยนำคำถามเหล่านั้นมาทยอยถามเขาแล้วกัน ตอนนี้เรื่องหลักคือการเรียนรู้การหลอมยาให้สำเร็จต่างหาก

………………………

“พัน…พันธสัญญาระหว่างกันอย่างนั้นหรือ”

หมัวซาพยักหน้า เป็นเชิงว่านี่คือความจริง

“เช่นนั้นเหตุใดข้าจึงไม่รู้สึกเลยว่าระหว่างพวกเรามีพันธสัญญากันอยู่เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างประหลาดใจ

“เพราะข้าปิดบังเอาไว้เองแหละ” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซาอย่างประเมินแล้วลอบตกตะลึงในใจ เขาปิดบังการทำพันธสัญญาระหว่างคนทั้งสองเอาไว้ ทำให้ตนไม่มีความรู้สึกใดๆ ถึงแม้ว่าจะเพิ่งมายังโลกแห่งนี้ได้ไม่นานก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

ทว่าเขาไม่เพียงแต่จะทำได้เท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นเพียงแค่สภาวะที่มีวิญญาณอันไม่สมบูรณ์อีกด้วย ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วเขาจะเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจและน่าหวาดหวันเพียงใดกัน

“ถ้าเขาร้ายกาจยิ่งกว่านี้ มั่นใจได้เลยว่าเขาต้องทำสิ่งที่เลวร้ายกว่านี้แน่”  ซือหม่าโยวเย่ว์คาดการณ์ในใจ “ถ้าหากมีพันธสัญญากับตน เช่นนั้นก็มิใช่ว่าตนมีหลักประกันที่ร้ายกาจอย่างยิ่งแล้วหรือ ไม่แน่ว่าอาจได้อะไรจากตัวเขามากยิ่งขึ้นก็เป็นได้”

หมัวซาเห็นลูกตาซือหม่าโยวเย่ว์กลอกไปมาจึงรู้ว่าเธอกำลังมีความคิดแปลกประหลาดอันใดอยู่ แต่เขาคร้านที่จะสนใจ จึงหลับตาลงชั่วขณะหนึ่งแล้วหลังจากนั้นค่อยลืมตาขึ้นมองเธอก่อนจะเอ่ยว่า “เอาละ”

ซือหม่าโยวเย่ว์รับสัมผัสอยู่ชั่วครู่แล้วจึงพบว่ามีสายสัมพันธ์สายหนึ่งระหว่างตนกับหมัวซาขึ้นมาจริงๆ

“พวกเราทำพันธสัญญากันตั้งแต่ตอนไหนหรือ” จนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงรู้สึกว่าเหนือความคาดหมายอยู่

อีกฝ่ายเป็นมารตนหนึ่ง นอกจากนี้ยังอยู่ในสภาวะวิญญาณอีกด้วย แล้วพวกเขาไปทำพันธสัญญากันได้อย่างไร

“ตอนที่เจ้าทำลายค่ายกลลวงวิญญาณ ไม่รู้ว่าเจ้าทำพันธสัญญากับศิลาวิญญาณได้อย่างไร ข้าที่อาศัยอยู่ในนั้นก็ย่อมถูกทำพันธสัญญาไปด้วยอยู่แล้ว” พอหมัวซานึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วสีหน้าก็ดำทะมึนราวกับคลองน้ำเน่าอย่างไรอย่างนั้น “ว่าอย่างไรเล่า ตอนนี้ให้ข้าเข้าไปตรวจได้แล้วกระมัง ไปดูสักหน่อยว่าที่แท้ผนึกของเจ้านั้นมันเรื่องอันใดกันแน่”

เมื่อพูดถึงผนึกในร่างกาย ซือหม่าโยวเย่ว์ก็จริงจังขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าภายในร่างกายนี้จะมีสิ่งแปลกประหลาดเช่นนี้อยู่ด้วย ไม่รู้ว่าสิ่งที่ถูกผนึกเอาไว้คืออะไร เป็นใครกันที่ผนึกเธอเอาไว้ และผนึกเอาไว้ทำไม

“มาสิ”

เธอพยักหน้าให้หมัวซา ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าไปในร่างกายตนอย่างไร กำลังคิดจะถามอยู่พอดี หมัวซาก็แปลงกายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้าไปผ่านหว่างคิ้วของเธอเสียแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์ ในขณะที่เขาเข้าไป เธอก็รู้สึกว่าร่างกายหนาวเหน็บเสียดแทงกระดูกจนร่างสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว

“เหตุใดอุณหภูมิร่างกายของเจ้าคนผู้นี้จึงได้หนาวเย็นเช่นนี้” ซือหม่าโยวเย่ว์อดบ่นประโยคหนึ่งมิได้ “หากยังไม่ออกมาอีก ข้าคงถูกแช่จนกลายเป็นแท่งหวานเย็นเป็นแน่”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถึงขีดจำกัดที่ร่างกายซือหม่าโยวเย่ว์ทนรับได้ หมัวซาก็ออกมาจากหว่างคิ้วของเธอในที่สุด พอเขาออกมาแล้วเธอก็รู้สึกว่าความหนาวระลอกนั้นหายไปเป็นปลิดทิ้ง

“เป็นอย่างไรบ้าง ที่แท้แล้วผนึกนั่นคืออะไรกันแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นหมัวซามองตนด้วยสายตาซับซ้อนจึงเอ่ยถาม เมื่อเห็นเขาไม่เอ่ยปากพูดจึงบอกว่า “ในร่างกายของข้าผนึกระเบิดลูกหนึ่งเอาไว้อย่างนั้นหรือ”

“ไม่ใช่ระเบิดหรอก แต่ก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ” หมัวซาอยู่กับซือหม่าโยวเย่ว์มาเนิ่นนานถึงเพียงนี้จึงรู้แล้วว่าระเบิดที่เธอพูดถึงคือสิ่งใด

“เป็นระเบิดจริงๆ หรือ!” สีหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์กลายเป็นเศร้าโศกขึ้นมา “ข้าก็แค่พูดเดาออกมาส่งๆ เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะทายถูกเสียอย่างนั้น”

“ข้าบอกว่ามิใช่ระเบิดอย่างไรเล่า” หมัวซาพูด

“เอาเถอะ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดข้าก็ต้องรู้ให้ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปากแล้วพูดว่า “ว่ามาสิ สิ่งที่ผนึกอยู่ในร่างกายข้าคือสิ่งใด”

“ร่างมารสว่าง” ตอนที่หมัวซาพูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็สั่นเครืออยู่บ้าง คล้ายกับรู้สึกตื่นเต้น

ซือหม่าโยวเย่ว์เกิดความสงสัยเพราะคำพูดสี่พยางค์นี้ของเขา ดังนั้นจึงมิทันได้สังเกตเห็นความตื่นเต้นของเขา

“ร่างมารสว่างคือสิ่งใด เหตุใดจึงต้องผนึกมันเอาไว้ด้วยเล่า”

“ถ้าหากไม่ผนึกเอาไว้ เกรงว่าร่างกายของเจ้าคงจะระเบิดตั้งแต่เจ้ายังไม่ทันอายุสองขวบแล้วล่ะ”

“น่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยายามมองหาเศษเสี้ยวของการพูดเกินจริงบนใบหน้าของเขา แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว “เช่นนั้นที่แท้แล้วมันคือสิ่งใดกันแน่”

“โลกแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นโลกแห่งแสงสว่างและโลกแห่งความมืดมิด เรื่องนี้เจ้าคงรู้อยู่แล้วกระมัง” หมัวซามองซือหม่าโยวเย่ว์

“แค่มองข้ากับท่านก็รู้แล้วนี่” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าหมัวซาจะต้องพูดอย่างยาวนานแน่ จึงหยิบเอาเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมาจากภายในแหวนเก็บวัตถุ แล้วตนจึงนั่งลงค่อยๆ ฟัง

หมัวซาเห็นการกระทำของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็อดหน้าดำคร่ำเครียดมิได้ เจ้าคนที่ยังเป็นกังวลไม่คลายเมื่อครู่นี้ ยังคิดจะหาเก้าอี้มานั่งฟังได้อย่างไรกัน

“คนของโลกแห่งแสงสว่างจะมีคุณสมบัติทางร่างกายที่หลายแสนปีมิอาจพบพานอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งอันที่จริงแล้วคุณสมบัติทางร่างกายชนิดนี้คือร่างกายจะมีไอพลังชนิดหนึ่งอยู่ภายใน ไอพลังขุมนี้ทำให้ความเร็วในการฝึกยุทธ์ทวีความเร็วสูงกว่าปรมาจารย์วิญญาณธรรมดาทั่วไปหลายเท่า นอกจากนี้ยังมีจุดคอขวดน้อยมากอีกด้วย ทั้งยังมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองอันแข็งแกร่งอย่างยิ่ง คุณสมบัติทางร่างกายชนิดนี้ถูกเรียกว่าร่างแห่งแสงสว่าง”

“ช่างร้ายกาจอะไรเช่นนี้!” ซือหม่าโยวเย่ว์อ้าปากกว้าง “ถ้าหากได้พบพานร่างกายเช่นนี้เข้า ก็มิได้เท่ากับว่าใช้สูตรโกงหรอกหรือ!”

“เฉกเช่นเดียวกัน ในโลกแห่งความมืดมิด ผู้ที่มีพลังแห่งความมืดมิดจะถูกเรียกว่าร่างแห่งมาร หากมีชนิดใดชนิดหนึ่งในนี้ได้ก็นับว่าเป็นเรื่องโชคดีอย่างที่สุดไม่ว่ากับใคร” หมัวซาพูด “แต่เจ้าไม่เหมือนกับพวกเขา”

“ท่านบอกว่าข้าเป็นร่างมารสว่าง คงมิได้จะบอกว่าข้ามีคุณสมบัติทางร่างกายทั้งสองชนิดหรอกกระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

หมัวซาส่งสายตาที่บอกว่าเจ้าฉลาดมากให้เธอปราดหนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “มิผิด ร่างกายของเจ้ามีไอพลังทั้งสองชนิดจริงๆ อันหนึ่งแทนแสงสว่าง อีกอันหนึ่งแทนความมืดมิด เดิมทีไอพลังสองชนิดนี้ตรงข้ามกัน แต่ตอนนี้รวมเป็นหนึ่งอยู่ภายในร่างเดียวกัน แล้วเจ้าว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นเล่า แล้วยิ่งในตอนนั้นเจ้ายังเป็นเพียงแค่เด็กทารกอยู่เลย การโจมตีเล็กๆ ล้วนหมายเอาชีวิตเจ้าได้ทั้งสิ้น”

“มิน่าเล่า เลยต้องผนึกเอาไว้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด หลังจากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงมองตรงไปยังหมัวซาแล้วถามว่า “ตอนนี้ผนึกคลายลงแล้ว เช่นนั้นข้าก็มิได้ใกล้ตายแล้วหรอกหรือ”

“ตอนนี้คงจะยังหรอก” หมัวซาพูด “แต่ก็มิได้หมายความว่าในภายภาคหน้าจะไม่ตายนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซาพลางยิ้มอย่างสดใสแล้วพูดว่า “ท่านจะต้องมีวิธีอย่างแน่นอนเลยใช่หรือไม่”

หมัวซาขมวดคิ้วมุ่น “รู้ได้อย่างไร”

“ในเมื่อมีการทำพันธสัญญากันระหว่างพวกเรา เช่นนั้นถ้าหากข้าตายไปแล้ว ท่านก็คงมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วสิ แต่บนใบหน้าของท่านไม่มีแวววิตกกังวลอยู่เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจ “ไว้ค่อยว่ากันเถิด เพียงครู่เดียวท่านก็มองออกแล้วว่าข้าเป็นร่างมารสว่าง แสดงว่าต้องเคยมีประสบการณ์มาก่อนอย่างแน่นอน ถ้าหากไม่ใช่ตัวท่านเอง ท่านก็ต้องเคยสัมผัสมาก่อนแล้ว”

สายตาของหมัวซาที่มองซือหม่าโยวเย่ว์เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยในเวลาเพียงชั่วครู่ คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กผู้นี้จะมีหัวคิดกับเขาด้วย

“คุณชายเช่นข้ารู้ตัวดีว่ามีเสน่ห์เกินต้านทาน แต่ท่านก็ไม่จำเป็นต้องมองข้าเช่นนี้หรอกนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้มือปัดผมหน้าม้าที่ไม่มีอยู่จริงทีหนึ่ง ทำเอาหมัวซาอดที่จะกลอกตามิได้

“ท่านยังไม่ได้บอกเลยนะว่าท่านเป็นแบบไหน!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ข้าก็เคยเป็นเหมือนเจ้านี่แหละ” หมัวซาพูดอย่างเรียบเรื่อยประโยคหนึ่ง

ถึงแม้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะพอเดาได้แล้ว แต่พอได้ยินหมัวซาพูดก็ยังตกตะลึงอยู่บ้าง

“เช่นนั้น เช่นนั้นท่านกลายเป็นเผ่ามารไปได้อย่างไร”

หมัวซาเหลือบตามองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมองไปยังยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปแล้วพูดว่า “ตอนข้ายังเล็ก ข้าก็เป็นมนุษย์เช่นกัน ข้ามิได้เติบโตที่เผ่ามารหรอกนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซาแล้วก็รู้สึกว่าบนร่างของเขาแผ่ความเศร้าโศกอันเข้มข้นออกมา

………………

Related

เจ็บ!

ตอนที่สติรับรู้ของซือหม่าโยวเย่ว์ฟื้นคืนกลับมาอย่างช้าๆ นั้น ความเจ็บปวดเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เธอรู้สึกได้

“เย่ว์เย่ว์ฟื้นแล้ว!” เสียงของเจ้าคำรามน้อยดังขึ้นข้างหู

“อืม ดูท่าทางจะฟื้นแล้วละ” เจ้าวิญญาณน้อยพูดด้วยน้ำเสียงเจือแววเย่อหยิ่ง

“แต่เหตุใดเจ้านายจึงยังไม่ลืมตาอีกเล่า” น้ำเสียงเป็นกังวลของหลิงหลงดังมาจาก… คางของซือหม่าโยวเย่ว์

“หลิงหลง เจ้าอย่าปีนขึ้นไปบนท้องเย่ว์เย่ว์สิ! อาจจะทับจนเย่ว์เย่ว์ไม่ฟื้นก็ได้นะ” เจ้าคำรามน้อยบินออกไปแล้วยกตัวหลิงหลงขึ้นมา

หลิงหลงขยับตัวหลุดออกจากกรงเล็บของเจ้าคำรามน้อยแล้วร่อนลงบนหลังของย่ากวง ก่อนจะทิ่มแทงเจ้าคำรามน้อยด้วยสายตาอย่างรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่า

“เจ้านายน่าจะฟื้นคืนสติแล้วนะ” ย่ากวงดมตามร่างกายซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดขึ้น

หลิงหลงมองดูเงาร่างโปร่งแสงที่อยู่ด้านข้างแล้วเบ้ปากพูดว่า “นี่ ให้พวกเราเฝ้าเจ้านายก็พอแล้ว เจ้าคนผู้นี้จะวิ่งออกมาทำไมกัน”

“โอ้ มิใช่ว่าชอบพอเย่ว์เย่ว์เข้าแล้วกระมัง” เจ้าคำรามน้อยตะคอกใส่หมัวซา “บอกไว้ก่อนเลยนะ เย่ว์เย่ว์เป็นของพวกเรา เจ้าห้ามมาแย่งกับพวกเรานะ!”

หมัวซาเหลือบตามองเหล่าสัตว์ตัวน้อยอย่างเฉยชาปราดหนึ่งแล้วเบนสายตาไปยังร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยแววตาลึกซึ้ง

เจ้าคำรามน้อยมองดูหมัวซาแล้วก็มองซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าคนผู้นี้มองเย่ว์เย่ว์ด้วยสายตาเช่นนี้ทำไมกัน ชักมีปัญหาแล้วสิ!

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินพวกเจ้าคำรามน้อยกระซิบกระซาบกันอยู่ข้างหูตนไม่หยุดหย่อนจนรู้สึกว่าหัวสมองแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ลืมตาไม่ขึ้น

“รอข้าฟื้นแล้วค่อยจัดการกับพวกเจ้า!” ซือหม่าโยวเย่ว์อดคิดไม่ได้

ถึงแม้ว่าจะลืมตาไม่ขึ้น แต่สติรับรู้ของเธอกลับกระจ่างชัดอย่างยิ่ง เส้นประสาทในร่างกายก็ไวต่อการรับสัมผัสอย่างที่สุด ทำให้ความเจ็บปวดทุกบริเวณทั่วทั้งร่างกายทวีคูณขึ้นหลายเท่า

ในขณะที่เธอรู้สึกว่าตนเองแทบจะหมดสติไปอีกครั้งเพราะความเจ็บปวดนั้นเอง กลิ่นอายเยียบเย็นดุจน้ำแข็งขุมหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากจุดตันเถียนแล้วโคจรไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย

ความเจ็บปวดอันร้อนรุ่มค่อยๆ บรรเทาเบาบางลงตามการเคลื่อนตัวของกลิ่นอายขุมนั้นแล้วหายลับไปในท้ายที่สุด

หลังจากที่กลิ่นอายขุมนั้นเคลื่อนตัวไปหลายรอบแล้วก็หยุดลงที่บริเวณจุดตันเถียนก่อนจะนิ่งสงบลงไป

ซือหม่าโยวเย่ว์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เธอไม่เห็นเงาร่างของพวกเจ้าคำรามน้อยเลย คาดว่าพอเห็นเธอไม่เป็นไรก็คงออกไปวิ่งเล่นกันเสียแล้ว

“เจ้านาย ท่านฟื้นแล้ว” ย่ากวงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ฟื้นขึ้นมา จึงพูดอย่างตื่นเต้น

ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นนั่ง ที่เห็นเป็นคนแรกสุดกลับมิใช่ย่ากวง แต่กลับเป็นหมัวซาที่นั่งอยู่ข้างๆ

เจ้าคนผู้นี้ออกมาได้อย่างไรกัน

เธอถูหน้าผากพลางพูดว่า “ย่ากวง ข้าหมดสติไปนานเพียงใดกันหรือ”

“ระยะเวลาที่หมดสติไปไม่นานนักหรอก ไม่ถึงครึ่งวันก็ได้สติกลับคืนมาแล้ว แต่หลังจากที่ได้สติกลับคืนมาท่านก็หลับอยู่นานถึงสองวันครึ่ง ดังนั้นพอนับรวมๆกันแล้วก็ผ่านไปถึงสามวันเลยทีเดียว” ย่ากวงเอ่ยตอบจากอีกฟากหนึ่ง

“สามวันเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองย่ากวงอย่างตกใจ เมื่อแน่ใจว่ามันมิได้พูดเกินจริงแล้วในใจก็กระซิบไม่หยุดว่าตนรู้สึกเหมือนผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น แต่เหตุใดจึงนานถึงสามวันได้เล่า

ในขณะนี้เอง เธอจึงค่อยสังเกตมือของตัวเองที่เรียบเนียนไร้ซึ่งรอยแผลเหมือนก่อนหน้านี้ทุกประการ

เธอจำได้ว่าตอนที่เตาหลอมยาระเบิดนั้นเศษชิ้นส่วนที่ลอยกระเด็นได้บาดถูกหลังมือของเธอจนกลายเป็นบาดแผลยาวเส้นหนึ่ง แต่เหตุใดตอนนี้จึงไม่มีแล้วเล่า

“หายดีแล้วล่ะ” หมัวซาเอ่ยปากพูดในทันใด

ซือหม่าโยวเย่ว์เบนสายตาไปทางหมัวซาอย่างประหลาดใจ ประโยคนั้นของเขาหมายความว่าบาดแผลที่หลังมือเธอหายดีแล้วอย่างนั้นหรือ

“ประหลาดใจมากสินะ” หมัวซามองซือหม่าโยวเย่ว์ “ไม่ใช่เพียงแค่บาดแผลบนมือเท่านั้นหรอกนะ แต่บาดแผลบริเวณอื่นๆ บนร่างกายเจ้าก็หายดีหมดแล้วเช่นกัน”

ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบบาดแผลบนร่างกายตนแล้วปรากฏว่าไม่มีความรู้สึกอีกแล้วจริงๆ เสียด้วย

“เป็น… เป็นไปได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ไม่ได้ จึงมองหมัวซาแล้วถามว่า “ท่านเป็นผู้รักษาบาดแผลให้ข้าหรือ”

หมัวซาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เป็นตัวเจ้าเองนั่นแหละ”

“ข้าหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ชี้ตนเองอย่างสงสัย เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดของหมัวซาเลย

“เจ้านาย ท่านฟื้นฟูตัวเองจริงๆ” ย่ากวงพูดอยู่ข้างๆ “ตอนที่ท่านสิ้นสติ บาดแผลบนร่างท่านก็ค่อยๆ ดีขึ้นทีละเล็กละน้อย ตอนนั้นยังทำให้พวกเราตกใจจนตัวแทบลอยเลยทีเดียว!”

“เป็นตัวข้าเองจริงหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ลึกลับเกินไป แต่ด้วยอุปนิสัยซื่อตรงของย่ากวงแล้วย่อมไม่มีทางหลอกลวงเจ้านายอย่างตนแน่นอน ในเมื่อเขาบอกว่าฟื้นฟูตัวเอง เช่นนั้นก็คงจะเป็นเรื่องจริง

แต่เธอมีความสามารถในการรักษาตัวเองอันเยี่ยมยอดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

หมัวซาอาศัยจังหวะที่เธอตกตะลึงโฉบเข้ามาตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์ในทันใด ทำเอาเธอตกใจจนสะดุ้งตัวลอย

“ท่านทำบ้าอะไรน่ะ!”เมื่อเห็นใบหน้าที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างฉับพลัน ถึงแม้จะน่ามอง แต่ก็ทำให้คนตกใจได้ใช่หรือไม่เล่า!

“ร่างกายของเจ้ามีปัญหา” หมัวซาดมตามตัวซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยอย่างเย็นชา

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นหมัวซามองตนราวกับมองเหยี่ออย่างไรอย่างนั้น จึงผลักเขาออกไปตามสัญชาตญาณ แต่มือกลับเคลื่อนผ่านร่างกายเขาไปแทนเสียอย่างนั้น

“ข้ามีปัญหาอะไร! นอกจากความสามารถในการรักษาตัวเองอันยอดเยี่ยมแล้ว ก็น่าจะเหลือแค่ท่านที่มีปัญหากับตัวข้า!”

หมัวซาผละออกจากซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “ร่างกายของเจ้าถูกผนึกน่ะสิ!”

“ถูกผนึกอย่างนั้นหรือ ผนึกอันใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนขึ้นแล้วก้มหน้าลงมองร่างกายของตนเองครู่หนึ่ง ก็ไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดผิดปกติเลยนี่นา

“เจ้าเคยเห็นร่างกายของใครที่ได้รับบาดเจ็บเพราะแรงระเบิดแล้วสามารถรักษาตนเองได้ภายในสองวันโดยไม่ต้องกินยาวิเศษเลยหรือไม่” หมัวซาพูด

“เหมือนว่าจะไม่เคยนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนหรือไม่” หมัวซาถามอีก

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไปคิดมาในความทรงจำแล้วส่ายหน้า ก่อนหน้านี้ร่างกายนี้ได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยๆ แต่ทุกครั้งล้วนต้องอาศัยยาวิเศษทั้งสิ้นจึงค่อยดีขึ้นได้ ดูคล้ายว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาก่อนเลย

“หรือว่าความสามารถในการรักษาตัวเองของข้ามีความเกี่ยวข้องกับผนึกที่ท่านพูดถึง” ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซาแล้วถามขึ้น

“ขณะที่เกิดการระเบิด ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยขุมหนึ่ง” หมัวซาพูด “ข้าอยากทำให้แน่ใจว่าใช่มันหรือไม่ แต่เจ้าก็เอาแต่หมดสติมาตลอด ข้าจึงหมดหนทาง”

“ทำให้แน่ใจอย่างไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม “ยังมีอีก ผนึกที่ท่านพูดถึงนั้นมันเรื่องอันใดกัน”

“เจ้าต้องให้ข้าตรวจสอบยืนยันก่อน ข้าจึงจะตอบคำถามของเจ้าได้” หมัวซาพูด

“ท่านบอกวิธีการตรวจสอบมาก่อนสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซาอย่างไม่เชื่อถือ นี่คือมารตนหนึ่งเลยทีเดียวนะ ถ้าหากเขาเล่นลูกไม้อันใดขึ้นมา จะไม่เท่ากับว่าตนถูกเขาขายไปแล้ว ยังต้องมาช่วยเขานับเงินอีกหรือ

“ให้ข้าเข้าไปในร่างเจ้า” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังแล้วไฟโทสะลุกโชน จึงตะคอกใส่เขาว่า “ข้าก็บอกไปแล้วไงว่าท่านต้องกำลังมีความคิดไม่เข้าท่าอันใดอยู่อย่างแน่นอน! หากให้ท่านเข้ามาในร่างข้าแล้วท่านชิงร่างข้าขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า หรือถ้าท่านทำร้ายร่างกายข้าจะทำอย่างไร ข้าจึงมิอาจเห็นด้วยกับการกระทำเช่นนี้ของท่านได้!”

หมัวซาคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะมีปฏิกริยาตอบสนองรุนแรงเช่นนี้ จึงเอ่ยว่า “ข้าไม่มีทางทำร้ายเจ้าแน่!”

“ชิ ข้าก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าตรวจสอบข้อมูลแล้ว ในตำราบอกว่าคนของเผ่ามารนั้นขาดความน่าเชื่อถืออย่างที่สุด ตอนนี้ท่านบอกว่าไม่มีทางทำร้ายข้าแต่พอท่านเข้าสู่ร่างข้าแล้วกลับคำขึ้นมาจะทำเช่นไรเล่า ไม่เอาด้วยหรอก!”

หมัวซามองสายตารังเกียจเช่นนั้นของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเพลิงโทสะในใจก็ลุกโชน บริเวณโดยรอบร่างเขากลับกลายเป็นกระแสน้ำวนอันหนึ่ง

“ทำบ้าอะไร ถูกข้าพูดแทงใจดำเข้าเลยจะฆ่าปิดปากอย่างนั้นหรือ ที่นี่เป็นเขตของข้านะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะคอกใส่หมัวซา

กลิ่นอายบนร่างของหมัวซาค่อยๆ บรรเทาลงแล้วกลับกลายเป็นเช่นก่อนหน้านี้ หากมิใช่เพราะกรวดทรายบนพื้นดินแตกต่างไปจากเดิม ซือหม่าโยวเย่ว์คงยังมองไม่ออกว่าเมื่อครู่นี้เขาบันดาลโทสะไปแล้ว

“ข้าไม่มีทางทำร้ายเจ้าได้หรอก เพราะว่า… ระหว่างพวกเรามีการทำพันธสัญญากันเอาไว้อยู่” หมัวซาค่อยๆ เอ่ยคำพูดนี้ออกมา ซึ่งทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจจนนิ่งค้างอยู่กับที่ไปเสียแล้ว

………………

Related

เรื่องที่น่าหลานหลาน สาวน้อยผู้มีพรสวรรค์แห่งตระกูลน่าหลานถูกวิทยาลัยไล่ออกแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็วยิ่ง หินก้อนเดียวก่อให้เกิดคลื่นน้ำนับพัน ทุกตรอกซอกซอยต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้

ณ ตระกูลน่าหลาน

ในห้องโถงใหญ่ ประมุขตระกูลน่าหลานนั่งอยู่บนที่นั่ง ผู้อาวุโสสองคนนั่งอยู่ด้านข้าง ส่วนคนอื่นๆ แยกกันนั่งอยู่ทั้งสองฟาก

ที่กลางห้อง น่าหลานหลานผู้สวมชุดสีฟ้าตลอดร่างคุกเข่าอยู่บนพื้นพลางก้มศีรษะลง เรือนผมยาวสยายลงมาปกคลุมแก้มของนางเอาไว้

น่าหลานฉีคุกเข่าอยู่ข้างๆ มองดูคนที่เดือดดาลแทบตายในห้องแล้วเอ่ยปากว่า “ท่านพ่อ เรื่องนี้จะตำหนิท่านพี่มิได้นะ เป็นเพราะซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นั้นแท้ๆ หากมิใช่เพราะเขา ท่านพี่คงไม่ถูกวิทยาลัยไล่ออกหรอก!”

“เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ!” น่าหลานเหอกระแทกถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง พลางมองน่าหลานหลานและน่าหลานฉีที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วเอ่ยอย่างดุดัน “ก็รู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าทำเรื่องพรรค์นั้นภายในวิทยาลัยไม่ได้ แต่เจ้าก็ยังทำลงไปอีก ตอนนี้ถูกไล่ออกแล้ว ที่ขายหน้าคือตระกูลน่าหลานของข้าต่างหากเล่า!”

น่าหลานหลานก้มหน้า ไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว

“ท่านประมุข หลานเอ๋อร์ก็คงไม่คิดหรอกว่าจะกลายเป็นเช่นนี้ได้ เดิมทีคิดว่าส่งคนไร้ค่าผู้นั้นไปตาย เขาก็คงตายไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีชีวิตรอดกลับมาได้” ผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่ข้างๆ พูด “หลานเอ๋อร์แค่อยากจะโจมตีตาแก่ซือหม่าเลี่ยผู้นั้นดูบ้าง ท่านดูตอนที่เจ้าคนไร้ค่าผู้นั้นหายตัวไปสิ พวกเราก็ยังอาศัยโอกาสนั้นโจมตีตระกูลซือหม่าเลย”

“ถูกต้อง ท่านประมุข หลานเอ๋อร์มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา ไม่มีวิทยาลัยแล้วพวกเราตระกูลน่าหลานจะบ่มเพาะชนรุ่นหลังมิได้เชียวหรือ” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งช่วยน่าหลานหลานพูดเช่นกัน

“แต่การถูกวิทยาลัยไล่ออกนี้ทำให้วงศ์ตระกูลต้องอับอายขนาดไหน! เรื่องนี้จะปล่อยไปโดยไม่ลงโทษมิได้ ดังนั้นเจ้าจงไปรับโทษ หันหน้าเข้ากำแพงสำนึกผิดที่โถงบรรพบุรุษเป็นเวลาสามเดือน ไปเข้าฌานพินิจตนให้ดีๆ เสีย!” น่าหลานเหอได้ฟังผู้อาวุโสทั้งสองพากันแก้ต่างแทนบุตรสาวของตนแล้วค่อยคลายใจไปไม่น้อย จึงได้มอบบทลงโทษที่ไม่สร้างความเจ็บปวดให้กับน่าหลานหลาน

น่าหลานหลานโขกศีรษะคำนับคราหนึ่งแล้วลุกขึ้นจากไป ตั้งแต่กลับมาจนจากไป นางก็ยังมิได้พูดอะไรเลยแม้แต่ประโยคเดียว ผู้อื่นล้วนคิดว่านางถูกกำราบเพราะเรื่องนี้ ทว่านัยน์ตาที่หลุบลงของนางนั้นกลับสาดประกายชิงชังและแวววอาฆาตอย่างแรงกล้าพลางพึมพำว่ารอให้ตนออกมาจากโถงบรรพบุรุษแล้วจะต้องไปเอาชีวิตเจ้าคนไร้ค่าชาติสุนัขผู้นั้นมาอย่างแน่นอน!

รอจนน่าหลานหลานจากไปแล้วผู้อาวุโสใหญ่ก็โบกมือให้คนรุ่นหลังแยกย้ายกันกลับไป เพราะเรื่องที่จะพูดกันต่อจากนี้ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขามีส่วนร่วมแล้ว

“ท่านประมุข คราวนี้ถือว่าตระกูลซือหม่าฉีกหน้าพวกเราตรงๆ เลยนะ!” ผู้อาวุโสรองพูด

“คราวนี้พวกมันตระกูลซือหม่าทำให้พวกเราต้องอัปยศขายหน้ากันถึงเพียงนี้ พวกเราจะต้องแก้แค้นพวกมันให้สาสม!” น่าหลานเหอขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “เมื่อวานตอนข้าไปพบท่านบรรพชน ท่านก็พูดอยู่พอดีว่าให้พวกเรากำจัดตระกูลซือหม่าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่นนั้นพวกเราก็เริ่มทอดแหกันเลยดีกว่า”

เมื่อได้ยินว่านี่เป็นความต้องการของท่านบรรพชน ผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรองจึงพากันพยักหน้าอย่างคล้อยตาม

ตลอดเวลาที่ผ่านมาตระกูลซือหม่าคอยกดดันพวกเขาตระกูลน่าหลานอยู่ตลอด คราวนี้พวกเขาจะต้องล้มตระกูลซือหม่าลงให้จงได้

หลังจากนั้นการต่อสู้ของสองตระกูลย้ายจากในมุมมืดขึ้นสู่สังเวียน ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใด ทั้งสองตระกูลก็สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย

ซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ที่วิทยาลัยก็พอรู้เรื่องการต่อสู้กันทั้งแบบซึ่งหน้าและลับหลังของทั้งสองตระกูลอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ซือหม่าเลี่ยกำชับให้เธออยู่แต่ในวิทยาลัย ห้ามกลับบ้าน เธอจึงทำได้ดีที่สุดเพียงแค่พยายามยกระดับตนเองอยู่ภายในวิทยาลัยเท่านั้น

ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกฝนการหลอมยาวิเศษอยู่ภายในมณีวิญญาณตลอดหนึ่งเดือนต่อมา

ก่อนหน้านี้เธอได้ฝึกการกลั่นไปไม่น้อยแล้ว หลังจากฝึกฝนอยู่อีกหลายวัน เธอก็เพ่งสายตาอยู่กับการผสานรวมขั้นที่สองอีกครั้ง

ซือหม่าโยวเย่ว์เลือกยาวิเศษที่ง่ายดายที่สุดอย่างยาผนึกโลหิตมาใช้ฝึกฝนการผสานรวมครั้งนี้

ยาผนึกโลหิตชนิดนี้จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบเพียงแค่สี่ชนิดเท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องยาฤทธิ์อ่อนอีกด้วย โอกาสเกิดการระเบิดจึงค่อนข้างน้อย โอกาสสำเร็จเป็นยาวิเศษค่อนข้างสูง เป็นยาวิเศษสำหรับนักหลอมยาขั้นเริ่มต้น

หลังจากให้เจ้าวิญญาณน้อยตระเตรียมเครื่องยาเสร็จเรียบร้อย ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ทบทวนให้แน่ใจว่าตนจดจำขั้นตอนการหลอมยาได้แน่นอน แล้วเธอจึงค่อยเริ่มต้นการกลั่นเครื่องยา

เธอค่อนข้างคุ้นเคยกับขั้นตอนการกลั่นสารสำคัญของเครื่องยาแล้วจึงทำการกลั่นเครื่องยาทั้งสี่ชนิดเสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว เธอวางเครื่องยาที่ทำการกลั่นสกัดเสร็จแล้วเอาไว้แยกชนิดกัน

หลังจากนั้นจึงนำสองชนิดในนั้นใส่เข้าไปในเตาหลอมยาก่อน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยใส่อีกชนิดตามเข้าไป

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นในคราวก่อน ตอนซือหม่าโยวเย่ว์ใส่เครื่องยาเข้าไปจึงยังมีความหวาดหวั่นวนเวียนในใจอยู่บ้าง เกิดความกลัวว่าพอใส่เครื่องยาเข้าไปแล้วจะเกิดเหตุการณ์เช่นคราวก่อนขึ้นมาอีก

แต่คราวนี้เครื่องยาก็ยังไว้หน้าเธออยู่บ้าง มิได้เกิดการระเบิดขึ้นแต่อย่างใด ทำให้เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก

เธอควบคุมขนาดของเปลวเพลิงโดยอ้างอิงจากที่เขียนไว้ในหนังสือ ขณะนี้เธอค้นพบแล้วว่าหากไม่มีเปลวเพลิงของตน การหลอมยาก็เป็นเรื่องยุ่งยากอย่างยิ่งเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

ผ่านไปอีกหลายนาที ซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยใส่สารสำคัญของเครื่องยาอย่างสุดท้ายลงไป ยังดีที่คราวนี้มิได้เกิดการระเบิดขึ้นเช่นเดียวกัน

แต่ในขณะที่เธอคิดว่าสำเร็จแล้วนั้นเองก็มีเสียงขลุกขลักดังขึ้นมาภายในเตาหลอมยา หลังจากนั้นก็มีเสียงซ่าดังขึ้น กลิ่นอับๆ สายหนึ่งแผ่กำจายออกมาจากรูขนาดเล็กบนฝาเตาหลอมยา เป็นการประกาศว่าการผสานรวมในครั้งนี้ล้มเหลว

ซือหม่าโยวเย่ว์ดับไฟก่อนจะเปิดฝาเตาหลอมยาออก แน่นอนว่าได้เห็นกองขี้โคลนเหนียวหนืดสีดำเมี่ยมกองหนึ่ง เธอจึงอดถอนหายใจมิได้

“เย่ว์เย่ว์ อย่าเพิ่งสิ้นหวังนะ นี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกของเจ้า จะล้มเหลวก็เป็นเรื่องปกติ รอให้เจ้าคุ้นเคยแล้วเดี๋ยวก็ออกมาดีเองแหละ” เจ้าคำรามน้อยปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเธอพลางส่งเสียงปลอบประโลม

“ข้ามิได้หมดหวังหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางส่ายหน้า “ข้าแค่กำลังคิดว่าการหลอมยานี้มิใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ เลยจริงๆ”

“แน่นอนอยู่แล้วสิ” เจ้าวิญญาณน้อยก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศเช่นกันก่อนจะพูดว่า “เจ้านายคนก่อนๆ โน้นเคยบอกว่าการหลอมยานี้พอดูขั้นตอนแล้วเหมือนจะมิได้ยากเย็นอะไรนัก แต่กลับกีดกันปรมาจารย์วิญญาณนับพันนับหมื่นเอาไว้ได้ ดูท่าว่าคำพูดนี้จะมีเหตุผล ตอนหลอมยานั้นการให้ความร้อนทุกนาที การควบคุมทุกขั้นตอนจำเป็นจะต้องแม่นยำ และข้อกำหนดทางด้านพลังจิตนี้ก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในล้านเลยทีเดียว”

“ดูเหมือนว่าจำเป็นจะต้องให้อาจารย์สักท่านหนึ่งมาชี้แนะจึงจะใช้ได้สินะ”  ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางของตนพลางเริ่มคิดว่าจะเลือกใครมาเป็นอาจารย์ของตนดี แต่เธอกลั่นกรองบรรดานักหลอมยาเหล่านั้นอยู่ในหัวรอบหนึ่งแล้วก็ยังคิดไม่ออกว่าใครจะเหมาะสม

“มีแต่พวกอัปลักษณ์ทั้งนั้นเลย อยู่กับพวกเขาไปก็เรียนอะไรไม่ลงหรอก” เมื่อนึกถึงว่าบรรดานักหลอมยาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นพวกเย่อหยิ่งคับฟ้า ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว

ถ้าหากบรรดานักหลอมยาเหล่านั้นรู้ว่าตัวเองถูกคนเห็นเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะโมโหจนกระทืบเท้าเร่าๆ หรือไม่!

“ช่างเถิด ลองหลอมเองดูก่อนแล้วกัน ถ้าถึงตอนนั้นได้พบนักหลอมยาดีๆ แล้วค่อยคิดเรื่องกราบอาจารย์ก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วพลันหยิบเครื่องยาอีกส่วนหนึ่งขึ้นมาเริ่มต้นฝึกฝนการหลอมยาอีกครั้ง

สามวันต่อมา ในที่สุดเธอก็ทำการผสานรวมตัวยาเหลวเตาแรกออกมาได้สำเร็จ

“ตอนนี้เหลือขั้นตอนสุดท้าย ผนึกยา!” ซือหม่าโยวเย่ว์ผ่อนลมหายใจยาวๆ ออกมา หลังจากนั้นก็วางมือลงตรงหน้าเตาหลอมยาพลางรวบรวมปราณวิญญาณออกมา แล้วค่อยๆ ส่งถ่ายเข้าไปภายในเตาหลอมยา

“ปัง…”

เมื่อพลังวิญญาณสัมผัสกับตัวยาเหลวเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นมา เตาหลอมยาถูกระเบิดจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยปลิวว่อนไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็ถูกแรงระเบิดจนกระเด็นไปเช่นเดียวกัน

“บ้าเอ๊ย! ระเบิดอีกแล้ว!”

ก่อนจะสิ้นสติไป ในภวังค์ของเธอก็เห็นเงาร่างไอหมอกสีแดงเพลิงสายหนึ่งปรากฏขึ้นข้างกาย รวมถึงนัยน์ตาอันซับซ้อนคู่หนึ่งที่มองตรงมาที่ตนอีกด้วย

……………………

Related

เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉียังอยากจะตักเตือนเธออีก แต่เมื่อเห็นแววตาแน่วแน่ของเธอแล้วจึงกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป

“เช่นนั้นเจ้าฝึกยุทธ์ให้ดีๆ แล้วกัน พอถึงเวลาพวกเราจะได้ไปพร้อมกัน” เว่ยจือฉีตบบ่าซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะเดินออกไป

“อืม เจ้าวางใจได้เลย ข้าจะดูแลเจ้าเอง!” เจ้าอ้วนชวีพูดแล้วเดินตามออกไป

ซือหม่าโยวเย่ว์ปิดประตู เมื่อนึกถึงที่เจ้าอ้วนชวีบอกว่าจะดูแลตนแล้วก็ยิ้มออกมา ถึงแม้ว่าชาติก่อนจะถูกมืออันดับสองทำร้าย ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกว่าทั้งโลกมีแต่คนเลวไปหมด จิตใต้สำนึกของเธอยังเชื่อสายตาของตัวเองอยู่ เธอมองออกว่าเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีเห็นตนเป็นสหายอย่างจริงใจ

แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือร่างของเธอแผ่กลิ่นอายชนิดหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัวเพราะทำพันธสัญญากับมณีวิญญาณ ทำให้คนที่วิญญาณใกล้ชิดกันเข้ามาใกล้เธออย่างไม่รู้ตัว

ซือหม่าโยวเล่อกลับมายังจวนแม่ทัพแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่วิทยาลัยให้ซือหม่าเลี่ยฟังรอบหนึ่ง พอซือหม่าเลี่ยได้ยินว่าคนตระกูลน่าหลานเป็นคนลงมือทำร้ายซือหม่าโยวเย่ว์ก็โมโหจนตบโต๊ะอ่านหนังสือพังทลาย แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “ระยะหลังไอ้ตระกูลน่าหลานนี่คอยลอบทำร้ายตระกูลเรามาตลอด ตอนนี้ถึงกับกล้าลงมือทำร้ายโยวเย่ว์! ดูเหมือนว่าที่โจมตีพวกเขาในระยะหลังๆ นี้ จะน้อยเกินไปสินะ!”

“นั่นสิ ตอนนี้น่าหลานหลานผู้นั้นถูกขับออกจากวิทยาลัยแล้วด้วย ดูจากวิธีจัดการเรื่องราวของตระกูลน่าหลานแล้ว เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยน้องห้าและตระกูลของพวกเราไปอย่างแน่นอน” ซือหม่าโยวเล่อพูด

“เช่นนั้นจะมีอะไรให้น่ากังวลใจกันเล่า! พวกเขาไม่มีทางปล่อยพวกเรา พวกเราก็มิได้คิดจะปล่อยพวกเขาไปเสียหน่อยนี่!” เสียงของซือหม่าโยวหมิงดังแว่วมาจากข้างนอก

ซือหม่าโยวเล่อเห็นซือหม่าโยวหมิงเดินเข้ามาจึงเอ่ยทักทายว่า “พี่รอง ท่านกลับมาแล้วหรือ”

“อื้ม พอกลับมาแล้วก็ได้ยินเรื่องที่เจ้าเล่ามาพอดีเลย” ซือหม่าโยวหมิงพูด “ตระกูลน่าหลานนั้นอาจมาหาเรื่องน้องห้าได้ตลอดเวลาเลย ท่านปู่ ในเมื่อตอนนั้นพวกเรารับปากอีกฝ่ายแล้วว่าจะปกป้องดูแลน้องห้าเป็นอย่างดี ดังนั้นจะปล่อยให้เขาตกอยู่ในอันตรายไม่ได้”

ซือหม่าเลี่ยพยักหน้า

“ท่านปู่ พี่รอง พวกท่านกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่” ซือหม่าโยวเล่อได้ฟังบทสนทนาของทั้งสองคนแล้วก็มองพวกเขาอย่างประหลาดใจ

ซือหม่าเลี่ยและซือหม่าโยวหมิงจึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าซือหม่าโยวเล่อยังอยู่ และนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่รู้ตัวตนของซือหม่าโยวเย่ว์มาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าโทสะเพียงชั่วครู่จะทำให้ลืมเลือนสิ่งนี้ไปเสียได้

ซือหม่าโยวหมิงตบบ่าซือหม่าโยวเล่อแล้วพูดอย่างแฝงนัยลึกซึ้งว่า “ความจริงแล้วน้องห้ามิใช่น้องในไส้ของพวกเราหรอกนะ”

“ท่านว่าอะไรนะ!” ข่าวนี้ทำให้ซือหม่าโยวเล่อตกใจจนตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่างพลางมองซือหม่าโยวหมิงอย่างไม่อยากเชื่อ

“นี่เป็นความจริง” ซือหม่าโยวหมิงพูด “ตอนนั้นที่น้องห้ามาบ้านเรา เจ้ายังเล็กนัก ดังนั้นเจ้าจึงจำไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดา”

“ความจริงแล้วน้องห้ามิใช่น้องในไส้ของพวกเรา…” ซือหม่าโยวเล่อทวนเช่นนี้ซ้ำอยู่สองรอบ หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองซือหม่าเลี่ยพลางถามว่า “เช่นนั้นบิดามารดาของน้องห้าคือใครกัน”

“พวกเราก็ไม่รู้เช่นกันว่ามารดาของเขาเป็นใคร แต่บิดาของเขาเคยมีบุญคุณต่อตระกูลซือหม่าของเรา

ตอนนั้นหลังจากที่ยกเขาให้กับพวกเราแล้วเขาก็หายสาบสูญไปเลย สำหรับตัวตนของเขานั้นพวกเราก็ไม่รู้เช่นกัน” ซือหม่าเลี่ยพูด

ตอนนั้นที่ตระกูลซือหม่ามายังสถานที่แห่งนี้แล้วประสบกับอันตราย ก็ได้บิดาของซือหม่าโยวเย่ว์ผ่านมาช่วยพวกเขาเอาไว้ได้พอดี ตอนนั้นพวกเขาได้พูดเอาไว้ว่าในภายหน้าหากมีโอกาสจะตอบแทนเขา คิดไม่ถึงว่าหลายสิบปีต่อมา เขาจะมาหาตนแล้วยกซือหม่าโยวเย่ว์ให้ ทั้งยังกำชับเขาเอาไว้ด้วยว่ามิอาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ตัวตนว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นอิสตรี ในตอนนั้นตระกูลซือหม่าเหลือผู้สืบทอดอยู่เพียงแค่ซือหม่าเลี่ยเพียงผู้เดียว

เพื่อปกป้องซือหม่าโยวเย่ว์ เขาจึงบอกกับโลกภายนอกว่าเป็นบุตรชายเขาเองที่พากลับมา แต่ความจริงในตอนนั้นบุตรชายของเขาได้หายตัวไปหลายปีแล้ว

ไม่พูดไม่ได้ว่าบิดามารดาของซือหม่าโยวเย่ว์นั้นหายสาบสูญไปเช่นเดียวกับบิดามารดาที่แท้จริงของนาง

ตอนนั้นซือหม่าโยวเล่อยังเล็กเกินไป ดังนั้นจึงจำความมิได้ แต่ซือหม่าโยวฉี ซือหม่าโยวหมิง และซือหม่าโยวหรานต่างก็รู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์มิใช่น้องในไส้ของพวกเขา แต่พวกเขามิได้คิดว่านางเป็นคนนอกสักนิด ทั้งยังรักใคร่ทะนุถนอมซือหม่าโยวเย่ว์มาโดยตลอด ประดุจลูกคนเล็กสุดของตระกูลซือหม่า

ซือหม่าโยวเล่อมองท่านปู่ของตนแล้วมองพี่ชาย เห็นคนทั้งสองดูไม่เหมือนว่ากำลังพูดปด จึงค่อยๆ ตกตะกอนข้อมูลนี้ในใจช้าๆ

“ท่านปู่ ตอนนั้นคนผู้นั้นมีบุญคุณช่วยชีวิตท่านและตระกูลซือหม่า วันนี้พวกเราก็มิอาจมองดูผู้อื่นมาทำร้ายน้องห้าได้” ซือหม่าโยวหมิงพูดอย่างเด็ดขาด

“อืม ตระกูลน่าหลานหาเรื่องทำร้ายตระกูลเรามาโดยตลอด เจ้าพาคนของกลุ่มองครักษ์เงาไปที่รอบๆ วิทยาลัย เมื่อใดที่โยวเย่ว์ออกจากวิทยาลัยให้คอยปกป้องเขาอย่างลับๆ อย่าให้คนของตระกูลน่าหลานทำร้ายเขาได้” ซือหม่าเลี่ยพูด “ส่วนภายในวิทยาลัย ข้าเชื่อว่าเฟิงจือสิงย่อมไม่มีทางปล่อยให้เขาเกิดอันตรายแม้แต่ปลายผมอย่างแน่นอน”

“นั่นสิ ที่แท้แล้วเฟิงจือสิงผู้นั้นเป็นใครกันแน่” ซือหม่าโยวเล่อถามอย่างใคร่รู้

ซือหม่าเลี่ยส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าเคยถามตาแก่ที่วิทยาลัยผู้นั้นแล้ว ทว่าแม้กระทั่งเขาเองก็ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเฟิงจือสิงเช่นกัน รู้เพียงแค่ว่าเขาน่าจะเป็นคนที่มาจากที่อื่น ทั้งยังมาเพราะโยวเย่ว์อีกด้วย”

“มาเพราะน้องห้าอย่างนั้นหรือ”

“อืม” ซือหม่าเลี่ยพูด “โยวเย่ว์พกป้ายชีวิตอันหนึ่งติดตัวเอาไว้ด้วย สิ่งของอย่างป้ายชีวิตนั้นมิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะมีได้ โดยทั่วไปแล้วต้องเป็นคนที่อยู่ในตระกูลใหญ่เท่านั้นจึงจะมีได้ นอกจากนี้ยังต้องวางอยู่ในโถงบรรพบุรุษของตระกูลอีกด้วย โยวเย่ว์มีป้ายชีวิต แต่กลับถูกบิดาของเขานำออกมา มิได้วางอยู่ที่โถงบรรพบุรุษ ชี้ให้เห็นว่าตัวตนของเขาต้องไม่ธรรมดาแน่ แต่กลับไม่ปลอดภัย”

พูดถึงป้ายชีวิตของซือหม่าโยวเย่ว์ สองพี่น้องซือหม่าโยวเล่อต่างนึกไปถึงช่วงเวลาหลายเดือนที่ซือหม่าโยวเย่ว์หายสาบสูญไป พวกเขาอาศัยป้ายชีวิตที่สมบูรณ์นั่นหล่อเลี้ยงจิตใจ จึงไม่วิปลาสไปเสียก่อน

“คล้ายว่าที่โลกแห่งนี้ของพวกเราจะไม่เคยได้ยินว่ามีคนที่ครอบครองของอย่างป้ายชีวิตนี้มาก่อนเลยนะ” ซือหม่าโยวเล่อพูด

“ใช่ คนของโลกแห่งนี้ย่อมไม่มีทางสร้างมันขึ้นมาได้อยู่แล้ว” ซือหม่าเลี่ยพูด “ไม่มีแม้กระทั่งวัตถุที่ใช้หลอมป้ายชีวิต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าต้องใช้พลังยุทธ์อันแข็งแกร่งเลย”

“ดังนั้นตัวตนของน้องห้า อาจจะมิใช่คนของโลกแห่งนี้อย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวหมิงถาม

“นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้นเอง” ซือหม่าเลี่ยพูด “แต่ตอนที่เฟิงจือสิงมาที่บ้านแล้วต้องการดูป้ายชีวิตของโยวเย่ว์ได้พูดมาประโยคหนึ่งว่าเขาได้อยู่ตอนที่สร้างป้ายชีวิตของโยวเย่ว์ด้วย บ่งชี้ว่าเขาก็น่าจะเป็นคนของสถานที่แห่งนั้นเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังรู้ตัวตนที่แท้จริงของโยวเย่ว์อีกด้วย!”

“เช่นนั้นเขาจะบอกตัวตนที่แท้จริงของน้องห้าให้น้องห้ารู้หรือไม่” ซือหม่าโยวหมิงขมวดคิ้ว

“ตอนนี้น่าจะยังหรอก” ซือหม่าเลี่ยพูด “ข้าดูท่าทางของเขาแล้วเหมือนจะมาคอยดูชีวิตของโยวเย่ว์มากกว่า มิได้คิดจะมาบอกความจริงเรื่องของเขาหรอก”

ได้ยินซือหม่าเลี่ยพูดเช่นนี้ ซือหม่าโยวหมิงและซือหม่าโยวเล่อก็พากันถอนหายใจ ต่อให้ซือหม่าโยวเย่ว์มิใช่น้องในไส้ของพวกเขา แต่ใช้ชีวิตด้วยกันมานานปีถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง พวกเขาย่อมไม่อยากให้มีใครมาทำลายชีวิตเช่นนี้อยู่แล้ว

“เอาละ โยวเล่อ เจ้ากลับไปที่วิทยาลัยได้แล้ว ข้ากับโยวหมิงจะปรึกษากันสักหน่อยว่าจะจัดการกับตระกูลน่าหลานเช่นไรดี” ซือหม่าเลี่ยพูด

“ได้ขอรับ หากมีเรื่องอันใดอยากให้ข้าทำก็ต้องบอกข้าด้วยนะ ข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลซือหม่าเช่นกัน!” ซือหม่าโยวเล่อพูดอย่างจริงจัง

“ภารกิจของเจ้าในตอนนี้ก็คือฝึกยุทธ์ให้ดีๆ และดูแลน้องห้าตอนอยู่ในวิทยาลัยก็พอแล้ว” ซือหม่าโยวหมิงตบบ่าซือหม่าโยวเล่อ

“ถ้าเช่นนั้นข้ากลับก่อนนะขอรับ” ซือหม่าโยวเล่อยักไหล่ก่อนจะออกไปจากห้องหนังสือ

ซือหม่าโยวหมิงเห็นซือหม่าโยวเล่อจากไปแล้วจึงหันมามองซือหม่าเลี่ยก่อนจะถามว่า “ท่านปู่ ท่านคิดจะจัดการกับตระกูลน่าหลานเช่นไรหรือ…”

…………………………………

Related

พอมาถึงห้องทำงานอาจารย์ใหญ่แล้วทุกคนยืนแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างรู้ตัว น่าหลานหลานยืนอยู่ด้านหลังผู้อำนวยการ ส่วนซือหม่าโยวเย่ว์และซือหม่าโยวเล่อยืนอยู่ด้านหลังเฟิงจือสิง เหอชิวจือมองๆ ดูแล้วก็มายืนอยู่ด้านข้างของซือหม่าโยวเย่ว์

อาจารย์ใหญ่นั่งลงบนที่นั่งแล้วมองผู้อำนวยการพลางพูดว่า “พวกเจ้าจัดการเรื่องราวของวิทยาลัยกันเช่นไร จนทำให้เกือบจะเกิดเรื่องฆ่าแกงกันอยู่แล้ว!”

“อาจารย์ใหญ่ขอรับ เป็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่ลงมือหมายจะสังหารน่าหลานหลาน ข้าคิดจะหยุดยั้งแต่กลับถูกอาจารย์เฟิงขัดขวางเอาไว้ ท่านควรจะลองถามอาจารย์เฟิงดูสักหน่อยว่าเพราะเหตุใดจึงต้องขวางข้าด้วยเล่า!” ผู้อำนวยการปัดความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับซือหม่าโยวเย่ว์และเฟิงจือสิง

อาจารย์ใหญ่มองเฟิงจือสิงด้วยสีหน้าเยียบเย็น แต่ยังมองออกว่าไฟโทสะลุกโชน ว่ากันว่ายามที่เขาเกิดโทสะนั้นน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์อดเป็นกังวลแทนเฟิงจือสิงมิได้ เกรงว่าอาจารย์ใหญ่จะทำให้เขาเดือดร้อน

แต่อาจารย์ใหญ่กลับตะคอกใส่ผู้อำนวยการในทันใด “เจ้าคิดว่าวิทยาลัยแห่งนี้จะสนใจแต่สิ่งที่เจ้าพูดอย่างนั้นหรือ ถึงแม้ว่าข้าจะมิได้สนใจเรื่องภายในวิทยาลัยแต่อย่างใด แต่ข้าก็มิใช่คนหูหนวกตาบอดหรอกนะ ข้าอยู่ที่นี่ย่อมเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในจัตุรัสได้อย่างกระจ่างชัดเจน! ตอนนี้เจ้ายังคิดจะปัดความรับผิดชอบให้กับผู้อื่นอีก ข้าว่าผู้อำนวยการอย่างเจ้าช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี! อยากสละตำแหน่งใช่หรือไม่ ข้าจะได้ให้คนมารับตำแหน่งแทนเจ้าเดี๋ยวนี้เลย!”

“มิใช่นะขอรับ อาจารย์ใหญ่ ข้า…” ผู้อำนวยการคิดจะอธิบาย แต่กลับถูกอาจารย์ใหญ่จ้องกลับไป

“หินเสียงเล่า” อาจารย์ใหญ่ถาม

เฟิงจือสิงก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้ววางหินเสียงลงบนโต๊ะ

อาจารย์ใหญ่หยิบหินเสียงขึ้นมาแล้วส่งพลังวิญญาณเข้าไปข้างใน เสียงสนทนาเมื่อครู่ดังขึ้นอีกครั้ง เขาฟังไปพลางกวาดสายตาทิ่มแทงผู้อำนวยการราวกับมีด ความหมายก็คือชัดเจนถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังตัดสินเช่นนั้นออกมาได้อีก น่ากลัวเสียจนทำให้ผู้อำนวยการหลั่งเหงื่อเยียบเย็น

หลังฟังเสียงบันทึกจบ อาจารย์ใหญ่มองน่าหลานหลานพลางเอ่ยว่า “เจ้ายังมีสิ่งใดจะพูดอีกหรือไม่”

น่าหลานหลานส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จัดการเรื่องการไล่ออกเสียเถอะ” อาจารย์ใหญ่พูด “เหอชิวจือ เจ้าก็เช่นกัน พวกเจ้าสองคนกลับไปเก็บข้าวของออกจากวิทยาลัยเสีย ต่อจากนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าก็มิใช่นักเรียนของวิทยาลัยอีกแล้ว ตอนนี้กลับไปเก็บข้าวของได้แล้ว”

น่าหลานหลานนำออกไปก่อน ตอนที่ผ่านข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ก็ทิ่มแทงเธอด้วยสายตาครั้งหนึ่ง

เหอชิวจือเห็นว่าเหตุการณ์ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว เพียงแค่จากไปอย่างไม่เต็มใจเท่านั้น

“สำหรับเจ้า เป็นถึงผู้อำนวยการแต่กลับตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม ฉ้อโกงเล่นพรรคเล่นพวก พักงานหนึ่งปี ระหว่างนี้จะมีคนมารับตำแหน่งแทนเจ้า ส่วนเจ้ากลับบ้านไปเข้าฌานทบทวนตัวเองให้ดีๆ เถิด!” อาจารย์ใหญ่พูดกับผู้อำนวยการ

ผู้อำนวยการคิดจะแก้ตัว แต่เมื่อเห็นสายตาเด็ดขาดของอาจารย์ใหญ่แล้วจึงได้แต่กลืนคำพูดกลับลงไปแล้วหมุนกายเดินออกมา

ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูกตัวเอง เรื่องนี้จัดการเสร็จเรียบร้อยเช่นนี้หรือ

ไม่ว่าจะพูดอย่างไรน่าหลานหลานผู้นี้ก็ถูกไล่ออกไปแล้ว นับได้ว่าเป้าหมายข้อแรกของเธอสำเร็จเรียบร้อยแล้ว

“เฮอะ!”

ตอนนี้ภายในห้องยังเหลือซือหม่าโยวเล่อและซือหม่าโยวเย่ว์ เฟิงจือสิง รวมถึงอาจารย์ใหญ่อยู่ เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ยังคงฟุ้งซ่านอยู่ อาจารย์ใหญ่ส่งเสียงเฮอะเสียงหนึ่งเพื่อดึงสติของเธอกลับมา

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นอาจารย์ใหญ่มองตนอยู่จึงรีบยืนให้นิ่งๆ เพื่อแสดงท่าทีของนักเรียนที่ดี

“เจ้ามาแกล้งทำเชื่อฟังอะไรกันตอนนี้!” อาจารย์ใหญ่มองดูท่าทีที่ซือหม่าโยวเย่ว์แสดงออกมาแล้วพูดขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าถ้าหากข้าไม่ลงมือ วันนี้เจ้าก็ต้องถูกไล่ออกเช่นกัน! รังแกเพื่อนนักเรียน เจ้าช่างกล้าไม่น้อยเลยจริงๆ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มยิงฟันแล้วพูดว่า “มิใช่เพราะข้ารู้ว่าท่านอาจารย์ใหญ่ต้องมาแน่นอนจึงกล้าทำเช่นนี้หรอกหรือขอรับ”

“เจ้ารู้อย่างนั้นหรือ” อาจารย์ใหญ่เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

“ถูกต้องแล้วขอรับ! ท่านยืนดูอยู่ที่หน้าต่างนี่ตั้งเนิ่นนานถึงเพียงนั้น ย่อมไม่มีทางมองดูพวกเราทำเรื่องวุ่นวายใหญ่โตอยู่แล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้ารู้ว่าข้าดูอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ” อาจารย์ใหญ่และเฟิงจือสิงประสานสายตากัน การที่เฟิงจือสิงค้นพบเขานั้นเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง เพราะพลังยุทธ์เกินหยั่งรู้ของเขานั่นเอง แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้ด้วยหรือว่าเขาสังเกตการณ์อยู่

“ใช่แล้ว ท่านอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนที่พวกอาจารย์เฟิงมาถึงจัตุรัสแล้วนี่ขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจ

เธอสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาจากที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว คนที่มองออกไปจากที่นี่ได้ นอกจากอาจารย์ใหญ่แล้วจะยังมีใครอีกเล่า

ชาติก่อนเป็นมือสังหาร จึงไวต่อสายตาเช่นนี้เป็นที่สุดอยู่แล้ว และสิ่งที่เธอเชี่ยวชาญที่สุดคือการซ่อนตัวเองและการค้นหาตัวผู้อื่น เธอจึงสัมผัสถึงสายตาที่มิได้ซ่อนเร้นเลยแม้แต่น้อยของอาจารย์ใหญ่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว

“ดังนั้นเจ้าจึงได้ใช้วิธีการเช่นนี้มาเรียกให้ข้าต้องออกไปอย่างนั้นน่ะหรือ” อาจารย์ใหญ่พูด

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

“ผู้อำนวยการผู้นี้มีจิตใจลำเอียงคิดปกป้องน่าหลานหลาน มีเพียงแค่ท่านเท่านั้นที่หยุดเขาได้ ทว่าท่านเอาแต่ยืนดูเรื่องสนุกอยู่ที่นี่โดยไม่เผยตน ข้าจึงหมดหนทางอย่างไรเล่า!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางทอดถอนใจ “แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าหากเมื่อครู่ข้าหุนหันพลันแล่นสักหน่อย หรือว่ามือไวอีกนิด ขยับมืออีกสักหน่อย…”

เมื่อเห็นสีหน้าของอาจารย์ใหญ่เข้มขึ้นเรื่อยๆ เสียงของซือหม่าโยวเย่ว์ก็เบาลงเรื่อยๆ และคำพูดสุดท้ายก็ติดอยู่ในคอหอยแล้วถูกกลืนกลับลงไป

“ข้ารับปากท่านปู่เจ้าว่าจะจัดการเรื่องนี้ของเจ้าให้เรียบร้อย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะจับตัวคนร้ายออกมาเองได้ ตอนนี้ก็นับว่าได้ทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแล้ว เจ้าอยากจะทำอะไรนอกวิทยาลัยข้าไม่สนใจหรอกนะ แต่ตระกูลน่าหลานนี้มิอาจล่วงเกินได้โดยง่าย ตอนนี้ตระกูลพวกเจ้าก็เป็นปรปักษ์กับพวกเขาแล้ว จะทำอะไรเองก็ต้องระมัดระวังด้วย” อาจารย์ใหญ่พูด

ความคิดอันแยบยลของตนถูกเปิดเผยเสียแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจ จึงหัวเราะหึๆ ออกมา

อาจารย์ใหญ่โบกไม้โบกมือพลางพูดว่า “พวกเจ้าสองคนกลับไปเสียเถิด ข้ากับอาจารย์เฟิงมีเรื่องต้องคุยกันสักหน่อย”

“ขอรับ อาจารย์ใหญ่!”

ซือหม่าโยวเย่ว์และซือหม่าโยวเล่อออกมาแล้วก็ประสานสายตากันครั้งหนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา

ซือหม่าโยวเล่อเช็ดเหงื่อเยียบเย็นบนหน้าผากพลางพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าทำเช่นนี้ท่ามกลางสายตามากมายที่จับจ้องอยู่ แล้วยิ่งคิดไม่ถึงว่าอาจารย์ใหญ่จะมิได้สอบสวนเลยด้วย เจ้าทำให้ข้าตกใจแทบตายแล้วจริงๆ!”

“หึๆ ใครใช้ให้เจ้าผู้อำนวยการนั่นน่ารำคาญถึงเพียงนั้นกันเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์วางมือลงบนบ่าของซือหม่าโยวเล่อแล้วพูดว่า “แต่ธิดาแห่งสวรรค์ของพวกเขาถูกไล่ออกเสียแล้ว ตระกูลน่าหลานย่อมไม่มีทางอยู่เฉยอย่างแน่นอน เกรงแต่ว่าพวกเขาจะทำให้ท่านปู่เดือดร้อนน่ะสิ”

“อืม ก็มีความเป็นไปได้อยู่นะ” ซือหม่าโยวเล่อพยักหน้า “ข้ากลับไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ท่านปู่ฟังก่อนดีกว่า ให้เขาระวังตัวสักหน่อย”

“ก็ได้ รบกวนท่านด้วยนะ ท่านพี่สี่”

“ขอบคุณอะไรกันเล่า ใครใช้ให้ข้าเป็นพี่สี่ของเจ้ากัน! ข้าไปก่อนนะ” ซือหม่าโยวเล่อตบบ่าซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะเดินก้าวยาวๆ จากไป

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเงาหลังที่จากไปของเขาแล้วยิ้มจางๆ ตนก่อเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ แต่เขากลับไม่ตำหนิตนเลยแม้แต่ประโยคเดียว มีคนในครอบครัวเช่นนี้ช่างโชคดีเสียจริง!

พอผลักประตูใหญ่ของเรือนพักเข้ามาก็เห็นเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีนั่งอยู่ในศาลาพักร้อนของบ้าน พอเห็นเธอเข้าแล้วเจ้าอ้วนชวีก็กวักมือเรียกทันทีเธอเดินเข้าไปแล้วนั่งลงพลางเอ่ยว่า “พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ที่นี่หรือ”

“รอเจ้าอย่างไรเล่า!” เจ้าอ้วนชวีพูด “อาจารย์ใหญ่คงมิได้ทำให้เจ้าลำบากกระมัง”

“ไม่เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เจ้าอ้วนชวีถอนหายใจ เขากลัวอยู่ว่าซือหม่าโยวเย่ว์อาจถูกไล่ออกเช่นเดียวกัน เช่นนั้นหลังจากนี้ตนก็จะมิได้กินของอร่อยอีกต่อไปแล้ว

“ต่อจากนี้เจ้าคิดจะทำอย่างไรหรือ นกสองหัวอย่างเหอชิวจือผู้นี้อาจจะออกจากเมืองหลวงไปแล้ว”  เว่ยจือฉีถาม

“ข้าไม่ต้องทำอะไรเหอชิวจือผู้นั้นหรอก ตระกูลน่าหลานไม่มีทางปล่อยนางไปแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนนี้น่าหลานหลานถูกไล่ออกไปแล้ว ต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องของตระกูลน่าหลานกับตระกูลซือหม่าแล้วล่ะ”

“เจ้าก็ต้องระวังน่าหลานฉี น้องชายของน่าหลานหลานผู้นั้นเอาไว้ด้วย” เว่ยจือฉีเอ่ยเตือน

“อืม ข้าจะระวัง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ต่อจากนี้ก็ต้องรีบฝึกยุทธ์ให้เร็วที่สุดเพื่อรอออกไปปฏิบัติภารกิจกับพวกเจ้าแล้ว”

…………………………………………

Related

“ท่านพี่สี่ ท่านอย่าเพิ่งกรุ่นโกรธไป ข้าเชื่อว่าวิทยาลัยจะต้องผดุงความยุติธรรมอยู่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ตบบ่าซือหม่าโยวเล่อ หลังจากนั้นก็มองเหอชิวจือที่ตื่นตกใจจนร่างกายสั่นสะท้าน แล้วมองน่าหลานหลานที่มั่นอกมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าตนเองจะไม่เป็นไรก่อนจะพูดว่า “น่าหลานหลาน เหตุใดเจ้าจึงต้องทำร้ายข้าด้วยเล่า”

คำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้จัตุรัสที่เงียบสงบร้อนระอุขึ้นมาในทันใด ทุกคนพากันมองน่าหลานหลานอย่างไม่อยากเชื่อ ที่แท้แล้วเป็นนางเองหรือที่ทำร้ายซือหม่าโยวเย่ว์!

“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหลนะ ข้าไปทำร้ายเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน!” น่าหลานหลานปฏิเสธ “เจ้าหายตัวไประหว่างการเลือกไข่สัตว์อสูรของนักเรียนใหม่ ข้าเป็นนักเรียนชั้นปีอื่น แล้วจะไปทำร้ายเจ้าได้อย่างไรกัน ข้ามิได้ไปที่ถ้ำด้วยกันกับเจ้าเสียหน่อยนี่”

ผู้อำนวยการพยักหน้าแล้วพูดว่า “น่าหลานหลานพูดถูก นางมิใช่นักเรียนใหม่เสียหน่อย แล้วจะไปทำร้ายเจ้าได้อย่างไรกัน!”

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทางเช่นนั้นของผู้อำนวยการที่คิดจะลำเอียงเข้าข้างน่าหลานหลานเสียแล้ว

“นางไม่ได้ไปก็จริง แต่นางให้ผู้อื่นทำแทนน่ะสิ ใช่หรือไม่ เหอชิวจือ เจ้าคงมิได้ผลักข้าเข้าไปบนค่ายกลนำส่งอันที่สี่อย่างไม่มีเหตุมีผลหรอกกระมัง”

เหอชิวจือถูกเรียกชื่อ ร่างกายสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นทุกคนมองมาทางตนจึงพูดติดๆ ขัดๆ ออกมา

“ข้า… ข้า…”

น่าหลานหลานเห็นท่าทีเช่นนั้นของเหอชิวจือ จึงมองผู้อำนวยการอย่างรู้สึกผิดพลางพูดว่า “ผู้อำนวยการเจ้าคะ ข้ามิได้คิดทำร้ายซือหม่าโยวเย่ว์เลยจริงๆ ถ้าหากนางให้เหอชิวจือผู้นี้บอกว่าข้าเป็นคนบงการเล่า ข้าก็หมดหนทางโต้แย้งสิเจ้าคะ”

เหอชิวจือคิดไม่ถึงว่าน่าหลานหลานจะพูดเช่นนี้จึงมองนางอย่างตกใจ นัยน์ตาเผยแววโกรธแค้นและไร้ทางสู้ “คุณหนูน่าหลาน เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นท่านนั่นแหละที่บอกข้าว่าหากเข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่แล้วก็ต้องตายอย่างไร้ข้อสงสัย ท่านให้ข้าผลักซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปในนั้นระหว่างการเลือกไข่สัตว์อสูร!  ฉะนั้นท่านจะโบ้ยให้ข้าเป็นคนผิดแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้!”

น่าหลานหลานแสดงท่าทีเหมือนว่าเจ้าถึงกับกล้าพูดเช่นนี้ได้แล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าดูสิ ข้าบอกแล้วว่านางต้องพูดเช่นนี้ ข้าคิดว่าต้องเป็นเจ้า ซือหม่าโยวเย่ว์ ที่ให้นางพูดเช่นนี้กระมัง”

“ใช่หรือไม่เจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจแล้วมิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มร้ายกาจ เห็นท่าทีของน่าหลานหลานแล้วเหมือนกับดูตัวตลกคนหนึ่งกระโดดขึ้นลงอย่างไรอย่างนั้น

“รู้ดีอยู่แก่ใจอะไรกัน ซือหม่าโยวเย่ว์ ข้ารู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราสองครอบครัวไม่ใคร่จะดีนัก แต่เจ้าจะมาป้ายสีข้าเช่นนี้มิได้หรอกนะ!”

“ซือหม่าโยวเย่ว์ ที่แท้แล้วเจ้าคิดจะทำสิ่งใดกันแน่” มู่หรงอานมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างรังเกียจ รู้สึกว่าที่เธอทำเช่นนี้ก็เพื่อเรียกร้องความสนใจจากตน จึงยิ่งเห็นเธอขวางหูขวางตามากขึ้นไปอีก

“ข้าคิดจะทำสิ่งใด ต้องให้เจ้ามาถามด้วยหรือ”  ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองมู่หรงอานอย่างดูแคลนปราดหนึ่ง เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาก็รู้ว่าเขาหลงตัวเองอีกแล้ว

เฟิงจือสิงกลับมามีท่าทีสงบนิ่งดังเดิมแล้วพูดว่า “โยวเย่ว์ เจ้าบอกว่าเหอชิวจือผลักเจ้าเข้าไปในค่ายกลนำส่ง และนางก็รับคำบงการมาจากน่าหลานหลานอย่างนั้นหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

เฟิงจือสิงมองเหอชิวจือแล้วถามด้วยสีหน้าเยียบเย็น “เหอชิวจือ เจ้ายอมรับผิดหรือไม่”

เหอชิวจือเห็นท่าทีเช่นนั้นของเฟิงจือสิงจึงรีบคุกเข่าลงไปในทันทีแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์เฟิง ข้าไม่ได้คิดจะทำร้ายซือหม่าโยวเย่ว์เลย เป็นน่าหลานหลานนั่นแหละที่ให้ข้าทำเช่นนี้ ถ้าหากมิใช่เพราะนางบอกข้า นักเรียนใหม่คนหนึ่งอย่างข้าจะรู้ได้อย่างไรกันว่าค่ายกลนำส่งอันที่สี่นั้นมีปัญหา”

“คนในวิทยาลัยที่รู้ว่าค่ายกลนำส่งอันนั้นมีปัญหาก็มิได้มีแค่น่าหลานหลานเพียงคนเดียวเสียหน่อย เจ้าอาศัยอะไรมาอ้างว่านางบงการให้เจ้าทำเช่นนี้กันเล่า เจ้ามีหลักฐานอันใดกัน” ผู้อำนวยการพูด “เช่นนั้นข้าก็พูดได้สิว่าเป็นผู้อื่นที่บงการเจ้า และเจ้าก็อยากปกป้องผู้อยู่เบื้องหลังเจ้าผู้นั้น”

“คำพูดของข้าอย่างไรเล่าที่เป็นหลักฐาน! เป็นน่าหลานหลานจริงๆ ที่ให้ข้าทำเช่นนี้!” เหอชิวจือคิดไม่ถึงว่าผู้อำนวยการจะไม่เชื่อคำพูดของตน จึงตะลึงงันไปชั่วขณะ

เหตุการณ์ในตอนนี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของซือหม่าโยวเย่ว์เลย ถึงอย่างไรผู้อำนวยการผู้นี้ก็ใช้แซ่น่าหลาน เป็นคนตระกูลน่าหลานด้วยกัน ย่อมออกปากรับแทนน่าหลานหลานอยู่แล้ว

“คำพูดของเจ้าย่อมไม่อาจใช้เป็นหลักฐานได้อยู่แล้ว” ผู้อำนวยการพูด “ถ้าหากเจ้าไม่มีหลักฐานอื่น ข้าก็จะตัดสินเรื่องนี้แล้วนะ”

“ข้า…” เหอชิวจือถลึงตาใส่น่าหลานหลานอย่างไม่ยอมจำนน ตอนนั้นตนเกือบคิดว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะไม่ชีวิตรอดกลับมาอยู่แล้ว นอกจากนี้คนทั้งสองก็พบกันตามลำพังทุกครั้ง สัญญากันด้วยปากเปล่า ก็ย่อมไม่มีหลักฐานอื่นใดให้อ้างถึงได้อยู่แล้ว

“ตอนนี้ข้า ผู้อำนวยการ ขอประกาศว่า เหอชิวจือลอบทำร้ายซือหม่าโยวเย่ว์ ฝ่าฝืนกฎที่ห้ามทำร้ายนักเรียนของวิทยาลัย ขอขับเหอชิวจือออกจากวิทยาลัย ปลดออกจากสถานภาพนักเรียน ต่อจากนี้ไปจะไม่ได้รับความคุ้มครองจากวิทยาลัยอีก ออกไปไม่อาจเรียกตัวว่าเป็นนักเรียนของวิทยาลัยได้อีกต่อไป” ผู้อำนวยการพูด

“ไม่ อย่าไล่ข้าออกเลยนะเจ้าคะ!” เหอชิวจือได้ยินผู้อำนวยการไล่ตนออกไปเช่นนี้ก็ร้องไห้คร่ำครวญ “เป็นน่าหลานหลานจริงๆ ที่ให้ข้าทำเช่นนี้ นางต่างหากเล่าที่เป็นต้นคิด!”

“พูดจาเหลวไหล ตอนนี้เจ้าก็มิใช่นักเรียนของวิทยาลัยแล้ว ถ้าหากยังบังอาจเหลวไหลใส่ร้ายนักเรียนของวิทยาลัยอยู่อีก วิทยาลัยก็จะไม่เมตตาเจ้าแล้วนะ!” ผู้อำนวยการตะคอก หลังจากนั้นก็หันไปมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วถามว่า “การตัดสินใจนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังรอให้ผู้อำนวยการลงโทษเหอชิวจืออยู่ จึงเอ่ยว่า “ข้าพึงพอใจกับการจัดการผู้สมรู้ร่วมคิดนี้มาก แต่ขอให้ท่านผู้อำนวยการได้โปรดจัดการกับผู้กระทำผิดหลักอย่างเป็นธรรมด้วยเจ้าค่ะ”

ผู้อำนวยการได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็เลิกคิ้วโดยสัญชาตญาณพลางเอ่ยว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“หมายความตรงตามที่พูดนั่นแหละ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เมื่อครู่ท่านบอกว่าให้นำหลักฐานออกมา ท่านถามแค่เหอชิวจือเท่านั้น ไม่ได้ถามข้าเลย!”

“เจ้าบอกว่าเจ้ามีพลักฐานอย่างนั้นหรือ” เฟิงจือสิงมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วถามขึ้น

“ใช่แล้ว จือฉี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางมองเว่ยจือฉี

“ได้เลย” เว่ยจือฉีหยิบเอาหินเสียงออกมาแล้วส่งให้ซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบหินเสียงมาแล้วหันไปมอบให้กับเฟิงจือสิงพลางพูดว่า “ทั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว”

เฟิงจือสิงคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะถึงกับมีหินเสียงอยู่ในครอบครอง เขาย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าของสิ่งนี้ใช้งานอย่างไร จึงกุมหินเสียงเอาไว้แล้วส่งพลังวิญญาณเข้าไปเล็กน้อย ลวดลายบนหินเสียงก้อนนั้นก็เริ่มโคจรอีกครั้ง

“ผู้อำนวยการ ท่านฟังให้ดีล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดยิ้มๆ

“ช่วยชีวิตหรือ ว่ามาสิ คราวนี้เจ้าไปยั่วยุใครเข้าอย่างนั้นหรือ” เสียงของน่าหลานหลานดังออกมาจากในหินเสียง

“เป็นซือหม่าโยวเย่ว์น่ะ เขากลับมาแล้ว” เป็นเสียงของเหอชิวจือ

“ซือหม่าโยวเย่ว์หรือ”

“เจ้าบอกว่าเขากลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว วันนี้ข้าเห็นเขาที่อาคารเรียนตัวเป็นๆ เลย ยังมีชีวิตแน่นอน!”

“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นเขา”

เสียงภายในหินเสียงทำให้เหอชิวจือและน่าหลานหลานพากันสะดุ้ง นี่เป็นเสียงสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ในศาลาริมทะเลสาบเมื่อคืนชัดๆ

“เป็นเขาจริงๆ นะ! คุณหนูน่าหลาน ท่านเคยบอกว่าเมื่อเข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่แล้วจะต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา ข้าจึงได้เชื่อคำพูดท่านแล้วผลักเขาเข้าไป แต่ตอนนี้เขากลับมาแล้ว และเขายังจะมาแก้แค้นข้าด้วย ทั้งแววตาของเขายังชวนให้คนขนพองสยองเกล้า บอกว่าเขาจะมาเอาชีวิตข้า! คุณหนูน่าหลาน ท่านต้องช่วยข้านะ ตอนนั้นเป็นท่านนั่นแหละที่ให้ข้าทำเช่นนี้!”

“เจ้าตกใจอันใดกัน! ต่อให้คนไร้ค่าผู้นั้นกลับมาแล้วเขาจะทำอะไรพวกเราได้เล่า”

“แต่เขาเห็นข้าผลักเขาเข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่น่ะสิ! เขาต้องมาแก้แค้นข้าอย่างแน่นอนเลย!”

“วิทยาลัยมีกฎห้ามไม่ให้นักเรียนต่อสู้ฆ่าฟันกัน หากมีการทำร้ายกันเป็นการส่วนตัวแล้วถูกพบเข้าก็จะถูกขับไล่ออกจากวิทยาลัยในทันที ขอเพียงแค่ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่มีหลักฐานก็ไม่มีทางบอกได้หรอกว่าพวกเราเป็นคนทำ เพียงแค่ตอนที่เขามาสอบสวนเจ้าแล้วเจ้าไม่ยอมรับ ก็ไม่มีทางเกิดอันตราย ค่อยว่ากันเถิดเพียงคนไร้ค่าคนหนึ่งจะก่อความวุ่นวายอะไรให้เจ้าในวิทยาลัยได้ เจ้าคงไม่พ่ายแพ้แม้กระทั่งคนเช่นนั้นกระมัง”

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ นักเรียนที่อยู่รอบๆ ต่างพากันมองมายังน่าหลานหลานอย่างตื่นตกใจ เป็นนางที่บงการให้เหอชิวจือทำเช่นนี้จริงๆ เสียด้วย!

………………………

Related

เพียงไม่นาน อาจารย์ท่านหนึ่งก็เดินเข้ามา ตอนที่เห็นซือหม่าโยวเย่ว์พลันตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่ก็คุมสติเอาไว้ได้อย่างรวดเร็วแล้วเริ่มต้นชั้นเรียน

คาบเรียนนี้เป็นความรู้เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ซึ่งพูดถึงเทือกเขาผู่สั่วพอดี หลังจากพูดถึงภูมิประเทศของที่นั่นแล้วก็เริ่มเล่าถึงสัตว์อสูรวิเศษภายในเทือกเขาให้นักเรียนฟัง อธิบายถึงลักษณะของสัตว์อสูรวิเศษต่างๆ ให้นักเรียนฟังตลอดทั้งคาบเรียน

ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังอย่างตั้งใจ คิดจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งนี้ให้ดียิ่งขึ้น ก็ต้องเข้าใจโลกแห่งนี้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เธอก็เคยเห็นสัตว์อสูรวิเศษจำนวนหนึ่งที่อาจารย์พูดถึงที่เทือกเขาผู่สั่วมาแล้ว ยามฟังจึงไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อจนเกินไป

โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่อาจารย์ท่านนี้พูดยังเป็นสิ่งที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริงอีกด้วย ถ้าหากเธอได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ก่อนที่จะไปยังเทือกเขาผู่สั่ว การจัดการกับสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นก็คงจะมิได้ยากลำบากเหมือนในตอนนั้นแล้ว

ทั้งเธอและเป่ยกงถังต่างก็ฟังกันอย่างตั้งใจ แต่เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีกลับมิได้มีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเลย เพียงจับเนื้อหาได้รางๆ

ในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกเรียน พออาจารย์เดินจากไป คนทั้งสองก็มองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งแล้ววิ่งออกไปในทันที คนหนึ่งไปพบเฟิงจือสิง ส่วนอีกคนวิ่งไปยังจัตุรัสกลางวิทยาลัย

ก่อนจะจากไป เว่ยจือฉียังตะโกนไปทางห้องเรียนด้วยว่า “ถ้าอยากชมเรื่องสนุกก็ไปที่จัตุรัสกลางวิทยาลัยกันนะ!”

พอได้ยินเว่ยจือฉีตะโกนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ ความอยากรู้อยากเห็นของทุกคนถูกปลุกขึ้นมา หลังจากนั้นก็พากันไปยังจัตุรัสกลางวิทยาลัย

เหอชิวจือเห็นว่าทุกคนไปกันหมดแล้ว ก็ยังนั่งอยู่บนที่นั่งของตนไม่ขยับเขยื้อน นางมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่าเรื่องสนุกในคราวนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับตนแน่นอน

“ไปกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังรออยู่ที่ด้านหลังของห้องเรียน เห็นว่าคนอื่นๆ ไปกันหมดแล้ว แต่เหอชิวจือยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนจึงเข้าไปเรียก

“ข้า… ข้าไม่ไปหรอก” เหอชิวจือพูด “ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ใช่แล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องทำอีก ขอตัวก่อนนะ”

พูดแล้วนางก็ลุกขึ้นหมายจะจากไป

ซือหม่าโยวเย่ว์คว้าคอเสื้อของนางเอาไว้แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นหนึ่งในตัวเอกของวันนี้ ถ้าหากเจ้าไม่ไป เช่นนั้นการแสดงนี้ก็คงไร้ความหมายแล้วสิ! ไปเถิด”

“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าปล่อยข้านะ!” เหอชิวจือได้ฟังซือหม่าโยวเย่ว์พูดเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ยอมไป นางบิดตัวหมายจะให้หลุดจากมือของเธอ

แต่ไม่ว่านางจะขยับตัวเช่นไรก็ยังคงถูกคว้าเอาไว้อย่างแน่นหนา

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเหอชิวจืออยู่ไม่สุขเช่นนี้จึงคว้ามือของนางมาออกแรงหักมากยิ่งขึ้น เจ็บจนนางต้องกัดฟันกรอดแล้วตะโกนด่าเสียงดัง “ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าคิดจะทำอะไรกัน! เจ้าไม่กลัวจะถูกขับออกจากวิทยาลัยหรืออย่างไร”

“เก็บความคิดพวกนั้นของเจ้าไปเสีย!” ซือหม่าโยวเย่ว์ออกแรงที่มือมากยิ่งขึ้น “เจ้าคิดว่าข้าจะจัดการเจ้าเป็นการส่วนตัวอย่างนั้นหรือ ข้าไม่มีทางให้น่าหลานหลานหาข้ออ้างมาขับไล่ข้าออกจากวิทยาลัยอยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ ในเมื่อบอกแล้วว่าเจ้าต้องไป เช่นนั้นเจ้าอย่าขัดขืนเลยจะดีที่สุด เป่ยกงถังน่ะไม่ได้พูดง่ายเหมือนข้าหรอกนะ”

เหอชิวจือมองเป่ยกงถังที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วเลิกขัดขืน

หลายเดือนมานี้พวกนางได้ทดสอบการต่อสู้กันจริงๆ อยู่บ้าง พลังการต่อสู้ของเป่ยกงถังผู้นี้ หากบอกว่านางเป็นที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าตนเป็นที่หนึ่ง

“ในเมื่อตอนนั้นเลือกที่จะทำร้ายข้า เจ้าก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือเรื่องที่จะเกิดในวันนี้เอาไว้แล้วสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น

เมื่อถึงตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังพาตัวเหอชิวจือมายังจัตุรัสกลางวิทยาลัย ก็มีคนจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ที่จัตุรัสแล้ว นอกจากนักเรียนใหม่แล้วก็ยังมีนักเรียนสายชั้นอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากด้วย

จัตุรัสกลางวิทยาลัยแห่งนี้อยู่ตรงกลางของวิทยาลัยพอดิบพอดี เป็นเส้นทางที่นักเรียนจำเป็นต้องผ่านหลังเลิกเรียนอยู่แล้ว พอได้ยินว่ามีเรื่องสนุกให้ชม ทุกคนจึงพากันมารอดู

คนที่มาชมเรื่องสนุกพากันยืนจับเป็นกลุ่มสองสามคน ทุกคนต่างอยากรู้อยากเห็นว่าความสนุกในวันนี้จะเป็นเรื่องใด

น่าหลานหลานและมู่หรงอานออกมาจากชั้นเรียนด้วยกัน ทั้งยังมีเพื่อนร่วมชั้นสามสี่คนออกมาพร้อมกันด้วย ตอนที่พวกเขาเดินผ่านจัตุรัสกลางวิทยาลัยก็ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ขวางทางเอาไว้

เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ คนทั้งสองที่เดินนำหน้าก็ก้มหน้าลง แล้วมู่หรงอานพูดด้วยสีหน้าเยียบเย็นว่า “ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน!”

“ซือหม่าโยวเย่ว์ เหตุใดเจ้าถึงไร้ยางอายเช่นนี้ เพิ่งได้ยินมาว่าเจ้ากลับมาแล้ว ก็วิ่งแจ้นมาเกาะแกะคุณชายมู่หรงเลยหรือ” คนด้านหลังเปิดปากด่า

“เขาเคยมียางอายเสียที่ไหนกัน มิใช่ว่าเห็นคุณชายมู่หรงครั้งใดก็เข้ามาเกาะติดราวกับสุนัขหรอกหรือ”

ซือหม่าโยวเล่อได้ข่าวของซือหม่าโยวเย่ว์ในตอนเช้า บอกว่าหลังจากเลิกเรียนแล้วให้มาที่จัตุรัสกลางวิทยาลัยด้วย แต่คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงแล้วจะได้ยินคนเหล่านั้นด่าว่าน้องชายของตน จึงพุ่งเข้ามาแล้วต่อยคนที่พูดประโยคนั้นไปหมัดหนึ่ง

“กล้าด่าน้องชายข้า รนหาที่ตายนัก!”

“อ๊าก…” คนผู้นั้นถูกต่อยจนล้มลงไปกองกับพื้น

“ซือหม่าโยวเล่อ เจ้าอยากจะสู้กันอย่างนั้นหรือ” คนเหล่านั้นรีบเข้ามาดึงเพื่อนของตนขึ้น

“สู้กันแล้วจะเป็นอย่างไรหรือ” ซือหม่าโยวเล่อมองคนที่จ้องตนแล้วยืนตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์พลางเชิดคางขึ้นด้วยท่าทีว่าใครกล้าเข้ามาก็จะต่อยคนผู้นั้น

ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงแขนของซือหม่าโยวเล่อแล้วพูดว่า “ท่านพี่สี่ พูดกับคนพวกนี้ไปก็แปดเปื้อนปากเปล่าๆ นี่มิใช่การดึงตัวเองให้ต่ำลงหรอกหรือ”

“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าว่าอะไรนะ” มีคนตะคอกขึ้น

“ท่านพี่สี่ ท่านดูสิ แม้กระทั่งภาษาคนก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง หากท่านสนทนากับพวกเขาต่อไปอีกก็คงไม่ได้ใจความอันใดขึ้นมาหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่ หลังจากนั้นก็มองมู่หรงอานพลางเอ่ยว่า “มู่หรงอาน เจ้าน่ะน่ารังเกียจยิ่งกว่าคนพวกนั้นเสียอีก เพราะไม่มีสิ่งใดน่ารังเกียจไปกว่าสุนัขที่หลงตัวเอง!”

ความเคลื่อนไหวทางนี้ดึงดูดคนเข้ามาไม่น้อย เมื่อได้ยินคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ ทุกคนต่างก็พากันทอดถอนใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้พูดจาเช่นนี้กับมู่หรงอานตั้งแต่เมื่อใดกัน!

“เจ้าว่าอะไรนะ!” ถูกด่าว่าเป็นสุนัขต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ แล้วอีกฝ่ายยังเป็นแค่คนไร้ค่า จึงทำให้เพลิงโทสะในใจของเขาลุกโชนขึ้นมา

“เดิมทีก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “วันนี้ข้าไม่ได้มาหาเจ้าหรอกนะ เจ้าเปิดปากมาก็ถามข้าเลยว่าข้ามาหาเจ้าทำไม หากนี่ไม่ใช่ความหลงตัวเองแล้วคืออะไรกันเล่า หรือจะบอกว่าเจ้าพ่ายแพ้ให้แก่รูปโฉมอันงดงามของคุณชายเช่นข้า จึงคาดหวังว่าคุณชายเช่นข้าจะมาหาเจ้า มากระเซ้าเย้าแหย่เจ้าอย่างนั้นหรือ”

“พูดจาเหลวไหล!” มู่หรงอานรีบปฏิเสธทันควัน

“พูดจาเหลวไหลหรือไม่ ข้าก็คร้านจะมาถกเถียงกับเจ้า” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเจ้าอ้วนชวีพาเฟิงจือสิงมาแล้ว พร้อมกันนั้นยังมีผู้อำนวยการผู้เตี้ยตันผู้นั้นมาด้วย เมื่อเห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้วจึงพูดว่า “น่าหลานหลาน วันนี้ข้ามาหาเจ้านั่นแหละ”

“มาหาข้าหรือ” น่าหลานหลานได้ยินซือหม่าโยวเย่ว์พูดเช่นนี้แล้วหัวใจก็หยุดเต้นไปชั่วครู่โดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่นางจะถูกจับได้ว่าทำอะไรลงไป ต่อให้เหอชิวจือพูดว่าเป็นการบงการของตน พอถึงตอนนั้นเธอค่อยปฏิเสธก็ใช้ได้แล้ว จากนั้นจึงสงบท่าทีลงแล้วถามว่า “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใดกันหรือ”

“ทุกคนมารวมตัวที่นี่ทำไมกัน ยังมีอีก เจ้าบอกมาสิว่าใครกันที่เรียกพวกเรามา” ผู้อำนวยการเห็นคนมารวมตัวกันที่จัตุรัสมากมายถึงเพียงนั้นจึงขมวดคิ้วถามขึ้น

“ท่านผู้อำนวยการ เป็นข้าเองที่ให้คนไปเชิญท่านมา” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินขึ้นหน้ามาสองก้าวแล้วพูดว่า “ข้ามีเรื่องที่อยากให้วิทยาลัยให้ความเป็นธรรมกับข้า”

เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ แววตาของผู้อำนวยการก็มีแววดูแคลนและรังเกียจวาบผ่าน แต่ก็ยังถามขึ้นประโยคหนึ่งว่า “เรื่องอันใดกัน”

“คราวก่อนตอนเลือกไข่สัตว์อสูร ข้าถูกคนลอบทำร้าย ผลักเข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่ นี่เป็นเรื่องที่รู้กันทั่ว ตอนนี้หาตัวคนที่ทำร้ายข้าพบแล้ว เดิมทีคิดจะแก้แค้นพวกนางโดยตรง แต่เมื่อนึกถึงกฎที่ห้ามไม่ให้ทำร้ายกันเป็นการส่วนตัวของวิทยาลัยแล้วจึงมาร้องขอให้ทางวิทยาลัยมาให้ความเป็นธรรมแก่ข้าจะดีกว่าลงมือเอง”

“เป็นใครกันหรือ” ผู้อำนวยการยังไม่ทันเอ่ยคำพูด เฟิงจือสิงก็ชิงถามออกมาก่อนแล้ว

เขาเองก็สงสัยมาตลอดว่าผู้คนมากมายถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงต้องเป็นนางที่เข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่ ที่แท้แล้วก็ถูกคนทำร้ายนี่เอง เมื่อนึกถึงว่านางเกือบจะมิได้กลับมาแล้ว ในดวงตาอันเยียบเย็นคู่นั้นสาดประกายหนาวเหน็บวาบผ่าน

ซือหม่าโยวเล่อจ้องผู้คนรอบๆ อย่างดุร้าย ในเมื่อนางมาพูดที่นี่ เช่นนั้นผู้ที่ทำร้ายนางก็ต้องอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน

เมื่อนึกถึงว่ามีคนบังอาจทำร้ายซือหม่าโยวเย่ว์ บนใบหน้าของเขาก็ปรากฏแววเดือดดาลอันมิอาจควบคุม

“น้องห้า ใครกันที่บังอาจทำร้ายเจ้า!”

………………………

Related

พอกลับไปถึงห้องของซือหม่าโยวเย่ว์ พวกเขาก็ดูผลงานของหินเสียงกันก่อนเป็นอย่างแรก

เธอหยิบเอาหินเสียงออกมาแล้วส่งพลังวิญญาณจำนวนหนึ่งเข้าไป หลังจากนั้นก็วางมันลงบนโต๊ะ  ลวดลายสีม่วงบนหินเสียงเคลื่อนตัว เพียงไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงสนทนาระหว่างเหอชิวจือและน่าหลานหลานที่ริมทะเลสาบดังออกมา พอคำพูดสิ้นสุดลง หินเสียงก็เงียบเสียงลงไป

“ผลลัพธ์นี้ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก” หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์ฟังจบแล้วสองตาก็เปล่งประกาย คิดไม่ถึงว่าก้อนหินนี้จะร้ายกาจได้ถึงขนาดนี้ แต่ในใจของเธอก็เกิดอีกคำถามหนึ่งขึ้นมาว่าหินเสียงก้อนนี้หาได้ยากเย็นยิ่ง แม้กระทั่งหอเซวียนหยวนยังไม่มี แล้วเป่ยกงถังมีมันได้อย่างไรกัน

“โยวเย่ว์ ตอนนี้เจ้าควรจะกลับมาที่ปัญหาของพวกเราได้แล้วกระมัง”

เสียงของเจ้าอ้วนชวีดึงสติของซือหม่าโยวเย่ว์กลับมา เธอมองพวกเขาอย่างสงสัยพลางถามว่า “ปัญหาอะไรหรือ”

“ก็คือเรื่องที่เจ้าฝึกยุทธ์ได้แล้วไง” เจ้าอ้วนชวีเหลือบมองแหวนเก็บวัตถุบนนิ้วของเธอแวบหนึ่ง แหวนวงนั้นไม่สะดุดตาเลยจริงๆ ถ้าหากมิใช่เพราะรู้ว่านั่นคือแหวนเก็บวัตถุแล้วล่ะก็ ถ้าหากผู้อื่นเห็นก็คงไม่คิดอะไร “เจ้าใช้งานแหวนเก็บวัตถุได้ ทั้งยังส่งพลังวิญญาณเข้าไปในหินเสียงได้อีกด้วย นี่ก็บอกอย่างชัดเจนแล้วว่าตอนนี้เจ้าเป็นปรมาจารย์วิญญาณคนหนึ่งแล้ว”

“ถูกต้อง ตอนนี้ข้าเป็นปรมาจารย์วิญญาณคนหนึ่งแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ยอมรับ

“แต่มิใช่ว่าเจ้าบำเพ็ญไม่ได้หรอกหรือ” พวกเว่ยจือฉีอาจจะไม่รู้ แต่เจ้าอ้วนชวีผู้มีพื้นฐานเป็นชาวเมืองหลวงแท้ๆ ย่อมรู้ที่มาที่ไปของซือหม่าโยวเย่ว์ดีอยู่แล้ว

“อืม ก่อนหน้านี้ข้าไม่อาจบำเพ็ญได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ตอนที่หายตัวไปในคราวนี้มีการผจญภัยเล็กน้อย จึงช่วยทะลวงเส้นลมปราณที่อุดกั้นของข้าได้ หลังจากนั้นก็เลยสฝึกยุทธ์ได้แล้ว”

“จริงหรือ” เจ้าอ้วนชวีเบิกตาโพลง คิดไม่ถึงว่าการหายตัวไปของเขาจะกลับร้ายกลายเป็นดี ไม่เพียงแต่มีชีวิตรอดกลับมาเท่านั้น แต่ยังบำเพ็ญได้อีกด้วย

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าพลางพูดว่า “แต่กระบวนการของเรื่องนี้ ข้าไม่อาจบอกได้แน่ชัดนัก แต่ก็ได้ผลลัพธ์อย่างที่บอกไป เวลานี้เรื่องนี้มีเพียงแค่คนในครอบครัวของข้ากับพวกเจ้าสองคนเท่านั้นที่รู้ พวกเจ้าต้องช่วยข้ารักษาความลับด้วยล่ะ!”

“เพราะเหตุใดกันเล่า” เจ้าอ้วนชวีไม่เข้าใจ “การที่เจ้าฝึกยุทธ์ได้ก็เป็นเรื่องดี เพราะเหตุใดจึงมิอยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ ถ้าหากคนพวกนั้นรู้ว่าเจ้าฝึกยุทธ์ได้ ก็จะได้ไม่มาด่าทอว่าเจ้าเป็นคนไร้ค่าอีก”

“ผู้อื่นอยากจะพูดอย่างไรก็เป็นเรื่องของผู้อื่น ข้าไม่สนใจหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ถ้าผู้อื่นรู้ว่าข้าฝึกยุทธ์ได้แล้ว เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็นขึ้นมาน่ะสิ”

เจ้าอ้วนชวีรู้ว่าที่ซือหม่าโยวเย่ว์หมายถึงก็คือคนของตระกูลน่าหลาน คราวก่อนตอนกลับบ้านเขาก็ได้ยินมาแล้วว่าการต่อสู้ระหว่างจวนแม่ทัพและตระกูลน่าหลานทวีความรุนแรงขึ้นมาแล้ว เพราะรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นคนไร้ค่า ดังนั้นจึงมิได้นับรวมเป็นเป้าหมายที่ต้องทำลายเป็นการชั่วคราว ถ้าหากรู้ว่าเขาฝึกยุทธ์ได้แล้วละก็ เกรงว่าคงจะลงมือกับเขาอย่างแน่นอน

“ได้ พวกเราจะไม่พูดเรื่องนี้ของเจ้าออกไปอย่างแน่นอน” เจ้าอ้วนชวีพยักหน้ารับอย่างจริงจัง

เว่ยจือฉีก็แสดงท่าพยักพเยิดเช่นเดียวกัน

ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มพลางพูดว่า “ขอบใจพวกเจ้าทั้งสองมาก”

“ขอบอกขอบใจอันใดกันเล่า!” เว่ยจือฉีพูด “พวกเราเป็นสหายกัน ก็ต้องช่วยเจ้ารักษาความลับอยู่แล้วสิ! เดิมทีคิดกันเอาไว้ว่าจะไม่ให้เจ้าไปเข้าร่วมภารกิจคราวนี้เพราะค่อนข้างอันตราย ตอนนี้ถึงแม้ว่าเจ้าจะฝึกยุทธ์ได้แล้ว แต่ระดับขั้นก็ยังไม่น่าจะสูงนัก ถ้าหากไปแล้วอาจเกิดอันตรายกับเจ้าได้ แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้วนี่ก็เป็นโอกาสสัมผัสประสบการณ์จริงอันหาได้ยากยิ่ง ดังนั้นเจ้าก็ไปไตร่ตรองดูเถิดว่าจะไปหรือไม่ไป”

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเว่ยจือฉีบอกว่าระดับของเธอยังไม่สูงนัก เธอก็ได้แต่ยิ้มโดยไม่ปฏิเสธ ในคำพูดของเขามิได้มีเจตนาเย้ยหยันเธอเลย คนทั่วไปย่อมไม่มีทางคิดว่าเธอจะฝึกยุทธ์ได้อย่างร้ายกาจเช่นนี้ภายในระยะเวลาสั้นๆ อยู่แล้ว

นอกจากนี้เขายังคิดเผื่อเธออีกด้วย

“ในเมื่อเป็นภารกิจกลุ่ม ข้าก็ต้องไปด้วยอยู่แล้วสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่พวกเจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงพวกเจ้าแน่นอน”

“พวกเรามิได้กลัวว่าเจ้าจะเป็นตัวถ่วงพวกเราหรอกนะ แต่เรื่องนี้มันเสี่ยงอันตรายมาก ถ้าหากตอนที่เกิดอันตรายขึ้นแล้วพวกเราดูแลเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าก็จะจบชีวิตน่ะสิ!” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ข้าเข้าใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้ารักชีวิตจะตายไป พวกเจ้าวางใจได้เลย”

“เช่นนั้นเจ้าตัดสินใจได้แล้วก็ดี” เว่ยจือฉีก็มิได้ว่าอะไรอีก เขามองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “แล้วเจ้าวางแผนจะเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของสองคนนี้เมื่อไรหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองหินเสียงบนโต๊ะแล้วแย้มยิ้มร้ายกาจก่อนจะพูดว่า “เรื่องนี้ยิ่งเร็วยิ่งดี เห็นพวกนางแล้วช่างบาดตาข้าเสียเหลือเกิน”

“ตระกูลน่าหลานนั่นก็วางตัวแสนจะเย่อหยิ่งโอหังในวิทยาลัย ถ้าหากเจ้าทำให้คุณหนูผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลพวกเขาถูกขับออกไปจากวิทยาลัย คิดว่าตระกูลพวกเขาจะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างแน่นอน” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางยิ้มตาหยี

โกรธเป็นฟืนเป็นไฟหรือ ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้ม โกรธเป็นฟืนเป็นไฟสิถึงจะดี!

วันต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ไปเข้าเรียนตามปกติ คนเหล่านั้นที่พบเจอเธอระหว่างทางต่างพากันเบิกตาโพลง

“คนไร้ค่าผู้นี้มิได้ตายไปแล้วหรือ เขากลับมาอีกได้อย่างไรกัน”

“นั่นน่ะสิ มิได้ว่ากันว่าคนที่เข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่ ที่ไม่มีใครเคยรอดชีวิตกลับมาเลยหรือไร”

“เล่าลือกันว่าเป็นเช่นนี้นี่นา”

“เช่นนั้นคนไร้ค่าผู้นี้กลับมาได้อย่างไรกัน นอกจากนี้ดูสภาพเขาสิ ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว”

“หรือว่าค่ายกลนำส่งนั่นไม่มีผลต่อคนไร้ค่า”

“โอ้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เจ้าคนไร้ค่านั่นก็ไม่ได้โชคดีเกินไปแล้วหรอกหรือ! กลับกลายเป็นว่าการเป็นคนไร้ค่าช่วยชีวิตเขาเอาไว้เสียอย่างนั้น!”

“เจ้าเบาเสียงหน่อยสิ ถ้าหากเขาได้ยินเข้า เดี๋ยวก็ให้คนจวนแม่ทัพมาจัดการเจ้าหรอก!”

“เชอะ ก็ได้แต่อาศัยที่มีท่านแม่ทัพคอยหนุนหลังนั่นแหละ”

“เอาละ ไปกันเถิดๆ มองเจ้าคนไร้ค่าผู้นี้แล้วเสียอารมณ์นัก”

หลายคนพูดแล้วก็จากไป ซือหม่าโยวเย่ว์เดินผ่านตรงหน้าพวกเขาก็ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดกันอย่างถนัดชัดเจน เจ้าคนพวกนี้ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความอิจฉาริษยา เพราะไม่ได้มีชาติกำเนิดที่สูงส่งจึงรู้สึกว่าผู้ที่เป็นคนไร้ค่าอย่างเธอแต่กลับมีสถานะในครอบครัวเช่นนี้เป็นความอยุติธรรมของโลก

เมื่อบรรดานักเรียนใหม่ห้องเรียนที่หนึ่งเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้ามาในห้องเรียนก็มิได้ตกตะลึงเท่ากับคนอื่นๆ ถึงอย่างไรเมื่อวานนี้หลายๆ คนก็ได้เห็นเธอแล้ว

พอซือหม่าโยวเย่ว์เข้าประตูห้องเรียนมาก็พบเหอชิวจือ และเห็นว่านางเองก็มองมาเช่นกัน จึงยิ้มอย่างแฝงนัยลึกซึ้งให้กับนาง ทำให้นางตกใจจนก้มหน้าลงในทันที

เธอเดินไปนั่งที่แถวหลังสุดกับเป่ยกงถัง บนที่นั่งของเธอยังคงสะอาดเอี่ยม ไม่มีฝุ่นละอองเลยแม้แต่น้อย

“ข้าไม่ชอบให้ข้างๆ ตัวสกปรกน่ะ” เป่ยกงถังอธิบายอย่างเรียบง่าย จากนั้นก็เปิดตำราเรียนอ่าน

“ขอบใจนะ” ไม่ว่าจะพูดอย่างไร การมีคนคอยเช็ดโต๊ะให้ ก็ยังต้องขอบคุณสักหน่อยอยู่ดี

“เมื่อคืนที่พวกเจ้าออกไปกัน จัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้วหรือ” สายตาของเป่ยกงถังยังคงจับจ้องหนังสือ แต่เมื่อนึกถึงสายตาที่ซือหม่าโยวเย่ว์มองเหอชิวจือเมื่อครู่นี้แล้วก็แน่ใจว่าหลังจากนี้จะต้องมีเรื่องสนุกให้ชมแน่นอน

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แล้วนางจึงเกิดความรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยขึ้นมา เกิดความใส่ใจกับเรื่องของเขาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของนางมาก่อนเลย

ก่อนหน้านี้ในใจของนางมีเพียงเรื่องของการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นแล้วกลับไปยังสถานที่แห่งนั้นเพื่อแก้แค้นคนเหล่านั้นเพียงอย่างเดียว

แต่ตอนนี้ถึงกับใส่ใจเรื่องของผู้อื่น พอมาคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เหมือนกัน

“อืม เตรียมการเสร็จเรียบร้อย รอเวลาเลิกเรียนเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบพร้อมรอยยิ้ม

……………………

Related

หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์หายตัวไป ทุกคนก็ไม่เคยได้กินอาหารอร่อยเหมือนที่เธอทำอีกเลย ดังนั้นคราวนี้เธอจึงทำอาหารโต๊ะใหญ่ นอกจากส่วนที่เก็บเอาไว้ให้โอวหยางเฟยแล้ว ที่เหลือก็ถูกทุกคนจัดการจนเรียบ

หลังจากกินหมดแล้วเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉอยู่เก็บล้างถ้วยชามอย่างรู้หน้าที่ หลังจากเก็บล้างเรียบร้อยแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ได้รับข่าวที่เจ้าคำรามน้อยส่งมาบอกว่าเหอชิวจือออกมาแล้ว

ขณะนี้เป็นเวลาใกล้ฟ้าสาง เหอชิวจือออกจากที่พักในเวลานี้ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่านางจะทำอะไร

“ข้าจะออกไปแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดกับพวกเจ้าอ้วนชวี

“เหอชิวจือออกมาแล้วใช่หรือไม่” เจ้าอ้วนชวีถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

“เช่นนั้นพวกเราออกไปกันเถิด” เว่ยจือฉีพูดพลางถอดผ้ากันเปื้อนที่ซือหม่าโยวเย่ว์เตรียมไว้ให้ออก

ครั้งแรกที่สวมใส่สิ่งนี้ ชายทั้งสองออกจะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่เพราะไม่อยากให้เสื้อผ้าสกปรก คิดๆ ดูแล้ว ถึงอย่างไรก็อยู่ในบ้านตัวเอง จึงไม่คิดมาก

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ได้พูดอะไรแล้วนำคนทั้งสองออกไป ทั้งหมดไปที่ริมทะเลสาบเล็กของวิทยาลัยอย่างงุ่มง่าม โดยอ้างอิงจากทางที่เจ้าคำรามน้อยบอก

“โยวเย่ว์ เจ้ารู้ได้อย่างไรกันว่าพวกนางอยู่ที่นี่” เจ้าอ้วนชวีเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มุ่งตรงมาที่นี่จึงเอ่ยถามขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่ทันได้ตอบ เจ้าคำรามน้อยก็เหาะเข้ามาแล้ว

เมื่อเห็นเจ้าคำรามน้อย คนทั้งสองพลันเข้าใจกระจ่าง ที่แท้ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ส่งเจ้าคำรามน้อยออกมาสังเกตการณ์เหอชิวจือตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว

“เย่ว์เย่ว์ ตอนนี้หญิงเลวผู้นั้นออกมาแล้ว แต่ยังไม่มีคนอื่นมาเลย!” เจ้าคำรามน้อยบอกสถานการณ์

เมื่อได้ฟังเจ้าคำรามน้อยพูด อีกสองคนต่างเบิกตาโต

พวกเขาคิดมาตลอดว่าเจ้าคำรามน้อยเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยงที่ซือหม่าโยวเย่ว์เลี้ยงเอาไว้  เมื่อนึกถึงว่ามันพูดจาได้ เช่นนั้นอย่างน้อยมันต้องเป็นสัตว์อสูรวิเศษระดับสัตว์อสูรทิพย์เลยน่ะสิ!

ซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มเจ้าคำรามน้อยเอาไว้พลางพูดกับเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีว่า “พวกเราไปหาที่ซ่อนตัวกันสักที่หนึ่งก่อนดีกว่า ไม่แน่ว่าอีกครู่หนึ่งคนเบื้องหลังเหอชิวจืออาจจะมาแล้วก็ได้”

“ได้สิ”

ทั้งสามคนเห็นว่าที่ศาลาพักร้อนริมทะเลสาบมีภูเขาจำลองอยู่อันหนึ่ง จึงค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอยู่หลังภูเขาจำลอง รอการมาถึงของคนผู้นั้นพร้อมกันกับเหอชิวจือที่อยู่ในศาลาพักร้อน

เหอชิวจือมองออกไปนอกศาลาพักร้อนอยู่ตลอดพลางเดินไปเดินมาอย่างร้อนรน ผ่านไปครู่หนึ่ง เงาร่างสายหนึ่งจึงค่อยๆ เดินเข้ามา

“คุณหนูน่าหลาน ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!” เมื่อเหอชิวจือเห็นผู้ที่นางรอมาถึงแล้วจึงเข้าไปต้อนรับ

น่าหลานหลานเหลือบตามองเหอชิวจือที่สีหน้าร้อนรนนัก ก่อนจะเดินตรงไปยังศาลาพักร้อนแล้วนั่งลง หลังจากนั้นจึงถามว่า “พูดมาสิว่าเรียกข้าออกมาดึกดื่นเช่นนี้ทำไม”

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลังของเหอชิวจือผู้นี้จะเป็นน่าหลานหลาน หญิงสาวผู้ที่ยืนดูร่างเดิมนี้ถูกทุบตีปางตายอยู่กับมู่หรงอานจริงๆ

เห็นได้ชัดเจนว่าการปรากฏตัวของน่าหลานหลานผู้นี้ทำให้เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีสะดุ้งคราหนึ่งเช่นกัน ต่างคิดไม่ถึงว่าผู้ที่คิดทำร้ายซือหม่าโยวเย่ว์จะเป็นน่าหลานหลานผู้ไร้ซึ่งความเชื่อมโยงใดๆ

“คุณหนูน่าหลาน ที่ข้าเรียกท่านออกมาเพราะข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเจ้าค่ะ” เหอชิวจือพูดแล้วก็หมอบลงไปบนพื้นพลางมองน่าหลานหลานแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูน่าหลาน ได้โปรดช่วยชีวิตด้วยเถิด!”

คำพูดของเหอชิวจือดึงความคิดของคนที่อยู่ด้านหลังภูเขาจำลองทั้งสามคนกลับมา ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอาหินเสียงออกมาแล้วส่งพลังวิญญาณเข้าไปข้างใน

เมื่อลวดลายสีม่วงบนหินเสียงก้อนนั้นสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณ ก็โคจรบนก้อนหินราวกับมีชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจจนเกือบจะโยนมันออกไปเสียแล้ว

ในตอนนี้เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีจึงค่อยค้นพบว่าซือหม่าโยวเย่ว์ใช้แหวนเก็บวัตถุ ได้เห็นเธอใช้พลังวิญญาณขับเคลื่อนหินเสียง ทำให้คนทั้งคู่ตกใจยิ่งกว่าตอนที่เห็นน่าหลานหลานเมื่อครู่เสียอีก

“นี่…” เจ้าอ้วนชวีคิดจะเอ่ยคำพูด แต่กลับถูกคนปิดปากเอาไว้

เว่ยจือฉีส่ายหน้าให้เจ้าอ้วนชวีเป็นสัญญาณว่าไม่ให้เอ่ยคำพูด ถึงแม้ว่าในใจของเขาเองจะพรั่นพรึงอย่างยิ่งเช่นกัน แต่ถ้าหากส่งเสียงออกไปในตอนนี้เท่ากับทำลายแผนของซือหม่าโยวเย่ว์อย่างทันที

เจ้าอ้วนชวีกะพริบตาเป็นสัญญาณว่าตนเข้าใจแล้ว เว่ยจือฉีจึงค่อยปล่อยมือลง

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเว่ยจือฉีอย่างซาบซึ้ง หลังจากนั้นก็หมุนตัวมองไปทางคนทั้งสองในศาลาพักร้อนผ่านรอยแยกของหิน

“ช่วยชีวิตหรือ” น่าหลานหลานมองเหอชิวจือที่หมอบอยู่บนพื้นอย่างดูแคลน คนพรรค์นี้ในสายตาของนางมิได้มีค่าแต่อย่างใดเลย แต่เพราะว่านางช่วยตนกำจัดซือหม่าโยวเย่ว์ทิ้ง ตนจึงฝืนทนให้นางติดตามตนอยู่ “ว่ามาสิ คราวนี้เจ้าไปยั่วยุใครเข้าอย่างนั้นหรือ”

“เป็นซือหม่าโยวเย่ว์น่ะ เขากลับมาแล้ว” เหอชิวจือพูด

“ซือหม่าโยวเย่ว์หรือ” เมื่อได้ยินชื่อซือหม่าโยวเย่ว์ น่าหลานหลานสะดุ้งคราหนึ่งก่อนจะพูดว่า “เจ้าบอกว่าเขากลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว วันนี้ข้าเห็นเขาที่อาคารเรียนตัวเป็นๆ เลย ยังมีชีวิตแน่นอน!” เหอชิวจือนึกถึงแววตาที่ซือหม่าโยวเย่ว์มองตนแล้วร่างกายสั่นสะท้าน

“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นเขา” เมื่อเห็นว่าเหอชิวจือดูเหมือนจะไม่ได้โกหกก็อดที่จะตกใจมิได้

“เป็นเขาจริงๆ นะ!” เหอชิวจือพูดอย่างมั่นใจ “คุณหนูน่าหลาน ท่านเคยบอกว่าเมื่อเข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่แล้วจะต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา ข้าจึงได้เชื่อคำพูดท่านแล้วผลักเขาเข้าไป แต่ตอนนี้เขากลับมาแล้ว และเขายังจะมาแก้แค้นข้าด้วย ทั้งแววตาของเขายังชวนให้คนขนพองสยองเกล้า บอกว่าเขาจะมาเอาชีวิตข้า! คุณหนูน่าหลาน ท่านต้องช่วยข้านะ ตอนนั้นเป็นท่านนั่นแหละที่ให้ข้าทำเช่นนี้!”

พูดแล้วนางก็ยังยื่นมือไปดึงเสื้อผ้าของน่าหลานหลานเพื่อเสาะหาความรู้สึกปลอดภัย

น่าหลานหลานปัดมือของเหอชิวจือทิ้งแล้วพูดว่า “เจ้าตกใจอันใดกัน! ต่อให้คนไร้ค่าผู้นั้นกลับมาแล้วเขาจะทำอะไรพวกเราได้เล่า”

“แต่เขาเห็นข้าผลักเขาเข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่น่ะสิ! เขาต้องมาแก้แค้นข้าอย่างแน่นอน!” เหอชิวจือพูด

“วิทยาลัยมีกฎห้ามไม่ให้นักเรียนต่อสู้ฆ่าฟันกัน หากมีการทำร้ายกันเป็นการส่วนตัวแล้วถูกพบเข้าก็จะถูกขับไล่ออกจากวิทยาลัยในทันที” น่าหลานหลานมิได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด “ขอเพียงแค่ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่มีหลักฐาน ก็ไม่มีทางบอกได้หรอกว่าพวกเราเป็นคนทำ เพียงแค่ตอนที่เขามาสอบสวนเจ้าแล้วเจ้าไม่ยอมรับ ก็ไม่มีทางเกิดอันตราย ค่อยว่ากันเถิดเพียงคนไร้ค่าคนหนึ่งจะก่อความวุ่นวายอะไรให้เจ้าในวิทยาลัยได้ เจ้าคงไม่พ่ายแพ้แม้กระทั่งคนเช่นนั้นกระมัง”

“แต่ข้ากลัวเขาจะเล่นไม่ซื่อน่ะสิ” เหอชิวจือพูดอย่างกังวลใจ

“ข้ามิได้บอกว่าเขาไม่กล้าทำอะไรในวิทยาลัยอยู่แล้วหรอกหรือ นอกเสียจากว่าเขาอยากจะถูกขับไล่ออกจากวิทยาลัย” น่าหลานหลานพูดอย่างไม่ใส่ใจ

“แต่ถ้าหากอยู่นอกวิทยาลัยเล่า” เหอชิวจือถาม

“ข้างนอกอย่างนั้นหรือ เจ้าแค่ไม่ออกไปจากวิทยาลัยก็พอแล้วนี่” น่าหลานหลานพูด “ระยะนี้เจ้าก็อยู่แต่ในวิทยาลัยก็ใช้ได้แล้ว มิใช่ว่าพวกเจ้ากำลังจะไปปฏิบัติภารกิจของวิทยาลัยกันหรอกหรือ เขาจะเอาชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ ต่อจากนี้ไปไม่ต้องมาพบข้าด้วยเรื่องพรรค์นี้อีกนะ ช่างเป็นคนไร้ค่าขี้ขลาดนัก ข้าไม่อยากให้คนของข้าเป็นเช่นนี้ไปด้วย เข้าใจหรือไม่”

พูดจบนางลุกขึ้นเดินออกไปจากศาลาพักร้อนโดยไม่รอคำตอบของเหอชิวจือ

เหอชิวจือมองน่าหลานหลานผู้นั้นจากไป เมื่อเห็นนางเดินไปไกลแล้วจึงค่อยสบถออกมาว่า “เชิดอะไรหนักหนา ก็มิใช่แค่เพราะว่าเจ้ามีครอบครัวสูงส่งหรือไร ถ้าหากไม่มีตระกูลน่าหลาน เจ้าก็เหมือนกันกับคนอื่นๆ นั่นแหละ! ถ้าหากเจ้าไม่ปกป้องข้า พอถึงเวลานั้นหากจวนตัวแล้วข้าก็จะสารภาพชื่อเจ้าออกมาด้วย ให้ตายไปพร้อมกันทุกคนเลย เฮอะ!”

พอเหอชิวจือจากไปแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงหยุดส่งพลังวิญญาณเข้าไปภายในหินเสียง ก่อนจะหันไปมองพวกเว่ยจือฉีแล้วพูดว่า “มีของสิ่งนี้แล้ว มาดูกันว่าพอถึงเวลานั้นพวกนางจะเล่นลิ้นกันอย่างไร ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีข้อสงสัยอยู่ในใจ พวกเรากลับไปแล้วค่อยคุยกันเถิดนะ”

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น ทั้งสามคนจึงหลีกเลี่ยงคนอื่นๆ กลับไปยังเรือนพักอย่างเงียบเชียบ

……………………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์ครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยว่า “จะต้องให้พวกเขาสารภาพออกมาเองจึงจะใช้ได้ ข้าจำได้ว่าที่วิทยาลัยมีกฎห้ามทำร้ายนักเรียนคนอื่นอยู่ ถ้าหากผู้อื่นล่วงรู้ว่าพวกเขาลอบทำร้ายข้า เช่นนั้นก็ต้องถูกขับออกจากวิทยาลัย ขอเพียงแค่พวกนางมิใช่นักเรียนของวิทยาลัยเราแล้ว อยากจะจัดการพวกนางอย่างไรก็เป็นเรื่องของข้าเองแล้ว”

“อยากจะให้พวกนางยอมรับ เกรงว่าเรื่องนี้จะมิใช่เรื่องง่ายน่ะสิ ต่อให้พวกนางยอมรับต่อหน้าเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี” เจ้าอ้วนชวีพูด

“อ้อ แค่มีเครื่องบันทึกเสียงก็ใช้ได้แล้วนี่” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงเครื่องบันทึกเสียงในชาติก่อนขึ้นมา ถ้าหากมีของสิ่งนั้นก็คงจะสะดวกไม่น้อยเลย

“เครื่องบันทึกเสียงหรือ มันคืออะไรกัน”

“ก็คือ… เอ่อ… เครื่องมือที่เอาไว้ใช้บันทึกเสียงน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอธิบาย “เพียงแค่บันทึกเสียงเอาไว้ข้างใน แล้วหลังจากนั้นก็จะฟังซ้ำได้น่ะ”

“เจ้าลองใช้หินเสียงดูสิ” เสียงของโอวหยางเฟยดังมาจากประตูที่เปิดออก

“โอวหยางเฟย เจ้าก็มาแล้วเหมือนกัน เข้ามานั่งสิ” เจ้าอ้วนชวียิ้มพลางส่งเสียงเรียก

โอวหยางเฟยมองเจ้าอ้วนชวีปราดหนึ่งโดยไม่ได้เข้าไปแล้วพูดว่า “ผ่านทางมาแล้วได้ยินเข้าพอดีน่ะ เรื่องนี้เจ้าใช้หินเสียงได้นะ”

พูดจบแล้วเขาก็เดินจากไป

“ใช่แล้ว ข้าลืมหินเสียงไปได้อย่างไรกัน” เว่ยจือฉีเคาะหน้าผากตนเองครั้งหนึ่งพลางเอ่ยขึ้น

“หินเสียงคือสิ่งใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“หินเสียงก็คล้ายๆ กันกับเครื่องบันทึกเสียงที่เจ้าว่านั่นแหละ เพียงแค่บันทึกเสียงลงไป หลังจากที่ส่งปราณวิญญาณเข้าไปแล้วก็จะปล่อยเสียงที่บันทึกไว้ออกมาได้” เว่ยจือฉีพูดอธิบาย

“จริงหรือ เช่นนั้นพวกเจ้ามีหินเสียงหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“หินเสียงนั้นล้ำค่าหายากยิ่ง พวกเราจะไปมีกันได้อย่างไร” เว่ยจือฉีพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าอ้วนชวีปราดหนึ่ง เจ้าอ้วนชวีก็ส่ายหน้าเช่นกัน “แต่เจ้าจะลองไปดูที่หอเซวียนหยวนก็ได้นะ ไม่แน่ว่าที่นั่นอาจจะมีก็เป็นได้”

“ใช่แล้ว ข้าลองไปหาดูก่อนดีกว่า ถ้าหากไม่มีก็คงได้แต่คิดหาวิธีอื่นแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็ลุกขึ้นเตรียมตัวออกไป

“พวกเราไปพร้อมกันเลยดีกว่า ข้าเองก็ไม่มีอะไรทำอยู่พอดี” เจ้าอ้วนชวีพูด

“อืม ข้าก็ทำการบ้านเสร็จแล้วด้วย” เว่ยจือฉีพูด

“เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้ม

จากนั้นทั้งสามคนก็ออกไปด้วยกัน

หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้วเป่ยกงถังก็เปิดประตูพลางมองไปทางประตูใหญ่ ก่อนจะลูบแหวนเก็บวัตถุบนนิ้วมือ

หอเซวียนหยวนเป็นร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง ภายในนั้นมียาวิเศษ อาวุธวิญญาณ และสัตว์อสูรวิเศษนานาชนิด ถ้าหากบอกว่าเป็นสิ่งของที่แม้กระทั่งหอเซวียนหยวนยยังไม่มี ที่อื่นๆ ก็ยิ่งไม่มีทางมีอย่างแน่นอน

ตอนที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์สามคนเข้าไป เสี่ยวเอ้อร์ก็เข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น

“โอ้ นี่มิใช่คุณชายห้าหรอกหรือ ไม่พบเห็นท่านมาเนิ่นนานเลยทีเดียว มิทราบว่าคราวนี้ที่คุณชายห้ามาเพราะอยากซื้อหาของสิ่งใดหรือขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์หายตัวไปที่วิทยาลัยนั้นเป็นที่ล่วงรู้กันไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว ตอนนี้พอเห็นซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ที่นี่ ทุกคนต่างตกอกตกใจกันไม่มากก็น้อย

ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เธอก็เคยมาที่นี่อยู่หลายครั้งเพื่อหาสิ่งของที่มู่หรงอานชมชอบ

เธอมองบริเวณที่วางของเบ็ดเตล็ดแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าอยากได้หินเสียงน่ะ”

“หินเสียงหรือขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์สะดุ้งครั้งหนึ่งเพราะคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์ถึงกับต้องการสิ่งนี้ จากนั้นก็พูดอย่างขอโทษขอโพยว่า “คุณชายห้า ในร้านของพวกข้าตอนนี้ไม่มีหินเสียงหรอกขอรับ”

“ไม่มีหรือ” เจ้าอ้วนชวีพูด “ร้านนี้ของพวกเจ้าเป็นร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรตงเฉิน แต่พวกเจ้าก็ยังไม่มีเลยหรือ”

เสี่ยวเอ้อร์แย้มยิ้มแล้วพูดว่า “มิผิดที่พวกข้าเป็นร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรตงเฉิน แต่ทว่าหินเสียงนี้หาได้ยากเย็นโดยแท้ เวลาหลายร้อยปีก็ยังไม่แน่ว่าจะมีปรากฏขึ้นมาสักก้อนหนึ่ง แม่ศรีเรือนยากจะหุงหาอาหารหากไม่มีข้าวสาร สิ่งของที่ไม่มีอยู่บนโลกเลยด้วยซ้ำ พวกเราก็ย่อมไม่มีอยู่แล้วล่ะขอรับ”

“แต่ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่ามีหินเสียงก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมามิใช่หรือ ดูเหมือนว่าจะเป็นข่าวที่ปล่อยออกมาจากพวกเจ้าที่นี่ด้วยนี่นา” อดพูดไม่ได้ว่าข่าวของเจ้าอ้วนชวีนั้นช่างฉับไวนัก

“สองเดือนก่อนหน้านี้พวกข้ามีอยู่ก็จริง แต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ถูกคนซื้อไปแล้วขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์พูด

“ถูกคนซื้อไปแล้วอย่างนั้นหรือ”

“ตระกูลน่าหลานขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ตอบ

ซือหม่าโยวเย่ว์กับเจ้าอ้วนชวีประสานสายตากันแวบหนึ่ง ถ้าหากหินเสียงนี้ถูกผู้อื่นซื้อไปแล้ว ด้วยสถานะและกำลังทรัพย์ของซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว การจะซื้อกลับมาก็ยังพอมีความเป็นไปได้ แต่หินเสียงก้อนนี้ถูกคนของตระกูลน่าหลานซื้อไป การจะซื้อกลับมาแทบจะมีความเป็นไปได้เท่ากับศูนย์เลยทีเดียว

ไม่มีหินเสียง คนทั้งสามก็ทำได้แค่กลับไปแล้ว

“โยวเย่ว์ ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีหินเสียง พวกเราก็คิดหาวิธีอื่นกันได้” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยปลอบ

“อืม วิธีอื่นก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้หรอกนะ เพียงแต่จะยุ่งยากกว่ามากเท่านั้นเอง ถ้าหากมีหินเสียง พวกเราก็จะขับไล่พวกนางออกไปจากวิทยาลัยได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองแรงเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ไม่อย่างนั้นให้ข้าส่งจดหมายกลับบ้านสักฉบับหนึ่ง ลองดูว่าจะให้พวกเขาช่วยหาดูได้หรือไม่” เว่ยจือฉีพูด

“ไม่ต้องหรอก ได้หินเสียงมาภายในวันนี้จะเป็นการดีที่สุด หากผ่านวันนี้ไป ถึงจะได้มาก็ไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เหตุใดจึงต้องเป็นวันนี้ด้วยเล่า” เจ้าอ้วนชวีไม่เข้าใจ

“เพราะว่าคืนวันนี้เหอชิวจือจะต้องไปพบคนผู้นั้นน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เมื่อเห็นเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีต่างก็แสดงท่าทีสิ้นหวังอยู่บ้างจึงยิ้มพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกน่า ถึงแม้ว่าคืนนี้จะเป็นจังหวะที่ดีที่สุด หากพลาดไปแล้วก็น่าเสียดายอยู่บ้าง แต่ยังมีวิธีอื่นอยู่อีกมิใช่หรือไร พวกเจ้าก็อย่ามัวหน้านิ่วคิ้วขมวดกันอยู่เลย”

“อืม ถ้าหากเจ้ามีความต้องการสิ่งใดก็บอกพวกเรามาได้เลยนะ” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ได้สิ ข้าจะบอกแน่”

“เอี๊ยด…”

ประตูห้องของเป่ยกงถังถูกเปิดออก เป่ยกงถังปรากฏตัวอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นคนทั้งสามที่อยู่ในลานบ้านแล้วจึงโยนของสิ่งหนึ่งมาให้ซือหม่าโยวเย่ว์ หลังจากนั้นก็พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าหิวแล้ว คืนนี้เจ้าจะทำอาหารหรือไม่ หากไม่ทำอาหารข้าก็จะไปกินที่โรงอาหารแล้วนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์รับสิ่งของที่เป่ยกงถังโยนมา ก็พบว่าคือก้อนหินขนาดเล็กก้อนหนึ่ง ลักษณะภายนอกนั้นดูไม่ต่างจากก้อนหินธรรมดาทั่วไปเลย เพียงแต่ด้านบนมีรอยพื้นผิวสีม่วงอยู่บ้างเท่านั้น

“นี่คือสิ่งใดหรือ” เมื่อเธอเห็นว่าก้อนหินนี้หน้าตาดูดีใช้ได้ ความรู้สึกในมือก็ไม่เลวด้วย จึงเอ่ยถามขึ้น

“หินเสียงหรือ!” เว่ยจือฉีมองก้อนหินพลางพูดอย่างตกใจ

“นี่ก็คือหินเสียงอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเป่ยกงถัง แล้วนางมีของสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน

ระหว่างทางกลับเจ้าคำรามน้อยก็พูดอย่างดูแคลนว่าโลกใบนี้ไม่มีอะไรเลย สถานที่ที่พวกเธอใช้ชีวิตอยู่กันก่อนหน้านี้ เจ้าหินเสียงนี่ย่อมเป็นสิ่งของที่ถูกโยนเอาไว้บนพื้นโดยไม่มีใครหยิบขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ทั่วทั้งแผ่นดินยังไม่มีสักชิ้น ช่างน่าอนาถเหลือเกิน น่าอนาถเหลือเกิน!

ถึงแม้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะยังไม่รู้ว่าโลกที่เจ้าคำรามน้อยพูดถึงแห่งนั้นคือที่ไหน แต่เธอก็รู้ว่าด้านบนเหนือดินแดนอี้หลินแห่งนี้ยังมีดินแดนแห่งอื่นอยู่ ซึ่งสถานที่แห่งนั้นล้ำเลิศกว่าที่นี่มากมายนัก

“อืม ก่อนหน้านี้ได้มาโดยบังเอิญน่ะ” เป่ยกงถังอธิบายอย่างง่ายๆ “เจ้ายังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะทำอาหารหรือไม่”

ซือหม่าโยวเย่ว์คลี่ปากยิ้มพลางพยักหน้าเอ่ยว่า “ทำสิ ตอนนี้ยังเร็วเกินไป พวกเขาก็ไม่มีทางมีความเคลื่อนไหวอันใดหรอก กินข้าวให้อิ่มค่อยลงมือก็แล้วกัน”

พูดจบแล้วเธอก็เก็บหินเสียงเข้าไปภายในแหวนเก็บวัตถุก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องครัว เพราะว่าเคยชินตอนอยู่ที่เทือกเขาผู่สั่วเสียแล้ว เธอจึงชินกับการเก็บข้าวของเอาไว้ภายในแหวนเก็บวัตถุ จึงลืมเรื่องที่ว่าในสายตาของพวกเขานั้นตนเองยังไม่อาจบำเพ็ญได้ไป มิอาจใช้แหวนเก็บวัตถุนี้ได้

เว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีได้ยินว่าจะมีของอร่อยกิน จึงได้จากไปพร้อมกับซือหม่าโยวเย่ว์โดยไม่ทันสังเกตว่าซือหม่าโยวเย่ว์นั้นบำเพ็ญได้แล้ว

เป่ยกงถังมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างครุ่นคิดปราดหนึ่งแต่กลับมิได้พูดสิ่งใด พลันหมุนกายเข้าไปในห้อง รอซือหม่าโยวเย่ว์มาเรียกไปกินข้าว

……………………

Related

“ซือหม่าโยวเย่ว์หรือ!”

 

“เป็นเจ้าจริงๆ หรือ”

 

นักเรียนห้องหนึ่งจำนวนไม่น้อยต่างยืนกันอยู่นอกประตู เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่ในประตูใหญ่ต่างพากันตกอกตกใจไม่น้อย

 

“เจ้ามีชีวิตรอดกลับมาแล้วจริงๆ เสียด้วย! ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีทางตายหรอก” เมิ่งถิงเหลือบตามองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่ง ถึงแม้ว่าคำพูดนี้จะไม่ได้น่าฟังแต่อย่างใด ทว่าซือหม่าโยวเย่ว์ยังได้ยินความเป็นห่วงสายหนึ่งแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเธอ

 

โอ้ แม่คนนี้กำลังเป็นห่วงตนอยู่อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นตอนนั้นก็น่าจะไม่ใช่นางที่บงการให้เหอชิวจือทำร้ายตนสินะ

 

เธอเหลือบตามองเหอชิวจือที่อยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง เหอชิวจือถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว คิดว่าเธอจะมาเปิดโปงตน

 

แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มอย่างมิได้มีความหมายลึกซึ้งอะไรให้นางแล้วมิได้สนใจนางอีก ก่อนจะถามคนอื่นๆ ว่า “เหตุใดพวกเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่กันหมดเลยเล่า”

 

“พวกเรามาจับฉลากกันน่ะ” เมิ่งถิงตอบ

 

“จับฉลากอย่างนั้นหรือ”

 

เมื่อเห็นแววตาสงสัยของซือหม่าโยวเย่ว์ เฉินอานผู้เป็นหัวหน้าห้องก็เดินเข้ามาแล้วพูดว่า “หลังจากเรียนไประยะหนึ่งแล้วพวกเราจะเริ่มต้นรับภารกิจของวิทยาลัยกัน ตอนนี้ไปจับฉลาก เลือกภารกิจที่แต่ละกลุ่มจะได้รับน่ะ”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าซือหม่าโยวหรานและซือหม่าโยวเล่อก็ดูเหมือนจะออกไปทำภารกิจกันอยู่เป็นประจำจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วถามว่า “เช่นนั้นข้าก็ต้องไปจับฉลากกับพวกเจ้าด้วยใช่หรือไม่”

 

เฉินอานส่ายหน้าก่อนจะพูดว่า “เจ้าไม่ต้องจับฉลากแล้วล่ะ กลุ่มของพวกเจ้าถูกกำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะให้ไปทำภารกิจใด”

 

“หืม”

 

“เรื่องนี้เจ้ากลับไปถามพวกเว่ยจือฉีก็รู้แล้ว” เฉินอานพูด

 

“อ้อ ก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้ เธอกลับไปถามดูก็รู้เรื่องแล้ว “เช่นนั้นข้ากลับก่อนละ พวกเจ้าไปจับฉลากกันเถิด”

 

พูดจบแล้วเธอมองเหอชิวจือที่ยืนไม่พูดไม่จาอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดปราดหนึ่งพร้อมยิ้มอย่างร้ายกาจให้ แล้วจึงก้าวเท้าเดินจากไป

 

“ไปกันเถิด พวกเราไปพบอาจารย์เฟิงกัน” เฉินอานนำทางทุกคนเดินไปยังห้องทำงานของเฟิงจือสิง หลังจากที่ทุกคนไปกันแล้ว เหอชิวจือก็มองเงาหลังของซือหม่าโยวเย่ว์ที่เคลื่อนจากไป เมื่อนึกถึงแววตาที่เขามองตนเองก่อนจากไปหัวใจก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

 

นางมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปในค่ายกลนั้นจะต้องแน่ใจว่าตนเป็นคนผลักนางอย่างแน่นอน ตอนนี้พอเห็นตนแล้วมิได้เปิดโปง ก็จะต้องคิดวางแผนร้ายอะไรอยู่เป็นแน่

 

เมื่อนึกถึงจวนแม่ทัพที่หนุนหลังซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ เธอตกใจกลัวเสียจนเหงื่อเยียบเย็นแตกพลั่ก ถ้าหากนางมาหาตนเพื่อแก้แค้น จัดการแค่นางคนเดียวก็คงไม่หนำใจหรอก

 

ไม่ได้การ จะต้องไปให้คนพวกนั้นปกป้องตนเสียแล้ว!

 

ระยะเวลาเพียงชั่วพริบตา หัวใจของเหอชิวจือพลิกกลับไปมาหลายตลบแล้ว

 

“ชิวจือ เจ้ายังไม่ตามมาอีกหรือ” เมิ่งถิงเห็นเหอชิวจือยังยืนอยู่ที่เดิมจึงตะโกนขึ้น

 

“มาแล้ว” เหอชิวจือยกชายกระโปรงวิ่งตามไป

 

ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปยังที่พักแล้วบุกตรงเข้าไปยังห้องของเจ้าอ้วนชวี

 

“เจ้าอ้วนชวี เจ้าอ้วนชวี!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตบประตูห้องของเจ้าอ้วนชวี แต่เว่ยจือฉีที่อยู่ห้องข้างๆ กลับเปิดประตูออกมาก่อน

 

“มีอะไรหรือ”

 

“เอ๊ะ เจ้าไม่ได้ออกไปหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเว่ยจือฉีแล้วจึงพูดขึ้น “ถ้างั้นข้าถามเจ้าแทนก็ได้ ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้าหน่อย”

 

เจ้าอ้วนชวีเปิดประตูพลางขยี้ตามองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วถามว่า “โยวเย่ว์ มีอะไรหรือ”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเว่ยจือฉีปราดหนึ่ง หลังจากนั้นก็เข้าไปในห้องของเจ้าอ้วนชวี ส่วนเว่ยจือฉีก็ตามเข้ามาเช่นกัน

 

“ดูจากที่เจ้าเรียกอย่างร้อนใจเช่นนี้ เพราะคิดถึงข้าใช่หรือไม่เล่า” เจ้าอ้วนชวีเห็นท่าทางเช่นนั้นของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็พูดยิ้มๆ

 

ตอนนี้เมื่อได้มคลุกคลีกับซือหม่าโยวเย่ว์และรู้ว่าเธอมิได้ชอบไม้ป่าเดียวกันอย่างเช่นที่ร่ำลือ ดังนั้นจึงได้ล้อเล่นกับเธอเช่นนี้ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือมิใช่ว่าข่าวลือผิดไป หากแต่วิญญาณที่อยู่ภายในร่างกายเปลี่ยนไปแล้วต่างหาก

 

ซือหม่าโยวเย่ว์หาม้านั่งตัวหนึ่งมาแล้วนั่งลงก่อนจะเอ่ยว่า “เมื่อครู่ตอนที่ข้าไปหาอาจารย์เฟิง ก็พบกับพวกเฉินอานเข้าที่หน้าประตูอาคารเรียน พวกเขาบอกว่าจะไปจับฉลากภารกิจ ข้าจึงถามเขาว่าแล้วของข้าเล่า พวกเขาก็ให้ข้ากลับมาถามพวกเจ้านี่แหละ ที่แท้แล้วนี่มันเรื่องอันใดกันหรือ”

 

“อ้อ เจ้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดี ถ้าเจ้าไม่พูด พวกเราก็คงลืมกันไปแล้ว” เจ้าอ้วนชวีมาถึงข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะนั่งลงแล้วพูดว่า “ที่วิทยาลัยของพวกเราใช้เวลาครึ่งหนึ่งไปกับการเรียน ส่วนเวลาอีกครึ่งหนึ่งล้วนหมดไปกับการฝึกฝนและฝึกยุทธ์ด้วยตัวเอง เรื่องนี้เจ้าคงรู้อยู่แล้วกระมัง”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

 

“ผ่านไปอีกเดือนสองเดือน ก็จะถึงเวลาฝึกฝนของพวกเราแล้ว พอถึงตอนนั้นพวกเราก็ต้องออกไปทำภารกิจอย่างหนึ่งของวิทยาลัยกันก่อน ซึ่งภารกิจนั้นมีทั้งยากและง่าย ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องใช้การจับฉลากในการตัดสินเรื่องนี้” เจ้าอ้วนชวีอธิบายต่อไป

 

“เช่นนั้นเหตุใดข้าจึงไม่ต้องจับฉลากเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นคนอื่นไปกันหมดแล้ว หากตนเองไม่ไปก็ออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย

 

“แค่กๆ เพราะว่าการปฏิบัติภารกิจนี้ถูกจัดกลุ่มเอาไว้แล้วน่ะสิ หนึ่งเรือนพักคือหนึ่งกลุ่ม ดังนั้นเจ้าจึงเป็นกลุ่มเดียวกันกับพวกเรานี่ไง” เจ้าอ้วนชวีมองเว่ยจือฉีปราดหนึ่ง หลังจากนั้นจึงพูดกับซือหม่าโยวเย่ว์อย่างขอโทษขอโพยอยู่บ้างว่า “เพราะพวกเราไม่รู้ว่าเจ้าจะกลับมา ดังนั้นวันนี้ตอนที่อาจารย์เฟิงบอกว่าจะเลือกภารกิจ พวกเราก็เลยเลือกภารกิจที่มีระดับความยากมากที่สุดมาแล้ว ซึ่งเป็นภารกิจระดับหนึ่งเพียงภารกิจเดียวของชั้นปีที่หนึ่งด้วย”

 

“ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่ต้องไปจับฉลากแล้วสินะ และเป็นเพราะว่าข้าอยู่เรือนพักเดียวกันกับพวกเจ้า ดังนั้นข้าก็เลยต้องปฏิบัติภารกิจนี้ด้วยกันกับพวกเจ้าใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์มองคนทั้งสองแล้วถามขึ้น

 

เว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีพยักหน้า

 

“ภารกิจนี้ออกจะอันตรายอยู่บ้าง เช่นนั้นเจ้าเพิ่งจะกลับมา จะไม่ไปกับพวกเราก็ได้นะ” เว่ยจือฉีคิดว่าซือหม่าโยวเย่ว์ตำหนิที่พวกเขาเลือกภารกิจที่อันตรายอย่างยิ่งมาจึงเอ่ยอย่างประนีประนอม

 

“เหตุใดจึงจะไม่ไปเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้ม “พวกเราเป็นเพื่อนร่วมเรือนพักเดียวกันมิใช่หรือ วางใจเถิด ข้าไม่มีทางเป็นตัวถ่วงของพวกเจ้าแน่”

 

เมื่อเห็นแววตื่นเต้นในดวงตาของซือหม่าโยวเย่ว์ เว่ยจือฉีก็ประสานสายตากับเจ้าอ้วนชวีแวบหนึ่ง เจ้าคนผู้นี้ไม่กลัวเกรงอันตรายเลยหรือไร!

 

“ใช่แล้ว เจ้าได้บอกอาจารย์เฟิงเรื่องที่มีคนทำร้ายเจ้าหรือไม่” เจ้าอ้วนชวีนึกถึงที่ซือหม่าโยวเย่ว์บอกว่าคนที่ทำร้ายเธอเป็นคนในชั้นเรียนเดียวกันกับตนจึงหลุดปากถามออกมา

 

“เปล่าหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้า “แต่ข้าได้พบกับนางแล้วนะ”

 

“เช่นนั้นเจ้าได้เปิดโปงนางหรือไม่” เจ้าอ้วนชวีถามอย่างตื่นเต้น

 

“เปล่าเช่นกัน”

 

“เหตุใดจึงไม่เปิดโปงนางเสียเลย นางคิดจะทำร้ายเจ้าจนถึงแก่ความตายเลยนะ!” เจ้าอ้วนชวีตะโกนเสียงดังลั่น

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทางกรุ่นโกรธถึงขนาดนั้นของเจ้าอ้วนชวีก็รู้ว่าเขารู้สึกไม่เป็นธรรมแทนตน จึงวางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดว่า “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ให้เวลานางสักสองวันก่อน”

 

“ถ้าหากข้าเป็นเจ้า เมื่อเห็นศัตรูของตัวเองก็จะพุ่งเข้าไปจัดการมันให้ตายไปเลย” เจ้าอ้วนชวีพูด

 

“ที่แท้แล้วเป็นใครกันหรือที่ผลักเจ้า” เว่ยจือฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยถาม

 

“ในช่วงหลายเดือนมานี้ มิใช่ว่าเหอชิวจือผู้นั้นกลายเป็นสูงส่งหนักหนาหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

 

“เป็นนางเองหรือที่ผลักเจ้า” เว่ยจือฉีถามกลับ

 

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้ายอมรับ

 

“ที่แท้ก็เป็นนางนี่เอง” เจ้าอ้วนชวีพูด “หลายเดือนนี้นางวางตัวสูงส่งเสียเหลือเกิน ว่ากันว่าเป็นเพราะประจบประแจงคนของตระกูลน่าหลาน”

 

“ตระกูลน่าหลานหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคาง ถ้าหากเป็นตระกูลพวกเขา ย่อมมีแรงจูงใจและเหตุผลในการสังหารตนอยู่แล้ว

 

“โยวเย่ว์ เมื่อเร็วๆ นี้บรรพชนของตระกูลน่าหลานเพิ่งจะเลื่อนระดับได้สำเร็จ กลายเป็นราชันวิญญาณ ก่อนหน้านี้เย่อหยิ่งเสียจนจมูกแทบจะแตะผืนฟ้าอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งไม่ธรรมดาเข้าไปใหญ่ ถ้าหากเป็นพวกเขาที่ทำร้ายเจ้าจริงๆ ต่อให้ท่านปู่ของเจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่พิทักษ์อาณาจักร ถ้าหากบุ่มบ่ามเข้าไปเอาผิดพวกเขา เกรงว่าก็คงจะไม่เป็นผลแต่อย่างใด” เจ้าอ้วนชวีเป็นคนเมืองหลวง จึงค่อนข้างจะเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ดี

 

“เรื่องนี้ข้าเข้าใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ดังนั้นข้าจึงต้องรวบรวมหลักฐานก่อน ให้คนที่ทำร้ายข้าไสหัวออกไปเสียก่อนแล้วค่อยลงมือ”

 

“เช่นนั้นเจ้าวางแผนจะทำอย่างไรหรือ” เว่ยจือฉีเห็นแววตาเยียบเย็นของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็เกิดความตื่นเต้นขึ้นมาเช่นกัน

 

……………………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์ยกน้ำชาให้กับทุกคน หลังจากนั้นจึงค่อยกลับไปนั่งยังตำแหน่งของตนแล้วพูดว่า “ถูกส่งตัวไปยังสถานที่ไกลแสนไกลแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ประสบกับเรื่องบางอย่างเข้า จึงมัวแต่เสียเวลาอยู่ที่นั่น เมื่อไม่กี่วันมานี้จึงเพิ่งจะพบค่ายกลนำส่งแล้วกลับมาได้”

 

“แล้วเจ้าเข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่ได้อย่างไรกัน” เป่ยกงถังเอ่ยปากถามอย่างตรงประเด็นในทันที

 

ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่มอึกหนึ่งแล้วถามว่า “มีคนผลักข้าเข้าไปน่ะสิ”

 

“เจ้าบอกว่ามีคนทำร้ายเจ้าอย่างนั้นหรือ!” เจ้าอ้วนชวีสะดุ้งโหยงในทันใด “เป็นใครกัน พวกเราจะไปจัดการให้เอง!”

 

เว่ยจือฉีลากตัวเจ้าอ้วนชวีลงมานั่งแล้วพูดว่า “เจ้าจะรีบร้อนไปไหนกัน ฟังก่อนสิว่าโยวเย่ว์จะพูดอะไร”

 

“เมิ่งถิงหรือ” โอวหยางเฟยมองซือหม่าโยวเย่ว์

 

คนที่เคยมีความขัดแย้งกันกับเธอก็มีแค่เมิ่งถิงเท่านั้น ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนดูคล้ายจะลืมเลือนเธอไปหมดแล้ว

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ใช่นางหรอก”

 

“ไม่ใช่นาง เช่นนั้นจะยังมีใครคิดอยากทำร้ายเจ้าอีกเล่า” เจ้าอ้วนชวีพูด “หลังจากนั้นข้าได้ยินคนพูดว่าผู้ที่เข้าไปก่อนหน้านี้น้อยคนนักที่จะรอดชีวิตออกมาได้”

 

นึกถึงซากศพที่ตนได้เห็นภายในค่ายกลลวงวิญญาณ ถือเป็นการไปไม่กลับอย่างแท้จริง นอกจากนี้ถ้าหากถูกส่งตัวไปยังเทือกเขาผู่สั่วเช่นเดียวกันกับเธอแล้วละก็ โอกาสรอดชีวิตจะยิ่งน้อยลงไปอีก

 

“อืม คนที่อยากทำร้ายข้าคงจะมีอยู่ไม่น้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ข้าเชื่อว่าคนที่ผลักข้าเข้าไปนั้นมิใช่คนวางแผนหรอก แต่ถูกผู้อื่นชี้นำต่างหาก คนที่ข้าต้องการหาตัวคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังนางต่างหาก”

 

“ผู้ที่อยู่เบื้องหลังอย่างนั้นหรือ” เว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์

 

“พอถึงตอนนั้นต้องขอความช่วยเหลือจากพวกเจ้าแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

 

“อืม” เป่ยกงถังรับคำอย่างเรียบง่ายคำหนึ่ง หลังจากนั้นจึงหมุนกายเดินออกไป

 

โอวหยางเฟยพยักหน้าก่อนเดินออกไปอีก

 

ซือหม่าโยวเย่ว์มองคนทั้งสองจากไปแล้วก็เอ่ยพลางทอดถอนใจว่า “สองคนนี้ยังคงเย็นชาเหลือเกิน!”

 

“นี่ก็ดีขึ้นตั้งมากมายแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็มาช่วยเจ้าปัดกวาดทำความสะอาด อีกทั้งยังสนใจในเรื่องราวของเจ้าด้วย ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ล่ะก็ เกรงว่าสองคนนั้นคงจะตรงกลับห้องกันหมด ไม่รับรู้เรื่องราวของโลกภายนอก” เว่ยจือฉีพูด

 

“อืม ข้าเองรู้สึกว่าเหนือความคาดหมายที่สองคนนั้นยอมอยู่ช่วยข้าปัดกวาดทำความสะอาด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ห้องของข้ากลายเป็นสภาพนี้ไปได้อย่างไรกัน ดูเหมือนห้องที่ถูกทำลายอย่างไรอย่างนั้นเลย!”

 

“ก็แปลกประหลาดอยู่เหมือนกัน” เจ้าอ้วนชวีพูด “หลังจากที่เจ้าเกิดเรื่องแล้วพวกเราไม่เคยเข้าไปในห้องเจ้าเลย ดังนั้นจึงไม่เคยรู้เลยว่าห้องของเจ้าถูกทำจนกลายเป็นสภาพเป็นเช่นนี้ เจ้าทิ้งข้าวของที่เสียหายไปหรือยัง”

 

“ทิ้งของตกแต่งไว้หลายชิ้นอยู่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

 

“น่าจะเป็นตอนที่พวกเราไปเข้าชั้นเรียนแล้วถูกคนบุกเข้ามานั่นแหละ” เว่ยจือฉีพูด

 

“อืม ของที่ทิ้งไปเหล่านั้นมิใช่ของที่มีความสลักสำคัญอันใดเป็นพิเศษหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

 

“โยวเย่ว์ เจ้ากลับมาแล้วจะต้องทำให้คนที่ทำร้ายเจ้าในตอนนั้นตกอกตกใจแน่นอน” เจ้าอ้วนชวีกำหมัดแน่น เมื่อนึกถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปแล้วถูกผู้คนพบเห็น บนใบหน้าของคนเหล่านั้นจะแสดงสีหน้าเช่นไร เขาก็ตื่นเต้นไม่น้อยเลย

 

“อืม ข้าก็อยากเห็นเช่นกันว่าคนเหล่านั้นจะมีสีหน้าเป็นเช่นไร” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้ม

 

“ใช่แล้ว ท่านอาจารย์เฟิงทราบเรื่องที่เจ้ากลับมาแล้วหรือยัง” เว่ยจือฉีถาม

 

“เขาคงไม่รู้ว่าข้ากลับมาที่วิทยาลัยแล้วกระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงเฟิงจือสิงแล้วมุมปากยกยิ้ม ท่านปู่บอกว่าในช่วงที่ผ่านมานี้เขาคอยเป็นห่วงตนมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าพฤติกรรมของเขาก่อนหน้านี้จะแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่ตอนนี้พอนึกถึงแล้วก็มิได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด “ช่วงบ่ายข้าจะไปหาเขาที่ห้องทำงานสักหน่อย”

 

“ดีเลย เช่นนั้นเจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด พวกเราขอตัวกลับก่อน”

 

เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีลุกขึ้นจากไปพร้อมกัน

 

เจ้าคำรามน้อยที่หมอบอยู่บนโต๊ะอย่างเงียบๆ มาโดยตลอดลืมตาขึ้นมามองซือหม่าโยวเย่ว์พลางพูดว่า “คนสี่คนนี้เป็นห่วงเป็นใยเจ้าอย่างจริงใจเลยนะ!”

 

“เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”

 

เจ้าคำรามน้อยบิดขี้เกียจแล้วพูดว่า “ข้าเป็นใคร ข้าเป็นถึงคำรามเทพ เป็นสัตว์มงคลเชียวนะ ไวต่อความรู้สึกของมนุษย์เป็นที่สุดเลยละ”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะ เธอเองก็รู้สึกได้เช่นเดียวกันว่ากลับมาคราวนี้ พวกเขามีความประหลาดใจและความยินดีอยู่ในแววตา ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาล้วนมาจากใจทั้งสิ้น แม้กระทั่งเป่ยกงถังยังมีแววยินดีให้เห็นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

 

“ขึ้นไปพักผ่อนข้างบนสักหน่อย หลังจากนั้นค่อยไปหาท่านอาจารย์เฟิงก็แล้วกัน” พูดจบแล้วเธออุ้มตัวเจ้าคำรามน้อยที่อยู่บนโต๊ะขึ้นไปข้างบน

 

ช่วงบ่ายไม่มีคาบเรียน พวกเจ้าอ้วนชวีจึงฝึกยุทธ์อยู่ในห้องกันหมด ซือหม่าโยวเย่ว์ไปที่ห้องทำงานของเฟิงจือสิงเพียงคนเดียว

 

“ก๊อกๆ”

 

เฟิงจือสิงกำลังนั่งสมาธิอยู่ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจึงลืมตาทั้งสองขึ้นแล้วพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “เข้ามาสิ”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ผลักประตูเข้าไปแล้วทำท่าคารวะเฟิงจือสิงก่อนจะพูดว่า “ท่านอาจารย์เฟิง ข้ามารายงานตัวแล้วขอรับ”

 

“เตรียมกลับมาเข้าเรียนแล้วหรือ” เฟิงจือสิงมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วส่งสัญญาณให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ด้วยรอยยิ้ม

 

“ใช่แล้ว ข้าจัดการเรื่องที่บ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงกลับมาเรียน” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเก้าอี้ แต่ก็ยังเลือกที่จะยืนอยู่ต่อไป

 

ตอนที่เธอเผชิญหน้ากับเฟิงจือสิงมักเกิดความรู้สึกมั่นคงราวกับมองภูเขาไท่ซานอยู่ตลอด เธอรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตนผู้นี้มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งพลังยุทธ์ของตนยกระดับขึ้น สัมผัสของเธอก็แรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

 

“เอาละ เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็เริ่มเข้าชั้นเรียนตามปกติก็แล้วกัน” เฟิงจือสิงพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรอีก

 

“ถ้าหากไม่มีอะไรแล้ว ข้าก็ขอตัวก่อนนะขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

 

“รอเดี๋ยวสิ” เฟิงจือสิงเรียกเธอเอาไว้ “อาจารย์ใหญ่ทราบว่าเจ้ากลับมาแล้ว เขาสนใจใคร่รู้ว่าเจ้าถูกส่งตัวไปที่ไหนมากเหลือเกิน บอกว่าพอเจ้ากลับมาแล้วก็ให้ไปพบเขาด้วย เจ้ามากับข้าสิ”

 

เฟิงจือสิงพูดจบแล้วพาตัวซือหม่าโยวเย่ว์ไปยังห้องทำงานอาจารย์ใหญ่

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหม่าโยวเย่ว์ได้พบกับอาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัย ซือหม่าเลี่ยเคยบอกเธอว่าเขากับอาจารย์ใหญ่เป็นเพื่อนสนิทกัน หากมีเรื่องอะไรก็ไปหาเขาได้ ด้วยเหตุนี้อาจารย์ใหญ่ในจินตนาการของเธอจึงน่าจะเป็นคนที่คล้ายๆ กันกับซือหม่าเลี่ย

 

แต่พอได้พบกันแล้วเธอจึงค้นพบว่าอาจารย์ใหญ่ท่านนี้ไม่ได้เหมือนกันกับท่านปู่ของตนเลย

 

ซือหม่าเลี่ยนั้นดูมีจิตวิญญาณของนักรบ ทำให้คนเกิดความกดดันอันมองไม่เห็น แต่อาจารย์ใหญ่ท่านนี้กลับทำให้คนรู้สึกสบายๆ คล้ายกับสายลมอันไร้ซึ่งขีดจำกัดอย่างไรอย่างนั้น

 

อาจารย์ใหญ่มองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างไร้ซึ่งความประหลาดใจ เพียงแค่ถามเธอเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่เธอหายสาบสูญไปไม่กี่ประโยคเท่านั้น

 

ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างง่ายๆ เพียงแค่ว่าเธอถูกส่งตัวไปยังเทือกเขาผู่สั่ว โดยอยู่เพียงแค่รอบนอกเท่านั้น ตอนที่ประสบอันตรายก็ได้คนกลุ่มหนึ่งช่วยเอาไว้ หลังจากนั้นจึงร่อนเร่กับพวกเขาอยู่ที่รอบนอกหลายเดือน

 

เฟิงจือสิงและอาจารย์ใหญ่ต่างก็มิได้ตั้งข้อสงสัยกับคำพูดของเธอ แต่มิได้บอกว่าเชื่อ พวกเขาแค่เห็นเธอกลับมาอย่างปลอดภัยนับใช้ได้แล้ว

 

พอออกมาจากห้องทำงานอาจารย์ใหญ่แล้วซือหม่าโยวเย่ว์ยังนึกถึงท่าทางที่เฟิงจือสิงลูบหัวตนตอนที่แยกจากกันเมื่อครู่นี้ ความรู้สึกนั้นคล้ายกับกำลังลูบหัวลูกหลานของตนอย่างไรอย่างนั้น เพราะว่าคิดจนสติล่องลอยจึงมิได้ระวังด้านหน้า ตอนออกมาจากห้องทำงานจึงชนเข้ากับคนที่เข้ามาจากข้างนอกอย่างรีบร้อน

 

“โอ๊ย ใครกันที่ไม่รู้จักลืมตามองเสียบ้าง! อยากตายหรืออย่างไร!” คนที่ถูกชนตะคอกใส่เธอ แต่หลังจากที่ได้เห็นชัดเจนว่าเป็นเธอแล้วจึงพูดอย่างตกใจว่า “เป็น… เป็นเจ้าเองหรือ!”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเหอชิวจือที่กลายเป็นคนเย่อหยิ่งหลังจากไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่เดือนพลันนึกถึงท่าทีระมัดระวังตัวยามที่นางอยู่ข้างหลังเมิ่งถิงในตอนนั้นขึ้นมา ความเปลี่ยนแปลงนี้ช่างใหญ่โตเสียเหลือเกิน

 

ดูท่าทางคนที่อยู่เบื้องหลังนางจะทำให้นางได้ใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

 

…………………………

Related

นอกจากซือหม่าโยวหรานที่ไปเข้าร่วมภารกิจของวิทยาลัยแล้ว ซือหม่าโยวฉี ซือหม่าโยวหมิง และซือหม่าโยวเล่อต่างกลับมากันแล้ว พอรู้ว่าซือหม่าเลี่ยเลื่อนระดับสำเร็จ ทุกคนต่างตื่นเต้นยินดีกันเป็นอย่างยิ่ง

 

ยามราตรี ซือหม่าโยวเย่ว์ทำกับข้าวเต็มโต๊ะให้กับทุกคนด้วยความยินดี พอเธอออกมาจากห้องครัวก็เห็นคนทั้งสี่นั่งอยู่รอบโต๊ะพลางมองมาทางตนอย่างตกใจ ชะงักงันไปครู่หนึ่งแล้วหลังจากนั้นจึงค่อยได้สติกลับคืนมา เพราะว่าตนตื่นเต้นดีใจเกินไปจึงลืมไปว่าร่างเดิมนี้ทำอาหารไม่เป็น คราวก่อนที่บอกว่าสอนพ่อครัวทำกับข้าว พวกเขาก็คิดว่าเธอเพียงแค่ได้ยินได้ฟังแล้วรู้หลักการมาเท่านั้น ไม่คิอว่าคราวนี้เธอถึงกับหยิบมีดจับตะหลิวด้วยตัวเอง!

 

“น้องห้า เจ้าเรียนรู้การทำกับข้าวมาตั้งแต่เมื่อใดกัน” ซือหม่าโยวเล่อถามขึ้นก่อนใคร

 

ซือหม่าโยวเย่ว์มามานั่งที่เก้าอี้ตนก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าไปใช้ชีวิตอยู่บนเทือกเขาผู่สั่วมาตั้งหลายเดือนมิใช่หรือ เวลานั้นใครจะทำกับข้าวให้ข้า มีแต่ตัวข้าที่ต้องทำกินเองจนทำเป็น”

 

เมื่อได้ฟังซือหม่าโยวเย่ว์พูดเช่นนี้ทุกคนก็มองเธออย่างเจ็บปวดใจ คิดว่าตอนเธออยู่ที่เทือกเขาผู่สั่วจะต้องได้รับความยากลำบากไม่น้อยเลยทีเดียว ดูจากการที่แม้กระทั่งเรื่องซับซ้อนอย่างการทำกับข้าวเธอก็ยังเรียนรู้จนทำเป็นแล้ว

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นสีหน้าของทุกคนแล้วรู้สึกผิดอยู่บ้าง เธอเพียงแค่อยากจะกลบเกลื่อนเรื่องที่ตนทำอาหารได้เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำให้พวกเขาเจ็บปวดใจ

 

เธอแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “เอาละ รีบกินเถิด พอกับข้าวเย็นชืดจะไม่อร่อยเอา”

 

“อืม กินเถิด มาลองชิมกันดูสักหน่อยว่ากับข้าวที่น้องห้าทำเป็นอย่างไรบ้าง”

 

“โอ้ อร่อยเหลือเกิน!”

 

“มา พวกเราคารวะท่านปู่หนึ่งจอก แสดงความยินดีที่ท่านเลื่อนระดับได้อย่างราบรื่น”

 

“ฮ่าๆ นี่ต้องขอบคุณยาวิเศษเลื่อนระดับที่โยวเย่ว์นำกลับมาเลยนะ”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องการเลื่อนระดับของซือหม่าเลี่ย ทุกคนก็ครึกครื้นกันขึ้นมาอีก ดื่มกินกันจนดึกดื่นจึงเลิกรา

 

“ท่านปู่ ข้าคิดว่าพรุ่งนี้จะไปที่วิทยาลัยแล้วขอรับ” หลังกินมื้อเย็นเสร็จซือหม่าโยวเย่ว์ก็พูดขึ้น

 

“เรื่องของเจ้า เจ้าตัดสินใจเอาเองเถิด” ซือหม่าเลี่ยตบศีรษะซือหม่าโยวเย่ว์เบาๆ “หรือหลังจากที่เจ้ากลับไปยังวิทยาลัยแล้ว คิดจะไปหาตัวผู้ที่ทำร้ายเจ้าในตอนนั้นมาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้ามิใช่คนใจดีที่พอคนมาฟาดข้าฝ่ามือหนึ่งแล้วข้าจะถามกลับว่าเจ็บมือหรือไม่หรอกนะ คิดจะทำร้ายข้า ก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับการแก้แค้นเอาไว้ให้ดี!”

 

“ฮ่าๆ ไม่ว่าเจ้าอยากทำอะไร ปู่ก็จะสนับสนุนเจ้าทั้งสิ้น ถ้าหากมีเรื่องอันใดที่ต้องการให้ปู่กับพวกพี่ๆ ช่วยเหลือ แค่เอ่ยปากบอกมาก็พอแล้ว” ซือหม่าเลี่ยพูด

 

“อืม ข้าจะทำเช่นนั้นแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพร้อมรอยยิ้ม

 

เธอมองไปยังทิศที่ตั้งของวิทยาลัย มุมปากยกเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้าย ไม่รู้ว่าคนที่เข้าใจว่าตนตายไปแล้วเหล่านั้น พอเห็นตนแล้วจะมีปฏิกิริยาเช่นไรบ้าง

 

พอกลับมาที่เรือนของตน ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บตัวฝึกยุทธ์อยู่ในห้อง ถึงแม้ว่าเธอจะอยากไปหลอมยาเป็นอย่างยิ่ง แต่เธอก็รู้ว่ายังเร่งรัดถึงขนาดนั้นไม่ได้ การฝึกฝนการกลั่นเครื่องยาของตนยังไม่เพียงพอ ถ้าหากเร่งรัดไปทำการผสานรวม ก็มีแต่จะจบลงด้วยการระเบิดเหมือนครั้งก่อน ต่อให้ฝืนหลอมยาเม็ดหรือยาวิเศษได้สำเร็จ เกรงว่าฤทธิ์ยาคงจะไม่ได้ดีสักเท่าใดนัก

 

นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ของเธอคือการฝึกยุทธ์ เจ้าคำรามน้อยบอกว่าตอนที่ไปถึงระดับเทพแล้ว ไม่แน่ว่าตนอาจจะฟื้นฟูความทรงจำได้ แต่ตอนนี้เธอเพิ่งจะถึงระดับปรมาจารย์วิญญาณเท่านั้น ไม่รู้ว่าอีกไกลเท่าใดจึงจะไปถึงระดับเทพได้ จะต้องใช้เวลาให้สั้นที่สุดจึงจะใช้ได้

 

ภายในราชวิทยาลัย เดือนแรกหลังจากซือหม่าโยวเย่ว์หายสาบสูญไป ทุกคนยังวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้อยู่ คาดการณ์กันว่าเมื่อใดจวนแม่ทัพจะมาก่อความวุ่นวายที่วิทยาลัย แต่คิดไม่ถึงว่าจะไม่เคยเห็นแม้แต่เงาของคนจากจวนแม่ทัพเลย

 

หลังจากหนึ่งเดือนกว่าผ่านไป ทุกคนก็ค่อยๆ วางความสนใจต่อเรื่องนี้ลง มีน้อยคนนักที่ยังจำคนไร้ค่าผู้นั้นได้

 

หลังจากที่เรียนคาบเรียนในตอนเช้าจบแล้ว พอทุกคนกินข้าวกลางวันเสร็จต่างก็คนต่างแยกย้ายกันไป

 

พอเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีสองคนกลับมาเห็นว่ากลอนประตูใหญ่เปิดอยู่ ยังคิดว่าเป็นโอวหยางเฟยหรือไม่ก็เป่ยกงถังกลับมาก่อนแล้ว

 

“เจ้าสองคนนี้นี่ พอเลิกเรียนก็รีบแจ้นกลับมาเลย เมื่อครู่นี้ไม่เห็นพวกเขาที่โรงอาหาร ที่แท้ก็รีบกลับมากันก่อนนี่เอง” เจ้าอ้วนชวีพูด

 

“อืม ตั้งแต่ได้กินอาหารที่โยวเย่ว์ปรุงให้พวกเรา ตอนนี้ก็รู้สึกว่ากับข้าวที่โรงอาหารนี่รสชาติเหลือทนจริงๆ เลย” พอเว่ยจือฉีพูดถึงซือหม่าโยวเย่ว์ สีหน้าดำทะมึนลงในทันใด

 

“โยวเย่ว์เขา…” เสียงของเจ้าอ้วนชวีแหบพร่าอยู่บ้าง

 

คาดว่าตอนนี้ภายในวิทยาลัยน่าจะมีแค่พวกเขาสองคนแล้วที่ยังคงพูดถึงซือหม่าโยวเย่ว์อยู่

 

“พวกเจ้ามายืนออกันอยู่ที่หน้าประตูทำไมกัน” น้ำเสียงเย็นชาของเป่ยกงถังดังขึ้นมาจากด้านหลัง ขัดจังหวะความทุกข์โศกของพวกเขาทั้งสอง

 

เว่ยจือฉีหันไปมองเป่ยกงถังแล้วพูดว่า “เจ้ามิได้เข้าไปหรอกหรือ พวกเรายังคิดว่าเจ้ากลับมาแล้วเสียอีก”

 

“เปล่านี่ ข้าไปห้องสมุดมาต่างหากเล่า” เป่ยกงถังเดินขึ้นหน้าไปสองก้าวแล้วมองคนทั้งสองอย่างสงสัยปราดหนึ่ง หลังจากนั้นก็แทรกตัวผ่านพวกเขาแล้วผลักประตูเข้าไป

 

“เมื่อใดที่เป่ยกงถังผู้นี้จะแย้มยิ้มกับเขาบ้าง เห็นนางทีไรก็เย็นชาราวกับน้ำแข็งตลอดเลย” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยอย่างทอดถอนใจ

 

“อืม ถ้าแย้มยิ้มขึ้นมาจะต้องงดงามเป็นอย่างยิ่งแน่นอน” เว่ยจือฉีพูด

 

“พวกเจ้ามายืนเป็นเทพเฝ้าประตูที่นี่หรือ” โอวหยางเฟยเดินมาจากด้านหลัง เมื่อเห็นคนทั้งสองยืนอยู่ตรงประตูไม่เข้าไปเสียที หลังจากพูดประโยคหนึ่งจบแล้วเขาก็เดินเข้าไปในเรือน

 

อาศัยอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ชอบพูดจากัน แต่มิได้เฉยชาใส่กันเหมือนตอนที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ อีกต่อไปแล้ว

 

“โอ๊ย เจ้านี่มันช่าง…” เจ้าอ้วนชวีเพิ่งพูดไปได้ครึ่งประโยคก็หันมามองเว่ยจือฉีในทันใด จึงเห็นว่าในแววตาของเขามีความพรั่นพรึงอยู่เช่นเดียวกัน

 

พวกเขาสองคนกลับมาก่อน คิดว่าเป่ยกงถังและโอวหยางเฟยเปิดประตูใหญ่ของบ้านเอาไว้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาสองคนจะกลับมาหลังพวกตนเสียอีก เช่นนั้นผู้ที่ใช้กุญแจเปิดประตูคงจะมีเพียงแค่…ซือหม่าโยวเย่ว์แล้วอย่างนั้นน่ะหรือ!

 

พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าเขากลับมาแล้วหรือ

 

ทั้งสองคนรีบเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว พอเข้าไปก็เห็นโอวหยางเฟยยืนอยู่ภายในบ้าน ส่วนเป่ยกงถังก็ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องซือหม่าโยวเย่ว์ วันนี้ประตูที่ปิดสนิทมาโดยตลอด กลับเปิดออกแล้ว!

 

เห็นเพียงว่าซือหม่าโยวเย่ว์โผล่หน้าออกมาจากในห้องแล้วฉีกยิ้มยิงฟันอย่างตกใจให้กับคนทั้งสี่ “พวกเจ้ากลับมากันหมดแล้ว ข้ากำลังเก็บกวาดห้องอยู่ ไม่มีคนอยู่มานานเช่นนี้ ฝุ่นหนาเลยทีเดียว”

 

เจ้าอ้วนชวีชี้ซือหม่าโยวเย่ว์ ไม่อาจพูดประโยคที่สมบูรณ์ออกมาได้เลย

 

“เจ้า… เจ้า… เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อใดกัน!”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ชะโงกออกมาทั้งตัวแล้วหัวเราะคิกคัก “เพิ่งกลับมา เจ้าอ้วนชวี บ่ายนี้เจ้าไม่มีคาบเรียนแล้วกระมัง มาช่วยข้าเก็บกวาดห้องทีสิ”

 

จากนั้นเธอมองพวกเป่ยกงถังสามคนแล้วพูดว่า “ห้องนี้ช่างสกปรกเหลือเกิน นอกจากนี้ยังดูคล้ายว่าจะถูกใครพังอีกด้วย รกรุงรังยิ่งนัก ประเดี๋ยวพอเก็บกวาดเสร็จแล้วพวกเจ้าค่อยมานั่งเล่นกันดีหรือไม่”

 

ในขณะนี้เองคนทั้งสี่จึงค่อยมีปฏิกิริยากันขึ้นมาจริงๆ เว่ยจือฉีม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วพูดว่า “ในเมื่อรกรุงรังยิ่งนัก เช่นนั้นพวกเรามาช่วยกันให้หมดเลยเถิดนะ”

 

“ใช่แล้ว ข้าก็จะร่วมด้วย” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางเดินเข้าไป

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเว่ยจือฉีเข้ามาช่วยจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ดีเลย พอมีพวกเจ้ามาช่วยคงเก็บกวาดเสร็จเร็วขึ้นแล้ว”

 

แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเธอคือโอวหยางเฟยและเป่ยกงถังก็เข้ามาช่วยด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีสีหน้าเย็นชา แต่เธอรู้อยู่แล้วว่าทั้งคู่ชอบทำหน้าตายเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทว่าการที่ทั้งคู่มาช่วยก็ยังทำให้รู้สึกตกใจไม่น้อย

 

“ห้องเจ้านี่ดูเหมือนมีใครเคยบุกเข้ามาก่อนจริงๆ เสียด้วยสิ!” เจ้าอ้วนชวีมองดูห้องที่รกรุงรัง

 

ทั้งห้าคนช่วยกันเก็บกวาด เพียงไม่นานก็จัดการเสร็จเรียบร้อยทั้งห้อง จากนั้นเจ้าอ้วนชวีกับเว่ยจือฉีนั่งลงด้วยกัน ส่วนโอวหยางเฟยพิงอยู่กับโต๊ะ และเป่ยกงถังพิงอยู่ที่ข้างประตู คนทั้งสี่ต่างพากันมองเธอเป็นตาเดียว

 

“โยวเย่ว์ ก่อนหน้านี้ค่ายกลนำส่งส่งตัวเจ้าไปที่ใดกันหรือ”

 

……………………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังคิดอยู่ว่าขั้นตอนไหนที่ทำให้เกิดการระเบิด ดังนั้นจึงมิได้สนใจพวกเจ้าคำรามน้อยที่บุกเข้ามา

 

เมื่อได้ยินเสียงโอดครวญอันเจ็บปวดของเจ้าวิญญาณน้อย จึงเหลือบตามองเขาปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ใครบอกกันเล่าว่าข้าทำให้เกิดระเบิดในขั้นการกลั่น”

 

เจ้าวิญญาณน้อยสัมผัสถึงความหมายในคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ได้อย่างเฉียบคม เพียงครู่เดียวก็หายตัวมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ สองตาเปล่งประกาย แล้วมองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อพลางถามว่า “มิได้ระเบิดในขั้นการกลั่น หรือว่าเจ้ากำลังผสานรวมอยู่เล่า”

 

“ใช่แล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์เช็ดหน้าตัวเองครั้งหนึ่ง แต่กลับทำให้บริเวณที่สะอาดอยู่เพียงจุดเดียวของเธอดำไปเสียอย่างนั้น

 

“เป็นไปได้อย่างไรกัน เจ้าเพิ่งจะศึกษาการกลั่นเครื่องยาได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น แล้วจะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไปเลยได้อย่างไรเล่า” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ข้าเคยได้ยินเจ้านายนักหลอมยาคนก่อนหน้าพูดว่า คนทั่วไปจะสามารถเข้าใจขั้นตอนการกลั่นได้ภายในหนึ่งเดือน หากไปถึงตรงนั้นได้ก็ไม่เลวแล้ว ตอนนั้นเขามีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมก็ยังต้องใช้เวลาถึงยี่สิบกว่าวันจึงจะเข้าใจวิธีการกลั่นได้ เจ้าใช้เวลาแสนสั้นถึงเพียงนี้ ทำไมจึงได้…”

 

“คนอื่นต้องใช้เวลานานถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ประหลาดใจอยู่บ้าง “การกลั่นเครื่องยานั้นง่ายดายยิ่งนัก ข้าใช้แค่สองวันก็ทำเป็นแล้ว”

 

“สองวันอย่างนั้นหรือ!” เหล่าสัตว์อสูรภายในห้องต่างพากันร้องออกมาอย่างตกใจ

 

เพิ่งเริ่มเส้นทางนี้มาได้สองวัน เมื่อนึกถึงที่เจ้าวิญญาณน้อยบอกว่าผู้อื่นต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ทันใดนั้นสายตาหลายคู่ต่างมองดูเธอราวกับเห็นสัตว์ประหลาดก็มิปาน

 

“ใช่แล้ว ยังไม่ทันหมดวันที่สองหลังจากที่ข้าเข้ามาก็กลั่นสารสำคัญขวดแรกออกมาได้แล้วหลังจากนั้นระยะเวลาที่เหลือจึงใช้ไปกับการฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งหมดเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่พูด “ต่อมาตอนที่ข้าอ่านตำรับยาพื้นบ้านที่ค้นคว้าเอาไว้ ก็พบว่าเครื่องยาที่ข้ากลั่นก่อนหน้านี้นำมาหลอมยาวิเศษชนิดหนึ่งได้พอดี เลยคิดจะทดลองดูสักหน่อย ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลยนะ แต่ตอนที่ใส่เครื่องยาสองชนิดสุดท้ายกลับระเบิดเสียอย่างนั้น”

 

ขณะนี้เจ้าวิญญาณน้อยตื่นเต้นจนพูดไม่ออก ได้แต่กอดไหล่ซือหม่าโยวเย่ว์แน่นเพื่อแสดงความรู้สึกตื่นเต้นในตอนนี้ของเขา เนิ่นนานผ่านไปเขาจึงพูดว่า “ข้ายังคิดว่าเจ้าเป็นเศษขยะทางด้านการหลอมยาอยู่เลย แต่ที่แท้เจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์มากทีเดียว ไม่ใช่สิ เป็นอัจฉริยะต่างหากเล่า ฮ่าๆๆๆ! เช่นนี้ต่อไปข้าก็จะมีขนมเคลือบน้ำตาลกินแล้วสินะ ช่างดีเหลือเกิน!”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก รู้สึกว่าเจ้านี่จะเห็นเธอเป็นเครื่องผลิตขนมเคลือบน้ำตาลไปเสียแล้วสินะ

 

“เอาละ ออกไปก่อนเถิด พอข้าเก็บกวาดที่นี่เสร็จเรียบร้อยก็จะไปอาบน้ำแล้ว อีกประเดี๋ยวจะกลับมาค้นคว้าดูสักหน่อยว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดระเบิดขึ้นได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

 

“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวข้าเก็บกวาดที่นี่ให้เอง” เจ้าวิญญาณน้อยยิ้มอย่างประจบประแจงแล้วพูดว่า “เจ้าสนใจแค่เรื่องไปอาบน้ำและคิดใคร่ครวญเหตุผลที่ระเบิดก็พอแล้ว”

 

มีคนเสนอตัวช่วยเหลือ เธอย่อมสุขใจแน่นอนอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็ให้เขาเตรียมถังอาบน้ำถังหนึ่งให้ตนแล้วอาบน้ำอย่างมีความสุข

 

“ที่แท้แล้วเกิดความผิดพลาดขึ้นตรงไหนกันแน่หนอ”

 

ภายในห้องอาบน้ำที่เจ้าวิญญาณน้อยเตรียมเอาไว้ให้ ซือหม่าโยวเย่ว์อาบน้ำอยู่ในถังแล้วเอนศีรษะพิงขอบถัง มองเพดานห้องพลางคิดใคร่ครวญ

 

ขั้นตอนของเธอถูกต้องอย่างแน่นอน ลำดับก่อนหลังของการใส่สารสำคัญและเครื่องยาก็ถูกต้องเช่นกัน เธอมั่นใจในสองจุดนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นปัญหาจะต้องไม่ได้เกิดจากสองจุดนี้อย่างแน่นอน

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นที่ความบริสุทธิ์ของการกลั่นเครื่องยาและการควบคุมอุณหภูมิเตาหลอมยาแล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยพึมพำ “ดูท่าทางยังจะต้องเพิ่มความแกร่งในการฝึกฝนการกลั่น ทั้งยังจำเป็นต้องทำความเข้าใจการควบคุมอุณหภูมิในทุกขั้นตอนของการหลอมยาด้วย”

 

หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไปยังห้องหลอมยาอีก เมื่อเห็นห้องหลอมยาที่ได้รับการเก็บกวาดเสียจนสะอาดสะอ้าน เธอก็ทอดถอนใจกับความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวของเจ้าวิญญาณน้อย

 

แต่เธอลืมไปเสียสนิทว่าเดิมทีที่นี่อยู่ภายในมณีวิญญาณอยู่แล้ว เจ้าวิญญาณน้อยเพียงแค่ขยับหัว ทั้งห้องก็คืนสู่สภาพเดิมได้แล้ว

 

คราวนี้เธอไม่ได้เริ่มต้นในทันที หากแต่หยิบเอาตำราการหลอมยาเล่มหนึ่งออกมาดู

 

เปรียบเทียบกับขั้นตอนการกลั่นก่อนหน้านี้ของตนครั้งแล้วครั้งเล่า ดูว่าตนเองมีจุดบกพร่องอันใดหรือไม่ รอจนแน่ใจว่าไม่มีปัญหาแล้วเธอจึงค่อยเริ่มต้นทำการกลั่นเครื่องยาอีกครั้ง

 

ในขณะที่เธอกำลังค่อยๆ สงบจิตใจอยู่นั้นเอง จึงพบว่าความบริสุทธิ์ของการกลั่นของตนเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว

 

“เจ้านาย ด้านนอกมีความเคลื่อนไหว” เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นฉับพลันแล้วพูดกับซือหม่าโยวเย่ว์

 

“เป็นเพราะท่านปู่กำลังจะออกจากการปลีกวิเวกแล้วใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

 

เพื่อป้องกันมิให้เกิดเรื่องราวอันใด ตอนที่เธอเริ่มต้นทดลองหลอมยาครั้งใหม่จึงให้เจ้าวิญญาณน้อยคอยสังเกตความเคลื่อนไหวภายนอกเอาไว้

 

“น่าจะใช่นะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ข้ารู้สึกได้ว่าปราณวิญญาณข้างนอกมีความผิดปกติอยู่บ้าง จึงรู้สึกว่าน่าจะมีคนกำลังเลื่อนระดับ”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังแล้วก็รีบวางเครื่องยาที่กลั่นไปแล้วครึ่งหนึ่งในมือลง เพียงความคิดวูบไหวคราหนึ่งเธอก็มาถึงข้างนอกแล้ว

 

เปิดประตูออกไปก็เห็นสาวใช้ทั้งสองของตนกำลังเฝ้ายามอยู่ที่ด้านนอกประตูของตนจึงถามว่า “เหตุใดพวกเจ้าจึงอยู่ที่นี่กันเล่า”

 

“เรียนคุณชาย พวกเราคิดว่าท่านไม่ออกมาหลายวันถึงเพียงนี้ อาจกำลังบำเพ็ญอยู่ข้างในก็เป็นได้ เพื่อมิให้ใครเข้าไปรบกวนท่าน จึงรอกันอยู่ที่นี่น่ะเจ้าค่ะ”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าเจ้าของร่างเดิมของตนทำกับพวกนางเช่นนั้น แต่พวกนางยังรับใช้กันสุดตัวเช่นนี้จึงพูดว่า “เอาละ ตอนนี้ข้าออกมาแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด”

 

พูดจบแล้วเธอก็ตรงไปยังห้องหนังสือของซือหม่าเลี่ย เมื่อหาทางเข้าอุโมงค์ใต้ดินพบ ก็ค่อยๆ คลำทางลงไปช้าๆ

 

พอมาถึงด้านนอกห้องลับ ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ได้เข้าไปต่อ แค่เพียงหยุดรออยู่ที่นี่เท่านั้น

 

ตั้งแต่หลังจากที่ร่างกายของตนถูกเพลิงชาดดัดแปลงแล้ว เธอก็มีสัมผัสไวต่อปราณวิญญาณในอากาศเป็นอย่างมาก บางทีคนข้างนอกอาจจะไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของปราณวิญญาณในอากาศเลยด้วยซ้ำ แต่เธอกลับสัมผัสได้ว่าปราณวิญญาณไฟที่อยู่ไกลออกไปกำลังรวมตัวกันตรงไปยังห้องลับอย่างต่อเนื่อง

 

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าปราณวิญญาณที่ไหลเข้าไปเริ่มจะช้าลงแล้ว จึงรู้ว่าการเลื่อนระดับน่าจะเสร็จสิ้นลงแล้ว

 

เป็นไปตามคาด เพียงไม่นานประตูห้องลับถูกดึงเข้าไปในกำแพงทั้งสองข้างอย่างช้าๆ แล้วซือหม่าเลี่ยก็เดินออกมาจากด้านใน

 

“ท่านปู่” ซือหม่าโยวเย่ว์รุดเข้าไปต้อนรับพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ยินดีกับท่านปู่ด้วยที่พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว!”

 

“ฮ่าๆ ต้องยกความดีให้กับยาวิเศษสองเม็ดนั้นของเจ้าแล้ว” ซือหม่าเลี่ยคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะรอตนอยู่ที่นี่ จึงสะดุ้งเล็กน้อยคราหนึ่ง จากนั้นหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรกันว่าข้าจะออกมาแล้ว”

 

“ข้ารู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นปราณวิญญาณในอากาศ จึงเดาว่าท่านปู่น่าจะเลื่อนระดับสำเร็จแล้ว ดังนั้นจึงมารอรับท่านปู่ออกจากการปลีกวิเวกขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพร้อมรอยยิ้ม

 

“เจ้าสัมผัสถึงระลอกคลื่นปราณวิญญาณตอนที่ข้าเลื่อนระดับได้อย่างนั้นหรือ” ซือหม่าเลี่ยตกตะลึงอยู่บ้าง

 

ถ้าหากผู้อื่นสัมผัสได้เช่นเดียวกัน มิใช่ว่าต่อให้เขาอยากจะปกปิดเรื่องที่ตนเลื่อนระดับนี้เอาไว้ก็ปิดไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ

 

“ท่านปู่วางใจเถิด ผู้อื่นรับสัมผัสไม่ได้หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ก่อนข้าจะเข้ามาก็ได้ให้เจ้าคำรามน้อยผูกข่ายมนตร์ให้แล้ว ผู้อื่นย่อมไม่อาจสัมผัสได้”

 

“เจ้าคำรามน้อยหรือ”

 

“ก็คือข้าอย่างไรเล่าท่านปู่!” เจ้าคำรามน้อยร่อนลงมาจากด้านบนของทางเดินลับแล้วลอยตัวอยู่ตรงหน้าซือหม่าเลี่ยด้วยท่าทีเหมือนว่า ท่านรีบชมข้าเร็วเข้าสิ

 

ซือหม่าเลี่ยตกใจ นี่มันสัตว์อสูรวิเศษอันใดกัน ไม่เพียงแต่จะพูดได้เท่านั้น แต่ยังผูกข่ายมนตร์ได้อีกด้วยอย่างนั้นหรือ ก่อนหน้านี้ตอนเห็นซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มมันก็ยังคิดว่ามันคือสัตว์เลี้ยงที่เธอซื้อมาจากข้างนอกเสียอีก

 

“ถึงแม้ว่าตอนนี้เจ้าคำรามน้อยจะไม่มีความสามารถในการต่อสู้ แต่เรื่องการผูกข่ายมนตร์ต่างก็ยังทำได้อยู่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ดังนั้นท่านปู่ก็ไม่ต้องกังวลใจไป”

 

ให้เจ้าคำรามน้อยใช้ข่ายมนตร์ล้อมรอบทั้งห้องหนังสือเอาไว้หลังจากที่ตนเข้ามาในทางเดินลับแล้ว เพื่อไม่ให้ผู้คนภายนอกรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของจวนแม่ทัพ เธอคิดอย่างถี่ถ้วนมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าแสร้งทำเป็นอ่อนแอไว้ก่อนดีกว่าเปิดเผยความสามารถอย่างตรงไปตรงมา ก็เหมือนกับตนเองในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ถ้าหากมิใช่เพราะมีฝีมือร้ายกาจเกินไป ตอนอยู่ในองค์กรคงไม่ถูกมืออันดับสองขององค์กรทำร้ายเอาหรอก

 

“เอาละ ท่านปู่ ตอนนี้ออกไปข้างนอกกันเถิด พอพวกพี่ๆ รู้ว่าท่านเลื่อนระดับแล้วคงดีใจแทบแย่เหมือนกันแน่นอน” ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงแขนซือหม่าเลี่ย แล้วคนทั้งสองก็เดินมุ่งหน้าออกไปจากทางเดินลับ

 

ทว่าต่อให้เจ้าคำรามน้อยจัดวางข่ายมนตร์ ในห้องทำงานของวิทยาลัย เงาร่างของคนผู้หนึ่งยืนมองจวนแม่ทัพอยู่ข้างหน้าต่างพลางพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “สิ่งที่เจ้ารอคอยอยู่ก็คือเรื่องนี้ใช่หรือไม่ ในเมื่อเรื่องราวเสร็จสิ้นลงแล้ว เจ้าจะกลับมาเมื่อใดกัน…”

 

……………………

Related

พอจัดการเรื่องหมัวซาเรียบร้อยแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าวิญญาณน้อย ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าเจ้ามีเจ้านายเป็นนักหลอมยามาก่อนใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์กอดเจ้าวิญญาณน้อยเอาไว้พลางถามขึ้น

“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้มานานมากแล้ว ทำไมหรือ” เจ้าวิญญาณน้อยถาม

“ข้าอยากศึกษาการหลอมยาน่ะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหนังสือหลอมยาเหล่านั้นอยู่ที่ไหน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้าอยากศึกษาการหลอมยาอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นในภายภาคหน้าก็จะมียาวิเศษมากมายให้ข้ากินแล้วใช่หรือไม่” พอเจ้าวิญญาณน้อยได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วดวงตาก็เปล่งประกาย

“เจ้าชอบกินยาวิเศษมากเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ก็ใช่น่ะสิ!” เจ้าวิญญาณน้อยพยักหน้าแล้วพูดว่า “ยาวิเศษที่เจ้านายคนก่อนหน้านี้เหลือทิ้งเอาไว้ล้วนถูกข้ากินไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว ดังนั้นภายในมณีวิญญาณจึงไม่มียาวิเศษเหลืออยู่”

อ้อ…

ก่อนหน้านี้ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังสงสัยอยู่พอดี ในเมื่อเคยมีเจ้านายเป็นนักหลอมยา แต่เพราะเหตุใดภายในมณีวิญญาณนี้กลับไม่มียาวิเศษอยู่เลยแม้แต่ขวดเดียว ที่แท้ถูกเจ้านี่กินไปหมดแล้วนั่นเอง!

“เจ้านาย ข้าจะพาเจ้าไปหาหนังสือเอง” เจ้าวิญญาณน้อยพูดแล้วรีบลากตัวซือหม่าโยวเย่ว์หายไปจากตรงนั้น เพียงพริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่ภายในห้องแห่งหนึ่ง

“เจ้านาย ทั้งหมดในนี้ล้วนเป็นตำราการหลอมยาทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่เจ้านายคนก่อนหน้านี้เก็บสะสมเอาไว้ ข้าเคยได้ยินเขาพูดว่ามีเล่มที่เป็นตำราสมัยโบราณกาลอยู่เป็นจำนวนมากเลยทีเดียวนะ! ทั้งยังมีตำรับยาพื้นบ้านที่หายสาบสูญไปแล้วอยู่มากมายอีกด้วย” เจ้าวิญญาณน้อยชี้ไปยังหนังสือที่วางเรียงรายอยู่เต็มห้องพลางเอ่ยขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์มองตำราในห้องปราดหนึ่ง หนังสือกองแล้วกองเล่าวางเต็มห้อง หากมิใช่หมื่นเล่ม อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีเกินกว่าพันเล่ม

“หนังสือมากมายถึงเพียงนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหนังสือพวกไหนที่เอาไว้สำหรับให้ผู้เริ่มต้นอ่านน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

เจ้าวิญญาณน้อยส่ายหน้า เขาไม่เคยอ่านหนังสือเหล่านี้มาก่อนเลย แล้วจะไปรู้ได้อย่างไร

“ใช่แล้ว!” เจ้าวิญญาณน้อยนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหายตัวไปจากห้องในทันใด ตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง ในมือก็มีเตาหลอมยาเพิ่มขึ้นมาเตาหนึ่ง

“เจ้านาย นี่คือเตาหลอมยาที่เจ้านายคนก่อนทิ้งเอาไว้ หลังจากที่เจ้าอ่านหนังสือแล้วใช้เตาหลอมยานี้หลอมยาได้ ถ้าหากต้องการเครื่องยาอันใดล่ะก็ ในดินด้านนอกล้วนมีอยู่ทั้งสิ้น เจ้านายคนก่อนเก็บสะสมเอาไว้มากมายหลายชนิด แล้วข้าก็เก็บรักษาเอาไว้ทั้งหมดเลย”

เมื่อเห็นเจ้าวิญญาณน้อยมีความกระตือรือร้นต่อตนเช่นนี้เป็นครั้งแรก ซือหม่าโยวเย่ว์ก็มุมปากกระตุก ดูเหมือนว่าเจ้านี่จะชมชอบยาวิเศษเหลือเกิน

เธอมองดูตำราที่กองเต็มห้องแล้วเลือกหาตำราของผู้เริ่มต้นศึกษาก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า

จากนั้นในเวลาต่อมาเธออ่านชื่อหนังสือทั้งหมดภายในห้องรอบหนึ่ง แล้วจึงหยิบเอาตำราที่เหมาะสมสำหรับผู้เริ่มต้นศึกษาออกมาทั้งหมด หลังจากนั้นหยิบเอาโต๊ะเก้าอี้ออกมาเริ่มต้นอ่าน

จะว่าไปแล้ววิธีการหลอมยานี้ก็ไม่ได้ยากเย็น แบ่งคร่าวๆ ได้เป็นสามระดับขั้น ได้แก่ การกลั่น การผสานรวม และการขมวดยา แต่สามระดับขั้นนี้กลับขัดขวางปรมาจารย์วิญญาณมานับพันนับหมื่นคนแล้ว

การกลั่นคือการทำให้เครื่องยาทั้งหมดกลั่นตัวเพื่อสกัดเอาสารสำคัญของพวกมันออกมา ซึ่งการจะทำสิ่งนี้ได้ก็จำเป็นต้องใช้ความละเอียดอ่อนและความอดทน

การผสานรวมนั้นฟังดูง่ายดายอย่างยิ่ง ซึ่งก็คือการผสานรวมสารสำคัญที่ได้กลั่นออกมาก่อนหน้านี้เข้าด้วยกัน ขั้นตอนนี้ดูเหมือนจะง่าย ทว่ายาวิเศษแต่ละชนิดต่างมีลำดับขั้นตอนการผสานรวมเป็นของตัวเอง เวลาใดควรผสานรวมเครื่องยาใดเข้าไป สิ่งนี้ล้วนมีความละเอียดอ่อน มิใช่ว่าจะใส่สารสำคัญที่มีอยู่ทั้งหมดรวมๆ กันลงไปก็ใช้ได้แล้ว

นอกจากนี้ถ้าหากจัดการได้ไม่ดี มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจเกิดการระเบิดขึ้นได้ เสียแค่เครื่องยาก็ไม่ว่า แต่ตัวนักหลอมยาเองอาจเกิดอันตรายไปด้วย

ขั้นที่สามซึ่งเป็นขั้นที่สำคัญที่สุดคือการขมวดยา

ถ้าหากสองขั้นก่อนหน้าสำเร็จแล้ว แต่ไม่อาจขมวดยาได้สำเร็จ สิ่งที่ทำออกมาได้อย่างมากที่สุดก็คือยาเม็ดเท่านั้น ถึงแม้ว่ายาเม็ดจะมีประโยชน์เช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับยาวิเศษแล้วผลลัพธ์ก็ยังต่างกันเป็นร้อยเป็นพันเท่าอยู่ดี

ส่วนการขมวดยานั้นคือการรอให้สารสำคัญทั้งหมดผสานรวมกันจนได้ที่แล้วจึงส่งพลังวิญญาณของตนเข้าไปภายในเตาหลอมยา ทำให้ยาเม็ดที่อยู่ข้างในควบรวมกลายเป็นยาวิเศษ ขั้นนี้ท้าทายพลังจิตของแต่ละคนเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากควบคุมได้ไม่ดีแล้วละก็ ความพยายามทั้งหมดที่ทุ่มเทลงไปก่อนหน้านี้อาจจะสูญเปล่าได้การหลอมยาทั้งหมดดูเหมือนจะง่ายดาย แต่คนที่สำเร็จเป็นนักหลอมยาอย่างแท้จริงนั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย

นอกจากนี้การหลอมยายังมีปัจจัยสำคัญอีกสองอย่างคือเตาหลอมยาและเปลวไฟ

เตาหลอมยานั้นพูดง่าย แน่นอนว่ายิ่งได้เตาหลอมยาดี ความสำเร็จในการหลอมยาจะยิ่งสูง

สำหรับไฟนั้นมีอยู่มากมายหลายชนิด ทั้งไฟที่จุดขึ้นจากฟืน ไฟกำเนิดของสัตว์อสูรวิเศษ ไฟพิสดาร และไฟวิญญาณ

ชนิดแรกนั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลย ส่วนชนิดที่สองคือไฟกำเนิดของสัตว์อสูรวิเศษ ตอนที่หลอมยาก็ให้สัตว์อสูรวิเศษคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ด้วยความสัมพันธ์ของการทำพันธสัญญา เจ้านายออกคำสั่งให้สัตว์อสูรวิเศษควบคุมขนาดของไฟได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากเป็นการทำพันธสัญญาโดยกำเนิด เจ้านายยังควบคุมไฟกำเนิดของสัตว์อสูรวิเศษได้โดยตรงอีกด้วย

นี่คือเปลวไฟที่เหล่านักหลอมยาส่วนใหญ่ใช้กัน แต่ข้อเสียของเปลวไฟชนิดนี้คือระดับขั้นของเปลวไฟไม่สูงนัก นอกจากนี้สัตว์อสูรผูกพันธสัญญานี้ยังจะต้องเป็นสัตว์อสูรวิเศษธาตุไฟเท่านั้นจึงจะใช้ได้

เปลวไฟชนิดที่สาม ไฟพิสดาร เปลวไฟชนิดนี้เป็นเปลวไฟที่เกิดขึ้นระหว่างฟ้าดิน แฝงไว้ด้วยจิตวิญญาณ ถ้าหากเก็บเอาไปใช้ได้ ผลสำเร็จในการหลอมยาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว

แต่การเก็บเอาไฟพิสดารพรรค์นี้ไปใช้นั้นยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าการจะดูดซับไฟพิสดารเข้าสู่ร่างกายแล้วทำการหลอมแปรธาตุหากประมาทขึ้นมา ในทางกลับกัรอาจถูกไฟพิสดารสะท้อนกลับแล้วเผาผลาญจนวายชีพ

แต่ในนี้ไม่ได้พูดถึงเปลวไฟชนิดที่สี่เอาไว้มากนัก บางทีอาจเป็นเพราะเปลวเพลิงเหล่านี้ลึกลับมากเกินไปกระมัง

หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์อ่านกระบวนการหลอมยาเสร็จเรียบร้อยจึงพบว่านี่เป็นงานที่ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างยิ่ง โชคดีที่ชาติก่อนเธอขาดแคลนเงิน ขาดแคลนผู้ชาย ทว่าแต่ไหนแต่ไรกลับไม่เคยขาดความอดทนเลย

หลังจากนั้นเธอเริ่มศึกษาขั้นแรกของการหลอมยา…การกลั่น

เธอจดจำวิธีการและขั้นตอนต่างๆ ที่เขียนอยู่ในหนังสือเอาไว้ในใจ หลังจากนั้นก็วิ่งหางจุกตูดไปหาเครื่องยามาหลายชนิด ก่อนจะมายังห้องหลอมยาแล้วหยิบเอาเตาหลอมยาที่เจ้าวิญญาณน้อยหามาให้ก่อนหน้านี้ออกมาเริ่มต้นรวบรวมสมาธิศึกษา

ผ่านไปสองวัน นอกจากซือหม่าโยวเย่ว์จะออกมาขุดหาเครื่องยาบางตัวแล้ว นอกเหนือจากนี้ก็อยู่ในห้องหลอมยาตลอดเวลา ภายในห้องมีเสียงปึงปังไม่หยุดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

เหล่าสัตว์อสูรวิเศษภายในมณีวิญญาณต่างก็พากันวิ่งมารออยู่ด้านนอกห้องหลอมยา

“เจ้านายจะหลอมยาวิเศษได้สำเร็จหรือไม่” ย่ากวงมองดูห้องหลอมยาพลางถามขึ้น

“ได้แน่นอนอยู่แล้วล่ะ!” เจ้าคำรามน้อยกลิ้งไปมาอยู่บนร่างของย่ากวง เมื่อได้ยินคำถามของย่ากวงแล้วก็พูดด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง

“เย่ว์เย่ว์น้อยเฉลียวฉลาดถึงเพียงนั้น ต้องหลอมได้สำเร็จอย่างแน่นอน” ร่างกายของหลิงหลงลอยอยู่กลางอากาศ ยกขาทั้งสองข้างขึ้นพลางประสานมือไว้ที่ท้ายทอย คล้ายกับนอนอยู่บนเตียงอย่างไรอย่างนั้น

“สำเร็จแน่นอนอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะมีขนมเคลือบน้ำตาลให้กินมากมายแล้วสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“ขนมเคลือบน้ำตาลหรือ”

“ก็คือยาวิเศษนั่นแหละ ก่อนหน้านี้ข้าเรียกว่าขนมเคลือบน้ำตาลทั้งหมดเลย” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“ตูม…” ในขณะที่พวกเจ้าวิญญาณน้อยกำลังสนทนากันอยู่นั้นเอง ห้องหลอมยามีเสียงระเบิดดังขึ้นมาครั้งหนึ่ง ทำให้พวกมันตกใจจนต้องรีบวิ่งเข้าไปดู

“เย่ว์เย่ว์ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” เจ้าคำรามน้อยนำเข้าไปก่อนใครจึงเห็นควันโขมงเต็มห้อง เงาร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ก็ผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ท่ามกลางกลุ่มควันนั้นเอง

“เจ้านาย เป็นอะไรไปหรือ” พวกย่ากวงรีบพุ่งเข้ามาเช่นกัน เมื่อเห็นเศษซากของประตูทางเข้าจึงเอ่ยถามขึ้น

กลุ่มควันภายในห้องค่อย ๆ จางหายไป เผยให้เห็นความระเกะระกะภายในห้อง ไม่เพียงแต่บนโต๊ะเท่านั้น บนพื้น หรือแม้กระทั่งบนกำแพง ล้วนเต็มไปด้วยเศษผงยาที่กระเด็นไปทั่วจากการระเบิด

ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่ตรงกลางห้อง ในขณะที่ระเบิดนั้นเธอก็ป้องกันใบหน้าเอาไว้ แต่เส้นผมกลับถูกเผาเจนไหม้กรอบ ส่วนเสื้อผ้ากลายเป็นเศษผ้าขาดวิ่นไปด้วยเช่นกัน

“โอ๊ยๆๆ ข้าเสียใจเหลือเกิน!” เจ้าวิญญาณน้อยเห็นสภาพห้องแล้วก็ตะโกนเสียงดัง

“เจ้าวิญญาณน้อย เป็นอะไรไปเล่า” พวกที่เหลือมองเจ้าวิญญาณน้อยอย่างไม่เข้าใจ

“คนอื่นๆ ต่างเกิดเหตุการณ์การระเบิดขึ้นในขั้นของการผสานรวมกันทั้งสิ้น แต่เจ้านายกลับเกิดระเบิดขึ้นตั้งแต่ตอนกลั่นเครื่องยาเสียได้ ก็บอกได้ชัดเจนเลยว่านางไม่มีทักษะทางด้านการหลอมยาเอาเสียเลย ข้าก็คงไม่มีขนมเคลือบน้ำตาลกินอีกต่อไปแล้วสิ เฮ้อ ปวดใจเหลือเกิน” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างผิดหวัง

พวกเจ้าคำรามน้อยมองซือหม่าโยวเย่ว์ที่ถูกระเบิดเสียจนยับเยิน หรือว่านางจะเป็นนักหลอมยาไม่ได้จริงๆ หนอ

……………………………

Related

ช่างเป็นแววตาที่เฉียบคมเหลือเกิน!

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกชายหนุ่มผู้นั้นมองปราดหนึ่งแล้วรู้สึกว่าตนคล้ายต้องมนตร์สะกดอย่างไรอย่างนั้น

 

กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของเขายังร้ายกาจกว่าอูหลิงอวี่ที่ฟื้นฟูพลังยุทธ์แล้วตั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า!

 

ซือหม่าโยวเย่ว์สงบจิตสงบใจแล้วหยิบค้อนทุบลงไปบนศิลาวิญญาณครั้งแล้วครั้งเล่าพลางเอ่ยว่า “ข้าก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต แต่ข้าฟังจากสิ่งที่ท่านพูดเมื่อครู่นี้ ท่านไม่ใช่มนุษย์อย่างนั้นหรือ”

 

“เฮอะ ข้าเป็นถึงเผ่ามารอันสูงส่ง จะเป็นเผ่ามนุษย์ต่ำต้อยอย่างพวกเจ้าไปได้อย่างไรกัน!” ชายหนุ่มพูด

 

“เผ่ามารหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบศิลาวิญญาณขึ้นมาแล้วยืนขึ้นก่อนจะมองขึ้นลงประเมินเขารอบหนึ่งแล้วพูดว่า “สารรูปที่มนุษย์ก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิงอย่างท่าน ดูแล้วไม่เหมือนมนุษย์หรอก แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเผ่ามารตนหนึ่งไปเสียได้ แต่เผ่ามารมาแฝงตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน แล้วยังร่อนเร่มาถึงที่นี่อีกต่างหาก”

 

“เฮอะ!” ชายหนุ่มฟังแววเสียดสีในคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ออก จึงหันหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง

 

“ท่านชื่ออะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

 

ไม่สนใจเลย…

 

“ถึงอย่างไรข้าก็มิอาจเรียกท่านว่านี่ๆๆ ไปได้ตลอดหรอกนะ หรือจะให้ข้าตั้งชื่อท่านว่าหมาน้อยแมวน้อยอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

 

ชายหนุ่มเบ้ปากแล้วพูดว่า “หมัวซา”

 

“หมัวซา…ก็เหมือนกับชื่อมารตนหนึ่งจริงๆ นั่นแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านเป็นผู้จัดวางค่ายกลลวงวิญญาณในตอนนั้นหรือ”

 

เงียบงัน

 

แต่มิได้ปฏิเสธ

 

“ดูท่าทางคงจะใช่สินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “คนอย่างข้า แต่ไหนแต่ไรมามีแค้นต้องชำระ ท่านกักขังข้าอยู่ในค่ายกลลวงวิญญาณนั่นตั้งเนิ่นนานถึงเพียงนั้น ท่านบอกมาซิว่าพวกเราจะชำระบัญชีแค้นนี้กันอย่างไรดี”

 

เธอพูดพลางใช้ค้อนทุบตีศิลาวิญญาณในมือเบาๆ ไปด้วย

 

หมัวซามองการกระทำของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วแววตาเข้มขึ้น เขาข่มเพลิงโทสะเอาไว้แล้วพูดว่า “เจ้าอยากจะชำระอย่างไรเล่า”

 

“ท่านประจำอยู่ในก้อนหินเล็กๆ นี่ได้ เช่นนั้นท่านน่าจะเป็นคนที่ร้ายกาจพอตัวเลยทีเดียวกระมัง แล้วจะไม่ให้ผลประโยชน์ข้าสักหน่อยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างอันธพาล

 

หมัวซามองซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ครู่ใหญ่ สายตานั้นดูคล้ายว่าจะประเมินเธอให้ทะลุปรุโปร่งอย่างไรอย่างนั้น ผ่านไปเนิ่นนานเขาจึงเอ่ยออกมาว่า “เจ้าอยากได้ผลประโยชน์ ก็มิใช่ว่าไม่ได้หรอกนะ แต่เจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่งก่อน”

 

“เรื่องอันใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

 

“ก่อนที่จะหาร่างกายของข้าพบ ข้าจะอยู่ที่นี่ไปก่อน” หมัวซาพูด

 

“เรื่องนี้ไม่มีปัญหาเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

 

มณีวิญญาณนี้มีขนาดใหญ่โต จะวางก้อนหินเช่นนี้สักกี่ก้อนก็ไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว

 

“ข้ายังพูดไม่จบเลย” หมัวซาพูด

 

“เช่นนั้นท่านก็ว่าต่อไปสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางมองเขาพลางคิดในใจว่าเขาจะให้ผลประโยชน์อันใดกับตน

 

“เจ้าต้องช่วยข้าหาร่างกายของข้าให้พบ!” หมัวซาพูดเรียบๆ

 

“บ้านปู่ท่านสิ!” พอซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังแล้วอดสบถด่าออกมาไม่ได้ แล้วพูดว่า “ฟ้าดินกว้างใหญ่ แล้วจะให้ข้าไปหาร่างกายท่านจากที่ไหนกันเล่า จะขึ้นไปที่ภพมารได้อย่างไรข้าก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ!”

 

“ร่างกายของข้าไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในภพมารหรอก” หมัวซาพูด

 

“เพราะอะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

 

“ตอนนั้นวิญญาณของข้าถูกบีบบังคับให้แยกจากกัน ครึ่งหนึ่งเข้ามาในนี้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งน่าจะกลับไปเกิดใหม่แล้ว” หมัวซาพูด “แต่หลังจากเกิดใหม่แล้วข้าอาจจะไม่ใช่เผ่ามารก็ได้”

 

“เช่นนั้นมันจะต่างกันตรงไหน ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะหาร่างของท่านพบได้จากที่ใด!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

 

“ถึงจะหาไม่พบก็ต้องหาอยู่ดี ข้าให้เจ้าช่วยทำงาน ย่อมต้องมอบสิ่งตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อให้อยู่แล้วล่ะ!” หมัวซาพูด

 

“ท่านบอกมาก่อนสิว่าเป็นของที่ล้ำเลิศเพียงใดกัน ขอดูหน่อยว่าจะดึงดูดใจให้ข้ารับปากท่านได้หรือไม่!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยดวงตาเป็นประกาย

 

“เคล็ดควบคุมสัตว์อสูร” หมัวซาพูดอย่างเรียบเรื่อย

 

“เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรหรือ” เจ้าวิญญาณน้อยร้องเสียงดังอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “นั่นเป็นของดีเลยทีเดียวนะ เจ้านาย รับปากเร็วเข้าสิ!”

 

“แค่เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรเคล็ดเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่านักฝึกสัตว์อสูรจะมีอยู่เพียงน้อยนิด แต่ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ของสิ่งนี้เท่านั้นจึงจะกลายเป็นนักฝึกสัตว์อสูรได้นี่นา แลกกับที่ข้าต้องทำเรื่องลำบากเพียงนั้น ไม่เห็นจะคุ้มตรงไหนเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าพูด

 

“แต่เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรนั้นเป็นของจากโบราณกาลเชียวนะ!” หมัวซาพูด

 

“ของจากโบราณกาลอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หรี่ตามองหมัวซาแล้วพูดว่า “เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า”

 

“ช่างโง่นัก ที่นักฝึกสัตว์อสูรใช้กันในตอนนี้ล้วนเป็นเคล็ดฝึกสัตว์อสูรอย่างง่ายทั้งสิ้น เพียงแค่ทำให้สัตว์อสูรวิเศษเชื่องเท่านั้น แต่เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรร้ายกาจกว่าของพวกนั้นเป็นร้อยๆ เท่าเลยทีเดียว!”

 

เจ้าวิญญาณน้อยดึงตัวซือหม่าโยวเย่ว์มาข้างๆ แล้วพูดว่า “ตอนนั้นเจ้านายคนก่อนๆๆ ของข้าก็อยากจะเสาะหาเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรอันนี้แหละ แต่จนตายก็ยังหาไม่พบเลย”

 

“ของสิ่งนี้ล้ำเลิศถึงเพียงนั้นเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เชื่ออยู่บ้าง

 

“ต้องล้ำเลิศแน่นอนอยู่แล้ว!” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างมั่นใจ “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรนี้ได้หายสาบสูญไปก่อนหน้านี้เนิ่นนานเหลือเกิน ไม่มีทางหาพบในตอนนี้ได้”

 

หมัวซามองดูซือหม่าโยวเย่ว์กับเจ้าวิญญาณน้อยกระซิบกระซาบกันอยู่ข้างๆ จึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตัดสินใจเร็วเข้าสิ!”

 

“เช่นนั้นก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์กอดเจ้าวิญญาณน้อยเอาไว้แล้วลูบมันสองครั้งก่อนจะพูดว่า “เช่นนั้นก็เอาตามที่ท่านว่านั่นแหละ ข้อตกลงสำเร็จ!”

 

“ดีมาก!” เพิ่งเอ่ยวาจาจบ หมัวซาโฉบเข้ามาตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์อย่างฉับพลันแล้วฉวยโอกาสที่เธอไม่ทันระวังประทับจูบลงบนริมฝีปากเธอครั้งหนึ่ง

 

“ท่านทำบ้าอะไรกัน!” ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สัมผัสกันอย่างจริงจัง แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ยังถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วถลึงตาใส่หมัวซา

 

“ตกลงทำสัญญา!” หมัวซาพูด “วิธีการเฉพาะเผ่ามารเท่านั้น”

 

“เช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยสีหน้าดำทะมึน

 

“ตอนนี้ข้ามีวิญญาณอยู่แค่นิดเดียวเท่านั้น ก็ได้แต่ทำเช่นนี้แหละ” หมัวซาพูด

 

ซือหม่าโยวเย่ว์โมโหแต่ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ออกแรงถูริมฝีปากตนครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ริมฝีปากยิ่งเป็นสีแดงระเรื่อยวนใจคนยิ่งขึ้น

 

“แล้วเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรที่ท่านพูดถึงนั่นเล่า” เธอใช้สายตาทิ่มแทงหมัวซาพลางถามขึ้น

 

หมัวซามองริมฝีปากแดงเรื่อของเธอแวบหนึ่งแล้วกะพริบร่างเข้าไปภายในศิลาวิญญาณก่อนจะเอ่ยว่า “วางศิลาวิญญาณบนหน้าผากของเจ้าเสีย”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ทำตามที่เขาบอก ในขณะที่ศิลาวิญญาณสัมผัสหน้าผากนั้นเอง เธอก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างทะลุเข้ามาในห้วงสมองของเธอ ทำให้เธอปวดศีรษะขึ้นมา เนิ่นนานจึงจะคลายลง

 

“เจ้าบ้านี่จะต้องเจตนาอย่างแน่นอน!” เธอพูดพลางลูบหน้าผากตนเอง

 

“เจ้านาย รีบดูเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรนั่นเร็วเข้า!” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

 

“ได้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์หลับตาแล้วก็รู้สึกเพียงว่าในสมองมีข้อมูลที่ไม่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้เพิ่มขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ในห้วงสมองคล้ายกับมีหนังสือวางอยู่เล่มหนึ่ง ด้านบนมีอักษรสีทองตัวโตเปล่งประกายระยับเขียนเอาไว้ว่าเคล็ดควบคุมสัตว์อสูร

 

เธอจัดการกับข้อมูลเหล่านั้นรอบหนึ่งจึงพบว่าของสิ่งนี้ยอดเยี่ยมใช้ได้เลยทีเดียว ที่ร้ายกาจที่สุดในนั้นคือการใช้เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรทำให้สัตว์อสูรวิเศษเชื่อง หลังจากทำพันธสัญญากับเจ้านายแล้วต่างฝ่ายต่างก็เพิ่มพูนพลังของตัวเองได้ นอกจากนี้หลังจากที่เจ้านายเลื่อนระดับแล้วสัตว์อสูรวิเศษก็เลื่อนระดับตามไปได้ด้วยเช่นกัน

 

“ที่แท้ก็เลื่อนระดับได้ด้วย แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย!” หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์อ่านหมดแล้วจึงเอ่ยขึ้น

 

เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรนี้ง่ายดายอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรวิเศษชนิดใดก็ล้วนใช้วิธีการเดียวกันทั้งสิ้น แต่เพราะว่าการฝึกสัตว์อสูรนั้นจำเป็นจะต้องใช้พลังจิตอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงมีเพียงแค่การทำให้พลังจิตของเธอยกระดับเท่านั้นเธอจึงจะทำให้สัตว์อสูรวิเศษที่มีระดับสูงกว่านี้เชื่องได้

 

“มีของสิ่งนี้แล้ว คราวหน้าไปจับสัตว์อสูรวิเศษมาทดลองกันดูสักตัวดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างตื่นเต้น

 

“อย่าได้ลืมพันธสัญญาของพวกเราล่ะ!” หมัวซาพูดอยู่ภายในศิลาวิญญาณ

 

“รู้แล้วน่า!” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปากแล้วพูดว่า “ สิ่งของจากโบราณกาลเช่นนี้ท่านยังมีเลย แล้วยังใช้ชีวิตอยู่ภายในก้อนหินอันเล็กจ้อยเช่นนี้มาได้ตั้งหลายปีอีกด้วย ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังมีชีวิต ท่านจะต้องเป็นคนที่ร้ายกาจยิ่งคนหนึ่งอย่างแน่นอน หรือท่านจะยอมบอกข้าสักหน่อยว่าท่านเป็นใคร ข้าตามจากตัวตนของท่านก็คงจะหาได้ง่ายหน่อยกระมัง!”

 

“ตอนที่ข้าพบเขาข้าย่อมสัมผัสอะไรได้บ้างอยู่แล้ว พอถึงเวลานั้นข้าจะบอกเจ้าเอง!” พอพูดจบแล้วเขาก็ไม่พูดอะไรอีก และศิลาวิญญาณก็ไม่เปล่งประกายอีกเลย

 

“ขวับ…” ซือหม่าโยวเย่ว์โยนศิลาวิญญาณให้กับเจ้าวิญญาณน้อยแล้วพูดว่า “เจ้าเก็บมันเอาไว้ให้ข้าที”

 

เจ้าวิญญาณน้อยความคิดวูบไหวคราหนึ่ง ศิลาวิญญาณพลันหายไปจากเบื้องหน้าทั้งคู่แล้ว

 

…………………………

Related

วันต่อมา เฟิงจือสิงก็มาถามถึงข่าวคราวของซือหม่าโยวเย่ว์อีกครั้ง ตอนเขาเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่มาต้อนรับเขาในโถงรับแขก พลันตะลึงงันไปทันที “ท่านอาจารย์เฟิง เชิญนั่งก่อนขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกมือพร้อมรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านปู่มีธุระ ท่านพี่ทั้งหลายก็ยุ่งเหลือเกิน ดังนั้นวันนี้จึงให้ข้ามาดูแลท่านแทน”

“เจ้า… เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” เฟิงจือสิงรีบเก็บซ่อนท่าทีอย่างรวดเร็วแล้วนั่งลงบนเก้าอี้พลางมองซือหม่าโยวเย่ว์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วถามขึ้น

“เพิ่งกลับมาเมื่อคืนนี้เองขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เจ้าไปที่ไหนมาหรือ” เฟิงจือสิงรับน้ำชาที่สาวใช้ยกมาแล้วใช้ฝาถ้วยเกลี่ยปากถ้วยเพื่อให้น้ำชาคลายร้อนชาครั้งหนึ่งแต่กลับไม่ดื่ม

“ค่ายกลนำส่งนั่นส่งตัวข้าไปยังเทือกเขาอันไกลโพ้นแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นเพราะเกิดเรื่องราวบางอย่างขึ้น ข้าจึงเสียเวลาอยู่ข้างนอกนั่นระยะหนึ่งขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยิ้มๆ “ข้าได้ยินมาว่าท่านอาจารย์เฟิงเป็นห่วงข้ายิ่งนัก ข้าซาบซึ้งในความเป็นห่วงของท่านจริงๆ”

“ในเมื่อเจ้าปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว” เฟิงจือสิงได้ฟังคำตอบของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วค่อยยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบชาคำหนึ่ง หลังจากนั้นจึงวางถ้วยลงบนโต๊ะแล้วถามต่อว่า “เช่นนั้นเจ้าวางแผนจะกลับไปที่วิทยาลัยเมื่อใดหรือ”

“หลายวันมานี้จวนแม่ทัพเกิดเรื่องบางอย่าง ดังนั้นข้าจึงคิดว่ารออีกสักพักแล้วค่อยไป มิทราบว่าข้าจะขอลาสักหลายวันหน่อยได้หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ได้แน่นอนอยู่แล้ว ข้าคิดว่าระยะเวลาที่เจ้าอยู่ข้างนอกนี้จะต้องได้รับความยากลำบากไม่น้อยแน่ เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนอยู่ที่บ้านให้ดีๆ สักระยะหนึ่งก่อนเถิด” เฟิงจือสิงตอบอย่างตรงไปตรงมา

“เช่นนี้ก็ขอบคุณท่านอาจารย์เฟิงมาก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ใช่แล้ว ข่าวเรื่องที่ข้ากลับมา รบกวนอาจารย์เฟิงได้โปรดเก็บเป็นความลับเอาไว้ก่อนนะขอรับ”

“ได้สิ” เฟิงจือสิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ข้าขอตัวกลับไปที่วิทยาลัยก่อน วันไหนที่เจ้าอยากจะเล่าเรื่องที่เจ้าประสบพบเจอในช่วงที่ผ่านมานี้ให้ข้าฟังก็ค่อยบอกข้าก็แล้วกัน”

พูดจบแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินจากไป

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเงาหลังของเฟิงจือสิง ในใจมีข้อสงสัยมากมาย แต่เธอรู้ว่าหากตนไปถามเขาตอนนี้เขาไม่มีทางตอบคำถามของตนอยู่แล้ว

หลังจากที่เฟิงจือสิงออกมาจากจวนแม่ทัพแล้วหันหน้าไปมองแวบหนึ่งพลางเอ่ยพึมพำว่า “ในที่สุดนางก็กลับมาแล้ว ทั้งยังแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อยเลย คงได้พบเรื่องราวบางอย่างขึ้นกระมัง”

“เจ้านาย เช่นนี้ก็ดีแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไปแล้วล่ะ” เสียงหนึ่งดังมาจากในห้วงสมอง

“อืม ไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไปแล้ว…”

ซือหม่าโยวเย่ว์รอจนซือหม่าเลี่ยกลับมาแล้วส่งเขาเข้าไปยังห้องลับด้วยตัวเอง เมื่อเห็นประตูห้องลับค่อยๆ ปิดลง เธอจึงหมุนกายจากไป กลับไปยังเรือนของตัวเอง

“คุณชาย”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองสาวใช้ทั้งสองปราดหนึ่ง เมื่อวานหลังจากที่เห็นตนกลับมาทั้งคู่ต่างตื่นเต้นยินดีอย่างยิ่ง มิได้หวาดกลัวเธอเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป

“ข้าจะฝึกยุทธ์อยู่ในห้อง หากไม่มีธุระสำคัญก็อย่ามารบกวนข้าล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ออกคำสั่ง

เพราะก่อนหน้านี้เคยใช้แหวนเก็บวัตถุต่อหน้าพวกนาง ดังนั้นพวกนางจึงรู้เรื่องที่ตนฝึกยุทธ์ได้แล้ว บวกกับที่พวกนางได้ให้สัตย์สาบานเอาไว้กับตนแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่คิดที่จะปิดบังพวกนางอีกต่อไป

นอกจากนี้ถึงอย่างไรก็เป็นคนข้างกายตน หลังจากที่รู้แล้วก็ทำให้เธอทำอะไรได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

“เจ้าค่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปยังห้องของตนแล้วลงกลอนประตู หลังจากนั้นก็หายตัวเข้าไปภายในมณีวิญญาณ

“เจ้าวิญญาณน้อย”

“ว่าอย่างไร” เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ

“ศิลาวิญญาณเมื่อคราวก่อนก้อนนั้นเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงศิลาวิญญาณที่ถูกเจ้าวิญญาณน้อยเก็บเข้าไปภายในมณีวิญญาณเมื่อตอนนั้นขึ้นมาได้ จึงนึกอยากจะสำรวจมันดูสักครั้ง ลองดูว่าจะมีส่วนช่วยพัฒนาวิญญาณของตนได้บ้างหรือไม่

“ข้ายังคิดว่าเจ้าไม่สนใจของสิ่งนี้แล้วเสียอีก” เจ้าวิญญาณน้อยพูดจบก้อนหินก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งคู่

ซือหม่าโยวเย่ว์รับเอาศิลาวิญญาณมาแล้วพูดว่า “เป็นเพราะของสิ่งนี้ใช่หรือไม่ที่ทำให้พวกเราติดอยู่ภายในค่ายกลลวงวิญญาณกันเนิ่นนานถึงเพียงนั้น”

“ใช่แล้ว” เจ้าวิญญาณน้อยพยักหน้า

“เช่นนั้นของสิ่งนี้จะเป็นผลดีกับวิญญาณของข้าหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ที่จริงก็ได้อยู่หรอก แต่ตอนนี้ยังไม่ได้น่ะสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“เพราะเหตุใดกัน”

“เพราะว่าภายในนี้มีวิญญาณดวงหนึ่งอาศัยอยู่แล้วน่ะสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“มีวิญญาณดวงหนึ่งอาศัยอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ชูศิลาวิญญาณขึ้นสูงแล้วหรี่ตามองอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรพิเศษ

“ช่างโง่เหลือเกิน ก็บอกว่าเป็นวิญญาณอย่างไรเล่า แล้วเจ้าจะไปมองเห็นได้อย่างไรกัน!” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรกันว่าในนี้มีวิญญาณอาศัยอยู่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างไม่เข้าใจ

“ข้าเป็นราชันแห่งศิลาวิญญาณเชียวนะ ย่อมมีสัมผัสไวต่อวิญญาณมาตั้งแต่เกิด ถ้าในนี้มีวิญญาณดวงหนึ่งอาศัยอยู่ ข้าต้องรู้แน่นอนอยู่แล้ว” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“เอาเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์กุมศิลาวิญญาณในมือเอาไว้แล้วพูดว่า “เช่นนี้ก็หมายความว่ามีวิญญาณดวงหนึ่งชิงตัดหน้าไปก่อนแล้ว ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงไม่อาจใช้สิ่งนี้ได้แล้วสินะ”

“ก็ประมาณนั้นแหละ” เจ้าวิญญาณน้อยตอบ “แม้แต่การทำพันธสัญญากับข้ายังไม่อาจซ่อมแซมวิญญาณของเจ้าได้อย่างสมบูรณ์เลย เจ้าก้อนหินก้อนสองก้อนนี่ก็คงจะไม่มีประโยชน์อันใดกับเจ้าเหมือนกัน”

“เช่นนั้นภายในนี้มีวิญญาณใดอยู่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์โยนก้อนหินไปมา คิดจะโยนให้วิญญาณข้างในตื่นขึ้นมา

“เจ้ามาถามข้าแล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน ตั้งแต่เขาเข้าไปก็ยังไม่เคยออกมาเลย!” เจ้าวิญญาณน้อยสองมือกอดอกมองดูการกระทำของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วอดที่จะกลอกตาใส่ไม่ได้

“นี่ คนข้างในนั้นน่ะ ถ้าหากเจ้าตื่นแล้วช่วยโผล่หน้าออกมาให้เห็นหน่อยสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกนใส่ศิลาวิญญาณ

ไม่มีเสียงตอบรับ…

“ถ้าหากเจ้ายังไม่ออกมา ข้าจะขว้างเจ้าทิ้งแล้วนะ!”

ยังคงไม่มีเสียงตอบรับอยู่ดี…

“เช่นนั้นก็ดี หลิงหลง” ซือหม่าโยวเย่ว์วางก้อนหินลงบนพื้น หลังจากนั้นจึงเรียกตัวหลิงหลงออกมา

“เจ้านาย ท่านเรียกหลิงหลงเพราะคิดถึงหลิงหลงใช่หรือไม่” พอหลิงหลงออกมาแล้วก็พูดอย่างดีใจ

“ข้าอยากให้เจ้าแปลงกายเป็นอาวุธน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“อาวุธอันใดหรือ”

“ค้อน”

หลิงหลงเบ้ปากก่อนจะแปลงกายเป็นค้อนให้กับเธอ…

ชั่วครู่เดียวในมือของซือหม่าโยวเย่ว์ก็ปรากฏค้อนอันหนึ่งขึ้นมา

เมื่อเห็นรูปร่างอัปลักษณ์ในตอนนี้ของตน หลิงหลงก็ร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ แม่คนนี้รู้จักอาวุธจริงๆ หรือไม่ เพราะเหตุใดจึงได้ทำให้ตนเปลี่ยนเป็นอาวุธเช่นนี้ได้เล่า!

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบค้อนทุบลงไปบนศิลาวิญญาณครั้งแล้วครั้งเล่าพลางพูดว่า “ถ้าหากเจ้ายังไม่ออกมาอีก ข้าจะทุบก้อนหินนี่ให้แตกกระจายไปเลย ทีนี้คอยดูว่าเจ้าจะยังอยู่ในนี้ต่อไปได้อีกหรือไม่”

พูดจบแล้วเธอก็เงื้อค้อนขึ้นสูง ขณะที่กำลังจะทุบลงไปนั้นเองก็มีเสียงตวาดดังขึ้น “หยุดนะ!”

“โอ้… ยอมส่งเสียงแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเสียงแล้วหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดว่า “เสียงนี้ของเจ้าช่างชวนให้คนตกใจเสียจริง แต่ข้าก็ไม่ได้ตกใจกลัวสักเท่าไหร่หรอกนะ ข้าจะนับถึงสาม ถ้าหากเจ้ายังไม่ออกมาอีกข้าก็จะทุบมันให้แหลกลาญเลย! สาม สอง หนึ่ง…”

ในขณะที่เธอกำลังจะลงมือนั้นเอง หมอกทึบสีแดงกลุ่มหนึ่งรีบมาหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของเธอเอาไว้

หลังจากนั้นหมอกทึบเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเงาร่างมนุษย์รางๆ สายหนึ่ง

เครื่องหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ร่างกายสูงเพรียว ดูรูปลักษณ์เหมือนอายุยี่สิบกว่าปี เส้นผมสีแดงเพลิงเช่นเดียวกับเสื้อผ้า แม้กระทั่งนัยน์ตาเฉียบคมทั้งสองของเขายังเป็นสีแดงด้วย ดูราวกับปีศาจตนหนึ่งเลยทีเดียว

“ให้ตายเถอะ นี่คือผู้ใดกัน ราวกับกองเพลิงเลยทีเดียว!” ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกคนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าทำให้ตกใจจนตัวลอย

“มนุษย์แปลกหน้า เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก!” เงาร่างสีแดงเพลิงมองซือหม่าโยวเย่ว์ บนร่างแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์และโหดเหี้ยมโดยกำเนิดออกมา

……………………

Related

ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับมาถึงจวนแม่ทัพ เมื่อยามรักษาการณ์มองเห็นเข้าแล้วอุทานอย่างยินดีขึ้นมาทันที

“คุณชายห้า ท่านกลับมาแล้ว!”

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าไปทางพวกเขาอย่างเรียบๆ “อืม ข้ากลับมาแล้ว ท่านปู่ล่ะ”

“ท่านแม่ทัพเพิ่งกลับมาเมื่อครู่นี้เองขอรับ” ยามรักษาการณ์พูด “ข้าจะไปรายงานพวกเขาเดี๋ยวนี้ขอรับ”

พูดจบคนผู้นั้นก็รีบวิ่งเข้าไป เขาวิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง “คุณชายห้ากลับมาแล้ว คุณชายห้ากลับมาแล้วขอรับ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีตื่นเต้นยินดีของคนผู้นั้นแล้วส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ พลางเดินเข้าไป

“โยวเย่ว์กลับมาแล้วหรือ อยู่ที่ไหนเล่า”

“น้องห้ากลับมาแล้วหรือ ในที่สุดเจ้าเด็กนี่ก็กลับมาเสียที!”

“คุณชายห้ากลับมาแล้ว!”

“…”

ขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์ผ่านเข้ามาในลานหน้าบ้านนั้นเอง เธอรู้สึกเพียงว่าด้านหน้ามืดลงแล้วถูกดึงเข้าหาอ้อมกอดอันอบอุ่น

“ท่านปู่” เมื่อได้กลิ่นที่คุ้นเคย ซือหม่าโยวเย่ว์ซุกตัวเข้าไปในอ้อมอกของซือหม่าเลี่ย

“เจ้ากลับมาได้เสียที!” ซือหม่าเลี่ยกอดซือหม่าโยวเย่ว์แนบแน่น น้ำเสียงสั่นเครืออยู่บ้าง

“ท่านปู่ ข้ายังอยู่ดีขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตบหลังซือหม่าเลี่ยเบาๆ พลางเอ่ยปลอบ

“น้องห้า ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว ถ้าหากเจ้ายังไม่กลับมาอีก พวกเราทุกคนต่างวางแผนจะไปตามหาเจ้าอยู่แล้วเชียว!” พวกซือหม่าโยวหรานพากันวิ่งเข้ามาในลานบ้าน เห็นซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากอ้อมกอดของซือหม่าเลี่ย

“ท่านปู่ช่างลำเอียงนัก แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เห็นเคยกอดพวกเราบ้างเลย!” ซือหม่าโยวเล่อเอ่ยพึมพำ

“ถ้าหากเจ้าหายสาบสูญไปหลายเดือน ข้าก็จะกอดเจ้าหลายๆ ทีเหมือนกันนั่นแหละ” ซือหม่าเลี่ยตะคอกใส่ซือหม่าโยวเล่อ

“น้องห้า หลายเดือนนี้เจ้าไปไหนมาหรือ แทบจะทำให้พวกเราร้อนใจตายกันอยู่แล้วนะ!” ซือหม่าโยวฉีเดินเข้ามา เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ปลอดภัยไร้กังวล หัวใจที่ลอยคว้างอยู่จึงค่อยผ่อนคลายลง

“ใช่แล้ว เจ้าไปที่ค่ายกลนำส่งอันที่สี่ได้อย่างไรกัน แล้วถูกส่งตัวไปแห่งหนใดมาหรือ” ซือหม่าโยวหมิงถาม

“เรื่องนี้พูดแล้วคงจะยาวนัก พวกเราเข้าไปแล้วค่อยว่ากันเถิดนะขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ได้สิ!”

พวกเขาเข้าไปในห้องโถงใหญ่ หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงแล้วเริ่มเล่าสิ่งที่ตนประสบพบเจอมาให้ฟัง

“พลั่ก…” เมื่อฟังคำพูดก่อนหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วซือหม่าเลี่ยก็ตบโต๊ะเสียงดังก่อนจะเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ถึงกับมีคนบังอาจทำร้ายเจ้าได้!”

“ข้าก็ว่าแล้วว่าอยู่ๆ เจ้าจะเข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่ได้อย่างไร ที่แท้ถูกคนผลักเข้าไปนี่เอง!” ซือหม่าโยวเล่อพูด “พรุ่งนี้ข้าจะไปที่วิทยาลัยแล้วลากตัวคนผู้นั้นออกมา ให้มันได้เข้าใจว่ามีคนบางคนที่มิอาจลองดีได้!”

“เอ่อ… พวกท่านไม่ต้องตื่นเต้นกันถึงเพียงนี้ก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทางพร้อมรบของพวกเขาแต่ละคนแล้วกลอกตาอย่างจนใจ “พวกท่านยังจะฟังสิ่งที่ข้าพูดกันอยู่หรือไม่”

“น้องห้า เจ้าบอกมาสิว่าเจ้าถูกส่งตัวไปที่ใดมาหรือ”

“เทือกเขาผู่สั่ว” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ

“อะไรนะ!”

“เจ้าถูกส่งตัวไปถึงเทือกเขาผู่สั่วเชียวหรือ! เช่นนั้นเจ้าได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่”

“พวกท่านวางใจเถิด ข้าสบายมาก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม

แล้วเธอยังลุกขึ้นขยับตัวไปมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอไม่เป็นไรเลยอีกด้วย

“เทือกเขาผู่สั่วมีสัตว์อสูรวิเศษมากมาย ต่อให้เป็นปรมาจารย์วิญญาณธรรมดาทั่วไปก็ยังไม่กล้าไปที่นั่นตามลำพังเลย แล้วเจ้าไม่ได้เผชิญอันตรายใดๆ เลยหรือ” ซือหม่าโยวเล่อถามอย่างเป็นกังวล

“น้องห้า ถ้าหากเจ้าได้รับบาดเจ็บตรงไหนจงบอกพวกเรามาเถิด” ซือหม่าโยวหรานมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเป็นกังวลว่าเธอจะปิดบังอะไรพวกเขาเอาไว้

ต่อให้เป็นพวกเขาเองก็ยังไม่กล้าไปยังเทือกเขาผู่สั่วสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ต้องพูดถึงซือหม่าโยวเย่ว์ที่เป็นเพียงแค่คนที่เพิ่งเริ่มต้นฝึกยุทธ์เลย

“ข้าไม่เป็นไรจริงๆ นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เน้นย้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นพวกเขายังไม่เชื่อ ได้แต่เรียกตัวย่ากวงออกมา

พอย่ากวงออกมา พลังกดดันของสัตว์อสูรทิพย์แผ่ไปทั่วทั้งห้องโถง

“เจ้านาย” ย่ากวงหมอบลงบริเวณเท้าของซือหม่าโยวเย่ว์

“นี่คือสัตว์อสูรวิเศษย่ากวงที่ข้าทำพันธสัญญาด้วยที่เทือกเขาผู่สั่ว เป็นสัตว์อสูรทิพย์ตนหนึ่ง เมื่อเผชิญอันตรายก็เป็นมันนี่แหละที่คอยช่วยข้า” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพวกเขาไม่เชื่อ จึงยกความดีความชอบให้กับย่ากวง

ย่ากวงมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางพูดในใจว่าเจ้านายให้มันเป็นเพียงแค่ผู้ชมทุกครั้ง มันแทบไม่ได้อะไรเลยด้วยซ้ำ เมื่อเห็นสายตาข่มขู่ของซือหม่าโยวเย่ว์ มันได้แต่ก้มหัวไม่พูดไม่จา

“สัตว์อสูรทิพย์ตนนี้ไม่เคยได้รับการฝึกให้เชื่องมาก่อนเลย แล้วเจ้าทำพันธสัญญาได้อย่างไร” ซือหม่าเลี่ยมองย่ากวงด้วยสายตาเจือแววสงสัยอยู่บ้าง

“ตอนที่ข้าพบมัน มันกำลังถูกสัตว์อสูรวิเศษตนหนึ่งทำร้ายแล้วหนีออกมาพอดี แล้วนอนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ หลังจากนั้นข้าก็ช่วยเหลือมัน มันเลยยอมรับข้าเป็นเจ้านาย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดปดได้อย่างไร้พิรุธ

นี่มันเป็นการช่วยย่ากวงที่ไหนกัน เป็นตอนที่ช่วยอูหลิงอวี่ต่างหากเล่า!

แต่เธอพูดเช่นนี้ พวกเขาได้แต่ฟังไป ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุด

“ใช่แล้ว ข้ายังได้ช่วยคนผู้หนึ่งที่เทือกเขาผู่สั่วด้วย หลังจากนั้นเขาก็ได้มอบยาวิเศษสองเม็ดเป็นของกำนัลแก่ข้า ตอนนั้นข้าก็นึกถึงท่านปู่ขึ้นมาเลย!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางหยิบขวดหยกออกมาสองใบซึ่งด้านในบรรจุยาเลื่อนระดับสองเม็ดเอาไว้

เธอวางยาวิเศษลงบนโต๊ะของซือหม่าเลี่ยแล้วกลับมายังที่เดิมของตน

“นี่คือยาวิเศษอันใดกันหรือ” หลังจากที่ซือหม่าโยวเล่อมองซือหม่าเลี่ยมองดูยาวิเศษในขวดหยกแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นขึ้นมาทันทีพลางถามอย่างใคร่รู้

“นี่คือยาวิเศษเลื่อนระดับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านปู่ติดอยู่ที่จุดคอขวดนี้มาเนิ่นนานแล้ว ถ้าหากมียาวิเศษนี้ท่านปู่คงจะเลื่อนระดับได้แล้วขอรับ”

“จริงหรือ!” พี่น้องอีกสี่คนต่างพากันตื่นเต้นขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนี้

“ท่านปู่ นี่คือยาวิเศษเลื่อนระดับจริงๆ ใช่หรือไม่ขอรับ” ซือหม่าโยวหรานถาม

ซือหม่าเลี่ยพยักหน้า

ยาวิเศษเลื่อนระดับนี้หายสาบสูญไปนานมากแล้ว ไม่รู้ว่าคนที่ซือหม่าโยวเย่ว์ช่วยที่เทือกเขาผู่สั่วนั้นเป็นใครกันแน่ จึงได้มียาวิเศษชนิดนี้ได้!

“ดีเหลือเกิน!” ซือหม่าโยวหรานโบกพัดในมือ “ถ้าหากท่านปู่เลื่อนระดับได้แล้วละก็ พวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าตระกูลน่าหลานจะมาหาเรื่องแล้ว!”

“ตระกูลน่าหลานทำไมหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม “สี่เดือนนี้ที่ข้าไม่อยู่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือไม่”

“อันที่จริงก็ไม่มีเรื่องอันใดหรอก” ซือหม่าโยวหรานพูด “เพียงแต่ว่าเมื่อเร็วๆ นี้บรรพชนของตระกูลน่าหลานนั่นเลื่อนไปถึงระดับจ้าววิญญาณ เป็นระดับขั้นเดียวกันกับท่านปู่แล้ว”

“ยามปกติตระกูลน่าหลานก็เป็นอริกับพวกเรา แต่เพราะว่าพลังยุทธ์มิได้แข็งแกร่งเหมือนท่านปู่ ดังนั้นปกติจึงยังเจียมตัวอยู่บ้าง ทว่าหลังจากที่บรรพชนของพวกเขาเลื่อนระดับเป็นต้นมา ตอนนี้พวกเขาจึงเหิมเกริมกันอย่างยิ่ง จนบั้นท้ายแทบจะทะลุฟ้าอยู่แล้ว!”

“ตอนนี้ขอเพียงแค่ท่านปู่สามารถเลื่อนระดับได้ ก็จะกดพวกเขาลงไปได้อีกครั้ง คอยดูว่าพวกเขาจะยังเหิมเกริมกันเช่นนั้นได้อีกหรือไม่!” ซือหม่าโยวเล่อพูด

“ตระกูลน่าหลานน่ะหรือ…” ซือหม่าโยวเย่ว์ยกมือลูบคาง นัยน์ตาเปล่งประกายแตกต่างออกไป

“ในเมื่อมียาวิเศษชนิดนี้แล้วท่านปู่คงจะเลื่อนระดับเร็วขึ้นหน่อยกระมัง” ซือหม่าโยวฉีพูด

“อืม พรุ่งนี้ข้าเข้าวังไปทูลลาฝ่าบาทก่อน หลังจากนั้นจะกลับมาเริ่มต้นปลีกวิเวกแล้ว” ซือหม่าเลี่ยพูด “ระยะนี้พวกเจ้าต้องคอยระวังและจับตาดูการเคลื่อนไหวของตระกูลน่าหลานไว้”

“พวกเราจะจัดการให้เอง ท่านปู่ปลีกวิเวกอย่างสบายใจเถิด” ซือหม่าโยวหรานพูด

“น้องห้า ตอนนี้เจ้ากลับมาแล้ว เช่นนั้นเจ้าจะยังไปที่วิทยาลัยอยู่หรือไม่” ซือหม่าโยวเล่อถาม

“เฟิงจือสิง อาจารย์ท่านนั้นของเจ้า เป็นห่วงเจ้าอยู่ตลอด คอยมาถามถึงสถานการณ์ของเจ้าทุกสองสามวันเลยทีเดียว”

“ท่านอาจารย์เฟิงหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นห่วงตนถึงเพียงนี้ เธอคิดอยู่ชั่วครู่แล้วพูดว่า

“ข้ารอหลังจากที่ท่านปู่ปลีกวิเวกเสร็จแล้วค่อยไปที่วิทยาลัยแล้วกัน ข้ายังมีบางเรื่องที่อยากจะทำที่บ้านก่อนน่ะ”

“เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามาสิว่าคนที่ทำร้ายเจ้าเป็นใคร ข้าจะไปล้างแค้นให้เจ้าเอง!” ซือหม่าโยวเล่อพูด

“ไม่ต้องหรอก ศัตรูของข้า ข้าต้องลงมือเองสิจึงจะสะใจ พวกท่านอย่าได้ยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้อีกเลยนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “รอตอนที่ข้ากลับไปยังวิทยาลัยแล้วจะค่อยๆ เล่นงานนางเอง…”

……………………………

Related

สมาคมปรมาจารย์วิญญาณนั้นเป็นสมาคมแห่งหนึ่งที่ปรมาจารย์วิญญาณทั้งหลายก่อตั้งขึ้น มีหน้าที่รับผิดชอบกิจธุระต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์วิญญาณในดินแดนแห่งนี้ ปรมาจารย์วิญญาณรับข้อกำหนดของสมาคมปรมาจารย์วิญญาณ ทั้งยังรับความคุ้มครองด้วย

 

ในทางเดียวกัน นักหลอมยามีสมาคมนักหลอมยา นักหลอมวัตถุมีสมาคมนักหลอมวัตถุ นักฝึกสัตว์อสูรมีสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร แม้กระทั่งทหารรับจ้างก็มีสมาคมทหารรับจ้างเช่นกัน

 

สมาชิกสมาคมทุกคนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน มิได้อยู่ตามลำพังอย่างสมบูรณ์

 

แต่ละสมาคมก็จะถือครองทรัพยากรที่แตกต่างกัน และค่ายกลนำส่งของแต่ละเมืองก็จะอยู่ที่สมาคมปรมาจารย์วิญญาณนั่นเอง

 

ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปในสมาคมปรมาจารย์วิญญาณ เมื่อคนข้างในได้เห็นเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งของเธอแล้วก็เคารพนบนอบกันเป็นอย่างยิ่ง

 

“มีสิ่งใดที่พวกเราช่วยท่านได้หรือไม่เจ้าคะ” พนักงานร้านถามพลางค้อมตัวลงน้อยๆ

 

“ข้าอยากใช้ค่ายกลนำส่งกลับไปยังเมืองหลวง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางมองประเมินรอบๆ สมาคมไปพลาง

 

อาจเป็นเพราะสถานที่ค่อนข้างเล็ก สมาคมปรมาจารย์วิญญาณที่นี่จึงค่อนข้างเล็กเช่นกัน ตกแต่งอย่างง่ายๆ เครื่องเรือนเก่าคร่ำคร่า มีหญิงสาวเพียงคนเดียวที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ข้างใน เมื่อเห็นเธอเข้ามาจึงค่อยเงยหน้าขึ้นถามไถ่

 

หญิงสาวผู้นั้นพูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ว่า “ขอโทษด้วย พวกเราไม่มีค่ายกลนำส่งตรงไปยังเมืองหลวงหรอกเจ้าค่ะ”

 

“ไม่มีหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์สงสัย ก่อนหน้านี้อูหลิงอวี่มิได้บอกว่ามีหรอกหรือ

 

“ก่อนหน้านี้ก็มีอยู่เจ้าค่ะ แต่ไม่นานมานี้เพิ่งจะพังไป ตั้งแต่นั้นมาก็ยังไม่มีปรมาจารย์ค่ายกลมาซ่อมแซมให้เลยเจ้าค่ะ” หญิงสาวผู้นั้นพูด “แต่มีไปยังเมืองใกล้ๆ เมืองหลวงอยู่ ท่านไปที่นั่นแล้วค่อยไปยังเมืองหลวงก็ได้ สิ้นเปลืองเวลาและเงินทองไม่มากสักเท่าใดนักหรอกเจ้าค่ะ”

 

“เช่นนั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไปที่นั่นก่อนแล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

 

“เช่นนั้นขอเชิญท่านกรอกข้อมูลก่อน จากนั้นค่อยจ่ายมาห้าตำลึงทองนะเจ้าคะ” สาวใช้ส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับเธอ

 

ซือหม่าโยวเย่ว์รับกระดาษและพู่กันมา ก็เห็นว่าเป็นเพียงแค่ข้อมูลพื้นฐานจำนวนหนึ่งเท่านั้น สะบัดพู่กันไม่กี่ทีก็กรอกเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็หยิบเอาห้าตำลึงทองออกมาจากภายในแหวนเก็บวัตถุแล้ววางลงบนโต๊ะยาว

 

สาวใช้เก็บตำลึงทองลงไปในลิ้นชักก่อนจะหยิบกระดาษมาโดยไม่มองแล้วพูดว่า “เชิญตามข้ามาเจ้าค่ะ”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ตามนางมาถึงในห้องแห่งหนึ่งที่ลานด้านหลังของสมาคมปรมาจารย์วิญญาณ ก็เห็นว่าตรงกลางห้องมีอักขระค่ายกลอยู่อันหนึ่ง และบนกำแพงก็มีชื่อเมืองอยู่เป็นจำนวนมาก

 

“เชิญขึ้นไปยืนบนค่ายกลเลยเจ้าค่ะ”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นไปยืน จากนั้นก็เห็นสาวใช้มายังกำแพงด้านข้างแล้วกดลงไปบนชื่อเมืองแห่งหนึ่ง

 

“ที่นี่คือเมืองเซียงที่ตั้งอยู่ทางด้านขวาของเมืองหลวง หากท่านไปที่นั่นก็จะไปเมืองหลวงได้อย่างสะดวกเลยทีเดียวเจ้าค่ะ” สาวใช้อธิบายให้ซือหม่าโยวเย่ว์ฟัง

 

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ขณะนี้เองค่ายกลก็เปล่งแสงสีขาวสว่างออกมา พอๆ กันกับค่ายกลนำส่งที่เธอเห็นตอนอยู่ในถ้ำก่อนหน้านี้ ทั่วทั้งอักขระเปล่งแสงสว่าง แล้วเธอก็หายตัวเข้าไปภายในค่ายกล

 

สาวใช้เห็นว่าค่ายกลทำงานตามปกติ จึงก้มหน้าลงมองแผ่นข้อมูลในมือปราดหนึ่ง เมื่อเห็นชื่อที่เขียนอยู่ก็ตะลึงงันไปในทันที

 

“ซือหม่าโยวเย่ว์หรือ คนไร้ค่าผู้นั้นน่ะหรือ”

 

นางเงยหน้ามองไปทางค่ายกลนำส่ง แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่อยู่เสียแล้ว

 

“จะต้องไม่ใช่คนไร้ค่าผู้นั้นอย่างแน่นอน” สาวใช้พูดพลางส่ายหน้า “คนไร้ค่าผู้นั้นย่อมไม่อาจบำเพ็ญได้อยู่แล้ว คนเมื่อครู่นี้มีแหวนเก็บวัตถุอยู่ จะต้องเป็นปรมาจารย์วิญญาณท่านหนึ่งไม่ผิดแน่ จะต้องเป็นคนที่ชื่อเหมือนกันอย่างแน่นอน”

 

สาวใช้ส่ายหน้าแล้วออกไปจากห้องค่ายกลนำส่ง

 

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าร่างกายถูกบีบอัด เมื่ออยู่ภายในค่ายกลนำส่งเธอก็หลับตาลงอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เมื่อเธอรู้สึกผ่อนคลายลงและพอจะลืมตาได้ ก็พบว่ามาอยู่ที่ห้องอีกห้องหนึ่งแล้ว

 

“เอ๊ะ… นี่มาจากค่ายกลนำส่งเทือกเขาผู่สั่วอย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงมีเพียงคนเดียวเล่า นี่… รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้าสิ อย่าเกะกะค่ายกลนำส่ง หลังจากนี้ยังมีค่ายกลนำส่งจากที่อื่นๆ ส่งตัวคนมาอีก”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเสียงประหลาดใจเสียงหนึ่ง จึงปีนป่ายขึ้นมาจากค่ายกลนำส่งแล้วมายืนอยู่ด้านข้าง

 

หลังจากที่เธอออกมาได้ไม่ถึงครึ่งนาที ค่ายกลนำส่งก็สว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่แสงสว่างหายไปแล้วก็มีคนสามคนปรากฏตัวขึ้นภายในห้อง

 

สามคนนั้นมองรอบห้องปราดหนึ่งแล้วก็จากไปในทันทีโดยไม่เอ่ยวาจา

 

พอพวกเขาจากไปแล้วค่ายกลนำส่งก็สว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็มีคนมาอีกสองคนแล้วมองรอบห้องปราดหนึ่งก่อนจะจากไปเช่นเดียวกัน

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นผู้อื่นล้วนยืนกันทั้งสิ้น แต่ดูเหมือนว่าตอนที่ตัวเองมาถึงจะนอนกองอยู่

 

“นี่… เจ้ามามัวทำอะไรอยู่ที่นี่ ยังไม่รีบไปอีก!” เด็กหนุ่มวัยสิบปีเศษคนหนึ่งที่อยู่ในห้องเห็นซือหม่าโยวเย่ว์หยุดชะงักอยู่กับค่ายกลจึงตะคอกเสียงดุ

 

“ข้าต้องการใช้ค่ายกลนำส่งไปยังเมืองหลวงน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

 

“จะไปเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ” เด็กหนุ่มผู้นั้นมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “ออกประตูไปแล้วเลี้ยวซ้าย ไปที่บ้านหลังนั้นแหละ”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้ว่าเขาให้ตนไปที่นั่นทำไม แต่ก็ยังไปอย่างว่าง่าย

 

ตอนนี้เธออยากจะกลับบ้านโดยเร็ว จึงคร้านจะไปใส่ใจท่าทีไร้มารยาทของคนเหล่านี้

 

พอออกมาจากห้องก็เห็นว่าด้านนอกเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ซึ่งภายในนั้นมีดอกไม้ใบหญ้าที่ดูแปลกหูแปลกตาอยู่ไม่น้อย ช่างแตกต่างกับสมาคมปรมาจารย์วิญญาณอันเรียบง่ายที่เทือกเขาผู่สั่วแห่งนั้นเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

 

เธอมองเห็นข้าวฟ่างหางหมากิ่งหนึ่ง เมื่อชาติก่อนเคยเห็นมันมาหลายครั้ง เธอก้าวเข้าไปหักมันมาคาบเอาไว้ในปาก จากนั้นก็มายังบ้านข้างๆ ตามคำบอกของเด็กหนุ่มผู้นั้น ภายในลานบ้านนั้นมีฝูงชนต่อแถวยาวเหยียดอยู่

 

“คนเยอะเหลือเกิน!” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปต่อที่ท้ายสุดของแถวแล้วค่อยๆ เคลื่อนที่ไปตามฝูงชนอย่างช้าๆ

 

ก่อนหน้านี้เธอยังคิดว่าที่นี่คือสถานที่กรอกเอกสาร แต่ก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่าทุกคนที่เข้าไปไม่ได้ออกมาเลย และภายในห้องก็มีแสงสว่างวาบออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า

 

“ที่แท้แล้วค่ายกลนำส่งที่มายังที่แห่งนี้และค่ายกลนำส่งที่พาออกไปก็ไม่ใช่อันเดียวกัน” เธอลูบคางแล้วพูดว่า “ค่ายกลนำส่งนี้ดูเหมือนจะน่าสนุกดีทีเดียว หลังจากนี้ไปหากมีเวลาก็น่าจะไปศึกษาดูสักหน่อย ถ้าหากสามารถควบคุมค่ายกลนำส่งได้ก็คงจะสะดวกสบายน่าดู”

 

“ฮ่าๆๆ…”

 

พอคนที่ต่อแถวอยู่ด้านหน้าเธอได้ฟังคำพูดของเธอแล้วต่างก็พากันหัวเราะเสียงดังลั่น

 

ชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหลังตบบ่าเธอเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าน้องชาย ปรมาจารย์ค่ายกลนี้ใช่ว่าใครอยากจะเป็นก็เป็นได้หรอกนะ!”

 

“การเป็นปรมาจารย์ค่ายกลยากเย็นมากอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

 

“แน่นอนอยู่แล้ว ปรมาจารย์ค่ายกลนี้มิใช่ว่าคนธรรมดาทั่วไปจะเป็นได้หรอกนะ ความยากพอๆ กันกับนักหลอมยาและนักหลอมวัตถุเลยทีเดียว! หรืออาจจะยากกว่าอยู่สักหน่อยด้วยซ้ำ เพราะในบรรดาปรมาจารย์วิญญาณพันคนนั้นอาจมีนักหลอมยาอยู่สักคนหนึ่งก็เป็นได้ แต่กลับไม่แน่ว่าจะมีปรมาจารย์ค่ายกลสักคนอยู่ในนั้น” ชายฉกรรจ์ผู้นั้นพูด

 

“จริงหรือ เช่นนั้นการเป็นปรมาจารย์ค่ายกลก็มิได้ยอดเยี่ยมมากเลยหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์สองตาเปล่งประกาย ถ้าหากเป็นคนที่สนิทสนมกับเธอในชาติก่อนจะรู้เลยว่านี่คือสีหน้าตอนที่เธอมีความสนอกสนใจอย่างที่สุด

 

“ฮ่าๆ ถึงอย่างไรก็ยังยากเย็นยิ่งนัก! เจ้าน้องชาย ถ้าหากเจ้ามีความทะเยอทะยานถึงขนาดนั้น เช่นนั้นเจ้าก็พยายามเข้าล่ะ! เมื่อใดที่ทำสำเร็จ ถึงตอนนั้นอยากได้สิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้นแล้วล่ะ!” ชายฉกรรจ์มิได้เห็นความคิดของซือหม่าโยวเย่ว์เป็นเรื่องตลกเลย เขาตบหลังให้กำลังใจเธอ

 

“แหะๆ ขอบคุณพี่ชาย!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม

 

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก น้องชาย สู้ๆ นะ!” ชายฉกรรจ์พูด “ใช่แล้ว เจ้าจะไปไหนหรือ”

 

“เมืองหลวงน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ

 

“จากที่นี่ไปยังเมืองหลวงก็ไม่ไกลแล้วล่ะ เจ้าใช้ค่ายกลนำส่งนั้นช่างสิ้นเปลืองตำลึงทองเหลือเกิน เจ้ามีคนรู้จักอยู่ที่เมืองหลวงหรือไม่” ชายฉกรรจ์ถาม

 

คำพูดที่ไม่ได้เจตนาของเขาทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์สะดุ้งคราหนึ่ง ถ้าหากตนกลับไปโดยใช้ค่ายกลนำส่ง พอถึงเวลาก็จะไปยังสมาคมปรมาจารย์วิญญาณแห่งเมืองหลวง คนที่นี่ย่อมไม่รู้จักเธออยู่แล้ว แต่คนทางฝั่งนั้นย่อมรู้จักเธออย่างแน่นอน เช่นนั้นเรื่องที่เธอเป็นปรมาจารย์วิญญาณก็จะไม่ถูกเปิดเผยหรอกหรือ!

 

“โอ้ ข้านึกขึ้นได้พอดีว่าข้ายังมีธุระต้องไปทำอีก ขอตัวไปก่อน! ลาก่อนนะพี่ชาย” หลังจากที่คิดจนเข้าใจแล้วเธอก็ผละจากฝูงชนแล้วออกจากสมาคมปรมาจารย์วิญญาณไป

 

เธอถามทิศทางไปเมืองหลวงจากคนผู้หนึ่งบนถนน คนผู้นั้นไม่เพียงแค่บอกทางเท่านั้น แต่ยังบอกว่าเธอสามารถนั่งรถเทียมสัตว์อสูรไปได้ด้วย ใช้แค่สิบห้าตำลึงทองก็พอแล้ว

 

จากนั้นซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไปยังสถานที่เช่ารถเทียมสัตว์อสูรแล้วเช่ารถเทียมสัตว์อสูรมาคันหนึ่ง ให้อีกฝ่ายไปส่งเธอยังเมืองหลวง

 

ระยะทางไม่ถึงหนึ่งวัน แสดงให้เห็นว่าเมืองแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงจริงๆ ในเวลาพลบค่ำเธอก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตูเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว

 

เธอจ่ายค่ารถที่นอกเมืองแล้วให้อีกฝ่ายกลับไป เธอมองดูกำแพงเมืองสูงตระหง่านพลางอมยิ้มน้อยๆ

 

ท่านปู่ ท่านพี่ทั้งหลาย รวมทั้งผู้คนที่ทำร้ายข้า ข้า ซือหม่าโยวเย่ว์ กลับมาแล้ว!

 

…………………

Related

วังอันหรูหราแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนภูเขา กำแพงวังที่ทำจากหินอ่อนเปล่งประกายสีขาวภายใต้แสงตะวัน ช่างดูศักดิ์สิทธิ์หาใดเปรียบ

อูหลิงอวี่ขี่กิเลนเพลิงร่อนลงตรงหน้าประตูใหญ่ของวัง ยามเฝ้าประตูคุกเข่าลงในทันใดแล้วพูดด้วยความเคารพนบนอบอย่างยิ่งว่า “คารวะท่านผู้วิเศษ”

อูหลิงอวี่อมยิ้มพยักหน้าให้พวกเขาแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ลุกขึ้นเถิด”

“ขอบคุณขอรับท่านผู้วิเศษ” ยามรักษาการณ์ลุกขึ้นแล้วยืนประจำตำแหน่งของตนดังเดิม

“ท่านประมุขตำหนักเล่า” อูหลิงอวี่ถาม

“ท่านประมุขตำหนักปรึกษาธุระอยู่กับประมุขตำหนักย่อยท่านอื่นๆ อยู่ที่ตำหนักวายุรำเพยขอรับ” ยามรักษาการณ์พูด “ประมุขตำหนักสั่งเอาไว้ว่าถ้าหากท่านผู้วิเศษกลับมาแล้วก็ให้ไปพบพวกเขาที่ตำหนักวายุรำเพยขอรับ”

“ข้าเข้าใจแล้ว” อูหลิงอวี่โบกมือแล้วเดินเข้าประตูวังไป มุ่งหน้าไปยังตำหนักวายุรำเพย ทุกคนที่เดินผ่านตลอดทาง ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่ไม่คารวะทักทายเขา

“ท่านผู้วิเศษ ประมุขตำหนักคอยท่านอยู่นานแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวอาภรณ์ขาวคนหนึ่งเห็นอูหลิงอวี่จึงเอ่ยขึ้น “เชิญตามข้าน้อยมาเลยเจ้าค่ะ”

หญิงสาวนำทางอูหลิงอวี่เข้าไปแล้วพูดกับคนในตำหนักว่า “ท่านประมุขตำหนักเจ้าคะ ท่านผู้วิเศษกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

บุรุษเสื้อดำผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านบน เสื้อคลุมสีขาวเรียบง่ายแต่กลับไม่ธรรมดา ใบหน้าหล่อเหลาดูเหมือนอายุไม่เกินสามสิบปี แต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นตาเฒ่าที่ใช้ชีวิตมากว่าพันปีแล้ว

“หลิงอวี่คารวะท่านประมุขตำหนัก” อูหลิงอวี่ค้อมกายลงเล็กน้อย

“หลิงอวี่ เจ้ากลับมาเสียที ข้ากำลังหารือเรื่องราวอยู่กับประมุขตำหนักย่อยทุกท่านพอดี เจ้ากลับไปนั่งประจำตำแหน่งของเจ้าเสียสิ” ประมุขตำหนักพูดพลางพยักหน้าน้อยๆ

“ขอรับ ท่านประมุขตำหนัก” อูหลิงอวี่เดินมาตรงที่นั่งเบื้องล่างของประมุขตำหนักแล้วนั่งลง

“เอาล่ะ พวกเราว่ากันต่อเถิด” ประมุขตำหนักพูด “เมื่อครู่พวกเราพูดกันถึงไหนแล้วนะ”

“เรียนท่านประมุขตำหนัก เมื่อครู่พูดกันถึงเรื่องที่ตระกูลซีเหมินถูกสังหารล้างตระกูลเจ้าค่ะ” ประมุขตำหนักหญิงท่านหนึ่งพูดขึ้น

“ใช่แล้ว สืบเรื่องที่ตระกูลซีเหมินถูกสังหารล้างตระกูลได้กระจ่างชัดแล้วหรือยัง” ประมุขตำหนักถาม

“สืบรู้แน่ชัดแล้วขอรับ เป็นฝีมือของตระกูลจงเจิ้งที่เป็นศัตรูกับพวกเขามาโดยตลอดขอรับ” ประมุขตำหนักย่อยอีกคนหนึ่งเอ่ยตอบ

“พวกเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวระหว่างตระกูล แต่ข้าได้ยินว่าตระกูลซีเหมินเคยมีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อว่าซีเหมินโยวเย่ว์ นางมีพรสวรรค์สูงส่งยิ่ง แต่เบื้องบนต้องการให้พวกเราตามหาตัวหญิงสาวผู้นั้นหรือ” ประมุขตำหนักถาม

“เรียนท่านประมุขตำหนัก ผู้ที่ไปสืบข้อมูลกลับมาบอกว่าถึงแม้ซีเหมินโยวเย่ว์จะมีพรสวรรค์สูงส่ง ทั้งยังเป็นปรมาจารย์วิญญาณเอนกธาตุ แต่นางมีเพียงแค่สามธาตุเท่านั้น มิใช่เกินกว่าสี่ธาตุอย่างที่ร่ำลือกันขอรับ” ประมุขตำหนักย่อยผู้นั้นพูด “นอกจากนี้นางยังถูกคนของตระกูลจงเจิ้งสังหารไปแล้วด้วย เรื่องนี้แน่ใจได้เลยขอรับ”

อูหลิงอวี่นั่งประจำตำแหน่ง เมื่อได้ยินพวกเขาพูดถึงซีเหมินโยวเยว่แล้วก็อดนึกถึงซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นมามิได้  เมื่อนึกถึงท่าทีโมโหจนแทบคลั่งของนางก่อนที่จะจากมา มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลซีเหมินอีกเลย” ประมุขตำหนักพูด

“ขอรับ ท่านประมุขตำหนัก” บุรุษผู้นั้นพูด “แต่ตอนที่พวกเราตรวจสอบก็พบว่าตระกูลจงเจิ้งมีคุณหนูอยู่ผู้หนึ่งชื่อว่าจงเจิ้งหานเย่ว์ เป็นผู้มีพรสวรรค์หาตัวจับยากคนหนึ่ง ข้ารู้สึกว่าเข้าร่วมตำหนักผู้วิเศษของพวกเราได้ขอรับ”

“นางอาจเป็นหญิงสาวในคำทำนายผู้นั้นอย่างนั้นหรือ” ประมุขตำหนักถาม

“มิใช่ขอรับ นางเป็นธาตุคู่ทองและไฟขอรับ” ประมุขตำหนักย่อยพูด “พวกเราได้ให้คนไปตรวจสอบนางเรียบร้อยแล้ว มั่นใจว่าเป็นธาตุคู่อย่างแน่นอนขอรับ”

“ในเมื่อเป็นธาตุคู่ เช่นนั้นก็รับตัวเข้ามาเถิด” ประมุขตำหนักโบกมือซ้าย มือขวาเท้าบนที่วางแขนยันศีรษะเอาไว้พลางพูดว่า “แล้วพวกเจ้าที่อื่นๆ เล่า”

“ประมุขตำหนัก ข้าพบตัวปรมาจารย์วิญญาณจตุธาตุคนหนึ่งในสำนักของพวกเราขอรับ” ประมุขตำหนักย่อยที่ดูท่าทีเย็นชาคนหนึ่งพูดขึ้น

“แน่ใจว่าเป็นจตุธาตุจริงๆ หรือไม่”

“ใช่แล้วขอรับ ท่านประมุขตำหนัก นางเป็นเด็กหญิงอายุสิบปีคนหนึ่ง เพิ่งจะเริ่มต้นฝึกยุทธ์ ตอนที่ทดสอบในตระกูลพบว่าเป็นจตุธาตุขอรับ”

“ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวในคำทำนายหรือไม่ก็มิอาจปล่อยผ่านไปได้อยู่ดี” ประมุขตำหนักพูดอย่างเรียบเรื่อย คล้ายกับว่าชีวิตหนึ่งๆ ก็มิได้ควรค่าแก่การพูดถึงเลยเมื่อออกจากปากเขา

“ข้าได้ให้คนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดพาตัวนางเข้ามาในตำหนักผู้วิเศษโดยบอกว่าจะให้เข้าร่วมกับพวกเรา วางแผนเอาไว้ว่าหลังจากรายงานท่านประมุขตำหนักแล้วก็จะสังหารนางเสีย”

“ดี เบื้องบนกำชับมาว่า ต่อให้สังหารผิดตัวไปพันคน ก็ห้ามปล่อยผ่านแม้แต่คนเดียว ขอเพียงแค่เป็นปรมาจารย์วิญญาณเพศหญิงจตุธาตุขึ้นไปก็ล้วนมิอาจปล่อยให้รอดไปได้ทั้งสิ้น เข้าใจหรือไม่” ประมุขตำหนักเอ่ยกำชับ

“เข้าใจแล้วขอรับ”

“…”

อูหลิงอวี่นั่งประจำตำแหน่งของตนโดยไม่เอ่ยวาจา เขาหัวเราะเยียบเย็นอยู่ในใจ นี่ก็คือตำหนักผู้วิเศษอันศักดิ์สิทธิ์ในสายตาของผู้อื่น แต่ชีวิตของผู้อื่นในสายตาของพวกเขาก็เหมือนกับวัชพืชเท่านั้น ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะคำทำนายที่ไม่รู้ไปฟังมาจากที่ใดอันหนึ่งเท่านั้น

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากที่ประมุขตำหนักย่อยคนอื่นๆ ปรึกษาหารือกันเสร็จก็แยกย้ายกันจากไป เหลือเพียงแค่ประมุขตำหนักกับอูหลิงอวี่สองคนเท่านั้น

“เหตุใดคราวนี้เจ้าจึงออกไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้กันเล่า” ประมุขตำหนักมองอูหลิงอวี่พลางถามขึ้น

“เรียนท่านประมุขตำหนัก ข้าได้ยินมาว่าดินแดนอี้หลินมีความเคลื่อนไหว จึงได้ลงไปดูสักหน่อยน่ะขอรับ” อูหลิงอวี่เอ่ยตอบ

“เช่นนั้นเจ้าตรวจสอบพบบุคคลที่น่าสงสัยบ้างหรือไม่”

“ไม่มีเลยขอรับ” อูหลิงอวี่พูดอย่างมั่นใจ “ถึงอย่างไรดินแดนอี้หลินก็เป็นดินแดนระดับต่ำสุดของพวกเราแล้ว การที่จะมีผู้เปี่ยมพรสวรรค์โผล่มาสักคนหนึ่งนั้นก็ยังยากเย็นยิ่งกว่าปีนป่ายท้องฟ้าเสียอีก”

ถ้าหากพูดถึงหญิงสาวที่น่าสงสัยแล้วล่ะก็ เขาก็นึกถึงซือหม่าโยวเย่ว์ แต่เขาก็ไม่คิดจะพูดเรื่องนี้ออกมาอยู่แล้ว

“ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็มิอาจชะล่าใจได้หรอกนะ” ประมุขตำหนักพูด

“ข้าเข้าใจดีขอรับ” อูหลิงอวี่ก้มศีรษะลงน้อยๆ คล้ายกับว่าใส่ใจรับฟังคำพูดของเขาอย่างไรอย่างนั้น

“ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ประมุขตำหนักถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย

“เรียนท่านประมุขตำหนัก ยังคงเป็นเช่นเดิมเลยขอรับ ท่านอาจารย์บอกว่ายังคงเสาะหาวิธีแก้ไขให้ข้าอยู่” อูหลิงอวี่เอ่ยตอบ

ประมุขตำหนักหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บวัตถุแล้วพูดว่า “นี่คือยาวิเศษที่ข้าให้คนค้นคว้าทดลองออกมา มีฤทธิ์บำรุงวิญญาณเป็นอย่างดียิ่ง เจ้าเอาไปใช้เสียสิ”

อูหลิงอวี่ลุกขึ้น สองมือรับขวดหยกมาพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านประมุขตำหนักที่เมตตาขอรับ”

“เจ้าคือผู้วิเศษที่ข้าเลือกมาด้วยตัวเอง ทั้งยังจะเป็นผู้สืบทอดของข้าด้วย ข้าก็ต้องใส่ใจเจ้ามากหน่อยอยู่แล้วสิ” ประมุขตำหนักพูดพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “ต่อจากนี้ไปหากมีเรื่องอันใดเจ้าก็ใช้คนเบื้องล่างไปตรวจดูก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องไปด้วยตัวเองหรอกนะ”

“ข้าทราบแล้วขอรับ”

“เอาละ เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด” ประมุขตำหนักพูดพลางโบกไม้โบกมือ

“ขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”

“ไปเถิด อย่าลืมใช้ยาวิเศษนั่นด้วยล่ะ” ประมุขตำหนักเอ่ยกำชับ

“ขอรับ ข้าจะกลับไปกิน” อูหลิงอวี่พูด “หลิงอวี่ขอตัวก่อนนะขอรับ”

อูหลิงอวี่หมุนกายออกไปจากตำหนักใหญ่ ตอนอยู่ที่ประตูใหญ่ก็มีเสียงของประมุขตำหนักลอยมาจากด้านหลัง

“อีกไม่กี่วันนารีทิพย์ก็จะกลับมาจากเบื้องบนแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าก็พาคนไปต้อนรับสักหน่อยด้วยล่ะ”

เมื่อนึกถึงหญิงสาวที่หนังหน้าหนายิ่งกว่ากำแพงเมือง เอาแต่เกาะแกะตนตลอดวันผู้นั้นแล้วอูหลิงอวี่ก็ร่างกายแข็งเกร็ง แต่ก็ยังได้สติกลับมาแล้วพูดว่า “ขอรับ”

และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ณ เทือกเขาผู่สั่วแห่งดินแดนอี้หลิน ซือหม่าโยวเย่ว์ขี่ย่ากวงหนีสะบักสะบอมออกมา เดิมทีคิดว่าพอออกมาจากเทือกเขาก็ใช้ได้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะไล่ตามเธอมาอีกหลายร้อยลี้

และเมืองที่อูหลิงอวี่บอกว่าอยู่ห่างออกไปไม่ไกลแห่งนั้น เธอขี่ย่ากวงวิ่งมากว่าครึ่งวันจึงจะมองเห็น

“ระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ก็คือสถานที่ที่เขาบอกว่าไม่ไกลอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บตัวย่ากวงเข้าไปภายในมณีวิญญาณ “คราวหน้าถ้าหากให้ข้าได้พบเจอเขาอีก ข้าจะต้องถลกหนังเขาออกมาอย่างแน่นอน!”

เธอเข้ามาในเมือง เมื่อผู้คนได้เห็นท่าทางสะบักสะบอมของเธอแล้วไม่เพียงแต่จะไม่หัวเราะเยาะเท่านั้น แต่กลับแสดงท่าทีเคารพนับถือเสียด้วยซ้ำ

“ขอถามหน่อยว่าจะไปสมาคมปรมาจารย์วิญญาณได้อย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์รั้งตัวคนบนถนนคนหนึ่งมาถาม

“ท่านปรมาจารย์ ตรงไปข้างหน้า เดินไปสองซอยแล้วเลี้ยวซ้ายก็ถึงแล้วขอรับ” คนที่ถูกรั้งตัวเอาไว้เอ่ยตอบ

“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณมาก!” ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งเคยมีคนมองด้วยสายตาเคารพนับถือเป็นครั้งแรกจึงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือคนที่นี่มองเพียงปราดเดียวก็ดูออกแล้วว่าเธอออกมาจากเทือกเขาผู่สั่ว ผู้ที่กล้าเข้าไปในเทือกเขาผู่สั่วตัวคนเดียว จะต้องเป็นคนที่ร้ายกาจยิ่งอย่างแน่นอน ทุกคนก็ย่อมต้องนับถือเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว

เธอไปยังสมาคมปรมาจารย์วิญญาณตามเส้นทางที่คนผู้นั้นบอก ที่นั่นมีค่ายกลส่งตัวไปยังเมืองหลวงอยู่

เมื่อนึกถึงคนที่ผลักตนในตอนนั้น มุมปากเธอก็ยกยิ้ม ตนกำลังจะกลับไปแล้ว แม่นั่นเตรียมรับมือกับการแก้แค้นของตนพร้อมหรือยังเล่า

…………………

Related

ริมฝีปากทั้งคู่ประกบกันอย่างนุ่มนวล แฝงไว้ด้วยความเยียบเย็นเล็กน้อย

 

อูหลิงอวี่หรี่ตาทั้งสองน้อยๆ ความรู้สึกนี้ยอดเยี่ยมกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก

 

“โอ๊ย…” ซือหม่าโยวเย่ว์อาศัยจังหวะที่เขาไม่ทันระวังกัดลงไปบนริมฝีปากเขา หลังจากนั้นก็มุดตัวลงไปข้างล่าง หนีออกไปจากการสะกดนิ่งของเขา

 

“ท่านป่วยเป็นโรคจิตหรือไง!” เธอยืนห่างออกไปไกลพลางมองอูหลิงอวี่อย่างระแวดระวัง

 

อูหลิงอวี่ลูบริมฝีปากของตนเอง เขาได้กลิ่นคาวเลือดของเขา

 

“กัดได้รุนแรงจริงๆ นะ!” เขาพูดเสียงอ่อน มองไม่เห็นแววโกรธบนใบหน้า

 

“แน่นอนอยู่แล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่เขาแล้วพูดว่า “ข้าเป็นชายแท้นะ ไม่มีความสนใจในตัวบุรุษอย่างท่านหรอก!”

 

“หืม เหตุใดข้าจึงได้ยินว่าตอนเจ้าอยู่ในเมืองหลวงก็เอาแต่เกาะแกะบุรุษผู้หนึ่งไม่ห่าง คอยเอาอกเอาใจอยู่ตลอดเลยเล่า” อูหลิงอวี่เช็ดเลือดที่ริมฝีปากล่างแล้วพูดขึ้น

 

“ท่านก็บอกเองนี่ว่าเคยได้ยินมา ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าข่าวลือเชื่อถือไม่ได้ คุณชายเช่นข้าชมชอบหญิงงามต่างหากเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดปดหน้าตาเฉย

 

“หึๆ” เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของซือหม่าโยวเย่ว์ เขาก็หัวเราะขึ้นมาในทันใด

 

“ท่านชมชอบบุรุษอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาขึ้นลงหลายรอบ ในท้ายที่สุดก็จับใจความสำคัญได้จึงพูดว่า “ท่านเป็นพวกเบี่ยงเบนนี่นา!”

 

อูหลิงอวี่มองแววตาแดงก่ำของซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าว่าอะไรนะ”

 

“ข้าไม่สนหรอกว่าท่านจะเบี่ยงเบนหรือไม่ ท่านบอกว่าจะจากไปอยู่แล้วนี่ ตอนนี้ก็มอบของตอบแทนอีกครึ่งหนึ่งมาให้ข้าเสีย หลังจากนี้พวกเราก็แยกทางเดินกันไปคนละทาง อย่าได้พบเจอกันอีกเลย”

 

“อย่าได้พบเจอกันอีกอย่างนั้นหรือ” อูหลิงอวี่ขยับร่างครั้งหนึ่งก็ไปปรากฏตัวอยู่ข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์โดยที่เธอไม่ทันแม้แต่จะเห็นการเคลื่อนไหวของเขาได้อย่างชัดเจนเสียด้วยซ้ำ รู้สึกเพียงแค่ว่าตนเองคล้ายจะถูกพลังคุกคามของเขากดดันจนร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้

 

อูหลิงอวี่หยิบเอาขวดหยกออกมาขวดหนึ่งแล้วดึงมือซือหม่าโยวเย่ว์มาก่อนจะวางลงบนฝ่ามือของเธอ หลังจากนั้นก็ก้มลงพูดข้างหูเธอว่า “ต่อจากนี้ไปจงจำเอาไว้ให้ดีว่าต้องเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายบนร่างของเจ้าเสีย ไม่อย่างนั้นหากพบกับสัตว์อสูรวิเศษที่ระดับขั้นสูงสักหน่อยเข้า เจ้าก็ไม่มีทางซ่อนตัวจากจมูกของพวกมันได้หรอกนะ แม่สาวน้อย”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจอย่างหนัก เขารู้ว่าตนเป็นผู้หญิงอย่างนั้นหรือ!

 

อูหลิงอวี่มองดูสีหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์อย่างพึงพอใจแล้วฝากรอยจูบไว้บนริมฝีปากของเธออีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ชอบท่าทีร้องไห้งอแงของหญิงสาว แต่ในเมื่อพวกเราก็นอนร่วมเตียงเดียวกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว ข้าย่อมรับผิดชอบเจ้า จะถือเสียว่าเจ้าเป็นผู้หญิงของข้าก็แล้วกัน”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่อูหลิงอวี่ เจ้าคนผู้นี้ช่างรู้อะไรๆ ไปเสียหมด แต่ยังนอนร่วมเตียงเดียวกันกับตนเหมือนไม่มีเรื่องราวอันใด ตอนนี้ยังถึงกับพูดออกมาด้วยว่าตนเป็นผู้หญิงของเขา ถ้าหากมิใช่เพราะว่าตนถูกสะกดนิ่งเอาไว้ เธอจะต้องเข้าไปเอากริชปักลงกลางหัวใจเขาอย่างแน่นอน!

 

อูหลิงอวี่มองดูเพลิงโทสะตรงหน้าเธอแล้วแย้มยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าเรียบเนียนของเธอแล้วเอ่ยว่า “ท่าทางตอนโกรธก็ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง หวังว่าคราวหน้าตอนที่พบกันเจ้าจะโตแล้วนะ คราวหน้าที่พบกัน จำเอาไว้ว่าต้องแต่งกายเป็นหญิงสาวให้ข้าดูด้วยล่ะ”

 

แต่งกายเป็นหญิงให้ดู!

 

“หึๆ” อูหลิงอวี่รู้สึกว่าตนเองดูเหมือนจะชอบมองท่าทีโมโหของเธอ เขาถอดแหวนมนตร์บนนิ้วของเธอออก ร่างกายของซือหม่าโยวเย่ว์ก็แปรเปลี่ยนไปในทันใด อย่างน้อยตรงหน้าอกก็มิได้แบนราบเป็นกระดานอีกต่อไปแล้ว

 

“ใช้ได้เลยทีเดียวนี่” เขาใช้มือจู่โจมพลางพยักหน้าน้อยๆ

 

เจ้าบ้า! คนลามก!

 

“ด่าข้าหรือ ข้าก็แค่ลองประเมินขนาดของมันเท่านั้นเอง” อูหลิงอวี่พูด จากนั้นเขาก็หยิบเอาแหวนอีกวงหนึ่งออกมาแล้วขูดไปบนนิ้วของซือหม่าโยวเย่ว์ หยดเลือดไว้ข้างบน พอหยดเลือดซึมเข้าไปหมดแล้วจึงค่อยสวมให้เธอก่อนจะหมุนสลักด้านบน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็แปลงร่างกลับเป็นบุรุษอีกครั้ง

 

ตอนที่มองดูอูหลิงอวี่สวมแหวนให้ตน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็นึกถึงท่าทางตอนเจ้าบ่าวสวมแหวนให้เจ้าสาวตอนที่ผู้อื่นแต่งงานกันในชาติก่อนขึ้นมาทันที

 

อูหลิงอวี่มองดูท่าทางของซือหม่าโยวเย่ว์ในตอนนี้อย่างพึงพอใจแล้วพูดว่า “เช่นนี้แล้ว แม้ว่าจะเป็นสัตว์อสูรวิเศษระดับสูงก็ไม่มีทางได้กลิ่นอิสตรีบนร่างของเจ้าแล้ว เอาล่ะ ตาเฒ่าผู้นั้นเร่งข้าอีกแล้ว ข้าต้องไปแล้ว จำเอาไว้ให้ดี เจ้าเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว ต่อจากนี้ไปห้ามล่อแมลงล่อผีเสื้อตัวอื่น และจำเอาไว้ว่าจะต้องคิดถึงข้าด้วย”

 

พูดจบแล้วเขาก็ประทับจูบบนริมฝีปากเธออีกครั้ง

 

“สาวน้อย อย่าได้ลืมสัญญาของพวกเราล่ะ คราวหน้าต้องแต่งกายเป็นหญิงให้ข้าดูด้วยนะ”

 

เจ้าคนบ้า!

 

“ฮ่าๆๆ! ออกไปจากที่นี่ไม่ไกลมีเมืองอยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีค่ายกลนำส่งไปยังเมืองหลวงอยู่” เมื่อเห็นท่าทีของซือหม่าโยวเย่ว์ เขาก็หัวเราะเสียงดังแล้วถอยหลังออกไป นิ้วชี้ทั้งสองประกบกัน จากนั้นห้วงมิติก็ดูคล้ายจะถูกฉีกแยกตามการเคลื่อนไหวของเขา แล้วอุโมงค์สีดำทะมึนอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

 

อูหลิงอวี่มาถึงตรงหน้าอุโมงค์แล้วหันมามองซือหม่าโยวเย่ว์แวบหนึ่งพลางเอ่ยว่า “แม่สาวน้อย จำเอาไว้ว่าอย่าให้ผู้อื่นล่วงรู้ถึงตัวตนที่เป็นหญิงสาวของเจ้าเป็นอันขาด มิฉะนั้นหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นข้าก็ไปช่วยเจ้ามิได้หรอกนะ”

 

พูดจบแล้วเขาก็หมุนกายเดินเข้าไปในอุโมงค์นั้น พอเขาเข้าไปแล้วอุโมงค์นั้นก็สมานติดกันดังเดิมราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น

 

“สมควรตาย!”

 

พออูหลิงอวี่จากไปแล้ว ร่างกายของซือหม่าโยวเย่ว์จึงขยับเขยื้อนได้ดังใจ เมื่อนึกถึงความรู้สึกที่โดนสะกดนิ่งเมื่อครู่แล้วเธอก็โมโหอย่างยิ่ง ถ้าหากเขาอยากจะสังหารตนแล้วล่ะก็ เธอคงไม่มีแม้กระทั่งเรี่ยวแรงสู้กลับเลยเสียด้วยซ้ำ

 

แต่สิ่งนี้ก็ปลุกจิตวิญญาณในการต่อสู้ของเธอขึ้นมา คนที่อาศัยเพียงแค่ความรู้สึกอย่างเดียวแล้วสังหารศัตรูได้ในเสี้ยววินาที นั่นก็คือพลังของยอดฝีมือมิใช่หรือ

 

เธอมองดูแหวนมนตร์บนนิ้วมือ เมื่อนึกถึงว่าเขารู้ว่าตนเป็นผู้หญิง ทั้งยังจุมพิตตนถึงสามครั้ง เธอก็เกิดแรงผลักดันที่นึกอยากจะฆ่าเขาให้ตายอย่างหนึ่งขึ้นมา

 

“ฝากไว้ก่อนเถอะ! แค้นนี้ไม่ได้ชำระ ข้าก็จะรังควานท่านไม่เลิกเลย!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกนเสียงดังลั่นใส่บริเวณที่อุโมงค์ปรากฏขึ้นเมื่อครู่

 

นี่คือจูบแรกของเธอตลอดการดำรงชีวิตมาสองชาติเชียวนะ แต่มาถูกช่วงชิงไปเช่นนี้เสียได้ คิดๆ แล้วก็น่าโมโหเหลือเกิน

 

“เย่ว์เย่ว์…” เมื่อเห็นท่าทางเดือดดาลของซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าคำรามน้อยก็ส่งเสียงเล็กเสียงน้อยมาจากในมณีวิญญาณ

 

“ว่าอย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างอารมณ์ไม่ดี

 

“คือว่าข้าได้ยินเสียงสัตว์อสูรวิเศษจำนวนมากวิ่งมา ถ้าหากเจ้ายังมัวอยู่ที่นี่ละก็…”

 

เจ้าคำรามน้อยยังพูดไม่ทันจบ เธอก็เห็นว่าด้านหลังภูเขามีสัตว์อสูรวิเศษจำนวนไม่น้อยปรากฏตัวขึ้นแล้ววิ่งตรงมาทางเธออย่างสุดกำลัง ตรงเส้นดำทะมึนนั้นอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีกว่าร้อยตัว นั่นก็คือแรดซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับตัวที่ตนเพิ่งสังหารไปเมื่อครู่ พวกมันจะต้องได้กลิ่นเลือดแล้วตามมาล้างแค้นอย่างแน่นอน

 

“ตายแล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์โอดครวญไม่ทันแล้ว ได้แต่วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เธอวิ่งไปพลางเรียกตัวย่ากวงออกมา รอให้มันแปลงเป็นร่างเดิมแล้วก็ขี่มันวิ่งมุ่งหน้าไปยังรอบนอกของเทือกเขาผู่สั่ว

 

 

อุโมงค์มิติเปิดออกที่โลกอีกแห่งหนึ่ง อูหลิงอวี่เดินออกมาจากภายในนั้น เมื่อนึกถึงท่าทางโมโหของซือหม่าโยวเย่ว์เมื่อครู่แล้วเขาก็อดที่จะยกมุมปากยิ้มไม่ได้

 

เขาเรียกกิเลนเพลิงออกมา ให้มันแปลงเป็นร่างเดิมแล้วเขาก็นั่งลงไป

 

“เจ้านาย ท่าทีเมื่อครู่นี้ไม่เหมือนตัวท่านเลยจริงๆ นะ” กิเลนเพลิงเหาะเหินไปพลางพูดไปพลาง

 

“หา”

 

“ท่านคงจะมิได้ต้องการให้นางเป็นผู้หญิงของท่านจริงๆ กระมัง” กิเลนเพลิงถาม

 

“ไม่ได้ตรงไหนหรือ” อูหลิงอวี่ถามกลับ

 

“แต่ว่านางแตกต่างกับท่านมากเหลือเกิน แม้กระทั่งหญิงสาวภายในตำหนักเหล่านั้นก็ยังดีกว่านางเป็นร้อยเท่าพันเท่า แล้วท่านไปถูกใจนางเข้าได้อย่างไรกัน” กิเลนเพลิงไม่เข้าใจ ตัวเองไม่อยู่เพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้นเอง เหตุใดเจ้านายที่ไม่เคยใกล้ชิดหญิงใดมาโดยตลอดจึงได้แปรเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า!

 

“ข้าชอบอาหารที่นางทำ” อูหลิงอวี่พูดอย่างเรียบเรื่อย

 

ถ้าหากซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังคำพูดนี้ เธอจะต้องนึกเสียใจไปถึงไหนต่อไหนอย่างแน่นอน ถ้ารู้ก่อนก็คงไม่ทำอาหารให้เขากินหรอก!

 

อูหลิงอวี่หัวเราะ อันที่จริงแล้วตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเพราะเหตุใดตนจึงพูดออกไปได้ว่าจะให้นางมาเป็นผู้หญิงของตน แต่ตอนที่พูดออกไปแล้วตนเองกลับมิได้รู้สึกต่อต้านแต่อย่างใด คล้ายกับว่าควรจะทำเช่นนี้อยู่แล้วอย่างไรอย่างนั้น ดวงหน้าน้อยๆ อันดื้อดึงของนาง ความกล้าหาญที่ไม่เคยย่อท้อยามเผชิญกับอันตรายทุกครั้ง อาหารที่ปรุงอย่างล้ำเลิศเหล่านั้น ทุกจุดล้วนแตกต่างจากสตรีนางอื่นทั้งสิ้น

 

นางก็แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของเขาทีละเล็กละน้อยเช่นนี้เอง

 

ผู้หญิงของเขา เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกเบิกบาน มุมปากยกยิ้ม คำเรียกหานี้ฟังดูไม่เลวเลยทีเดียว

 

…………………

Related

ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์อาบน้ำกลับมาก็เห็นท่าทางที่อูหลิงอวี่เอนพิงต้นไม้พลางยกมุมปากยิ้มน้อยๆ

“เจ้าอาบเสร็จแล้วหรือ” แสงสว่างเบื้องหน้าถูกเงาร่างบังเอาไว้ อูหลิงอวี่จึงลืมตาขึ้นเอ่ยถาม

“อืม” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านคงมิได้แอบดูกระมัง”

“เจ้ามีอะไรน่าดูกันเล่า” อูหลิงอวี่พูด

“หึๆ” เธอออกจะหุ่นดีมิใช่หรือ แต่ก็แค่ไม่ได้เผยออกมาเท่านั้นเอง

“แล้วตอนนี้จะทำอะไรต่อ” อูหลิงอวี่ถาม

“หิวแล้ว หาอะไรกินดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

อูหลิงอวี่เบ้ปากเล็กน้อย กินอีกแล้วหรือ

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ได้สนใจการตอบสนองของเขาแล้วมาที่ริมฝั่ง ก่อนจะหยิบเอางูที่เพิ่งฆ่าไปออกมาแล้วใช้กริชตัดแบ่งเป็นส่วนๆ หลังจากนั้นก็เก็บส่วนที่เหลือเข้าไป เหลือเอาไว้ส่วนหนึ่งแล้วใช้น้ำในแม่น้ำล้างจนสะอาด

“เจ้าคิดจะกินสิ่งนี้อย่างนั้นหรือ” อูหลิงอวี่เดินเข้ามาก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์กำลังง่วนอยู่กับเนื้องูจึงขมวดคิ้วจนแทบผูกเป็นปม

ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองเขาปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าท่านไม่ชอบ จะไม่กินก็ได้นะ ถึงอย่างไรแม้ท่านจะไม่กินอะไรเลยก็ไม่มีทางรู้สึกหิวอยู่แล้วนี่”

อูหลิงอวี่ถูกเธอสกัดเช่นนี้จึงได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่เอ่ยคำพูดอีก

ซือหม่าโยวเย่ว์ล้างเนื้องูจนสะอาดแล้วหยิบหม้อใบหนึ่งออกมา ก่อนจะใส่เครื่องปรุงรสต่างๆ ลงไป แล้ววางน้ำแกงเนื้องูลงบนกองไฟ หลังจากนั้นเธอก็นำส่วนที่เหลือมาเสียบแท่งเหล็กย่าง

เพียงครู่เดียวกลิ่นหอมของเนื้อย่างก็โชยมา เธอจึงค่อยโรยเครื่องปรุงรสที่เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วลงไปบนนั้นก่อนจะย่างต่อไปอีกครู่หนึ่งแล้ววางลงในจานด้านข้าง

พอเธอย่างเนื้องูทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงค่อยจัดจานวางลงบนโต๊ะ

“ท่านจะกินไหม” ดีร้ายอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นนายจ้าง เธอจึงถามสักหน่อยพอเป็นพิธี

อูหลิงอวี่ดูเหมือนจะมีความลำบากใจกับเนื้องูอยู่บ้าง แม้จะลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่เขาก็ยังมาตรงหน้าโต๊ะแล้วหยิบเอาเนื้องูย่างขึ้นมากิน

เมื่อกินเนื้องูย่างไป น้ำแกงงูก็เริ่มเคี่ยวจนได้ที่แล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงตักน้ำแกงสองชามให้กับทั้งสองคน รสชาติสดอร่อยทำให้อูหลิงอวี่ทำลายกฎของการไม่กินเนื้องูอีกครั้ง

“ดูเหมือนเจ้าจะทำอาหารเก่งใช้ได้เลยทีเดียวนะ” อูหลิงอวี่กินน้ำแกงในชามจนหมดแล้วจึงถามขึ้น

“ท่านก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ข้าไม่อาจบำเพ็ญได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ดังนั้นข้าก็เลยได้แต่กินข้าวมาโดยตลอด หลังจากนั้นก็เลยทำอาหารได้น่ะ”

“จวนแม่ทัพไม่มีพ่อครัวหรอกหรือ”

“พ่อครัวทั่วไปทำอาหารได้อร่อยเท่าข้าอย่างนั้นหรือ”

“…ก็ไม่”

“เช่นนั้นก็ไม่ต้องมี นอกจากนี้ข้ายังชื่นชอบเวลาได้ลงมือทำแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างมากอีกด้วย”

กินข้าวหมดแล้วเธอก็เก็บข้าวของขึ้นมาแล้วเสาะหาสัตว์อสูรวิเศษที่อยู่ตามลำพังในภูเขาเพื่อทำการฝึกฝนต่อไป

ตอนกลางคืนพวกเขาก็ไม่ได้กลับไปยังถ้ำภูเขาในแก่งหิน แต่หาถ้ำภูเขาแห่งหนึ่งในบริเวณรอบนอกพักผ่อนแทน ถึงอย่างไรที่เธอกลับไปเมื่อวานนี้ก็เป็นเพราะอูหลิงอวี่อยู่ที่นั่น วันนี้เขามากับตนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกลับไปอีก

ในระยะเวลาครึ่งเดือนให้หลัง พวกเขาก็มิได้กลับไปที่แก่งหินเลย ซือหม่าโยวเย่ว์ก็แทบจะใช้เวลาท่ามกลางการต่อสู้กับสัตว์อสูรวิเศษอยู่ตลอดเวลา ส่วนอูหลิงอวี่ก็ร่วมกับเธอด้วยเป็นบางครั้ง หรือบางทีก็กักตัวเองเพื่อฝึกฝนอยู่ในถ้ำ

ตลอดระยะเวลาครึ่งเดือน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังยุทธ์ของอูหลิงอวี่นั้นฟื้นฟูขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีบางเวลาที่กลิ่นอายที่เขาแผ่ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอรู้สึกตกใจเลยทีเดียว

แต่ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมากมายเพียงใด ขอเพียงแค่ตอนที่เธอกำลังต่อสู้อยู่ ใครก็ห้ามสอดมือเข้ามายุ่ง

แต่ดูคล้ายว่าเจ้าคนผู้นั้นก็ไม่คิดที่จะสอดมือยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว

ครึ่งเดือนให้หลัง กิเลนเพลิงก็กลับมาแล้วหาตัวอูหลิงอวี่ในถ้ำใต้ภูเขาไม่พบ แต่หาตัวพวกเขาพบที่บริเวณรอบนอกผ่านสายสัมพันธ์พันธสัญญา

ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังต่อสู้กับสัตว์อสูรวิเศษตนหนึ่งอยู่ การมาถึงของกิเลนเพลิงทำให้สัตว์อสูรวิเศษตนนั้นหมดสติไปในทันใด

“เย่ว์เย่ว์ นั่นคือสัตว์อสูรจำแลง” เจ้าคำรามน้อยเอ่ยเตือนจากในมณีวิญญาณ

“สัตว์อสูรจำแลงอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองกิเลนเพลิงแล้วเอ่ยอย่างตื่นตกใจ

กิเลนเพลิงมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่ง ทันใดนั้นเธอก็ถูกแรงกดดันอันไร้รูปร่างของเขากดดันเสียจนหายใจไม่ออกอยู่บ้าง

นั่นคือสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของเขาอย่างนั้นหรือ เขาไม่เพียงแต่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งอย่างยิ่งเท่านั้น แต่สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ตกลงตัวตนที่แท้จริงของเขาคือใครกัน

“เย่ว์เย่ว์ ข้ารู้แล้วว่าเขาเป็นใคร” เจ้าคำรามน้อยพูด

“เจ้ารู้หรือ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยพบเขามาก่อนอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมไม่บอกก่อนตั้งแต่เนิ่นๆ เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างประหลาดใจ

“ข้าเคยพบเขามาก่อนที่ไหนกันเล่า! ถ้าหากเคยพบข้าก็คงจะนึกขึ้นมาได้ก่อนหน้านี้แล้วล่ะ” เจ้าคำรามน้อยพูด “ข้าจำสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของเขาได้แล้ว”

“สัตว์อสูรจำแลงนั่นน่ะหรือ เจ้ารู้จักด้วยหรือ”

“นับว่าใช่ก็แล้วกัน” เจ้าคำรามน้อยพูด “นั่นคือกิเลนเพลิง”

“กิเลนเพลิงหรือ นั่นมิใช่สัตว์อสูรเทพโบราณที่มีอยู่แค่ในตำนานหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าในตำราที่เคยอ่านก่อนหน้านี้พูดถึงสัตว์อสูรเทพโบราณจำนวนหนึ่งเอาไว้ด้วย ชนิดหนึ่งในนั้นก็คือกิเลนเพลิงนั่นเอง

“ก็ใช่น่ะสิ เป็นสัตว์อสูรเทพโบราณเหมือนกันกับข้านี่แหละ” เจ้าคำรามน้อยพูด “นอกจากนี้ตอนนี้บนแผ่นดินยังมีปรากฏตัวขึ้นมาเช่นนั้นอีกตนหนึ่ง คนที่ทำพันธสัญญากับเขาคือผู้วิเศษแห่งตำหนักผู้วิเศษ ตอนนี้กิเลนเพลิงปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นอูหลิงอวี่ก็ต้องเป็นผู้วิเศษแห่งตำหนักผู้วิเศษไม่ผิดแน่”

“ตำหนักผู้วิเศษเป็นขุมอำนาจเช่นไรหรือ ฟังดูแล้วเหมือนเป็นสถานที่อันเที่ยงธรรมแห่งหนึ่งเลยทีเดียว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ตำหนักผู้วิเศษคือขุมอำนาจที่ปกครองโลกแห่งนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ล้วนมีตำหนักย่อยของตำหนักผู้วิเศษอยู่ทั้งสิ้น ประมุขใหญ่แห่งตำหนักผู้วิเศษก็คือจ้าววิเศษ ซึ่งนั่นก็เท่ากับเป็นเทพผู้ปกครองโลกใบนี้นั่นเอง” เจ้าคำรามน้อยพูดอธิบาย

“ก็หมายความว่าตัวตนที่แท้จริงของเจ้าคนผู้นี้สูงส่งอย่างยิ่งเลยอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางพลางมองดูกิเลนเพลิงและอูหลิงอวี่

“ตำหนักผู้วิเศษปรากฏตัวต่อธารกำนัลด้วยรูปลักษณ์อันน่าศรัทธา ได้ยินว่าผู้วิเศษผู้นี้เป็นบุรุษที่น่าศรัทธาอย่างที่สุด ไม่ว่าจะไปแห่งหนใดล้วนได้รับความเคารพนับถือทั้งสิ้น” เจ้าคำรามน้อยพูด

“น่าศรัทธาหรือ เหตุใดข้าจึงมองไม่ออกเลยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าสัมผัสได้แต่กลิ่นอายชั่วร้ายตลอดร่างของเขาเท่านั้น”

ที่อีกด้านหนึ่ง อูหลิงอวี่กำลังพูดคุยอยู่กับกิเลนเพลิง

“เจ้านาย ข้าหาของสิ่งนั้นไม่พบเลย” กิเลนเพลิงพูด “ข้าเสาะหาทั่วทั้งเทือกเขาผู่สั่วแล้วก็ยังสัมผัสกลิ่นอายของมันไม่ได้เลย”

“หรือว่าข้ารับสัมผัสผิดไปเองกันนะ” อูหลิงอวี่พูด

“เจ้านาย ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี” กิเลนเพลิงถาม

“ในเมื่อไม่มี ก็ได้แต่กลับขึ้นข้างบนก่อนแล้วล่ะ วันนี้เพิ่งจะได้รับคำสั่งเรียกตัวกลับของท่านเจ้าตำหนัก ให้ทุกคนกลับไปให้หมด” อูหลิงอวี่พูด

“มีเรื่องอันใดหรือไม่”

“ไม่รู้สิ บางทีตาเฒ่าผู้นั้นอาจจะพบผู้ที่สงสัยว่าเป็นหญิงสาวในคำทำนายเข้าอีกแล้วกระมัง” อูหลิงอวี่พูด “พวกเรากลับไปดูกันสักหน่อยก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด”

“ได้ขอรับ”

พอทั้งสองสนทนากันเสร็จแล้ว กิเลนเพลิงก็กลับไปยังมิติพันธสัญญา อูหลิงอวี่มองไปทางซือหม่าโยวเย่ว์แล้วส่งสัญญาณไปทางเธอ

ซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามาตรงหน้าอูหลิงอวี่ด้วยความคิดตามคติที่ว่านายจ้างเป็นใหญ่

“พวกเราจะไปแล้วนะ” อูหลิงอวี่พูดอย่างตรงไปตรงมา

“สิ้นสุดแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตาแล้วมองอูหลิงอวี่อย่างตื่นเต้น

อูหลิงอวี่มองดูท่าทางตื่นเต้นของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นางไม่อยากอยู่ร่วมกับตนมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ

“เจ้าดีใจมากอย่างนั้นหรือ”

“ก็ใช่น่ะสิ! ถึงแม้ว่าการฝึกฝนอยู่ที่นี่จะให้ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยม แต่ข้ายังมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ อ๊ะ…” ซือหม่าโยวเย่ว์ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดหนึ่งเสียแล้ว

“มีเรื่องอันใดที่สำคัญกว่าการอยู่เป็นเพื่อนข้าอีกหรือ” อูหลิงอวี่มองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย นัยน์ตามีเพลิงโทสะวูบไหว

“ท่านเป็นบ้าอะไรขึ้นมา” ซือหม่าโยวเย่ว์มองอูหลิงอวี่ที่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอย่างฉับพลัน สองมือผลักบนหน้าอกเขา “ปล่อยข้านะ!”

“เป็นบ้าอย่างนั้นหรือ บางทีข้าอาจจะเป็นบ้าจริงๆ ก็ได้นะ”

อูหลิงอวี่พูดจบแล้วก็ออกแรงรวบแขนของซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้แล้วโอบตัวนางเข้ามา จากนั้นเขาก็โน้มตัวลงจุมพิตบนริมฝีปากนางท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกสุดขีดของนาง…

………………………

Related

พอกินข้าวเสร็จเรียบร้อย ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เตรียมตัวจะออกไปอีกแล้ว

“เจ้าจะไปไหนหรือ” อูหลิงอวี่เอ่ยปากถามขึ้นในทันใด

“ในเทือกเขาน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ

“ข้าอยากไปกับเจ้าด้วย” อูหลิงอวี่เอ่ยปากพูดออกมาทันควัน

“อะไรนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเขาอย่างประหลาดใจ

คำพูดของอูหลิงอวี่ทำให้คนทั้งสองชะงักไปชั่วครู่ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเหตุใดจึงเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้

“ในเมื่อระยะนี้เจ้าเป็นของข้า ดังนั้นข้าย่อมอยากรู้อยู่แล้วว่าเจ้าออกไปทำอะไรข้างนอกกันแน่” อูหลิงอวี่พูดพลางพยักหน้า ไม่รู้ว่าพูดประโยคนี้กับซือหม่าโยวเย่ว์ หรือว่าใช้เพื่อหลอกตัวเองกันแน่

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูรอยยิ้มบนใบหน้าของอูหลิงอวี่แล้วพูดว่า “รอยยิ้มของท่านช่างจอมปลอมยิ่งนัก อย่ายิ้มเลยจะดีกว่า”

อูหลิงอวี่ลูบคางตนเองพลางเอ่ยว่า “ผู้อื่นล้วนบอกว่ารอยยิ้มของข้ามีรัศมีอันน่าศรัทธาชนิดหนึ่ง ซึ่งนำความอบอุ่นและความหวังมาสู่พวกเขา”

“คนพวกนั้นต้องตาบอดไปแล้วเป็นแน่”  ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“หึๆ…” อูหลิงอวี่หัวเราะสองเสียงแล้วไม่เสแสร้งอีกต่อไป กลิ่นอายบนร่างพลันแปรเปลี่ยนในทันใด

รอยยิ้มอันน่าศรัทธากลายเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย แววตาใสบริสุทธิ์กลายเป็นทรงเสน่ห์ร้ายกาจ แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายไปทั้งร่าง

“นี่ต่างหากถึงจะเป็นตัวจริงของท่านกระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางมองดูคนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน

ก่อนหน้านี้เจ้าคนผู้นี้ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นคนน่าศรัทธาหาใดเปรียบคนหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้กลับแผ่กลิ่นอายตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

ความแตกต่างนี้…มหาศาลนัก!

ถ้าหากไม่ได้เห็นเองกับตา เธอย่อมไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอนว่านี่คือคนคนเดียวกัน

“ตอนนี้เจ้าคงจะพาข้าไปด้วยได้แล้วสินะ” อูหลิงอวี่ถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์สงสัยอยู่ตลอดว่าถ้าหากตนพาเขาไปด้วย เขาก็อาจจะล่วงรู้เรื่องที่ตนทำพันธสัญญากับย่ากวงแล้วเข้าก็เป็นได้

“เจ้าวางใจเถิด ข้าเห็นอะไรก็ไม่มีทางพูดออกไปหรอกน่า” อูหลิงอวี่พูด “เพราะว่านี่ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าพูดเลย”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองอูหลิงอวี่ สัญชาตญาณบอกเธอว่าเขาไม่ได้โกหก จึงพูดว่า “เช่นนั้นท่านก็มาเถิด แต่ว่าพอท่านไปด้วยแล้วข้าก็ไม่มีเวลามาคอยดูแลท่านหรอกนะ”

“ไม่เป็นไร” อูหลิงอวี่แย้มยิ้ม ด้วยพลังยุทธ์อันต่ำต้อยเพียงเท่านี้ หากนางคิดจะปกป้องเขา ก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยจริงๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์นำทางเขาออกไปข้างนอกแล้วเรียกย่ากวงออกมา ก่อนที่ตนเองจะขึ้นนั่งบนหลังของมันแล้วหันหน้าไปมองอูหลิงอวี่พลางเอ่ยว่า “ขึ้นมาสิ”

อูหลิงอวี่คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะยังมีสัตว์อสูรทิพย์ที่ทำพันธสัญญากันอยู่อีกตนหนึ่งด้วย

พลังยุทธ์อย่างนาง มิใช่ทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้เพียงแค่ตนเดียวหรอกหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรเทพโบราณสักตนนั้นจำเป็นจะต้องใช้พลังมากกว่าอย่างมหาศาล ในสถานการณ์เช่นนี้นางยังทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษตนอื่นได้อีกด้วย ดูท่าทางพลังจิตของนางจะต้องแกร่งกล้าเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเขายืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวจึงคิดขึ้นมาได้ว่าเขาไม่ชอบใกล้ชิดกับผู้อื่น จึงเอ่ยว่า “ถ้าหากท่านไม่อยากขึ้นมาละก็ เช่นนั้นก็กลับไปเสียเถิด”

พูดจบแล้วเธอก็แย้มยิ้มขึ้นมา

ในขณะที่เธอเตรียมจะให้ย่ากวงเดินไปนั้นเอง ทันใดนั้นช่วงเอวก็ถูกคว้าเอาไว้ มือใหญ่คู่หนึ่งโอบเข้ามา

“ตอนนี้ข้าใช้พลังวิญญาณไม่ได้ เจ้าต้องจับข้าเอาไว้ให้แน่นๆ ล่ะ” อูหลิงอวี่นั่งอยู่ด้านหลังซือหม่าโยวเย่ว์พลางกระซิบข้างหูเธอ

ซือหม่าโยวเย่ว์ใบหน้าเคร่งขรึม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้หันไป แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงรอยยิ้มลำพองใจบนใบหน้าของเขาแล้ว

“ท่านต่างหากที่ต้องจับข้าไว้แน่นๆ ย่ากวง ไปได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นเสียงหนึ่ง ย่ากวงก็เร่งฝีเท้าวิ่งออกไป มุ่งหน้าไปยังบริเวณรอบนอกของเทือกเขาผู่สั่วตามเส้นทางเมื่อวานนี้

เมื่อถึงรอบนอกแล้วเธอก็เก็บตัวย่ากวงลงไป อูหลิงอวี่มองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบคราหนึ่งแล้วจึงถามว่า “เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน”

“อีกประเดี๋ยวท่านก็จะรู้เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่อีกเดี๋ยวท่านจะต้องอยู่ให้ห่างจากข้าหน่อยนะ มิฉะนั้นหากได้รับบาดเจ็บอันใดข้าก็ไม่รับผิดชอบด้วย”

อูหลิงอวี่ไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่เพียงไม่นานก็ได้รู้ถึงจุดประสงค์ที่ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงที่นี่แล้ว

ที่ซือหม่าโยวเย่ว์เผชิญในคราวนี้คืองูหางกระดิ่งตัวหนึ่งซึ่งมีระดับขั้นสูงกว่าสัตว์อสูรวิเศษสองตัวเมื่อวานถึงสองขั้น

ถ้าหากพบเมื่อวานก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเธอจะพ่ายแพ้ แต่มีประสบการณ์จากเมื่อวานแล้วเธอจึงมีทักษะการใช้พลังวิญญาณเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังมีประสบการณ์การต่อสู้กับสัตว์อสูรวิเศษแล้วอีกด้วย

อูหลิงอวี่พักอยู่ตรงใต้ต้นไม้ไม่ไกลออกไป ดูซือหม่าโยวเย่ว์ต่อสู้กับงูหางกระดิ่ง มีหลายครั้งที่เธอเกือบจะถูกงูหางกระดิ่งฉกกัด แต่เธอก็หลบหลีกไปได้อย่างหวุดหวิดทุกครั้ง

นอกจากนี้เมื่อระยะเวลาในการต่อสู้ลากยาวออกไป เธอก็ยิ่งคุ้นเคยกับการต่อสู้มากยิ่งขึ้น ร่างกายก็คล่องแคล่วว่องไวมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากบอกว่าก่อนหน้านี้เธอหลบหลีกเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่นนั้นในช่วงหลังๆ เธอก็ทำให้เจ้างูหางกระดิ่งเป็นคู่ซ้อมมือเสียแล้ว

“ฉึก…”

ซือหม่าโยวเย่ว์กระโจนครั้งหนึ่งก็กระโดดหลบไปอยู่ด้านหลังของงูหางกระดิ่ง กริชเล่มหนึ่งเสียบเข้าไปในร่างของมันลึกเจ็ดนิ้ว หัวและหางของงูหางกระดิ่งลอยพุ่งขึ้นไปข้างบน ร่างกายแข็งเกร็งไปในทันใด แต่ก็ยังตวัดไปมาไม่หยุด คล้ายกับคิดจะฟาดใส่ซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่ากริชจะเสียบเข้าไปลึกถึงเจ็ดนิ้ว แต่งูหางกระดิ่งก็ยังคงมีพลังมหาศาลเช่นนี้อยู่ เมื่อเห็นว่ากริชกำลังจะถูกมันสะบัดหลุดออกมาแล้ว เธอจึงนั่งลงบนหลังของงูหางกระดิ่งในทันใดแล้วใช้ขาทั้งสองข้างหนีบร่างของมันเอาไว้แน่น กางเกงจึงถูกเกล็ดบนร่างของมันเกี่ยวจนขาด

ร่างกายของงูหางกระดิ่งยืดตรงขึ้นมาหมายจะสะบัดซือหม่าโยวเย่ว์ลงไป เธอรีบยื่นมือซ้ายออกมาคว้าลำตัวงูเอาไว้ ส่วนมือขวาดึงกริชออกมาแล้วแทงเข้าไปอย่างแรงอีกครั้ง

คราวนี้เธอใช้กำลังแทงกริชลงไปจนสุดตัว งูหางกระดิ่งดิ้นรนอยู่หลายครั้ง หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ล้มลงไปข้างๆ อย่างช้าๆ

ผ่านการต่อสู้อันยากลำบากรอบหนึ่ง เธอก็หมดสิ้นกำลังแล้วเอนกายลงไปบนพื้นกับร่างงูนั้น

อูหลิงอวี่เดินเข้ามาช้าๆ แล้วมองดูซือหม่าโยวเย่ว์ที่นอนจมกองเลือดพลางหอบหายใจอย่างหนักหน่วงอยู่

การต่อสู้ของเธอเมื่อครู่นี้ทำให้เขาพรั่นพรึงไม่น้อยเลย เมื่อเห็นเธอฝึกฝนอย่างไม่คิดชีวิต หัวใจของเขาก็ปั่นป่วนขึ้นมาอย่างรุนแรง

“เจ้ายังดีอยู่ไหม”

“ยังไม่ตายหรอกน่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์พลิกตัวแล้วนอนแผ่หลาบนพื้น เธอเพิ่งจะสู้อย่างสูสีกับงูหางกระดิ่งมาเป็นชั่วโมง ตอนนี้แม้แต่จะขยับยังไม่อยากขยับเลยด้วยซ้ำ

เมื่อได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ อูหลิงอวี่ก็หัวเราะเบาๆ ครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “ในเมื่อยังไม่ตายก็ลุกขึ้นมาเสีย หากเจ้ายังนอนต่อไปอีกก็อาจจะมีสัตว์อสูรวิเศษตนอื่นได้กลิ่นเลือดแล้วบุกเข้ามาก็ได้นะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองอูหลิงอวี่ปราดหนึ่งแล้วสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะใช้สองมือยันพื้นแล้วลุกขึ้นยืน

อูหลิงอวี่ยืนอยู่อีกฟาก มองดูท่าทางอันน่าอนาถไปทั้งตัวของเธอแล้วเอ่ยถามว่า “ตอนนี้พวกเราจะไปที่ใดกันหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บร่างงูหางกระดิ่งลงไปแล้วมองไปรอบตัวปราดหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ทางนั้น”

อูหลิงอวี่ก็มิได้ออกความเห็นอันใดแล้วเดินมุ่งหน้าลงเขาไปพร้อมกับนาง ก็เห็นลำธารเล็กๆ สายหนึ่งอยู่ที่เชิงเขา

“นี่ ท่านนั่งพักอยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปอาบน้ำ ห้ามแอบดูล่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วก็กดตัวอูหลิงอวี่ให้นั่งลงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วตนเองก็ลงไปอาบน้ำในลำธารด้านหลัง ก่อนจะลงน้ำเธอก็เรียกให้พวกย่ากวงออกมาเฝ้ายามให้เธอ

ถึงแม้ว่าเธอจะดูเหมือนชายคนหนึ่ง แต่ก็เป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง ถ้าหากเจ้าคนผู้นั้นเกิดทะเล่อทะล่าเข้ามาดู เช่นนั้นตนก็คงเสียหายแย่

อูหลิงอวี่นั่งที่ใต้ต้นไม้ เมื่อได้ยินเสียงน้ำด้านหลังก็พิงร่างลงกับต้นไม้ ตัวเขามิได้นั่งบนพื้นมาเนิ่นนานแล้วนี่นา ช่างให้ความรู้สึกอันผ่อนคลายเช่นนี้เลยทีเดียว

เอาเถิด ก็ถือว่าให้ตนเองได้ผ่อนคลายสักครู่หนึ่งก็แล้วกัน อยู่ที่นี่ก็ทำตัวตามสบายสักหน่อย รอให้กลับไปยังตำหนักผู้วิเศษแล้วค่อยทำตัวเป็นผู้วิเศษผู้นั้นก็ได้

…………………

Related

อูหลิงอวี่นั่งอยู่ภายในถ้ำ ให้วิญญาณของตนรวมตัวกันเล็กน้อย

อาจารย์ของเขาเคยบอกเอาไว้ว่าวิญญาณของเขาไม่สมบูรณ์ พูดได้ว่าหากเทียบกับคนอื่นเขามีวิญญาณเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ดังนั้นร่างกายของเขาอาจจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้นได้ เพราะว่าวิญญาณครึ่งเดียวนั้นไม่อาจรองรับร่างกายที่แกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ ของเขาได้

นอกจากร่างกายจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ แล้ว ยังมีข้อเสียอยู่อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือเขาจะต้องหมดสติครั้งหนึ่งเป็นระยะๆ นอกจากนี้หลังจากที่หมดสติไปแล้วยังจะไม่อาจใช้พลังวิญญาณได้ไปอีกระยะเวลาหนึ่งด้วย จำเป็นจะต้องใช้ยาวิเศษที่อาจารย์ของเขาเตรียมให้สำหรับเขา ค่อยๆ ฟื้นฟูวิญญาณอย่างช้าๆ

แม้ว่าเขาบำเพ็ญไปเนิ่นนาน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยังไม่กลับมา เขาลุกขึ้นออกมานอกถ้ำก็พบว่าขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว

“เจ้านาย นางคงจะมิได้เอายาวิเศษที่ท่านให้หนีไปแล้วกระมัง” สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาอีกตนหนึ่งของอูหลิงอวี่พูดขึ้นมาจากในมิติพันธสัญญา

อูหลิงอวี่ก็มีความคิดเช่นนี้อยู่ชั่วขณะหนึ่งเช่นกัน แต่หลังจากที่นึกถึงนัยน์ตาใสบริสุทธิ์คู่นั้นของเธอแล้วก็ส่ายหน้าก่อนจะพูดว่า “นางไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่”

เพิ่งเอ่ยวาจาออกไป เงาร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ก็ปรากฏขึ้นที่อีกฟากหนึ่งของแก่งหิน คล้ายกับคิดไม่ถึงว่าอูหลิงอวี่จะอยู่ที่ปากถ้ำ ตอนที่มองเห็นเขาเธอก็ยังสะดุ้งคราหนึ่ง

อูหลิงอวี่เห็นท่าทางการเดินของซือหม่าโยวเย่ว์ผิดปกติอยู่บ้างจึงถามอย่างเรียบๆ ว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ”

“แผลเล็กน้อยเท่านั้นเอง” มือขวาของซือหม่าโยวเย่ว์กุมแขนซ้ายเอาไว้ “เหตุใดท่านจึงมาอยู่ข้างนอกเล่า”

“ออกมาดูเวลาน่ะ อยากมาดูสักหน่อยว่าเหตุใดเจ้าจึงยังไม่กลับมา” อูหลิงอวี่เอ่ยตอบ

“ท่านวางใจเถิด บุรุษย่อมรักษาสัจจะ ในเมื่อข้านำสิ่งตอบแทนของท่านมาแล้วก็ย่อมไม่มีทางหนีไปตามลำพังอยู่แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็ผ่านตัวเขาเข้าไปในถ้ำ

“เจ้าเด็กผู้นี้ ช่างอ่อนไหวเสียเหลือเกิน” อูหลิงอวี่แย้มยิ้ม

ซือหม่าโยวเย่ว์กลับมาถึงถ้ำภูเขาแล้วก็เอนกายลงบนเตียง ถึงแม้ว่าจะกินยาวิเศษไปแล้ว แต่บาดแผลบนท่อนแขนก็ยังคงเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น เป็นเครื่องเตือนว่าวันนี้เธอประสบเหตุการณ์อันใดมา

ในเช้าวันนี้ตอนที่เธอต่อสู้กับกิ้งก่าอัคคี ต้องอาศัยทั้งร่างกายที่อ่อนแอและประสบการณ์การต่อสู้ที่สั่งสมมาจากการเป็นมือสังหารเมื่อชาติก่อนจึงสามารถเอาชนะได้

หลังจากที่ฆ่ากิ้งก่าอัคคีตายแล้วย่ากวงก็บอกเธอว่าหลังจากที่สังหารสัตว์อสูรวิเศษแล้วมนุษย์ทั่วไปก็จะเก็บซากเอาไว้ เพราะร่างกายของสัตว์อสูรวิเศษนั้นค่อนข้างแข็งแรง สามารถนำไปขายได้ นอกจากนี้ในสมองของสัตว์อสูรวิเศษยังมีแก้วผลึกมนตราอยู่ด้วย ซึ่งแก้วผลึกมนตราเป็นวัตถุดิบสำคัญในการหลอมยาหลอมอาวุธ ทั้งยังขายได้ราคาดีอีกด้วย

จากนั้นเธอก็เรียกหลิงหลงออกมา ให้นางแปลงร่างเป็นกริช เธอชำแหละกิ้งก่าอัคคีตรงจุดเดิมนั้นแล้วหาแก้วผลึกมนตราในสมองของมันจนพบ จากนั้นก็ตัดแยกเนื้อหนังของมันตามใจชอบ

ถึงแม้ว่าจะได้ของติดไม้ติดมือมาแล้วแต่ร่างกายของเธอก็เปรอะเปื้อนไปด้วยรอยเลือดเพราะเหตุนี้

กว่าจะทำสิ่งเหล่านี้เสร็จก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว เธอจึงทำอาหารกลางวันง่ายๆ กิน ยังกินไม่ทันเสร็จเสือดาวตัวหนึ่งก็เข้ามาเพราะกลิ่นคาวเลือด

เสือดาวตัวนี้มีระดับขั้นเดียวกันกับกิ้งก่าอัคคี แต่กลับว่องไวกว่ากิ้งก่าอัคคีมากมายนัก ความสามารถในการต่อสู้ก็สูงกว่าไม่น้อยเลย ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้พลังวิญญาณไปส่วนหนึ่งแล้วเมื่อเช้า จนถึงตอนนี้ก็ยังมิได้ฟื้นฟู ดังนั้นจึงเอาชนะเสือดาวได้อย่างยากลำบาก นอกจากนี้ยังถูกมันตะปบแขนในตอนท้าย ร่างกายก็ถูกกระแทกจนล้มลงบนพื้น แต่ก็ยังฆ่าเจ้านั่นตายได้ในตอนจบ

ต่อสู้กับสัตว์อสูรวิเศษถึงสองครั้งในวันเดียว ทั้งยังได้รับบาดเจ็บด้วย นี่ทำให้เธอรับรู้ถึงความสามารถในการต่อสู้อันแข็งแกร่งของสัตว์อสูรวิเศษเป็นครั้งแรก

แต่ถึงแม้ว่าเธอจะได้รับชัยชนะแล้ว แต่ร่างกายก็ยังอ่อนล้าเหลือทน เลือดบนแขนก็ยังไหลไม่หยุด เธอหยิบยาวิเศษภายในแหวนเก็บวัตถุออกมากิน แต่เพราะว่าเอายาวิเศษให้เจ้าอูหลิงอวี่ผู้นั้นกินไปแล้ว เธอจึงไม่อาจหายาวิเศษขั้นสูงกินได้ในขณะนั้น ก็ได้แต่หยิบออกมาส่งๆ ขวดหนึ่ง ดังนั้นผลลัพธ์จึงไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่นัก

เธอลุกขึ้นแล้วเก็บซากเสือดาวเข้าไปในมณีวิญญาณก่อนออกไปจากสถานที่ที่เพิ่งต่อสู้เสร็จหมาดๆ โชคดีที่มีแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เธอจึงชำระล้างคราบเลือดบนร่างกายที่ริมแม่น้ำนั้น หลังจากนั้นก็พักผ่อนอยู่นานพอสมควร รอให้บาดแผลคงตัวดีแล้วจึงค่อยเรียกย่ากวงออกมา

“เจ้านาย เมื่อครู่นี้อันตรายเหลือเกิน ท่านควรจะเรียกตัวพวกเราออกมาสิ” พอย่ากวงออกมาแล้วจึงพูดขึ้น

“อันตรายแค่นี้มิอาจนับเป็นอะไรได้หรอกน่า มิใช่รอยต่อความเป็นความตายเสียหน่อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“แต่ท่านได้รับบาดเจ็บนี่เจ้านาย” ย่ากวงพูดอย่างเจ็บปวดใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบหัวย่ากวงพลางพูดว่า “คนอยากจะพัฒนา ก็ต้องเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง ถ้าหากเพิ่งเริ่มต้นก็คิดจะอาศัยผู้อื่นแล้ว ตนเองก็คงยากที่จะพัฒนาได้”

ย่ากวงเงียบงันไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้านาย ข้าเข้าใจแล้ว”

“เอาละ วันนี้หมดแรงที่จะไปสู้กับใครแล้ว พวกเรากลับกันเถิด” พูดจบแล้วเธอก็ขึ้นไปนั่งบนหลังย่ากวงให้มันพาตนกลับไปยังแก่งหิน

เมื่อนึกย้อนไปถึงการต่อสู้เมื่อกลางวัน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่พอสมควร เธอค้นพบว่าตอนนี้เธอสามารถใช้พลังวิญญาณในร่างกายได้ดีกว่าเมื่อวานแล้ว ร่างกายที่ไม่ได้ต่อสู้มาเนิ่นนานก็โห่ร้องยินดี

แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รับรู้ได้ถึงข้อบกพร่องของร่างกายตนเอง ดังนั้นจึงได้รับบาดเจ็บในการต่อสู้

“ดูท่าทางจะมิได้ต้องการเพียงแค่การต่อสู้เท่านั้น แต่ยังต้องฝึกฝนร่างกายนี้ให้ดีๆ สักหน่อยด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็หลับตาลง

อูหลิงอวี่เดินไปมาในแก่งหินรอบหนึ่ง ตอนที่กลับมาก็เห็นว่าซือหม่าโยวเย่ว์หลับไปเรียบร้อยแล้ว

“ออกไปวันหนึ่ง ทั้งยังได้รับบาดเจ็บกลับมา วันนี้เจ้าออกไปทำอะไรมาทั้งวันกันแน่” อูหลิงอวี่พึมพำเสียงเบา

ตอนที่เขามาถึงข้างเตียง ซือหม่าโยวเย่ว์ที่เดิมทีหลับไปแล้วก็ลืมตาขึ้นมาในทันใด พอเห็นว่าเป็นเขาจึงหลับต่อไป

“ช่างเป็นเด็กที่ระมัดระวังตัวเหลือเกิน” อูหลิงอวี่ลอบรำพึงในใจ หลังจากนั้นก็ถอดรองเท้าแล้วมาที่ริมเตียงก่อนจะเอนตัวลงนอนด้วยกัน

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวันนี้ไม่ได้กินข้าว หรือเพราะกำลังคิดอยู่ว่าวันนี้เธอไปไหนมา เขาจึงมิอาจหลับลงได้ แต่ดูคล้ายว่าตนเองจะเคยชินกับการมีเจ้าเด็กผู้นี้อยู่ข้างกายเสียแล้ว ต่อให้นอนอยู่บนเตียงเดียวกันก็มิได้ผลักไสเหมือนก่อนหน้านี้

แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาวางความสูงส่งลง สัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่นเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป

ตั้งแต่เขาจำความได้ก็ราวกับดวงจันทร์ท่ามกลางหมู่ดาว ต่อมาก็กลายเป็นผู้วิเศษแห่งตำหนักผู้วิเศษที่มีสถานะสูงส่ง ไม่ว่าจะไปแห่งหนใดก็มีแต่คนคอยสรรเสริญและรักษามารยาทด้วยอยู่ตลอด

การที่ถูกคนช่วย กินอยู่หลับนอนเหมือนกับคนทั่วไป หรือแม้กระทั่งการรอคอยให้คนผู้หนึ่งกลับมา พูดได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีวันเวลาเช่นนี้มาก่อนเลย

บางทีสภาพแวดล้อมอาจแตกต่างกันกระมัง เขาคล้ายจะพูดกับตนเอง

วันต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ บาดแผลเมื่อวานก็ดีขึ้นไม่น้อยแล้วด้วยผลจากยาวิเศษ เธอออกไปทำอาหารเช้าแล้วยกเข้ามาเตรียมจะวางเอาไว้ให้อูหลิงอวี่ แต่กลับพบว่าเขาลุกขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว

“เหตุใดท่านจึงตื่นเช้าเช่นนี้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง

“นอนไม่หลับ ก็เลยลุกขึ้นมาเสียเลย” อูหลิงอวี่พูด “เจ้าทำอาหารเช้าเสร็จแล้วหรือ”

“อืม” ซือหม่าโยวเย่ว์วางอาหารลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านตื่นขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นก็กินด้วยกันเสียเลยแล้วกันนะ”

อูหลิงอวี่นั่งลงที่โต๊ะ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงวางสำรับอาหารเช้าของเขาลงตรงหน้า

เหมือนกับที่เขาคาดเอาไว้ อาหารเช้าวันนี้ก็แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อีกแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงตรงข้ามเขาแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวโดยไม่เอ่ยวาจา

อูหลิงอวี่มองดูท่าทีของซือหม่าโยวเย่ว์ ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะดูมีรูปลักษณ์เป็นบุรุษ แต่เขากลับรู้สึกว่าคนตรงหน้าคือภรรยาผู้แสนดีอย่างอธิบายไม่ถูก

ภรรยาหรือ เมื่อนึกขึ้นว่าตนมีความคิดไปถึงคำนี้ ในใจของเขาก็สั่นระรัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

……………………………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์โมโหอยู่บ้างจึงถลึงตาใส่อูหลิงอวี่อย่างมุ่งร้าย

อูหลิงอวี่เห็นแพขนตาของนางสั่นไหว ทันใดนั้นก็นึกถึงดวงตาอันเปี่ยมชีวิตชีวาและจริงจังคู่นั้นที่ตนเห็นตอนฟื้นขึ้นมา

“เจ้าทับถูกบาดแผลของข้าแล้วนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงบาดแผลบนร่างของเขาขึ้นมาจึงลุกขึ้นมาจากร่างเขาก่อนจะพูดว่า “ข้าเป็นบุรุษ ไม่มีความสนใจอันใดในตัวท่านหรอก ท่านรีบขยับเข้าไปข้างในให้ข้าเร็วเข้า”

คราวนี้อูหลิงอวี่มิได้พูดอะไรเพียงขยับเข้าไปข้างในเล็กน้อย

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอาหมอนอีกใบจากในแหวนเก็บวัตถุออกมาวางไว้ด้านนอกแล้วนอนตะแคงหลับตา ไม่สนใจอูหลิงอวี่อีกต่อไป

สตรีคนหนึ่งอย่างเธอยังนอนร่วมเตียงเดียวกันกับเขาโดยไม่สนใจอะไรได้เลย แต่เขายังคงอิดออดอยู่อย่างนั้น คิดดูแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดเหลือเกิน

อูหลิงอวี่สัมผัสได้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์โมโหเสียแล้ว เขาลูบบาดแผลบนท้องของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าการกระทำของเจ้าเด็กผู้นี้จะคล่องแคล่วถึงเพียงนั้น การโจมตีประชิดตัวเช่นนี้ ถ้าหากมิใช่เพราะประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชนของเขา เกรงว่าคงจะมิใช่คู่ต่อสู้ของนางแน่

เมื่อนึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับนาง ก่อนหน้านี้นางเป็นคนไร้ค่าจริงๆ น่ะหรือ

ถ้าหากข่าวลือทั้งหมดก่อนหน้านี้เป็นเท็จ เช่นนั้นนางก็ซ่อนเร้นเอาไว้ได้ลึกล้ำเกินไปเสียแล้ว

ท่าทีที่นางตะคอกใส่ตนเมื่อครู่นั้นก็ช่างทรงพลังยิ่งนัก

แต่ทุกครั้งที่เห็นเธอปลอมเป็นบุรุษ เขาก็รู้สึกขบขันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อนึกถึงคำพูดที่บอกว่าไม่สนใจในตัวท่านประโยคนั้นแล้ว รวมทั้งประกายสุกใสในดวงตาตอนที่เอ่ย เขาก็ลูบใบหน้าตัวเองโดยไม่รู้ตัว

ขณะที่ตนอยู่ที่โลกเบื้องบน ไม่ว่าจะไปแห่งหนใดก็ล้วนเป็นจุดสนใจของโลกทั้งสิ้น หญิงสาวจำนวนไม่น้อยแสดงกิริยามารยาทต่างๆ นานากับเขาแต่เก็บซ่อนความรู้สึกในใจเอาไว้

ถึงแม้ว่าเขาจะชมชอบหรือแม้กระทั่งรังเกียจหญิงสาวเหล่านั้นก็ตาม ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็คิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ที่เขามาถึงที่นี่แล้วถูกเด็กสาวคนหนึ่งตะคอกเสียงดังใส่ว่าไม่สนใจเสียอย่างนั้น

ถึงแม้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะหลับไปแล้วแต่ก็ยังใช้ให้พวกเจ้าคำรามน้อยคอยสังเกตสถานการณ์อูหลิงอวี่เผื่อเอาไว้ด้วย

ทุกครั้งที่เข้านอนเธอก็กลัวอยู่ตลอดว่าจะฝันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อีกครั้ง แต่เธอก็อยากจะฝันถึงอีก แต่คราวนี้กลับหลับสนิทไร้ซึ่งความฝันจนฟ้าสว่าง

ดึกมากแล้วอูหลิงอวี่จึงค่อยหลับ ข้างกายมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นอิสตรีผู้หนึ่งอีกด้วย นี่ทำให้เขาไม่สบายเนื้อตัวเอาเสียเลย จนกระทั่งถึงครึ่งหลังของคืนแล้วจึงค่อยหลับลงได้

เช้าวันต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วมองอูหลิงอวี่ที่ยังหลับอยู่แวบหนึ่ง เธอเดินไปข้างนอกเบาๆ เพื่อทำของกินเล็กๆ น้อยๆ หลังจากนั้นก็เข้ามาเงียบๆ แล้ววางกับข้าวลงบนโต๊ะก่อนจะเดินออกไป

อูหลิงอวี่รอให้ซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปแล้วค่อยลืมตาขึ้น ก่อนจะตะแคงตัวพลางใช้มือหนุนศีรษะ เมื่อมองเห็นข้าวปลาอาหารที่เตรียมเอาไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้วก็ยิ้มออกมาในทันใด

เขาลุกขึ้นจากเตียงมานั่งลงที่โต๊ะก่อนจะพูดว่า “เจ้าเด็กผู้นี้ยังคิดว่าผู้อื่นต้องกินอาหารวันละสามมื้อไม่ขาดเหมือนนางจริงๆ สินะ!”

เขานั่งลงกินโจ๊กสองคำแล้วพูดว่า “เจ้าเด็กผู้นี้ทำอาหารแปลกใหม่ไม่ซ้ำมื้อ นางไปสรรหาสิ่งแปลกใหม่มากมายถึงเพียงนั้นมาจากที่ใดกัน แต่รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ”

อูหลิงอวี่คิดว่าคราวนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ก็คงจะออกไปเดินเล่นแล้วกลับมาเหมือนเคย แต่การรอคอยในครั้งนี้กลับยาวนานกว่าครึ่งค่อนวันเสียแล้ว

หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากถ้ำในตอนเช้าแล้วก็เรียกย่ากวงออกมา

“เจ้านาย ภายในมณีวิญญาณช่างล้ำเลิศยิ่งนัก!” พอย่ากวงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็พูดขึ้นอย่างตื่นเต้น

“เย่ว์เย่ว์ ตั้งแต่เจ้านี่เข้าไปจนถึงตอนที่ออกมาเมื่อครู่นี้ก็กระโดดโลดเต้นอยู่ภายในมณีวิญญาณมาโดยตลอด ตื่นเต้นเหลือเกินเลยทีเดียว” เจ้าคำรามน้อยหมอบลงบนหัวของย่ากวงพลางรายงานให้ซือหม่าโยวเย่ว์ฟัง

“ก็ผู้อื่นเพิ่งจะเคยเห็นสถานที่อันยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นเป็นครั้งแรกนี่นา ก็ต้องตื่นเต้นอยู่แล้วสิ” ย่ากวงพูดอย่างละอายใจอยู่บ้าง

“ถึงอย่างไรต่อจากนี้ไปหากไม่มีเรื่องอันใดพวกเจ้าก็ต้องอยู่ภายในนั้นตลอด เคยชินก็ดีแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะออกไปที่บริเวณรอบนอกโดยปลอดภัยได้อย่างไร”

“เจ้านายอยากจะออกไปหาสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำเพื่อยกระดับความสามารถในการต่อสู้ที่แท้จริงอย่างนั้นหรือ” ย่ากวงถาม

“อืม ตอนนี้พลังยุทธ์ของข้ายังไม่เพียงพอ ทักษะวิญญาณที่ทำได้ก็ยังไม่มากนัก เลยอยากจะเริ่มฝึกฝนจากสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำที่สุดก่อนน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“บริเวณรอบนอกของที่นี่ไม่มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยอยู่ก็จริง แต่มีเจ้าคำรามน้อยอยู่ พอพบสัตว์อสูรเทพเข้าก็ปลดปล่อยพลังคุกคามในตัวออกมา พวกมันก็ต้องหลบซ่อนอยู่ห่างๆ อย่างแน่นอน รอให้ไปถึงรอบนอกแล้วก็ค่อยให้เจ้าคำรามน้อยเก็บพลังคุกคามไปเสียก็ใช้ได้แล้ว” ย่ากวงพูด

“เช่นนี้พวกเราก็ไปกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้านาย จากที่นี่ไปถึงรอบนอกก็ยังไกลนัก ท่านขี่ข้าไปดีกว่า ข้าจะพาท่านออกไปเอง” ย่ากวงพูดแล้วร่างกายก็สั่นไหว ขยายขนาดใหญ่ขึ้นไม่น้อย

เมื่อสัตว์อสูรวิเศษไปถึงระดับสัตว์อสูรทิพย์ขึ้นไปก็จะแปลงกายเป็นร่างจำแลงได้ ก่อนหน้านี้ย่ากวงก็อยู่ในรูปของร่างจำแลงมาโดยตลอด

ซือหม่าโยวเย่ว์พลิกตัวขึ้นไปอยู่บนร่างของย่ากวงแล้วพูดว่า “พวกเราไปกันเถิด”

ย่ากวงได้รับคำสั่งแล้วก็พาซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งมุ่งหน้าไปยังรอบนอกโดยมีพลังคุกคามของเจ้าคำรามน้อยเปิดทางให้ตลอดทาง พวกเธอจึงไปถึงรอบนอกของเทือกเขาผู่สั่วอย่างรวดเร็ว

พวกเธอหยุดลงที่ยอดเขาแห่งหนึ่ง เพราะย่ากวงไม่สามารถปลดปล่อยและเก็บงำพลังคุกคามของตนได้ดังใจเหมือนเจ้าคำรามน้อย ซือหม่าโยวเย่ว์จึงกลัวว่าหากมีมันอยู่สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำเหล่านั้นก็อาจจะไปหลบซ่อนตัวกันหมด จึงได้เก็บตัวมันเข้าไปไว้ภายในมณีวิญญาณ เหลือเอาไว้เพียงแค่เจ้าคำรามน้อยอยู่เป็นเพื่อนตนข้างนอก

เทือกเขาผู่สั่วมีสัตว์อสูรวิเศษอยู่มากมายจริงๆ พวกเธอเพิ่งจะลงมาจากยอดเขาลูกนั้นก็พบกับกิ้งก่าอัคคีตัวหนึ่งเข้าเสียแล้ว

“เย่ว์เย่ว์ นั่นคือสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นสามตนหนึ่ง ตอนนี้พลังยุทธ์ของเจ้าต่อสู้กับมันได้” เจ้าคำรามน้อยมองระดับขั้นของกิ้งก่าอัคคีออกแล้วจึงเอ่ยขึ้น

“เป็นธาตุไฟเหมือนกันเลย ทดสอบว่าพลังวิญญาณธาตุไฟของข้าเป็นอย่างไรได้พอดีเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

กิ้งก่าอัคคีมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แล้วสองตาก็เปล่งประกายในทันใด นึกอยากจะจับเธอกินราวกับสุนัขมองเห็นแท่งกระดูกอย่างไรอย่างนั้น

เพราะว่าบนร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ไม่มีระลอกคลื่นพลังวิญญาณอยู่ ดังนั้นกิ้งก่าอัคคีก็ย่อมเห็นเธอเป็นคนธรรมดาอยู่แล้ว ในตอนแรกก็มิได้คิดจะใช้พลังวิญญาณโจมตีเธอเลย หากแต่ตวัดหางยาวเหยียดของตนเข้ามา

ไม่พูดไม่ได้ว่าสัตว์อสูรวิเศษเหล่านี้ล้วนมีรูปลักษณ์อันแข็งแกร่ง กิ้งก่าอัคคีตนนั้นก็เพียงแค่ตวัดหางอย่างสุ่มๆ เท่านั้น ก้อนหินก้อนที่ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่เมื่อครู่ก้อนนั้นก็ถูกฟาดเสียจนเป็นรอยหลายรอย

“ช่างมีพละกำลังยิ่งใหญ่เหลือเกิน!” หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนที่อีกฝั่งหนึ่งอย่างมั่นคงแล้วก็มองดูรอยแผลบนก้อนหินด้วยความตื่นตะลึงเล็กน้อย “ดูท่าทางสัตว์อสูรวิเศษจะมีร่างกายอันแข็งแกร่งไม่เลวเลยทีเดียว”

เมื่อพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งเธอก็ตื่นเต้นเป็นพิเศษ ในเมื่อพละกำลังของมันมากมายเช่นนั้น และร่างกายมนุษย์ก็ค่อนข้างเปราะบาง เธอก็ย่อมต้องใช้ประโยชน์จากจุดแข็งและหลีกเลี่ยงจุดอ่อน

“ข้ายังไม่เคยใช้พลังวิญญาณสู้กับผู้อื่นมาก่อนพอดีเลย เจ้าก็มาเป็นสัตว์ทดลองตัวแรกให้ข้าก็แล้วกัน” พูดแล้วเธอก็เริ่มรวบรวมพลังวิญญาณภายในร่างกายให้พวกมันมารวมตัวกันอยู่ในฝ่ามืออย่างช้าๆ

กิ้งก่าอัคคีมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์กำลังเริ่มต้นรวบรวมพลังวิญญาณจึงส่งเสียงดังลั่นแล้วใช้หางฟาดลงมาทางเธออีกครั้ง คล้ายกับจะตัดตอนการกระทำของเธอ

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นการเคลื่อนไหวของกิ้งก่าอัคคีจึงรีบเบี่ยงตัวหลบไปที่อีกฟากหนึ่ง หลบเลี่ยงการโจมตีได้อย่างหวุดหวิด

ถ้าหากเป็นคนธรรมดาทั่วไปแล้วถูกโจมตีเช่นนี้ก็จะต้องถูกขัดขวางอย่างแน่นอน ก็เหมือนกับเมิ่งถิงบนเวทีประลองเมื่อคราวก่อนที่โยนลูกพลังวิญญาณออกมาก่อนเวลาเพราะเห็นตนพุ่งเข้าไปนั่นเอง

ทว่าถึงแม้เธอจะชะงักไปชั่วขณะ แต่กลับรวบรวมพลังวิญญาณในมือต่อไปโดยมิได้หยุดลงกลางคัน

เมื่อพลังวิญญาณเพิ่มพูนขึ้น ลูกพลังวิญญาณก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามไปด้วย เธอสัมผัสได้ถึงพลังที่แบกรับอยู่บนมือของตนแล้ว ซึ่งให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากการหันปากกระบอกปืนใส่ผู้อื่นเมื่อชาติก่อน พลังเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกว่าตนเองเปิดแผ่นฟ้าแยกผืนดินได้ตลอดเวลาก็มิปาน

ในปากของกิ้งก่าอัคคีก็มีลูกไฟสีแดงลูกหนึ่งก่อตัวขึ้นมาเช่นกัน ในขณะที่มันโยนลูกไฟเข้าใส่ซือหม่าโยวเย่ว์นั้นเธอก็ซัดลูกพลังวิญญาณในมือออกไปเช่นกัน ทั้งสองปะทะกันกลางอากาศแล้วส่งเสียงคล้ายกับระเบิดขึ้นมา

……………

Related

ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปถึงถ้ำ อูหลิงอวี่กำลังนั่งอยู่ เมื่อรู้สึกได้ว่าเธอกลับมา เขาก็ออกจากการเข้าฌาน

“เจ้ากลับมาแล้วหรือ รู้หรือไม่ว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกัน” อูหลิงอวี่มองซือหม่าโยวเย่ว์พลางถามขึ้น

“ท่านไม่รู้หรือว่าพวกเราอยู่ที่ไหน ท่านมิได้มาถึงที่นี่ด้วยตัวเองหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ข้ารู้เพียงแค่ว่าข้ามาถึงยังเทือกเขาผู่สั่วแล้ว ทว่าต่อมาเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย ข้าก็เลยไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนแล้ว” อูหลิงอวี่พูด

“พวกเราอยู่ที่ชั้นในสุดของเทือกเขาผู่สั่ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ดีร้ายอย่างไรข้าก็ถูกส่งตัวมาถึงที่นี่ แต่ท่านเตร็ดเตร่อยู่ชั้นในสุดคนเดียว แต่กลับไม่ถูกสัตว์อสูรทิพย์ฆ่าทิ้ง ช่างโชคดีเสียจริง!”

“ที่แท้ก็อยู่ที่ชั้นในสุดแล้วนี่เอง” อูหลิงอวี่เอ่ยพึมพำ “เจ้าอยู่ที่นี่มานานถึงเพียงนี้ เพราะเหตุใดจึงไม่มีสัตว์อสูรวิเศษมารังควานเจ้าเลยเล่า พวกมันชิงชังมนุษย์ออกจะตายไป”

ซือหม่าโยวเย่ว์ตกตะลึง เมื่อนึกถึงว่าตลอดเวลาที่ตนอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ก็ไม่มีสัตว์อสูรวิเศษเข้ามาเลย ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าเพราะที่นี่ไม่มีสัตว์อสูรวิเศษ แต่ย่ากวงก็บอกแล้วว่าที่นี่มีสัตว์อสูรเทพอยู่

หรือเป็นเพราะว่าเพลิงชาดอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่มีหลุดเข้ามาเลยอย่างนั้นหรือ

เธอรู้ว่าระดับขั้นที่โลกของสัตว์อสูรวิเศษนั้นเคร่งครัดเป็นอย่างยิ่ง ดูจากปฏิกิริยาของเจ้าคำรามน้อยที่ทำพันธสัญญาเลื่อนระดับกับตนแล้ว เพลิงชาดจะต้องเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่ล้ำเลิศอะไรสักอย่างแน่นอน กลิ่นอายที่มันแผ่ออกมาจึงทำให้สัตว์อสูรเทพรู้สึกหวาดกลัวได้ ด้วยเหตุนี้จึงอยู่ห่างจากแก่งหินแห่งนี้

แม้กระทั่งสัตว์อสูรเทพยังหวาดกลัว ซือหม่าโยวเย่ว์อดคิดไม่ได้ว่าที่แท้แล้วเธอทำพันธสัญญากับสัตว์ประหลาดอันใดกันแน่

อูหลิงอวี่เห็นท่าทีครุ่นคิดของซือหม่าโยวเย่ว์จึงเอ่ยว่า “เจ้ารู้เหตุผลอย่างนั้นหรือ”

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่พูด “อย่าลืมสิว่าข้าเป็นเพียงแค่คนไร้ค่า ไม่เข้าใจอะไรพวกนี้สักเท่าไหร่นักหรอก”

“เจ้ามิได้บอกว่าข่าวลือเชื่อถือมิได้หรอกหรือ” อูหลิงอวี่พูด

“ไม่อาจเชื่อถือได้ จะไม่เชื่อเลยก็ไม่ได้เช่นกัน ท่านไม่เคยได้ยินคำพูดนี้หรืออย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบ

เมื่อนึกถึงว่ามีเขาอยู่ เธอก็ต้องเป็นผู้ที่ไม่อาจบำเพ็ญได้อย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็หยิบหม้อใบหนึ่งออกมาเตรียมทำอาหารเย็น

“เจ้ามิได้เพิ่งกินข้าวไปหรอกหรือ” อูหลิงอวี่พูด

ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองเขาปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “มิใช่ว่าท่านกับเจ้าคำรามน้อยกินกันไปเป็นส่วนใหญ่หรอกหรือ ตอนนี้ก็ใกล้จะค่ำแล้ว ก็ย่อมถึงเวลากินอาหารมื้อเย็นแล้วสิ”

พูดจบแล้วเธอก็หยิบข้าวของออกมา เธอมองดูสภาพแวดล้อมที่ปิดสนิทแล้วก็เก็บข้าวของกลับเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุ พอมาถึงด้านนอกถ้ำแล้วค่อยหยิบออกมาใหม่

อูหลิงอวี่ครุ่นคิดแล้วลงจากเตียงมายังนอกถ้ำ ก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์หุงข้าวทำอาหารอย่างเชี่ยวชาญ

“เจ้าอยู่บ้านก็เป็นเช่นนี้หรือ” เขาถามเสียงดัง

เคยได้ยินแต่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ด้านการเป็นคนไร้ค่าของนาง แต่ไม่เคยรู้เลยว่านางก็ทำอาหารได้อย่างเชี่ยวชาญถึงเพียงนี้ หรือพูดได้ว่าอาหารที่นางทำนั้นยังอร่อยกว่าโรงเตี๊ยมหรือห้องอาหารใหญ่ๆ ทั่วไปเสียอีก

“นับว่าใช่ก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองเขาปราดหนึ่ง ยาวิเศษของโลกแห่งนี้ช่างล้ำเลิศนัก อย่างบาดแผลบนท้องของเขานี้ถ้าหากอยู่ในชาติก่อน ถึงอย่างไรก็ต้องนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงหลายเดือน แต่เขาหายดี เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ลงจากเตียงได้แล้ว

อูหลิงอวี่พิงร่างกับผนังปากถ้ำโดยไม่เอ่ยวาจา เพียงแค่มองดูซือหม่าโยวเย่ว์ทำอาหาร หรือบางทีก็มองม่านราตรีของเทือกเขาผู่หลัว

ซือหม่าโยวเย่ว์ทำอาหารเสร็จแล้วจึงจัดเป็นสองสำรับวางลงบนโต๊ะก่อนจะพูดว่า “ดูเหมือนว่าคนที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งอย่างพวกท่านจะไม่กินข้าวกันสักเท่าไหร่ ถ้าท่านไม่อยากกินก็วางเอาไว้ตรงนั้นเถิด”

“ถึงแม้ว่าจะไม่รู้สึกหิว แต่พอเห็นเจ้าทำอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ข้าก็อยากจะชิมดูสักหน่อยเหมือนกัน”

แสงจันทร์กระจ่างดุจน้ำใส คนทั้งสองนั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะกลางแจ้ง มีเสียงคำรามของสัตว์อสูรวิเศษเป็นดนตรีประกอบให้พวกเขาเป็นระยะๆ

เพราะเวลาก็มืดค่ำแล้ว เธอจึงทำเพียงแค่ตุ๋นโจ๊กและผัดกับข้าวสองจานเล็กเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นอาหารที่เรียบง่าย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับรสชาติของโลกแห่งนี้แล้วย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ทำให้คนที่มิได้มีความสนใจในการกินอาหารแต่อย่างใดมาโดยตลอดอย่างเขาอดที่จะเติมชามที่สองมิได้

ซือหม่าโยวเย่ว์กินหมดแล้วก็วางชามลงบนโต๊ะพลางมองอูหลิงอวี่แล้วพูดว่า “ท่านล้างจานนะ”

“ให้ข้าล้างจานอย่างนั้นหรือ” อูหลิงอวี่สงสัยว่าหูของตนมีปัญหาหรือไม่ ตั้งแต่เล็กจนโต แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยทำเรื่องพรรค์นี้มาก่อนเลย แต่ตอนนี้มดปลวกที่โลกเบื้องล่างคนหนึ่งซึ่งเพียงแค่เขายื่นมือออกไปก็บี้ตายได้แล้วกลับใช้ให้เขาล้างจานอย่างนั้นหรือ!

“ใช่แล้ว ข้าทำกับข้าว ท่านก็ต้องล้างจานน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมีเหตุมีผล

“เจ้าอย่าลืมสิ ข้าก็เท่ากับว่าเป็นนายจ้างของเจ้านะ ข้าให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าเพื่อรับค่าตอบแทนอย่างไรล่ะ” อูหลิงอวี่พูดอย่างเรียบเรื่อย

“ท่านบอกว่าจะให้ยาวิเศษเลื่อนระดับข้าสองเม็ด แต่ถ้าหากถึงเวลาแล้วท่านกลับคำจะทำเช่นไรเล่า ท่านให้ค่าตอบแทนข้าก่อนครึ่งหนึ่งสิ เช่นนั้นข้าจึงจะแน่ใจในความสัมพันธ์ฉันนายจ้างของพวกเราได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพร้อมกับยื่นมือไปตรงหน้าอูหลิงอวี่

อูหลิงอวี่มองดูมือเล็กตรงหน้าที่ดูเรียบเนียนดุจหยกภายใต้แสงจันทร์ระยิบระยับ ทันใดนั้นเขาก็มีความคิดเล็กๆ ผุดขึ้นมาว่าหากกุมมือนี้เอาไว้ในมือของตนจะให้ความรู้สึกเช่นไร

ทว่าแต่ไหนแต่ไรเขามิได้มีความรู้สึกไวต่ออิสตรี ความคิดก็ผ่านมาเพียงแค่ชั่ววูบเท่านั้น จากนั้นความคิดของเขาก็วูบไหวคราหนึ่ง ขวดหยกเล็กๆ ใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในอุ้งมือของเขา เขาวางขวดหยกเอาไว้ในมือซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในถ้ำ

ซือหม่าโยวเย่ว์เปิดขวดยาแล้วลองดมดูก็มีกลิ่นหอมจางๆ โชยออกมา

“เจ้าวิญญาณน้อย” เธอส่งเสียงเรียก

“ว่าอย่างไร” เจ้าวิญญาณน้อยรับคำ

“ในเมื่อเจ้านายคนก่อนของเจ้าเคยมีปรมาจารย์หลอมยาอยู่ด้วย เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้จักยาวิเศษเลื่อนระดับกระมัง เจ้าช่วยข้าดูหน่อยสิว่าสิ่งนี้ใช่ยาวิเศษเลื่อนระดับหรือไม่” พูดจบแล้วเธอก็เก็บขวดหยกเข้าไปไว้ภายในมณีวิญญาณ

เจ้าวิญญาณน้อยหยิบขวดหยกมาเปิดดูคราหนึ่งแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ทั้งยังเป็นยาวิเศษชั้นยอดอีกด้วย”

“เช่นนั้นก็ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังคำตอบของเจ้าวิญญาณน้อยแล้วจึงเดินไปล้างจานอย่างมีความสุข

หลังจากเธอจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอก็ไปเดินย่อยภายในแก่งหินรอบหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยกลับมายังถ้ำ

อูหลิงอวี่เอนกายงีบหลับอยู่บนเตียง เขารู้สึกว่ามีเงาสายหนึ่งทาบทับลงมาจึงลืมตาขึ้นแล้วถามว่า “เจ้าทำอะไรน่ะ”

“ท่านขยับเข้าไปนอนข้างในหน่อยสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ทำไมหรือ” อูหลิงอวี่ถาม

“ข้าจะนอน ท่านนอนอยู่ตรงกลางพอดี ยึดทั้งเตียงเอาไว้คนเดียวเลยนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วก็นั่งลงบนเตียงก่อนจะก้มลงไปถอดรองเท้า

“ไม่ได้หรอก” อูหลิงอวี่ปฏิเสธ

“เพราะเหตุใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นพลางมองอูหลิงอวี่อย่างไม่เข้าใจ

“ข้าไม่เคยชินกับการนอนกับผู้อื่น” อูหลิงอวี่พูด

“ข้าก็ไม่ชอบนอนกับผู้อื่นเช่นกัน แต่นี่คือเตียงของข้า และข้าก็มีเตียงแค่หลังนี้หลังเดียวด้วย ขอถามหน่อยเถิดว่าท่านมีเตียงหรือไม่”

“ไม่มี” อูหลิงอวี่พูด

ในยามปกติเสื้อผ้าอาหารและของกินของใช้ของเขาล้วนมีคนจัดเตรียมให้ทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องให้เขามาจัดแจงเองเลย ดังนั้นเขาก็ย่อมมิได้คิดจะนำของอย่างเตียงมาด้วยอยู่แล้ว

“เช่นนั้นก็แล้วกันไป” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนนี้มีเตียงอยู่หลังเดียว หากไม่นอนด้วยกันแล้วข้าจะไปนอนที่ไหน หรือว่าท่านจะคืนเตียงให้ข้ากันล่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ถอดรองเท้าทิ้งไปแล้วก็เห็นว่าอูหลิงอวี่ยังไม่ขยับเขยื้อน จึงเข้าไปผลักเขาอย่างแรง

“อูหลิงอวี่ นี่มันเตียงของข้านะ!”

“แต่ตอนนี้เป็นของข้าแล้ว” อูหลิงอวี่พูดหน้าตาเฉย เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์สัมผัสตน เขาจึงตีมือของซือหม่าโยวเย่ว์โดยสัญชาตญาณ

ปฏิกิริยาตอบสนองของซือหม่าโยวเย่ว์เปลี่ยนมือเป็นมีดฟันไปทางอูหลิงอวี่ การผลักกันของทั้งคู่เปลี่ยนกลายเป็นทุบตีกันอุตลุดแทน

แต่ละกระบวนท่าของซือหม่าโยวเย่ว์รวดเร็วและแม่นยำ ส่วนอูหลิงอวี่เองก็ไม่เป็นรองเลย ถึงแม้ว่าจะนอนอยู่ก็ยังสู้ได้สูสีกันกับซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าคงเอาชนะเขาไม่ได้ สองมือออกแรงแล้วพุ่งตัวเข้าไปทับอยู่บนร่างของอูหลิงอวี่ เมื่อเห็นสีหน้าดำทะมึนของเขาก็คำรามว่า “ท่านเป็นชายแท้หรือผิดเพศกันแน่! บุรุษตัวโตสองคนนอนเตียงเดียวกันแล้วจะเป็นอย่างไร ท่านต้องไม่พอใจใหญ่โตถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”

……………………

Related

“เล่ห์กลหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อมั่น

เธอค้นพบแล้วว่าเจ้านี่มิอาจไว้ใจได้ มันมิได้ชี้แนะเธอไปสู่ความคิดที่ดีแต่อย่างใดเลย

“ที่ข้าพูดเป็นความจริงนะ!” เจ้าคำรามน้อยเอ่ยทัดทาน

“เช่นนั้นเจ้าลองพูดมาสิว่าเจ้ามีความคิดอันใด” ซือหม่าโยวเย่ว์สัมผัสได้ถึงหัวใจที่ผิดหวังอยู่บ้างของเจ้าคำรามน้อยจึงพูดขึ้น

“อ่าฮะ อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็มีวิธีการที่ไม่ต้องฝึกให้เชื่องแต่ทำพันธสัญญาได้อยู่นะ” เจ้าคำรามน้อยพูด

“ไม่ฝึกให้เชื่องก็ทำพันธสัญญาได้อย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง “ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

“เจ้าไม่เคยได้ยินก็เป็นเรื่องปกติยิ่งนัก” เจ้าคำรามน้อยพูด “เดิมทีสัตว์อสูรวิเศษก็ขับไสไล่ส่งมนุษย์กันเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว อยากจะให้พวกมันเริ่มยอมรับเป็นเจ้านายก่อนนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว บวกกับที่มันยังเป็นวิธีการโบราณอย่างหนึ่งด้วย ดังนั้นพวกมันก็ย่อมไม่รู้กันอยู่แล้ว”

“เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าลองคิดดูสิว่าไข่ฟองนั้นก็มิได้เริ่มทำพันธสัญญากับเจ้าก่อนหรอกหรือ” เจ้าคำรามน้อยพูด

“ใช่แล้ว! หากเจ้าไม่พูดข้าก็ลืมไปแล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยแล้วพูดว่า “เจ้าค้นพบมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วใช่หรือไม่ แต่เจ้ากลับมิได้รู้สึกประหลาดใจเลย ดังนั้นเจ้าก็คงรู้แล้วว่าเจ้าไข่ฟองนั้นคือสิ่งใดใช่หรือไม่”

เจ้าคำรามน้อยคิดไม่ถึงว่ามันเพิ่งจะเกริ่นขึ้นมาเพียงประโยคเดียวซือหม่าโยวเย่ว์ก็ค้นพบเข้าเสียแล้ว มันตบศีรษะตัวเองเบาๆ แล้วพูดว่า “เรื่องนั้น พี่ใหญ่เพลิงชาดพูดเอาไว้ว่ามิอาจบอกเจ้าได้ ไอ้หยา เย่ว์เย่ว์ เจ้าอย่าได้ถามเรื่องนี้อีกเลยนะ ที่ไม่บอกเจ้าก็เพื่อประโยชน์ของเจ้าเองนั่นแหละ”

“อืม ข้าเข้าใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีหงุดหงิดของเจ้าคำรามน้อยแล้วก็ไม่อยากทำให้มันต้องลำบากใจ ในเมื่อมันกับเพลิงชาดต่างก็บอกเอาไว้ว่าเพื่อประโยชน์ของตัวเธอเอง เช่นนั้นเธอก็จะไม่ถามอีกต่อไปแล้ว “แต่วิธีการที่เจ้าบอกก็คือการริเริ่มยอมรับเป็นเจ้านายอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว” เจ้าคำรามน้อยพยักหน้า

“พี่ใหญ่ แต่ข้าไม่รู้ว่าจะเริ่มยอมรับเป็นเจ้านายได้อย่างไร” เสือกรงเล็บเหล็กพูด

“ไม่เป็นไร พี่ใหญ่จะสอนเจ้าเอง” เจ้าคำรามน้อยพูดพลางตบหลังของเสือกรงเล็บเหล็กเบาๆ

“แต่เจ้าก็บอกว่าสัตว์อสูรวิเศษในปัจจุบันไม่รู้วิธีการเริ่มทำพันธสัญญา แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“แน่นอนว่าก็ต้องเป็นสิ่งที่สืบทอดต่อกันมาน่ะสิ!” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างลำพองใจ “อย่าลืมสิว่าข้าเป็นถึงสัตว์อสูรเทพโบราณ พวกเรามีสิ่งที่สืบทอดต่อกันมา ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ แต่ภายในสิ่งที่สืบทอดต่อกันมานั้นมีวิธีการอยู่”

พูดจบแล้วเจ้าคำรามน้อยก็หลับตาลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานมันก็ลืมตาขึ้นมาแล้วพูดว่า “หาพบแล้ว!”

เห็นเพียงว่ามันก้มตัวลงข้างหูเสือกรงเล็บเหล็กแล้วพูดอะไรหลายประโยค จากนั้นก็พูดว่า “เจ้าเพียงแค่ท่องไม่กี่ประโยคนั้นก็ใช้ได้แล้วล่ะ”

“ได้เลยพี่ใหญ่” เสือกรงเล็บเหล็กพยักหน้า หลังจากที่เจ้าคำรามน้อยจากไปแล้วก็เริ่มต้นท่องสิ่งที่เจ้าคำรามน้อยพูดออกมา

ดูคล้ายว่าจะท่องภาษาสัตว์ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงฟังไม่เข้าใจเลยแม้แต่ประโยคเดียว แต่ระหว่างเธอกับเจ้ากรงเล็บเหล็กก็มีสายใยแห่งการทำพันธสัญญาปรากฏขึ้นตามคำที่ท่องออกมา

เสือกรงเล็บเหล็กหมอบลงแสดงถึงความจงรักภักดีของตน

“เย่ว์เย่ว์ วางมือของเจ้าลงบนหน้าผากของมันเสีย” เจ้าคำรามน้อยเอ่ยเตือนอยู่ข้างๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวขึ้นไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้ววางมือของตนลงบนหัวของเสือกรงเล็บเหล็ก ได้ยินมันพูดว่า “ข้ายอมรับซือหม่าโยวเย่ว์เป็นเจ้านาย เป็นสัตว์อสูรที่ทำพันธสัญญากับนาง จากนี้ไปจะปกป้องคุ้มครองนาง ไม่หนีห่าง ไม่ทอดทิ้ง ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าปรารถนาจะทำพันธสัญญากับข้าหรือไม่”

“ข้าปรารถนา” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ

พอเธอพูดจบ สายใยแห่งการทำพันธสัญญาที่อยู่เบื้องล่างของพวกเขาก็เริ่มเปล่งประกายขึ้นมา ลำแสงโอบล้อมทั้งสองเอาไว้ จากนั้นค่อยๆ หดเล็กลงอย่างช้าๆ แล้วแยกจากหนึ่งเป็นสองเข้าไปภายในร่างของทั้งคู่

“เจ้านาย!” เสือกรงเล็บเหล็กสัมผัสได้ถึงสายสัมพันธ์ระหว่างมันกับซือหม่าโยวเย่ว์ จึงตะโกนเรียกเสียงหนึ่งอย่างตื่นเต้น

“ฮ่าๆ ทำพันธสัญญาแล้วจริงๆ ด้วย!” ซือหม่าโยวเย่ว์ย่อตัวลงแล้วโอบคอของเสือกรงเล็บเหล็กเอาไว้

“ฮ่าๆ ข้าก็บอกแล้วอย่างไรเล่า ว่าทำพันธสัญญาได้!” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างลำพองใจ

“อืม คราวนี้ยกความดีความชอบให้เจ้าแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เสือกรงเล็บเหล็กสัมผัสได้ผ่านการทำพันธสัญญาว่าซือหม่าโยวเย่ว์มิได้มีเพียงแค่สัตว์อสูรเทพโบราณอย่างเจ้าคำรามน้อยเท่านั้น แต่ยังมีสัตว์อสูรที่ร้ายกาจยิ่งกว่าทำพันธสัญญาอยู่ด้วย มันเพียงแค่รับสัมผัสครั้งหนึ่งเท่านั้นก็ถูกพลังคุกคามที่มันแผ่ออกมาทำเอาตกใจจนตัวสั่นสะท้าน

“นั่นต่างหากจึงจะเป็นพี่ใหญ่ที่แท้จริง แต่มันกำลังหลับอยู่ในห้วงนิทรา เจ้าก็อย่าไปรบกวนมันเลย” เจ้าคำรามน้อยเอ่ยเตือน

“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” เสือกรงเล็บเหล็กพูด หัวใจส่งเสียงบอกว่าตนเลือกเจ้านายได้ถูกคนแล้วจริงๆ

“เจ้ามีชื่อหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางลูบหัวเสือกรงเล็บเหล็ก

“ไม่มี ตอนที่ข้าเกิดมาบิดามารดาก็ตายไปหมดแล้ว ตอนข้าอยู่ในฝูงเสือก็ไม่ได้รับความสนใจใดๆ มาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่เคยมีใครตั้งชื่อให้ข้ามาก่อน ต่อมาก็ยังถูกขับไล่ออกมาอีก” เสือกรงเล็บเหล็กพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์เกาคอให้เสือกรงเล็บเหล็กแล้วเอ่ยว่า “อย่าได้คิดมากไปเลยนะ ต่อจากนี้เจ้าก็อยู่กับพวกเรา พวกเราก็คือครอบครัวเดียวกัน ในเมื่อเจ้าไม่มีชื่อ เช่นนั้นเจ้าก็ชื่อว่าย่ากวงก็แล้วกันนะ”

“ขอบคุณเจ้านาย” ย่ากวงพูดพลางคลอเคลียกับมือของซือหม่าโยวเย่ว์

“ย่ากวง ต่อจากนี้ข้าจะฝึกยุทธ์ที่เทือกเขาผู่สั่วไปอีกหลายวัน จะต้องหาสัตว์อสูรวิเศษระดับค่อนข้างต่ำมาเป็นคู่ต่อสู้จำนวนหนึ่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ไหนมีสัตว์อสูรวิเศษระดับค่อนข้างต่ำที่อาศัยอยู่ตามลำพังบ้าง” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ข้ารู้ ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าเตร็ดเตร่อยู่ก็เคยเดินผ่านไปกว่าครึ่งของพื้นที่เทือกเขาผู่สั่วแล้ว” ย่ากวงพยักหน้าแล้วชี้ไปยังทิวเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนักพลางเอ่ยว่า “ส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นั่นล้วนเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่อยู่ตามลำพังทั้งสิ้น ส่วนทางนั้นจะเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่อยู่กันเป็นฝูงเสียส่วนใหญ่ สัตว์อสูรวิเศษที่อยู่รอบนอกล้วนเป็นสัตว์อสูรวิเศษระดับค่อนข้างต่ำ  ถัดไปเป็นบริเวณชั้นกลางและชั้นในสุดจะเป็นระดับค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ประจำล้วนเป็นสัตว์อสูรทิพย์ทั้งสิ้น และส่วนในสุดยังมีสัตว์อสูรเทพอยู่จำนวนเล็กน้อยอีกด้วย”

“เช่นนั้นตรงที่พวกเราอยู่นี้เป็นชั้นรอบนอกหรือชั้นกลางเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“เจ้านาย ที่นี่เป็นชั้นในสุดแล้วล่ะ” ย่ากวงพูด

“ชั้นในสุด!” ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตาแล้วเอ่ยว่า “ที่นี่คือชั้นในสุดอย่างนั้นหรือ! แต่เพราะเหตุใดข้าจึงไม่เห็นสัตว์อสูรทิพย์แม้แต่ตนเดียวเลยเล่า”

“แค่กๆ ที่นี่คือชั้นในสุด” ย่ากวงพูด “แต่ที่นี่เป็นบริเวณขอบของชั้นในสุด ข้าได้ยินว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่ไหนแต่ไรสัตว์อสูรเทพชั้นในสุดก็ไม่เคยมาที่นี่กันเลย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เจ้านายอยู่ที่นี่มานานถึงเพียงนี้แต่ก็ไม่เคยพบเห็นสัตว์อสูรทิพย์เลยสักตนเดียว”

“แล้วเช่นนั้นเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ข้าต่อสู้กับสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสามตนหนึ่ง มันระดับสูงกว่าข้าสองขั้น ข้าเอาชนะไม่ได้ก็เลยได้แต่วิ่งหนีน่ะ” ย่ากวงพูด “แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะกัดข้าไม่ปล่อย ข้าจึงลนลานวิ่งหนี พอตอนที่ข้าจะสู้ตอบก็มาถึงที่นี่เสียแล้ว หลังจากนั้นก็พบกับเจ้าคำรามน้อยเข้า”

“ที่แท้ก็มีสัตว์อสูรวิเศษบังอาจมารังแกเจ้า พวกเราไปหามันเพื่อแก้แค้นกันเถิด!” เจ้าคำรามน้อยพูด

“ไม่ต้องหรอก!” ย่ากวงพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์คว้าตัวเจ้าคำรามน้อยเอาไว้แล้วพูดว่า “เจ้าไปเช่นนี้ ใครจะไปด้วยเล่า แล้วเจ้าเอาชนะได้อย่างนั้นหรือ”

“ข้า… ถ้าหากข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ แค่สัตว์อสูรทิพย์ขั้นสามกระจ้อยร่อยตนหนึ่งจะอยู่ในสายตาข้าได้อย่างไรกัน!” เจ้าคำรามน้อยพูด

“ย่ากวงเอาชนะไม่ได้ ตอนนี้เจ้าก็ไม่มีพลังต่อสู้ ส่วนข้าก็เป็นแค่ปรมาจารย์วิญญาณขั้นห้าคนหนึ่ง จะไปรนหาที่ตายหรืออย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้าคำรามน้อย เจ้านายพูดได้ถูกต้อง พวกเราไปกันตอนนี้ก็เอาชนะใครไม่ได้ทั้งนั้นนั่นแหละ แล้วยังจะทำให้เจ้านายตกอยู่ในอันตรายอีกด้วย” ย่ากวงดูจะมีวุฒิภาวะมากกว่าเจ้าคำรามน้อยอย่างเห็นได้ชัด มันพูดว่า “ถึงอย่างไรมันก็มิได้มาตามรังควานข้าที่นี่ รอให้ภายภาคหน้าข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้วค่อยแก้แค้นก็ยังไม่สายหรอก”

“เช่นนั้นก็ดี” เจ้าคำรามน้อยคิดๆ ดูก็เห็นจริงตามนั้น ถ้าหากทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์ตกอยู่ในอันตรายก็คงจะลำบาก ถึงอย่างไรตอนนี้พลังยุทธ์ของนางก็ยังต่ำต้อยถึงเพียงนี้

“ตอนนี้พวกเรากลับกันก่อน เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ไป พวกเราก็จะไปตามหาสัตว์อสูรวิเศษมาเป็นคู่ซ้อมมือ เจ้าคำรามน้อย เจ้าพาย่ากวงเข้าไปภายในมณีวิญญาณทีสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็เก็บตัวเจ้าคำรามน้อยและย่ากวงเข้าไปภายในมณีวิญญาณ ส่วนตนเองก็เดินมุ่งหน้าเข้าไปภายในถ้ำ

………………………

Related

อูหลิงอวี่เอนกายอยู่บนเตียงพลางจัดการร่องรอยของสิ่งที่ตนต้องการค้นหานั้น ทันใดนั้นก็ได้กลิ่นเนื้อสัตว์ย่างโชยมา

 

ไม่นานนัก ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยกไก่ที่ย่างเสร็จแล้วตัวหนึ่งเข้ามา เธอเห็นอูหลิงอวี่หยิบเอาไข่มุกออกมาอีกหลายเม็ด ทำให้ตอนนี้ภายในถ้ำสว่างไสวราวกับกลางวันเลยทีเดียว

 

เธอนำโต๊ะตัวหนึ่งออกมาจากภายในแหวนเก็บวัตถุ แล้วยังหยิบเอาจานออกมาวางไก่ที่ย่างเสร็จแล้วลงไป ก่อนจะฉีกแบ่งออกเป็นหลายชิ้นแล้วถามว่า “ท่านอยากชิมสักหน่อยไหม”

 

เธอคิดเอาไว้แล้วว่าคงมิอาจปิดบังเขาเรื่องที่ตนฝึกยุทธ์ได้อย่างแน่นอน เช่นนั้นเธอจึงมิได้คิดปิดบังเสียทีเดียว ขอเพียงแค่ไม่นำเอาสิ่งมีชีวิตออกมา เขาก็ไม่มีทางรู้เรื่องที่ตนครอบครองมณีวิญญาณอยู่

 

“เจ้าใช้งานแหวนเก็บวัตถุได้นี่” อูหลิงอวี่พูดอย่างไม่ประหลาดใจ

 

“ขอเพียงแค่เป็นผู้ฝึกวิญญาณคนหนึ่งก็ล้วนใช้ได้ทั้งสิ้น” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

 

“ร่ำลือกันว่าเจ้าไม่อาจบำเพ็ญได้ แม้กระทั่งรับสัมผัสปราณวิญญาณก็ยังทำไม่ได้เลยนี่นา” อูหลิงอวี่ถามต่อ

 

“ท่านก็พูดเองนี่ว่านั่นเป็นข่าวลือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านผู้นี้ ท่านจะกินหรือไม่ ถ้าหากไม่กินข้าก็จะไม่สนใจท่านแล้วนะ!”

 

“อูหลิงอวี่” เมื่อได้ยินเธอเรียกว่าท่านผู้นี้ เขาจึงบอกชื่อตนเองออกมา

 

“อูหลิงอวี่ ท่านจะกินไหม” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

 

ตามปกติแล้วอูหลิงอวี่ไม่มีทางกินอาหารหยาบๆ เช่นนี้ แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาสุกสว่างคู่นั้นของซือหม่าโยวเย่ว์ เขาพยักหน้าอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วพูดว่า “กินก็ได้”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ผลักโต๊ะไปไว้ที่ข้างเตียงให้เขาลุกขึ้นนั่งแล้วกินได้เลย หลังจากนั้นก็แบ่งไก่ย่างจำนวนหนึ่งให้แก่เขา แล้วตนก็นำเอาส่วนที่เหลือมากิน

 

อูหลิงอวี่หยิบปีกไก่ขึ้นมากัดคำหนึ่ง เดิมทีก็ไม่ได้มีความคิดอะไรต่อเจ้าไก่ย่างนี่เลย แต่คิดไม่ถึงว่าเนื้อไก่จะถูกนางย่างจนมีรสชาติอร่อยล้ำ ทำให้เขากัดอีกเป็นคำที่สองอย่างไม่รู้ตัว

 

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำอาหารที่อร่อยถึงเพียงนี้ได้ด้วย” พอได้เจอของอร่อย เขาจึงไม่หวงคำชมสักนิด

 

“สิ่งที่ท่านคิดไม่ถึงยังมีอีกมากมายนัก” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเจ้าคำรามน้อยวิ่งเข้ามา จึงหยิบไก่ย่างที่เตรียมเอาไว้ให้มันออกมาจากแหวนเก็บวัตถุแล้ววางลงบนโต๊ะ

 

“เย่ว์เย่ว์ช่างใจร้ายนัก กินข้าวก็ไม่เรียกข้า” เจ้าคำรามน้อยไม่อาจพูดออกมาได้ ทำได้เพียงแค่ตำหนินางผ่านการทำพันธสัญญา

 

“ยังไม่ทันได้เรียกเจ้าก็กลับมาแล้วมิใช่หรือไร” ซือหม่าโยวเย่ว์เขกหัวเจ้าคำรามน้อยทีหนึ่ง “เมื่อครู่ข้าได้ยินเจ้าสนทนากับสัตว์อสูรวิเศษเพศผู้ตนหนึ่งอย่างระริกระรี้ไม่น้อยเลยทีเดียว ก่อนหน้านี้เหตุใดข้าจึงไม่เคยสังเกตสัญชาตญาณหื่นกระหายของเจ้าเลยเล่า”

 

“ข้าทำที่ไหนกัน!” เจ้าคำรามน้อยยืนกรานเสียงอ่อน เพียงแต่ว่าเสียงนั้นแม้แต่ตนเองก็ยังไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำ

 

“สัตว์อสูรที่เจ้าทำพันธสัญญาด้วยหรือ” อูหลิงอวี่มองเห็นเจ้าคำรามน้อยแล้วจึงถามขึ้น

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองอูหลิงอวี่ปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว เจ้าสัตว์อสูรที่ไร้ประโยชน์ทั้งยังหื่นกระหายตนหนึ่ง”

 

“โฮกๆ…” ใครกันที่ไร้ประโยชน์!

 

“น่ารักน่าชังนัก” อูหลิงอวี่พูด

 

“ขอบคุณที่ชม” ซือหม่าโยวเย่ว์เคี้ยวเนื้อไก่ของตนเองจนหมดแล้วลุกขึ้นเตรียมจะจากไป “ที่นี่ไม่มีสัตว์อสูรวิเศษเข้ามาหรอก ดังนั้นท่านก็พักฟื้นอยู่ที่นี่อย่างสบายใจได้เลย”

 

พูดจบแล้วเธอก็ออกไปจากถ้ำใต้ภูเขา

 

เจ้าคำรามน้อยถือไก่ย่างเอาไว้พลางมองอูหลิงอวี่แล้วก็มองปากถ้ำ หลังจากวุ่นวายอยู่รอบหนึ่งแล้วก็หอบเอาไก่ย่างออกไป

 

ถึงแม้ว่ามันจะชมชอบบุรุษรูปงาม แต่เจ้านายก็ยังสำคัญกว่าอยู่พอสมควร

 

อูหลิงอวี่เห็นเจ้าคำรามน้อยจากไปอย่างยากจะตัดใจแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

 

เมื่อแน่ใจว่าพวกเจ้าคำรามน้อยจากไปไกลแล้ว กิเลนเพลิงก็ออกมาจากมิติพันธสัญญาแล้วกลายร่างเป็นมนุษย์ เสื้อผ้าสีแดงเพลิงนั้นอวดดีอย่างหาใดเปรียบ

 

เขามานั่งลงที่ข้างโต๊ะแล้วคว้าน่องไก่ขึ้นมากัดพลางเอ่ยว่า “เจ้านาย ของที่สาวน้อยผู้นี้ย่างช่างอร่อยเหลือเกิน”

 

“เหตุใดเจ้าจึงกินน่องไก่ของข้าเล่า” อูหลิงอวี่ถลึงตาใส่กิเลนเพลิง

 

“ถึงอย่างไรท่านก็ไม่ชอบกินของพวกนี้อยู่แล้วนี่” กิเลนเพลิงกินน่องไก่จนหมดในไม่กี่คำ เขาคิดจะหยิบชิ้นอื่นมากินอีก แต่ถูกอูหลิงอวี่ฟาดเข้าให้แล้วโยนหัวไก่ให้เขาแทน

 

“เจ้าดูออกหรือไม่ว่าที่อยู่ข้างกายนางนั้นเป็นสัตว์อสูรวิเศษอะไร” เขาถาม

 

กิเลนเพลิงอาศัยจังหวะที่เขาไม่ได้สังเกตแล้วฉกเอาเนื้อไก่ชิ้นหนึ่งมาก่อนจะพูดว่า “เจ้านั่นน่ะหรือ ก็เป็นสัตว์อสูรเทพโบราณ คำรามเทพอย่างไรเล่า”

 

“สัตว์อสูรเทพโบราณมาปรากฏตัวที่โลกเบื้องล่างเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” อูหลิงอวี่ถาม

 

“ไม่รู้สิ” กิเลนเพลิงพูด “นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเพราะได้รับบาดเจ็บ พลังยุทธ์จึงลดต่ำลงอย่างมหาศาล คาดว่าหากไปเบื้องบนด้วยพลังเช่นนี้ก็คงจะถูกสัตว์ร้ายเขมือบกินในเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันยังมีเจ้านายที่พลังยุทธ์ต่ำต้อยถึงเพียงนี้อีกด้วย”

 

ตอนที่เห็นเจ้าคำรามน้อยเขายังตกใจจนแทบกระโดด เดิมทีสัตว์มงคลอย่างคำรามเทพมีจำนวนน้อยนิดอยู่แล้ว ส่วนที่กระจายตัวกันอยู่ทุกวันนี้ก็เรียกได้ว่าล้ำค่าหายากเลยทีเดียว การจะพบได้ที่โลกเบื้องบนหาได้ยากยิ่งแล้ว การปรากฏตัวที่โลกเบื้องล่างอันซอมซ่อเช่นนี้ยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่

 

“คนไร้ค่าในสายตาผู้อื่นไม่เพียงแต่จะฝึกยุทธ์ได้แล้วเท่านั้น แต่ยังได้ทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรเทพโบราณตนหนึ่งอีกด้วย นางช่างทำให้ผู้อื่นอัศจรรย์ใจมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ” อูหลิงอวี่พูดพร้อมรอยยิ้ม

 

กิเลนเพลิงมองดูรอยยิ้มของอูหลิงอวี่แล้วก็ไว้อาลัยให้ซือหม่าโยวเย่ว์ในใจสองนาที

 

ทุกครั้งยามที่เขาเผยรอยยิ้มเช่นนี้ออกมา คือเวลาที่มารร้ายในใจเขาเริ่มก่อกวน คนที่เขาระลึกถึงนั้นไม่มีใครมีจุดจบที่ดีเลยสักคน

 

“ไก่ย่างของข้าเล่า” ตอนที่อูหลิงอวี่ได้สติกลับคืนมาก็พบว่านอกจากปีกไก่ที่ยังกินไม่หมดในมือของเขาแล้ว บนโต๊ะก็เหลือกระดูกไก่วางอยู่เพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น

 

ในตอนนี้เองกิเลนเพลิงที่กินไก่ย่างหมดแล้วจึงค่อยพูดเรื่องเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา “เจ้านาย ให้ข้าไปตรวจสอบของสิ่งนั้นเถิด ข้ากับท่านทำพันธสัญญาผูกวิญญาณต่อกัน ถ้าหากมีเบาะแสของของสิ่งนั้นข้าก็ต้องสัมผัสได้อย่างแน่นอน ระยะนี้ก็ให้พี่รองคุ้มครองท่านไปก่อนก็แล้วกัน”

 

อูหลิงอวี่ขว้างกระดูกไก่ลงบนโต๊ะแล้วพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “เจ้าไม่ต้องมาเป็นกังวลเรื่องข้าหรอกน่า”

 

“เช่นนั้นข้าไปก่อนละ” กิเลนเพลิงพูดจบแล้วก็ไปจากถ้ำภูเขา เหินทะยานไปยังภูเขาแห่งอื่น

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปดูในภูเขารอบหนึ่งแล้วให้เจ้าคำรามน้อยไปเรียกสัตว์อสูรวิเศษเพศผู้ที่มันผูกไมตรีด้วยตนนั้นออกมา ก็พบว่าเป็นสัตว์อสูรทิพย์เสือกรงเล็บเหล็กตนหนึ่ง

 

เธอได้รู้สถานการณ์คร่าวๆ ของเทือกเขาผู่สั่วแห่งนี้จากคำบอกเล่าของเสือกรงเล็บเหล็ก รวมถึงเรื่องการกระจายตัวของระดับสัตว์อสูรวิเศษด้วย จากนั้นจึงปล่อยให้มันกลับไป

 

แต่เสือกรงเล็บเหล็กกลับหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ อ้อยอิ่งไม่ยอมจากไป

 

“เป็นอะไรไปหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

 

“คือว่าข้าชอบเจ้าคำรามน้อยยิ่งนัก ถึงอย่างไรท่านก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เช่นนั้นท่านก็รับข้าเอาไว้หน่อยเถิดนะ” เสือกรงเล็บเหล็กพูดอย่างละอายใจอยู่บ้าง

 

“แค่กๆ…” ซือหม่าโยวเย่ว์แทบจะสำลักน้ำลายตัวเองตาย เธอมองเสือกรงเล็บเหล็กอย่างสยดสยองแล้วพูดว่า “มิได้ว่ากันว่าพวกเจ้าสัตว์อสูรวิเศษขับไสไล่ส่งมนุษย์กันหนักหนาหรอกหรือ แต่เจ้าถึงกับเสนอการยอมรับข้าเป็นเจ้านาย นอกจากนี้เจ้ายังเป็นสัตว์อสูรทิพย์ด้วย แล้วจะเห็นปรมาจารย์วิญญาณตัวเล็กๆ อย่างข้าอยู่ในสายตาด้วยหรือ”

 

เสือกรงเล็บเหล็กมองดูเจ้าคำรามน้อยแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “เดิมทีข้าก็ถูกครอบครัวขับไล่ออกมาจนต้องเตร็ดเตร่อยู่ในป่ามาโดยตลอด พี่ใหญ่ก็ติดตามอยู่กับท่านแล้ว ข้าคิดว่าในภายภาคหน้าท่านจะต้องร้ายกาจยิ่งอย่างแน่นอน! ข้าเชื่อพี่ใหญ่!”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองเจ้าคำรามน้อยที่ลำพองใจใหญ่โต ไม่รู้ว่าเจ้านี่ไปล่อลวงสัตว์อสูรทิพย์ตนหนึ่งออกมาได้อย่างไรกัน

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ผายมือทั้งสองออกมาแล้วพูดว่า “แต่ว่าข้าไม่ใช่นักฝึกสัตว์อสูรจึงมิอาจฝึกสัตว์อสูรได้ คล้ายกับว่าจะไม่อาจทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษที่ยังมิได้ฝึกให้เชื่องได้นี่นา”

 

“โอ๊ย ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียได้!” เจ้าคำรามน้อยคิดถึงแต่เรื่องจะช่วยซือหม่าโยวเย่ว์ จนลืมเรื่องที่มิอาจทำพันธสัญญาได้ไปเสียสนิท

 

“เช่นนั้นข้าก็ติดตามพี่ใหญ่ไม่ได้แล้วสินะ” เสือกรงเล็บเหล็กพูดอย่างสิ้นหวังอยู่บ้าง

 

เจ้าคำรามน้อยบินไปอยู่บนหลังของเสือกรงเล็บเหล็กแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไปหรอก พี่ใหญ่อย่างข้ามีเล่ห์กลอยู่”

 

……………………

Related

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ชายหนุ่มบนเตียงจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาทั้งคู่นั้นทอประกายดุร้ายท่ามกลางความมืดมิด จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์หาใดเปรียบ

 

“โอ๊ย…” เขาลูบหน้าผากของตนด้วยความเคยชิน แต่กลับกระทบถูกบาดแผลบนร่างกาย ความเจ็บปวดบนร่างทำให้สติที่รางเลือนของเขาค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา

 

“เจ้านาย ท่านฟื้นแล้ว” เสียงของกิเลนเพลิงดังขึ้นมาจากมิติพันธสัญญา

 

“อืม” อูหลิงอวี่ขานรับเบาๆ เสียงหนึ่งแล้วเริ่มระลึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนตนจะหมดสติไป

 

เขาจำได้ว่าเขาตามร่องรอยมาจนถึงเทือกเขาผู่หลัวเพื่อตามหาของสิ่งนั้น แต่เพิ่งมาถึงได้ไม่นานอาการหมดสติที่มักเกิดขึ้นเป็นบางครั้งบางคราวก็เกิดขึ้นมาอีกครั้ง

 

เมื่อถึงเวลานั้น วิญญาณของเขาจะอ่อนแอเป็นพิเศษจนไม่อาจเรียกตัวกิเลนเพลิงได้ และในขณะนั้นก็ยังเผชิญเข้ากับสัตว์อสูรทิพย์ตัวหนึ่งอีกด้วย

 

ถ้าหากเป็นยามปกติ สัตว์อสูรวิเศษอย่างสัตว์อสูรทิพย์นี้ไม่คู่ควรจะอยู่ในสายตาของเขาด้วยซ้ำ แต่คิดไม่ถึงว่าคราวนี้อาการหมดสติจะจู่โจมล่วงหน้า ทำให้เขาเกือบจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เสียแล้ว

 

“เจ้านาย ระยะเวลาที่ท่านหมดสติในช่วงสองปีมานี้กระชั้นเข้ามามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว พวกเราจะต้องหาของสิ่งนั้นมาให้เร็วที่สุดจึงจะใช้ได้” กิเลนเพลิงพูดอย่างกังวลใจ

 

“ข้าเข้าใจ” อูหลิงอวี่พยักหน้าพลางพูดว่า “ข้าจำได้ว่าก่อนที่จะหมดสติไปยังอยู่ที่ริมแม่น้ำ แล้วข้ามาที่ถ้ำภูเขานี่ได้อย่างไรกัน”

 

“เจ้านาย ท่านไม่สังเกตหรอกหรือว่าข้างกายท่านยังมีคนนอนอยู่อีกคนหนึ่งด้วย” กิเลนเพลิงพูดอย่างขบขันอยู่บ้าง

 

อูหลิงอวี่สะดุ้งคราหนึ่ง ข้างกายเขามีคนที่เขาไม่รู้จักนอนอยู่ ถ้าหากนางคิดจะฆ่าตนก็คงจะลงมือได้อย่างง่ายดายยิ่ง

 

“เจ้านาย ท่านอย่าได้ตื่นตระหนกไปเลย เป็นนางนั่นแหละที่ช่วยท่านเอาไว้” กิเลนเพลิงพูด

 

ต่อให้ระยะนี้วิญญาณของเขาจะค่อนข้างอ่อนแอและภายในถ้ำภูเขาจะค่อนข้างมืดมิด แต่ก็มิได้หมายความว่ามีคนนอนอยู่ข้างๆ ทั้งคนแล้วยังไม่รู้ตัว

 

เขานึกถึงตอนที่ฟื้นขึ้นมาครั้งหนึ่งด้วยสติอันรางเลือนก่อนหน้านี้แล้วมองเห็นนัยน์ตามีชีวิตชีวาคู่หนึ่ง คนที่อยู่ข้างกายใช่นางหรือไม่หนอ

 

“นางแทบจะแทรกตัวเองเข้าไปอยู่ในความมืดอยู่แล้ว การมีตัวตนอยู่ก็ช่างน้อยนิด เจ้านายมิได้สังเกตเห็นชั่วคราวก็เป็นเรื่องปกติ” กิเลนเพลิงปลอบประโลมเจ้านายของตน

 

อูหลิงอวี่หยิบยาวิเศษเม็ดหนึ่งออกมาจากภายในแหวนเก็บวัตถุ มองปราดเดียวก็รู้ว่าระตับของยาวิเศษนี้สูงกว่ายาวิเศษที่ซือหม่าโยวเย่ว์ให้เขากินเสียอีก เขากินยาวิเศษลงไปแล้วเคลื่อนพลังวิญญาณบนร่างมาเร่งการออกฤทธิ์ของยาวิเศษ

 

เมื่อรู้สึกว่าวิญญาณของตนสบายขึ้นพอสมควรแล้วเขาจึงค่อยลุกขึ้นนั่งก่อนจะหยิบเอาไข่มุกเปล่งแสงเม็ดหนึ่งออกมาหมายจะประเมินคนที่นอนอยู่ข้างกาย แต่กลับประสานเข้ากับนัยน์ตาดำขลับคู่หนึ่งอย่างไม่คาดคิด

 

“ท่านฟื้นแล้วนี่” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นนั่งพลางมองอูหลิงอวี่

 

ถึงแม้ว่าเธอจะผล็อยหลับไป แต่เธอที่เป็นมือสังหารยังคงมีสัมผัสอันเฉียบแหลมต่อความเคลื่อนไหวรอบตัวอยู่ดี เธอตื่นตั้งแต่ตอนที่อูหลิงอวี่กินยาวิเศษแล้ว

 

“เป็นเจ้านี่เอง” อูหลิงอวี่ได้เห็นซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็ตกใจอยู่บ้าง

 

“ท่านรู้จักข้าด้วยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้มือและเท้าปีนลงจากเตียงแล้วยืนประเมินอูหลิงอวี่อยู่ข้างเตียง

 

เจ้าคนผู้นี้ไม่เพียงแต่เกิดมามีใบหน้าทรงเสน่ห์เท่านั้น แต่ยังมีนัยน์ตาที่ดึงดูดใจคนอีกด้วย ตอนหลับตานั้นดูบริสุทธิ์หาใดเปรียบ แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับแสดงชัดว่าเขามิได้บริสุทธิ์อย่างที่เห็น

 

“นับว่าใช่ก็แล้วกัน” อูหลิงอวี่พยักหน้า

 

คราวนั้นตอนที่เขาไปยังเมืองหลวงของอาณาจักรตงเฉินก็ได้เห็นนางทำร้ายชายผู้หนึ่งอยู่ที่สุดตรอกเข้าพอดี เขายังหารือกับกิเลนเพลิงอยู่เลย ดังนั้นจึงยังมีความประทับใจต่อนางอยู่บ้าง

 

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดว่าที่เขาพูดหมายถึงเคยได้ยินชื่อเสียงคนไร้ค่าของตนมาก่อน จึงเอ่ยว่า “ดูท่าทางชื่อเสียงของคุณชายเช่นข้าคงจะโด่งดังน่าดูเลยทีเดียว คุณชายเช่นข้าอุตส่าห์ช่วยเจ้า มีค่าตอบแทนอันใดให้ข้าหรือไม่”

 

อูหลิงอวี่ขบขันอยู่บ้าง แม่สาวน้อยนี่เป็นสตรีนางหนึ่งชัดๆ แต่กลับแทนตัวเองว่าคุณชายครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้ว่านางจะสวมแหวนมนตร์เพื่อปิดบังเพศของตน แต่ก็ไม่มีทางหลบซ่อนจมูกของกิเลนเพลิงไปได้อยู่แล้ว

 

“เจ้าต้องการค่าตอบแทนอันใดเล่า” เขาถามเสียงเบา

 

“ค่าตอบแทนอันใดก็ได้ทั้งนั้น หากเป็นชั่งเงินชั่งทองก็จะดีที่สุด หรือว่าจะเป็นอัญมณีก็ย่อมได้” ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็มิได้นึกถึงว่าอยากจะให้เขามอบของสิ่งใดให้เป็นพิเศษ จึงได้พูดส่งๆ ไปสองอย่าง

 

“ได้สิ ข้าจะให้ค่าตอบแทนเจ้าอย่างงามยิ่งเลยทีเดียว แต่ข้ามีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่ง” อูหลิงอวี่พูด

 

“เงื่อนไขอันใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ขมวดคิ้ว เจ้าคนผู้นี้ถึงกับมาเจรจาเงื่อนไขกับตน!

 

“เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้าสักระยะหนึ่งสิ” อูหลิงอวี่พูด “พอถึงเวลาแล้วข้าจะให้ค่าตอบแทนเจ้าอย่างงามแน่นอน”

 

“เพราะเหตุใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจ

 

“ข้าไม่อาจไปจากที่นี่ได้ก่อนที่อาการบาดเจ็บของข้าจะหายดี” อูหลิงอวี่พูด

 

“ท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

 

“เทือกเขาผู่สั่วทางตอนใต้ของอาณาจักรตงเฉิน ห่างจากเมืองหลวงสิบล้านลี้” อูหลิงอวี่พูด

 

ที่แท้ก็คือเทือกเขาผู่สั่วนี่เอง ซือหม่าโยวเย่ว์แอบคิด คิดไม่ถึงว่าค่ายกลนำส่งนั้นจะส่งตัวเธอมาถึงที่นี่

 

“แต่ว่าข้ากำลังจะกลับอยู่แล้ว ข้าออกมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ท่านปู่ของข้าจะต้องเป็นห่วงข้ามากแน่นอน” ซือหม่าโยวเย่ว์คิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น

 

“ถ้าหากเป็นเช่นนั้นข้าก็ไม่อาจมอบค่าตอบแทนให้แก่เจ้าได้” อูหลิงอวี่แสดงท่าทีตามใจเจ้าออกมา “เดิมทีข้ายังคิดจะมอบยาวิเศษเลื่อนระดับขั้นหนึ่งให้แก่เจ้า แต่ในเมื่อเจ้าไม่อยากได้ เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด”

 

“ยาวิเศษเลื่อนระดับหรือ”

 

“ใช่แล้ว” อูหลิงอวี่พูด “ข้ารู้ว่าท่านแม่ทัพซือหม่ามิได้เลื่อนระดับมานานมากแล้ว และข้าก็มียาวิเศษเลื่อนระดับอยู่สองเม็ดพอดี เดิมทีคิดว่าเจ้าจะอยู่เป็นเพื่อนข้าสักระยะหนึ่ง ข้าก็จะมอบยาวิเศษให้เจ้า แต่ว่าเจ้า…”

 

“ข้าอยู่ก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ข้าหวังว่าสิ่งที่ท่านพูดจะเป็นความจริงนะเพราะข้าช่วยชีวิตท่านได้ ข้าก็สังหารท่านได้เช่นกัน”

 

อูหลิงอวี่ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ดี”

 

เจ้าเด็กสาวผู้นี้ฝีปากไม่เบาเลยทีเดียว เป็นเช่นนั้นแล้วดูท่าทางคงจะมิใช่คนไร้ค่าอย่างที่เขาว่ากันหรอก!  เมื่อนึกถึงข่าวลือที่ว่าเป็นคนไร้ค่าแล้วจึงเอ่ยถามว่า “ที่นี่มีสัตว์อสูรวิเศษอยู่ทั่วไปหมด แล้วเจ้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไรกันเล่า”

 

“ค่ายกลนำส่งของวิทยาลัยส่งตัวข้ามายังที่แห่งนี้น่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ไข่มุกเม็ดนั้นของท่านไม่เลวเลยทีเดียว แวววาวสว่างไสวดีเหลือเกิน หยิบออกมาอีกหลายๆ เม็ดหน่อยสิ”

 

พูดจบแล้วเธอก็หมุนตัวเดินออกไป

 

“เจ้าจะไปไหนน่ะ”

 

“ไปทำอาหารค่ำไง”

 

การที่ซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปข้างนอกก็เป็นเพียงแค่ละครตบตาเท่านั้น เธอไม่อยากให้อูหลิงอวี่รู้ว่าเธอมีมิติที่เลี้ยงสิ่งมีชีวิตเอาไว้ได้อยู่

 

“เจ้านาย เหตุใดท่านจึงให้คนไร้ค่าคนหนึ่งมาปกป้องท่านกันเล่า” กิเลนเพลิงพูดอยู่ภายในมิติพันธสัญญา “ตอนนี้ท่านฟื้นขึ้นมาแล้ว ข้าก็ออกไปข้างนอกได้แล้ว ให้ข้าพาท่านกลับไปพักฟื้นที่ตำหนักวิเศษเถิด”

 

“พวกเราจะยังไม่กลับตำหนักวิเศษกันชั่วคราวก่อน ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วจะจากไปเช่นนี้โดยไม่ทันสืบหาข่าวคราวเลยได้อย่างไรกันเล่า” อูหลิงอวี่พูด

 

“เช่นนั้นทำไมไม่ใช้ยาวิเศษเลื่อนระดับเปลี่ยนคนไร้ค่าให้มาปกป้องท่านเสียเลยเล่า” กิเลนเพลิงพูด

 

“เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าบนร่างนางมีความลึกลับบางอย่างอยู่น่ะ” อูหลิงอวี่พูด “คนไร้ค่าคนหนึ่งเมื่อได้ยินชื่อเทือกเขาผู่สั่วแต่กลับไม่หวาดกลัวไม่กังวลใจเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้พวกเราทั้งสองยังได้ยินข่าวการหายตัวไปของนางที่เมืองหลวงมากว่าสองเดือนแล้วด้วย นั่นก็หมายความว่านางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาเป็นระยะเวลากว่าสองเดือนแล้ว เจ้าไม่แปลกใจหรือว่านางรอดชีวิตในสถานที่อันตรายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

 

“นี่ก็ชวนให้คนประหลาดใจอยู่บ้างจริงๆ นั่นแหละ” กิเลนเพลิงพูด “แต่ว่านี่มันไม่เหมือนนิสัยของท่านเลยนะ ท่านเลือดเย็นถึงเพียงนั้น น้อยนักที่จะรู้สึกสนใจในเรื่องราวของผู้อื่น”

 

“เลือดเย็นอันใดกัน” อูหลิงอวี่ไม่พอใจการประเมินที่กิเลนเพลิงให้กับตนแล้วพูดว่า “ดีร้ายอย่างไรข้าก็เป็นผู้วิเศษแห่งตำหนักวิเศษของโลกแห่งนั้น ตำหนักวิเศษที่เป็นตัวแทนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประกายอันศักดิ์สิทธิ์ดึงดูดสาวกนับพันนับหมื่น ข้า…”

 

กิเลนเพลิงทนฟังไม่ไหวอีกต่อไปจึงขัดจังหวะเขาว่า “นั่นคือท่านยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น อย่าเอาฉากหน้าจอมปลอมมาปะปนกับตัวตนที่แท้จริงของท่านเลย”

 

“ถึงอย่างไรมันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ” อูหลิงอวี่พูดแล้วก็เอนตัวลงนอน “ซือหม่าโยวเย่ว์ ข้าประหลาดใจในตัวเจ้าจริงๆ เลย หึๆ…”

 

……………………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไป เมื่อเห็นรอยเลือดบนก้อนหินแล้วก็พูดว่า “คนผู้นี้เสียเลือดถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าตายหรือยัง”

“ข้ายังได้ยินเสียงหายใจของเขาอยู่เลยนะเย่ว์เย่ว์” เจ้าคำรามน้อยมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างรังเกียจ

เฮ้อ หลังจากที่นางเกิดใหม่แล้วสูญเสียความทรงจำก็โง่ลงเรื่อยๆ เสียแล้ว

“หลั่งเลือดมากมายถึงเพียงนี้ ถ้าหากอยู่บนโลกก็คงจะตายสนิทไปนานแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

ดูเหมือนว่าเจ้าคำรามน้อยจะค่อนข้างตื่นเต้นกับคนผู้นี้ ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่ทันจะเดินไปถึงข้างหน้า มันก็วิ่งออกไปจากอ้อมแขนของนางแล้วทะยานไปถึงเบื้องหน้าของคนผู้นั้นแล้ว

“เย่ว์เย่ว์ คนผู้นี้ช่างมีรูปงามเหลือเกิน” เมื่อเจ้าคำรามน้อยมองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นก็ร้องอุทานออกมา

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปมองใบหน้าของเขาให้ชัดเจน ใบหน้าคมคายดุจมีด สันจมูกโด่งตรง  ริมฝีปากได้รูปเย้ายวนใจ ส่วนดวงตานั้นปิดสนิทจึงไม่รู้ว่างดงามน่ามองหรือไม่ แต่ขนตางอนยาวนั้นกลับดึงดูดใจคนเป็นอย่างยิ่ง

ช่างเป็นชายที่รูปงามเสียจริง! แต่ชาติก่อนเธอเคยเห็นผู้ชายแบบนี้มามากมายแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้หล่อเหลาอย่างเขา แต่พอจะมีภูมิคุ้มกันอยู่บ้าง

เธอเบ้ปากแล้วพูดว่า “รูปงามกว่าข้าจริงๆ นั่นแหละ คนที่รูปงามกว่าข้าก็จัดเป็นศัตรูทั้งหมด พวกเราไปกันเถิด”

“เย่ว์เย่ว์ เจ้าไม่ช่วยเขาหรือ” เจ้าคำรามน้อยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เพียงแค่มองใบหน้าของคนผู้นั้นอย่างตกตะลึงครู่หนึ่งแล้วต่อจากนั้นกลับทำเหมือนจะทิ้งเขาไป มันจึงรีบถามอย่างตกใจ

“เพราะเหตุใดจึงต้องช่วยเขาด้วยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองชายผู้นั้นแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าก็เพิ่งจะกลับไปจากที่นี่เองมิใช่หรือ แต่ตอนที่เจ้ากลับไปเขามิได้อยู่ที่นี่เสียหน่อย แต่พอพวกเราออกมาเขาก็มาอยู่ที่นี่เสียแล้ว เจ้าไม่รู้สึกว่าแปลกประหลาดเหลือเกินหรอกหรือ”

“บางทีเขาอาจถูกสัตว์อสูรวิเศษทำร้ายเข้าตอนที่ข้าเพิ่งกลับไปพอดีก็ได้ แล้วตอนวิ่งมาถึงที่นี่ก็หมดสติไป” เจ้าคำรามน้อยพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินไปข้างหน้าสองก้าวแล้วอุ้มเจ้าคำรามน้อยที่หมอบอยู่ตรงหน้าชายผู้นั้นพร้อมกับน้ำลายไหลยืดขึ้นมาแล้วพูดว่า “เจ้าคำรามน้อย อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ถึงจิตใจที่ซ่อนอยู่ภายใต้รูปลักษณ์อันใสซื่อของเจ้านะ เจ้าน่ะเป็นสัตว์มงคลนะ มิใช่หมาป่ากระหายกามเสียหน่อย!”

“เดิมทีข้าก็มิใช่หมาป่ากระหายกามหรอกน่า!” เจ้าคำรามน้อยถูกซือหม่าโยวเย่ว์หิ้วคอ ขาเล็กสั้นป้อมทั้งสี่เตะไปมาอยู่กลางอากาศ “เย่ว์เย่ว์ ไม่แน่ว่าหากช่วยเขาแล้วพวกเราก็อาจจะได้รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนก็ได้นะ ถามมนุษย์ย่อมดีกว่าถามสัตว์อสูรวิเศษอยู่แล้ว อย่างมากสัตว์อสูรวิเศษก็รู้เพียงว่าที่นี่คือที่ไหน แต่มนุษย์ยังรู้ด้วยว่าจะไปจากที่นี่ได้อย่างไร”

ฝีเท้าที่ก้าวจากไปของซือหม่าโยวเย่ว์หยุดชะงักลงในทันใด เธอใคร่ครวญคำพูดของเจ้าคำรามน้อยอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สิ่งที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่ เช่นนั้นก็ช่วยเขาก่อนแล้วกัน”

เธอกลับไปยังริมฝั่งแล้วพลิกร่างชายผู้นั้นกลับมา ก็เห็นว่าบริเวณท้องของเขามีบาดแผลขนาดใหญ่คล้ายกับถูกกรงเล็บของสัตว์อสูรวิเศษอะไรบางอย่างทำร้าย ตั้งแต่ทรวงอกซ้ายยาวตลอดมาจนถึงเอวขวา

“ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ เสียเลือดไปมากมายถึงเพียงนี้แต่ยังไม่ตาย นับเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ เลย” เธอมองดูบาดแผลบนร่างของชายหนุ่มแวบหนึ่งแล้วส่งเสียงจุ๊ปาก

“เย่ว์เย่ว์ เจ้ายังอยากจะช่วยอยู่หรือไม่” เจ้าคำรามน้อยลอยมาอยู่ข้างๆ พลางเอ่ยถามขึ้น

“ตอนนี้ยังไม่ตายหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด จากนั้นเธอก็พลิกหาดูภายในแหวนที่บิดาทิ้งเอาไว้ให้รอบหนึ่ง ก็หายาวิเศษที่เขาทิ้งเอาไว้พบ เธอหยิบออกมาให้เขากินลงไปเม็ดหนึ่ง พอกินหมดแล้วเธอจึงเพิ่งเห็นคำว่าขั้นสี่ที่เขียนอยู่บนขวดหยก นี่คือสิ่งล้ำค่าที่มีอยู่น้อยจนนับนิ้วได้ในทั้งอาณาจักรตงเฉิน

เมื่อนึกถึงว่าตนถึงกับนำยาวิเศษขั้นสี่ให้คนที่ไม่รู้จักผู้หนึ่งกินลงไป เธอก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาไม่น้อยเลย

“เช่นนี้ก็ใช้ได้แล้วหรือ” เจ้าคำรามน้อยถาม

“สิ่งนี้คือยาวิเศษขั้นสี่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนนั้นที่ข้าได้รับบาดเจ็บ แม้แต่จวนแม่ทัพก็ยังไม่มียาวิเศษขั้นสี่เลย ท่านปู่ยังต้องไปพบปรมาจารย์ศิลาอะไรนั่นแล้วเอาของไปแลกยาวิเศษขั้นสามสองเม็ดมา”

พอพูดถึงซือหม่าเลี่ย เธอก็คิดถึงเขาขึ้นมาอยู่บ้าง

“ตอนนี้ก็ไม่รู้เลยว่าท่านปู่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว ข้าไม่ได้ยินข่าวคราวของเขามาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เขากับพวกพี่ๆ จะต้องเป็นกังวลแทบตายแล้วอย่างแน่นอนเลยทีเดียว”

“เย่ว์เย่ว์ เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลยนะ พอพวกเราช่วยให้เขาฟื้นคืนสติจะได้รู้แล้วว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วก็จะได้รู้ด้วยว่าจะกลับไปอย่างไร!” เจ้าคำรามน้อยพูดปลอบ

“เฮ้อ ก็คงได้แต่รอเขาฟื้นแล้วสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าขยายร่างกายได้หรือไม่”

“อือๆ” เจ้าคำรามน้อยพยักหน้า

“เช่นนั้นเจ้าขยายร่างแล้วแบกเขากลับไปที่ถ้ำทีสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“อะ…อะไรนะ เจ้าถึงกับให้ข้าแบกเขาเชียวหรือ” เจ้าคำรามน้อยร้องขึ้นมาอย่างตกใจ

“เจ้ามิได้บอกว่าจะช่วยเขาหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงหูของตนแล้วพูดว่า “เขาตัวใหญ่เช่นนี้ จากที่นี่ไปจนถึงถ้ำก็ไกลถึงเพียงนั้น ถ้าหากให้ข้าลากเขากลับไป ก็กลัวแต่เพียงว่ายังไม่ทันไปถึงถ้ำใต้ภูเขา เขาก็คงจบเห่แล้วล่ะ ค่อยว่ากันเถิด ข้าให้โอกาสเจ้าได้สัมผัสใกล้ชิดกับบุรุษรูปงามไม่ดีหรือไร”

“ข้าเป็นสัตว์มงคลที่มีพื้นฐานรักนวลสงวนตัวนะ!” เจ้าคำรามน้อยกลับคำพูด

“เช่นนั้นแล้วสรุปว่าเจ้าจะแบกหรือไม่แบกเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ข้า…แบก!” เจ้าลูกกลมขาวตัดสินใจว่าเพื่อบุรุษรูปงามแล้ว ความรักนวลสงวนตัวอันใดก็ไม่สนใจอีกแล้ว

มันสั่นสะท้านอยู่กลางอากาศ ร่างกายที่เดิมทีเล็กจ้อยค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ จนกระทั่งมีความยาวมากกว่ามนุษย์แล้วจึงค่อยหยุดลง

ซือหม่าโยวเย่ว์ย้ายร่างของชายหนุ่มไปไว้บนหลังของเจ้าคำรามน้อย จากนั้นตนก็ปีนขึ้นไป แล้วเจ้าคำรามน้อยก็พาพวกเขาเหาะกลับมายังถ้ำภูเขา

เมื่อถึงถ้ำใต้ภูเขาแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็หยิบเอาเตียงเก่าออกมาจากภายในมณีวิญญาณด้วยความใจดีอย่างหาได้ยากยิ่ง ถึงแม้ว่าพอคนขึ้นไปนั่งบนเตียงหลังนั้นแล้วมันออกจะโยกเยกโอนเอนอยู่บ้าง แต่เมื่อปูผ้านวมลงไปแล้วก็ยังดีกว่าโยนเขาเอาไว้บนพื้นโดยตรงมากมายนัก

หลังจากปูผ้านวมเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอก็วางเขาลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็ให้หลิงหลงแปลงร่างเป็นกรรไกรแล้วตัดเสื้อผ้าบนร่างกายเขาออก

“เย่ว์เย่ว์… เจ้าจะขืนใจคนอย่างนั้นหรือ” เจ้าคำรามน้อยแปลงกายกลับเป็นร่างขนาดเล็กแล้วเหาะมาอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ตัดเสื้อผ้าของเขาก็หุบหูสองข้างลงพร้อมกับกางอุ้งเท้าออกมาปิดตาของตนเอาไว้ ทว่าไม่ได้ปิดสนิทนัก มันแอบโผล่ดวงตาออกมาครึ่งหนึ่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินคำพูดของเจ้าคำรามน้อยแล้วสีหน้าก็ดำทะมึนไปทั้งหน้าพลางพูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้ามีความเคยชินอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าหากไม่ช่วยก็ไม่ช่วย แต่ถ้าจะช่วยแล้วก็จะทำให้ดีอย่างสุดความสามารถ ถึงแม้ว่าเขาจะกินยาวิเศษไปแล้ว แต่ยังต้องล้างบาดแผลนี่สักหน่อยอยู่ดี”

“เช่นนี้หรอกหรือ ข้ายังคิดว่าเจ้าจะขืนใจคน จะเอาเปรียบเขาเสียแล้ว!” เจ้าคำรามน้อยมองร่างของชายผู้นั้นที่อยู่บนเตียงตรงๆ แล้วมันก็อ้าปากค้าง สองตาแทบจะเป็นรูปหัวใจอยู่แล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์เหลืออดกับท่าทางหลงใหลของมันจริงๆ จึงคว้าคอของมันแล้วโยนออกไปเสีย

เมื่อไม่มีเจ้าคำรามน้อยมาคอยก่อกวนอยู่ข้างๆ แล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็มีสมาธิขึ้นมา เธอหยิบน้ำและผ้าขนหนูออกมาจากในมณีวิญญาณแล้วเช็ดคราบเลือดบนร่างเขาออกรอบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ล้างบาดแผลจนสะอาดด้วยความระมัดระวังอีกครั้ง เพื่อไม่ให้คนบนเตียงต้องตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวด เธอจึงพยายามให้การเคลื่อนไหวของตนนุ่มนวลอย่างสุดความสามารถ

ตอนที่เธอก้มตัวลงมาจัดการบาดแผลให้ ชายหนุ่มบนเตียงก็พอจะได้สติขึ้นมาบ้างแล้ว เขาลืมตาอันหม่นมัวขึ้นก็เห็นนัยน์ตาใสกระจ่างดุจแก้วผลึกคู่หนึ่งกำลังเพ่งความสนใจมองบาดแผลของตนอยู่

ดูเหมือนว่าตนจะได้รับความช่วยเหลือแล้วอย่างนั้นหรือ

เขารับสัมผัสถึงสภาพของตนเองรอบหนึ่งก็แน่ใจว่าตนได้รับความช่วยเหลือแล้ว จากนั้นก็หมดสติไปอีกครั้ง

ตอนที่ชายหนุ่มฟื้นขึ้นมา ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังก้มลงไปซักผ้าขนหนูอยู่พอดี ดังนั้นจึงมิได้สังเกตเห็น  พอเธอชำระล้างคราบสกปรกบนร่างเขาจนสะอาดแล้วก็พบว่าบาดแผลได้กลายเป็นแผลเป็นไปเรียบร้อยแล้ว

“ถึงแม้ว่าจะเคยเห็นฤทธิ์ของยาวิเศษนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นก็ยังรู้สึกว่าช่างน่าพรั่นพรึ่งยิ่งนัก” เธอยื่นมือออกไปลูบบาดแผลครั้งหนึ่ง “ถ้าหากมีเวลาว่างก็ยังต้องหาตำรายาวิเศษมาอ่านดูสักเล่มสองเล่ม ลองศึกษาการหลอมยาดูเสียหน่อย”

พอเธอทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย ภายในถ้ำภูเขาก็เหลืออยู่เพียงแค่เตียงหลังนั้นแล้ว เมื่อนึกถึงว่าระยะหลังนี้เพราะการฝึกยุทธ์ จึงมิได้สัมผัสกับความรู้สึกของการนอนบนเตียงเลย ตอนนี้พอเห็นเตียงเธอจึงรู้สึกง่วงขึ้นมาบ้างแล้ว

เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มผู้นั้นยังนอนไม่ถึงครึ่งของเตียงหลังนี้เลย และตอนนี้ตนก็แต่งกายเป็นชาย เธอจึงตัดสินใจปีนขึ้นเตียงเข้าแล้วเอนตัวลงนอน

…………………

Related

เฟิงจือสิงได้ฟังคำพูดของท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสแล้วก็เงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ข้ากับเขาหรือ… ข้าก็แค่ได้รับมอบหมายจากผู้อื่นให้มาดูแลเขาสักหน่อยเท่านั้นเอง”

“ใครให้เจ้ามาหรือ” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสถาม

“ท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านก็รู้เรื่องราวของโลกแห่งนั้นนี่ ข้ารู้ว่าท่านกับท่านแม่ทัพซือหม่ามีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยม ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางทำร้ายนางอยู่แล้ว ทั้งยังมีตระกูลซือหม่าอยู่อีก” เฟิงจือสิงพูด “นอกจากนี้กฎกติกาก็กำหนดเอาไว้แล้วว่าข้ามิอาจลงมือตามใจชอบที่นี่ได้”

“ข้ามิได้กังวลว่าเจ้าจะก่อเรื่องอันใดหรอก” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสถอนหายใจแล้วพูดต่อว่า “ข้าเป็นห่วงเจ้าต่างหาก ถ้าหากเด็กคนนั้นเกิดเรื่องอันใดเข้า…”

“ไม่มีทางหรอก” เฟิงจือสิงพูด “บุตรของเขาไม่มีทางจบชีวิตลงอย่างง่ายดายถึงเพียงนั้นอยู่แล้ว”

เฟิงจือสิงพูดด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง กลับไม่รู้เลยว่าที่แท้ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ตายไปเสียแล้ว ที่อยู่ภายในร่างในตอนนี้เป็นวิญญาณอีกดวงหนึ่ง

“เฮ้อ เจ้าเป็นอาจารย์ ก็ไม่อาจเฝ้าอยู่ที่นี่ได้ตลอดไปหรอก” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสพูด

“เมื่อถึงเวลาที่ควรไปเข้าชั้นเรียน ข้าก็จะไปสอน” เฟิงจือสิงพูด “จริงสิท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านรู้หรือไม่ว่าค่ายกลนำส่งนี้นำทางไปสู่ที่ใด”

“ไม่รู้สิ ผู้ที่ออกมาก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นที่ใด แต่ดูเหมือนว่าสถานที่ที่แต่ละคนไปนั้นก็แตกต่างกัน” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสพูด “แต่พวกเขาล้วนมิอาจพูดได้ชัดเจนถึงสถานที่ที่ไปอย่างเฉพาะเจาะจงได้”

“เช่นนี้…” เฟิงจือสิงสิ้นหวังอยู่บ้าง

“เจ้ากลับไปก่อนดีกว่า ถ้าหากเขากลับมาจากที่อื่น เจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีทางเห็นหรอก” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสพูด “อีกประเดี๋ยวข้ายังต้องไปที่จวนแม่ทัพเพื่อนำข่าวนี้ไปแจ้งให้จวนซือหม่าทราบสักหน่อย”

“ข้าไปกับท่านด้วยก็แล้วกัน” ทันใดนั้นเฟิงจือสิงก็คิดสิ่งใดขึ้นมาได้แล้วพูดกับอาจารย์ใหญ่

อาจารย์ใหญ่พยักหน้า แล้วคนทั้งสองก็ไปยังจวนแม่ทัพ

เมื่อซือหม่าเลี่ยได้ยินว่าไร้ซึ่งข่าวคราวของซือหม่าโยวเย่ว์พลันตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง แทบจะออกไปตามหาเธอในทันทีทันใด แต่ไม่รู้ว่าค่ายกลนำส่งพาตัวเธอไปแห่งหนไหน คิดอยากจะหาก็ไร้ซึ่งหนทาง

“ท่านแม่ทัพซือหม่า ท่านน่าจะมีป้ายชีวิตของนักเรียนโยวเย่ว์อยู่กระมัง” เฟิงจือสิงถาม

ซือหม่าเลี่ยได้ฟังคำพูดของเฟิงจือสิงเข้าสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาก่อนจะถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”

“ท่านอย่าเพิ่งสนใจเลยขอรับว่าข้าไปรู้มาจากที่ใด ท่านรีบไปดูป้ายชีวิตของนางก่อนเถิดว่าหมดไปแล้วหรือยัง” เฟิงจือสิงพูดอย่างเร่งร้อน

ซือหม่าเลี่ยเห็นความกังวลบนใบหน้าของเฟิงจือสิง จึงมิได้ตอแยถามคำถามนี้ต่อไปอีก ชั่วความคิดวูบไหวคราหนึ่ง หีบหยกสีดำใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา

เขาเปิดหีบหยกสีดำออก ด้านในมีหยกสีขาวชิ้นหนึ่ง ภายในหยกมีปื้นสีแดงอยู่สองวงที่ดูคล้ายกับหยาดโลหิตมนุษย์

“นี่ก็คือป้ายชีวิตของโยวเย่ว์ ยังคงสมบูรณ์ไร้จุดบกพร่อง แค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าตอนนี้นางยังมีชีวิตอยู่” ซือหม่าเลี่ยมองดูชิ้นหยกขาวพลางเอ่ยขึ้น

เมื่อได้ฟังคำพูดของซือหม่าเลี่ย จิตใจที่ลอยคว้างของเฟิงจือสิงจึงค่อยผ่อนคลายลง

“เพราะป้ายชีวิตของนางมิได้มีความเคลื่อนไหวอันใด ดังนั้นนางย่อมปลอดภัย” ซือหม่าเลี่ยวางป้ายชีวิตกลับลงไป แล้วเก็บหีบหยกสีดำกลับเข้าไปภายในแหวนเก็บวัตถุอีกครั้ง เขามองเฟิงจือสิงแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าก็บอกข้ามาได้แล้วกระมังว่าเจ้ารู้เรื่องที่โยวเย่ว์มีป้ายชีวิตได้อย่างไร”

เฟิงจือสิงพูดว่า “ข้าย่อมต้องรู้แน่นอนอยู่แล้ว เพราะข้าช่วยมารดาของนางทำป้ายชีวิตนี้จนสำเร็จ”

“เช่นนั้นเจ้าก็คือ…” ซือหม่าเลี่ยมองเฟิงจือสิงอย่างตกตะลึง

“ใช่แล้ว” เฟิงจือสิงตอบ “อย่าบอกเรื่องนี้กับโยวเย่ว์ล่ะขอรับ”

“ข้ารู้อยู่แล้วน่า” ซือหม่าเลี่ยพูด

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นพวกเราก็ขอตัวกลับวิทยาลัยก่อนนะ” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสพูด

“เอาละ เมื่อใดที่มีข่าวคราวของเด็กผู้นั้น ก็รบกวนพวกเจ้าช่วยมาบอกข้าสักคำหนึ่งก็แล้วกัน” ซือหม่าเลี่ยพูด

“ได้สิ”

หลังจากที่ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสและเฟิงจือสิงกลับไปแล้ว พวกซือหม่าโยวฉีก็มาที่เรือนของซือหม่าเลี่ยพลางถาม “ท่านปู่ น้องห้ามิได้รับอันตรายอันใดใช่หรือไม่ขอรับ”

“ตอนนี้รู้เพียงแค่ว่ามิได้เป็นอันตรายถึงชีวิต” ซือหม่าเลี่ยพูด “แต่ที่จริงแล้วสถานการณ์ของเขาในตอนนี้เป็นเช่นไร เพียงแค่ป้ายชีวิตก็มองไม่ออกหรอก”

“พวกเราไปตามหาน้องห้ากันเถิด” ซือหม่าโยวหรานพูด

“กลับมานี่!” ซือหม่าเลี่ยเรียกให้พวกเขาหยุดเอาไว้แล้วพูดว่า “พวกเจ้าก็รู้จักค่ายกลนำส่งนั่นของวิทยาลัยกันดีอยู่แล้ว ตอนนี้โยวเย่ว์ถูกส่งตัวไปแห่งหนใดก็มิมีผู้ใดล่วงรู้ได้ ดินแดนอี้หลินกว้างใหญ่ไพศาล แล้วพวกเจ้าจะไปหาที่ไหนกันเล่า”

“แต่พวกเราก็มิอาจรออยู่เฉยๆ เช่นนี้ได้หรอก!” ซือหม่าโยวหมิงพูด

“นอกจากรอ ตอนนี้พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว” ซือหม่าเลี่ยพูด

“แต่ป้ายชีวิตของน้องห้ายังคงสมบูรณ์ไร้จุดบกพร่อง พวกเราก็รู้สถานการณ์คร่าวๆ ของเขาได้แล้วนี่” ซือหม่าโยวหรานพูด “น้องห้าอาจประสบเรื่องบางอย่างทำให้กลับมาไม่ได้ชั่วคราว ไม่แน่ว่าอีกม่กี่วันก็อาจจะกลับมา”

“เฮ้อ…”

วันต่อๆ มา เฟิงจือสิงก็มาถามถึงเรื่องป้ายหยกของซือหม่าโยวเย่ว์ทุกสามวันห้าวัน ทุกคนเคยชินกับการมองดูป้ายหยกว่ายังสมบูรณ์ดีอยู่หรือไม่ทุกเช้าเย็น

ถึงแม้จะรู้ว่าตอนนี้เธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ในวิทยาลัยกลับมีข่าวแพร่ออกไปว่าซือหม่าโยวเย่ว์หลงเข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่แล้วถูกส่งตัวไปยังสถานที่ที่ไม่ทราบนามและจบชีวิตลงเสียแล้ว

หลังจากที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ภายในวิทยาลัยมีทั้งคนที่ยินดีและคนที่เป็นกังวล แน่นอนว่าผู้ที่เบิกบานใจก็คือผู้ที่รังเกียจซือหม่าโยวเย่ว์ หนึ่งในนั้นก็คือมู่หรงอานและคนตระกูลน่าหลาน

ส่วนผู้ที่กังวลใจนั้นนอกจากเพื่อนร่วมหอพักของเธอและเฟิงจือสิงแล้วก็ยังมีเมิ่งถิงอีกคน

กาลเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่กลับมา นอกจากคนไม่กี่คนที่เป็นห่วงเธอแล้วคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะมั่นใจว่าเธอตายไปแล้ว หัวใจที่ลอยคว้างของเหอชิวจือก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง

ในขณะที่ทุกคนกำลังเป็นกังวลกับซือหม่าโยวเย่ว์ เธอกลับกำลังตั้งอกตั้งใจฝึกยุทธ์อยู่ภายในหุบเขา

เพราะว่ามาถึงระดับปรมาจารย์วิญญาณแล้วเธอจึงไม่จำเป็นต้องอีกต่อไป

ดังนั้นช่วงหลังเธอจึงบำเพ็ญครั้งหนึ่งเป็นเวลาหลายวัน หากใช้คำในชาติก่อนมาพูดก็คือกะพริบตาทีเดียวก็ผ่านไปหลายวันแล้ว

เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ใต้ฝ่าเท้าของเธอก็มีลำแสงแห่งการเลื่อนระดับปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่การเลื่อนระดับสิ้นสุดลง เธอก็เป็นปรมาจารย์วิญญาณขั้นห้าเรียบร้อยแล้ว

พลังวิญญาณภายในถ้ำใต้ภูเขาถูกใช้ไปไม่น้อย ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปรอบๆ ปราดหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าถ้ำใต้ภูเขาเล็กๆ แห่งนี้จะรวบรวมเอาปราณวิญญาณธาตุไฟเอาไว้อย่างเข้มข้นถึงเพียงนี้ ทำให้เธอยกระดับขึ้นมาได้ถึงสี่ขั้นในชั่วครู่เดียว

“ไม่ใช่เพียงแค่ปัจจัยจากสภาพแวดล้อมนี้เท่านั้น” เจ้าวิญญาณน้อยเปล่งเสียงพูด “ก่อนหน้านี้เจ้าทำพันธสัญญากับเจ้าไข่สัตว์อสูรนั่น จึงมีพลังงานบางอย่างรวมตัวอยู่ในร่างของเจ้า พลังงานเหล่านั้นค่อยๆ ปลดปล่อยพลังออกมา บวกกับสภาพแวดล้อมนี้ เจ้าจึงยกระดับได้ถึงสี่ขั้น”

ที่แท้เพราะไข่สัตว์อสูรฟองนั้นด้วยสินะ!

ไข่สัตว์อสูรที่ทำให้พลังยุทธ์ของเธอพุ่งสูงขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ ที่แท้แล้วมันเป็นสัตว์อสูรวิเศษอะไรกันแน่

“เย่ว์เย่ว์ ตอนที่เจ้าบำเพ็ญ ข้าได้ออกไปดูข้างนอกมารอบหนึ่ง พอออกจากแก่งหินแห่งนี้ไปก็คือทิวเขาดูเหมือนว่าเทือกเขาแห่งนี้จะใหญ่โตมากทีเดียว”

“เทือกเขาที่ใหญ่โตมากอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ใคร่ครวญอยู่ในหัวรอบหนึ่ง เทือกเขาที่ใหญ่โตของอาณาจักรเป่ยเฉิน แห่งหนึ่งคือเทือกเขาผู่หลัวที่อยู่ทางทิศใต้ ส่วนอีกแห่งหนึ่งคือเทือกเขาปี่ลี่ที่อยู่ทางทิศตะวันตก

เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างเทือกเขาสองแห่ง เทือกเขาผู่หลัวมีขนาดเล็กกว่าอยู่พอสมควร เทือกเขาปี่ลี่จึงใหญ่กว่านิดหน่อย นอกจากนี้สัตว์อสูรวิเศษที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาปี่ลี่ก็ยังมีระดับขั้นสูงกว่ามากอีกด้วย

“ตอนนี้ไม่รู้ว่าพวกเราอยู่กันที่เทือกเขาปี่ลี่หรือว่าเทือกเขาผู่หลัวกันแน่” เธอลุกขึ้นปัดฝุ่นผงบนเสื้อผ้าของตนเอง

“พวกเราออกไปจากแก่งหินแล้วจับสัตว์อสูรวิเศษมาถามสักตัวก็ใช้ได้แล้วกระมัง” เจ้าคำรามน้อยพูด

“อืม ตอนนี้ก็ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว”

ซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มเจ้าคำรามน้อยออกไปจากถ้ำภูเขา แล้วเดินตรงไปตามแก่งหิน เพียงไม่นานก็ออกมาแล้วเข้าไปภายในถ้ำใต้ภูเขาอีกแห่งหนึ่ง ยังไม่ทันจะได้ตรวจตราดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ เธอก็ได้ยินเจ้าคำรามน้อยพูดว่า “เย่ว์เย่ว์ ที่ริมแม่น้ำนั่นมีคนอยู่คนหนึ่ง!”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองตามไปยังทิศทางที่เจ้าคำรามน้อยพูดก็เห็นว่าบนก้อนหินใหญ่มีคนผู้หนึ่งอยู่จริงๆ เขานอนอยู่บนก้อนหินและหันหน้าไปยังอีกด้านหนึ่ง รอยเลือดบนร่างกายอาบย้อมก้อนหินไปกว่าครึ่งจนแดงฉาน

…………………

Related

เปลวเพลิงบนร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้ห้องศิลาสว่างไสวราวกับกลางวัน เธอรู้สึกว่าเส้นลมปราณและโครงกระดูกในร่างกายกำลังถูกเผาไหม้จนหมดสิ้น

ทว่าเป็นความรู้สึกแตกต่างไปจากตอนที่ฝ่ามือถูกเผาไหม้เมื่อครู่ ร่างกายของเธอไม่ได้ถูกแผดเผาเลยแม้แต่น้อย เปลวเพลิงนั้นดูคล้ายว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเธอเองอย่างไรอย่างนั้น เผาผลาญไปสรรพางค์กายฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนเส้นลมปราณเหล่านั้นถูกเผาไปเสียจนสะอาดสะอ้าน เส้นลมปราณที่เคยตีบตันก่อนหน้านี้ก็ถูกทะลวงไปรอบหนึ่ง ไม่เพียงแต่สิ่งที่อุดกั้นอยู่จะหายไปเป็นปลิดทิ้ง แต่เธอยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเส้นลมปราณของตนขยายกว้างขึ้นอีกด้วย

เส้นลมปราณขยายกว้างขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่าต่อจากนี้ไปตอนที่เธอฝึกยุทธ์จะดูดซับปราณวิญญาณในเวลาเดียวกันได้มากขึ้น เธอก็จะฝึกยุทธ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น!

นอกจากเส้นลมปราณแล้ว กระดูกของเธอก็ถูกแผดเผาจนทนทานมากกว่าเดิม หรือแม้กระทั่งเลือดเนื้อก็แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มากมาย

เธอทิ้งตัวลงบนพื้น ความเจ็บปวดบนร่างกายทำให้อดที่จะดิ้นทุรนทุรายบนพื้นไม่ได้ พยายามใช้วิธีการเช่นนี้มาบรรเทาความเจ็บปวด แต่ไม่ว่าจะเจ็บปวดเพียงใดเธอก็พยายามขบฟันเอาไว้ ไม่ให้ตนเองร้องออกมาแม้แต่เสียงเดียว

เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ร่างกายของเธอถูกสิ่งที่คล้ายตะกอนดำสกปรกปกคลุม ความรู้สึกที่ถูกเปลวเพลิงบนร่างแผดเผาครั้งแล้วครั้งเล่า จากความเจ็บปวดในตอนแรกอันยากที่จะทานทน จนถึงความชินชาในตอนหลัง เธอไม่รู้ว่าตนเองอดทนอยู่เนิ่นนานเพียงใด

“เย่ว์เย่ว์คงไม่เป็นไรกระมัง” เจ้าคำรามน้อยมองภาพเหตุการณ์ภายนอกอย่างเป็นกังวล

“ไม่หรอก นางจะต้องอดทนผ่านมันไปได้แน่” เจ้าวิญญาณน้อยพูดด้วยอารมณ์อ่อนไหวอยู่บ้าง

ก่อนหน้านี้มันรู้สึกอยู่ตลอดว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยที่เพิ่งเริ่มต้นฝึกยุทธ์เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะมีอุปนิสัยที่มุมานะถึงเพียงนี้ พวกมันสัมผัสถึงความเจ็บปวดบนร่างกายของเธอผ่านสายสัมพันธ์ของการทำพันธสัญญา ก็ย่อมต้องเข้าใจดีอยู่แล้วว่าตอนนี้เธอได้รับความทุกข์ทรมานเพียงใด

แต่คราวนี้ดันถูกสายตาอันแน่วแน่ของเธอทำให้สั่นสะท้านไปเสียแล้ว ในช่วงที่ทรมานที่สุด คนที่มีแววตามานะเช่นนี้ได้ ในอนาคตจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“ฮ่า ข้าก็บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าเย่ว์เย่ว์น้อยไม่เลวเลยทีเดียว!” หลิงหลงเอนกายอยู่บนร่างของเจ้าคำรามน้อยพลางยกขาข้างหนึ่งพาดเข่า แล้วประสานมือทั้งสองเอาไว้ที่ท้ายทอย ไม่กังวลใจแต่อย่างใด

ผู้ที่เข้าใจวิญญาณของมันได้ย่อมไม่ถูกความเจ็บปวดเล็กน้อยเพียงแค่นี้ทำอะไรได้อยู่แล้ว

นอกจากพวกมัน ศิลาวิญญาณที่ถูกโยนส่งๆ ไปด้านหนึ่งก็ทอประกายออกมาจางๆ เพราะภาพเหตุการณ์ภายนอกด้วย

เจ้าวิญญาณน้อยมองเห็นศิลาวิญญาณแล้วสองตาก็หรี่ลง

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด ในขณะที่เธอรู้สึกว่าตนเองกำลังจะต้านไม่ไหวอยู่แล้ว เปลวเพลิงบนร่างก็ค่อยๆ อ่อนลงจนในที่สุดก็หายลับไปจากสายตา

“กึกๆ…” เธอขยับนิ้วมือไปมา ข้อต่อก็ส่งเสียงกรอบแกรบ

เธอขยับร่างกายอีกครั้ง ข้อต่อบนร่างกายก็ยังคงติดขัดอยู่บ้างเช่นเดิม แต่ยังดีที่หลังจากขยับไปหลายครั้งก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เธอเอนตัวลงบนพื้นแล้วหอบหายใจเฮือกใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า

ประสบการณ์เมื่อครู่ทำให้เธอรู้สึกคล้ายว่าตนเองฟื้นขึ้นมาจากทะเลเพลิงในขุมนรกอย่างไรอย่างนั้น

“เพลิงนิพพานแผดเผาร่างกายของเจ้าไปแล้ว จะช่วยให้การฝึกยุทธิ์ของเจ้าดีขึ้นมากทีเดียว” เสียงก่อนที่จะทำพันธสัญญาเสียงนั้นดังขึ้น

“เพลิงนิพพานหรือ เจ้าเป็นใครกัน เพราะเหตุใดเจ้าจึงริเริ่มทำพันธสัญญากับข้าได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเสียงนั้นแล้วก็ถามคำถามขึ้นมาติดกันเป็นชุด

“ข้าชื่อเพลิงชาด ตอนนี้เจ้ายังไม่จำเป็นต้องถามคำถามอื่นใด เพราะเมื่อถึงเวลาแล้วเจ้าก็จะรู้ได้เอง” เพลิงชาดเอ่ยตอบ

น้ำเสียงของมันค่อนข้างทุ้มต่ำ แต่กลับมีแรงดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง

“พวกเราทั้งสองมิได้มีการทำพันธสัญญากันแล้วหรอกหรือ ในเมื่อผูกพันเข้าด้วยกันแล้วยังมีสิ่งใดที่ไม่อาจบอกให้กันและกันรู้ได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามกลับ

“ตอนนี้รู้มากไปก็ไม่เป็นผลดีต่อเจ้า” เพลิงชาดพูด “ร่างกายของเจ้าย่ำแย่เหลือเกิน ข้าใช้เพลิงนิพพานเผาผลาญเพื่อดัดแปลงแก้ไขให้เจ้าแล้วรอบหนึ่ง หลังจากนี้ไปความเร็วในการฝึกยุทธ์ของเจ้าก็จะเพิ่มขึ้นมาก เจ้าลองดูที่จุดตันเถียนของเจ้าสิ”

“ตอนนี้ข้ายังไม่อาจพินิจภายในได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบ

“ทำได้แล้ว เจ้าลองดูสิ” เพลิงชาดพูด

หรือว่าเขาดัดแปลงแก้ไขร่างกายเพียงแค่ครั้งเดียว ตนก็พินิจภายในได้แล้วอย่างนั้นหรือ ซือหม่าโยวเย่ว์แอบคิด แต่ว่าเธอก็ยังทำตามเพลิงชาดโดยลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วหลับตาลง ก่อนจะใช้สติรับรู้ของตนลองประเมินร่างกายดู

สิ่งนี้หากไม่ลองก็ไม่รู้ เมื่อลองดูแล้วก็ตกใจจนแทบกระโดด เธอมองเห็นโครงสร้างภายในของร่างกายตัวเองได้แล้วจริงๆ เธอมองเห็นเส้นลมปราณทุกเส้น กระดูกทุกท่อน และเส้นเลือดทุกเส้นของเธอได้อย่างกระจ่างชัด

“ไปที่จุดตันเถียน!” เพลิงชาดพูด

“ได้”

เธอเคลื่อนสติรับรู้ภายในร่างกายต่อไป เพียงไม่นานก็มาถึงบริเวณจุดตันเถียนของเธอ สิ่งแรกที่สะดุดตาเธอคือของที่ดูคล้ายกับบ่อเก็บน้ำที่มณีวิญญาณเตรียมเอาไว้ เจ้าวิญญาณน้อยบอกว่านั่นคือบ่อสะสมปราณ

บ่อสะสมปราณถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน ชั้นแรกของทุกส่วนล้วนถูกบรรจุจนแน่น ในบรรดานั้นมีส่วนที่เป็นสีแดงอยู่มากที่สุด เห็นได้ว่าตอนนี้พลังวิญญาณธาตุไฟของเธอนั้นเยี่ยมยอดที่สุด

คนแคระที่แปลงกายมาจากสติรับรู้หยุดลงบนบ่อสะสมปราณ เห็นว่าตรงกลางมีพื้นที่ที่ดูคล้ายกับทรงกระบอกอยู่อันหนึ่ง ด้านในไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลยแม้แต่น้อย มีเพียงไข่มุกเม็ดจิ๋วสีแดงเม็ดหนึ่งหมุนโคจรอยู่ด้านในอย่างต่อเนื่อง

เธอมองไข่มุกเม็ดจิ๋วนั้นแล้วก็ถามขึ้นอย่างใคร่รู้ว่า “นี่คืออะไรหรือ”

“นี่คือสิ่งที่ก่อตัวขึ้นมาจากการเปลี่ยนแปลงร่างกายของเจ้า อาจพูดได้ว่าก่อตัวขึ้นจากตอนที่ข้าผสานรวมกับของสิ่งนั้นในร่างกายเจ้า” เพลิงชาดเอ่ยตอบ “เจ้าเงยหน้ามองสิ”

คนแคระแห่งสติรับรู้เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นปราณวิญญาณสีแดงหลั่งไหลเข้ามาจากเส้นลมปราณอย่างต่อเนื่อง แล้วสะสมรวมกันอยู่ภายในบ่อสะสมปราณสีแดง

“นี่คือปราณวิญญาณธาตุไฟอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างสงสัย “แต่ข้าก็ยังมิได้ฝึกยุทธ์เสียหน่อยนี่!”

“นี่ก็คือประโยชน์ของไข่มุกนั่นอย่างไรเล่า” เพลิงชาดพูด “ขอเพียงแค่มันหมุนก็จะดูดซับปราณวิญญาณเองได้ ดังนั้นต่อให้เจ้ามิได้ฝึกยุทธ์ แต่ปราณวิญญาณก็จะตรงมาที่นี่แล้ว”

“เยี่ยมยอดถึงเพียงนี้เชียว!” ซือหม่าโยวเย่ว์ร้องอุทานขึ้นมาอย่างยินดี

นี่มิได้มีค่าเท่ากับอุปกรณ์เสริมขั้นสูงชิ้นหนึ่งเลยหรือ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ฝึกยุทธ์ก็เพิ่มพูนพลังวิญญาณได้อยู่ดี เช่นนั้นเธอก็จะมีเวลาเหลือไปทำธุระของตนเองได้มากยิ่งขึ้น!

เพราะว่าตื่นเต้นมากเกินไป สติรับรู้ของเธอจึงระเบิดออกมาจากภายในร่างกายในทันใด การพินิจภายในสิ้นสุดลง

“ตอนนี้พลังยุทธ์ของเจ้าช่างอ่อนแอเหลือเกิน ต้องอาศัยเวลาฝึกยุทธ์อย่าได้เกียจคร้าน สถานที่แห่งนี้เก็บสะสมพลังธาตุไฟที่ข้าสำแดงออกมาตลอดหนึ่งพันล้านปี เจ้าฝึกยุทธ์อยู่ที่นี่ ระยะเวลาหลังจากนี้ไปข้าจะเข้าสู่ภาวะนิทรา หากไม่มีปัญหาก็อย่าเรียกข้าออกมา”

เพลิงชาดพูดจบก็เงียบไป ซือหม่าโยวเย่ว์รับสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง เจ้านี่นอนหลับไปแล้วจริงๆ ด้วย

“นอนไวจริงเชียว อย่างน้อยก็ต้องบอกสักนิดไม่ใช่หรือว่าตนเองเป็นสัตว์อสูรวิเศษสายพันธุ์ใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปากพูด

“แค่กๆ ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่มีผู้คน แต่เย่ว์เย่ว์ เจ้าสวมเสื้อผ้าเสียก่อนเถิด” เจ้าคำรามน้อยส่งเสียงเตือน

ซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยค้นพบว่าเสื้อผ้าของตนถูกเปลวเพลิงเมื่อครู่แผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปเสียแล้ว จึงรีบหยิบเสื้อผ้าบุรุษจากภายในแหวนเก็บวัตถุออกมาสวม

หลังจากสวมเสื้อผ้าแล้วเธอค่อยมีกะจิตกะใจคิดเรื่องอื่น ในเมื่อที่นี่มีปราณวิญญาณธาตุไฟอยู่อย่างเข้มข้นถึงเพียงนี้ เธอก็ย่อมมิอาจทิ้งให้สิ้นเปลืองไปเปล่าๆ อย่างแน่นอน หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าที่นี่ไม่มีของสิ่งอื่นอยู่อีก เธอจึงมายังจุดที่ไข่สัตว์อสูรเพลิงชาดอยู่เมื่อครู่แล้วนั่งขัดสมาธิลงเริ่มต้นฝึกยุทธ์

และในขณะเดียวกันนี้เองที่ภูเขาด้านหลังของราชวิทยาลัย การเลือกไข่สัตว์อสูรผ่านพ้นไปเป็นเวลาถึงสามวันแล้ว ดังนั้นนักเรียนทั้งหมดล้วนหอบไข่สัตว์อสูรที่เลือกออกมาเรียบร้อยตั้งแต่วันแรกหรือวันที่สอง ยกเว้นก็แต่ซือหม่าโยวเย่ว์เท่านั้น

เฟิงจือสิงยังคงรอคอยอยู่ภายในถ้ำภูเขา มองดูค่ายกลนำส่งอันที่สี่ คอยจับจ้องดูว่าเมื่อใดมันจะสว่างขึ้นมาเสียที

“เจ้าคิดจะรออยู่ที่นี่ไปนานเพียงใดกัน” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสมาถึงยังถ้ำภูเขาแล้วมองเฟิงจือสิงพลางถามขึ้น

“ก็รอจนกว่าเขาจะกลับมานั่นแหละ” เฟิงจือสิงมองท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสปราดหนึ่งแล้วก็เบนความสนใจไปยังค่ายกลอีกครั้ง

ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสมองเฟิงจือสิงแล้วถามออกมาในทันใด “ที่แท้แล้วเจ้ากับเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่”

เมื่อเห็นเฟิงจือสิงมองมาทางตน เขาจึงเอ่ยถามข้อสงสัยภายในใจออกมา “เจ้าปฏิบัติต่อเขาไม่เหมือนกับอาจารย์ที่ปฏิบัติต่อศิษย์ธรรมดาทั่วไป ตอนที่เจ้าอยากจะมาสอนหนังสือที่วิทยาลัยก็เป็นเพราะเขาใช่หรือไม่ ที่แท้แล้วระหว่างพวกเจ้ามีความสัมพันธ์ใดกัน”

…………………………

Related

เจ้าคำรามน้อยเหาะไปอยู่ข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ เมื่อเห็นเธอหยุดลงจึงเอ่ยถาม “เย่ว์เย่ว์ มีอะไรหรือ”

“เจ้าได้ยินเสียงอันใดบ้างหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลยด้วยซ้ำ แล้วจะมีเสียงอะไรได้อย่างไร” เจ้าคำรามน้อยตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยจริงๆ

“มีสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็วิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนไปถึงตรงหน้าถ้ำใต้ภูเขาแห่งหนึ่ง

“เย่ว์เย่ว์ เจ้ารู้ได้อย่างไรกันว่าที่นี่มีถ้ำอยู่” เจ้าคำรามน้อยติดตามซือหม่าโยวเย่ว์มาเมื่อเห็นถ้ำดำทะมึนจึงเอ่ยถามขึ้น

“ข้าเองก็ไม่รู้ เสียงนั่นพาข้ามาจนถึงที่นี่” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบ

“ภายในนั้นคืออะไรกัน” เจ้าคำรามน้อยถาม

“ไม่รู้สิ เข้าไปดูเดี๋ยวก็จะรู้เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์หาท่อนไม้มาท่อนหนึ่ง หลังจากซัดลูกไฟลูกหนึ่งขึ้นให้ลุกไหม้บนท่อนไม้นั้นแล้วก็มุ่งหน้าเข้าไปข้างในพร้อมกับเจ้าคำรามน้อย

ยิ่งเข้าไปข้างใน อุณหภูมิของถ้ำก็ยิ่งสูงขึ้น คล้ายกับจะย่างคนให้ไหม้เกรียมอย่างไรอย่างนั้น

“เย่ว์เย่ว์ ที่นี่ช่างร้อนเหลือเกิน!” เจ้าคำรามน้อยทนไม่ไหวอยู่บ้าง มันไม่เคยหลั่งเหงื่อมาก่อนเลย แต่ในตอนนี้ขนของมันกลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเสียแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นสภาพของเจ้าคำรามน้อยแล้วก็รีบเก็บมันเข้าไปไว้ภายในมณีวิญญาณ ส่วนตนเองมุ่งหน้าเดินต่อไป

เพราะอุณหภูมิสูงเกินไป ท่อนไม้จึงถูกเผาไหม้จนหมดไปอย่างรวดเร็ว ยังดีว่าก่อนที่เปลวเพลิงจะถูกเผาไหม้จนมอดดับ เธอก็เดินไปจนสุดทางแล้ว มาถึงภายในห้องศิลาที่อยู่ด้านในสุด

เธอหาไข่มุกกระจ่างราตรีเม็ดหนึ่งเจอภายในแหวนที่บิดามอบให้ หลังจากที่หยิบไข่มุกกระจ่างราตรีมาไว้ในมือแล้ว ห้องศิลาก็สว่างไสวขึ้นมาไม่น้อย

ตอนที่เธอเข้ามาอาศัยคลำทางเข้าจากกำแพง ไข่มุกกระจ่างราตรีทำให้ผนังศิลาข้างๆ เธอสว่างไสวขึ้นมา เธอจึงได้รู้ว่าผนังศิลานี้ล้วนเป็นสีแดงทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างระยะหนึ่ง เธอก็ยังรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิอันร้อนระอุที่แผ่ออกมาจากบนกำแพงศิลา

“นี่มันสถานที่อันใดกัน ช่างมีปราณวิญญาณเพลิงเข้มข้นเหลือเกิน ถ้าหากบำเพ็ญอยู่ที่นี่ไม่รู้ว่าระดับขั้นจะเพิ่มพูนไปได้มากเท่าใด” ซือหม่าโยวเย่ว์หลับตาลงสูดกลิ่นครั้งหนึ่งแล้วก็รู้สึกว่ารอบกายทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยจุดแสงสีแดง คล้ายกับว่าจะห่อหุ้มเธอเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น

“เข้มข้นยิ่งกว่าข้างในของข้าเสียอีก!” มณีวิญญาณพูด “เจ้านาย ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนออกไปเลย อยู่ฝึกยุทธ์ที่นี่ระยะหนึ่งก่อน จะต้องก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ อย่างแน่นอน!”

“ขอข้าดูรอบห้องศิลาให้ทั่วก่อนค่อยเริ่มก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็ตื่นเต้นอยู่พอสมควร รอให้เธอฝึกยุทธ์ออกไปก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นยอดฝีมือก็เป็นได้!

เธอเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้จุดศูนย์กลางของห้องศิลา ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ประตูทางเข้าห้องศิลาก็เห็นแล้วว่าตรงกลางมีเงาเลือนรางอยู่ เพราะว่าแสงสว่างไม่เพียงพอเธอจึงมองไม่เห็นว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่

“ไข่สัตว์อสูรนี่!” ในขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ห่างจากไข่สัตว์อสูรไปหนึ่งช่วงแขน ไข่สัตว์อสูรนั้นก็เปล่งประกายสีแดงออกมาในทันใด บาดตาเสียจนเธอต้องรีบยกแขนขึ้นมาบังดวงตาไว้

เมื่อประกายเจิดจ้าจางหายไปเธอจึงวางแขนลง มองเห็นไข่สัตว์อสูรเปล่งประกายสีแดงอ่อนจาง ทำให้ทั่วทั้งห้องศิลาสว่างขึ้นมา ทำให้เธอมองเห็นสภาพแวดล้อมของที่นี่ได้อย่างชัดเจน

นอกจากเธอกับไข่สัตว์อสูรฟองนี้แล้ว ในห้องศิลาก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอยู่อีก และไข่สัตว์อสูรฟองนี้ก็มีความสูงพอๆ กับช่วงอกของเธอเลยทีเดียว คาดว่าเธอใช้ทั้งสองแขนก็ไม่อาจโอบรอบมันได้

ด้านบนของไข่สัตว์อสูรมีลวดลายคล้ายเปลวเพลิงหลายกอง ทำให้เธอมองเสียจนเคลิบเคลิ้มหลงใหล อดที่จะยื่นมือออกไปสัมผัสมิได้

แถบผ้าที่มัดอยู่บนมือขวา เพราะว่าอุณหภูมิสูงเกินไป เธอจึงถอดทิ้งไปตั้งแต่อยู่ในอุโมงค์แล้ว ในขณะที่บาดแผลสัมผัสถูกไข่สัตว์อสูรนั้นเอง ทั้งฝ่ามือของเธอก็คล้ายกับถูกดูดซับเข้าไปที่ด้านบนของเปลือกไข่หลังจากที่ไข่สัตว์อสูรได้ดูดซับฝ่ามือของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วอุณหภูมิก็พุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลัน ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเนื้อตรงฝ่ามือของตนกำลังถูกย่าง ถึงขนาดที่เธอได้กลิ่นเนื้อไหม้เสียด้วยซ้ำ

เธอคิดจะดึงมือของตัวเองกลับมา แต่พละกำลังในร่างกายคล้ายจะไหลออกไปกับหยาดโลหิตด้วย เธอทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ที่นั่นนิ่งๆ มองดูเลือดของตัวเองไหลออกมาจากฝ่ามือไปบนไข่สัตว์อสูร ก่อนจะก่อตัวเป็นอักขระแปลกประหลาด หลังจากนั้นก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน

“ด้วยโลหิตของเจ้า เข้าครอบครองร่างข้า พาสายโลหิตเชื่อมสัมพันธ์ ชั่วนิรันดร์ร่วมเป็นตาย เปล่งประกายพันธสัญญา เจิดจรัสทั่วฟ้าดิน มนุษย์เอ๋ย เจ้าต้องการจะทำพันธสัญญากับข้าหรือไม่” น้ำเสียงจริงจังเสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้สมองที่เกือบจะสิ้นสติของซือหม่าโยวเย่ว์กระจ่างขึ้นมาในทันที

ความเจ็บปวดอย่างสาหัสทำให้ร่างกายของเธอสั่นสะท้านไปหมด ถึงจะกัดฟันก็ยังคงไม่หยุดสั่น เมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่แฝงความกดดันเอาไว้เสียงนั้นแล้ว แม้ว่าเธออยากจะเอ่ยคำพูดแต่ก็มิอาจส่งเสียงใดๆ ออกมาได้เลย

“เจ้าต้องการหรือไม่” เมื่อไม่ได้ยินคำตอบของซือหม่าโยวเย่ว์ เสียงนั้นจึงถามขึ้นอีกรอบหนึ่ง

“ข้า…ต้อง…ต้องการ…” เธอเค้นคำพูดลอดไรฟันออกมาได้ไม่กี่พยางค์อย่างยากลำบาก เพียงแค่นี้ก็ใช้พละกำลังในร่างกายเธอไปจนหมดสิ้นแล้ว

เมื่อเธอเปล่งเสียงออกไป ใต้เท้าของเธอก็มีลวดลายรูปร่างดาวห้าแฉกอันหนึ่งปรากฏขึ้นมา ประกายสีเงินยวงที่เปล่งออกมาโอบล้อมเธอกับไข่สัตว์อสูรเข้าไว้ด้วยกัน เธอรู้สึกว่าความเจ็บปวดบนร่างกายหายไปเป็นปลิดทิ้ง ร่างกายสดชื่นราวกับเดินเล่นอยู่ในสายน้ำอันอบอุ่น

ดาวห้าแฉกค่อยๆ หดเล็กลงอย่างช้าๆ ในที่สุดก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงสีขาวสองสาย สายหนึ่งแทรกผ่านเข้าไปยังทรวงอกของเธอ อีกสายหนึ่งพุ่งเข้าไปภายในไข่สัตว์อสูร ก่อให้เกิดการทำพันธสัญญา

เธอลูบทรวงอกของตนเอง สัมผัสถึงสายสัมพันธ์กับไข่สัตว์อสูรที่อยู่ตรงหน้าใบนี้ได้จากบริเวณนั้น

เธอถูกไข่สัตว์อสูรฟองหนึ่งทำพันธสัญญาเข้าแล้วอย่างนั้นหรือ!

ยังไม่ทันได้คิดใคร่ครวญถึงปัญหาข้อนี้ เธอก็รู้สึกว่าพลังวิญญาณวิ่งวนไปมาอยู่ภายในร่างกาย พลังภายในร่างกายพุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลัน และใต้ฝ่าเท้าก็มีดาวดวงน้อยดวงหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือสัญลักษณ์แทนระดับพลังวิญญาณของเธอนั่นเอง

หลังจากนั้น ในขณะที่เธอกำลังปากอ้าตาค้างอยู่ จากดาวดวงน้อยหนึ่งดวงก็กลายเป็นสองดวง จากสองดวงกลายเป็นสามดวง สามดวงกลายเป็นสี่ดวง และห้าดวง จนกระทั่งดวงดาวทั้งหมดเก้าดวงปรากฏขึ้น จากนั้นดวงดาวทั้งเก้าดวงก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้กันอย่างช้าๆ ก่อนจะมารวมเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นก็ค่อยๆ แยกตัวออกมากลายเป็นดวงจันทร์ดวงหนึ่งกับดวงดาวอีกดวง

ดาวดวงน้อยดวงนั้นสั่นไหว ข้างกายคล้ายกับว่ายังมีดาวอีกดวงหนึ่งกำลังจะออกมา แต่ว่าในท้ายที่สุดก็หยุดลงไปเสียก่อน

“ปรมาจารย์วิญญาณ ปรมาจารย์วิญญาณขั้นที่หนึ่ง!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูระดับขั้นที่ใต้ฝ่าเท้า จนกระทั่งลำแสงแห่งการเลื่อนระดับเลือนหายไปแล้วเธอก็ยังมิได้สงบท่าทีลงเลย

ก่อนหน้านี้เธอเคยได้ยินมาก่อนแล้วว่าการทำพันธสัญญาจะทำให้พละกำลังของคนเพิ่มพูนขึ้น แต่คิดไม่ถึงว่าตนทำพันธสัญญากับไข่สัตว์อสูรเพียงฟองหนึ่ง ไม่ถูกสิ เป็นการถูกไข่สัตว์อสูรฟองหนึ่งทำพันธสัญญาต่างหาก ถึงกับทำให้เลื่อนขึ้นไปหนึ่งระดับขั้นใหญ่เลยทีเดียว!

“การเลื่อนระดับนี้รวดเร็วเหมือนกับการดื่มน้ำเลยนะ!” เธออุทานออกมาอย่างอดไม่ได้

“เย่ว์เย่ว์ นั่นเป็นเพราะว่าสัตว์อสูรที่เจ้าทำพันธสัญญาด้วยนั้นมิใช่สัตว์อสูรธรรมดาทั่วไปน่ะสิ!”

เจ้าคำรามน้อยที่อยู่ภายในมณีวิญญาณพูด “การทำพันธสัญญานั้นยิ่งมีพลังยิ่งใหญ่ เป็นสัตว์อสูรวิเศษที่มีสายโลหิตสูงส่ง พลังที่ปรมาจารย์วิญญาณได้รับยิ่งเพิ่มมากขึ้น”

“น่าประหลาดนัก!” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“มีอะไรหรือ”

“ตอนที่ข้าเข้ามาก็มิอาจสัมผัสได้เลยว่าที่นี่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอยู่ เช่นนี้ก็พูดได้ว่าไข่สัตว์อสูรฟองนั้นเป็นไข่มรณะ” เจ้าวิญญาณน้อยเอ่ยอย่างสงสัย “แต่ตอนที่โลหิตของเจ้าหยดลงไปบนร่างกายของมัน ราวกับมันมีชีวิตขึ้นมาก็ไม่ปาน”

“จริงหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์สัมผัสถึงสายสัมพันธ์กับไข่สัตว์อสูรรอบหนึ่งแล้วก็แน่ใจว่าตอนนี้ไข่สัตว์อสูรฟองนี้คือไข่ที่มีชีวิตฟองหนึ่ง

นอกจากนี้เสียงตอนทำพันธสัญญาเมื่อครู่ ก็มิใช่เสียงที่มันเปล่งออกมาหรอกหรือ

“ข้าแน่ใจ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ไข่สัตว์อสูรฟองนี้ดูแล้วไม่เหมือนไข่สัตว์อสูรที่เพิ่งเกิด ถ้าหากก่อนหน้านี้มิใช่ไข่มรณะแล้วละก็ ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะยกระดับไปได้มากกว่านี้อีก”

ฉับพลันไข่สัตว์อสูรก็ขยับขึ้นมาคราหนึ่ง ขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังคิดว่ามันจะฟักตัวออกมา ไข่สัตว์อสูรก็พุ่งเข้ามาอย่างฉับพลันแล้วเจาะเข้ามาภายในร่างกายของเธอ

“อ๊ะ…”

ในขณะที่ไข่สัตว์อสูรเข้าไปภายในร่างกายนั้นเอง เธอก็รู้สึกคล้ายกับว่าร่างกายกำลังเผาไหม้ขึ้นมาในบันดล เปลวเพลิงกองหนึ่งห่อหุ้มตัวเธอไว้

…………………………

Related

เดิมทีเจ้าคำรามน้อยยังคิดอยากจะพูดอะไรอีก แต่เมื่อเห็นท่าทีแน่วแน่ของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงกลืนคำพูดที่มาถึงริมฝีปากแล้วกลับลงไป แล้วก็ไปอยู่ใกล้ๆ นาง หมายจะดูสักหน่อยว่ามีของสิ่งใดที่ดูเหมือนดวงตาค่ายกลบ้างหรือไม่

“ที่นี่ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน ไม่มีพระอาทิตย์ แล้วเจ้าแสงสว่างพวกนี้มาจากไหนกัน” เจ้าคำรามน้อยมายังต้นไผ่เพียงลำพังแล้วมองดูแสงสว่างที่เปล่งออกมาจากต้นไผ่ซึ่งอาบย้อมจนขนสีขาวบริสุทธิ์ของตนกลายเป็นสีเขียวพลางพูดอย่างสงสัย

แสงสว่างหรือ

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังวาจาของเจ้าคำรามน้อยแล้วความคิดสายหนึ่งก็วาบขึ้นมาในหัว ต้นไผ่เหล่านี้ล้วนเปล่งแสงจางๆ เหมือนกันหมด ถ้าหากหาต้นที่ไม่เปล่งแสงพบได้ ไม่แน่ว่าบางทีนั่นอาจจะเป็นดวงตาค่ายกล!

“ฮ่า เจ้าคำรามน้อย พวกเราไปหาต้นไผ่ที่ไม่เปล่งแสงกัน!” เธอยืนขึ้นแล้วปัดเศษใบไม้บนร่างกายพลางพูดกับเจ้าคำรามน้อยที่อยู่ด้านหลัง

“ต้นไผ่ที่ไม่เปล่งแสงอย่างนั้นหรือ จะหาสิ่งนั้นไปทำไมกัน” เจ้าคำรามน้อยบินเข้ามาถาม

“มันมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นดวงตาค่ายกล” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เอาเป็นว่าเจ้าช่วยข้าหาดูก่อนก็แล้วกัน”

“ได้สิ”

จากที่แต่เดิมทั้งคู่มัวแต่เดินไปทั่วป่าไผ่อย่างไร้จุดหมาย พอกำหนดว่าต้องหาต้นไผ่ที่ไม่มีแสงขึ้นมา จึงดูมีเป้าหมายขึ้นมาทันที “เจ้านาย ข้าสัมผัสได้แล้ว” เจ้าวิญญาณน้อยที่สงบเงียบมาโดยตลอด จู่ๆ กลับเปล่งเสียงพูดขึ้นมา

“เจ้าวิญญาณน้อย เจ้าสัมผัสสิ่งใดได้อย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดฝีเท้าแล้วถาม

“ที่นี่มีกลิ่นอายของศิลาวิญญาณอยู่” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“ศิลาวิญญาณ เป็นมณีเหมือนกันกับเจ้าหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามกลับ

“ของสิ่งนั้นจะมาเปรียบกับข้าได้อย่างไรเล่า ข้าเป็นมณีวิญญาณทิพย์ ทั่วฟ้าดินมีแค่ข้าเพียงก้อนเดียวเท่านั้น ข้าหลอมเป็นมณีวิญญาณ แบกรับฟ้าดินได้ เศษขยะเหล่านั้นอย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงแค่นำมาหล่อเลี้ยงวิญญาณเท่านั้น ไม่อาจนำมาหล่อเลี้ยงชีวิตได้เสียหน่อย” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างลำพองตน

“เช่นนั้นแล้วเจ้าจะตื่นเต้นไปทำไมกัน”

“เจ้าช่างโง่นัก! ในเมื่อนี่เป็นค่ายกลลวง แต่เจ้าดวงตาค่ายกลย่อมต้องทำมาจากสิ่งที่มีผลต่อวิญญาณ เช่นนี้จึงจะทำให้ค่ายกลใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าศิลาวิญญาณนั้นจะเป็นที่อยู่ของดวงตาค่ายกล?” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง

“เฮอะ ยังดีที่มิได้โง่มากนัก” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“เช่นนั้นเจ้าสัมผัสถึงกลิ่นอายของมันได้ แล้วสัมผัสถึงตำแหน่งที่มันอยู่ได้หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ถ้าหากอยู่ภายนอกค่ายกล ข้าก็ยังหามาได้อยู่หรอก แต่ว่าตอนนี้เราอยู่ภายในค่ายกล ข้าจึงสัมผัสได้เพียงว่ามันอยู่บริเวณใกล้ๆภายในบริเวณรัศมีห้าสิบเมตร เจ้าไปหาเอาเองก็แล้วกันนะ”

เจ้าวิญญาณน้อยพูดจบก็เงียบไปทันทีซือหม่าโยวเย่ว์ลองมองดู กอไผ่ที่นี่ก็มิได้หนาทึบมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับที่อื่นๆ แล้วพูดได้ว่าหาได้ยากยิ่ง

เธอสำรวจต้นไผ่ทุกต้นอย่างละเอียด เห็นว่ากิ่งไผ่ทุกกิ่งดูคล้ายจะเปล่งแสงกันหมด ไม่มีกิ่งไหนเหมือนกับที่เธอคิดเอาไว้เลยแม้แต่กิ่งเดียว

“หรือว่าการคาดเดาของข้าจะผิดไปนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางของตนอย่างสงสัย “เย่ว์เย่ว์ บางทีดวงตาค่ายกลอาจจะมิได้อยู่ในกอไผ่ก็ได้นะ” เจ้าคำรามน้อยพูด

“มิได้อยู่ในกอไผ่อย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว ถ้าหากดวงตาค่ายกลเป็นศิลาวิญญาณจริงๆ แล้วละก็ เช่นนั้นมันก็น่าจะดูคล้ายก้อนหินมากกว่านะ” เจ้าคำรามน้อยตอบ

“อืม ก็เป็นไปได้นะ เช่นนั้นพวกเราก็ตรวจดูก้อนหินที่นี่กันสักรอบหนึ่งเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มเจ้าคำรามน้อยเอาไว้แล้วทั้งสองก็พากันมองหาก้อนกรวดทั่วทุกตารางนิ้ว แต่กลับไม่พบก้อนกรวดที่นี่เลยแม้แต่ก้อนเดียว

เมื่อเห็นก้อนหินใหญ่เพียงก้อนเดียวที่มีอยู่ที่นี่ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงพิจารณาหินก้อนนี้ให้ดีอีกครั้ง “อาจเป็นก้อนนี้ก็ได้กระมัง” เธอเดินเข้าไปใกล้ก้อนหินแล้วเดินวนดูอยู่สองสามรอบ รู้สึกว่าหินก้อนนี้ดูคล้ายจะแตกต่างกับก้อนหินที่เห็นมาก่อนหน้านี้อยู่บ้าง จึงลองยื่นมือออกไปสัมผัสดูครั้งหนึ่งพบว่ามันให้ความรู้สึกเยียบเย็นราวน้ำแข็งเหมือนกันกับต้นไผ่เหล่านั้น

“เย่ว์เย่ว์ ใช่อันนี้หรือไม่” เจ้าคำรามน้อยเหาะเข้ามาถาม

“ไม่ใช่หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากเป็นดวงตาค่ายกลจริง ก็น่าจะเป็นสิ่งของจริงๆ ไม่น่าจะเยียบเย็นเสียดกระดูกเหมือนกับต้นไผ่เหล่านั้นหรอก”

“ดวงตาค่ายกลไม่ได้อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือ” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างผิดหวังอยู่บ้าง

“ไม่หรอก อยู่ที่นี่แหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจ“เจ้าเตะก้อนหินก้อนนี้ออกมาได้หรือไม่”

“เรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง” เจ้าคำรามน้อยเหาะไปอยู่บนขอบของก้อนหินแล้วใช้เท้าน้อยๆ เตะเบาๆ ก้อนหินยักษ์ก็ถูกมันเตะกระเด็นไปไกล

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูพื้นใต้ก้อนหินที่ถูกเตะลอยไป เห็นก้อนหินขนาดเล็กราวๆ กำปั้นเด็กทารกที่เปล่งประกายสีดำก้อนหนึ่งอยู่

“คงเป็นสิ่งนี้กระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์ก้มลงไปดูก้อนหินสีดำแล้วเอ่ยว่า “หยิบเจ้านี่ทิ้งไปก็ใช้ได้แล้วใช่หรือไม่ ไม่รู้ว่าจะเจอกับระเบิดเปล่า แต่ข้าไม่สนอะไรทั้งนั้น ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว”

พูดจบเธอก็โยนลูกกลมสีขาวเข้าไปภายในมณีวิญญาณ หลังจากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง แล้วยื่นมือไปคว้าศิลาวิญญาณก้อนนั้นเอาไว้

“ครืนๆ ครืนๆ”

ทันใดนั้นป่าไผ่อันเงียบสงบกลับมีพายุก่อตัวอย่างบ้าคลั่งขึ้นมารอบด้าน พื้นดินสั่นสะเทือนไม่หยุดคล้ายกับจะปริแตกออกอย่างไรอย่างนั้น

“แคว่ก…”

ป่าไผ่ถูกพายุคลั่งพัดกระหน่ำ แต่ละกิ่งก้านส่งเสียงฉีกขาดดังแคว่กๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกลมพัดกระหน่ำเสียจนลืมตาไม่ขึ้น เธอใช้มือที่กุมก้อนหินสกัดเอาไว้ข้างหน้า แต่ก็ยังต้านแรงลมเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี

“ปังๆๆ”

พื้นดินแยกออกในทันใด รอยแยกขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบไม้ที่ร่วงอยู่รวมถึงต้นไผ่จมหายลงไปในนั้นจนหมด

“ข้าไป…” ตอนที่ร่วงหล่นลงไปในรอยแยก ซือหม่าโยวเย่ว์คว้าก้อนหินในมือเอาไว้แน่นเพื่ออาศัยสิ่งนี้บรรเทาความตื่นตระหนกภายในจิตใจ

หยาดโลหิตซึมเข้าไปภายในก้อนหิน ซือหม่าโยวเย่ว์เกิดความเจ็บปวดเสียดแทงหัวใจขุมหนึ่งแพร่ผ่านจากฝ่ามือไปทั่วสรรพางค์กาย ทำให้เธอหมดสติไปในทันที ก่อนที่จะสิ้นสติลง เธอมีความคิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่าถ้าหากพื้นดินกลับมาผสานติดกันอีกครั้ง เธอจะถูกหนีบแบนจนกลายเป็นเนื้อแผ่นหรือไม่

สติรับรู้เข้าสู่ความสับสนอลหม่าน เธอไม่รู้ว่าตัวเองล่องลอยอยู่ท่ามกลางความมืดมิดเป็นเวลาเนิ่นนานเพียงใด เมื่อสติรับรู้ของเธอค่อยๆ ฟื้นกลับมา เธอก็ลืมตาขึ้นแล้วค้นพบว่าตนเองอยู่ในแก่งหินแห่งหนึ่ง ด้านล่างของตัวเธอเป็นทุ่งหญ้าหนาทึบ บนเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านราวกับว่าคราบดินโคลนที่เปื้อนอยู่ตอนที่พื้นดินแยกออกก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอยู่จริงเธอลุกขึ้นนั่งแล้วนวดคลึงศีรษะที่เจ็บปวดอยู่เล็กน้อยพลางสงสัยอยู่บ้างว่าประสบการณ์ของตนก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่งใช่หรือไม่

“พรึ่บ…”

ความเจ็บปวดขุมหนึ่งส่งผ่านมาจากฝ่ามือ เธอแบมือออกก็เห็นว่าบนฝ่ามือมีรอยแผลอยู่หลายรอยปากแผลยังมิได้สมานติดกันดี แค่การเคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้ก็ทำให้บาดแผลปริออกมาอีกครั้ง

“ดูท่าทางนั่นคงจะมิใช่ความฝันสินะ” เธอหยิบมีดออกมาแล้วตัดชายเสื้อคลุมตัวนอกออกมาเส้นหนึ่งก่อนจะพันแผลให้เรียบร้อยแล้วใช้ปากและมือซ้ายช่วยผูกปม

หลังจากทำทั้งหมดนี้เรียบร้อยแล้วจึงค่อยเริ่มสำรวจภายในแก่งหินแห่งนี้

ที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลยเหมือนกับป่าไผ่ก่อนหน้านี้ ไม่เห็นแม้แต่เงาของไข่สัตว์อสูรแม้แต่ฟองเดียว ก่อนหน้านี้เป็นป่าไผ่ทั้งหมด แต่ที่นี่ยังมีต้นไม้ใบหญ้านานาชนิดอยู่มากมาย

“หรือว่าข้าหลุดจากค่ายกลเก่าเข้าสู้ค่ายกลใหม่?” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างสงสัย

“น่าจะไม่ใช่ ข้าสัมผัสกลิ่นอายของค่ายกลไม่ได้เลย” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“ไม่มีค่ายกลอย่างนั้นหรือ ไม่ได้บอกว่าอย่างน้อยภายในนี้ก็ต้องมีค่ายกลลวงตาอยู่หรอกหรือ”

“ไม่มีเลย ที่นี่คือโลกแห่งความจริง” เจ้าวิญญาณน้อยพูดด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง

“เช่นนั้นข้าจะกลับไปได้อย่างไรกันเล่า ที่นี่มิใช่ค่ายกล ไข่สัตว์อสูรที่หาพบก็ย่อมไม่เป็นไปตามกฎของการส่งตัวออกไป” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างปวดหัวอยู่บ้าง “ใช่แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าศิลาวิญญาณก้อนเมื่อครู่นี้หล่นไปอยู่ที่ไหนแล้ว”

“อยู่กับข้านี่” เจ้าวิญญาณน้อยพูดด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก

ซือหม่าโยวเย่ว์พบว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงถามว่า “มีอะไรหรือ”

“ของสิ่งนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่บ้าง รอเจ้าออกไปแล้วค่อยบอกเจ้าก็แล้วกัน” เจ้าวิญญาณน้อยตอบ

“เช่นนั้นข้าไปหาทางออกก่อนดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เธอเดินตรงไปตามแก่งหิน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเรียกเสียงนั้นขึ้นมาอีกครั้ง

………………………

Related

เดิมทีเจ้าคำรามน้อยยังคิดอยากจะพูดอะไรอีก แต่เมื่อเห็นท่าทีแน่วแน่ของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงกลืนคำพูดที่มาถึงริมฝีปากแล้วกลับลงไป แล้วก็ไปอยู่ใกล้ๆ นาง หมายจะดูสักหน่อยว่ามีของสิ่งใดที่ดูเหมือนดวงตาค่ายกลบ้างหรือไม่

“ที่นี่ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน ไม่มีพระอาทิตย์ แล้วเจ้าแสงสว่างพวกนี้มาจากไหนกัน” เจ้าคำรามน้อยมายังต้นไผ่เพียงลำพังแล้วมองดูแสงสว่างที่เปล่งออกมาจากต้นไผ่ซึ่งอาบย้อมจนขนสีขาวบริสุทธิ์ของตนกลายเป็นสีเขียวพลางพูดอย่างสงสัย

แสงสว่างหรือ

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังวาจาของเจ้าคำรามน้อยแล้วความคิดสายหนึ่งก็วาบขึ้นมาในหัว ต้นไผ่เหล่านี้ล้วนเปล่งแสงจางๆ เหมือนกันหมด ถ้าหากหาต้นที่ไม่เปล่งแสงพบได้ ไม่แน่ว่าบางทีนั่นอาจจะเป็นดวงตาค่ายกล!

“ฮ่า เจ้าคำรามน้อย พวกเราไปหาต้นไผ่ที่ไม่เปล่งแสงกัน!” เธอยืนขึ้นแล้วปัดเศษใบไม้บนร่างกายพลางพูดกับเจ้าคำรามน้อยที่อยู่ด้านหลัง

“ต้นไผ่ที่ไม่เปล่งแสงอย่างนั้นหรือ จะหาสิ่งนั้นไปทำไมกัน” เจ้าคำรามน้อยบินเข้ามาถาม

“มันมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นดวงตาค่ายกล” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เอาเป็นว่าเจ้าช่วยข้าหาดูก่อนก็แล้วกัน”

“ได้สิ”

จากที่แต่เดิมทั้งคู่มัวแต่เดินไปทั่วป่าไผ่อย่างไร้จุดหมาย พอกำหนดว่าต้องหาต้นไผ่ที่ไม่มีแสงขึ้นมา จึงดูมีเป้าหมายขึ้นมาทันที “เจ้านาย ข้าสัมผัสได้แล้ว” เจ้าวิญญาณน้อยที่สงบเงียบมาโดยตลอด จู่ๆ กลับเปล่งเสียงพูดขึ้นมา

“เจ้าวิญญาณน้อย เจ้าสัมผัสสิ่งใดได้อย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดฝีเท้าแล้วถาม

“ที่นี่มีกลิ่นอายของศิลาวิญญาณอยู่” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“ศิลาวิญญาณ เป็นมณีเหมือนกันกับเจ้าหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามกลับ

“ของสิ่งนั้นจะมาเปรียบกับข้าได้อย่างไรเล่า ข้าเป็นมณีวิญญาณทิพย์ ทั่วฟ้าดินมีแค่ข้าเพียงก้อนเดียวเท่านั้น ข้าหลอมเป็นมณีวิญญาณ แบกรับฟ้าดินได้ เศษขยะเหล่านั้นอย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงแค่นำมาหล่อเลี้ยงวิญญาณเท่านั้น ไม่อาจนำมาหล่อเลี้ยงชีวิตได้เสียหน่อย” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างลำพองตน

“เช่นนั้นแล้วเจ้าจะตื่นเต้นไปทำไมกัน”

“เจ้าช่างโง่นัก! ในเมื่อนี่เป็นค่ายกลลวง แต่เจ้าดวงตาค่ายกลย่อมต้องทำมาจากสิ่งที่มีผลต่อวิญญาณ เช่นนี้จึงจะทำให้ค่ายกลใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าศิลาวิญญาณนั้นจะเป็นที่อยู่ของดวงตาค่ายกล?” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง

“เฮอะ ยังดีที่มิได้โง่มากนัก” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“เช่นนั้นเจ้าสัมผัสถึงกลิ่นอายของมันได้ แล้วสัมผัสถึงตำแหน่งที่มันอยู่ได้หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ถ้าหากอยู่ภายนอกค่ายกล ข้าก็ยังหามาได้อยู่หรอก แต่ว่าตอนนี้เราอยู่ภายในค่ายกล ข้าจึงสัมผัสได้เพียงว่ามันอยู่บริเวณใกล้ๆภายในบริเวณรัศมีห้าสิบเมตร เจ้าไปหาเอาเองก็แล้วกันนะ”

เจ้าวิญญาณน้อยพูดจบก็เงียบไปทันทีซือหม่าโยวเย่ว์ลองมองดู กอไผ่ที่นี่ก็มิได้หนาทึบมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับที่อื่นๆ แล้วพูดได้ว่าหาได้ยากยิ่ง

เธอสำรวจต้นไผ่ทุกต้นอย่างละเอียด เห็นว่ากิ่งไผ่ทุกกิ่งดูคล้ายจะเปล่งแสงกันหมด ไม่มีกิ่งไหนเหมือนกับที่เธอคิดเอาไว้เลยแม้แต่กิ่งเดียว

“หรือว่าการคาดเดาของข้าจะผิดไปนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางของตนอย่างสงสัย “เย่ว์เย่ว์ บางทีดวงตาค่ายกลอาจจะมิได้อยู่ในกอไผ่ก็ได้นะ” เจ้าคำรามน้อยพูด

“มิได้อยู่ในกอไผ่อย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว ถ้าหากดวงตาค่ายกลเป็นศิลาวิญญาณจริงๆ แล้วละก็ เช่นนั้นมันก็น่าจะดูคล้ายก้อนหินมากกว่านะ” เจ้าคำรามน้อยตอบ

“อืม ก็เป็นไปได้นะ เช่นนั้นพวกเราก็ตรวจดูก้อนหินที่นี่กันสักรอบหนึ่งเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มเจ้าคำรามน้อยเอาไว้แล้วทั้งสองก็พากันมองหาก้อนกรวดทั่วทุกตารางนิ้ว แต่กลับไม่พบก้อนกรวดที่นี่เลยแม้แต่ก้อนเดียว

เมื่อเห็นก้อนหินใหญ่เพียงก้อนเดียวที่มีอยู่ที่นี่ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงพิจารณาหินก้อนนี้ให้ดีอีกครั้ง “อาจเป็นก้อนนี้ก็ได้กระมัง” เธอเดินเข้าไปใกล้ก้อนหินแล้วเดินวนดูอยู่สองสามรอบ รู้สึกว่าหินก้อนนี้ดูคล้ายจะแตกต่างกับก้อนหินที่เห็นมาก่อนหน้านี้อยู่บ้าง จึงลองยื่นมือออกไปสัมผัสดูครั้งหนึ่งพบว่ามันให้ความรู้สึกเยียบเย็นราวน้ำแข็งเหมือนกันกับต้นไผ่เหล่านั้น

“เย่ว์เย่ว์ ใช่อันนี้หรือไม่” เจ้าคำรามน้อยเหาะเข้ามาถาม

“ไม่ใช่หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากเป็นดวงตาค่ายกลจริง ก็น่าจะเป็นสิ่งของจริงๆ ไม่น่าจะเยียบเย็นเสียดกระดูกเหมือนกับต้นไผ่เหล่านั้นหรอก”

“ดวงตาค่ายกลไม่ได้อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือ” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างผิดหวังอยู่บ้าง

“ไม่หรอก อยู่ที่นี่แหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจ“เจ้าเตะก้อนหินก้อนนี้ออกมาได้หรือไม่”

“เรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง” เจ้าคำรามน้อยเหาะไปอยู่บนขอบของก้อนหินแล้วใช้เท้าน้อยๆ เตะเบาๆ ก้อนหินยักษ์ก็ถูกมันเตะกระเด็นไปไกล

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูพื้นใต้ก้อนหินที่ถูกเตะลอยไป เห็นก้อนหินขนาดเล็กราวๆ กำปั้นเด็กทารกที่เปล่งประกายสีดำก้อนหนึ่งอยู่

“คงเป็นสิ่งนี้กระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์ก้มลงไปดูก้อนหินสีดำแล้วเอ่ยว่า “หยิบเจ้านี่ทิ้งไปก็ใช้ได้แล้วใช่หรือไม่ ไม่รู้ว่าจะเจอกับระเบิดเปล่า แต่ข้าไม่สนอะไรทั้งนั้น ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว”

พูดจบเธอก็โยนลูกกลมสีขาวเข้าไปภายในมณีวิญญาณ หลังจากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง แล้วยื่นมือไปคว้าศิลาวิญญาณก้อนนั้นเอาไว้

“ครืนๆ ครืนๆ”

ทันใดนั้นป่าไผ่อันเงียบสงบกลับมีพายุก่อตัวอย่างบ้าคลั่งขึ้นมารอบด้าน พื้นดินสั่นสะเทือนไม่หยุดคล้ายกับจะปริแตกออกอย่างไรอย่างนั้น

“แคว่ก…”

ป่าไผ่ถูกพายุคลั่งพัดกระหน่ำ แต่ละกิ่งก้านส่งเสียงฉีกขาดดังแคว่กๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกลมพัดกระหน่ำเสียจนลืมตาไม่ขึ้น เธอใช้มือที่กุมก้อนหินสกัดเอาไว้ข้างหน้า แต่ก็ยังต้านแรงลมเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี

“ปังๆๆ”

พื้นดินแยกออกในทันใด รอยแยกขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบไม้ที่ร่วงอยู่รวมถึงต้นไผ่จมหายลงไปในนั้นจนหมด

“ข้าไป…” ตอนที่ร่วงหล่นลงไปในรอยแยก ซือหม่าโยวเย่ว์คว้าก้อนหินในมือเอาไว้แน่นเพื่ออาศัยสิ่งนี้บรรเทาความตื่นตระหนกภายในจิตใจ

หยาดโลหิตซึมเข้าไปภายในก้อนหิน ซือหม่าโยวเย่ว์เกิดความเจ็บปวดเสียดแทงหัวใจขุมหนึ่งแพร่ผ่านจากฝ่ามือไปทั่วสรรพางค์กาย ทำให้เธอหมดสติไปในทันที ก่อนที่จะสิ้นสติลง เธอมีความคิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่าถ้าหากพื้นดินกลับมาผสานติดกันอีกครั้ง เธอจะถูกหนีบแบนจนกลายเป็นเนื้อแผ่นหรือไม่

สติรับรู้เข้าสู่ความสับสนอลหม่าน เธอไม่รู้ว่าตัวเองล่องลอยอยู่ท่ามกลางความมืดมิดเป็นเวลาเนิ่นนานเพียงใด เมื่อสติรับรู้ของเธอค่อยๆ ฟื้นกลับมา เธอก็ลืมตาขึ้นแล้วค้นพบว่าตนเองอยู่ในแก่งหินแห่งหนึ่ง ด้านล่างของตัวเธอเป็นทุ่งหญ้าหนาทึบ บนเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านราวกับว่าคราบดินโคลนที่เปื้อนอยู่ตอนที่พื้นดินแยกออกก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอยู่จริงเธอลุกขึ้นนั่งแล้วนวดคลึงศีรษะที่เจ็บปวดอยู่เล็กน้อยพลางสงสัยอยู่บ้างว่าประสบการณ์ของตนก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่งใช่หรือไม่

“พรึ่บ…”

ความเจ็บปวดขุมหนึ่งส่งผ่านมาจากฝ่ามือ เธอแบมือออกก็เห็นว่าบนฝ่ามือมีรอยแผลอยู่หลายรอยปากแผลยังมิได้สมานติดกันดี แค่การเคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้ก็ทำให้บาดแผลปริออกมาอีกครั้ง

“ดูท่าทางนั่นคงจะมิใช่ความฝันสินะ” เธอหยิบมีดออกมาแล้วตัดชายเสื้อคลุมตัวนอกออกมาเส้นหนึ่งก่อนจะพันแผลให้เรียบร้อยแล้วใช้ปากและมือซ้ายช่วยผูกปม

หลังจากทำทั้งหมดนี้เรียบร้อยแล้วจึงค่อยเริ่มสำรวจภายในแก่งหินแห่งนี้

ที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลยเหมือนกับป่าไผ่ก่อนหน้านี้ ไม่เห็นแม้แต่เงาของไข่สัตว์อสูรแม้แต่ฟองเดียว ก่อนหน้านี้เป็นป่าไผ่ทั้งหมด แต่ที่นี่ยังมีต้นไม้ใบหญ้านานาชนิดอยู่มากมาย

“หรือว่าข้าหลุดจากค่ายกลเก่าเข้าสู้ค่ายกลใหม่?” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างสงสัย

“น่าจะไม่ใช่ ข้าสัมผัสกลิ่นอายของค่ายกลไม่ได้เลย” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“ไม่มีค่ายกลอย่างนั้นหรือ ไม่ได้บอกว่าอย่างน้อยภายในนี้ก็ต้องมีค่ายกลลวงตาอยู่หรอกหรือ”

“ไม่มีเลย ที่นี่คือโลกแห่งความจริง” เจ้าวิญญาณน้อยพูดด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง

“เช่นนั้นข้าจะกลับไปได้อย่างไรกันเล่า ที่นี่มิใช่ค่ายกล ไข่สัตว์อสูรที่หาพบก็ย่อมไม่เป็นไปตามกฎของการส่งตัวออกไป” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างปวดหัวอยู่บ้าง “ใช่แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าศิลาวิญญาณก้อนเมื่อครู่นี้หล่นไปอยู่ที่ไหนแล้ว”

“อยู่กับข้านี่” เจ้าวิญญาณน้อยพูดด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก

ซือหม่าโยวเย่ว์พบว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงถามว่า “มีอะไรหรือ”

“ของสิ่งนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่บ้าง รอเจ้าออกไปแล้วค่อยบอกเจ้าก็แล้วกัน” เจ้าวิญญาณน้อยตอบ

“เช่นนั้นข้าไปหาทางออกก่อนดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เธอเดินตรงไปตามแก่งหิน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเรียกเสียงนั้นขึ้นมาอีกครั้ง

………………………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูสถานที่ที่ตนอยู่ ซึ่งเป็นป่าไผ่เขียวขจี กิ่งไผ่ทุกกิ่งดูคล้ายกับเปล่งประกายสีเขียวจางๆ บนพื้นดินมีใบไม้ร่วงกองอยู่อย่างหนาทึบชั้นหนึ่ง

เธอมาถึงตรงหน้าต้นไผ่ต้นหนึ่งแล้วยื่นมือไปสัมผัส ก็รู้สึกว่าปลายนิ้วเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง คล้ายกับว่าสิ่งที่สัมผัสถูกนั้นคือก้อนน้ำแข็งใหญ่ก้อนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

“เย็นจังเลย!” เธอรู้สึกว่านิ้วมือของเธอคล้ายกับถูกแช่แข็งจนแทบจะไร้ความรู้สึกอยู่แล้ว จึงรีบชักมือกลับมา

เธอเดินไปมารอบหนึ่งแล้วก็ค้นพบว่าป่าแห่งนี้ใหญ่โตเหลือคณา เธอเดินมาครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังเดินวนอยู่ภายในป่าไผ่อยู่เลย

“นี่มันสถานที่ผีบ้าอะไรกันแน่ มิได้บอกว่านี่คือภาพลวงตาหรืออย่างไร ทำไมจึงรู้สึกว่าใบไม้ก้อนหินเหล่านี้ช่างสมจริงเสียเหลือเกิน” เธอหย่อนก้นลงนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่งแล้วนวดทุบท่อนขาที่อ่อนล้าของตน “ร่างกายนี่ก็ช่างอ่อนแอเหลือเกิน เพิ่งจะเดินมาเพียงแค่ครู่เดียวก็เหนื่อยล้าถึงขนาดนี้แล้ว ห่างชั้นกับชาติก่อนไกลโขเลย ถ้าหากหลังจากนี้ต่อตีกับผู้อื่นขึ้นมาก็คงจะเสียเปรียบมากทีเดียว! ดูท่าหลังจากนี้ไปคงต้องออกกำลังสักหน่อยแล้ว”

พักผ่อนครู่หนึ่งแล้วเธอก็เดินเตร่ในป่าต่อไป ไม่ต้องพูดถึงไข่สัตว์อสูรเลย แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตสักตัวหนึ่งเธอก็ยังไม่พบเจอเลยเสียด้วยซ้ำ

“โอ๊ย… นี่มันสถานที่ผีบ้าอะไรกันแน่! มิได้บอกว่าถ้าหาไข่สัตว์อสูรพบจึงจะออกไปได้หรอกหรือ ที่นี่ไม่มีไข่แม้แต่ฟองเดียวเลยด้วยซ้ำ แล้วจะให้ฉันหายังไงล่ะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์เตะกองใบไผ่ที่นูนขึ้นมาตรงหน้าทีหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะเตะเอาสิ่งที่อยู่ใต้กองใบไม้กลิ้งหลุนๆ ออกมาสองตลบ

“กะโหลกศีรษะหรือ!” เมื่อมองเห็นของที่ลอยมาตรงหน้า ซือหม่าโยวเย่ว์ก็หนาวยะเยือกไปทั้งตัว ในขณะนี้เองเธอจึงค้นพบว่าบริเวณที่ตนยืนอยู่นั้นมีชิ้นส่วนกะบังลมอยู่ด้วย

เธอก้มหน้าลงมอง เพราะเพิ่งจะออกแรงไป ใบไผ่ที่อยู่ใต้เท้าจึงถูกเตะเปิดออกไปไม่น้อย นอกจากกะโหลกศีรษะที่เพิ่งถูกเตะออกไปแล้ว ใต้ฝ่าเท้าของเธอยังมีชิ้นส่วนอื่นๆ ของร่างกายอยู่อีกไม่น้อย

เธอถอยหลังไปสองก้าว ลงมาจากบนกองกระดูก แล้วแหวกกองใบไม้ออกจนหมด จึงเห็นภาพรวมทั้งหมดของโครงกระดูกได้อย่างชัดเจน

“บนกระดูกไม่มีรอยแผลเป็นอยู่เลย ดูท่าทางตอนที่คนคนนี้ตายจะไม่ได้เผชิญอันตรายจากภายนอกแต่อย่างใด” เธอตรวจดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เมื่อคิดถึงว่าเมื่อครู่ตนเองเพิ่งจะเดินวนในป่าไปได้ครึ่งรอบ จึงเอ่ยพึมพำว่า “หรือว่าคนคนนี้จะหิวตาย หรือว่าขาดน้ำจนตายกันล่ะ”

“เจ้านาย นี่คือค่ายกลอันหนึ่ง” เสียงของเจ้าวิญญาณน้อยดังขึ้น

“ค่ายกลหรือ ก่อนหน้านี้คล้ายจะได้ยินว่าภายในนี้คือค่ายกลที่ทำให้คนเห็นว่าไข่สัตว์อสูรที่มีอยู่เหมือนกันทั้งหมด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้าบอกว่านั่นคือค่ายกลลวงตา ทว่าค่ายกลนี้ไม่ใช่ค่ายกลลวงตา หากแต่เป็น…ค่ายกลลวงต่างหากเล่า” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“ค่ายกลลวงหรือ นั่นคือค่ายกลอันใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ก็คือค่ายกลชนิดหนึ่งที่ทำให้คนสูญเสียสติสัมปชัญญะไปอย่างไรเรา” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “เมื่อครู่เจ้าถูกค่ายกลทำให้หลงผิดไปเหมือนกัน ดังนั้นเจ้าก็เลยเร่งร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเมื่อครู่ข้าจะเรียกเจ้าหลายครั้ง แต่เจ้าก็ไม่ได้ยินข้าเลย”

“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าแล้วหรือ ในเมื่อก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้ยินเลย แล้วเหตุใดตอนนี้จึงได้ยินขึ้นมาเล่า ค่ายกลสลายเสียแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงว่าเมื่อครู่นี้หุนหันพลันแล่นมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ มิได้สงบเยือกเย็นเหมือนก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย ก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาวูบหนึ่ง

“โชคดีที่กะโหลกศีรษะที่เจ้าเตะนั้นไปกระตุ้นเส้นประสาทของเจ้า ทำให้สมองของเจ้าปลอดโปร่งขึ้นมาในทันใด ข้าจึงฉวยโอกาสเข้าไปได้” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“ค่ายกลนี้ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้ เพราะเหตุใดวิทยาลัยจึงได้ติดตั้งค่ายกลเช่นนี้เอาไว้กัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างไม่เข้าใจ

“นี่ไม่ใช่เวลาให้เจ้ามาคิดเรื่องนี้หรอกนะ ถ้าหากเจ้าอยากออกไป ก็ต้องทำลายค่ายกลนี้เสียก่อน มิฉะนั้นจะติดอยู่ในนี้ มิอาจออกไปได้ตลอดกาล” เจ้าวิญญาณน้อยเอ่ยคำราม

“เช่นนั้นคนผู้นี้คงจะถูกขังเอาไว้จนตายอยู่ที่นี่กระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าวิญญาณน้อย ในเมื่อเจ้ารู้จักค่ายกลนี้ เช่นนั้นเจ้าทำลายมันได้หรือไม่”

“ข้ามิใช่ปรมาจารย์ค่ายกลเสียหน่อย แล้วข้าจะทำลายมันได้อย่างไรเล่า!” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“เจ้ามิใช่ปรมาจารย์ค่ายกล เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรกันว่านี่คือค่ายกลลวง” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ทุกคนที่กินข้าวได้ทำกับข้าวเป็นกันหมดเลยหรือไม่เล่า!” เจ้าวิญญาณน้อยกล่าวประชดประชัน “ไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เห็นหมูวิ่งอยู่บ่อยๆ”

“เออ… เจ้าไม่รู้ว่าจะสลายค่ายกลได้อย่างไร ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แล้วจะทำเช่นไรกันดีเล่า”

“ทำอย่างไรดี!”

“เย่ว์เย่ว์ ข้ารู้ว่าจะทำอย่างไร” เจ้าคำรามน้อยพูดแทรกขึ้นมา

ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกเจ้าคำรามน้อยออกมาแล้วถามว่า “ทำอย่างไรหรือ”

“ก่อนหน้านี้เจ้ามีพี่ชายคนหนึ่งที่เป็นปรมาจารย์ค่ายกลผู้เก่งกาจ ข้าเคยได้ยินเขาบอกเจ้ามาก่อนว่าปกติค่ายกลนี้จะสลายได้ในสองสถานการณ์ หนึ่งคือวิธีสลายทางตรง ส่วนอีกอันหนึ่งคือวิธีสลายทางอ้อม”

“วิธีสลายทางตรงกับวิธีสลายทางอ้อมอย่างนั้นหรือ”

 “ใช่แล้ว วิธีสลายทางตรงคือรู้กฎเกณฑ์การโคจรของค่ายกล แล้วแก้ค่ายกลออก วิธีการสลายเช่นนี้จะไม่ทำลายค่ายกล คนในค่ายกลจะไม่ได้รับบาดเจ็บ” เจ้าคำรามน้อยพูด

“วิธีการนี้ไม่ได้ ในบรรดาพวกเราไม่มีใครรู้เรื่องค่ายกลเลย ลองบอกอีกวิธีหนึ่งมาสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“วิธีสลายทางอ้อมนั้นง่ายดายยิ่งนัก” เจ้าคำรามน้อยพูด “พี่ชายเจ้าเคยบอกว่าค่ายกลทุกอันล้วนมีดวงตาค่ายกลอยู่ ขอเพียงแค่หาดวงตาค่ายกลพบแล้วดึงทิ้งเสีย ค่ายกลก็จะสลายไปแล้ว”

“วิธีนี้ง่ายดีนี่!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปรอบทิศเพราะอยากจะดูเสียหน่อยว่าดวงตาค่ายกลของค่ายกลแห่งนี้อยู่ที่ไหน

“ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ!” เจ้าคำรามน้อยพูด “วิธีสลายทางอ้อมนี้ถึงแม้จะง่าย แต่เมื่อใดที่ทำลายดวงตาค่ายกล ค่ายกลก็อาจพังทลายลง เมื่อค่ายกลแต่ละอันพังทลายลงแล้วมีผลลัพธ์แตกต่างกัน บ้างก็แตกกระจายไปเหมือนน้ำแข็งโดยไม่เป็นอันตรายกับคนในค่ายกลแต่อย่างใด บ้างก็ราวกับระเบิดที่อาจทำให้คนภายในค่ายกลได้รับบาดเจ็บหรือแม้กระทั่งถึงแก่ความตายได้ ขึ้นอยู่กับว่าคนที่ติดตั้งค่ายกลติดตั้งไว้อย่างไร”

“บ้าเอ๊ย อันตรายอะไรอย่างนี้!” ซือหม่าโยวเย่ว์คำราม

“ใช่แล้ว ดังนั้นคนทั่วไปจึงไม่เลือกวิธีที่สองกันหรอก” เจ้าคำรามน้อยพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าหากจะต้องระเบิดจริงๆ ข้าก็หมดหนทางแล้ว ใช้วิธีสลายทางตรงไม่ได้ ก็ได้แต่ใช้วิธีสลายทางอ้อม วิธีสลายทางอ้อมนั้นเสี่ยงไปบ้างแต่ก็อาจจะมีชีวิตรอดออกไปได้ แต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างก็ได้แต่รอความตายอย่างเดียวเท่านั้นแล้วนะ”

“ก็ดูเหมือนจะใช่ เช่นนั้นพวกเราไปหาดวงตาค่ายกลด้วยกันเถิด” เจ้าคำรามน้อยเหาะมาอยู่เหนือศีรษะซือหม่าโยวเย่ว์ ดวงตากลมโตมองไปทั่วทุกทิศทาง

“ปกติแล้วดวงตาค่ายกลมักจะไม่สะดุดตาสักเท่าใดนัก อยากจะหาดวงตาค่ายกลของค่ายกลใหญ่ขนาดนี้ออกมาก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอก” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“เช่นนั้นก็ต้องหาอยู่ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่ “นี่เป็นเพียงวิธีเดียวในตอนนี้ ถึงอย่างไรที่เจ้านั้นก็มีของให้กินให้ดื่ม ถึงออกไปไม่ได้ก็ไม่ตายหรอกน่า สิ่งที่พวกเรามีคือเวลาที่ค่อยๆ เสียกับมันไปอย่างช้าๆ”

เจ้าวิญญาณน้อยไม่เอ่ยวาจาอีก ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าคำรามน้อยค้นหาภายในค่ายกลด้วยกัน

พอหิวแล้วเธอก็ไปทำอาหารกินภายในมณีวิญญาณ พอกระหายน้ำก็เอาน้ำออกมาจากในมณีวิญญาณ พอง่วงเธอก็เข้าไปนอนในมณีวิญญาณ เดิมทีเธอคิดจะนอนหลับภายในป่าเลย แต่เจ้าวิญญาณน้อยบอกว่าหลังจากหลับแล้วสติรับรู้ของมนุษย์จะค่อนข้างอ่อนแอ ถ้าหากถูกค่ายกลหลอนประสาทอีกครั้งก็ไม่แน่ว่าเธอจะฟื้นคืนสติขึ้นมาได้อีกคราได้

เธอไม่รู้ว่าตัวเองเดินอยู่ในป่านานเท่าใด ภายในป่ามืดทึบอยู่ตลอด และมีประกายสีเขียวเล็กน้อย ถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะมิได้มืด แต่เธอกินข้าวไปเจ็ดมื้อและนอนหลับไปตื่นหนึ่งแล้ว ต้องผ่านไปสองถึงสามวันแล้วแน่ๆ

“เย่ว์เย่ว์ ไม่เห็นจะพบดวงตาค่ายกลที่ไหนเลยนี่!” เมื่อหาดวงตาค่ายกลไม่เจอมาโดยตลอด เจ้าคำรามน้อยหดร่างกายลงอย่างท้อแท้ ก่อนจะเอนตัวลงบนหัวไหล่ของซือหม่าโยวเย่ว์

“เราจะต้องหาพบสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์เองทอดถอนใจอยู่บ้าง ที่นี่นอกจากใบไม้แล้วก็มีแต่ใบไม้ และระหว่างที่ค้นหาก็พบโครงกระดูกอื่นๆ อีกสองร่าง

“ค้นหาแบบตาบอดไปเช่นนี้ก็ไม่ใช่หนทางหรอก” เธอหยุดฝีเท้าลงแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นดวงตาค่ายกลก็ต้องมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน หรือไม่ก็ต้องมีจุดที่พิเศษอยู่เป็นแน่ พวกเราไปสังเกตดูกันอย่างละเอียดสักรอบหนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่”

พูดจบแล้วเธอก็ไปยังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งแล้วนั่งลงสำรวจต้นไผ่และใบไม้ที่ร่วงอยู่บนผิวดินเหล่านี้ต่อไป

……………………

Related

ปากถ้ำภูเขานั้นเล็กมาก แต่หลังจากเข้าไปแล้วกลับมีพื้นที่ใหญ่โตอย่างยิ่ง คาดว่าคนสักสามสี่ร้อยคนเข้าไปข้างในก็คงยังไม่อึดอัดอย่างชัดเจนสักเท่าใดนัก

ก่อนหน้านี้ซือหม่าโยวเย่ว์เคยเห็นห้องหนังสือสะสมของบ้านตนมาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด แต่คนที่อยู่รอบตัวนั้นเพิ่งจะเคยเห็นฉากอันอลังการเช่นนี้เป็นครั้งแรก แต่ละคนจึงตกตะลึงกันเป็นอย่างยิ่ง

เธอมองดูทั่วทั้งถ้ำภูเขารอบหนึ่ง แต่ก็มองไม่เห็นประตูที่ว่านั้นแต่อย่างใด เห็นเพียงแค่รัศมีวงกลมสีขาวสามกลุ่มที่เปล่งประกายแสงจางๆ ออกมา

“เอาล่ะ ทุกคนเงียบก่อน” อาจารย์ท่านหนึ่งเอ่ยเสียงดัง เสียงนั้นก้องสะท้อนอยู่ภายในถ้ำ ทุกคนจึงเงียบสงบลงในทันใด

“อาจารย์ พวกเราไม่เห็นประตูตรงไหนเลยนี่ขอรับ!” นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้น

“ค่ายกลนำส่งทั้งสามอันตรงหน้าพวกเจ้านี้ก็คือประตูอย่างไรเล่า หลังจากเข้าไปแล้วพวกมันก็จะพาพวกเจ้าไปยังห้องที่วางไข่สัตว์อสูรอยู่ พวกเจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี เมื่อใดที่เลือกไข่สัตว์อสูรฟองหนึ่งได้แล้วก็จะถูกดีดตัวออกมา ไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าก็จะต้องใช้โอกาสครั้งเดียวนี้ให้ดีๆ อย่าได้ลงมือไปอย่างลวกๆ จงเลือกไข่ฟองที่พวกเจ้ามีความรู้สึกกับมันมากที่สุด” อาจารย์อีกท่านหนึ่งพูดขึ้น

“ถูกต้อง พวกเจ้าไปได้เพียงแค่ค่ายกลนำส่งสามอันตรงหน้านี้เท่านั้น ห้ามไปที่อันที่สี่เด็ดขาด หากใครไปที่ค่ายกลนำส่งอันที่สี่แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาก็ต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาภายหลังเองนะ” อาจารย์ท่านแรกพูด

“อาจารย์ขอรับ ค่ายกลนำส่งแต่ละอันเหมือนกันหรือไม่ขอรับ”

“เหมือนกันทั้งหมดนั่นแหละ นี่คือค่ายกลนำส่งแบบสุ่ม ความเป็นไปได้ในการส่งตัวไปยังสถานที่แห่งนั้นล้วนมีเท่าๆ กันหมดเลย เอาล่ะ พวกเจ้าไปกันเถิด อย่าไปแออัดกันล่ะ”

อาจารย์เอ่ยวาจาออกไปแล้วทุกคนต่างพุ่งตัวไปยังค่ายกลนำส่ง ถึงแม้ว่าอาจารย์จะบอกไว้แล้วว่าโอกาสในประตูเหล่านี้ไม่แตกต่างกัน แต่พวกเขายังรู้สึกว่าหากได้เข้าไปก่อน ย่อมมีโอกาสมากกว่า หลังจากที่นักเรียนบางส่วนขึ้นไปบนค่ายกลนำส่งแล้วก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้จึงกรูกันเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่ในฝูงชนถูกดันตัวให้ขึ้นไปข้างหน้า แล้วถูกบีบให้เข้าไปด้านในสุด

ค่ายกลนำส่งอันที่อยู่ด้านในสุดก็คืออันที่เหล่าอาจารย์ย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ให้ไปอันนั้นนั่นเอง ทุกคนต่างก็คิดว่าภายในนั้นไม่มีไข่สัตว์อสูรอยู่ ดังนั้นจึงไม่ไปที่นั่น

ค่ายกลนำส่งอันนั้นไม่ได้เปิดอยู่ แต่เมื่อซือหม่าโยวเย่ว์มองไปก็ดูคล้ายว่าค่ายกลนำส่งอันนั้นเปล่งแสงขึ้นมาสองสายท่ามกลางความสับสนอลหม่าน

“มาสิ… “มาสิ…”

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเสียงเรียกเสียงนั้นอีกแล้ว ทันใดนั้นก็สะดุ้งคราหนึ่ง และในขณะนี้เอง เธอถูกคนผลักจากด้านหลังจนขึ้นไปยืนอยู่บนค่ายกลนำส่งอันที่สี่นั้นทั้งตัว

ในขณะนี้เอง ค่ายกลนำส่งเปล่งลำแสงสีแดงเจิดจ้าออกมา เธอหมุนตัวกลับมาท่ามกลางความตื่นตะลึง ก็เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังของเหอชิวจือ รวมทั้งใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“เจ้า…” ยังไม่ทันพูดได้ครบประโยค เธอก็หายลับไปในค่ายกลนำส่งเสียแล้ว

บรรดาอาจารย์ที่กำลังมองดูนักเรียนแก่งแย่งช่วงชิงกันอยู่ตรงประตูต่างตาพร่าเพราะลำแสงสีแดง จากนั้นตะโกนเสียงดังลั่นอย่างตื่นตกใจขึ้นมาในทันใด “ใครกันที่เข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่เมื่อครู่นี้”

ภายในถ้ำมีนักเรียนเหลืออยู่เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ทุกคนต่างก็มองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าบรรดาอาจารย์เป็นอะไรกันไปเสียแล้ว

“อาจารย์ขอรับ ดู… ดูเหมือนว่าจะเป็นซือหม่าโยวเย่ว์ นักเรียนห้องเรียนที่หนึ่งขอรับ” มีคนพูดขึ้น

“ซือหม่าโยวเย่ว์หรือ ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าจัดการกันต่อเถิด” อาจารย์ท่านนั้นพูด

ในเมื่อเป็นคนไร้ค่าผู้นั้นก็ไม่มีอะไรน่ากังวลใจเลย

เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นเมื่อครู่นี้ บรรดานักเรียนจึงเงียบสงบลงมาในทันใดแล้วขึ้นไปบนค่ายกลนำส่งกันอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นก็หายลับไปในถ้ำภูเขา

ก่อนหน้านี้เฟิงจือสิงอยู่นอกถ้ำมาโดยตลอด แต่เมื่อเห็นลำแสงสีแดงที่วาบผ่านมาจากด้านในก็รู้ว่านั่นคือประกายจากค่ายกลนำส่งอันที่สี่ ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างหนึ่งขึ้นมาในทันใด

เขามาตรงปากถ้ำแล้วถามว่า “ผู้ที่เข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่เมื่อครู่นี้คือใครกันหรือ”

“เป็นซือหม่าโยวเย่ว์ นักเรียนในชั้นเรียนของเจ้าอย่างไรเล่า” อาจารย์ท่านหนึ่งพูด “คงจะเป็นช่วงที่แออัดกันอยู่แล้วไม่ระวังจนถูกเบียดเข้าไปกระมัง”

“อะไรนะ!” เฟิงจือสิงหัวใจเต้นผิดจังหวะไปในทันใดแล้วพูดขึ้นมาว่า “ภายในนั้นมิใช่…”

“อาจารย์เฟิง พอหลังจากที่นักเรียนเข้าไปแล้ว หากหาไข่สัตว์อสูรไม่พบก็มิอาจออกมาได้ ตอนนี้เจ้าร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก”

“ถูกต้อง ถึงแม้ว่าวิทยาลัยจะมิได้เปิดใช้ค่ายกลนำส่งอันที่สี่มาโดยตลอด แต่ก็คงจะไม่มีปัญหาอันใดอยู่แล้วกระมัง”

ไม่มีปัญหาหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!

เมื่อวานท่านอาจารย์ใหญ่ยังเพิ่งบอกกับเขาว่านักเรียนที่เข้าไปก่อนหน้านี้ พอออกมาแล้วต่างสติเลอะเลือน เส้นลมปราณที่สำคัญถูกทำลาย สิ่งที่สั่งสมมาตลอดร่างถูกทำลายยับเยิน เช่นนี้จะยังเรียกว่าไม่มีปัญหาอีกหรือ

อันที่จริงแล้วสิ่งที่ท่านอาจารย์ใหญ่มิได้พูดก็คือหลังจากที่นักเรียนเหล่านั้นเข้าไปแล้วก็มิได้ออกมาอีก ติดอยู่ในนั้นไปตลอดกาล

“อาจารย์เฟิง เจ้าเป็นอาจารย์ที่มาใหม่ มิใคร่จะเข้าใจในสิ่งนี้สักเท่าใดนัก แต่พวกเราต่างก็อยู่ที่นี่กันมาเป็นเวลานานถึงเพียงนี้แล้ว เข้าใจสถานการณ์เหล่านี้เป็นอย่างดี ไม่มีปัญหาอะไรหรอกน่า” อาจารย์ท่านหนึ่งพูด “เรื่องที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น นักเรียนคนนั้นคงจะไม่เป็นอะไรหรอก”

“ข้าก็จะเข้าไปด้วย” เฟิงจือสิงมิได้นำพาคำปลอบประโลมของอาจารย์ท่านอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย แล้วตรงไปยังค่ายกลนำส่งอันที่สี่ แต่ไม่ว่าเขาจะใส่ปราณวิญญาณเข้าไปอย่างไร ค่ายกลนำส่งก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย ไม่มีวี่แววว่าจะเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย

ในขณะนี้นักเรียนก็เข้าไปกันไม่น้อยแล้ว เมื่อบรรดาอาจารย์เห็นเฟิงจือสิงขึ้นไปบนค่ายกลนำส่ง แต่ละคนตกใจจนตัวลอย แต่เมื่อเห็นว่าค่ายกลนำส่งไม่มีการตอบสนองก็วางใจลง

“อาจารย์เฟิง ค่ายกลนำส่งนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก มิใช่ว่าใครๆ ก็จะใช้ได้ ท่านก็รออยู่ที่นี่ก่อนเถิด”

เฟิงจือสิงออกมาแล้วมองดูค่ายกลนำส่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินออกมาจากถ้ำภูเขาแล้วตรงไปยังห้องทำงานของท่านอาจารย์ใหญ่

ถึงแม้ว่าค่ายกลนำส่งนี้ดูเหมือนจะไม่ต่างกันกับอีกสามอันสักเท่าใดนัก แต่ถ้าดูอย่างละเอียดแล้วก็ยังมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง บางทีท่านอาจารย์ใหญ่คงจะรู้ว่าจะเข้าไปได้อย่างไร

แต่ว่าคำตอบของท่านอาจารย์ใหญ่ทำให้ความหวังของเขาพังทลายลงเสียแล้ว

“ค่ายกลนำส่งอันนั้นมีมาตั้งแต่ตอนก่อตั้งวิทยาลัยแล้ว ในตอนแรกเป็นสถานที่ต้องห้ามของวิทยาลัย ต่อมาพวกเราจึงได้เปิดค่ายกลนำส่งอีกสามอันเอาไว้ตรงนั้นสำหรับเข้าสู่ห้องไข่สัตว์อสูร มีเพียงผู้ที่มันรู้จักเท่านั้นจึงจะเข้าไปภายในค่ายกลนำส่งได้”

“มันหรือ นั่นคือสิ่งใดกัน”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน คำเตือนที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่อดีตมิได้กล่าวเอาไว้ให้ชัดเจน ว่ากันว่าภายในนั้นนอกจากไข่มรณะแล้วก็ยังมีสิ่งอื่นอยู่อีก ดังนั้นจึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นกับนักเรียนที่เข้าไป” ท่านอาจารย์ใหญ่พูด

“เช่นนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นที่จะเข้าไปได้แล้วหรือ” สองมือของเฟิงจือสิงยันไว้กับโต๊ะพลางถามอย่างร้อนรน

ท่านอาจารย์ใหญ่ส่ายหน้าอย่างจนใจ เฟิงจือสิงทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ในทันใด

ท่านอาจารย์ใหญ่มองเฟิงจือสิงอย่างสงสัยปราดหนึ่ง เจ้าคนผู้นี้เคยแสดงท่าทีกระสับกระส่ายร้อนรนเช่นนี้เสียที่ไหนกัน เจ้าเด็กคนนี้ในความคิดของเขานั้นเป็นคนเลือดเย็นไร้อารมณ์มาโดยตลอด

“ข้าจะไปรออยู่ที่นั่นก็แล้วกัน” เฟิงจือสิงเก็บสีหน้าอาการแล้วลุกขึ้นเดินออกไป

ตอนที่มาถึงภูเขาด้านหลังมีนักเรียนออกมาแล้ว พร้อมกับอุ้มไข่สัตว์อสูรขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้างเอาไว้ในมือ

เขามองดูค่ายกลนำส่งอันที่สี่ปราดหนึ่งอย่างกังวลใจ โยวโยว เจ้าต้องออกมาอย่างปลอดภัยนะ…

หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์หายตัวไปจากค่ายกลนำส่งแล้วก็รู้สึกวิงเวียนตาพร่า ยังไม่ทันจะได้คิดใคร่ครวญอะไร ตัวก็ร่วงหล่นลงบนพื้นอันนุ่มนิ่มแล้ว

“ไอ้หยา! ปู่เจ้าสิ!” เธอปีนป่ายขึ้นมาจากพื้น ยังดีที่ตรงนี้มีใบไม้กองหนารองรับอยู่ ไม่อย่างนั้นเธอคงตกลงไปเละเป็นโจ๊กแน่

“ชั่วช้ากล้าวางกับดักข้า อย่าให้ข้าออกไปนะ จะไปตามจองล้างจองผลาญเจ้า!”

เธอปัดเศษไม้ใบหญ้าที่ติดอยู่ตามร่างกายตัวเองแล้วเริ่มประเมินสถานการณ์รอบๆ ไม่ได้บอกว่าจะส่งตัวไปที่ห้องไข่สัตว์อสูรหรอกหรือ แล้วเหตุใดจึงส่งตัวเธอเข้ามาในป่าแห่งหนึ่งได้เล่า

………………

Related

เวลาที่ซือหม่าโยวเย่ว์อารมณ์ไม่สู้ดีก็มักจะทำอาหารออกมามากมาย หลังจากนั้นก็กินอย่างมากมายมหาศาล ดังนั้นคืนนี้เธอจึงทำอาหารออกมาเต็มโต๊ะอีกแล้ว

 

ไม่ต้องตะโกนเรียก พอเจ้าอ้วนชวีได้กลิ่นหอมก็รีบวิ่งมาเสียแล้ว อีกไม่นานเท่าใดเว่ยจือฉีก็วิ่งเข้ามาอย่างรู้งานเช่นกัน

 

“ไปดูหน่อยสิว่าเป่ยกงถังกับโอวหยางเฟยอยู่กันหรือไม่ ถ้าอยู่ก็เชิญพวกเขามากินด้วยกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์ผัดกับข้าวไปพลาง ออกคำสั่งเจ้าอ้วนชวีไปพลาง

 

“ก็ได้” เจ้าอ้วนชวีขโมยกินกับข้าวคำหนึ่งแล้วออกไป

 

เดิมทีเว่ยจือฉีคิดว่าเป่ยกงถังและโอวหยางเฟยไม่อยู่ในห้อง หรือแม้จะอยู่ในห้องก็คงจะไม่ออกมาอยู่ดี แต่คิดไม่ถึงว่าคนทั้งสองจะมาด้วยกันทั้งคู่

 

“เจ้าทั้งสองก็มาด้วย ช่างน่าประหลาดเสียจริง”

 

เป่ยกงถังปรายตาใส่เว่ยจือฉีปราดหนึ่งโดยมิได้เอ่ยวาจาอันใด หลังจากล้างมือแล้วก็มานั่งลงที่โต๊ะ

 

โอวหยางเฟยกลับมานั่งลงข้างเว่ยจือฉีแล้วพูดว่า “เจ้าอ้วนชวีบอกว่าอาหารที่นางทำอร่อยกว่าที่โรงอาหารเป็นไหนๆ”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์จัดวางกับข้าวเข้าที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วลงบนโต๊ะ เจ้าคำรามน้อยกินเสร็จเรียบร้อยก็หายไปข้างนอกเสียแล้ว

 

“พวกเราล้วนเป็นคนร่วมเรือนเดียวกันทั้งนั้น มากินข้าวด้วยกันเช่นนี้ช่างเป็นเรื่องดียิ่งนัก” เจ้าอ้วนชวีพูด

 

“เจ้าทำอาหารเป็นหรือไม่” เป่ยกงถังถามอย่างเย็นชา

 

“ไม่เป็นหรอก” เจ้าอ้วนชวีพูดก่อนจะยิ้มคราหนึ่ง “ตอนนี้พวกเรามีโยวเย่ว์แล้วนี่นา”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ค้อนใส่เจ้าอ้วนชวีทีหนึ่งแต่ก็มิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด

 

“พรุ่งนี้ก็จะไปเลือกไข่สัตว์อสูรแล้ว” โอวหยางเฟยพูดขึ้นมาทันควัน

 

“เลือกไข่สัตว์อสูร มันคืออะไรกันหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกจึงเอ่ยถามขึ้น

 

“ปรมาจารย์วิญญาณทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้ เรื่องนี้เจ้าคงรู้อยู่แล้วกระมัง” เจ้าอ้วนชวีพูด

 

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

 

“โดยทั่วไปแล้วสัตว์อสูรวิเศษที่ปรมาจารย์วิญญาณทำพันธสัญญาด้วยได้นั้นมีขีดจำกัดอยู่ พลังยุทธ์ยิ่งสูง จำนวนสัตว์อสูรวิเศษที่ทำพันธสัญญาด้วยได้นั้นก็ยิ่งมาก ผู้ฝึกวิญญาณอย่างพวกเรานี้ทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น แต่ว่าถ้าหากเป็นไข่สัตว์อสูรก็จะแตกต่างกันแล้ว” เว่ยจือฉีพูดอธิบาย “มีนักเรียนบางส่วนที่ฐานะทางบ้านมิสู้ดี ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีสัตว์อสูรวิเศษมาก่อนเลย เช่นนั้นตอนเลือกไข่สัตว์อสูรก็จะเลือกสัตว์อสูรที่ตนจะทำพันธสัญญาด้วยเองได้ แต่ถ้าหากก่อนหน้านี้เคยมีสัตว์อสูรวิเศษอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นไข่สัตว์อสูรก็จะดูดซับพลังจิตได้ไม่มากมายสักเท่าใดนัก ดังนั้นจึงทำพันธสัญญาได้เช่นกัน”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วพูดว่า “ก็คือสัตว์อสูรวิเศษที่ทางวิทยาลัยมอบให้กับนักเรียนกระมัง”

 

“จะพูดเช่นนี้ก็ได้อยู่หรอก แต่ว่าการเลือกไข่สัตว์อสูรนั้นก็ยังมีรายละเอียดบางอย่างอยู่ด้วย” โอวหยางเฟยพูด

 

“รายละเอียดอันใดกันหรือ”

 

“ไข่สัตว์อสูรภายในนั้นมีทั้งระดับสูงระดับต่ำ ถึงแม้ว่าจะมีระดับสูงอยู่ค่อนข้างน้อย แต่ถ้าหากหาไข่สัตว์อสูรพรรค์นั้นได้แล้ว สัตว์อสูรวิเศษที่ออกมาในภายหลังนั้นก็จะยิ่งร้ายกาจมากขึ้น”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์กัดตะเกียบแล้วพูดว่า “เพราะเหตุใดจึงเป็นไข่สัตว์อสูรทั้งหมดเลย แล้วสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหล่านั้นเล่า”

 

“สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็ถูกกักเอาไว้ภายในไข่เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าไข่เหล่านั้นเป็นภาพลวงทั้งสิ้น” เว่ยจือฉีพูด “ข้าได้ยินว่าสถานที่วางไข่สัตว์อสูรนั้นน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดใด ในสายตาของเจ้าจะเห็นเป็นเพียงแค่ไข่ฟองหนึ่งเท่านั้นเอง นอกจากนี้ลักษณะภายนอกของไข่ที่มีอยู่ก็ยังเหมือนกันทั้งหมดด้วย รอจนถึงตอนที่เจ้าเลือกไข่สัตว์อสูรแล้ว ถ้าหากเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ไข่ก็จะหายวับไปเลย”

 

“นั่นคงจะเป็นภาพลวงตาอะไรพวกนี้กระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เพราะเหตุใดกัน ทำให้สายตาเจ้าเห็นภาพลวงตา สัตว์อสูรวิเศษตรงหน้าล้วนแปลงเป็นไข่เหมือนกันทั้งหมด”

 

เป่ยกงถังได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเธอแวบหนึ่ง

 

“ไม่ว่าอย่างไร พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่ควรค่าแก่การตั้งหน้าตั้งตารอวันหนึ่งเลยทีเดียว” เจ้าอ้วนชวีพูด

 

“พวกเจ้าก็น่าจะมีสัตว์อสูรที่ตัวเองทำพันธสัญญาด้วยกันหมดแล้วกระมัง แล้วจะมาคาดหวังรอคอยอะไรกันอีกเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

 

“นั่นมันไม่เหมือนกันเสียหน่อย ได้ยินว่าในนั้นมีไข่สัตว์อสูรของสายโลหิตสัตว์อสูรเทพอยู่ด้วย ถ้าหากคว้าเอาสัตว์อสูรวิเศษเช่นนั้นมาได้ ต่อจากนี้ไปก็คงร้ายกาจไม่น้อยเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ!” เจ้าอ้วนชวีตอบกลับมาอย่างลำพองใจ

 

“เจ้าฝันกลางวันของเจ้าไปเถิด!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

 

“แต่ต่อให้เลือกสัตว์อสูรวิเศษที่มีสายโลหิตสัตว์อสูรเทพมาไม่ได้ ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่วิทยาลัยเลือกมาแล้ว ล้วนเป็นสัตว์อสูรที่หายากหรือไม่ก็ค่อนข้างร้ายกาจทั้งนั้นนั่นแหละ” เว่ยจือฉีพูด

 

“ใช่ไหมเล่า ถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาคอยกันอยู่นี่ไง!”

 

วันต่อมา เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยเข้าร่วมขบวนของกองทัพอาหารเช้าด้วย โชคดีที่ได้เจ้าวิญญาณน้อยตระเตรียมสิ่งของเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เพียงแค่เธอทำก็ใช้ได้แล้ว

 

พอกินอาหารเสร็จ พวกเขาก็ไปยังห้องเรียน

 

พอเข้าไปภายในห้องเรียน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกต่างๆ นานาที่แฝงอยู่ มีทั้งความดูแคลน ความตื่นตะลึง ความประหลาดใจ ทั้งยังมีความโกรธแค้นอยู่ด้วย ดูท่าทางเรื่องที่เอาชนะเมิ่งถิงเมื่อวานนี้ก็คงจะก่อให้เกิดคลื่นลมขึ้นมาภายในชั้นเรียนไม่น้อยเลยทีเดียว

 

ถึงแม้ว่าเมิ่งถิงเห็นเธอแล้วจะยังมีความโกรธแค้นอยู่บ้าง แต่ในเมื่อกล้าท้าพนันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ นางไม่ได้คิดจะหาเรื่องซือหม่าโยวเย่ว์อีกต่อไปแล้ว ได้แต่ใช้สายตาทิ่มแทงเธอเสียหลายแผล

 

ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังมาถึงที่นั่งแถวหลังสุดของห้องเรียนโดยไม่แยแสสนใจคนเหล่านั้นเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าเป่ยกงถังนั้นเย็นชาดุจน้ำแข็ง ส่วนซือหม่าโยวเย่ว์นั้นคร้านที่จะใส่ใจ

 

ไม่นานนักเฟิงจือสิงก็เข้ามาภายในห้องเรียน เมื่อเห็นว่าคนใกล้ครบแล้วจึงเอ่ยว่า “พวกเจ้าคงรู้กันแล้วว่าวันนี้พวกเราจะทำอะไรกัน แต่ก่อนไปข้าจะบอกสิ่งที่ต้องจำใส่ใจเอาไว้ก่อน”

 

สถานที่เลือกไข่สัตว์อสูรอยู่ที่ภูเขาด้านหลังของวิทยาลัย ที่นั่นมีประตูอยู่สี่บาน ประตูสามบานในนั้นเป็นประตูที่พวกเจ้าเข้าไปได้ หลังจากพวกเจ้าเข้าไปแล้วอาจมีภาพลวงตาปรากฏขึ้น อาจมีไข่สัตว์อสูรปรากฏขึ้นมามากมาย ไข่สัตว์อสูรล้วนมีลักษณะภายนอกเหมือนกันหมด ดังนั้นพวกเจ้าจงเดินไปตามความรู้สึกของตน แล้วไปเลือกไข่ฟองที่เจ้าอยากได้ที่สุดมา เมื่อใดที่เลือกจนพอใจแล้ว พวกเจ้าจงออกมาจากที่นั่นเสีย เอาละ ตอนนี้พวกเจ้าไปเลือกไข่สัตว์อสูรกับข้าได้แล้ว”

 

คนในห้องเรียนพากันลุกขึ้นยืน ตอนที่เหอชิวจือเดินผ่านข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์นั้นก็ถลึงตาใส่เธอแรงๆ ครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเห็นเธอหันหน้ามาก็รีบเก็บสายตาของตนแล้วเดินไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

เฟิงจือสิงพาพวกเขาไปยังภูเขาด้านหลังของวิทยาลัย ตอนที่พวกเขาไปถึง นักเรียนห้องอื่นๆ คอยอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว อาจารย์หลายท่านกำลังสนทนากันอยู่

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ค้นพบว่าสายตายามที่อาจารย์ทั้งหลายมองไปทางเฟิงจือสิงนั้นแฝงเอาไว้ด้วยความเคารพ

 

“คนใกล้ครบแล้วกระมัง” เฟิงจือสิงเดินเข้าไปถาม

 

“ใช่ คนอื่นๆ มากันครบหมดแล้ว ชั้นเรียนของพวกเจ้ามาเป็นห้องสุดท้ายแล้ว” อาจารย์ท่านหนึ่งพูดขึ้น

 

“เช่นนั้นพวกเราก็เข้าไปกันเถิด” เฟิงจือสิงพูดอย่างไม่สนใจการเหน็บแนมในน้ำเสียงของอาจารย์ท่านนั้น

 

ปรมาจารย์วิญญาณที่วิทยาลัยเลือกมาในครั้งนี้ไม่มากนัก เพียงแค่พันกว่าคนเท่านั้น นอกจากชั้นเรียนพิเศษของนักหลอมยาและนักฝึกสัตว์อสูรแล้ว นักเรียนชั้นเรียนธรรมดาๆ อย่างพวกเขาก็มีอยู่ราวๆ เก้าร้อยคน เพราะว่าภายในถ้ำค่อนข้างเล็ก จุคนได้เพียงแค่สามสี่ร้อยคนเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงแบ่งนักเรียนให้ทยอยเข้าไปเป็นสามกลุ่ม

 

หลังจากที่นักเรียนได้ฟังแล้ววิพากษ์วิจารณ์กันว่าไม่ยุติธรรม ถ้าหากผู้ที่เข้าไปก่อนเลือกสัตว์อสูรวิเศษระดับสูงไปแล้ว เช่นนั้นก็ไม่เหลืออะไรให้ผู้ที่เข้าไปทีหลังแล้ว

 

“ทุกคนใจเย็นๆ กันก่อน” อาจารย์ท่านหนึ่งยกมือขึ้นปรามให้ทุกคนสงบลงแล้วพูดว่า “ไข่สัตว์อสูรที่อยู่ในนั้นเป็นแบบสุ่ม ดังนั้นจะเข้าไปก่อนหลังก็มิได้มีโอกาสแตกต่างกันเลย ทุกคนอย่าเพิ่งคิดว่ามันไม่ยุติธรรมสิ เอาล่ะ กลุ่มแรก…”

 

พวกเขาแบ่งนักเรียนออกเป็นสามกลุ่มโดยอ้างอิงจากลำดับก่อนหลังในการมาถึงที่นี่ พวกเฟิงจือสิงมาช้าที่สุด จึงต้องเข้าไปเป็นกลุ่มสุดท้าย

 

ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงภูเขาด้านหลังก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งคล้ายกับว่ามีบางสิ่งกำลังร้องเรียกเธออยู่ ร้องเรียกเสียงแล้วเสียงเล่าปะทะหัวใจเธอ เสียงนั้นคล้ายกับกำลังพูดว่า “เข้ามาสิ เข้ามา…”

 

เธอมองไปทั่วทั้งสี่ทิศ แต่ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อฟังดูอย่างละเอียด ก็ไม่ได้ยินเสียงนั้นอีกต่อไปแล้ว

 

“แปลกจริง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดขึ้นด้วยความรู้สึปแปลกๆ ในใจ ทว่าก็ถึงกลุ่มของพวกเธอพอดี เธอจึงวางความสงสัยลงแล้วเข้าไปภายในถ้ำภูเขาพร้อมกับทุกคน

 

………………

Related

“เย่ว์เย่ว์น้อย ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว” หลิงหลงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ลืมตาจึงเอ่ยขึ้นอย่างยินดี

ซือหม่าโยวเย่ว์ยกมือขึ้นเช็ดรอยน้ำตาที่หางตาแล้วก้มหน้าลงมองเจ้าเด็กน้อยข้างกาย ก่อนจะพูดอย่างสงสัยว่า “หลิงหลงหรือ”

“ฮ่า เย่ว์เย่ว์น้อยจำข้าได้แล้ว” หลิงหลงพูดพลางปรบมือ

“เหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นเจ้าเด็กน้อยได้เล่า อีกทั้งยังตัวเล็กถึงเพียงนี้อีกด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นนั่งแล้วโอบอุ้มหลิงหลงเอาไว้ในฝ่ามือ จึงค้นพบว่านางมีขนาดตัวราวๆ สองกำปั้นเท่านั้นเอง

“ผู้อื่นเขาเป็นวิญญาณครวญอย่างไรเล่า ก็เหมือนกับเจ้าวิญญาณน้อยนั่นแหละ แน่นอนว่าก็ต้องแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้อยู่แล้ว” หลิงหลงพูดพลางยิ้มอย่างมีความสุข “แต่ข้าเก่งกาจกว่าเจ้านั่นนะ! ข้าแปลงร่างเป็นสิ่งต่างๆ ได้จริงๆ แต่เขาทำมิได้ ทำได้แค่เพียงอาศัยอยู่ภายในมณีวิญญาณเท่านั้นเอง ดังนั้นหากดูจากตรงนี้ ข้าต่างหากเล่าที่เป็นสุดยอดอาวุธเทพ”

“เอาล่ะ เจ้าต่างก็เก่งกาจกันทั้งคู่นั่นแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเจ้าวิญญาณน้อยโมโหจนควันออกหูแล้วจึงรีบเอ่ยปลอบ

“ใช่แล้ว เย่ว์เย่ว์น้อย เมื่อครู่เจ้าฝันถึงอะไรหรือ พวกเราสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดใจของเจ้า ทำเอาข้าเจ็บปวดใจไปด้วยเลย” หลิงหลงถาม

“ไม่มีอะไรหรอก แค่ความทรงจำบางอย่างในอดีตเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “บางทีอาจเป็นเพราะตอนนี้ฝึกยุทธ์ได้แล้ว ดังนั้นความทรงจำก็เลยค่อยๆ ฟื้นฟูกระมัง”

ทุกคนมองออกว่าซือหม่าโยวเย่ว์ไม่อยากพูดถึง จึงไม่ถามอะไรอีก

ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นยืน เห็นว่าตนเองยังอยู่ตรงที่เดิมที่หมดสติไป มุมปากของเธอบูดบึ้งแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าจะไม่ให้ข้าเอนนอนบนเตียงสักหน่อยเลยหรือ เช่นนั้นอย่างน้อยก็ยังสบายหน่อย”

“ขี้เกียจจับย้ายน่ะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นร่างกายกะพริบวาบแล้วหายตัวไป

“ข้าขี้เกียจจะเถียงกับเจ้าแล้วเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงโมโหตายแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่มองเจ้าวิญญาณน้อยแล้วมองหลิงหลงที่อยู่ในมือพลางถามว่า “ตอนนี้เจ้าแปลงกายเป็นอาวุธใดได้บ้างหรือ”

“ข้าเองก็ไม่รู้เลย” หลิงหลงพูดพลางส่ายหน้า

“เช่นนั้นพวกเราก็มาทดสอบกันหน่อยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ได้สิ” พูดจบแล้วหลิงหลงจึงแปลงร่างกลายเป็นกริชแล้วพูดว่า “เจ้านาย เริ่มกันเถิด”

ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงอาวุธหลายอย่างขึ้นมาในหัว แต่นอกจากกระบี่ในครั้งแรกแล้ว ก็ไม่ประสบความสำเร็จกับอาวุธอื่นๆ อีกเลย

ผ่านไปครู่หนึ่งซือหม่าโยวเย่ว์ก็มองดูหม้อตรงหน้าอย่างจนใจ แล้วเลือกที่จะปล่อยวางแทน

เจ้าวิญญาณน้อยที่หายตัวไปพักหนึ่งกลับมา เมื่อมองเห็นหม้อในมือของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็กุมท้องหัวเราะเสียงดังลั่น “ฮ่าๆๆ นี่เจ้าเป็นอาวุธเทพอันใดกัน เจ้าคิดจะแปลงร่างเป็นหม้อให้พวกเราทำอาหารกินกันอย่างนั้นหรือ”

“คราวนี้มันเหนือความคาดหมายหรอกน่า” หลิงหลงพูดจบแล้วปล่อยมือซือหม่าโยวเย่ว์มาอยู่ตรงที่ว่าง ก่อนจะหมุนตัวอย่างรวดเร็ว พอมันหยุดลงแล้วก็ไม่เห็นหม้ออีกต่อไป ตะหลิวผัดกับข้าวอันหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคนแทน

ซือหม่าโยวเย่ว์ค่อยๆ สิ้นหวังลงจากความคาดหวังรอคอยในตอนแรกเริ่ม ตอนที่มองเห็นตะหลิวนั้นเธอก็หมดหวังไปเรียบร้อยแล้ว

เธอรู้สึกว่าตัวเองตกหลุมพรางเข้าอีกครั้งเสียแล้ว บอกว่าร้ายกาจถึงเพียงนั้น แต่ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดนั้นงดงามเกินไปจนเธอมิอาจทนมองได้อีกต่อไปแล้ว

เมื่อเห็นสีหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์ หลิงหลงจึงกลายร่างเป็นกริชแล้วพูดว่า “เย่ว์เย่ว์น้อยอย่าได้หมดหวังไปเลยนะ ถึงแม้ว่าข้าจะแปลงร่างได้มากมาย แต่นี่ก็เชื่อมโยงกับพลังยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ด้วย ยิ่งพลังยุทธ์ของเจ้าสูงส่ง ข้ายิ่งแปลงเป็นอาวุธที่ร้ายกาจได้มากขึ้น”

หากพูดเช่นนี้ก็หมายความว่าพลังยุทธ์ของเธอในตอนนี้ แปลงได้เพียงแค่ถ้วยชามหม้อไหเหล่านี้เท่านั้นเอง

ซือหม่าโยวเย่ว์รับรู้ได้ถึงความหมายแฝงในคำพูดของหลิงหลง จึงหยิบมันขึ้นมาแล้วพูดว่า “ข้าจะทำให้เจ้ากลายร่างเป็นอาวุธที่ร้ายกาจอย่างยิ่งให้ได้ ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็ยังใช้อาวุธอะไรไม่ได้อยู่ดี รอให้พลังยุทธ์ของข้ายกระดับขึ้นแล้วพวกเราก็มาแข็งแกร่งไปด้วยกันนะ!”

“อืม! ข้าเชื่อเจ้า เย่ว์เย่ว์น้อย!” หลิงหลงพูดด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง

“ยังมีข้าด้วยนะ ข้าก็จะแข็งแกร่งไปด้วยกันด้วย!” เจ้าคำรามน้อยเข้ามาร่วมวงด้วย

หลิงหลงกลายร่างเป็นเจ้าเด็กน้อยแล้วถีบไปบนใบหน้าเจ้าคำรามน้อยอีกครั้งก่อนจะคำรามว่า “ข้ากำลังให้กำลังใจกันและกันกับเย่ว์เย่ว์น้อยอยู่ เจ้าวิ่งเข้ามาทำไมกัน!”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองหลิงหลงที่กลายร่างเป็นสาวน้อยร้อนแรง ทันใดนั้นก็แยกไม่ออกว่าสิ่งไหนคือนางกันแน่

ตอนออกมาจากมณีวิญญาณพระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว โชคดีที่ไม่มีชั้นเรียนตอนบ่าย มิฉะนั้นเธอจะต้องถูกเจ้าเฟิงจือสิงนั่นจับผิดอีกแน่นอน

เมื่อนึกถึงเฟิงจือสิง เธอก็นึกถึงคำเตือนของเจ้าวิญญาณน้อยขึ้นมา เขารู้ว่าเธอฝึกยุทธ์ได้แล้วจริงๆ หรือ แต่เพราะเหตุใดจึงไม่เปิดโปงเธอต่อหน้าเลยเล่า เขาเองรู้ดีอยู่แล้วว่าตนเป็นคนไร้ค่า แต่ยังเต็มใจเก็บเธอเอาไว้ในชั้นเรียน เป็นเพราะเห็นแก่หน้าอาจารย์ใหญ่และท่านปู่ของตนจริงๆ อย่างนั้นหรือ

ถ้าหากบอกว่าเขามีจุดประสงค์อันใดกับตน เธอก็มิได้สัมผัสถึงเจตนาร้ายจากเขาแต่อย่างใด มิได้บอกว่าเขาซ่อนเร้นเอาไว้อย่างลึกล้ำ หากแต่เธอมีสัมผัสไวต่อผู้อื่นตั้งแต่เกิด มีความรู้สึกอันเฉียบแหลมต่อเจตนาร้ายและเจตนาดี ตั้งแต่ไหนแต่ไรก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยผิดพลาดในจุดนี้มาก่อนเลย

และด้วยเหตุนี้จึงทำให้เธอเอาชีวิตรอดมาจากการทรยศหักหลังของคนในองค์กรตอนที่ออกไปทำภารกิจร่วมกันมานักต่อนักแล้ว

ดังนั้นเธอจึงรู้สึกได้ว่าเฟิงจือสิงมิได้มีเจตนาร้ายต่อตนแต่อย่างใด

และภายในห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่ในขณะเดียวกันนี้ เฟิงจือสิงที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกก็ถูกเรียกเข้ามา

“เจ้ารู้เรื่องของเด็กนักเรียนห้องพวกเจ้าแล้วหรือไม่” ท่านอาจารย์ใหญ่ถามพลางมองเฟิงจือสิง

“ท่านหมายถึงเรื่องที่เวทีประลองใช่หรือไม่ ข้าได้ฟังมาแล้วล่ะ” เฟิงจือสิงเอ่ยตอบอย่างเรียบเรื่อย

“มีความเห็นเป็นเช่นไรเล่า” ท่านอาจารย์ใหญ่ถาม

“ไม่มีความเห็นเลย ตราบใดที่พวกเขามิได้เล่นกันจนถึงแก่ชีวิต จะอย่างไรก็ย่อมได้ทั้งสิ้น” เฟิงจือสิงนั่งบนเก้าอี้พลางเล่นเล็บมือของตนเองแล้วพูดว่า “ค่อยว่ากันเถิด บนเวทีประลองนั้นจะเป็นตายก็ต้องรับผิดชอบตนเอง หากจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาจริงๆ คนทั้งสองตระกูลนั่นก็จะมาหาเรื่องใส่ข้ามิได้หรอกนะ”

เอ้อ…

ท่านอาจารย์ใหญ่ถูกคำพูดของเฟิงจือสิงทำเอาแทบสำลักแล้วพูดว่า “ข้าถามถึงเรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์เอาชนะเมิ่งถิงได้ต่างหากเล่า”

“นางชนะแล้วอย่างไรเล่า” เฟิงจือสิงพูด “นี่ก็มิเห็นจะเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใดเลย เมิ่งถิงผู้นั้นอยู่ที่บ้านก็เอาแต่ปิดประตูฝึกฝน แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้ได้ยินว่าประมือกับผู้คนในเมืองหลวงอยู่บ่อยๆ คาดว่าคงเอาชนะด้วยประสบการณ์การต่อสู้จริงกระมัง”

ตอนที่ท่านอาจารย์ใหญ่ได้ยินว่าซือหม่าโยวเย่ว์เอาชนะเมิ่งถิงได้นั้น ยังคิดอยู่ว่าเป็นเพราะเธอสามารถฝึกยุทธ์ได้แล้วใช่หรือไม่ มิฉะนั้นเจ้าคนที่สายตาสูงส่งผู้นี้จะปรารถนารับคนไร้ค่าคนหนึ่งไปได้อย่างไรกัน แต่ว่าตอนนี้เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดแล้วก็มิใช่ว่าไร้ซึ่งเหตุผล ถึงอย่างไรตอนที่ประลองกันนั้นซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ใช้พลังวิญญาณจริงๆ

เฟิงจือสิงเห็นท่าทีดวงตาล่อกแล่กกลอกไปมาของท่านอาจารย์ใหญ่ ก็เดาความคิดในใจของเขาได้แล้ว แต่เขาก็ไม่คิดอยากพูดอะไร

“ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่ หากไม่มีเรื่องใดแล้วข้าก็ขอตัวกลับก่อนล่ะ พรุ่งนี้ต้องพาพวกเขาไปเลือกไข่สัตว์อสูร จะต้องกลับไปเตรียมตัวเสียหน่อย”

“อืม การเลือกไข่สัตว์อสูรเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักเรียน จะต้องเตรียมการให้ดีๆ ตระเตรียมจัดหาไข่สัตว์อสูรเอาไว้เรียบร้อยแล้วหรือไม่” ท่านอาจารย์ใหญ่ถาม

“วันนี้มาถึงหมดแล้ว ตอนนี้คาดว่าคงจะส่งเข้าไปเรียบร้อยแล้วล่ะ” เฟิงจือสิงเอ่ยตอบ

“เช่นนั้นเจ้ากลับไปเตรียมตัวเถิด” ท่านอาจารย์ใหญ่พูด “จำไว้ว่าต้องระวังให้ดี อย่าให้พวกเขาเข้าไปถึงห้องของไข่มรณะนั่นได้ล่ะ มิฉะนั้นก็คงจะเสียโอกาสไปเปล่าๆ เลย”

“ในเมื่อเป็นไข่มรณะ แล้วเหตุใดจึงไม่ขจัดออกไปเสียเล่า” เฟิงจือสิงถามอย่างไม่เข้าใจ

“นั่นเป็นสิ่งที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้เนิ่นนานแล้ว กฎของโรงเรียนคือห้ามไปพบกับไข่ใบนั้น แต่เพราะเหตุใดนั้นข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่มีนักเรียนเข้าไปภายในห้องนั้น หลังจากออกมาแล้วต่างสติเลือนรางกันไปหมด ดังนั้นข้าจึงคิดว่าถึงแม้ว่านั่นจะเป็นไข่มรณะ แต่ต้องมีความพิเศษอะไรบางอย่างอยู่เป็นแน่ จึงได้สืบทอดต่อๆ กันมา”

“ข้าเข้าใจแล้วล่ะ” เฟิงจือสิงพูดจบแล้วจึงจากไป

ยามราตรี ขณะที่เหอชิวจือกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนของวิทยาลัย เงาร่างคนสายหนึ่งมาขวางอยู่ตรงหน้านาง

“พรุ่งนี้พวกเจ้าจะไปเลือกไข่กันแล้วใช่หรือไม่” คนผู้นั้นถาม

“ใช่แล้ว” เหอชิวจือเอ่ยตอบ

“ดีมาก เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่งสิ แล้วข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างงามเลย” คนผู้นั้นพูด

“เรื่องอันใดหรือ เจ้าลองพูดให้ข้าฟังสักหน่อยก่อนสิ”

“ช่วยข้ากำจัดซือหม่าโยวเย่ว์เสีย” คนผู้นั้นพูด “เมิ่งถิงมีคนตระกูลเมิ่งคอยหนุนหลัง แล้วเจ้ามีขุมอำนาจใดคอยปกป้องเล่า ถ้าหากเรื่องที่เจ้าไปปลุกปั่นเมิ่งถิงให้ไปท้าประลองนางถูกนางรู้เข้าแล้วละก็…”

“ข้าจะทำ!” เหอชิวจือคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบตกลง “แล้วเจ้าอยากให้ข้าทำอย่างไรเล่า”

…………………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าคราวก่อนระหว่างกระบวนการยอมรับเป็นเจ้านายของเจ้าวิญญาณน้อย คล้ายว่าจะต้องใช้หยดเลือดของตนเอง จากนั้นเธอจึงวางนิ้วของตัวเองลงบนกริช แต่เธอยังไม่ทันได้ขยับเลย หลิงหลงก็กรีดเธอเข้าครั้งหนึ่ง โลหิตจึงหลั่งไหลลงบนกริช

“เห็นเจ้าสนิมเขรอะอย่างนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะยังคมกริบอยู่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เธอคิดจะดึงมือของตนกลับมา แต่กลับพบว่าไม่อาจผละออกจากร่างกริชของหลิงหลงได้ สถานการณ์เหมือนกันกับเจ้าวิญญาณน้อยเมื่อคราวก่อนทุกประการ

เธอรู้สึกราวกับว่าโลหิตทั้งร่างถูกหลิงหลงสูบไปจนหมดสิ้น ร่างกายเยียบเย็นอยู่บ้าง เธอยังไม่ทันได้คิดว่าตนจะถูกสูบจนกลายเป็นมัมมี่หรือไม่ ตัวเองก็ล้มลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว

“เย่ว์เย่ว์!” เจ้าคำรามน้อยมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์หมดสติไปก็รีบเหาะเข้ามาในทันที

“วางใจเถิด เพียงแค่เสียเลือดมากเกินไปเท่านั้นเอง ไม่ตายหรอกน่า” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

หลังจากหลิงหลงสูบเลือดไปมากพอแล้ว เพียงครู่เดียวก็เอนตัวลงข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ ก่อนจะเรอเสียงดังอย่างพึงพอใจ จากนั้นคราบสนิมที่อยู่บนกริชก็ร่วงหล่นลงจนหมด กริชทั้งเล่มสะอาดเอี่ยมเสียจนนำมาใช้ส่องแทนกระจกได้เลยทีเดียว บริเวณคมกริชเปล่งประกายเยียบเย็น มองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าแหลมคมหาใดเทียม

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น หลังจากที่คราบสนิมหลุดออกจนหมดแล้ว กริชกลับโปร่งแสงขึ้นมาในทันใด เจ้าคำรามน้อยและเจ้าวิญญาณน้อยเห็นเพียงแค่ว่าเลือดของซือหม่าโยวเย่ว์ไหลเวียนไปมาอยู่ภายในกริช ทำให้ทั่วทุกตารางนิ้วของกริชชุ่มไปด้วยเลือด ในขณะเดียวกันลำแสงสีแดงสายหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาอย่างเจิดจ้าจนแทบจะทำให้ทั่วทั้งมณีวิญญาณระยิบระยับไปด้วยประกายสีแดง

ยังดีที่ตอนนี้อยู่ภายในมณีวิญญาณ ถ้าหากอยู่ข้างนอกแล้วล่ะก็ ความเคลื่อนไหวนี้จะต้องชักนำความวุ่นวายเข้ามาไม่น้อยอย่างแน่นอน

เจ้าวิญญาณน้อยและเจ้าคำรามน้อยต่างก็ลืมตาไม่ขึ้นเพราะลำแสงสีแดงอันเจิดจ้า พอลำแสงสีแดงจางหายไปแล้วพวกเขาจึงลืมตาขึ้น ก็มองเห็นเด็กน้อยน่ารักคนหนึ่งนั่งอยู่บนร่างของซือหม่าโยวเย่ว์พลางหัวเราะอย่างเบิกบานใจ เจ้าเด็กน้อยผู้นั้นมีน้ำเสียงแหลมเล็กราวกับตุ๊กตาที่มีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น

“เด็ก… เด็กน้อยอย่างนั้นหรือ” เจ้าคำรามน้อยและเจ้าวิญญาณน้อยต่างพากันตะลึงงัน “เจ้า.. เจ้ากลายเป็นเด็กน้อยไปได้อย่างไรกัน” เจ้าวิญญาณน้อยชี้ไปยังหลิงหลง “นอกจากนี้เจ้ายังเป็นหญิงอีกต่างหาก!”

ถึงแม้ว่าหลิงหลงนี้จะอยู่ภายในมณีวิญญาณมาเป็นระยะเวลาหลายสิบล้านปีแล้วก็ตาม แต่ก็อยู่ในรูปลักษณ์ของกริชเล่มหนึ่งมาโดยตลอด เขาย่อมไม่เคยคิดมาก่อนอยู่แล้วว่าหลิงหลงผู้นี้จะเป็นตุ๊กตาเด็กหญิงตัวน้อยไปได้

“เพราะเหตุใดข้าจึงจะแปลงกายเป็นเด็กน้อยมิได้เล่า ตัวเจ้าเองก็ยังเป็นเด็กน้อยเหมือนกันได้เลยมิใช่หรือไร เฮอะ!” หลิงหลงหมุนกายหันหลังให้เจ้าวิญญาณน้อยแล้วมองดูสีหน้าซีดขาวของซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะถามว่า “เมื่อใดเจ้านายจึงจะฟื้นขึ้นมานะ”

“น้องสาวคนสวยเอ๋ย!” เจ้าคำรามน้อยเหาะมาตรงหน้าหลิงหลงแล้วพูดว่า “น้องหลิงหลงอย่าได้เป็นกังวลไปเลยนะ อีกไม่นานเย่ว์เย่ว์ก็คงจะฟื้นแล้วละ!”

“น้องสาวบ้านเจ้าสิ!” หลิงหลงลุกขึ้นเสียงดังตึงตังแล้วเตะเข้าบนหน้าเจ้าคำรามน้อยทีหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ตอนพี่สาวก่อร่างขึ้นมา ไม่รู้เลยว่าเจ้ายังอยู่ที่ขุมไหน ยังมิได้ฟักตัวเลยกระมัง! ยังจะกล้าเรียกข้าว่าน้องสาวอีก! ถ้าอยากจะเรียกก็เรียกข้าว่าพี่หลิงหลิงสิ!”

เจ้าคำรามน้อยรู้สึกว่าใบหน้าของตนแทบจะถูกเหยียบแบนจนกลายเป็นขนมเปี๊ยะอยู่แล้ว มันยื่นอุ้งเท้าน้อยๆ ของมันไปตบบนขาของหลิงหลงเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ขาของพี่หลิงหลงคงจะเจ็บแล้วกระมัง อยากจะให้ข้าเป่าให้พี่สักหน่อยหรือไม่”

“แค่เนื้อหนังอ่อนปวกเปียกของเจ้าจะทำให้ข้าเจ็บปวดได้อย่างนั้นหรือ” คำเรียกหาว่าพี่หลิงหลงทำให้หลิงหลงได้ใจอย่างยิ่ง เจ้าอสูรน้อยตัวนี้ช่างน่ารักเหลือเกิน จากนั้นนางก็เหาะกลับไปนั่งลงบนร่างซือหม่าโยวเย่ว์แล้วใช้มือน้อยเท้าคางพลางมองเธอที่หลับใหลไม่ได้สติด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล

นับได้ว่าเจ้าคำรามน้อยมองออกว่าหลิงหลงผู้นี้จะต้องเป็นผู้ที่มีอารมณ์ร้อนอย่างแน่นอน หากเจอเรื่องที่ขัดหูขัดตา ก็จะต้องลงไม้ลงมือ มิน่าเล่าคนอย่างเจ้าวิญญาณน้อยจึงมิอาจทนนางได้ จึงเป็นคู่กัดกับนางมานานปีถึงเพียงนี้

แต่ดูเหมือนว่านางจะชื่นชอบซือหม่าโยวเย่ว์เป็นอย่างยิ่ง แสดงออกมาตั้งแต่ก่อนที่พวกนางจะยอมรับเป็นเจ้านายแล้ว แต่เพราะเหตุใดกัน

ไม่เพียงแต่เจ้าคำรามน้อยเท่านั้นที่คิดไม่ออก แม้กระทั่งเจ้าวิญญาณน้อยก็คิดไม่ออกเช่นเดียวกัน มันอยู่กับหลิงหลงมานานปีถึงเพียงนี้แล้ว เคยเห็นนางออกไปหาเจ้านายครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ต้องผิดหวังกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนคร้านจะออกไปหาในท้ายที่สุด แล้วก็ค้างอยู่ภายในมณีวิญญาณมาโดยตลอด

เพราะเหตุใดคนที่จุกจิกจู้จี้กับการเลือกเจ้านายเช่นนี้ จึงชื่นชอบผู้ที่เพิ่งจะสำเร็จเป็นผู้ฝึกวิญญาณอย่างซือหม่าโยวเย่ว์เล่า

เจ้าวิญญาณน้อยถามข้อสงสัยของตนออกมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลิงหลงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า“เพราะว่านางเข้าใจข้าอย่างไรเล่า”

“แต่มิใช่ว่าอาวุธเทพทางด้านการโจมตีอย่างเจ้าจะชอบคนที่แข็งแกร่งหรอกหรือ นางเพิ่งจะเริ่มต้นฝึกยุทธ์เท่านั้นเองนะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“นางจะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งแน่” หลิงหลงพูดอย่างมั่นใจ

พอพูดจบนางก็ยื่นมือเล็กป้อมไปกุมใบหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้เห็นฉากที่ไม่ได้เห็นมานานแล้วอีกครั้ง เปลวเพลิงอันแรงกล้าเผาคฤหาสน์อันหรูหรางดงามจนกลายเป็นเถ้าถ่าน นี่ไม่ใช่อะพาร์ตเมนต์เดิมบนโลกของเธอ หากแต่เป็นอาคารอันโบร่ำโบราณ เหนือประตูใหญ่มีป้ายจวนซีเหมินแขวนเอาไว้ เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ป้ายเหนือประตูอันหรูหราถูกกลืนกินไปในทันใด

เมื่อเห็นทั้งจวนจมหายไปในกองเพลิง หัวใจของซือหม่าโยวเย่ว์ก็คล้ายกับถูกทิ่มแทงด้วยมีดดาบอันแหลมคมจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างไรอย่างนั้น เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางกองเพลิงพลางหัวเราะใส่เธอ “ซีเหมินโยวเย่ว์ เจ้าดูบ้านของเจ้าสิ กลายเป็นกองขี้เถ้าไปจนหมดแล้ว ฮ่าๆๆ ตอนนี้เจ้าจะยังเอาอะไรมาสู้กับข้าได้อีกเล่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นใบหน้าของนางไม่ชัด แต่ว่านางจำเสียงนั้นได้ น้ำเสียงนั้นหวีดแหลมหาใดเปรียบ และเป็นน้ำเสียงที่กรีดแทงหัวใจของเธอ

เพราะเหตุใดกัน เพราะเหตุใดเธอจึงฝันเช่นนี้อีกแล้ว นี่คือสิ่งที่เจ้าคำรามน้อยบอกว่าเป็นเรื่องราวในชาติก่อนที่เธอลืมเลือนไปหรือไม่

แต่เธอจำได้ว่าชาติก่อนนั้นเป็นการใช้ชีวิตอยู่บนโลก แล้วถูกมืออันดับสองขององค์กรวางระเบิดจนตายต่างหากเล่า

หรือจะบอกว่าเธอตายไปจากโลกแล้วข้ามมายังโลกแห่งนี้ แล้วใช้ชีวิตเป็นซีเหมินโยวเย่ว์มาชาติหนึ่ง รับตัวเจ้าคำรามน้อยมา และในที่สุดก็โดนล้างผลาญตระกูล ส่วนตัวเองก็โดนฆ่าตาย จากนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลใด การกลับชาติมาเกิดครั้งที่สองของตนจึงกลายเป็นคุณหนูคนไร้ค่าแสนโง่งมผู้นี้ได้

และเหมือนกับที่เจ้าคำรามน้อยบอกว่าก่อนที่ตนจะตายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นจึงได้ลืมเลือนความทรงจำของชาตินี้ไป ส่วนเจ้าคำรามน้อยก็คือหลักฐานที่เป็นข้อพิสูจน์อันชัดเจนว่าเธอลืมเลือนความทรงจำไปจริงๆ มิใช่ภาพลวงตาแต่อย่างใด

“โยวเย่ว์ ถ้าหากว่าเจ้ามีชีวิตรอดต่อไปได้ ก็อย่าได้แก้แค้นให้พวกเราเป็นอันขาดเลยนะ การใช้ชีวิตให้ดีนั้นเป็นสิ่งที่พวกเราอยากเห็นมากที่สุดแล้ว” น้ำเสียงอบอุ่นนุ่มนวลดังขึ้นมาจากทะเลเพลิง แต่เมื่อได้ยินเสียงนี้ หัวใจของซือหม่าโยวเย่ว์กลับยิ่งทวีความเจ็บปวดขึ้นมา เธอตะโกนขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุมได้ “ท่านแม่…”

คำเรียกหาว่าท่านแม่คำหนึ่งทำให้สองตาที่แห้งผากของเธอเปียกชุ่มขึ้นมาในทันใด หยาดน้ำตาหลั่งรินลงมาอย่างมิอาจควบคุมได้

เธอเหมือนจะเห็นใบหน้าที่งดงามใบหน้าหนึ่งแนบติดกับใบหน้าเธอเบาๆ พลางแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “ดูสิ นี่คือบุตรสาวของพวกเราอย่างไรเล่า ช่างโตมาคล้ายคลึงกับท่านยิ่งนัก! งดงามราวกับดวงจันทร์บนท้องนภาเลยทีเดียว”

“เช่นนั้นพวกเราก็เรียกนางว่าโยวเย่ว์ก็แล้วกัน” เสียงชายผู้หนึ่งเอ่ยตอบ

“ดีเลย สาวน้อย จากนี้ไปเจ้าก็มีชื่อว่าซีเหมินโยวเย่ว์แล้วนะ ข้าคือท่านแม่ของเจ้า เจ้าจะต้องเปล่งเสียงเรียกแม่เป็นคำแรกให้ได้เลยนะ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือออกมาหมายจะสัมผัสใบหน้าอันงดงามนั้น แต่ยังมิทันจะได้สัมผัสนาง เงาร่างนั้นก็สูญสลายหายไปท่ามกลางเปลวเพลิงเสียแล้ว

“ท่านแม่…”

หลิงหลงนั่งอยู่บนทรวงอกของซือหม่าโยวเย่ว์ ก็มองเห็นหยาดน้ำตาที่ไหลรินจากหางตาของเธอ จึงเอ่ยอย่างเจ็บปวดใจว่า “เย่ว์เยว์น้อยร้องให้ทำไมกันเล่า เย่ว์เย่ว์น้อยเศร้าเสียใจยิ่งนัก นางกำลังเจ็บปวดหัวใจ หลิงหลงก็อยากร้องไห้ด้วยเช่นกัน ฮือๆ…”

เจ้าคำรามน้อยและเจ้าวิญญาณน้อยก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดภายในใจของซือหม่าโยวเย่ว์เช่นเดียวกัน เจ้าวิญญาณน้อยไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เจ้าคำรามน้อยเดาได้ว่าจะต้องเป็นเพราะนางได้เห็นความทรงจำบางอย่างในชาติก่อนอย่างแน่นอน

“เย่ว์เย่ว์น้อย เจ้าอย่าร้องไห้เลยนะ พวกเราจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง!” หลิงหลงปีนไปอยู่บนทรวงอกของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอื้อมมือไปปาดน้ำตาที่หางตาให้กับเธอ

ซือหม่าโยวเย่ว์ลืมตาทั้งสองขึ้นช้าๆ ร่องรอยหยดน้ำตาเลือนหายไปแล้ว เธอมองเงาร่างที่คล้ายกับยังไม่เลือนหายไปตรงหน้าพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านแม่ เย่ว์เอ๋อร์คิดถึงท่านเหลือเกิน…”

…………………

Related

เสียงหวีดแหลมและเสียงก่นด่าของเจ้าวิญญาณน้อยดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ดังนั้นอีกเสียงหนึ่งจึงมิอาจเป็นเสียงกรีดร้องของเจ้าวิญญาณน้อยไปได้

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูเจ้าคำรามน้อยที่สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน เสียงกรีดร้องนั้นก็มิได้เกิดจากมันเสียหน่อย

ยังมิทันจะคิดเป็นอย่างอื่น ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเธอก็เปลี่ยนแปลงไป เธอถูกดึงเข้ามาอยู่ในมณีวิญญาณ เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธอ

“มิได้บอกว่าเข้ามาได้เฉพาะตอนที่ข้าอยากจะเข้ามาเท่านั้นหรอกหรือ แล้วเจ้าพาตัวข้าเข้ามาได้อย่างไรกัน”

เจ้าวิญญาณน้อยกลอกตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “พวกนั้นเป็นอาวุธวิญญาณทั่วไป ขอเพียงแค่เป็นอาวุธวิญญาณที่แข็งแกร่งสักหน่อยก็ยังดึงเข้ามาได้เลย ไม่ต้องพูดถึงข้าหรอก”

“เช่นนั้นก็ดีเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูกของตัวเองแล้วถามว่า “เจ้าดึงข้าเข้ามาทำไมกัน แล้วเมื่อครู่เจ้าร้องอะไรของเจ้า”

“เจ้านี่มันโง่จริงๆ!” เจ้าวิญญาณน้อยรู้สึกว่าซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้เป็นคนที่โง่ที่สุดในบรรดาเจ้านายมากมายที่มันเคยยอมรับมาแล้ว คิดไม่ออกจริงๆ ว่านางมีชะตาผูกกับตนจนทำให้ตนยอมรับเป็นเจ้านายได้อย่างไร

ซือหม่าโยวเย่ว์งอนิ้วชี้แล้วเขกลงบนหัวเจ้าวิญญาณน้อยเบาๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “มีอาวุธวิญญาณที่ไหนเขาดูแคลนเจ้านายกันด้วยหรือ เจ้าบ้านี่ ถ้าหากยังดูแคลนข้าอีก ข้าจะเอาเจ้าไปเผาในกองไฟแล้วนะ!”

“ข้าก็แค่พูดไปตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง” เจ้าวิญญาณน้อยมิได้เกรงกลัวการข่มขู่ของซือหม่าโยวเย่ว์เลย

“เอาละ รีบบอกเหตุผลที่เจ้าดึงข้าเข้ามาเร็วเข้าเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วความคิดก็วูบไหวคราหนึ่ง เก้าอี้ตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ

เธอค้นพบแล้วว่าเมื่ออยู่ที่นี่อำนาจจิตของเธอก็คือเทพ เพียงแค่เธอนึกคิดเท่านั้น ของที่อยู่ที่อื่นล้วนปรากฏขึ้นตรงหน้าตนได้ในพริบตาทั้งสิ้น

เจ้าวิญญาณน้อยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ตระหนักรู้ในจุดนี้ได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้จึงเลิกคิ้วขึ้น

“ไอ้หยา เจ้ามัวแต่อมพะนำอันใดอยู่เล่า รีบบอกมาเร็วเข้าสิ!” เจ้าคำรามน้อยที่รออยู่ข้างๆ เห็นเจ้าวิญญาณน้อยไม่ยอมพูดเสียทีจึงเอ่ยเร่ง

เจ้าวิญญาณน้อยไม่ตอบพวกเขา มันร่อนตัวลงบนหินลับมีดแล้วยื่นมือน้อยๆ อันเล็กป้อมไปเขี่ยกริชเล่มนั้นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าจะแกล้งทำไปจนถึงเมื่อไหร่กัน”

กริชไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว

“หากเจ้ายังแกล้งทำอยู่อีก ข้าจะให้นางลับคมเจ้าแล้วนะ!” เจ้าวิญญาณน้อยข่มขู่

ดูท่าคำขู่นี้จะค่อนข้างได้ผล จึงเห็นกริชเล่มนั้นสั่นไหวอยู่บนหินลับมีดสองครั้ง หลังจากนั้นก็ยืนขึ้นมาเสียงดังสวบ ก่อนจะลอยไปอยู่เหนือหัวของเจ้าวิญญาณน้อยเสียงดังพึ่บพั่บ แล้วอาศัยจังหวะที่มันยังไม่ทันตั้งตัวตีลงไปแรงๆ น้ำเสียงอ่อนวัยดังขึ้นมาในขณะเดียวกันว่า “ถ้าเจ้ากล้าลับข้าล่ะก็ ข้าจะสับเจ้าที่นี่ให้แหลกละเอียดไปเลย!”

อารมณ์ของเจ้าวิญญาณน้อยถูกจุดจนลุกโชน จึงมิได้สนใจพวกซือหม่าโยวเย่ว์ ต่อกรกับเจ้ากริชต่อไป

ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าคำรามน้อยตะลึงงันไปกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า มองดูกริชกับเจ้าวิญญาณน้อยข่มขู่กันไปมาอย่างตกตะลึง

“แม้แต่กริชยังพูดได้ด้วยหรือ” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างประหลาดใจ

“เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ไม่รู้สิ” เจ้าคำรามน้อยตอบอย่างเรียบง่ายอย่างยิ่ง

“เจ้ามิได้บอกว่าเจ้าเป็นสัตว์อสูรเทพโบราณที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หันหน้าไปถาม

“ไอ้หยา ข้าเป็นเพียงแค่คำรามเทพรุ่นหลังเท่านั้นเอง มิใช่สัตว์ประหลาดโบร่ำโบราณที่ใช้ชีวิตอยู่มาหลายสิบล้านปีเช่นนั้นจริงๆ เสียหน่อย ที่ข้าบอกว่ารู้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นหมายความว่านับตั้งแต่พวกเรารับถ่ายทอดมา แต่หลังการรับถ่ายทอดก็มิได้มีเจ้านี่อยู่เสียหน่อย ข้าก็ย่อมไม่รู้จักอยู่แล้วละ” เจ้าคำรามน้อยกลอกตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ครั้งหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็แอบทอดถอนใจ

ก่อนหน้านี้มันเคยพูดกับเธอเช่นนี้ แต่วิญญาณของเธอถูกทำลายจนจำมิได้เสียแล้ว

รอจนเจ้าวิญญาณน้อยกับเจ้ากริชตบตีกันไปครู่หนึ่ง ซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยส่งเสียงห้ามปราม “ข้าอยากรู้นักว่าพวกเจ้าทั้งสองจะตีกันไปจนถึงเมื่อไหร่ มิใช่ว่าควรจะบอกข้าสักหน่อยหรือว่านี่มันเรื่องอันใดกัน”

เจ้ากริชได้ยินคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงลอยเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะพูดว่า “เย่ว์เย่ว์น้อย เจ้าอย่าได้ใช้หินลับมีดลับข้าเชียว!”

ซือหม่าโยวเย่ว์เอื้อมมือไปเขี่ยกริชที่ลอยเข้ามาเองแล้วพูดว่า “บนตัวเจ้ามีสนิมมากมายถึงเพียงนี้ หากไม่ลับจนเกลี้ยงเกลาแล้วจะใช้การได้อย่างไรกัน สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือเจ้าพูดได้อย่างไรกัน! เจ้าวิญญาณน้อย เจ้ามาตอบข้าที”

น้ำเสียงของเธอสูงขึ้นอย่างฉับพลันจนทำให้เจ้าวิญญาณน้อยและเจ้ากริชพากันสะดุ้งตัวลอย

“มันมิใช่อาวุธเทพธรรมดาๆ หรอกนะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“ข้ามองออกแล้ว บอกจุดสำคัญมาสิว่าเจ้านี่เป็นของสิ่งใดกันแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ข้ามิใช่สิ่งของ ข้าเป็นสุดยอดอาวุธเทพต่างหากเล่า!” เจ้ากริชพูด

มิใช่สิ่งของ…

ซือหม่าโยวเย่ว์สะดุ้งกับคำพูดของเจ้ากริช แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกประหลาดใจเพราะคำพูดครึ่งหลังของมัน

“เจ้าเป็นสุดยอดอาวุธเทพอย่างนั้นหรือ เห็นชัดๆ ว่าสุดยอดอาวุธเทพคือข้าต่างหากเล่า!” เจ้าวิญญาณน้อยได้ยินวาจาของเจ้ากริชแล้วก็ไม่ยอม จึงพูดขัดคอขึ้นมาในทันที

“ข้าต่างหากที่เป็นสุดยอดอาวุธเทพ เก่งกาจกว่าเจ้าเยอะ!” กริชสวนขึ้น

“ข้าต่างหากล่ะที่เก่งกาจกว่าเจ้า!” เจ้าวิญญาณน้อยเถียง

“ข้าต่างหากที่เก่งกาจ!”

“เอาละ พวกเจ้าทั้งสองอย่าเถียงกันอีกเลย รีบบอกข้ามาเร็วเข้าว่าที่แท้แล้วนี่มันเรื่องอันใดกัน ที่แท้แล้วเจ้าเป็นสิ่งของอันใดกันแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์ขัดมิให้ทั้งสองถกเถียงกันต่อไป ถ้าไม่อย่างนั้น ดูจากสถานการณ์ของพวกเขาแล้ว  เถียงกันไปถึงพรุ่งนี้ก็คงไม่จบแน่

“เย่ว์เย่ว์น้อย ข้าก็บอกแล้วนี่ว่าข้ามิใช่สิ่งของเสียหน่อย” เจ้ากริชพูดอย่างเศร้าสร้อยอยู่บ้าง “ข้าคืออาวุธเทพ หลิงหลง”

เจ้าวิญญาณน้อยได้ยินเจ้ากริชประกาศว่าตนเป็นสุดยอดอาวุธเทพอีกครั้งแล้วก็นึกอยากจะเอ่ยวาจา แต่กลับถูกซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่ครั้งหนึ่ง จึงกลืนคำพูดกลับลงคอไป

“หลิงหลงหรือ นี่คืออาวุธอันใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็คือหลิงหลงน่ะสิ!” หลิงหลงพูด “ก่อนหน้านี้ข้าเป็นศิลาเทพอันวิจิตรแห่งยุคดึกดำบรรพ์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับฟ้าดิน สายแร่ที่มีอยู่ภายในร่างของข้าเหล่านั้นก็เพียงพอสำหรับการหลอมอาวุธเทพแล้ว ต่อมายุคดึกดำบรรพ์มีมหาเทพหลอมวัตถุขึ้นมาคนหนึ่ง เขาหาข้าพบแล้วหลอมข้าจนกลายเป็นอาวุธเทพขึ้นมาได้สำเร็จ ก่อนที่ข้าจะถูกหลอมกลายเป็นอาวุธเทพก็มีสติรับรู้อยู่แล้ว ระหว่างกระบวนการหลอมนั้นข้าถูกแยกสลายและหลอมรวมใหม่ ความเจ็บปวดนั้นทำให้ข้าสูญสิ้นสติรับรู้ไป ข้าเองยังคิดว่าข้าตายไปเสียแล้ว แต่ผลปรากฏว่าตอนที่ข้าลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ข้าก็มีรูปลักษณ์เป็นเช่นนี้เสียแล้ว”

“แล้วเหตุใดเขาจึงหลอมเจ้าขึ้นมาเป็นกริชเล่า ที่โลกแห่งนี้ พลังโจมตีของกริชสู้อาวุธอื่นๆ มิได้เสียหน่อย” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างไม่เข้าใจ

“นี่ก็มิใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริงของข้าหรอก” หลิงหลงพูด “เพียงแต่ว่าตอนนี้ข้าแสดงได้เพียงแค่รูปลักษณ์นี้เท่านั้นเอง”

“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าเจ้ายังมีรูปลักษณ์อื่นอยู่อีกอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตื่นเต้นเสียแล้ว

“ใช่แล้ว ในเมื่อได้รับการขนานนามว่าเป็นสุดยอดอาวุธเทพ ข้าก็ย่อมต้องมีทักษะเฉพาะตัวของข้าอยู่แล้วสิ!” เสียงของหลิงหลงเปลี่ยนเป็นลำพองใจขึ้นมาแล้วพูดว่า “ข้าแปลงเป็นอาวุธต่างๆ ได้ดังใจนึก ไม่ว่าจะเป็นหอกยาว มีดใหญ่ หรือจะเป็นกระบี่อันแหลมคม อยากจะแปลงเป็นสิ่งใดก็ได้ทั้งสิ้น

นอกจากเจ้านี่เท่านั้นที่ข้าไม่อาจแปลงกายเลียนแบบได้ ส่วนอาวุธอื่นๆ นั้นข้าล้วนแปลงกายเลียนแบบได้ทั้งสิ้น”

“นี่ก็ชัดเจนแล้วว่าเจ้าสู้ข้ามิได้!” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างลำพองใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้ากริชด้วยสองตาเปล่งประกายแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าลองแปลงกายเป็นอาวุธอื่นๆ ให้ข้าดูสักหน่อยสิ”

“การแปลงร่างนี้ก็ต้องให้เจ้านายเป็นผู้ควบคุมด้วย” เจ้ากริชพูด “เย่ว์เย่ว์น้อย ข้าชอบเจ้ายิ่งนัก ให้ข้ายอมรับเจ้าเป็นเจ้านายเถิดนะ”

“ยอมรับเป็นเจ้านายหรือ อาวุธนี้ก็จำเป็นต้องยอมรับเป็นเจ้านายด้วยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“โง่เง่ายิ่งนัก! หากมิได้ยอมรับเป็นเจ้านาย แล้วเจ้าจะเข้ามาภายในมณีวิญญาณนี่ได้อย่างไรกันเล่า” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่เจ้าวิญญาณน้อยครั้งหนึ่ง เจ้านี่ ด่าเธอว่าโง่บ่อยเหลือเกิน เธอโง่ตรงไหนกัน เพียงแค่ยังไม่ค่อยรู้จักโลกแห่งนี้ดีสักเท่าไรนักเท่านั้นเอง

“อะแฮ่มๆๆ…” ตอนที่เจ้ากริชมิได้ทะเลาะเจ้าวิญญาณน้อย ล้วนเป็นช่วงเวลาที่มันอารมณ์ดี มันอธิบายให้ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังอย่างอดทนว่า “โลกแห่งนี้ ระหว่างอาวุธวิญญาณกับเจ้านายของตนนั้นจำเป็นจะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกัน สายสัมพันธ์นี้จะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเพิ่มความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น ตอนที่ใช้งานอาวุธวิญญาณก็จะทำให้พลังเพิ่มมากขึ้นด้วย”

“เช่นนี้นี่เอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าใจขึ้นมาแล้ว “ข้ายังคิดว่ามีเพียงแค่เจ้าวิญญาณน้อยเท่านั้นที่ต้องทำการยอมรับเป็นเจ้านาย ส่วนอาวุธวิญญาณอื่นๆ ไม่ต้องทำการยอมรับเป็นเจ้านาย เช่นนั้นพวกเราก็มาทำการยอมรับเป็นเจ้านายกันเถิด”

…………………

Related

ถ้าหากไม่ได้สู้กับหลี่เฉิงเมื่อคราวก่อนจนทำให้เธอมีความเข้าใจเกี่ยวกับการต่อสู้ของผู้ฝึกวิญญาณขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์คงจะมิได้มั่นใจถึงขนาดนั้น แต่ว่าคราวก่อนตอนที่ต่อสู้เธอค้นพบแล้วว่าถ้าผู้ฝึกวิญญาณต้องการจะรวบรวมปราณวิญญาณออกมา จำเป็นจะต้องใช้เวลาชั่วขณะหนึ่ง และช่วงเวลาสั้นๆ นี้เอง คือช่วงเวลาวิกฤติที่เธอจะเอาชนะได้

 

คนที่ทำหน้าที่คล้ายกับกรรมการบนเวทีประลองคนหนึ่งบอกกับพวกเขาให้เริ่มต้นได้ เมิ่งถิงเริ่มต้นรวบรวมปราณวิญญาณในมือ

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน คนเหล่านั้นต่างคิดว่าเธอถูกทำให้ตะลึงงันไปเสียแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นคนไร้ค่าคนหนึ่ง เมื่อเห็นปราณวิญญาณแล้วตะลึงงันไปก็เป็นเรื่องปกติ

 

“เหตุใดโยวเย่ว์จึงไม่เคลื่อนไหวเลยเล่า!” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างร้อนรน

 

“ถ้ายังไม่เคลื่อนไหวอีก ปราณวิญญาณของเมิ่งถิงก็จะรวมตัวกันเรียบร้อยแล้วนะ!” เว่ยจือฉีขมวดคิ้วเช่นกัน คิดไม่ออกว่าเหตุใดซือหม่าโยวเย่ว์จึงไม่เคลื่อนไหวเสียที

 

บนใบหน้าของเธอไร้ซึ่งความหวาดกลัว อีกทั้งยังอมยิ้มน้อยๆ อมยิ้มอย่างมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง!

 

ส่วนซือหม่าโยวเล่อก็ตื่นเต้นเสียจนเอ่ยวาจาไม่ออกแล้ว มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น ท่าทีเหมือนคิดจะขึ้นไปช่วยเธอตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น

 

หากเพียงซือหม่าโยวเย่ว์ได้รับบาดเจ็บ เขาก็จะรีบพุ่งตัวขึ้นไปในทันที!

 

คนจำนวนไม่น้อยคาดเดาถึงท่าทีตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกปราณวิญญาณทำร้ายจนบาดเจ็บเอาไว้แล้ว บนใบหน้าของทุกคนเผยรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ แต่ทว่าเพียงไม่นานรอยยิ้มของพวกเขากลับแข็งค้างอยู่บนใบหน้าไปเสียแล้ว!

 

ในขณะที่พลังวิญญาณของเมิ่งถิงกำลังจะรวมตัวสำเร็จนั้นเอง ร่างกายของซือหม่าโยวเย่ว์พลันเคลื่อนไหวในทันใด แล้ววิ่งตรงเข้าไปหาเมิ่งถิงด้วยความเร็วสูงสุดอย่างฉับพลัน เพียงไม่กี่วินาทีสั้นๆ เธอเคลื่อนตัวจากบริเวณที่ห่างออกไปสิบกว่าเมตรมาถึงด้านหลังของเมิ่งถิงเรียบร้อยแล้ว!

 

เมิ่งถิงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วก็ไม่สนใจว่ายังรวบรวมปราณวิญญาณไม่เสร็จสมบูรณ์อีกต่อไป นางซัดมันออกไปทางซือหม่าโยวเย่ว์ เห็นว่ามันกำลังจะกระทบบนร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ แต่ร่างกายของเธอกลับขยับอย่างน่าประหลาดแล้วหลบเลี่ยงลูกพลังปราณวิญญาณไปได้!

 

โครม!

 

ลูกพลังปราณวิญญาณตกกระทบบนเวทีประลองแล้วส่งเสียงคล้ายระเบิดดังสนั่น

 

เมิ่งถิงคิดว่าตนโจมตีซือหม่าโยวเย่ว์ได้แล้ว แต่ว่านางยังไม่ทันได้ดีใจ ก็รู้สึกถึงความเยียบเย็นดุจน้ำแข็งที่บริเวณลำคอ

 

“เจ้าแพ้แล้วล่ะ!” เสียงของซือหม่าโยวเย่ว์ดังแว่วมาไกลๆ จากด้านหลังของนาง

 

ทุกคนในที่นั้นพากันตกตะลึงไปเสียแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้วิ่งไปถึงด้านหลังของเมิ่งถิงเสียได้นอกจากนี้ยังโอบแขนขวารอบไหล่ของนางแล้วใช้กริชที่ดูเหมือนจะถูกสนิมขึ้นจนผุกร่อนเล่มนั้นจ่อเอาไว้ที่ด้านซ้ายของลำคอนางอีกด้วย

 

“เจ้าวิ่งมาถึงด้านหลังข้าได้อย่างไรกัน!” เมิ่งถิงพูดอย่างประหลาดใจ

 

“ก็วิ่งมาทั้งอย่างนี้นี่แหละ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วเอามือตบบนร่างของนางเบาๆ สองครั้ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่ากริชเล่มนี้จะมีสนิมอยู่บ้าง อีกทั้งยังทื่อเสียด้วย แต่ว่าเพียงแค่ข้าออกแรงสักหน่อย การตัดคอเจ้าก็เป็นเรื่องที่ทำได้อยู่แล้ว ต่อให้ตัดคอของเจ้าไม่ได้ แต่กรีดแผลเป็นบนหน้าเจ้าสักรอยหนึ่งก็น่าจะได้อยู่นะ!”

 

พูดจบแล้วเธอยังวาดกริชไปมาตรงหน้าเมิ่งถิงสองครั้งด้วย

 

เมิ่งถิงรู้สึกว่ากริชวนเวียนไปมาอยู่บนใบหน้าตนก็ตกใจกลัวจนกรีดร้องขึ้นมา

 

“ว้าย… อย่ากรีดหน้าข้าเลยนะ! ข้ายอมแพ้แล้ว!”

 

เมื่อได้ยินว่าเมิ่งถิงยอมแพ้ ผู้คนบนอัฒจันทร์ต่างพากันระเบิดเสียงอย่างไม่อยากจะเชื่อออกมา

 

“คุณหนูเมิ่งพ่ายแพ้แก่คนไร้ค่าคนหนึ่ง!”

 

“เจ้าคนไร้ค่าผู้นั้นวิ่งไปยังด้านหลังของคุณหนูเมิ่งได้อย่างไรกัน”

 

“มิใช่ว่าเขาเพียงแค่ฉวยโอกาสเท่านั้นหรอกหรือ ถ้าหากต่อสู้กับคุณหนูเมิ่งขึ้นมาจริงๆ ก็ต้องเอาชนะนางไม่ได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว”

 

“แต่ก็เอาชนะได้แล้วอยู่ดี”

 

“คนไร้ค่าผู้นั้นชนะแล้ว เช่นนั้นพวกเรายังต้องเรียนร่วมกันกับเจ้าคนไร้ค่านั่นน่ะสิ สวรรค์เอ๋ย…”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ปล่อยตัวเมิ่งถิงแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้ายอมแพ้แล้ว เช่นนั้นต้องทำตามข้อตกลงด้วยล่ะ ต่อจากนี้ไปเมื่อพบข้าก็ต้องหลีกไปให้ไกลหน่อย หากยังกล้ามาระรานอีกล่ะก็…”

 

เธอยังมิทันได้พูดประโยคหลังจนจบ แต่ความหมายนั้นก็ชัดเจนโดยไม่ต้องพูดอยู่แล้ว

 

เมิ่งถิงจ้องมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างไม่พอใจ เห็นเขาไปยังขอบเวทีประลองแล้วหยิบฝักกริชขึ้นมา ก่อนจะเดินลงไปอย่างสบายๆ

 

แต่ต่อให้ไม่พอใจยิ่งกว่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ชมดูอยู่ที่นี่ ถ้าหากนางไม่ทำตามที่ตกลงกันเอาไว้ เช่นนั้นนางก็จะกลายเป็นบุคคลที่ทุกคนรังเกียจ เพราะคนบนโลกนี้ดูแคลนผู้ที่ไม่รักษาสัจจะเป็นที่สุด

 

“เสร็จสิ้นลงอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ลงมาจากบนเวทีประลองแล้วเดินไปทางพวกเขา ยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

 

“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นท่าทีทึ่มทื่อของเจ้าอ้วนชวีแล้วยื่นมือเขกหัวเขาทีหนึ่ง

 

ซือหม่าโยวเล่อมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์สงบลงแล้ว ปมที่ขมวดรัดแน่นในหัวใจจึงค่อยคลายลง เพลิงโทสะในใจที่คลายลงไปกลับปะทุขึ้นมา เขาพุ่งตัวเข้าไปก่นด่าเธอว่า “เจ้ารับคำท้าประลองของผู้อื่นตามใจชอบได้อย่างไรกัน! เจ้ารู้จักการรับผิดชอบความเป็นความตายของตนเองบนเวทีประลองหรือไม่ ถ้าหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดอันใดขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไรเล่า”

 

“ท่านพี่สี่ นี่ข้าก็มิได้ยังดีๆ อยู่หรือไร” ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวเข้าไปดึงมือของซือหม่าโยวเล่อเอาไว้แล้วพูดว่า “เอาน่า มีอะไรอยากจะพูด กลับไปแล้วก็ค่อยว่ากันเถิดนะ ที่นี่มีคนเยอะแยะไปหมดเลย”

 

“เฮอะ เจ้าก็รู้นี่ว่ายิ่งคนเยอะก็ยิ่งขายหน้า!” ซือหม่าโยวเล่อพูดพลางถลึงตามองเธอ

 

“อะแฮ่มๆ พวกเรากลับกันก่อนเถิดนะ” เว่ยจือฉีมองเห็นผู้คนไม่น้อยส่งสายตาแปลกประหลาดมาทางพวกเขาจึงเสนอแนะขึ้น

 

“ไปกันเถิด”

 

ระหว่างทางกลับ ซือหม่าโยวเล่อก็พร่ำบ่นซือหม่าโยวเย่ว์ตลอดทาง บอกว่าเธอไม่ควรจะไปรับคำท้าประลองโดยไม่สนใจว่าจะเป็นอันตรายอะไรกับตัวเอง หากมีเรื่องอันใดให้บอกพวกเขา พวกเขาจะช่วยเธอจัดการเอง

 

เมื่อได้ฟังคำพร่ำบ่นที่เต็มไปด้วยความห่วงกังวลของซือหม่าโยวเล่อ ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ท่านพี่สี่ ข้าโตแล้วนะ มิอาจพึ่งพาการคุ้มครองของพวกท่านอยู่ตลอดได้หรอก

 

พวกท่านให้ครอบครัวและความอบอุ่นใกล้ชิดกับข้า ข้าเองก็อยากจะปกป้องพวกท่านเช่นเดียวกัน ข้าอยากจะแข็งแกร่ง หากเป็นเช่นนั้นก็จะปกป้องคนที่ข้าอยากปกป้องได้ แต่ถ้าหากหวั่นกลัวแม้กระทั่งการท้าประลองแค่นี้ ใจข้าเองก็คงจะยอมแพ้แก่ตัวเองแล้ว คนที่ใจขี้ขลาดคนหนึ่งจะทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างไรกันเล่า”

 

“เจ้า… เฮ้อ… เจ้าโตแล้วจริงๆ นั่นแหละ” ซือหม่าโยวเล่อตบบ่าซือหม่าโยวเย่ว์ เขาพูดไม่ถูกว่าเมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ที่แท้แล้วในใจเกิดความรู้สึกเช่นไรขึ้นกันแน่

 

ควรจะรู้สึกตื่นเต้นยินดีไปกับการเติบโตของนาง หรือว่าจะรู้สึกเศร้าเสียใจเพราะเธอกำลังจะออกไปจากการปกป้องของพวกเขาแล้วดี

 

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ถึงความรู้สึกอันซับซ้อนในใจของเขา จึงดึงแขนของเขามาแล้วพิงศีรษะวางลงบนไหล่ของเขาพลางเอ่ยว่า “ไม่ว่าข้าจะเป็นเช่นไร ข้าเป็น ‘น้องชาย’ ของพวกท่าน ส่วนพวกท่านเป็นพี่ชายของข้าอยู่ดี พวกเราจะเป็นคนครอบครัวเดียวกันไปตลอดกาล!”

 

ซือหม่าโยวเล่อตบศีรษะซือหม่าโยวเย่ว์เบาๆ แล้วพูดว่า “อืม พวกเราจะอยู่ด้วยกันไปตลอดกาล”

 

“ไอ้หยา ข้าว่าพวกเจ้าไม่ต้องทำตัวเลี่ยนกันถึงเพียงนี้จะได้หรือไม่!” เจ้าอ้วนชวีลูบแขนของตัวเอง คล้ายกับรู้สึกขนลุกขนพอง

 

เมื่อครู่เขากับเว่ยจือฉียังรู้สึกซาบซึ้งกับคำพูดเหล่านั้นของซือหม่าโยวเย่ว์อยู่เลย แต่พอหันมาแล้วเห็นคนสองคนคลอเคลียอยู่ด้วยกัน ก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาในทันที

 

“ข้าว่านะ เจ้าคงจะไม่ตวัดกรงเล็บมารของเจ้าเข้าใส่พี่ชายของเจ้าหรอกกระมัง”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ผละออกจากร่างของซือหม่าโยวเล่อแล้วเตะขาข้างหนึ่งเข้าใส่เจ้าอ้วนชวีพลางคำรามว่า “เจ้าอ้วนชวี เจ้าตายให้ข้าเสียเถิด!”

 

เจ้าอ้วนชวีเบี่ยงตัวหลบหลีกการโจมตีของซือหม่าโยวเย่ว์ แน่นอนว่านี่เป็นเพราะซือหม่าโยวเย่ว์มิได้คิดจะโจมตีเขาอย่างจริงจัง มิฉะนั้นด้วยฝีมือของเขาจะหนีพ้นได้อย่างไรกัน

 

“เฮอะ! ถือว่าเจ้าหลบได้เร็วก็แล้วกัน!” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบท้องของตนเองพลางเอ่ยว่า “หิวเหลือเกิน พวกเรากลับไปทำกับข้าวกินกันดีกว่า”

 

หลังจากกลับไปแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็ทำกับข้าวง่ายๆ จำนวนหนึ่งให้กับทุกคน หลังจากกินมื้อกลางวันแล้วทุกคนจึงค่อยแยกย้ายกันกลับไป

 

ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปยังห้องของตนแล้วหยิบเอาหินลับมีดก้อนหนึ่งออกมาจากในมณีวิญญาณ เตรียมจะขัดสนิมทิ้งออกจากกริชเล่มนั้น

 

แต่เธอเพิ่งจะหยิบเอากริชออกมาวางบนหินลับมีดเท่านั้น ยังมิทันได้เริ่มต้นลับมีดเลย ก็ได้ยินเสียงร้องหวีดแหลมดังขึ้น อีกทั้งยังมีเสียงก่นด่าของเจ้าวิญญาณน้อยอีกด้วย

 

“เจ้าโง่ เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ!”

 

………………

Related

ภายในสนามประลอง บนอัฒจันทร์มีผู้ชมไม่น้อย คนส่วนใหญ่ล้วนมาเพื่อดูว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะถูกโจมตีอย่างไร จะถูกให้ไสหัวไปเช่นไร

พวกเขายั่วยุซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ไหว แต่ถ้าหากได้เห็นเขาถูกบีบออกไปจากวิทยาลัย ทุกคนล้วนยังเต็มใจจะมาดูท่าทีอันน่าอนาถของเขา

“เหตุใดเจ้าคนไร้ค่าผู้นั้นจึงยังไม่ปรากฏตัวอีกเล่า”

ถึงแม้จะไม่กล้าพูดต่อหน้าซือหม่าโยวเย่ว์ว่าเธอเป็นคนไร้ค่า แต่พอลับหลังเธอแล้วก็เรียกเธอว่าคนไร้ค่า คนไร้ค่า กันไม่หยุดหย่อน

“เช่นนั้นมิใช่ว่าคนไร้ค่าหวาดกลัวไปแล้วกระมัง” มีคนถามขึ้น

“ก็เป็นไปได้นะ ถึงอย่างไรคุณหนูเมิ่งผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกวิญญาณ ส่วนเขาเป็นคนไร้ค่าโดยสมบูรณ์แบบ เมื่อเผชิญกับการท้าประลองเช่นนี้ ด้วยอุปนิสัยของเขาแล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะหนีเอาตัวรอดไปเสียแล้ว”

“ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เขาคงไม่มีหน้าอยู่ในวิทยาลัยแล้วกระมัง!”

“เขาจะไม่มีหน้าได้อย่างไรกัน! คนไร้ค่าผู้นั้นหนังหน้าหนายิ่งกว่ากำแพงเมืองเสียอีก ไม่อย่างนั้นคงจะไม่เกาะแกะคุณชายมู่หรงสุดชีวิตไม่ยอมปล่อยหรอก!”

“คุณชายมู่หรงผู้นี้ก็ช่างน่าสงสารเสียจริง ถึงกับถูกบุรุษผู้หนึ่งชมชอบเข้า เมื่อเห็นสีหน้าของเขาทุกครั้งที่ได้ยินชื่อซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็รู้สึกว่าเขาช่างน่าสงสารยิ่งนัก”

“ฮ่าๆ ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้จะถูกไล่ออกจากวิทยาลัยอยู่แล้ว พวกคุณชายมู่หรงมาแล้วหรือยัง”

“มาแล้ว นั่งอยู่ตรงที่นั่งแถวล่างสุดนั่นอย่างไรเล่า!”

ทุกคนมองไปตามคำพูดของคนผู้นั้น แล้วก็เห็นมู่หรงอานและน่าหลานหลาน คุณหนูของตระกูลน่าหลานนั่งอยู่ตรงกลางของที่นั่งแถวแรก

“มู่หรง มิใช่ว่าซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้จะไม่มาแล้วหรือ” น่าหลานหลานนั่งอยู่ข้างกายมู่หรงอาน กลิ่นอายสูงศักดิ์ของคุณหนูตระกูลใหญ่ชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย

“ต่อให้เขาไม่มา ข้าก็มีวิธีทำให้เขาหายสาบสูญไปจากวิทยาลัยอยู่ดีนั่นแหละ!” มู่หรงอานพูด “เดิมทีข้าคิดว่าเขาถูกวิทยาลัยไล่ออกไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะไปเข้าชั้นเรียนของนักเรียนใหม่เสียได้ ถ้าหากเขายังกล้ามารังควานข้าอีก ก็อย่าตำหนิว่าข้าใจดำลงมือโหดเหี้ยมก็แล้วกัน!”

“พี่เขย ท่านวางใจเถิด คนไร้ค่าผู้นั้นจะต้องไม่กล้ามารังควานท่านอีกอย่างแน่นอน” น่าหลานฉีพูดอมยิ้ม

“น้องข้า เจ้าจะป่วนไปไยเล่า!” น่าหลานหลานถูกคำเรียกหามู่หรงอานของน่าหลานฉีทำให้อายจนหน้าแดงก่ำ

“ฮ่าๆ ถึงอย่างไรพวกท่านสองคนตกลงสานสัมพันธ์เช่นคู่ครองกันแล้ว เพียงแค่ยังมิได้จัดงานแต่งงานเท่านั้นเอง ในใจของข้า พี่มู่หรงก็เป็นพี่เขยข้าไปเรียบร้อยแล้ว ใช่ไหมพี่เขย” น่าหลานฉีพูดจบแล้วก็ยังไม่ลืมลากมู่หรงอานลงคลองมาด้วย

ถึงแม้ว่ามู่หรงอานจะไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าเขามิได้ปฏิเสธ จึงนับได้ว่ายอมรับคำพูดของน่าหลานฉี

“ดูสิ เจ้าคนไร้ค่ามาแล้ว!”

ไม่รู้ว่าใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา สายตาของทุกคนจึงไปรวมกันอยู่ที่ประตูทางเข้า ก็มองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์และเว่ยจือฉีเดินเข้ามา

เมิ่งถิงที่ยืนอยู่กลางเวทีประลองมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็โบกมือคราหนึ่ง ทั้งสนามพลันเงียบสงบลงในทันใด

“ให้พวกเรารอคอยกันเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ข้ายังคิดว่าเจ้ามิกล้ามาแล้วเสียอีก!” เมิ่งถิงมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างหยามหยัน

“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ยากนักที่จะมีโอกาสทำให้ภายหน้าภายหลังเจ้าไม่มายุ่งวุ่นวายกับข้าอีกต่อไป ข้าจะไม่คว้าโอกาสอันดีเช่นนี้เอาไว้ได้อย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูอัฒจันทร์ผู้ชมโดยรอบ มีผู้คนมากันมากมายเหลือเกิน!

ดูท่าทางจะมีคนอยากชมดูเรื่องตลกของเธอไม่น้อยเลยทีเดียว

“ในเมื่อมาแล้วก็อย่ามัวเปลืองน้ำลายอยู่อีกเลย รีบบุกเข้ามาเสียสิ!” เมิ่งถิงเอ่ยอย่างหมดความอดทน

มัวสิ้นเปลืองเวลาอยู่กับคนไร้ค่าพรรค์นี้มากมายถึงเพียงนี้ นางก็แทบจะทนรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“ข้าไปรอเจ้าบนอัฒจันทร์นะ” เว่ยจือฉีพูด

“ไม่ต้องหรอก ข้าจะทำให้มันจบโดยเร็ว เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่สักประเดี๋ยวเดียวก็พอแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ก็ได้” เว่ยจือฉีพยักหน้าแล้วยืนอยู่ที่ด้านล่างเวทีประลองพลางมองดูเธอเดินขึ้นหน้าไปก้าวแล้วก้าวเล่า

เมิ่งถิงมองซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้ามาแล้วก็เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ถ้าหากข้าเป็นเจ้าละก็ คงจะยอมแพ้ไปเพื่อรักษาหน้าตาวงศ์ตระกูลแล้วละ”

“เพราะอะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“เพราะถ้าหากเจ้าไม่ยอมแพ้ ข้าก็จะโจมตีจนเจ้าพ่ายแพ้ พอถึงเวลานั้นคุณชายแห่งจวนแม่ทัพถูกผู้อื่นโจมตีเสียจนน่าอนาถ เช่นนั้นทั่วทั้งจวนแม่ทัพคงจะกลายเป็นที่ขบขันของชาวบ้านไปทั่ว” เมิ่งถิงพูด

“เจ้ามั่นใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้น่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มแล้วถามขึ้น

เมิ่งถิงยืดอกแล้วเชิดคางขึ้นก่อนจะเอ่ยอย่างมั่นใจในตนเองว่า “แน่นอนอยู่แล้ว!”

“โยวเย่ว์!”

ขณะนี้เอง ซือหม่าโยวเล่อและเจ้าอ้วนชวีก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่บนเวทีประลอง ซือหม่าโยวเล่อก็ตกใจเสียจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง

“โยวเย้ว์ เจ้าขึ้นไปได้อย่างไรกัน ลงมาหาข้าเร็วเข้า!” ซือหม่าโยวเล่อตะโกนเสียงดังไปทางซือหม่าโยวเย่ว์

“โยวเย่ว์ เจ้าลงมาเร็วเข้าเถิด เฮือกๆ…” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางหอบหายใจเฮือกใหญ่

“ท่านพี่สี่ ท่านมาได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูคนทั้งสองที่วิ่งเสียจนกระหืดกระหอบแล้วก็คาดเดาได้ว่าเจ้าอ้วนชวีจะต้องไปพาตัวเขามาเป็นแน่

ก่อนหน้านี้ตอนออกมาแล้วไม่เห็นเจ้าอ้วนชวี ก็ยังคิดว่าเขาคงจะอยู่ในห้องของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าเขาจะไปเรียกกำลังเสริมมา

มิตรภาพนี้ เธอจดจำเอาไว้ในใจแล้ว!

เมื่อเห็นสายตาเป็นกังวลของคนทั้งสอง เธอแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่สี่ ตอนนี้ข้าขึ้นมาบนเวทีประลองแล้ว ยังไม่มีผลแพ้ชนะก็ลงไปไม่ได้หรอก นอกเสียจากว่าข้าจะยอมแพ้ มิฉะนั้นก็ลงไปก่อนไม่ได้หรอกนะ”

ระหว่างทางมาที่นี่เมื่อครู่ นางก็ได้ฟังเว่ยจือฉีบอกกฎกติกามาเรียบร้อยแล้ว

“เช่นนั้น…” ซือหม่าโยวเล่อคิดจะให้ซือหม่าโยวเย่ว์ยอมแพ้ไปเสียเลย เช่นนี้อย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกผู้อื่นทุบตี

“ท่านพี่สี่!” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าซือหม่าโยวเล่อจะพูดอะไร จึงเอ่ยเสียงดังว่า “ต่อให้เป็นเพราะชื่อเสียงของจวนซือหม่า ข้าก็มิอาจหลบหนีโดยไม่ต่อสู้ได้หรอกนะ! นอกจากนี้… ข้าไม่มีทางทำให้จวนซือหม่าต้องอับอายเพราะข้าอีกแล้ว”

คำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้ผู้คนในที่นั้นตกตะลึงไปเสียแล้ว ไม่มีทางทำให้จวนซือหม่าต้องอับอายเพราะนางอีกแล้ว คนที่เอ่ยวาจาเช่นนี้คือซือหม่าโยวเย่ว์จริงๆ น่ะหรือ!

“โยวเย่ว์…” ซือหม่าโยวเล่อมองดูรอยยิ้มบนใบหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็พึมพำเรียกชื่อเธอ

ตอนนี้ “น้องห้า” ของเขา เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

“ท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอะไรหรอก!” ซือหม่าโยวเย่ว์ทำสัญลักษณ์สู้ตายให้ซือหม่าโยวเล่อ จากนั้นก็มองเมิ่งถิงพลางพูดว่า “พวกเราเริ่มต้นกันเสียทีเถิด”

เมิ่งถิงมองดูผู้คนด้านล่างปราดหนึ่งแล้วพูดกับซือหม่าโยวเย่ว์ว่า “ในเมื่อเจ้าฝึกยุทธ์ไม่ได้ ข้าก็จะต่อให้เจ้า อนุญาตให้ใช้อาวุธได้ ตอนนี้ก็หยิบอาวุธของเจ้าออกมาเสียสิ!”

เจ้าคำรามน้อยอยู่ในอ้อมแขนของเว่ยจือฉี เมื่อได้ยินซือหม่าโยวเย่ว์พูดว่าเริ่มต้นก็ดิ้นพล่านอย่างตื่นเต้น แต่หลังจากได้ยินเมิ่งถิงพูดว่าหยิบอาวุธออกมาแล้วก็สลดลงไปในทันใด ทั้งยังใช้อุ้งเท้าน้อยๆ สองข้างปิดตาตัวเองเอาไว้อีกด้วย

เว่ยจือฉีสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของเจ้าคำรามน้อย ไม่รู้ว่าเมื่อครู่มันเพิ่งจะตื่นเต้นอยู่แท้ๆ แต่เหตุใดตอนนี้จึงเป็นเช่นนี้ไปเสียได้ แต่ว่าเพียงเสี้ยววินาทีเดียวเขาก็เข้าใจแล้ว

เพราะว่าซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอากริชที่เหน็บไว้ที่เอวออกมา ฝักหุ้มด้านนอกของกริชนั้นแสนจะเรียบง่าย คล้ายกับว่าเพียงแค่หยิบเอาเศษผ้าชิ้นหนึ่งมาพันเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น และในตอนที่เธอชักกริชออกมาจากฝัก ทั่วทั้งสนามก็มีเสียงหัวเราะดังระเบิดขึ้นมา

“ฮ่าๆๆ จวนแม่ทัพไม่มีอาวุธแล้วหรือไร หรือจะบอกว่าไม่มีแม้แต่เงินจะไปซื้ออาวุธสักเล่มหนึ่งเลยเชียวหรือ ถึงได้หยิบเอากริชสนิมเขรอะเล่มหนึ่งมาต่อกรกับผู้ฝึกวิญญาณได้!”

“ตลกแทบตายอยู่แล้ว!”

ซือหม่าโยวเล่อมองเห็นกริชในมือซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็อยากจะยกมือขึ้นมาปิดตาเหมือนเจ้าคำรามน้อย นี่มัน… เป็นอาวุธที่น่าผิดหวังเกินไปแล้วจริงๆ!

เมิ่งถิงมองเห็นอาวุธที่ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบออกมาแล้วก็สะดุ้งคราหนึ่งก่อนจะหัวเราะแล้วพูดว่า “ซือหม่าโยวเย่ว์ ตัวเจ้าเองไม่มีพลังวิญญาณก็ช่างเถิด นี่ยังถึงกับหยิบเอากริชเช่นนี้เล่มหนึ่งมาประลองกับข้าได้ เจ้าคิดจะใช้สนิมบนนั้นมาสกัดพลังวิญญาณของข้าหรือไร”

ซือหม่าโยวเย่ว์เองพอคาดเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าพอหยิบกริชเล่มนี้ออกมาจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้แน่ แต่ว่าเธอชอบความรู้สึกในมือยามถือกริชเล่มนี้ วางแผนว่าต่อไปจะใช้มันเป็นอาวุธประจำกายตน รอหลังจากกลับไปแล้วค่อยขัดสนิมบนนั้นให้ดีก็ใช้ได้แล้ว

เมื่อเผชิญกับการหัวเราะเยาะของเมิ่งถิง เธอก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพียงแค่วางฝักลงบนพื้นแล้วพูดว่า “เริ่มกันเถิด”

………………

Related

หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์กลับเข้าไปในห้องแล้วก็ได้ยินเจ้าคำรามน้อยโวยวายอยู่ภายในมณีวิญญาณว่าอยากออกมา ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง เจ้าคำรามน้อยก็มาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าแล้ว

 

“เป็นอะไรไปหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์คว้าหูยาวของมันเอาไว้แล้วถามขึ้น

 

“เยว่เยว่ เจ้าจะประลองกับแม่ดอกบัวขาวผู้นั้นจริงๆ หรือ” เจ้าคำรามน้อยพูด

 

“ใช่แล้ว ผู้อื่นมาท้าทายถึงที่ แล้วข้าจะถอยหนีได้หรือ”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เหวี่ยงตัวเจ้าคำรามน้อยไป เจ้าคำรามน้อยลอยเป็นมุมโค้งอันสวยงามกลางอากาศ

 

เมื่อเห็นว่ากำลังจะชนกำแพง มันรีบบิดร่างกายแล้วลอยกลับมา มันเห็นซือหม่าโยวเย่ว์กำลังหาของบางอย่างอยู่ในแหวนเก็บวัตถุ จึงลอยเข้าไปข้างกายนางแล้วเอ่ยถามว่า “เย่ว์เย่ว์ เจ้ากำลังหาสิ่งใดอยู่หรือ”

 

“หาอาวุธน่ะสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าต้องหาอาวุธที่เหมาะมือสักอันหนึ่ง อาวุธในแหวนที่ท่านพ่อทิ้งเอาไว้ให้ไม่ค่อยเหมาะมือสักเท่าไรเลย”

 

“เจ้าต้องการอาวุธอย่างนั้นหรือ ข้าเห็นที่เจ้าวิญญาณน้อยนั่นมีอยู่มากมายก่ายกองเลย!” เจ้าคำรามน้อยพูด

 

“จริงหรือ เช่นนั้นข้าไปลองดูสักหน่อยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบก็พาตัวเจ้าคำรามน้อยเข้าไปในมณีวิญญาณ

 

เมื่อเข้าไปแล้วเจ้าวิญญาณน้อยก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์ ยังไม่รอให้เธอเอ่ยปาก เขาก็พูดขึ้นมาว่า “มากับข้าสิ”

 

ดูท่าทางเขาจะรู้ว่าเธอเข้ามาทำอะไร

 

“นี่คืออาวุธที่เจ้านายคนก่อนๆ หน้านี้หลอมเอาไว้” เจ้าวิญญาณน้อยพาพวกเขามาถึงในห้อง ซึ่งภายในนั้นมีอาวุธต่างๆ นานา วางเรียงรายเต็มไปหมด

 

“ที่แท้แล้วเจ้ามีเจ้านายคนก่อนกี่คนกันแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังคำพูดของเจ้าวิญญาณน้อยแล้วเอ่ยขึ้น

 

“ไม่ได้มีมากขนาดนั้นหรอก” เจ้าวิญญาณน้อยพูดจบก็หายตัวไปเสียแล้ว

 

ซือหม่าโยวเย่ว์มองในห้องปราดหนึ่งแล้วค้นพบว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับค่อนข้างสูงทั้งสิ้น

 

นอกจากนี้ภายในยังถึงกับมีอาวุธเทพอยู่ไม่น้อยอีกด้วย เธอคิดจะหาอาวุธที่ดูเรียบง่ายไม่สะดุดตาสักเล่มหนึ่งนั้นก็ช่างยากเย็นยิ่ง

 

เธอดูอาวุธที่อยู่ที่นี่แทบจะครบทุกชิ้นรอบหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็มองเห็นกริชที่เรียบง่ายเล่มหนึ่งวางอยู่ในมุมอับ เธอหยิบกริชขึ้นมาแล้วหยั่งน้ำหนักในมือดูรอบหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “อันนี้ก็แล้วกัน”

 

พอซือหม่าโยวเย่ว์หยิบกริชออกไปแล้วเจ้าวิญญาณน้อยก็ออกมาอยู่ในห้องแล้วมองดูมุมที่เคยวางกริชอยู่ ก่อนจะเอ่ยอย่างประหลาดใจอยู่บ้างว่า “เจ้าเลือกอาวุธชิ้นนั้นจริงๆ เสียด้วย แล้วมันเองก็มิได้ต้านทานเลย คิดไม่ถึงว่าเจ้านายคนก่อนๆ หลายคนล้วนมิได้รับความยินยอมจากมัน แต่เจ้าเด็กน้อยที่เพิ่งเริ่มต้นฝึกยุทธ์คนหนึ่งกลับเข้าตามันเสียได้ นี่คงเป็นชะตาลิขิตกระมัง”

 

หรือพูดได้ว่า หลังจากนี้เธออาจจะมีอนาคตที่แตกต่างออกไปก็เป็นได้…

 

หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบกริชออกไปแล้วดึงออกจากฝัก ทันใดนั้นก็ตื่นตะลึงขึ้นมา

 

“ฮ่าๆๆ!”

 

เจ้าคำรามน้อยมองดูท่าทีของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วกุมท้องหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา

 

“เย่ว์เย่ว์ เจ้าเลือกอยู่ตั้งนมนานถึงเพียงนั้น แต่กลับเลือกกริชสนิมเขรอะเช่นนี้มานี่นะ”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์มองกริชในมืออย่างจนใจ ถึงแม้เมื่ออยู่ในมือจะรู้สึกว่าไม่เลวเลย แต่เพราะเหตุใดนอกจากด้ามจับที่ถูกเคลือบเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว ด้านบนด้านล่างใบมีดจึงเต็มไปด้วยสนิมทั้งนั้นเลยเล่า! แล้วนี่จะให้เธอไปประลองได้อย่างไรกัน!

 

ขณะนี้เอง ชายคนหนึ่งก็วิ่งมาถึงตรงหน้าบ้านของพวกเขาแล้วตะโกนว่า “ซือหม่าโยวเย่ว์ คุณหนูเมิ่งให้ข้ามาถามเจ้าว่าไม่คิดจะไปประลองแล้วใช่หรือไม่ ถ้าหากเจ้าไม่อยากประลองแล้ว จงรีบไปเก็บข้าวของแล้วไสหัวออกไปเสีย!”

 

คนผู้นั้นพูดจบแล้วก็รีบวิ่งออกไป ถึงแม้ว่าเมิ่งถิงจะไม่กลัวท่านปู่ของซือหม่าโยวเย่ว์ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอย่างพวกเขาจะไม่กลัวเสียหน่อย ถ้าหากถูกซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเข้าคงจะไม่เป็นผลดีต่อตนแต่อย่างใด

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังคำพูดจากด้านนอกแล้วก็ทอดถอนใจก่อนจะเอ่ยว่า “ตอนนี้ไม่มีแม้กระทั่งเวลาจะขัดเงามันเลยด้วยซ้ำ ใช้มันทั้งแบบนี้ก็แล้วกัน ถึงแม้ว่าภายนอกจะไม่สวยงาม แต่ก็ดูจะเหมาะมือน่าดู”

 

เจ้าคำรามน้อยมองกริชในมือซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจแล้วพูดว่า “หยิบอันไหนมามั่วๆ ก็ล้วนดีกว่ามันทั้งสิ้นกระมัง”

 

“เจ้ารู้อะไรหรือไม่ คนกับอาวุธจะต้องมีความเหมาะเจาะกันจึงจะใช้ได้ หากหาอาวุธชิ้นหนึ่งมามั่วๆ ไม่แน่ว่าในช่วงเวลาวิกฤติอาจกลายเป็นตัวถ่วงก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์เสียบกริชเก็บเข้าไปในปลอกแล้วพูดว่า “ก็เหมือนกันกับที่อาวุธบางอย่าง เวลาอยู่ในมือคนที่แตกต่างกันอาจจะแสดงพลานุภาพที่แตกต่างกันก็เป็นได้”

 

ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือไม่ ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าตอนที่พูดคำนี้ กริชในมือดูคล้ายจะขยับเขยื้อนเล็กน้อย

 

“เอาเถิด ก่อนหน้านี้เจ้าก็เคยพูดเช่นนี้มาก่อนแล้ว แต่เจ้าบอกว่าตลอดมาเจ้าไม่เคยหาอาวุธที่เหมาะมือพบเลย” เจ้าคำรามน้อยพูด

 

แล้วมันก็มองกริชในมือซือหม่าโยวเย่ว์อีกครั้ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความสุดจะทานทน ชาติก่อนนางไม่เคยหาอาวุธที่เหมาะมือพบเลย หรือว่ากำลังรอคอยกริชที่ขึ้นสนิมไปหมดแล้วเล่มนี้อยู่กันเล่า

 

ความเป็นจริงเช่นนี้ แค่คิดก็จุกในอกแล้ว

 

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูสีหน้าของเจ้าคำรามน้อยแล้วก็รู้สึกว่าบนหน้าผากของตนมีริ้วรอยสามเส้นปรากฏขึ้น นี่คือกำลังดูถูกเธอ หรือว่าดูถูกอาวุธของเธอกันแน่!

 

“เจ้าอยากจะกลับไปหรือไม่” เธอถาม

 

“ไม่อยาก ข้าจะอยู่ข้างนอกคอยดูเจ้าทำร้ายแม่ดอกบัวขาวผู้นั้น!” เจ้าคำรามน้อยส่ายหน้าเสียราวกับกลองป๋องแป๋ง “ข้ามิได้เห็นเจ้าทำตัวอันธพาลมานานแล้ว ข้าจึงไม่อยากกลับไป”

 

“เช่นนั้นก็ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์เหน็บกริชเอาไว้ที่เอวแล้วอุ้มเจ้าคำรามน้อยออกจากประตูไป

 

คนที่ไม่อาจฝึกยุทธ์ได้นั้นไม่อาจใช้แหวนเก็บวัตถุได้ ดังนั้นจึงเก็บกริชเล่มนี้เอาไว้ในแหวนเก็บวัตถุไม่ได้

 

เมื่อได้ยินเสียงประตูห้องข้างๆ เปิดออก เป่ยกงถังที่กำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ข้างหน้าต่างก็เงยหน้าขึ้นมองปราดหนึ่งแล้วส่ายศีรษะก่อนจะอ่านหนังสือของตนต่อไป

 

“โยวเย่ว์”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งก้าวเดินออกจากลานบ้านก็ได้ยินเว่ยจือฉีเรียกตนอยู่ด้านหลัง

 

“จือฉี มีเรื่องอันใดหรือไม่”

 

“ไม่มีอะไรหรอก” เว่ยจือฉียิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะไปที่เวทีประลองเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เจ้าก็ต้องมีคนไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วยจะดีกว่า”

 

คิดว่าถ้าตนถูกตีจนล้มพับไปแล้วจะได้พาเธอกลับมาเลยอย่างนั้นหรือ ซือหม่าโยวเย่ว์คิด

 

“ดีเลย ไปกันเถิด”

 

คนทั้งสองเดินมุ่งหน้าไปทางเวทีประลอง ตลอดทางพบเห็นคนจำนวนไม่น้อยชี้ไม้ชี้มือมาทางเธอ

 

“ข้ายังคิดว่าเขาลาออกไปแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเขาจะเข้าไปในชั้นเรียนของนักเรียนใหม่เสียอย่างนั้น”

 

“แม้ว่าท่านปู่ของเขาจะเป็นถึงท่านแม่ทัพใหญ่พิทักษ์อาณาจักร แต่นึกอยากจะอยู่ในวิทยาลัยก็ยังมิใช่เรื่องง่ายอยู่ดี”

 

“จริงๆ เลยนะ คนที่มีสถานะเช่นนี้เอาแต่อาศัยอิทธิพลของครอบครัวคอยหนุนหลัง ช่างไม่ยุติธรรมกับผู้อื่นเอาเสียเลย!”

 

“ได้ยินว่าครั้งนี้เขาท้าประลองกับคุณหนูเมิ่งถิง ถ้าหากเขาพ่ายแพ้ จะต้องออกจากวิทยาลัยไปตลอดกาล มิอาจกลับมาได้อีก”

 

“รีบให้เขาออกไปเสียเถิด คนเช่นนี้อยู่ในวิทยาลัยไป ก็รังแต่จะทำให้วิทยาลัยแปดเปื้อนเปล่าๆ เท่านั้นแหละ!”

 

“ข้าได้ยินมาอีกว่าเขายังพูดอย่างไม่ประมาณตนเองเอาเสียเลยว่าถ้าหากคุณหนูเมิ่งถิงพ่ายแพ้ หลังจากนี้ไปก็ให้นางหลีกทางทุกครั้งที่พบเขา”

 

“เขาช่างคิดได้ดีเสียจริง! ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูเมิ่งถิงผู้นั้นอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก เขาไปยั่วยุนางเข้า คราวนี้ไม่ถูกทำร้ายจนน่าอนาถสิถึงจะแปลก!”

 

“คุณหนูเมิ่งถิงผู้นั้นไปถึงระดับผู้ฝึกวิญญาณขั้นห้าตั้งแต่วัยเยาว์ ถึงแม้ว่าระดับขั้นจะยังไม่สูงมากนัก แต่การจัดการกับคนไร้ค่าดังเช่นเขานี้ก็ยังมากเกินพออยู่ดี!”

 

“ใช่แล้ว พวกเราก็คอยดูนางถูกไล่ออกไปจากวิทยาลัยกันเถิด!”

 

“…”

 

ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์และเว่ยจือฉีผ่านทางไป คนเหล่านั้นคิดว่าพวกเขาไม่ได้ยิน ดังนั้นจึงพูดออกมาอย่างไร้ซึ่งการควบคุม แต่คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์และเว่ยจือฉีกลับได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ

 

เว่ยจือฉีได้ยินคำพูดเหล่านั้นแล้วก็เกิดความโกรธขึ้นมาอยู่บ้าง เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เดินตรงไปยังเวทีประลองราวกับว่าไร้ซึ่งเรื่องราวใดๆ

 

“เจ้าไม่โกรธหรือ” เว่ยจือฉีถาม

 

“มีอะไรน่าโกรธกันเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “หมาที่เห่ามันไม่กัดหรอก และวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้หมาที่เห่าอย่างบ้าคลั่งเหล่านั้นหุบปากได้ก็คือการพูดด้วยความสามารถอย่างไรเล่า!”

 

เว่ยจือฉีได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วสะดุ้งขึ้นมาในทันใด เมื่อมองแผ่นหลังที่แข็งแกร่งของนางแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าคนเช่นนี้ จะเป็นคนไร้ค่าคนหนึ่งจริงๆ อย่างนั้นหรือ

 

“ที่นี่คือสนามประลองใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงประตูพับขนาดใหญ่บานหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองตัวอักษรเหนือประตู

 

ถึงแม้ว่าจะยังมิได้เข้าไป เธอก็ได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากด้านในแล้ว

 

ดูเหมือนว่าเมิ่งถิงจะหาคนมาชมการต่อสู้มากมายเลยทีเดียว!

 

…………………

Related

“โยวเย่ว์ เจ้าอยู่หรือไม่” ผ่านการทำความคุ้นเคยมาหนึ่งวัน เจ้าอ้วนชวีถือวิสาสะเปลี่ยนคำเรียกจากซือหม่าโยวเย่ว์กลายเป็นโยวเย่ว์ไปเสียแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินไปเปิดประตู ก็เห็นเจ้าอ้วนชวีเคาะประตูอย่างเร่งร้อนอยู่ข้างนอก ตอนที่เธอเปิดประตู ก็ยังมองเห็นมือที่เขาเคาะอากาศค้างอยู่

“มีอะไร” เธอถาม

“เจ้าอยู่นี่เอง!” เจ้าอ้วนชวีพูด “เจ้ารีบไปหาพี่ชายเจ้าตอนนี้เลย”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” ทำไมให้เธอไปหาพี่ชายของเธออย่างฉับพลันขนาดนี้

“เรื่องนั้น… ตอนที่ข้าเพิ่งกลับมาจากห้องสมุดได้ยินเมิ่งถิงพูดว่านางจะมาหาเจ้าเพื่อท้าประลอง!” เจ้าอ้วนชวีพูดด้วยเสียงดังขึ้น

“มาหาข้าเพื่อท้าประลอง?”

“ใช่แล้ว!” เจ้าอ้วนชวีพูด “นางบอกว่าจะมาหาเจ้าเพื่อท้าประลอง บอกว่าคนไร้ค่าอย่างเจ้าจะมาอยู่ที่ชั้นเรียนระดับพวกเราได้อย่างไร บอกว่าจะเอาชนะเจ้า ทำให้เจ้าไสหัวไป เออ นี่ล้วนเป็นสิ่งที่นางพูดทั้งสิ้น มิใช่เจตนาของข้าหรอกนะ”

“ข้ารู้แล้ว ขอบใจเจ้ามากนะที่มาบอกข้า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างสงบ

“ถ้าหากนางมาท้าประลองเจ้าจริงๆ เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่ ดังนั้นเจ้ารีบไปหาพี่ชายเจ้าจะดีกว่านะ” เจ้าอ้วนชวีพูด

“เหตุใดข้าจึงต้องไปหาท่านพี่ด้วยเล่า ข้าจัดการเองได้” ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ถือเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจังสักเท่าใดนัก ดังนั้นจึงยืนอยู่ที่หน้าประตูโดยมิได้ขยับเขยื้อน

เจ้าอ้วนชวีเห็นท่าทีเรียบเฉยของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดอย่างเร่งร้อนว่า “เรื่องนั้น ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นหลานชายของท่านแม่ทัพใหญ่ แต่ว่าตระกูลเมิ่งมิใช่ตระกูลที่จะตอแยด้วยได้หรอกนะ พวกเขาเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดของเมืองโยว และนางก็เป็นคุณหนูผู้สืบทอด ดังนั้นนางจึงไม่เห็นหัวผู้อื่นเลย ในเมื่อนางบอกว่าจะมาหาเจ้าเพื่อท้าประลอง ก็จะต้องมาอย่างแน่นอน”

“นางร้ายกาจมากเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“นางเพิ่งจะอายุสิบสามปี แต่เป็นผู้ฝึกวิญญาณขั้นห้าแล้ว”

“ร้ายกาจมากหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเขาพลางเอ่ยถาม

“หากเทียบกับคนวัยเดียวกันถือว่าร้ายกาจมากเลยทีเดียว” เจ้าอ้วนชวีตอบ “ไอ้หยา… คุณชายห้าของข้า เจ้าอย่าอยู่ที่นี่อีกเลย รีบไปหาพี่ชายเจ้า ให้เขามาคุ้มครองเจ้าเร็วเข้าเถิด”

“ถ้าหากนางต้องการจะท้าประลองกับข้าจริงๆ ต่อให้วันนี้หนีไป วันหลังก็ต้องมาหาเรื่องข้าอีกอยู่ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ภายในวิทยาลัยมิได้ห้ามการต่อสู้กันหรอกหรือ”

“การต่อสู้แบบส่วนตัว ย่อมทำไม่ได้อยู่แล้ว แต่ภายในวิทยาลัยมีเวทีประลองอยู่ ตราบใดที่อยู่บนเวทีประลองก็ทำได้” เจ้าอ้วนชวีพูด “เวลาที่ผู้คนทั้งหลายภายในวิทยาลัยมีความแค้นส่วนตัวต่อกัน ต่างก็เลือกไปจัดการกันบนเวทีประลองได้”

“อ้อ”

“บนเวทีประลอง จะเป็นจะตายก็ต้องรับผิดชอบเอง ตอนอยู่ในชั้นเรียนเจ้าเหยียบขาเมิ่งถิงต่อหน้าธารกำนัล ด้วยนิสัยของนางแล้วจะต้องแก้แค้นเจ้าอย่างแน่นอน!” เจ้าอ้วนชวีพูด “ตอนนี้หลบได้ก็หลบไปก่อนเถิด”

“หลบหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์สองมือกอดอก “แต่ไหนแต่ไรในพจนานุกรมของข้า ซือหม่าโยวเย่ว์ ไม่เคยมีคำว่าหลบอยู่เลย”

“แต่ว่านาง…” เจ้าอ้วนชวียังคิดจะขอร้องซือหม่าโยวเย่ว์

ห้องข้างๆ ถูกเปิดออก เว่ยจือฉีออกมาจากในห้องแล้วมองดูคนทั้งสองที่กำลังวุ่นวายกันอยู่หน้าประตูก่อนจะเอ่ยถามว่า “มีอะไรหรือ”

เจ้าอ้วนชวีมองเว่ยจือฉีแล้วพูดว่า “เมิ่งถิงบอกว่าจะมาหาโยวเย่ว์เพื่อท้าประลอง ข้าบอกให้เขารีบไปหาพี่ชาย แต่เขาก็ไม่ยอมไป”

“เมิ่งถิงผู้นั้นคิดจะหาเรื่องอีกแล้วสินะ!” เว่ยจือฉีคล้ายจะไม่ค่อยชอบหน้าเมิ่งถิง น้ำเสียงกระด้างอยู่บ้าง

“เจ้าอ้วนชวี เจ้าอุตส่าห์มาเตือนข้า ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก แต่ว่าตอนนี้อยากจะไปก็ไปไม่ทันแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักเพยิดไปทางประตูลานบ้านแล้วพูดขึ้น

เจ้าอ้วนชวีมองไปด้านหลัง เมิ่งถิงพานักเรียนหลายคนเข้ามาเรียบร้อยแล้ว

“ซือหม่าโยวเย่ว์ ข้าเห็นเจ้าอ้วนชวีรีบร้อนวิ่งคาบข่าวกลับมาบอกเจ้า ยังคิดว่าเจ้าจะไปหลบซ่อนตัวแล้วเสียอีก! คิดไม่ถึงว่าเจ้าช่างใจกล้าเสียจริง ยังจะอยู่ที่นี่อยู่อีก” เมื่อเมิ่งถิงมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ น้ำเสียงท้าทายก็หลุดออกมาจากปาก

“นั่นเป็นเพราะว่าคนอย่างเจ้าไม่คู่ควรให้ข้าต้องหนีน่ะสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอกกลับอย่างเหยียดหยาม

“เจ้า!” ตั้งแต่เล็กจนโตเมิ่งถิงถูกผู้อื่นประจบสอพลอมาโดยตลอด คนอื่นๆ ในเรือนแห่งนี้ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลย ทำให้นางไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าคนไร้ค่าอย่างซือหม่าโยวเย่ว์จะกล้ามาดูแคลนนางได้ เปลวเพลิงในอกพุ่งสูงสามจั้งในทันใด เธอชี้ซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าอ้วนชวีบอกเจ้าไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องเปลืองน้ำลายอีก ซือหม่าโยวเย่ว์ ข้าอยากท้าประลองเจ้า! ถ้าหากเจ้าแพ้ จงไสหัวออกไปจากวิทยาลัยเสีย ห้ามเหยียบย่างเข้ามาอีกแม้แต่ก้าวเดียว!”

“ผู้ฝึกวิญญาณขั้นห้าคนหนึ่งอย่างเจ้ามาท้าประลองข้าอย่างนั้นหรือ ดีเลย ถึงแม้ว่าข้าจะไม่สนใจท้าประลองกับเจ้า แต่เจ้าพูดแค่เพียงว่าหากข้าแพ้แล้วจะทำอย่างไร แล้วถ้าหากข้าชนะเล่า จะได้ประโยชน์อะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หลุบตาลงมองเล็บมือของตนเอง ไม่มองเมิ่งถิงเลยแม้แต่น้อย พลางถามอย่างไม่ใส่ใจ

ประตูห้องของโอวหยางเฟยเปิดออก เขาเดินออกมาจากห้องพลางมองดูผู้คนในลานบ้านปราดหนึ่งแล้วจากไปอย่างเย็นชาโดยไม่เอ่ยวาจาอันใดเลย

ประตูห้องของเป่ยกงถังเปิดออกเช่นเดียวกัน เขามองเมิ่งถิงพร้อมขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “อยากจะเถียงก็ออกไปเถียงกันข้างนอก! ใครมารบกวนข้าอ่านหนังสืออีก ไสหัวออกไปให้หมด”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเงาหลังของโอวหยางเฟย และฟังคำพูดไม่ไว้ไมตรีของเป่ยกงถังแล้วก็เอ่ยพึมพำว่าเจ้าสองคนนี้ช่างคล้ายคลึงกันน่าดูเลยทีเดียว

เมิ่งถิงดูคล้ายจะกลัวเป่ยกงถังอยู่บ้าง เมื่อได้ยินเป่ยกงถังตะคอกนาง ท่าทีก็อ่อนลงไปส่วนหนึ่ง นางหันหน้ามาพูดกับซือหม่าโยวเย่ว์ว่า “คนไร้ค่าที่มิอาจสัมผัสปราณวิญญาณได้เลยด้วยซ้ำอย่างเจ้าจะเอาชนะข้าได้อย่างนั้นหรือ น่าขันนัก!”

คนอื่นๆ อีกหลายคนที่มากับเมิ่งถิงต่างก็พากันหัวเราะขึ้นมา คล้ายว่าสิ่งที่พูดกับซือหม่าโยวเย่ว์เหล่านี้ช่างน่าขันเสียเต็มประดา

“น่าขันอย่างนั้นหรือ” มุมปากของซือหม่าโยวเย่ว์ยกยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้รู้สึกว่าน่าขัน อีกประเดี๋ยวเจ้าก็ระวังจะหัวเราะไม่ออกแล้ว!”

“เจ้าพูดมาสิว่าเจ้าต้องการเช่นไร” เมิ่งถิงถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูเป่ยกงถังที่ยังคงยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าอันเยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ แล้วพูดว่า “ข้าไม่อยากฆ่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนของตัวเองเช่นเดียวกัน แต่ในเมื่อเจ้าคิดจะท้าประลอง อยากให้ข้ารับคำท้าประลอง ก็ต้องทำให้ข้าได้ประโยชน์ด้วยสิจึงจะใช้ได้ เช่นนี้ก็แล้วกัน ถ้าหากข้าบังเอิญเอาชนะเจ้าได้ เวลาเจ้าพบข้าก็เดินหลีกไปทางอื่นก็พอแล้ว! ถ้าหากเจ้ารับปาก พวกเราไปที่เวทีประลองกันได้เลย แต่ถ้าเจ้าไม่รับปาก เช่นนั้นจงไสหัวไปเสีย”

“เอาล่ะ เช่นนั้นข้ารับปากเจ้าก็ได้ ถ้าหากเจ้าชนะ ต่อไปนี้เวลาข้าพบเจ้าจะหลีกไปทางอื่น ไม่ยุ่งวุ่นวายกับเจ้าอีก แต่ถ้าหากข้าชนะ เจ้าต้องเก็บข้าวของแล้วไสหัวออกไปจากวิทยาลัยให้ข้าเสีย!” เมิ่งถิงพูด

“รับปากกันเป็นมั่นเหมาะเช่นนี้แล้ว เจ้าไปที่เวทีประลองก่อนเลย อีกประเดี๋ยวข้าจะตามไป!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วปิดประตูลง

“โยวเย่ว์…” เจ้าอ้วนชวียังไม่ทันได้เอ่ยคำพูด ก็ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ปิดประตูกันไว้ข้างนอกด้วยกัน

“พวกเราไปกันเถิด ไปรอเขาที่เวทีประลอง!” เมิ่งถิงมองประตูห้องของซือหม่าโยวเย่ว์อย่างลำพองใจปราดหนึ่งแล้วพาผู้คนจากไป

ในที่สุดลานบ้านก็เงียบสงบลง เป่ยกงถังเหลือบมองเจ้าอ้วนชวีที่อยู่นอกประตูห้องของซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งแล้วหมุนกายไปปิดประตู

เจ้าอ้วนชวีนึกถึงว่าช่วงเช้าของวันนี้คุณชายสี่ซือหม่าโยวเล่อแห่งจวนแม่ทัพเพิ่งมาหาเขา บอกให้เขาช่วยดูแลซือหม่าโยวเย่ว์ คิดไม่ถึงว่าผ่านไปเพียงครึ่งวันเท่านั้น ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกเรื่องยุ่งยากพัวพันเข้าให้เสียแล้ว

“ไม่ได้การ ข้าต้องไปรายงานคุณชายสี่แล้วล่ะ” เจ้าอ้วนชวีพูดจบแล้วก็รีบวิ่งออกจากบ้านไป

…………………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินมุ่งหน้าไปยังชั้นเรียน เฟิงจือสิงไม่ได้ไล่เธอกลับไป ทำให้เธอวางใจลงไม่น้อย แต่คำพูดประโยคหนึ่งของเจ้าวิญญาณน้อยทำให้อารมณ์ดีของเธอหายไปในพริบตา

“เจ้าต้องระวังนะ เจ้าคนเมื่อครู่นี้อาจจะสังเกตพบแล้วก็ได้ว่าเจ้าฝึกยุทธ์ได้แล้ว”

ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดชะงักแล้วถามเจ้าวิญญาณน้อยในใจว่า “เจ้ามิได้บอกว่ามีเจ้าอยู่ ผู้อื่นก็จะมองไม่ออกว่าข้าฝึกยุทธ์ได้แล้วหรอกหรือ”

“โดยทั่วไปแล้วก็ใช่อยู่หรอก” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ข้าซ่อนเร้นระลอกพลังวิญญาณบนร่างของเจ้าเอาไว้ได้ คนทั่วไปย่อมมองไม่ออกอยู่แล้ว แต่ว่าคนผู้นั้นทำให้ข้ารู้สึกลึกลับยิ่งนัก เมื่อครู่ตอนที่เขาจับตัวเจ้าก็น่าจะรู้สึกได้”

“แล้วเขาจะตรวจสอบข้าไปทำไมกัน”

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดแล้วคิดอีกแต่ก็ไม่เข้าใจ เธอจึงสลัดมันทิ้งออกไปจากสมอง ในตอนนี้เธอคิดเรื่องที่ว่าจะฝึกยุทธ์ในเวลาสั้นที่สุดได้อย่างไรจะดีกว่า

เมื่อกลับไปถึงชั้นเรียน สายตาของคนเหล่านั้นต่างจับจ้องมองเธอเป็นตาเดียวอีกครั้ง สายตาส่วนใหญ่ล้วนมีความชื่นชมยินดีในเคราะห์ร้ายของผู้อื่น กำลังคิดกันว่าเฟิงจือสิงจะเฉดหัวเธอออกไปแล้วใช่หรือไม่

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินตรงไปยังที่นั่งของตน ขณะที่เดินไปได้ครึ่งทางก็มีเท้าข้างหนึ่งยื่นออกมาตรงหน้าเธอ หมายจะให้เธอสะดุดล้ม

เห็นว่าเธอกำลังจะสะดุดขาของคนผู้นั้น ในจังหวะเส้นยาแดงผ่าแปดเธอก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้าครึ่งก้าว แล้วเท้าข้างหนึ่งก็ก้าวขึ้นไปบนขาข้างนั้นก่อนจะเดินเหยียบลงไป

“โอ๊ย…” ในขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์เหยียบลงไปนั้นทิ้งน้ำหนักทั้งตัวลงไปบนร่างของคนผู้นั้น ทำให้นางร้องออกมาในทันใด

“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าเดินอย่างไรของเจ้ากัน!” คนผู้นั้นตะคอกใส่ซือหม่าโยวเย่ว์

“ก็เดินแบบนี้นี่แหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินไปยังที่นั่งของตนโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง ไม่เห็นคนผู้นั้นอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง

“เจ้า…” คนผู้นั้นลุกขึ้นหมายจะไปสั่งสอนสักรอบหนึ่ง ซือหม่าโยวเย่ว์กลับถูกเพื่อนร่วมโต๊ะของนางจับตัวเอาไว้

“คุณหนูเมิ่ง ท่านอาจารย์เฟิงมาแล้ว”

เมิ่งถิงมองเห็นเฟิงจือสิงเดินเข้ามาในชั้นเรียนแล้วก็ได้แต่นั่งลงไปอย่างไม่พอใจ นางหันหน้ามามองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น

“คุณหนูเมิ่ง เจ้าอย่าได้โกรธไปเลยนะ อยากจะจัดการเขา ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีโอกาสด้วยหรือ” เหอชิวจือพูด

“ก็ถูก” เมิ่งถิงพูด “ต่อให้เขาเป็นหลานของท่านแม่ทัพใหญ่ ตระกูลเมิ่งของข้าก็ไม่กลัวหรอก!”

“ใช่เลย ถึงแม้ว่าซือหม่าเลี่ยจะเป็นท่านแม่ทัพใหญ่พิทักษ์อาณาจักร แต่เขากลับไม่มีครอบครัว แล้วจะมาเทียบเคียงกับตระกูลเมิ่ง ตระกูลใหญ่ที่สุดแห่งเมืองโยวได้อย่างไรกันเล่า” เหอชิวจือพูดยิ้มๆ

“เงียบ!” เฟิงจือสิงมองคนสามสิบห้าคนในชั้นเรียนแล้วเอ่ยว่า “วันนี้พวกเราจะมาเรียนเนื้อหาที่เหลืออยู่ของเมื่อวานกัน”

ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังเฟิงจือสิงสอนหนังสือ ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างนั่งจดบันทึก แต่เธอกลับเพียงแค่ฟังอย่างตั้งใจเท่านั้น ไม่ได้ขยับพู่กันเลย

“เหตุใดเจ้าจึงไม่จดบันทึกเล่า”

ในขณะที่เฟิงจือสิงให้พวกเขาจดบันทึก เมื่อเป่ยกงถังจดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เห็นว่าซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่ได้ขยับพู่กันเลย จึงเอ่ยปากพูดอย่างหาได้ยากยิ่ง

“หา…” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเป่ยกงถังแล้วสะดุ้งครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “ข้าจดเอาไว้หมดแล้วล่ะ”

เป่ยกงถังมองสมุดบันทึกสะอาดเอี่ยมของเธอแล้ว หลักฐานชัดเจน ไม่ต้องพูดก็รู้

ซือหม่าโยวเย่ว์ชี้ตรงสมองของตัวเองแล้วพูดว่า “ข้าจดจำเอาไว้ตรงนี้แล้ว”

เมื่อเห็นว่าเป่ยกงถังไม่เชื่อจึงพูดว่า “ข้ามีทักษะการมองเห็นแล้วไม่ลืมเลือนมาตั้งแต่เด็กแล้ว ข้าจำสิ่งที่ท่านอาจารย์พูดพวกนั้นได้หมดแล้วล่ะ”

เห็นได้ชัดว่าเป่ยกงถังไม่เชื่อคำพูดของเธอเลย แต่มิได้พูดอะไรอีก แล้วอ่านสิ่งที่ตัวเองจดบันทึกเอาไว้ต่อไป

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าเป่ยกงถังจะนั่งอยู่ที่แถวหลังสุด เมื่อเห็นท่าทีตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสืออย่างสงบของนางแล้ว บวกกับกลิ่นอายเยียบเย็นบนร่าง ก็ยังคงทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยว ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่านางผ่านประสบการณ์อะไรมาจึงทำให้คนเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมาได้ นอกจากนี้… นัยน์ตาของนางยังแฝงไว้ด้วยความโกรธแค้นอย่างมิอาจซ่อนเร้นได้

วันหนึ่งมีคาบเรียนเพียงคาบเดียวเท่านั้น บางทีก็เป็นช่วงเช้า บางทีก็เป็นช่วงบ่าย ในเวลาที่ไม่ได้เข้าเรียนก็ปล่อยให้นักเรียนฝึกยุทธ์หรือจัดการธุระเรื่องอื่นๆ

หลังจากเลิกเรียนแล้วซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าอ้วนชวีพากันกลับไปยังเรือนพัก พลางลูบท้องที่เริ่มหิวขึ้นมาบ้างแล้ว เธอพุ่งตัวเข้าไปในห้องครัว ขณะที่ทำอาหารเธอก็อดทอดถอนใจมิได้ ทุกวันนี้ตนสิ้นเปลืองเวลาไปกับการกินตั้งมากมาย ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเลื่อนขั้นได้เสียที

“เจ้าอย่ากังวลไปเลย ของกินนี่ช่วยฝึกยุทธ์ได้เช่นกัน” เจ้าวิญญาณน้อยสัมผัสความคิดของนางได้จึงส่งเสียงพูดออกมา

“ของกินก็สามารถฝึกยุทธ์ได้อย่างนั้นหรือ เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“นั่นเพราะเจ้าอ่อนต่อโลกน่ะสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูดความจริงออกมาโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย

ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก เจ้านี่ จะต้องแทงใจดำกันขนาดนี้ด้วยหรือ!

คนมีวุฒิภาวะอย่างเธอ ไม่มาต่อล้อต่อเถียงกับเด็กน้อยอยู่แล้ว จึงเอ่ยถามอย่างสุภาพว่า “กินอาหารแล้วจะฝึกยุทธ์ได้อย่างไร”

“ถึงแม้ว่าพืชทั่วไปจะไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ แต่ว่าพวกมันก็ดูดซับปราณวิญญาณได้เช่นเดียวกัน ก่อนจะเปลี่ยนแปลงและสะสมภายในร่างกาย กลายเป็นพืชวิญญาณ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

เมื่อนึกถึงการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชที่เคยเรียนมาในชาติที่แล้ว ก็เป็นการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้วเปลี่ยนเป็นก๊าซออกซิเจน ดังนั้นการที่พืชสามารถดูดซับปราณวิญญาณได้นั้นก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้

“เพียงแค่สิ่งที่กินนั้นมีปราณวิญญาณอยู่ ก็ดูดซับสิ่งที่อยู่ในวัตถุดิบเข้าสู่ร่างกายได้แล้ว” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“จริงหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เชื่ออยู่บ้าง แล้วเอ่ยว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง คนอื่นๆ ก็ไม่ค้นพบวิธีการนี้กันไปหมดแล้วหรอกหรือ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครพูดมาก่อนเลยนี่”

“นั่นเป็นเพราะพลังวิญญาณของที่นี่เบาบางเกินไปน่ะสิ ก็ย่อมไม่มีทางทำให้วัตถุดิบอาหารดูดซับเข้าไปภายในร่างกายได้อยู่แล้ว ดังนั้นของที่อยู่ที่นี่จึงเป็นพืชพรรณธรรมดาทั้งสิ้น มิใช่พืชวิญญาณ กินเข้าไปก็ย่อมไม่มีประโยชน์แน่นอนอยู่แล้ว” เจ้าวิญญาณน้อยกล่าวอย่างเหยียดหยาม

พอซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังว่าของที่นี่ล้วนไม่ใช่พืชวิญญาณ ก็อดที่จะเอ่ยคำรามใส่เจ้าวิญญาณน้อยไม่ได้ “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าแล้วมันมีประโยชน์เสียที่ไหนกันเล่า!”

“ช่างโง่เหลือเกิน” เจ้าวิญญาณน้อยด่า “ของที่อยู่ข้างนอกนั่นมิใช่พืชวิญญาณ แต่มิได้หมายความว่าของภายในมณีวิญญาณมิใช่เสียหน่อยนี่!”

เอ๊ะ!

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังคำพูดของเจ้าวิญญาณน้อยแล้วกระวีกระวาดกลับไปยังห้องของตนก่อนจะปิดประตูแล้วเข้าไปภายในมณีวิญญาณ

“เจ้าวิญญาณน้อย วาจาเมื่อครู่นี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”

เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอย่างช้าๆ แล้วพูดว่า “เจ้ารับสัมผัสปราณวิญญาณที่นี่ดูสักครู่หนึ่งสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์หลับตาลงรับสัมผัสครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้นพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ปราณวิญญาณเข้มข้นยิ่งนัก!”

“อือฮึ” เจ้าวิญญาณน้อยขานรับอย่างพึงพอใจในตัวเองเสียงหนึ่ง

“เช่นนั้นของที่นี่ก็เป็นพืชวิญญาณทั้งหมดเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“แน่นอนสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “เจ้ามากับข้า”

ซือหม่าโยวเย่ว์ตามเจ้าวิญญาณน้อยไปยังดินแดนอีกแห่งหนึ่ง พอก้าวเข้าไปก็เห็นพืชผักละลานตาและเป็ดไก่อีกจำนวนหนึ่ง!

เมื่อมองเห็นเป็ดไก่ที่คุ้นเคย ซือหม่าโยวเย่ว์ประหลาดใจอยู่บ้าง เธอรู้สึกคิดถึงความหลังขึ้นมาแล้วเอ่ยถามว่า “ที่นี่มีสัตว์เหล่านี้ได้อย่างไรกัน”

“เจ้าพวกนี้ล้วนเป็นสัตว์ชั้นต่ำทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าจะฝึกยุทธ์มาเนิ่นนาน ก็ยังมิอาจสำเร็จเป็นสัตว์อสูรวิเศษได้ เอาแต่ขยายพันธุ์ไม่หยุดหย่อน ทำเอาข้าต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งมาจัดการพวกมันเลยทีเดียว” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลยว่ามีเจ้าสัตว์พวกนี้อยู่ในโลกแห่งนี้ด้วย แต่เหตุใดที่นี่จึงมีอยู่มากมายถึงเพียงนี้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“พวกมันล้วนเป็นสิ่งที่เจ้านายคนก่อนทิ้งเอาไว้ทั้งสิ้น ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปจับมาจากที่ใด” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ถึงอย่างไรพวกมันก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานแล้ว แม้มิได้สำเร็จเป็นสัตว์อสูรวิเศษ แต่ดีร้ายอย่างไรในร่างกายต่างก็มีปราณวิญญาณอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น นอกจากนี้พืชผักที่นี่ต่างเป็นพืชวิญญาณ ส่วนทางด้านนั้นเป็นเครื่องปรุงทั้งหมดเลย”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูวัตถุดิบอาหารที่คุ้นเคย ทั้งยังมีเครื่องปรุงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพริก พริกหอม ขมิ้น และอื่นๆ เธอพูดว่า “เจ้านายคนก่อนของเจ้าคงจะมิได้ไปปล้นมาจากบนโลกกระมัง”

“ใครจะไปรู้เขากันเล่า! ถึงอย่างไรเขาก็เป็นนักกินตัวยงคนหนึ่ง หากเจ้าต้องการผักที่นี่เพียงแค่ควบคุมความคิดก็ใช้ได้แล้ว” เจ้าวิญญาณน้อยพูดจบก็หายตัวไปเสียแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูเจ้าวิญญาณน้อยหายตัวไป เธอสัมผัสได้ถึงความเดียวดายในน้ำเสียงของเขาแล้วก็คาดเดาว่าเขาน่าจะเห็นของเหล่านี้แล้วระลึกถึงเจ้านายคนก่อนขึ้นมา

แต่มีวัตถุดิบอาหารเหล่านี้แล้ว หลังจากนี้เธอจะทำอาหารเลิศรสออกมาได้มากมาย นอกจากนี้ยังฝึกยุทธ์ได้ด้วย พอคิดๆ ดูแล้วรู้สึกว่าไม่เลวเลยทีเดียว

ตอนที่เธอออกมาจากมณีวิญญาณ เสียงเคาะประตูอย่างเร่งร้อนก็ดังขึ้นมา

………………………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังผัดกับข้าวจานสุดท้ายอยู่ ก็รู้สึกว่ามีคนผู้หนึ่งมาที่ช่องประตู เธอหันหน้าไปมองก็เห็นสีหน้าตกตะลึงของเจ้าอ้วนชวี

“เป็นอะไรไปหรือ”

“เจ้า เจ้าทำอาหารเป็นจริงๆ เสียด้วย!” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ก็ใช่น่ะสิ! เจ้าอยากจะชิมดูหรือไม่ ลองดูว่าจะวางยาพิษเจ้าจนตายได้หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

คาบเรียนตอนเช้าของวิทยาลัยเริ่มค่อนข้างสาย เกือบถึงเก้าโมงกว่าแล้วจึงค่อยเริ่ม ตอนเช้าเธอตื่นตั้งแต่ยังไม่หกโมงแล้ว จึงได้ลุกขึ้นมาบำเพ็ญครู่หนึ่งแล้วจากนั้นก็มาทำอาหารเช้า

เธอเป็นนักชิมตัวยงเลยทีเดียว ก่อนหน้านี้นอกจากเวลาที่ออกไปปฏิบัติภารกิจแล้ว ในเวลาอื่นๆ เธอเป็นต้องหาเรื่องกินอยู่ตลอด ตอนนี้ในเมื่อมาถึงที่นี่ทั้งทีก็คงจะปล่อยผ่านการกินไปไม่ได้อยู่แล้ว

ในเวลาที่ทำอาหาร เธอก็นึกถึงคนอื่นๆ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนพักเดียวกัน ถ้าหากไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาเสียก่อน ก็คงต้องอยู่ด้วยกันไปอีกหลายปีทีเดียว ดังนั้นเธอจึงทำอาหารมากขึ้นอีกหน่อย เผื่อในส่วนของพวกเขาเอาไว้ด้วย

เจ้าอ้วนชวีมาถึงที่โต๊ะแล้วนั่งลงพลางมองดูกับข้าวบนโต๊ะ ก่อนจะหลุดปากถามอย่างไม่เจตนาขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “นี่มิได้เรียกว่าอาหารภัตตาคารหรอกหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกคล้ายว่ามีรอยย่นสามเส้นปรากฏขึ้นบนหน้าผากของตน คนผู้นี้ขาดความเชื่อมั่นต่อตนเกินไปเสียแล้ว!

“ถ้าเจ้าไม่กิน ข้าก็คงบังคับเจ้ามิได้หรอกนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตักอาหารขึ้นจากหม้อพลางพูดขึ้น

“แค่กๆ ข้าจะกินจริงๆ แล้วนะ” เจ้าอ้วนชวีมองเห็นกระต่ายน้อยที่อยู่บนโต๊ะตัวนั้นกำลังกินอย่างเปรมปรีดิ์ก็คิดว่าสิ่งนี้คงจะไม่ฆ่าคนตาย นอกจากนี้ยังส่งกลิ่นหอมเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย จะต้องมีรสชาติเยี่ยมยอดอย่างแน่นอน

ในขณะนี้เอง เงาร่างคนอีกร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าประตู เมื่อมองเห็นอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างยินดีว่า “ไอ้หยา… วันนี้ไม่ต้องไปกินที่โรงอาหารของวิทยาลัยแล้วสินะ! ช่างกลิ่นหอมน่าอร่อยอะไรเช่นนี้!”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองแขกไม่ได้รับเชิญ หนุ่มหล่อผู้ถือวิสาสะนั่งลงที่โต๊ะอาหาร เมื่อนึกถึงท่าทีหนีเอาตัวรอดของเขาเมื่อวานแล้วเธอจึงเอ่ยเหน็บแนมว่า “วันนี้เจ้าไม่กลัวถูกกินแล้วหรอกหรือ”

มือของเว่ยจือฉีชะงักไป จากนั้นก็คีบกับข้าวใส่ชามพลางเอ่ยว่า “กลัวสิ แต่ว่ารอให้ข้ากินหมดแล้วค่อยมาว่าเรื่องกลัวกันต่อก็แล้วกัน”

เออ…

“นี่คือสัตว์เลี้ยงของเจ้าอย่างนั้นหรือ” เว่ยจือฉีมองเห็นเจ้าคำรามน้อยจึงเอ่ยถามขึ้น

เมื่อได้ยินคนบอกว่าตนเป็นสัตว์เลี้ยง เจ้าคำรามน้อยก็มองเว่ยจือฉีอย่างไม่พอใจปราดหนึ่ง มันเป็นถึงกระต่ายเทพ เป็นสัตว์อสูรเทพโบราณต่างหากเล่า!

อันที่จริงจะตำหนิเว่ยจือฉีที่พูดว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงก็ไม่ได้ หากจะตำหนิใครก็ได้แต่โทษที่ชื่อเสียงเรียงนามว่าคนไร้ค่าของซือหม่าโยวเย่ว์นั้นฉาวโฉ่เกินไป ดูคล้ายกับว่าทั่วทั้งแผ่นดินต่างก็รู้จักชื่อเสียงของนาง และผู้ที่ไม่อาจบำเพ็ญได้ก็ไม่อาจทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้อยู่แล้ว นอกจากนี้มันยังมีความน่าเอ็นดูไม่ต่างอะไรกับสัตว์เลี้ยงตัวน้อยน่ารักเลย ดังนั้นเขาจึงอาจเข้าใจได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่ซือหม่าโยวเย่ว์เลี้ยงเอาไว้

ซือหม่าโยวเย่ว์ยกกับข้าวจานสุดท้ายมาวางไว้บนโต๊ะแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ข้าเสียเงินไปกองโตเลยถึงจะซื้อกลับมาได้”

เจ้าคำรามน้อยที่กินอิ่มแล้วกลอกตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งก่อนจะกระโดดลงจากโต๊ะไปเดินย่อยภายในเรือนพัก

ซื้อมาอะไรกัน เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันถูกเธอล่อลวงมาทำพันธสัญญากับเธอต่างหาก! เจ้าคนหลอกลวงผู้นี้นี่!

เมื่อเห็นท่าทีราวกับมนุษย์ของเจ้าคำรามน้อย เว่ยจือฉีจึงได้เกิดความสงสัยในคำพูดเมื่อครู่นี้ของตนเองขึ้นมา มันเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยงเท่านั้นจริงๆ หรือ

“พวกเราเริ่มกินกันดีกว่า” เจ้าอ้วนชวีรอจนซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงแล้วเอ่ยขึ้น

“กินอะไรกันเล่า มิใช่ว่ายังมีอีกสองคนที่ยังไม่มาหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนออกไปไหนกันตั้งแต่เช้าแล้ว ทุกวันนี้ตอนเช้าล้วนมีแต่ข้ากับจือฉีเท่านั้นแหละที่ไปเข้าเรียน” เจ้าอ้วนชวีเมินคนทั้งสองไปในทันที

“จริงหรือ”

สองคนนี้ช่างทำตัวลึกลับเสียเหลือเกิน!

“ตอนนี้ถ้าเจ้าไปที่ห้องพวกเขาสองคน ก็ต้องไม่มีคนอยู่แล้วอย่างแน่นอน” เว่ยจือฉีกินไปพูดไป

“เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเราก็เริ่มกินกันเลยดีกว่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็พบว่าวาจานี้ของตนเปล่าประโยชน์ สองคนนั้นกินกันไปครึ่งหนึ่งแล้ว!

เมื่อกินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็กลับไปทำความสะอาดห้อง ปล่อยให้เจ้าคำรามน้อยกลับเข้าไปข้างในมณีวิญญาณ

จริงๆ แล้วสัตว์อสูรที่ทำพันธสัญญาก็มีมิติพันธสัญญาของตัวเองอยู่ แต่มันบอกว่าที่นั่นช่างน่าเบื่อเหลือเกิน ดังนั้นจึงไปชวนเจ้าวิญญาณน้อยเล่นกันเสียแล้ว

พอซือหม่าโยวเย่ว์ออกมา เจ้าอ้วนชวีมองเห็นมือเปล่าของเธอแล้วจึงถามขึ้นว่า “เจ้าไม่พาสัตว์เลี้ยงของเจ้าไปด้วยหรือ”

“ไม่พาไปหรอก”

เจ้าคำรามน้อยที่อยู่ภายในมณีวิญญาณได้ยินเจ้าอ้วนชวีเรียกตนว่าสัตว์เลี้ยงจึงกางกรงเล็บแล้วตะโกนเสียงดังลั่นว่า “สัตว์เลี้ยงบ้านปู่เจ้าสิ! เจ้าอ้วนชวี จะต้องมีสักวันที่คุณชายเช่นข้าทำให้พวกเจ้าตาสว่างแน่!!!”

เจ้าวิญญาณน้อยมองเจ้าคำรามน้อยอย่างรังเกียจปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “สายเลือดไม่เลวเลย แต่นิสัยช่างน่าละอายยิ่งนัก!”

กรงเล็บของเจ้าคำรามน้อยที่ยังกางอยู่กลางอากาศชะงักค้างไปในทันใด มันมองเจ้าวิญญาณน้อยอยู่สองวินาทีก่อนจะกระโจนเข้าใส่

ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าอ้วนชวีไปถึงชั้นเรียน ก็ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นมาไม่น้อย บรรดาคนที่รู้จักเธอต่างก็มารวมตัวกันสุมหัวกระซิบกระซาบ

“เขามาที่ห้องเรียนของพวกเราได้อย่างไรกันนี่”

“เขามิใช่คนไร้ค่าหรอกหรือ แต่กลับมาที่ชั้นเรียนของพวกเราได้จริงๆ เสียด้วย”

“นั่นนะสิ นี่มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย พวกเราต่างก็ผ่านการคัดเลือกจึงเข้ามาได้ นักเรียนที่เรียนซ้ำชั้นอย่างเขาก็ยังมาอยู่รวมกับพวกเราได้ด้วยหรือนี่!”

“พวกเจ้ารู้จักเขาหรือ”

“แน่นอนอยู่แล้วสิ คนไร้ค่าที่มิอาจสัมผัสได้แม้กระทั่งปราณวิญญาณ พวกเราก็ย่อมต้องรู้จักอยู่แล้วล่ะ!”

“สวรรค์เอ๋ย เขาเป็นคนไร้ค่าหรอกหรือ! เช่นนั้นแล้วเขามาที่ชั้นเรียนของพวกเราได้อย่างไรเล่า”

“ก็มิใช่เพราะท่านปู่ของเขาหรอกหรือ ตำแหน่งสูงส่งออกปานนั้น”

“ท่านปู่ของเขาเป็นใครกันหรือ”

“แม่ทัพใหญ่พิทักษ์อาณาจักรอย่างไรเล่า”

“ที่แท้เขาก็เป็นหลานชายของท่านแม่ทัพใหญ่นั่นเอง”

“หึ คนไร้ค่าอย่างเขา หากพวกเราคุยกันเรื่องการบำเพ็ญเหล่านั้นแล้วเขาจะฟังรู้เรื่องหรือ ต่อให้ฟังรู้เรื่องแล้วจะนำไปใช้ได้หรือ การมาที่ชั้นเรียนของพวกเรานี้ก็รังแต่จะทำให้ตัวเองขายหน้าเท่านั้นแหละ!”

“ฮ่าๆ เจ้าพูดได้ถูกต้อง”

ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองคนเหล่านั้นปราดหนึ่ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพูดคุยกันค่อนข้างเบา แต่เธอก็ยังคงได้ยินอยู่ดี เมื่อเห็นว่าภายในชั้นเรียนก็มีเพียงแค่ที่นั่งแถวหลังสุดเท่านั้นที่ยังว่างอยู่ เธอจึงตรงไปยังที่นั่งนั้นแล้วนั่งลง

หลายคนที่นั่งอยู่ที่นั่งด้านหน้ามองประสานสายตากันแวบหนึ่ง หมายจะมาหาเรื่องซือหม่าโยวเย่ว์ แต่ยังไม่ทันจะลุกขึ้น เฟิงจือสิงก็เข้ามาจากด้านนอกเสียแล้ว พวกเขาจึงได้แต่นั่งกลับลงไปดังเดิม

เขามองไปยังที่นั่งแถวสุดท้ายด้วยความเคยชิน เมื่อมองเห็นเงาร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ เขาก็ประหลาดใจอยู่บ้าง

“ซือหม่าโยวเย่ว์”

“มาขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังมองหนังสือที่วางอยู่ในลิ้นชักโต๊ะ เมื่อได้ยินเฟิงจือสิงเรียกชื่อตน จึงเงยหน้าขึ้นมองเขา

“เจ้าออกมากับข้าหน่อย” เฟิงจือสิงพูดอย่างเรียบๆ “ส่วนคนอื่นๆ ก็ทบทวนวิธีการบำเพ็ญที่คุยกันเมื่อวานไปก่อนนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ตามเฟิงจือสิงไปยังห้องทำงานของเขาอย่างวิตกกังวลอยู่บ้าง ลอบคิดว่าเขาอาจจะให้ตนกลับไปเสียใช่หรือไม่ ถึงอย่างไรตนก็มาสายไปหลายวันกว่าจะมาถึงวิทยาลัย

“เหตุใดเจ้าจึงเพิ่งโผล่มาวันนี้เล่า” เฟิงจือสิงมาถึงก็ถามขึ้น แต่เสียงนั้นก็ยังคงอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ฟังอารมณ์ไม่ออกเลย

“ในบ้านเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ก็เลยมาสายไปเล็กน้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เฟิงจือสิงมองซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ครู่หนึ่งคล้ายกับกำลังแยกแยะว่าสิ่งที่นางพูดนี้เป็นความจริงหรือไม่ ผ่านไปพักหนึ่งจึงเอ่ยปากว่า “เจ้ามานี่สิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่ก็ยังเดินไปตรงหน้าเขา

เฟิงจือสิงเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ในทันใด

ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจ เธอถึงขนาดที่มองเห็นไม่ชัดเจนเลยด้วยซ้ำว่าเขาลงมืออย่างไร จนกระทั่งข้อมือมีความรู้สีกเยียบเย็นราวน้ำแข็ง เธอจึงค้นพบว่าตนเองถูกคว้าจับเอาไว้เสียแล้ว

“ท่านอาจารย์” เธอมองเฟิงจือสิงอย่างสงสัย

นี่เขาต้องการคุกคามเธออย่างนั้นหรือ

เมื่อเห็นแววสงสัยในดวงตาของซือหม่าโยวเย่ว์ เฟิงจือสิงก็ปล่อยมือแล้วเอ่ยว่า “เจ้ากลับไปได้แล้วล่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้เรื่องราว แต่เขาพูดเช่นนี้ก็แปลว่าไม่ถือสาหาความแล้วกระมัง

เฟิงจือสิงมองดูซือหม่าโยวเย่ว์จากไป มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยพึมพำว่า “เริ่มต้นบำเพ็ญเร็วถึงเพียงนี้เชียว ดูท่าทางแผนที่วางไว้จะ…”

…………………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นท่าทีของเจ้าอ้วนชวี ฝ่ามือข้างหนึ่งตบศีรษะเขาเบาๆ พลางเอ่ยคำราม

“รูปร่างเจ้าราวกับหมี หากคุณชายเช่นข้าคิดจะทำเรื่องเช่นนั้นก็คงไม่ทำกับเจ้าหรอกน่า!”

ได้ยินวาจาประโยคนี้ของซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าอ้วนชวีก็วางใจแล้ว มองไม่เห็นสีหน้าตื่นตระหนกบนใบหน้าอีกต่อไป แต่กลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มอย่างโง่เง่าแทน พลางถามว่า “คุณชายห้า เจ้าเรียกข้าให้หยุดไว้ทำไมหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวเจ้าอ้วนชวีเข้ามาในห้องแล้วดึงประตูปิดพลางพูดว่า “เจ้าอ้วนชวี ข้าถามหน่อยสิ เจ้ารู้สถานการณ์ของทั้งสามคนนั้นหรือไม่ สนิทสนมกับพวกเขาหรือไม่”

“ไม่สนิทหรอก” เจ้าอ้วนชวีส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “เป่ยกงถังพูดน้อยยิ่งนัก ทั้งยังชอบการอยู่ตามลำพังมากกว่า นอกจากชื่อของนางแล้ว นางก็ไม่เคยเล่าเรื่องของนางให้ผู้อื่นฟังมาก่อนเลย”

ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางของตนแล้วเอ่ยว่า “อืม นางก็ดูท่าทางเย็นชา ไม่ใคร่จะชอบสนทนากับผู้คนสักเท่าไหร่จริงๆ นั่นแหละ แล้วโอวหยางเฟยผู้นั้นเล่า”

“โอวหยางเฟยก็พอๆ กันนั่นแหละ นอกจากชื่อของเขา กับที่เขาเป็นปรมาจารย์วิญญาณธาตุคู่แล้ว เรื่องครอบครัวของเขา เรื่องญาติ เรื่องบ้านเกิด พวกเราก็ไม่รู้เลย” เจ้าอ้วนชวีพูด

“โอ๊ย แต่ละคนช่างลึกลับกันถึงเพียงนี้เชียว!” ซือหม่าโยวเย่ว์บ่น “แล้วเว่ยจือฉีที่เหลือผู้นั้นเล่า เขาดูเหมือนจะช่างพูดช่างคุยพอตัวทีเดียว”

“คุณชายห้า ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าไปทำให้เขาเบี่ยงเบนเลยดีกว่า ถึงแม้ว่าเขาจะดูดีอยู่บ้างก็ตามที” เจ้าอ้วนชวีเห็นท่าทีของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็รีบเอ่ยแนะนำ

“เพราะอะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หลุดปากถามไปอย่างไม่เจตนา พอถามออกไปแล้วจึงค่อยมีท่าทีตอบสนอง จึงยกมือขึ้นตบบ่าของเจ้าอ้วนชวีเบาๆ อีกครั้งหนึ่ง “ข้าบอกว่าข้าจะไปทำให้เขาเบี่ยงเบนตั้งแต่เมื่อใดกันเล่า!”

“สองตาเป็นประกายวาววับนั่นของเจ้าก็เหมือนๆ กันกับสายตาที่มองมู่หรงอานในตอนนั้นนั่นแหละ!” เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างแฝงความดูถูกดูแคลนเล็กน้อย

“แค่กๆ อดีตก็คืออดีต ตอนนี้คุณชายเช่นข้าเปลี่ยนรสนิยมทางเพศไปเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้สึกสนใจในบุรุษเพศอีกแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ยกมือขวาขึ้นปิดปากกระแอมสองครั้งก่อนจะพูดว่า “อย่ามาวุ่นวายเรื่องนี้ของข้าเลย บอกมาสิว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ควรไปทำให้เว่ยจือฉีเบี่ยงเบนหรือ”

“เพราะเขาเป็นคนที่มาจากครอบครัวนักฝึกสัตว์อสูรน่ะสิ ตระกูลเว่ยเป็นตระกูลนักฝึกสัตว์อสูรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองเป่ยหลิน มีสถานะอันสูงส่งยิ่งในอาณาจักรตงเฉิน ถึงแม้ว่าท่านปู่ของเจ้าจะเป็นท่านแม่ทัพใหญ่รักษาเมือง แต่ก็ไม่อาจต้านทานตระกูลนักฝึกสัตว์อสูรได้อย่างง่ายดายหรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า เขาเป็นนักฝึกสัตว์อสูรผู้สืบทอดตระกูลเว่ยที่มีพรสวรรค์ที่สุดและยังเด็กที่สุด สถานะภายในครอบครัวจะสูงส่งเพียงใดนั้น ไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยตอบ

“เป็นคนในครอบครัวนักฝึกสัตว์อสูรเชียวหรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ปล่อยตัวเจ้าอ้วนชวี ก่อนจะเดินไปยังเก้าอี้แล้วนั่งลงพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นพลังวิญญาณของเขาเป็นธาตุใดกันเล่า”

“เป็นธาตุน้ำแข็งกับธาตุไม้อันหาได้ยากยิ่ง” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยตอบ

“ธาตุน้ำแข็งหรือ พลังวิญญาณมิได้มีเพียงแค่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม้ ห้าธาตุนี้เท่านั้นหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“นั่นคือพลังวิญญาณของคนทั่วไป” เจ้าอ้วนชวีรู้ว่าก่อนหน้านี้ซือหม่าโยวเย่ว์ก็คือคนไร้ค่าคนหนึ่ง ดังนั้นหากไม่รู้เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ให้อภัยได้ จึงได้อธิบายให้เธอฟังอย่างอดทน “นอกจากธาตุพื้นฐานห้าธาตุแล้ว ยังมีธาตุอันพบเห็นได้ยากอีกหลายชนิด เช่นธาตุน้ำแข็ง ธาตุหมอก หรือธาตุสายฟ้า เพียงแต่ว่าสามชนิดนี้มีอยู่น้อยนิดเหลือเกิน ดังนั้นผู้ที่รู้จึงมีอยู่ไม่มากนัก ว่ากันว่าธาตุพิเศษเหล่านี้ ในปรมาจารย์วิญญาณหมื่นคน จะมีอยู่เพียงแค่คนสองคนเท่านั้นเอง”

“หาได้ยากถึงเพียงนี้เชียว!” ซือหม่าโยวเย่ว์ประหลาดใจ

“ใช่แล้ว นอกจากนี้ยังได้ยินว่าพลังโจมตีของธาตุพิเศษนี้ยังแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งกันทั้งนั้นอีกด้วย” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างริษยามาก

“อิจฉาเสียเหลือเกินนะ ขอเพียงแค่เจ้าพยายาม เจ้าก็เปลี่ยนเป็นคนแข็งแกร่งอย่างยิ่งได้เช่นเดียวกัน!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“แหะๆ ก็ใช่อยู่หรอก” เจ้าอ้วนชวีลูบท้ายทอยของตัวเอง มีความรู้สึกผิดอยู่บ้าง

“ข้ารู้จักคนอื่นๆ อีกสามคนครบหมดแล้ว ตอนนี้มาพูดถึงเจ้ากันบ้าง เจ้าล่ะเป็นธาตุอะไร” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าอ้วนชวีพลางถามขึ้น

“ข้าเป็นธาตุคู่ไฟดิน” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยตอบ

“ธาตุคู่ไฟดินอย่างนั้นหรือ เยี่ยมจริงๆ ก่อนหน้านี้ดูไม่ออกเลยนะเนี่ย!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางมองเจ้าอ้วนชวี

เจ้าอ้วนชวีอยากจะกลอกตาใส่เขาสักทีหนึ่งยิ่งนัก ก่อนหน้านี้เจ้าก็เอาแต่ไล่ตามเกาะแกะมู่หรงอานนั่นแหละ จะยังมีสายตาเหลือมามองเจ้าอ้วนในขุมอำนาจชั้นรองเช่นเขาผู้นี้เสียที่ไหนกัน

“แต่มิได้ว่ากันว่าปรมาจารย์วิญญาณเอนกธาตุนั้นมีอยู่เพียงน้อยนิดหรอกหรือ เหตุใดทุกคนในวิทยาลัยแห่งนี้จึงเป็นเอนกธาตุกันหมดเลยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างสงสัย

“ก็ใช่น่ะสิ ได้ยินว่าหลายปีก่อนหน้านี้ก็ไม่มีปรมาจารย์วิญญาณเอนกธาตุปรากฏมาก่อนเลย แต่ปีนี้อยู่ดีๆ ก็มีขึ้นมาถึงสี่คน นอกจากนี้ยังมีคนหนึ่งเป็นไตรธาตุอีกด้วย ยิ่งบังเอิญมากขึ้นไปอีก พวกเราสี่คนนั้นทดสอบเข้ามาพร้อมกัน ติดๆ กันเลย โอวหยางเฟยเป็นคนแรก เป่ยกงถังเป็นคนที่สอง ส่วนเว่ยจือฉีเป็นคนที่สาม และข้าเป็นคนที่สี่ เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นทำเอาอาจารย์ผู้คุมการทดสอบตกอกตกใจเพียงใด!”

เจ้าอ้วนชวีพูดกลั้วหัวเราะ

เขาค้นพบว่าขอเพียงแค่ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่วิปริต การสนทนากับเธอก็ไม่เลวเลยทีเดียว

ตอนที่โอวหยางเฟยและเป่ยกงถังทดสอบนั้น เธอบังเอิญได้เห็นที่ประตูทางเข้าพอดี แต่หลังจากที่เห็นเป่ยกงถังก็จากไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นก็คือเว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวี

ตอนนั้นที่ได้เห็นโอวหยางเฟยกับเป่ยกงถัง อาจารย์ผู้คุมการทดสอบผู้นั้นก็ตื่นเต้นยินดีจนแทบคลั่งอยู่แล้ว บวกกับผู้มีพรสวรรค์เอนกธาตุอีกสองคน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็จินตนาการสีหน้าของเขาในตอนนั้นได้แล้ว

ถ้าหากรู้ถึงการมีอยู่ของตนซึ่งเป็นพหุธาตุผู้นี้ ก็ไม่รู้ว่าเขาจะวิปลาสไปในทันทีเลยหรือไม่

“แต่คุณชายห้า เจ้าเข้ามาในห้องเรียนที่หนึ่งนี้ได้อย่างไรกัน” เจ้าอ้วนชวีถามอย่างสงสัย

“ห้องเรียนที่หนึ่งอันใดกันหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจ

“ห้องเรียนของพวกเราอย่างไรเล่า!” เจ้าอ้วนชวีพูด “ห้องเรียนของพวกเราเป็นห้องเรียนที่ดีที่สุดในบรรดานักเรียนใหม่ นักเรียนในห้องนี้ล้วนเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดในการทดสอบเข้าเรียนครั้งนี้ในวันนั้น เจ้าไม่รู้หรอกหรือ”

“อือ… ข้าไม่รู้เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายศีรษะแล้วเอ่ยว่า “เฟิงจือสิงพาข้าเข้ามา เขามอบกุญแจที่นี่ให้กับข้า จากนั้นข้าก็เลยเข้ามาน่ะ”

เจ้าอ้วนชวีอดคิดไม่ได้ว่าหรือเป็นเพราะท่านปู่ของเธอเป็นแม่ทัพพิทักษ์อาณาจักร จึงได้ดูแลเธอเป็นพิเศษ

“ในเมื่อท่านอาจารย์เป็นผู้มอบกุญแจให้แก่เจ้า เช่นนั้นเจ้าก็คือสมาชิกคนหนึ่งของชั้นเรียนเราแล้ว” เจ้าอ้วนชวีพูด “แต่เจ้าก็ต้องเตรียมใจไว้ให้ดี ด้วยความที่คนในห้องเรียนพวกนั้นแต่ละคนล้วนมีพรสวรรค์เป็นเลิศ ต่างก็เป็นไข่มุกงามบนฝ่ามือของครอบครัว จึงมีบางคนยากจะทานทน บางคนหยิ่งยโส ชื่อเสียงที่เจ้าไม่อาจบำเพ็ญได้ก็ช่างฉาวโฉ่เหลือเกิน ดังนั้นก็อาจจะไม่เข้าตาใครบางคนแล้วก่อให้เกิดเรื่องยุ่งยากแก่เจ้าก็ได้”

“หึๆ ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเตือน” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะ คิดไม่ถึงว่าเจ้าอ้วนผู้นี้มีจิตใจดีใช้ได้เลยทีเดียว

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” เจ้าอ้วนชวีได้ฟังคำขอบคุณที่ออกมาจากปากซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็รู้สึกว่าไม่จริงใจอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เธอไม่รังแกพวกเขาก็นับว่าดีถมไปแล้ว จะมาเกรงอกเกรงใจถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน “แต่ท่านปู่ของเจ้าเป็นแม่ทัพพิทักษ์อาณาจักร คนทั่วไปก็คงไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่เจ้าต้องระวังพวกที่มาจากตระกูลใหญ่ทั้งหลายเอาไว้สักหน่อยล่ะ”

“อืม ข้ารู้แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

“เช่นนั้นข้าจะกลับไปบำเพ็ญแล้วนะ” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางลุกขึ้นยืน

“ไปเถิดๆ ขอบใจเจ้าที่ให้ข้อมูลข้ามากมายถึงเพียงนี้ กลับไปแล้วข้าจะทำของกินอร่อยๆ มาตอบแทนเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางตบบ่าเจ้าอ้วนชวีเบาๆ

“แค่กๆ เรื่องนี้ไม่ต้องหรอก ข้าไปก่อนนะ” เจ้าอ้วนชวีได้ยินว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะทำอาหารให้เขากิน ก็ตกใจจนรีบวิ่งหนีไปในทันที

ข่าวลือบอกว่าสิ่งที่คุณชายห้าแห่งจวนแม่ทัพทำนั้นวางยาสัตว์อสูรวิเศษตนหนึ่งให้ตายได้เลยทีเดียว! เขายังใช้ชีวิตได้ไม่เท่าไร ยังไม่อยากจะตายตั้งแต่ยังเยาว์วัย

เจ้าคำรามน้อยลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อครู่ข้าทำได้ไม่เลวเลยใช่ไหมเล่า ข้ามิได้พูดอะไรสักประโยคเดียวเลย!”

“ใช้ได้เลย ต่อไปก็ทำเช่นนี้นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยชม

ถึงแม้เจ้าอ้วนชวีจะบอกว่าซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ต้องทำของกินมาตอบแทนเขา แต่ในตอนเช้าของวันที่สอง เขาก็ถูกกลิ่นหอมสายหนึ่งดึงดูดให้เข้าไปยังห้องครัว เมื่อมองเห็นเงาร่างที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ก็จ้องมองเสียจนตาแทบถลน

………………………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์ตั้งชื่อให้กับวิญญาณครวญว่าเจ้าวิญญาณน้อย และหลังจากที่ทำความเข้าใจมณีวิญญาณในเบื้องต้นแล้วก็กลับมายังห้องของตน

หลังจากกลับมาที่ห้องแล้วเธอจึงนึกเรื่องที่ต้องไปวิทยาลัยขึ้นมาได้ จึงได้เรียกพวกอวิ๋นเย่ว์มาถาม เมื่อได้รู้ว่าเวลาผ่านไปถึงสี่วันแล้วก็ตกใจจนเธอแทบจะยัดทุกสิ่งทุกอย่างลงไปในแหวนเก็บวัตถุแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับโบยบิน

“อวิ๋นเย่ว์ เมื่อครู่ตอนที่คุณชายจัดข้าวของ เขาใช้แหวนเก็บวัตถุอย่างนั้นหรือ” ชุนเจี้ยนพูดอย่างตกใจ

อวิ๋นเยว่ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้ตกใจมาแล้ว เธอจึงพยักหน้าอย่างแข็งๆ แล้วพูดว่า “ดูคล้ายว่าจะเป็นเช่นนั้นแหละ”

“เช่นนั้นก็แปลว่าคุณชายบำเพ็ญได้แล้วหรือ!”

“ใช่ เมื่อครู่ก่อนคุณชายจะไปยังบอกให้พวกเราอยู่บ้านฝึกฝนให้ดีๆ อีกด้วย…”

จากนั้นทั้งสองคนก็ประสานสายตากันก่อนจะถามอย่างสงสัยว่า “คนผู้นั้นคือคุณชายของพวกเราจริงๆ น่ะหรือ”

“อาจจะ… ใช่กระมัง…”

ซือหม่าโยวเย่ว์ไปบอกลาซือหม่าเลี่ยคำหนึ่งแล้วขึ้นรถเทียมสัตว์อสูรมุ่งหน้าไปยังวิทยาลัย เมื่อนึกถึงว่าตนเองไปสายหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเฟิงจือสิงจะไล่นางออกหรือไม่

ณ ราชวิทยาลัย ภายในห้องเรียนที่หนึ่งของนักเรียนใหม่ชั้นปีที่หนึ่ง เฟิงจือสิงมาถึงชั้นเรียนแล้วก็เห็นที่นั่งว่างด้านหลังสุดของห้องเรียน สายตาก็เปล่งประกายวาบแล้วเอ่ยว่า “สองวันก่อนหน้านี้พวกเจ้าก็ได้มีความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับวิทยาลัยของพวกเราไปเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่เข้ามาในชั้นเรียนนี้ได้ล้วนเป็นผู้ที่มีพลังวิญญาณอยู่แล้ว ดังนั้นข้าก็จะไม่พูดพวกเรื่องง่ายๆ กับพวกเจ้าซ้ำอีกแล้ว ตอนนี้พวกเรามาเรียนกันดีกว่าว่าจะดูดซับปราณวิญญาณเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็วขึ้นได้อย่างไร…”

หลังจากสิ้นสุดบทเรียนตลอดวันแล้ว นักเรียนใหม่ต่างก็พากันแยกย้ายกลับไปยังที่พักของตน

นักเรียนใหม่ห้องเรียนที่หนึ่งนั้นล้วนเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศในการคัดเลือกคราวนี้ทั้งสิ้น มีจำนวนมากที่สำเร็จเป็นผู้ฝึกวิญญาณไปเรียบร้อยแล้ว

เป็นถึงนักเรียนที่มีพรสวรรค์ พวกเขาก็ย่อมได้รับการดูแลที่แตกต่างออกไป อย่างเช่นคนอื่นๆ ต่างก็พักกันอยู่ที่หอพักรวม แต่บรรดานักเรียนใหม่ห้องเรียนที่หนึ่งนั้นจะพักอยู่ที่เรือนแยกพิเศษหนึ่งหลังห้าคน ถึงแม้ว่าเรือนจะมิได้ใหญ่โต แต่ก็มีทุกอย่างครบครัน ภายในเรือนนั้นนอกจากจะมีห้องเดี่ยวสำหรับทั้งห้าคนคนละหนึ่งห้องแล้วก็ยังมีครบทุกอย่างทั้งห้องครัว ห้องน้ำ ทั้งยังมีสวนดอกไม้เล็กๆ อยู่อีกด้วย

ที่บริเวณทางเข้าเรือนแห่งหนึ่ง เป่ยกงถังกำลังจะเปิดประตู ก็พบว่ากลอนได้ถูกผู้อื่นเปิดเอาไว้แล้ว

“เป่ยกงถัง เหตุใดพอเลิกเรียนแล้วเจ้าจึงได้รีบไปอย่างรวดเร็วทุกครั้งเลยเล่า ทุกคนกลับมาพร้อมๆ กันไม่ดีหรอกหรือ”

ด้านหลังมีเสียงบ่นอันหยาบกระด้างดังขึ้นมา เป่ยกงถังหันหน้าไปมองก็เห็นเจ้าอ้วนชวี เพื่อนร่วมหอพักที่อยู่ร่วมกันมาสามวันแล้ว ด้านหลังคือโอวหยางเฟยที่สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา และเว่ยจือฉีที่ดูละมุนละไมดุจหยกงาม

เจ้าอ้วนชวีมีชื่อว่าชวีหลี เพราะว่ามีรูปร่างอ้วน ดังนั้นในวันแรกตอนที่ทุกคนทำความรู้จักกันก็เลยบอกกับทุกคนแบบติดตลกว่าเรียกเขาว่าเจ้าอ้วนชวีได้

“ไม่ใช่พวกเจ้าหรอกหรือ” เป่ยกงถังมองเห็นพวกเจ้าอ้วนชวีสามคนแล้วก็ขมวดคิ้วน้อยๆ

“ทำไมหรือ” โอวหยางเฟยรู้สึกขึ้นมาได้ในทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงเอ่ยถามขึ้น

เป่ยกงถังขยับตัวหลบไปยืนอีกข้างหนึ่ง ให้ทุกคนมองเห็นกลอนประตูที่เปิดอยู่แล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้เป็นคนเปิดนะ”

“เอ๊ะ ถ้าเป็นเช่นนี้ หรือว่าเพื่อนร่วมหอพักอีกคนหนึ่งของพวกเราจะมาแล้วเล่า” เว่ยจือฉีก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วผลักประตูใหญ่ของเรือนพักให้เปิดออกพลางพูดว่า “อยากรู้จริงๆ เลยว่าเป็นผู้ใดกัน!”

เว่ยจือฉีเข้าไป คนอื่นๆ ก็เข้าไปในลานบ้านพร้อมกัน แล้วก็ได้ยินเสียงลอยมาจากห้องที่สองทางด้านขวามือ

ภายในห้อง ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดถูโต๊ะเก้าอี้ ส่วนเจ้าคำรามน้อยกำลังนอนแผ่อยู่บนโต๊ะที่เพิ่งทำความสะอาดเสร็จหมาดๆ พลางบ่นอุบว่า “ห้องนี้ช่างเล็กเสียจริง แล้วคนหนึ่งก็ยังมีเพียงห้องเดียวเท่านั้นอีกด้วย ช่างแตกต่างจากห้องก่อนหน้านี้ของเจ้ามากมายเหลือเกิน”

“อันที่จริงก็ไม่เลวเท่าไหร่หรอกนะ ชั้นล่างเป็นห้องเรียน ชั้นบนเป็นห้องนอน ช่างดีเหลือเกิน! ค่อยว่ากันเถิด มีที่ให้อยู่ก็ใช้ได้แล้ว จะอยากได้ห้องใหญ่โตปานนั้นไปเพื่ออะไรกันเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือไปเขกหัวเจ้าคำรามน้อย

เรือนที่นี่มีสองชั้น เพียงแต่ว่าแต่ละชั้นมีห้องอยู่เพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น

เจ้าคำรามน้อยเบี่ยงตัวไปอีกด้านหนึ่งแล้วพลิกตัวเอนกายลงไปบนโต๊ะพลางเอ่ยว่า “เย่ว์เย่ว์ เจ้ารีบฟื้นฟูพลังยุทธ์เสียเถิด วิญญาณของเจ้าไม่สมบูรณ์ ทำให้พลังยุทธ์ของข้าก็ลดน้อยไปอย่างมหาศาลด้วยเหมือนกัน ตอนนี้ข้าช่างอ่อนแอเหลือเกิน!”

“เรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าเองก็อายุอานามไม่ใช่น้อยแล้ว โตไปอีกหลายร้อยปีก็ยังเหมือนเดิมอยู่ดี”

“โอ๊ย แทงใจดำนัก…” เจ้าคำรามน้อย สองตาเหลือกขึ้นฟ้า

“ใช่แล้ว เจ้าจำเอาไว้ให้ดีล่ะ เวลาเจ้าอยู่ต่อหน้าผู้อื่น อย่าได้เปิดเผยตัวตนของเจ้าเป็นอันขาด เจ้าก็เป็นเพียงแค่กระต่ายน้อยธรรมดาๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดกำชับ

“ข้ารู้แล้วน่า เจ้าพูดมาตั้งหลายครั้งแล้วว่าให้ข้าอย่าเปิดเผยตัวตน ข้าไม่มีทางก่อเรื่องยุ่งยากให้เจ้าหรอกน่า!” เจ้าคำรามน้อยพูด

“เจ้ารู้ก็ดีแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วจึงค่อยทำความสะอาดต่อไป

“อะแฮ่มๆ”

เสียงกระแอมดังขึ้นจากนอกประตูสองครั้ง ซือหม่าโยวเย่ว์หันหน้าไปมอง ก็เห็นคนสี่คนยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า

“เป็นเจ้าไปได้อย่างไรกันนี่!” เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดอย่างตกใจ

“เจ้ารู้จักเพื่อนร่วมหอพักคนใหม่ของพวกเราด้วยหรือ” เว่ยจือฉีถาม

“เออ… รู้จักสิ” เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างหวาดกลัวอยู่บ้าง คล้ายกับว่าเธอจะกระโจนเข้ามาได้ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น

บ้านของเจ้าอ้วนชวีอยู่ที่เมืองหลวง ก็ย่อมรู้จักคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างซือหม่าโยวเย่ว์อยู่แล้ว ดังนั้นก็ย่อมล่วงรู้ข่าวลือที่ว่าคุณชายห้าแห่งจวนแม่ทัพนั้นเป็นคนเบี่ยงเบน

“เจ้าก็คือเพื่อนร่วมหอพักคนใหม่ของพวกเราอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มให้พวกเขาพลางมองดูสีหน้าของเจ้าอ้วนชวีที่ดำทะมึน ก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าอ้วนชวี เจ้ากลัวจนขนลุกขนพองไปหมดเลยนะ ข้าไม่มีความสนใจอันใดในตัวเจ้าหรอก!”

ไม่มีความสนใจอย่างนั้นหรือ นี่มันสถานการณ์อันใดกัน

“สวัสดี ข้าคือเว่ยจือฉี อยู่ห้องทางซ้ายมือของเจ้า” เว่ยจือฉีแนะนำตัวกับซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยรอยยิ้ม

“ข้าโอวหยางเฟย ปีกตะวันตกห้องแรก” โอวหยางเฟยพูดอย่างเรียบง่าย

“เป่ยกงถัง ซ้ายมือเจ้าน่ะ” เป่ยกงถังพูด

“ข้ารู้จักพวกเจ้า ข้าได้เห็นตอนที่วิทยาลัยทดสอบนักเรียนใหม่แล้ว โอวหยางเฟยเป็นปรมาจารย์วิญญาณธาตุคู่ ส่วนเจ้า เป่ยกงถัง เป็นไตรธาตุ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เธอคิดไม่ถึงว่าเพื่อนร่วมหอพักของเธอจะเป็นบรรดาผู้ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมในวันทดสอบคราวนี้

แล้วเฟิงจือสิงผู้นี้จับคนไร้ค่าคนหนึ่งมาไว้ที่นี่ทำไมกันเล่า

“ข้า ข้า…”

“เจ้าอยู่ที่ปีกตะวันตกห้องที่สอง เจ้าไม่ต้องพูดแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าอ้วนชวีแล้วก็เกิดความรู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรงอย่างหนึ่งขึ้นมา

“พวกเราแนะนำตัวเองกันเรียบร้อยแล้ว เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าเจ้าเป็นใคร” เว่ยจือฉีพูด

“ข้าชื่อซือหม่าโยวเย่ว์” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ

“เจ้าคือซือหม่าโยวเย่ว์หรือ มิได้ว่ากันว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็น…” เว่ยจือฉีมองเธออย่างประหลาดใจ ไม่อาจเก็บสีหน้าได้อยู่ครู่หนึ่ง

แม้กระทั่งสีหน้าของโอวหยางเฟยยังแปลกประหลาดอยู่บ้าง

“ซือหม่าโยวเย่ว์ หลานชายคนที่ห้าของท่านแม่ทัพใหญ่ซือหม่าเลี่ย คนไร้ค่าอันดับหนึ่งของอาณาจักรตงเฉิน ชมชอบบุรุษ” เป่ยกงถังมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดข่าวฉาวของซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาอย่างไม่ไว้น้ำใจ “ได้พบกันแล้ว ข้ากลับห้องก่อนล่ะนะ”

พูดจบแล้วนางหมุนตัวไปยังห้องข้างๆ

ช่างเป็นหญิงสาวที่เย็นชานัก! เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นสาวสวย ตอนนี้กลายเป็นสาวสวยผู้เย็นชาไปเสียแล้ว เมื่อนึกถึงตัวตนอันโดดเดี่ยวของเธอเมื่อตอนคัดเลือกแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้สึกว่าเธอจะต้องมีเรื่องที่มิอาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้ซ่อนเร้นอยู่อย่างแน่นอน

“ข้าก็กลับก่อนนะ” โอวหยางเฟยพูดจบก็จากไปเสียแล้ว

“แค่กๆ เอาล่ะ ยินดีต้อนรับเพื่อนร่วมหอพักนะ” เว่ยจือฉีแย้มยิ้มอย่างเคอะเขินอยู่บ้างก่อนจะเอ่ยว่า “วันนี้ท่านอาจารย์สอนความรู้ใหม่มามากโขทีเดียว ข้ากลับไปฝึกฝนก่อนดีกว่า ลาก่อนนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูท่าทีหนีเอาตัวรอดของเว่ยจือฉีแล้วก็ได้แต่ลูบจมูกตัวเอง

เขาก็มิได้เกิดมาหล่อเหลาหน่อยเดียวเท่านั้นเองหรอกหรือ จะต้องมีปฏิกิริยาใหญ่โตถึงเพียงนั้นด้วย หรือเธอจะน่ากลัวมากขนาดนั้นจริงๆ

“แค่กๆ เอาล่ะ ข้าก็ขอตัวกลับไปบำเพ็ญละนะ” เจ้าอ้วนชวีก็เตรียมตัวเผ่นหนีเช่นเดียวกัน

“เจ้าอ้วนชวี เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์คว้าคอเสื้อของเจ้าอ้วนชวีเอาไว้แล้วลากเขากลับมา

“ทำ… ทำอะไรน่ะ” เมื่อเห็นสายตามุ่งร้ายของซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าอ้วนชวีก็ยกมือทั้งสองขึ้นบังหน้าอกโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง

……………………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้ว่าตนหลับใหลไปนานเท่าใด เธอรู้สึกว่าตนคล้ายจะติดอยู่ในห้วงแห่งความฝันอันยาวนาน ห้วงแห่งความฝันนี้ฉายประสบการณ์ในชาติก่อนของเธอและเรื่องราวความคลั่งรักของเจ้าของร่างเดิมเหล่านั้นออกมาจนหมดสิ้นราวกับฉายภาพยนตร์ ส่วนเธอก็มองดูภาพเหตุการณ์เหล่านั้นฉายไปราวกับยืนอยู่ในมุมมืด ทันใดนั้นหัวใจของเธอก็เจ็บแปลบขึ้นมา พร้อมกับมีเสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังขึ้น

“โยวเย่ว์ นี้เป็นภัยพิบัติของตระกูลซีเหมินเรา พวกเขาวางแผนจัดการพวกเรามานานแล้ว เรื่องนี้มิอาจโทษเจ้าได้เลย”

“ซีเหมินโยวเย่ว์ ได้เห็นคนในครอบครัวตายไปต่อหน้าต่อตาเจ้าแล้วรู้สึกเช่นไรบ้างเล่า ฮ่าๆๆๆ…”

“โยวเย่ว์ เจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีๆ นะ…”

“เย่ว์เย่ว์ ไม่ว่าเจ้าจะไปอยู่ที่ไหน เจ้าคำรามน้อยก็จะติดตามเจ้าไปทุกที่เลย”

“ซีเหมินโยวเย่ว์ เจ้าไปตายเสียเถิด!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่ในมุมมืดพร้อมฟังเสียงที่อ่อนโยนและเสียงที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นสลับกันไปมา เธอเจ็บปวดใจเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับว่าถูกฉีกทึ้งอย่างไรอย่างนั้น เธอพยายามฟังให้ชัดเจนว่าเสียงลอยมาจากไหน พยายามมองให้ชัดว่าใครที่กำลังพูดอยู่ แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามมากเพียงใดก็คล้ายกับว่าสายตาของเธอจะถูกบางสิ่งบางอย่างบดบังเอาไว้ ไม่อาจเปิดตาขึ้นได้เลย

“โอ๊ย…”

ซือหม่าโยวเย่ว์ลืมตาขึ้นในทันใด ความรู้สึกลำบากที่เปิดตาไม่ขึ้นนั้นสูญสลายหายไปกับภาพฝัน

เธออ้าปากหอบหายใจกว้างครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งร่างกายเปียกปอนราวกับเพิ่งขึ้นมาจากน้ำอย่างไรอย่างนั้น

“เย่ว์เย่ว์ เจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว ฮือๆ ในที่สุดเจ้าก็ตื่นขึ้นมาเสียที เจ้าคำรามน้อยตกใจแทบตายอยู่แล้วนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่ทันมีแรงกลับมา เจ้าคำรามน้อยที่อยู่ข้างๆ ก็พุ่งตัวเข้ามาในอ้อมแขนของเธอในทันใดแล้วร้องไห้เสียงดังลั่น

ความคิดของซือหม่าโยวเย่ว์ที่ผุดขึ้นมาถูกเสียงร้องไห้ของเจ้าคำรามน้อยกดลงไป เธอกอดเจ้าคำรามน้อยแล้วลูบไล้ขนของมันพลางเอ่ยว่า “อย่าร้องไห้เลยนะ ข้าก็มิได้เป็นอะไรเสียหน่อยนี่”

“ฮือๆ เจ้าคำรามน้อยไม่ดีเอง ถ้าหากมิใช่เพราะข้าให้เจ้าหยดโลหิตแสดงความเป็นเจ้าของ เจ้าก็คงไม่หมดสติไปหรอก” เจ้าคำรามน้อยเอ่ยตำหนิตนเอง

ซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มเจ้าคำรามน้อยขึ้นมาแล้วจูบหน้าผากน้อยๆ ของมันครั้งหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ก็เพราะเจ้าคำรามน้อยหวังดีกับข้ามิใช่หรือ”

ถึงแม้ว่าความฝันเมื่อครู่จะเลือนรางอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกที่เธอมีต่อเจ้าคำรามน้อยกลับสนิทสนมใกล้ชิดขึ้นมามากราวกับม่านหมอกเปิดออกอย่างไรอย่างนั้น ความรู้สึกเช่นนั้นไม่เพียงแต่เป็นความสัมพันธ์จากการทำพันธสัญญาเท่านั้น แต่มีมิตรภาพที่แตกต่าง คล้ายกับว่ามันเดินเคียงข้างตนมาเป็นระยะเวลายาวนาน

เธออุ้มเจ้าคำรามน้อยลุกขึ้นยืน ก็มองเห็นสภาพแวดล้อมที่แปลกตา มีภูเขา มีแม่น้ำ มีทุ่งนา และมีบ้าน ดูคล้ายกับโลกใบหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่เยียบเย็นวังเวงไร้ซึ่งผู้คน

“ที่นี่คือที่ไหนกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์มองสำรวจรอบด้านแล้วก็ค้นพบว่าที่นี่ไม่ใช่ละแวกเมืองหลวง จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

“เย่ว์เย่ว์ เมื่อครู่เจ้าหมดสติไป หลังจากนั้นลำแสงสายหนึ่งก็พาพวกเรามาที่นี่ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่คือที่ไหน” เจ้าคำรามน้อยพูด

“ที่นี่คือภายในมณีวิญญาณ” เสียงคล้ายเด็กเสียงหนึ่งดังลอยมา

“ภายในมณีวิญญาณอย่างนั้นหรือ แล้วเจ้าเป็นใครกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์หมุนตัวรอบหนึ่งก็ไม่เห็นว่าบริเวณใกล้ๆ จะมีคนหรือสัตว์อื่นๆ อยู่เลย

เงาร่างสายหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นต่อหน้าซือหม่าโยวเย่ว์อย่างช้าๆ ร่างกายเล็กจ้อยราวกับเด็กสามขวบผูกมวยผมสูงสองอัน สวมผ้าผูกคอสีแดงสด เขามองดูคนและสัตว์อสูรตรงหน้าแล้วพูดว่า “ข้าคือวิญญาณครวญแห่งมณีวิญญาณ ส่วนที่นี่ก็คือโลกภายในมณีวิญญาณ…”

โลกภายในมณีวิญญาณอย่างนั้นหรือ

เมื่อเห็นความสงสัยในแววตาของซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าคำรามน้อย วิญญาณครวญแห่งมณีวิญญาณก็พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ภายในมณีวิญญาณมีโลกใบหนึ่งอยู่ในตัวเอง เหมือนกันกับโลกภายนอกของพวกท่านนั่นแหละ ไม่สิ ที่นี่ดีกว่าโลกภายนอกของพวกท่านมากมายเลยทีเดียว”

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าเห็นด้วย ที่นี่ดีกว่าข้างนอกมากมายเลยจริงๆ แม้กระทั่งมือใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มต้นอย่างเธอก็สัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณอันเข้มข้นของที่นี่โดยไม่ต้องเข้าสมาธิเลย เห็นได้ว่าดีกว่าข้างนอกมากมายเหลือเกิน นอกจากนี้เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าภูมิทัศน์ของที่นี่เต็มไปด้วยปราณวิญญาณ ทั้งยังปลูกเครื่องยานานาชนิดเอาไว้เป็นจำนวนมากอีกด้วย

“เครื่องยาเหล่านี้มาจากที่ไหนกันหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินมาตรงกลางไร่พลางมองดูเครื่องยาสมุนไพรอันแข็งแรงชวนให้คนตกใจแล้วเอ่ยถามขึ้น

“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้านายคนก่อนเหลือเอาไว้ทั้งสิ้น เครื่องยาสมุนไพรเหล่านี้แก่จนมีอายุหลายแสนปีได้แล้วล่ะ” วิญญาณครวญเอ่ยตอบ “ส่วนพวกที่ไม่อาจปลูกได้นานนัก ข้าก็จัดการตามรอบเวลา”

“เจ้านายคนก่อนหน้านี้อย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเมื่อหลายแสนปีก่อนแล้วล่ะ นานเสียจนข้าเองก็เริ่มจำไม่ได้ไปบ้างแล้ว” วิญญาณครวญเอ่ยระลึกความหลัง สายตาที่มองไกลออกไปนั้นมีความโดดเดี่ยวอันลึกล้ำแฝงอยู่ภายใน

บางทีอาจเป็นเพราะมีความสัมพันธ์ของการทำพันธสัญญาอยู่ เมื่อซือหม่าโยวเย่ว์ได้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเดียวดายของมันแล้วก็เดินเข้าไปกอดมันเอาไว้ในอ้อมแขนโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเอ่ยว่า “ต่อจากนี้ไปมีพวกเราอยู่เป็นเพื่อนเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้วละนะ”

ร่างกายเล็กจ้อยของวิญญาณครวญสั่นสะท้าน ตัวแข็งเกร็งอยู่ในอ้อมแขนของเธอ เมื่อรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในอ้อมแขนของเธอแล้วมันก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงมา ก่อนจะขานรับเสียงหนึ่ง “อืม”

ซือหม่าโยวเย่ว์ตบหลังวิญญาณครวญแล้วอุ้มมันเดินออกนอกบ้านพลางพูดว่า “พวกเราไปดูที่อื่นๆ กันบ้างดีกว่า”

“ดีเลย ดีเลย!” เจ้าคำรามน้อยยืนอยู่บนบ่าของซือหม่าโยวเย่ว์พลางพูดอย่างตื่นเต้น มันพูดอย่างสนใจใคร่รู้ต่อสถานที่แห่งนี้

ซือหม่าโยวเย่ว์วนไปรอบบ้านรอบหนึ่งก็ได้เห็นสิ่งของมากมายที่เจ้านายคนก่อนทิ้งเอาไว้ ภายในห้องหนังสือที่ใหญ่กว่าหอตำราของตระกูลซือหม่าก็คือตำราสมัยโบราณจำนวนมาก จำนวนไม่น้อยในนั้นก็คือเล่มที่หายสาบสูญไปแล้วในปัจจุบันนี้ วิญญาณครวญบอกว่าหนังสือเหล่านี้เป็นสิ่งที่ค่อยๆ สะสมมาตั้งแต่สมัยเจ้านายคนแรกแล้ว เป็นแก่นของแต่ละยุคเลยก็ว่าได้

เมื่อเห็นหนังสือเหล่านี้ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ตื่นเต้นอยู่นานพอสมควร สิ่งของยุคโบราณนั้นร้ายกาจกว่ายุคปัจจุบันนี้มากมายนัก แต่เพียงเพราะเหตุผลต่างๆ นานา สิ่งของมากมายจึงได้หายสาบสูญไปเสียแล้ว

นอกจากนี้ ตามที่วิญญาณครวญบอก เจ้านายหลายคนก่อนหน้านี้เป็นผู้เชี่ยวชาญจากทุกแขนง ดังนั้นหนังสือที่อยู่ในนี้จึงมีครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการหลอมยา การหลอมวัตถุ การฝึกสัตว์อสูร ก็ล้วนมีทั้งสิ้น เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ฉีกยิ้มปากกว้างจนแทบจะไปถึงใบหูอยู่แล้ว นี่มันขุมสมบัติโดยแท้เลยทีเดียว

แต่สิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นที่สุดก็คือคำพูดสุดท้ายของวิญญาณครวญ

“วิญญาณของท่านมีความไม่สมบูรณ์อยู่บ้าง ก่อนหน้านี้คงจะได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อยเลยสินะ มณีวิญญาณช่วยฟื้นฟูวิญญาณของท่านได้ และแน่นอนว่าช่วยในการบำเพ็ญของท่านได้ด้วยเช่นเดียวกัน”

“ช่วยในการบำเพ็ญของข้าได้ด้วยอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยอย่างตกตะลึง

“ท่านรับสัมผัสตรงท้องน้อยของท่านดูสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ลองทำเช่นนั้นดู ตอนนี้เธอยังไม่อาจพินิจภายในได้ แต่ว่าเธอสัมผัสได้ว่าบริเวณท้องน้อยของตนมิได้มีเพียงพลังวิญญาณสีแดงเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว แต่กลับมีสิ่งที่คล้ายสระน้ำสิ่งหนึ่งอยู่แทน

“ตอนนี้ท่านยังไม่อาจพินิจภายในได้ แต่ตอนนี้ท่านก็มองเห็นได้แล้วว่าบริเวณท้องน้อยของท่านมีสิ่งที่คล้ายกับบ่อน้ำสิ่งหนึ่งอยู่ นั่นคือสิ่งที่มณีวิญญาณเตรียมเอาไว้ให้สำหรับการบำเพ็ญของท่าน ปราณวิญญาณที่ท่านดูดซับก็จะถูกดูดเข้ามาภายในนี้ นอกจากนี้ยังจำแนกธาตุปราณวิญญาณให้ท่านได้โดยอัตโนมัติอีกด้วย ตอนนี้ข้าว่าท่านคงจะไม่อาจเข้าใจมันได้อย่างชัดเจนนัก รอให้ถึงเวลาที่ท่านมองเห็นด้านในได้แล้วก็จะรู้ได้เองแหละ” วิญญาณครวญพูด

“หรืออาจพูดได้ว่า ตอนที่ข้าบำเพ็ญก็อาจจะไม่จำเป็นต้องแยกแยะปราณวิญญาณ ก็ดูดซับปราณวิญญาณของแต่ละธาตุเข้ามาภายในร่างกายได้พร้อมๆ กัน เลย แล้วมณีวิญญาณก็จะจำแนกให้ข้าเองใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์แทบไม่กล้าเชื่อหูของตนเองเลย ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ ก็ไม่ต่างจากเธอกดสูตรโกงเกมเลยไม่ใช่หรือ!

“ใช่แล้วล่ะ” วิญญาณครวญพูดอย่างสบายๆ แต่ทว่าคำพูดของมันกลับทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่สงบเอาเสียเลย เธออุ้มวิญญาณครวญขึ้นมาตรงหน้าแล้วจุมพิตเบาๆ ทีหนึ่ง

“น้ำลายเยอะเหลือเกิน สกปรกจริงๆ เลย!” วิญญาณครวญยกมือขึ้นเช็ดหน้าตนครั้งหนึ่ง ท่าทีเต็มไปด้วยความรังเกียจ แต่ว่าบนใบหน้ากลับปรากฏปื้นแดงแห่งความเขินอาย น่าตลกจนทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าคำรามน้อยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น

…………………………

Related

เธอหยิบแหวนเก็บวัตถุและก้อนหินขึ้นมาแล้วรับสัมผัสแยกกันคราหนึ่ง แต่ก็ยังไม่พบอะไรพิเศษอยู่ดี หลังจากนั้นเธอก็วางก้อนหินสีดำลง ก่อนจะขูดนิ้วมือขวาของตนเองแล้วหยดเลือดลงบนแหวนเก็บวัตถุ เธอมองดูหยดเลือดของตัวเองค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปภายในแหวนอย่างช้าๆ คล้ายกับว่าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แต่กลับมีความสัมพันธ์ชั้นหนึ่งขึ้นมาระหว่างเธอกับแหวน เธอเพิ่งนึกสงสัยอยู่ว่าภายในแหวนวงนี้จะเป็นเช่นไร ก็รู้สึกว่าสติรับรู้ของเธอคล้ายจะถูกดึงดูดเข้าไปภายในมิติสักแห่งหนึ่ง

“นี่คือด้านในแหวนเก็บวัตถุหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูมิติที่ดูคล้ายกับห้อง ห้องแล้วห้องเล่าอย่างสนใจใคร่รู้ พลางพูดอย่างตื่นเต้นว่า “หลังจากนี้พอมีสิ่งนี้อยู่ เวลาออกไปไหนก็พกพาข้าวของไปด้วยได้ทุกอย่าง สะดวกสบายขึ้นมากเลยนะเนี่ย!”

สติรับรู้ของเธอเคลื่อนผ่านไปหลายต่อหลายห้อง ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ภายในนั้นอย่างคร่าวๆ จนเข้าใจแล้ว เธอเพิ่งจะดึงสติรับรู้ของตนกลับมาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในห้วงสมองของตน

“ฮ่าๆๆๆ ในที่สุดคุณชายเช่นข้าก็ได้ฟื้นขึ้นมาเสียที!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกเสียงที่ดังขึ้นมาอย่างฉับพลันทำให้ตกใจจนตัวลอย จากนั้นเธอก็สงบสติอารมณ์แล้วถามขึ้นว่า “ใครน่ะ”

“อุ๊ย” หลังจากอีกฝ่ายเปล่งเสียงตกใจออกมาพยางค์หนึ่งแล้วก็เงียบไป ครู่หนึ่งหลังจากนั้นก็กรีดร้องอย่างตกใจออกมา “เจ้าถึงกับจำข้าไม่ได้แล้วหรือนี่!”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปรอบห้อง แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใด แล้วสิ่งนั้นมาจากที่ไหนกันเล่า

“ฮือๆ เจ้าลืมคุณชายไปเสียแล้ว” เสียงนั้นร้องโอดครวญกล่าวโทษ

“เจ้าเป็นใครกัน”

“ข้าคือเจ้าคำรามน้อยอย่างไรเล่า! เจ้าจำข้าไม่ได้จริงๆ น่ะหรือ” น้ำเสียงเศร้าโศกลอยมา แต่กลับทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์หัวสมองขาวโพลน

“เจ้าวานรน้อยหรือ แค่กๆ เจ้าเป็นลิงอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“เจ้านั่นแหละที่เป็นลิง! ชื่อนี้เจ้าก็เป็นคนตั้งให้ข้าเองนะ!” เจ้าคำรามน้อยพูดไปร้องไห้ไป

ในขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังสงสัยอยู่นั้นเอง เงาร่างหนึ่งก็ออกมาจากภายในร่างของเธอก่อนจะลอยมาตรงหน้า

“ที่แท้ก็ไม่ใช่ลิง แต่เป็นกระต่ายต่างหาก!” หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์เห็นลักษณะของมันชัดเจนแล้วจึงพูดขึ้น

“กระต่ายหรือ ข้าจะเป็นกระต่ายไปได้อย่างไรกันเล่า! ข้าคือสัตว์อสูรเทพโบราณจอมคำรามต่างหากเล่า!” เจ้าคำรามน้อยร้องคำรามเสียงดังลั่นใส่ซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูกตนเองพลางพูดว่า “คำรามหรือ เจ้าคำรามน้อยอย่างนั้นหรือ”

“เจ้าจำข้าขึ้นมาได้บ้างแล้วใช่หรือไม่” เจ้าคำรามน้อยถามอย่างตื่นเต้น

“เปล่าหรอก”

“เช่นนี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงได้ชื่อว่าเจ้าคำรามน้อย” เจ้าคำรามน้อยพูด

“เมื่อครู่เจ้ามิได้พูดเองหรอกหรือว่าเจ้าชื่อเจ้าคำรามน้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยอย่างเหยียดหยามคราหนึ่ง เชาวน์ปัญญาของเจ้าสัตว์ตัวนี้ก็ยังเทียบกับมนุษย์มิได้อยู่ดี!

“อ๊ะ ข้าพูดไปแล้วอย่างนั้นหรือ”

เฮ้อ…

ซือหม่าโยวเย่ว์อับจนคำพูดกับเจ้ากระต่ายน้อยที่ออกมาจากภายในร่างกายตนตัวนี้แล้ว เธอเอ่ยถามว่า “เจ้าเข้ามาอยู่ในร่างข้าได้อย่างไรกัน แล้วก่อนหน้านี้ที่เจ้าบอกว่าเจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว แปลว่าอะไรกันหรือ”

“ข้าไม่ได้บอกไปแล้วหรอกหรือว่าข้าหลับลึกอยู่น่ะ!” เจ้าคำรามน้อยพูด “เจ้าได้รับบาดเจ็บ ข้าก็เลยได้รับบาดเจ็บไปด้วย จึงได้หลับลึกเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บมาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงว่าพอตื่นขึ้นมาอีกครั้งเจ้าก็จำข้ามิได้เสียแล้ว ฮือๆ”

เจ้าคำรามน้อยพูดแล้วก็ร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจขึ้นมา หยาดน้ำตาของมันหยดลงบนร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ ทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมา

“หยาดน้ำตาของเจ้าช่างมหัศจรรย์นัก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ผู้อื่นเขาเป็นถึงสัตว์มงคล ย่อมต้องทำให้เจ้ารู้สึกสบายอยู่แล้วสิ” เจ้าคำรามน้อยพูด

“เป็นเช่นนี้นี่เอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยแล้วเอ่ยว่า “ที่ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าได้รับบาดเจ็บนั้นเรื่องราวมันเป็นเช่นไรกันหรือ ยังมีอีก ข้าจะไปทำพันธสัญญากับเจ้าได้อย่างไรกัน แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยพบเห็นเจ้ามาก่อนเลยนะ!”

“ฮือๆ เย่ว์เย่ว์ เจ้านี่ช่างน่าชิงชังเกินไปแล้วนะ ข้าจะไม่ชอบเจ้าแล้ว เจ้าลืมเลือนเจ้าคำรามน้อยที่แสนน่ารักไปได้อย่างไรกัน ยังดีที่ก่อนหน้านี้ข้าทำพันธสัญญาวิญญาณกับองค์กรของเจ้า มิฉะนั้นข้าก็คงหาเจ้าไม่พบแล้ว! ฮือๆ แต่ว่าเย่ว์เย่ว์ลืมเจ้าคำรามน้อยไปได้อย่างไร” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างน้อยใจ

เมื่อเห็นท่าทีของเจ้าคำรามน้อย ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกทุกข์ใจ คล้ายกับได้รับผลกระทบจากความรู้สึกของเขา

เธอดึงเจ้าคำรามน้อยเข้ามากอดแล้วลูบเส้นขนของมันเบาๆ พลางพูดว่า “ขอโทษนะ ข้าจำไม่ได้แล้วจริงๆ แต่ข้าก็ยังรู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้าอยู่นะ เจ้าเจ็บปวดใจ ในใจข้าก็เป็นทุกข์เช่นกัน”

เจ้าคำรามน้อยยื่นเท้าหน้าสั้นๆ อันน้อยนิดออกมาเช็ดบนหน้าของตนพลางเอ่ยว่า “หรือเป็นวิญญาณของเจ้าที่ได้รับความเสียหาย จนทำให้เจ้าจำเรื่องราวในชาติก่อนมิได้แล้วกระมัง ข้าไปดูสักหน่อยดีกว่า”

เจ้าคำรามน้อยพูดจบแล้วก็หายลับไปจากอ้อมแขนของซือหม่าโยวเย่ว์ ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่การปรากฏตัวขึ้นในคราวนี้มันกลับอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด มันมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ความทรงจำของเจ้าไม่เหลืออยู่แล้วจริงๆ เสียด้วย มิน่าเล่าเจ้าจึงจำข้ามิได้เลย”

“ความทรงจำหรือ ความทรงจำอันใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มตัวเจ้าคำรามน้อยมาตรงหน้าตนแล้วถามขึ้น

“ข้าพูดกับเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ต้องให้เจ้าเป็นคนไปตามหาความทรงจำเหล่านั้นกลับมาเอง” เจ้าคำรามน้อยพูด

“หลายวันมานี้ข้าเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าความทรงจำของข้าดูคล้ายจะหายไปส่วนหนึ่ง มีบางทีที่รู้สึกว่าในใจว่างเปล่า คล้ายกับว่าสิ่งสำคัญมากๆ บางอย่างถูกข้าลืมเลือนไปเสียแล้ว แต่ถ้าหากสำคัญมากจริงๆ เพราะเหตุใดข้าจึงไม่มีความตราตรึงใจอันใดเหลืออยู่บ้างสักนิดเลยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ปล่อยตัวเจ้าคำรามน้อย สองมือกุมศีรษะตัวเองเอาไว้พร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

“เย่ว์เย่ว์ เจ้าไม่ต้องรีบร้อนนักหรอก เจ้าทำเช่นนี้ก็ตามหาความทรงจำของเจ้ากลับมามิได้หรอกนะ” เจ้าคำรามน้อยพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยพลางถามว่า “เจ้าคำรามน้อย เจ้ามีวิธีหรือไม่”

ขาหน้าอันจิ๋วของเจ้าคำรามน้อยยกขึ้นเกาหัวแกรกๆ ในที่สุดก็พูดว่า “สิ่งที่ข้าคิดได้ก็แค่ว่ามันมีสาเหตุมาจากการที่วิญญาณของเจ้าถูกทำลาย เจ้าจึงจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตมิได้ รอจนวิญญาณของเจ้าค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาแล้วก็คงจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตได้เองนั่นแหละ”

“แต่วิญญาณจะฟื้นฟูขึ้นมาได้อย่างไรกันเล่า”

“กินสิ่งที่มีประโยชน์ต่อวิญญาณสักหน่อย แล้วหลังจากนั้นก็บำเพ็ญ พอเจ้าเลื่อนระดับไปจนถึงขั้นหนึ่งก็จะฟื้นฟูวิญญาณของเจ้าได้แล้วล่ะ” เจ้าคำรามน้อยพูด

ทันใดนั้นมันก็มองเห็นก้อนหินภายในหีบ จากนั้นก็ร้องอ๊ากขึ้นมาเสียงหนึ่งแล้วชี้ไปที่ก้อนหินพลางพูดว่า “นั่น นั่นคือมณีวิญญาณหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นปฏิกิริยาอันรุนแรงของเจ้าคำรามน้อยจึงเอ่ยถามว่า “เจ้ารู้จักของสิ่งนี้ด้วยหรือ”

“ข้าต้องรู้จักแน่นอนอยู่แล้วสิ!” เจ้าคำรามน้อยลอยไปถึงตรงหน้ามณีวิญญาณด้วยสองตาเปล่งประกาย มันยื่นเท้าน้อยๆ สองข้างมาลูบคลำ น้ำลายแทบจะหกออกมาอยู่รอมร่อ

“บิดาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายโลหิตบอกว่านี่คือวัตถุเทพที่สืบทอดต่อกันมาแต่โบราณ แต่จะต้องเป็นคนที่ถูกลิขิตเอาไว้เท่านั้นจึงจะทำให้มันยอมรับเจ้านายได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เจ้าคำรามน้อยหอบมณีวิญญาณเอาไว้พร้อมกับพยักหน้าไม่หยุดแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ามณีชิ้นนี้มีประโยชน์อย่างไร เย่ว์เย่ว์ เจ้ารีบทดสอบดูเร็วเข้าสิว่าเจ้าจะทำให้มันยอมรับเป็นเจ้านายได้หรือไม่! ได้ยินว่านี่เป็นสุดยอดวัตถุเทพเลยทีเดียวนะ ถ้าหากได้มันมาครองจะต้องไม่เลวเป็นแน่”

“จริงหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยด้วยสีหน้าแฝงคำถาม

“ก็ใช่น่ะสิ มาๆๆ เจ้ามาทดสอบดูเร็วเข้า!” เจ้าคำรามน้อยวิ่งถือมณีวิญญาณมาถึงตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยเร่งเร้า

“เออ…” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีตื่นเต้นของเจ้าคำรามน้อยแล้วก็รับมณีวิญญาณมาก่อนจะเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าลองดูหน่อยก็ได้”

“อืมๆ” เจ้าคำรามน้อยเหินบินมาอยู่บนบ่าของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “เยว่เยว่ เจ้าเร็วหน่อยสิ”

แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้เลยว่าจะทำการยอมรับเป็นเจ้านายอย่างไร ในขณะที่เธอกำลังคิดว่าจะต้องทำพิธีอะไรหรือไม่อยู่นั้นเอง เจ้าคำรามน้อยก็เข้ามาฉีกบาดแผลบนนิ้วมือก่อนหน้านี้ให้เปิดออก เพราะว่ามีเลือดไม่มาก จึงวางนิ้วมือของเธอลงบนมณีวิญญาณโดยตรง

ในตอนแรกมณีวิญญาณมิได้มีปฏิกิริยาตอบสนองแต่อย่างใด โลหิตเหล่านั้นก็มิได้ซึมลงไปเลย ในขณะที่เธอคิดจะยอมแพ้อยู่แล้วนั้นเอง โลหิตถูกดูดซับเข้าไปอย่างฉับพลัน ในตอนที่เธอคิดว่าทำสำเร็จแล้วคิดจะดึงมือของตนกลับมาจึงพบว่าตนเองมิอาจขยับตัวได้เสียแล้ว

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ซือหม่าโยวเย่ว์ยังรู้สึกว่านิ้วมือของตนคล้ายกับถูกขบกัดคำหนึ่ง ความเจ็บปวดจับขั้วหัวใจถาโถมเข้ามา จากนั้นก็รู้สึกได้ว่าเลือดของตนหลั่งไหลออกมาจากนิ้วมือไม่หยุดหย่อน เพียงไม่นานเธอก็รู้สึกว่าวิงเวียนศีรษะขึ้นมาเนื่องจากเสียเลือดมากเกินไป จากนั้นภาพตรงหน้าก็ดำมืด และร่างก็ล้มลงบนเตียง

ก่อนที่จะสูญสิ้นสติรับรู้ เธอได้ยินเสียงร้องตะโกนอย่างเป็นกังวลของเจ้าคำรามน้อย เจ้าคนหลอกลวง ข้าถูกเจ้าเล่นงานเข้าแล้วสินะ!

……………………

Related

“เฟิงจือสิงหรือ คล้ายว่าข้าจะเคยได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงมาก่อนแล้ว ได้ยินว่าเป็นอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมมากทีเดียว” ซือหม่าโยวเล่อพูด “ในเมื่อเจ้าแน่ใจแล้ว เช่นนั้นก็จัดการตามนี้แหละ ข้าจะส่งเจ้ากลับก็แล้วกัน”

“ไม่ต้องหรอก ข้ากลับเองได้อยู่แล้ว ข้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะ ขอตัวก่อน!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็โบกไม้โบกมือไปทางเขาก่อนจะหมุนกายจากไป

ซือหม่าโยวเล่อมองเงาหลังของนางแล้วก็รู้สึกว่าหลังจากที่น้องชายผู้นี้ของตนถูกทำร้ายเมื่อคราวก่อนแล้วก็รู้เรื่องรู้ราวมากขึ้น และตอนนี้นางก็บำเพ็ญได้แล้วด้วย ไม่แน่ว่าอีกไม่นานก็จะตามตนได้ทันแล้ว อยากจะปกป้องนาง ตนก็ต้องพยายามมากขึ้นอีกจึงจะใช้ได้!

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่คุ้นเคยกับภายในวิทยาลัยนัก เธอเดินตามป้ายบอกทางไปจนถึงประตูใหญ่ของวิทยาลัย เมื่อเห็นผู้คนมากมายที่ทางเข้าวิทยาลัยจึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เป็นวันทดสอบวันที่สองของวิทยาลัย

“คนต่อไป โอวหยางเฟย” อาจารย์ผู้ทำการทดสอบตะโกนไปทางฝูงชน

ขณะนี้เอง ชายคนหนึ่งก้าวออกมาตรงหน้าฝูงชนตามการร้องขอของอาจารย์ เขาวางมือลงบนลูกแก้วทรงกลม ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูครู่หนึ่ง เมื่อโอวหยางเฟยปล่อยพลังวิญญาณเข้าไปในลูกแก้ว พลันลูกแก้วก็เปล่งประกายสีแดงและสีเขียวออกมา

“สวรรค์ สวรรค์เอ๋ย เป็นธาตุคู่ไม้ไฟเลยหรือนี่! คราวนี้ถึงกับมีปรมาจารย์วิญญาณธาตุคู่อยู่ด้วย! ช่างดีเหลือเกิน! ฮ่าๆๆๆ…” อาจารย์ผู้ทำการทดสอบเห็นปฏิกิริยาของลูกแก้วแล้วก็หัวเราะเสียงดังลั่นก่อนเอ่ยว่า “รีบไปบอกท่านอาจารย์ใหญ่เร็วเข้า คราวนี้พวกเราค้นพบปรมาจารย์วิญญาณทวิธาตุเข้าแล้ว! ”

หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนมาที่นี่หลังจากได้ยินข่าว ซือหม่าโยวเย่ว์จำได้ว่าคล้ายจะเป็นผู้ดูแลสำนักงาน

“อยู่ที่ไหนกัน ปรมาจารย์วิญญาณธาตุคู่อยู่ที่ไหน” เมื่อผู้ดูแลมาถึงก็ถามอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นอาจารย์ชี้ไปทางโอวหยางเฟย เขาก็เดินเข้าไปหาพลางหัวเราะแหะๆ ก่อนจะลากตัวเขาเดินเข้าไปด้านในวิทยาลัย

ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก ผู้ดูแลผู้นี้จะวางอำนาจเกินไปหน่อยแล้วหรือไม่! ก่อนหน้านี้ตอนเห็นว่าตนเป็นคนไร้ค่า ก็มิได้สนใจตนเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เห็นผู้มีพรสวรรค์ก็ยิ้มจนหน้าบานเป็นดอกทานตะวันแล้ว!

เพียงไม่นานอาจารย์ผู้ทำการทดสอบก็เรียกอีกคนหนึ่งมาแล้ว เธอดูอยู่หลายคนก็พบว่าการทดสอบที่เรียกกันนั้นก็คือการใช้ลูกแก้วทดสอบเท่านั้นเอง เวลาทดสอบก็ส่งพลังวิญญาณเข้าไปในลูกแก้ว ก็จะทดสอบธาตุของเขาออกมาได้ สีของลูกแก้วยิ่งเข้มก็แสดงว่าพรสวรรค์ยิ่งสูงส่ง ถ้าหากพบปรมาจารย์วิญญาณธาตุคู่อย่างเช่นโอวหยางเฟยนี้ก็ล้ำเลิศเหลือเกินแล้ว

แต่เธอได้ยินคนที่อยู่รอบๆ พูดว่าคราวนี้นอกจากเขาก็ไม่มีปรมาจารย์วิญญาณธาตุคู่คนอื่นๆ อีกแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์ดูอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่อีกแล้ว จึงเตรียมตัวจะจากไป เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงอุทานดังขึ้นมาจากด้านหลัง

“สวรรค์เอ๋ย เป็นปรมาจารย์วิญญาณไตรธาตุเชียวหรือนี่…”

“จริงด้วย ไตรธาตุจริงๆ เสียด้วย”

“พวกเรา พวกเราได้เห็นปรมาจารย์วิญญาณไตรธาตุแล้ว!”

คราวนี้ฝูงชนส่งเสียงดังสนั่นยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก ดังเสียจนคอหอยแทบจะระเบิดอยู่แล้ว วิทยาลัยอยู่มาหลายร้อยปีก็ยังไม่เคยมีปรมาจารย์วิญญาณไตรธาตุปรากฏตัวขึ้นมาก่อนเลย ก่อนหน้านี้อย่างมากที่สุดก็มีเพียงแค่ปรมาจารย์วิญญาณทวิธาตุปรากฏตัวขึ้นเท่านั้น

อาจารย์ผู้ทำการทดสอบแทบจะคลั่งอยู่แล้ว ปีนี้ไม่เพียงแต่มีผู้มีพรสวรรค์ทวิธาตุปรากฏตัวขึ้นเท่านั้น แต่ยังถึงกับมีไตรธาตุปรากฏตัวขึ้นอีกด้วย เขาอดหยิกตัวเองคราหนึ่งเพื่อพิสูจน์ว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่มิได้

ซือหม่าโยวเย่ว์หันไปก็มองเห็นเงาร่างโดดเดี่ยวที่มิได้สะทกสะท้านเพราะภาพเหตุการณ์อันร้อนระอุตรงหน้านี้เลย เธอยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าลูกแก้ว มองดูผู้คนชื่นชมยินดีเพราะเธอเป็นเหตุ แต่ตัวเองกลับทำราวกับว่าตนเป็นคนนอก บนใบหน้าของนางไม่มีความหยิ่งยโส ไร้ความลำพองใจ มีเพียงความโดดเดี่ยวอันไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น ทั้งยังมีความแค้นที่ซ่อนเร้นเอาไว้เป็นอย่างดีอีกด้วย

เธอหันหน้ามามองราวกับสัมผัสได้ถึงการมองประเมินของซือหม่าโยวเย่ว์ เดิมทีคิดว่าคงจะเป็นสายตาอันบ้าคลั่งเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่คิดว่าจะได้สานสบกับดวงตาบริสุทธิ์ใสกระจ่างคู่หนึ่ง

สองคนมองกันเช่นนี้อยู่เกือบครึ่งนาที หลังจากนั้นคนผู้นั้นก็หันหน้าไปมองอาจารย์ผู้ทำการทดสอบแล้วถามว่า “ขอถามหน่อยว่านี่ข้าผ่านแล้วใช่หรือไม่ ข้าเข้าไปได้แล้วหรือยัง”

“แน่นอน ผ่านแน่นอนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เจ้ายังเข้าไปไม่ได้หรอกนะ นักเรียนเอนกธาตุดังเช่นเจ้านี้ วิทยาลัยได้เตรียมการอย่างอื่นเอาไว้ให้แล้ว เจ้าต้องรออยู่ที่นี่สักครู่หนึ่ง อีกประเดี๋ยวก็จะมีอาจารย์มารับตัวเจ้าไปแล้ว” อาจารย์ผู้ทำการทดสอบพูด

“อ้อ” คนผู้นั้นส่งเสียงตอบรับเรียบๆ เมื่อหมุนกายหมายจะมองดูซือหม่าโยวเย่ว์อีกครั้งก็พบว่าเธอจากไปแล้ว เหลือเพียงเงาหลังให้ตนได้เห็นเท่านั้น

ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปยังจวนแม่ทัพ เดิมทีคิดจะตรงไปหาซือหม่าเลี่ย แต่พ่อบ้านบอกกับเธอว่าซือหม่าเลี่ยเข้าไปในวังเสียแล้ว เธอจึงกลับมายังเรือนเล็กของตนแล้วขังตัวเองอยู่ในห้องก่อนจะเปิดหนังสือขึ้นมา หลังจากที่อ่านหนังสือเล่มหนึ่งในนั้นจบแล้วจึงค่อยเริ่มต้นบำเพ็ญ

เมื่อคืนเธอรู้สึกว่าตัวเองดูเหมือนจะเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว หากพยายามอีกสักหน่อย เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะกลายเป็นปรมาจารย์วิญญาณที่แท้จริงได้แล้ว พอถึงเวลานั้นเธอก็จะหยดโลหิตแสดงความเป็นเจ้าของต่อแหวนประจำตระกูลวงนั้นได้ หลังจากนี้พอมีแหวนเก็บวัตถุแล้ว ตอนออกไปข้างนอกก็คงจะสะดวกสบายขึ้นไม่น้อยเลย

เธอได้สั่งอวิ๋นเย่ว์และชุนเจี้ยนเอาไว้แล้วว่าหากไม่มีเรื่องด่วนก็ห้ามรบกวนเธอ ส่วนประตูก็ถูกเธอลงกลอนไว้จากด้านใน ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะมีคนเข้ามาขัดจังหวะตนในช่วงเวลานี้

ตอนแรกคือการเข้าสู่สถานะฌานสมาธิ ตอนนี้เธอต้องการเพียงแค่การนั่งสมาธิชั่วครู่ก็รับสัมผัสถึงปราณวิญญาณในบริเวณโดยรอบได้แล้ว

หนังสือเล่มที่เธออ่านเมื่อครู่นี้คือเล่มที่เธอหยิบออกมาโดยไม่เจตนา แต่ในนั้นพูดถึงว่าปรมาจารย์วิญญาณเอนกธาตุควรจะบำเพ็ญอย่างไรพอดิบพอดี

ซือหม่าโยวเย่ว์รวบรวมสมาธิทั้งหมดไปไว้บนจุดแสงสีแดง แล้วค่อยๆ เหนี่ยวนำพวกมันเข้าไปในร่างกายของตนเองอย่างช้าๆ หลังจากนั้นก็รวมเอาไว้ที่บริเวณท้องน้อยของตน ส่วนจุดแสงอื่นๆ นั้นถึงแม้ว่าจะกระโดดโลดเต้นอยู่รอบกายเธอ แต่กลับไม่อาจเข้าไปในร่างกายของเธอได้เช่นเดียวกันกับจุดแสงสีแดง

และในขณะเดียวกันนั้นเอง หีบที่อยู่ด้านข้างก็เปล่งประกายอันอ่อนโยนออกมาอีกครั้ง ช่วยให้เธอบำเพ็ญได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ซือหม่าเลี่ยกลับมาแล้วก็ได้ยินพ่อบ้านบอกว่าซือหม่าโยวเย่ว์มีเรื่องต้องการพบตน จึงได้มายังเรือนเล็กของเธอ เพิ่งเดินเข้าไปก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังของการบำเพ็ญ จึงรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์กำลังบำเพ็ญอยู่ ทั้งยังกำชับอวิ๋นเย่ว์ว่าห้ามมิให้ผู้ใดไปรบกวนนาง หลังจากนั้นก็กลับไป

ดูเหมือนว่าสิ่งที่เธอพูดจะเป็นความจริง เธอบำเพ็ญได้แล้วจริงๆ ด้วย…

ซือหม่าโยวเย่ว์บำเพ็ญอยู่ในห้องมาโดยตลอด บางทีเธออาจจะจมดิ่งเกินไป คราวนี้หลังจากใช้เวลาตลอดสองวันแล้วจึงค่อยตื่นขึ้นมา

“ปัง…” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าร่างกายของตนสดชื่นตื่นตัว คล้ายกับมีผนังกั้นถูกทำลายลงอย่างไรอย่างนั้น พลังอันอบอุ่นสายหนึ่งไหลผ่านตลอดเส้นลมปราณไปยังอวัยวะทั่วร่าง หลังจากโคจรรอบหนึ่งแล้วก็กลับสู่บริเวณท้อง

ซือหม่าโยวเย่ว์ลืมตาอย่างยินดี มองเห็นร่างกายของตนถูกประกายกลุ่มหนึ่งโอบล้อมเอาไว้ ดาวดวงน้อยดวงหนึ่งเปล่งแสงระยิบระยับอยู่ภายในประกายนั้น

“ตอนนี้ข้าเป็นผู้ฝึกวิญญาณแล้ว ฮ่าๆ ดูท่าทางนี่จะเป็นเพราะหลังจากถอนพิษแล้วร่างกายบำเพ็ญได้จริงๆ เสียด้วย! เอ๊ะ นี่มันอะไรกัน”

คราวนี้ประกายในหีบไม่ได้จางหายไปหลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์สิ้นสุดการบำเพ็ญเหมือนสองครั้งก่อนแล้ว แต่กลับเปล่งแสงหลากสีต่อไปโดยมีประกายแห่งการเลื่อนระดับของซือหม่าโยวเย่ว์ห่อหุ้มเอาไว้ หลังจากที่เธอได้สติกลับคืนมาจากความตื่นเต้นยินดีที่ได้เลื่อนระดับแล้วจึงค่อยสังเกตเห็นความแตกต่างไปจากปกตินี้

เธอยกหีบขึ้นมา ประกายแห่งการเลื่อนระดับเลือนหายไป ประกายอ่อนจางที่แผ่ออกมาจากหีบก็เลือนหายไปด้วย

เธอเปิดหีบออกอย่างสงสัยแล้วมองดูของสามสิ่งที่ไม่ได้มีความแตกต่างใดๆ ไปจากเดิมเลย

“ก็ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไปเลยนี่นา แล้วประกายเมื่อครู่นี้เปล่งออกมาจากของชิ้นไหนกันล่ะ”

……………………

Related

“หลังจากนี้ก็ขอรบกวนท่านอาจารย์เฟิงเป็นอย่างมากด้วยนะขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเฟิงจือสิงพลางเอ่ยขึ้น

ถึงแม้ว่าพฤติกรรมของท่านอาจารย์มู่ผู้นี้จะทำให้เธอไม่ชอบใจ แต่เธอก็รู้สึกว่าแต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่เคยเรียนในวิทยาลัยมาก่อนเลย ดังนั้นการเรียนกับนักเรียนใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนัก

“นี่คือกุญแจห้องเจ้า” เฟิงจือสิงยื่นกุญแจดอกหนึ่งส่งให้ซือหม่าโยวเย่ว์

“กุญแจหรือขอรับ”

ข้าต้องขอให้นักเรียนของข้าทั้งหมดมาพักค้างแรมอยู่ที่วิทยาลัย ข้ารู้ว่าท่านปู่ของเจ้าเป็นแม่ทัพพิทักษ์เมือง แต่ว่าเจ้าก็ต้องมาอาศัยอยู่ที่วิทยาลัยอยู่ดี ในยามปกติจะออกไปได้ แต่ตอนกลางคืนในเวลานอนนั้นจำเป็นจะต้องอยู่ในหอพัก เวลาที่ไม่ได้ออกปฏิบัติภารกิจ หนึ่งสัปดาห์จะกลับไปนอนที่บ้านได้หนึ่งวัน” เฟิงจือสิงพูดอธิบาย

ถึงแม้ว่าจะไม่ทราบเหตุผล แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยังเอออออย่างเชื่อฟัง

“เอาละ ตอนนี้เจ้ากลับไปได้แล้ว พรุ่งนี้ก็ไปจัดการย้ายข้าวของมาที่วิทยาลัยเสีย วันมะรืนพวกเราก็จะเริ่มชั้นเรียนอย่างเป็นทางการกันแล้วนะ” เฟิงจือสิงพูด

หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์คารวะคนทั้งสองแล้วก็กลับออกมา ในเมื่อตอนนี้ไม่ต้องเข้าเรียน เช่นนั้นเธอก็อาศัยจังหวะนี้กลับไปบำเพ็ญก็แล้วกัน แต่ก่อนกลับไปเธออยากจะคุยกับซือหม่าโยวเล่อสักหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าเธอยังไม่ทันจะไปถึงชั้นเรียนระดับสูงก็ถูกคนสกัดเอาไว้เสียแล้ว

“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าหยุดก่อน!”

ซือหม่าโยวเย่ว์เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นคนที่สกัดอยู่ด้านหน้าตน ซึ่งก็คือคนที่ทุบตีตนในวันนั้นนั่นเอง เธอจำได้ว่าในบรรดาผู้คนมากมายที่ทุบตีตนในวันนั้น คนผู้นี้เป็นคนที่ลงมือรุนแรงที่สุด เมื่อมองเห็นเขา เธอก็เหมือนจะมองเห็นภาพเหตุการณ์ที่เจ้าของร่างเดิมถูกพวกเขาทุบตีปางตาย สายตาของเธอเข้มขึ้นแล้วเอ่ยอย่างเยียบเย็นว่า “หลีกทาง”

ผู้ที่ขวางทางเธอเอาไว้ก็คือน่าหลานฉี คุณชายของตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ตระกูลน่าหลานก็เป็นตระกูลทรงอิทธิพลที่อาณาจักรเฟิงหมิงด้วยเช่นกัน บรรพบุรุษของพวกเขาเกือบจะไปถึงระดับจ้าววิญญาณแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้เห็นตระกูลซือหม่าอยู่ในสายตาแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าซือหม่าเลี่ยจะล้ำเลิศ แต่อย่างไรก็มีแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนตระกูลน่าหลันนั้นมีคนที่ฝีมือร้ายกาจอยู่กลุ่มใหญ่เลยทีเดียว!

สิ่งที่น่าหลานฉีกระทำต่อซือหม่าโยวเย่ว์ดึงดูดสายตาของผู้คนโดยรอบอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าทุกคนจะไม่กล้ายั่วยุซือหม่าโยวเย่ว์แต่ก็ชอบดูเรื่องวุ่นวาย เพราะล้อมวงชมดูอย่างไรก็มิอาจมาคิดบัญชีกับตนได้

น่าหลานฉีเห็นผู้คนมามุงดูมากมายเช่นนี้ก็หัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “ซือหม่าโยวเย่ว์ นี่เจ้าจะไปหามู่หรงอันอีกแล้วใช่หรือไม่ เจ้าคิดจะเกาะแกะเขาอีกแล้วหรือ หรือว่าคราวก่อนยังทุบตีเจ้าไปไม่มากพออีก ข้าสงสัยนักว่าทำไมเจ้าจึงได้หน้าด้านหน้าทนถึงเพียงนี้ เป็นบุรุษคนหนึ่งอยู่ชัดๆ แต่กลับตอแยหรงอันไม่ยอมเลิกรา! ช่างเป็นคนไร้ยางอายโดยแท้!”

คำพูดของน่าหลานฉีทำให้คนที่คอยดูเรื่องสนุกอยู่รอบๆ พากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในทันใด แต่ละคนมองซือหม่าโยวเย่ว์ แสดงเจตนาเย้ยหยันอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์มองน่าหลานฉี นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความโกรธเกรี้ยว

น่าหลานฉีไม่ได้ถูกสายตาของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้ชะงักงันแต่อย่างใด เขาให้คนยกม้านั่งตัวหนึ่งมาให้ตนแล้วก้าวขาขึ้นไปบนนั้นข้างหนึ่งก่อนจะพูดว่า “วันนี้เจ้าอยากจะผ่านไปก็ได้นะ มา ข้ามผ่านตรงนี้ไปสิ แล้วข้าจะไม่ขวางทางเจ้าอีกเลย”

เขาพูดแล้วก็ชี้ท่อนขาของตน

ซือหม่าโยวเย่ว์มองน่าหลานฉี ไม่เอ่ยวาจา เพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิมเท่านั้น ถ้าหากเป็นคนในชาติก่อนก็จะรู้แล้วว่าท่าทีของเธอในตอนนี้คือเริ่มโมโหแล้ว

“ว่าอย่างไรเล่า ไม่ปีนใช่หรือไม่ ไม่อยากทำหรือว่าไม่กล้ากันเล่า ช่างใจเสาะเสียจริง คิดว่าแม่ทัพซือหม่าที่เขาพูดกันก็คงเป็นคนไม่ได้เรื่องได้ราวเหมือนกันแน่ๆ เลยสินะ! ฮ่าๆๆ…อ๊าก!”

น่าหลานฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์หมายจะเย้ยหยันเธอสักรอบหนึ่ง ทว่าคิดไม่ถึงว่าเธอจะวิ่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน มือหนึ่งคว้าเสื้อผ้าของเขาแล้วดึงลงไปพร้อมกับยกเท้าขึ้นเตะส่วนล่างของร่างกายเขาอย่างหนักหน่วง ทำให้เขาส่งเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด ก่อนที่ร่างจะถูกโยนลงบนพื้น

ใครก็มิอาจคาดเดาได้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะตอบสนองอย่างฉับพลัน นอกจากนี้ทุกคนต่างก็ไม่ทันรู้ตัวว่าเธอไปถึงตัวน่าหลานฉีได้อย่างไร จนกระทั่งตอนที่เธอตอบโต้เสร็จ น่าหลานฉีก็ถูกทำร้ายจนลงไปกองอยู่กับพื้นเรียบร้อยแล้ว

เดิมทีคิดว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะจบเรื่องลงเช่นนี้ แต่เธอกลับใช้เท้าหนึ่งเหยียบบนร่างน่าหลานฉีพร้อมดึงมือขวาของเขามาด้านหลัง ได้ยินเพียงเสียงกร๊อบครั้งหนึ่ง ก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องแหลมดังก้องสะท้อนทั่ววิทยาลัย

“คุณชาย วันนี้ไม่มีเวลามาเล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้ว คราวหน้าอย่าได้มาปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก ไม่อย่างนั้นก็คอยดูเจ้าพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าได้เลย!“ ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวลงมาจากร่างน่าหลานฉีอย่างมั่นคง ก่อนจะเตะเขาแรงๆ สองครั้ง จากนั้นก็หมุนกายจากไป

ทุกคนต่างพากันตื่นตะลึงเพราะการกระทำของซือหม่าโยวเย่ว์ นี่คือซือหม่าโยวเย่ว์ที่เล่าลือกันว่าใจเสาะอ่อนแอและเอาแต่หลงใหลไม่ลืมหูลืมตาผู้นั้นจริงๆ น่ะหรือ

ความโกลาหลหน้าชั้นเรียนระดับสูงแพร่ไปทั่ววิทยาลัยอย่างรวดเร็ว ทุกคนล้วนไม่กล้าเชื่อหูของตัวเอง ถ้าหากไม่ใช่เพราะคนเหล่านั้นยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริงๆ ย่อมไม่มีใครกล้าเชื่อเลยแม้แต่คนเดียวแน่นอน

ในอาคารสูงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล คนสองคนกำลังมองดูความเคลื่อนไหวทางนี้ หนึ่งในนั้นก็คือเฟิงจือสิงที่ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นก่อนหน้านี้นี่เอง

“ช่างเป็นเจ้าเหมียวน้อยที่ร้ายกาจเสียจริง!” เฟิงจือสิงเห็นการกระทำเมื่อครู่ของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็อมยิ้มพูดขึ้น ทว่าในใจกลับบีบรัดแน่น ลูกเตะเมื่อครู่นั้นช่างเจ็บปวดจริงๆ!

“เหตุใดเจ้าจึงยอมให้นางไปที่ชั้นเรียนของเจ้าเล่า” คนที่อยู่ข้างกายเฟิงจือสิงเอ่ยถาม

“ก็ตามความรู้สึกน่ะขอรับ” เฟิงจือสิงพูด “ท่านว่าเขาแตกต่างจากที่เขาเล่าลือกันหรือไม่ โจมตีคนด้วยความเร็วขนาดนั้น จุ๊ๆ ข้าอัศจรรย์ใจในตัวเขายิ่งนัก นอกจากนี้ตอนที่มองเห็นข้า เขาก็มิได้มีท่าทีลุ่มหลงเลยแม้แต่น้อย”

“ตามใจเจ้าก็แล้วกัน ตั้งแต่ที่ข้าหาตัวเจ้ามา ก็ยกให้เจ้าตัดสินใจเรื่องราวเหล่านั้นทั้งหมดอยู่แล้วล่ะ” คนผู้นั้นพูด

“ท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านไว้ใจข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือขอรับ ไม่กลัวว่าข้าจะสอนเด็กกลุ่มนั้นได้ย่ำแย่เลยหรือ” เฟิงจือสิงมองคนผู้นั้นอย่างมิได้มีความลึกซึ้งใดๆ

“มีอะไรให้กลัวกันเล่า ข้ายังไม่รู้จักเจ้าดีอีกหรือไร” ท่านอาจารย์ใหญ่ผละออกมาจากหน้าต่างแล้วนั่งกลับลงบนที่นั่งของตน เมื่อครู่เขากำลังสนทนาเรื่องราวอยู่กับเฟิงจือสิง ก็ถูกเขาเรียกไปดูฉากที่ซือหม่าโยวเย่ว์ทุบตีผู้อื่น

“ฮ่าๆ ท่านไม่กลัว ข้าก็ไม่กลัวแล้วละ ข้าขอตัวไปดูก่อนแล้วกันว่าเป็นเด็กร้ายกาจกลุ่มไหนกันที่ตกมาอยู่ในกำมือข้า” เฟิงจือสิงพูด

“ชั้นเรียนของเจ้าเป็นกลุ่มเด็กที่ล้วนแต่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดในคราวนี้ เจ้าก็ผ่อนคลายลงสักหน่อยเถิด”

“อืม ข้าจะพยายาม ข้าจะทำให้ช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ที่นี่ยากลืมเลือนเลยทีเดียว!” เฟิงจือสิงพูดจบแล้วก็ออกไปจากห้องทำงานของท่านอาจารย์ใหญ่

หน้าห้องเรียน หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์เตะน่าหลานฉีไปสองทีแล้วก็ไปหาซือหม่าโยวเล่อ ยังไม่ทันไปถึงห้องเรียนก็เห็นซือหม่าโยวเล่อพุ่งตัวออกมาจากในห้องเรียน แม้ซือหม่าโยวเย่ว์จะอยู่ตรงหน้าเขาแล้วก็ยังมองไม่เห็น

“ท่านพี่สี่ ท่านจะไปไหน” ซือหม่าโยวเย่ว์มือไวตาไวคว้าตัวเขาเอาไว้ได้

“เย่ว์เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่ได้เล่า” ซือหม่าโยวเล่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็เอ่ยอย่างตกใจ

“ข้ามาหาท่านอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “ท่านรีบวิ่งถึงเพียงนี้ จะไปไหนหรือ”

“ข้าได้ยินว่าเจ้ามีเรื่องขัดแย้งกับน่าหลานฉีอยู่ที่ข้างหน้านี่ ทั้งยังตีกันอีกด้วย กำลังคิดจะไปดูอยู่พอดีว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่” ซือหม่าโยวเล่อพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะอย่างเบิกบานใจแล้วพูดว่า “ท่านพี่สี่ ท่านวางใจเถิด ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ข้าตีน่าหลานฉีอย่างสาหัสไปยกหนึ่งน่ะ”

“จริงหรือ”

“แน่นอนอยู่แล้ว! ท่านไม่เห็นหรือว่าข้าอยู่ที่นี่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เช่นนั้นก็ดี” ซือหม่าโยวเล่อถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่”

“อ้อ ข้าจะมาบอกท่านเรื่องหนึ่งน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เล่าเรื่องที่ตนถูกลดชั้นและเรื่องที่ตนต้องค้างคืนที่นี่ให้ซือหม่าโยวเล่อฟัง จากนั้นก็พูดว่า “ข้าคิดว่าจะกลับไปบอกท่านปู่สักหน่อย แล้วพรุ่งนี้ค่อยย้ายมาที่วิทยาลัย”

………………

Related

เช้าวันรุ่งขึ้น ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งบนรถเทียมสัตว์อสูรไปยังวิทยาลัย รถเทียมสัตว์อสูรนี้มีความคล้ายคลึงกับรถเทียมม้าในชาติก่อนอยู่พอสมควร เพียงแต่ว่าสัตว์ที่ใช้ลากรถนั้นมีเป็นร้อยเป็นพันชนิด ไม่ได้มีแค่ม้าเพียงชนิดเดียว

 

รถที่ซือหม่าเลี่ยเตรียมให้ซือหม่าโยวเย่ว์ก็คือรถเทียมหมาป่า ที่ลากรถอยู่ข้างหน้าก็คือหมาป่าพายุองอาจสง่างามสี่ตัว ทุกตัวล้วนเป็นสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นห้าทั้งสิ้น

 

คนทั่วไปแค่อยากทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำ ยังถือเป็นเรื่องที่ต่อให้ร้องขอก็มิอาจไขว่คว้า แต่พออยู่กับซือหม่าโยวเย่ว์แล้วกลับกลายเป็นสัตว์อสูรวิเศษลากรถ ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมากตลอดทาง

 

“ท่านพี่สี่ แล้วท่านพี่สามเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูรถม้าอันใหญ่โตมโหฬารที่มีเพียงแค่เธอกับซือหม่าโยวเล่อสองคนเท่านั้นแล้วก็ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

 

“วันนี้ท่านพี่สามจะออกปฏิบัติภารกิจกับเพื่อนร่วมชั้นของเขา ก็เลยออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้ว” ซือหม่าโยวเล่อเอ่ยตอบ

 

“ออกปฏิบัติภารกิจหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าโยวเล่ออย่างสงสัย นี่เป็นการบอกอย่างชัดเจนว่าตนไม่เข้าใจเลย!

 

เดิมทีซือหม่าโยวเล่อกำลังอ่านหนังสืออยู่ เขาปิดหนังสือลงแล้วเอ่ยว่า “วิทยาลัยมิใช่สถานที่ที่เอาไว้สำหรับศึกษาทฤษฎีเท่านั้น ยังอาจจะมอบหมายภารกิจบางอย่างให้กับนักเรียนได้อีกด้วย เพื่อยกระดับประสบการณ์จริงให้กับพวกเรา และอ้างอิงจากพลังยุทธ์ที่ไม่เท่ากัน ความยากของภารกิจนี้ก็อาจจะไม่เท่ากันด้วย คราวนี้พวกพี่ใหญ่ออกไปนอกเมือง คาดว่าต้องใช้ระยะเวลานานพอดูทีเดียวจึงจะกลับมาได้”

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ดูท่าทางชีวิตในวิทยาลัยแห่งนี้ก็คงจะไม่น่าเบื่อแล้วสินะ!

 

“ใช่แล้ว เมื่อวานข้าลืมบอกเจ้าไปเลย เมื่อวานและวันนี้เป็นวันคัดเลือกนักเรียนใหม่ของวิทยาลัย ถ้าหากเจ้าสนใจก็ไปดูได้นะ แต่เช้านี้ข้าต้องอยู่กับอาจารย์ เกรงว่าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้ ถ้าหากเจ้าอยากไป วันนี้ตอนบ่ายข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าดีไหม” ซือหม่าโยวเล่อพูด

 

“ไม่ต้องหรอก ถ้าท่านมีธุระก็ไปทำเถิด ถ้าหากข้าสนใจ ข้าไปเองก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าพลางเอ่ยปฏิเสธ

 

เธอรู้ว่าซือหม่าโยวเล่อกลัวว่าตนจะเบื่อหน่ายอยู่ในวิทยาลัยคนเดียวหรืออาจถูกรังแก แต่เธอย่อมไม่อาจให้พี่ชายของตนอยู่เป็นเพื่อนตนได้ตลอดทุกวันอยู่แล้ว คนที่โตขนาดนี้ก็ควรเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าภายในยังเป็นคนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วอีกด้วย

 

“เย่ว์เอ๋อร์โตแล้วจริงๆ สินะ!” ซือหม่าโยวเล่อมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างชื่นชม

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกคำพูดของซือหม่าโยวเล่อทำให้อับจนคำพูดอยู่บ้าง เขาดูเหมือนว่าจะโตกว่าตนเพียงแค่สามปีเท่านั้น แต่พูดเสียราวกับว่าโตกว่าเธอมากมายอย่างนั้นแหละ! เพื่อมิให้การกลอกตาของตนถูกพบเห็น เธอจึงดึงม่านหน้าต่างเปิดออกดูบรรยากาศภายนอก ก็พบว่าบนถนนใหญ่มีผู้คนผ่านไปมาคลาคล่ำ คึกคักไม่น้อยเลยทีเดียว ซือหม่าโยวเล่อบอกว่านี่เป็นเพราะการสมัครเข้าเรียนวิทยาลัยเป็นเหตุ ทุกครั้งเมื่อถึงวันสมัครเข้าวิทยาลัย เมืองหลวงก็จะคึกคักเป็นพิเศษเสมอ

 

รถเทียมสัตว์อสูรพาพวกเขามาถึงยังวิทยาลัย ซือหม่าโยวเล่อพาซือหม่าโยวเย่ว์มาส่งถึงห้องเรียน เมื่อตรวจสอบครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเธอไม่มีปัญหาอันใดแน่แล้วจึงค่อยจากไป

 

การปรากฏตัวของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้ชั้นเรียนที่อึกทึกครึกโครมเงียบงันลงมาในทันใด ตามมาด้วยเสียงโห่ดังสนั่น ทั้งยังมีเสียงเยาะหยันจำนวนหนึ่งอีกด้วย

 

“คนไร้ค่ามาโผล่ในชั้นเรียนได้อย่างไรกันนี่”

 

“ฮ่าๆ หรือเป็นเพราะได้ยินว่าคราวนี้มีบุรุษรูปงามมากันหลายคน เขาก็เลยเตรียมตัวไปวิงวอนผู้อื่นอีกแล้วสินะ”

 

“ได้ยินว่าคราวก่อนเขาไปลวนลามคุณชายมู่หรงอานจนถูกผู้ติดตามของเขาตีจนปางตายเลยทีเดียว”

 

“มิน่าเล่าถึงไม่เห็นเขาเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าประตูวิทยาลัยมาเนิ่นนานแล้ว ที่แท้ก็กลับไปรักษาอาการบาดเจ็บนี่เอง! ”

 

“คนเช่นเขานี้ก็สมควรถูกตีเสียให้ตายนั่นแหละ! คนไร้ค่าที่ไร้ประโยชน์ผู้หนึ่ง หากมิใช่เพราะมีท่านปู่คอยคุ้มกะลาหัวแล้วเขาจะมาเชิดหน้าชูคออยู่เช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

 

“…”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินวาจาเหล่านี้แล้วในใจก็ส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นเสียงหนึ่งพลางแอบจดจำพวกเขาเอาไว้อย่างเงียบๆ  เธอเห็นว่าแถวหลังสุดของชั้นเรียนมีที่นั่งว่างอยู่ที่หนึ่ง จึงเดินตรงไปนั่งลงที่นั่น หลังจากนั้นก็หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง

 

อันที่จริงแล้วหากพูดถึงเจ้าของร่างเดิม นางก็ไม่เลวเลยทีเดียว ที่ไม่ชอบเรียนหนังสือก็เป็นเพราะว่านางไม่อาจบำเพ็ญได้ ย่อมมิได้มีความสนใจในเรื่องเกี่ยวกับการบำเพ็ญเหล่านี้เลย

 

นางชมชอบบุรุษรูปงาม นี่ก็ไม่มีอะไรให้ตำหนิ เพราะเดิมทีนางก็เป็นสตรี เพียงแต่ว่าความชอบนี้กลับกลายมากเกินจะควบคุม จึงทำให้ผู้อื่นรับไม่ได้ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ นางที่มาจากครอบครัวที่บารมีสูงส่งก็มิได้ข่มเหงรังแกผู้คน อีกทั้งยังมิได้พาลูกน้องไปเกะกะระรานเหมือนกลุ่มอันธพาลบางกลุ่ม

 

ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์มาเข้าเรียนอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อเห็นเธอมิได้โต้ตอบเลยแม้แต่น้อย ทุกคนก็เริ่มหมดความสนใจแล้วเปลี่ยนหัวข้อไปเป็นเรื่องรับนักเรียนใหม่เข้ามาในสองวันนี้แทน

 

แต่ว่าก็มีผู้ที่ให้ความสนใจกับเรื่องของเธอมากกว่าเรื่องอื่นใดแล้วนำเรื่องที่เธอมายังวิทยาลัยไปแพร่ เพียงไม่นานทุกคนต่างก็รู้กันทั่วว่าคนไร้ค่าอันดับหนึ่งที่เคยมาที่วิทยาลัยแค่วันแรกวันเดียว มายังวิทยาลัยอีกแล้ว!

 

ที่ศาลาริมทะเลสาบของวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คนหลายคนนั่งล้อมวงวิพากษ์วิจารณ์กันเรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์มายังวิทยาลัย

 

“มู่หรง คนไร้ค่าผู้นี้มิได้จะมาเกาะแกะเจ้าอีกแล้วหรือ” มีคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมู่หรงอานที่อยู่ตรงกลางพูดขึ้น

 

มู่หรงอานผู้นี้ก็มีรูปโฉมน่ามองจริงๆ เสียด้วย ถ้าหากอยู่ในยุคปัจจุบันก็ต้องเป็นดาราดังเลยทีเดียว เขาสวมเสื้อผ้าสีขาวตลอดร่าง ดูแล้วออกจะเหนือจริงอยู่บ้าง  เมื่อนึกถึงสิ่งที่พวกเขาพูดแล้วคิ้วกระบี่ก็อดขมวดมุ่นมิได้

 

“ใช่เลย ข้าก็รู้สึกเช่นกัน มิใช่ว่าเจ้าคนไร้ค่าผู้นี้เห็นว่าช่วงนี้เจ้าไม่ค่อยได้ออกไปนอกวิทยาลัยสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงวิ่งเข้ามาหาเจ้าในวิทยาลัยเสียเองหรอกหรือ”

 

“คราวก่อนทุบตีเช่นนั้นไปยกหนึ่ง ยังคิดว่าเขาอาจจะให้คนบ้านเขามาแก้แค้นก็ได้ คิดไม่ถึงว่ารอคอยมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้วแต่กลับยังไม่มีความเคลื่อนไหวอันใดๆ”

 

หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกายมู่หรงอานก็คือคนเดียวกันกับที่ยืนดูซือหม่าโยวเย่ว์ถูกทุบตีอยู่กับมู่หรงอานในตอนนั้นนั่นเอง เมื่อได้ยินว่าซือหม่าโยวเย่ว์กลับมายังวิทยาลัยอีกครั้งก็อดถามขึ้นมามิได้ว่า “มู่หรง ถ้าหากเขามาเกาะแกะเจ้าอีกจะทำเช่นไรเล่า”

 

มู่หรงอานเอื้อมมือมากุมมือของหญิงสาวพลางเอ่ยว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่มีทางปล่อยให้เขามีโอกาสทำเช่นนั้นหรอก”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่ในชั้นเรียนครู่หนึ่งแล้วก็ถูกเรียกตัวไปยังห้องทำงานของท่านอาจารย์มู่ ตอนที่เธอเข้าไปก็เห็นท่านอาจารย์มู่กำลังดื่มชาอยู่กับคนที่หล่อเหลางามสง่า อายุอานามไม่มากนักผู้หนึ่งอยู่ อาภรณ์สีขาวบนร่างของเขาทำให้คนเกิดความรู้สึกว่าได้แต่ดูอยู่ห่างๆ แต่มิอาจล่วงเกินได้ขึ้นมา

 

เมื่อเห็นเธอเดินเข้าไป นัยน์ตาของท่านอาจารย์มู่ก็ฉายแววรังเกียจออกมา แต่หลังจากนั้นกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “ซือหม่าโยวเย่ว์ ท่านนี้คือเฟิงจือสิง อาจารย์ของนักเรียนเข้าใหม่”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์คารวะเฟิงจือสิงคราหนึ่งพลางเอ่ยเรียก “ท่านอาจารย์เฟิง”

 

เฟิงจือสิงหมุนกายมามองซือหม่าโยวเย่ว์ บนใบหน้ามิได้ฉายแววรังเกียจหรือไม่พอใจเลยแม้แต่น้อยแล้วเอ่ยว่า “เจ้าก็คือซือหม่าโยวเย่ว์อย่างนั้นหรือ ต่อจากนี้ไปก็จะต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ดีนะ ไม่อย่างนั้นอาจารย์ก็จะลงโทษเจ้าเช่นเดียวกัน”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกวาจาของเฟิงจือสิงทำให้สับสนอยู่บ้าง เธอมองเฟิงจือสิงและท่านอาจารย์มู่อย่างสงสัย

 

“แค่กๆ คือว่าอย่างนี้นะ เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรเจ้าก็ไม่เคยเข้าเรียนมาก่อนเลย คิดว่าเจ้ามาเข้าเรียนตอนนี้ก็คงจะเรียนตามผู้อื่นมิทัน ดังนั้นข้าก็เลยไปพบท่านอาจารย์ใหญ่แล้วพูดคุยกันรอบหนึ่ง พอดีกับที่วันนี้มีการคัดเลือกนักเรียนใหม่ ก็เลยจะให้เจ้าไปเรียนพร้อมกันกับนักเรียนใหม่เลยแล้วกัน เช่นนี้จะเป็นการดีกับเจ้ามากกว่า ดังนั้นต่อจากนี้ไปเจ้าก็คือนักเรียนของท่านอาจารย์เฟิงแล้วล่ะนะ” ท่านอาจารย์มู่พูดอธิบาย

 

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูท่าทีที่เต็มไปด้วยการคิดแทนนางของท่านอาจารย์มู่ ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามปกปิดอย่างสุดกำลัง แต่ว่าเธอก็ยังคงมองเห็นความยินดีในดวงตาเขาอยู่ดี

 

เขารู้สึกมาตลอดว่าการมีสุดยอดคนไร้ค่าอยู่ในชั้นเรียนของเขานั้นช่างเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง ในที่สุดตอนนี้ก็ได้ส่งตัวเขาออกไปแล้ว ในใจก็โห่ร้องยินดีเสียงดังลั่น ต้องรู้เอาไว้ว่าคนอย่างเขา มีนักเรียนที่เป็นคนไร้ค่าอยู่คนหนึ่ง ช่างเป็นเรื่องน่าอายยิ่งนัก! ก็มีเพียงคนที่อาจารย์ใหญ่ไปหามาจากไหนไม่รู้เช่นนี้เท่านั้นจึงจะรับนักเรียนเช่นนี้คนหนึ่งไปได้

 

………………………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูหีบตรงหน้าตนด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้างว่าด้านในจะเป็นสิ่งของใด แต่ในใจกลับมีความลังเลอยู่บ้าง ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่ได้เปิดมันออก คล้ายกับว่าเมื่อเธอเปิดสิ่งนี้ออกมาแล้วจะต้องเดินบนเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับมาได้อีกอย่างไรอย่างนั้น

“เอาละ ในเมื่อเป็นสิ่งที่ท่านพ่อทิ้งเอาไว้ให้ จะไม่เปิดดูก็คงไม่ได้หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบหีบขึ้นมาแล้วเปิดสลักด้านบนก่อนจะออกแรงเปิดหีบออก

ภายในหีบมีแหวนที่มีกลิ่นอายโบราณวงหนึ่ง กระดาษหนังวัวแผ่นหนึ่ง และยังมีก้อนหินสีดำขลับอีกก้อนหนึ่งวางอยู่อย่างเงียบๆ เธอหยิบกระดาษหนังวัวขึ้นมาแล้วเปิดออกดู มันคล้ายกับแผนที่ของสถานที่แห่งหนึ่ง บนนั้นมีเส้นทางและสถานที่ตั้งของบ้านวาดอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ซือหม่าโยวเย่ว์มองแล้วมองอีกก็ยังไม่เห็นร่องรอยอะไรในนั้นเลย จากนั้นเธอก็วางสิ่งนี้กลับลงไปในหีบ กลับเห็นซองจดหมายอันหนึ่งวางอยู่ตรงที่เคยวางกระดาษหนังวัว

“นี่มันอะไรกัน”

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบซองจดหมายขึ้นมาแล้วก็เห็นว่าด้านบนเขียนว่า ‘ถึงบุตรสาวของข้าเท่านั้น’ เธอเปิดซองจดหมายออกแล้วก็เห็นว่าด้านในมีกระดาษบางๆ อยู่แผ่นหนึ่ง เธอจึงเปิดออกดู

หลังจากที่อ่านเนื้อความในจดหมายทั้งหมดอย่างรวดเร็วแล้วสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

เนื้อความในจดหมายไม่ยาวนัก พอซือหม่าโยวเย่ว์อ่านจบแล้วจึงวางจดหมายลงก่อนจะหยิบแหวนกลิ่นอายโบราณวงนั้นขึ้นมา ในจดหมายบอกว่าแหวนวงนี้คือสัญลักษณ์ประจำตระกูล เป็นแหวนเก็บวัตถุที่หาได้ยากยิ่ง นอกนั้นก็มิได้พูดอะไรมากมาย ถ้าหากนี่เป็นสิ่งที่สืบทอดกันลงมาภายในตระกูลจริงๆ แล้วเหตุใดซือหม่าเลี่ยจึงไม่รู้เล่า เธอรู้สึกว่าชาติกำเนิดของตนจะต้องมิได้เป็นอย่างที่เห็นอยู่ในตอนนี้แน่นอน

เธอวางแหวนลง ตอนนี้เธอยังไม่มีพลังวิญญาณ ย่อมไม่อาจหยดโลหิตแสดงความเป็นเจ้าของได้

เธอเคลื่อนนิ้วมือผ่านกระดาษหนังวัวแล้วก็ชะงัก ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย บิดาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายโลหิตบอกว่านี่คือแผนที่ของสถานที่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ห้ามให้ผู้อื่นรู้เป็นอันขาดว่าอยู่กับตน

กระดาษหนังวัวนี้ดูเก่าคร่ำคร่าอยู่พอสมควร จะต้องอยู่มาเป็นเวลานานอย่างแน่นอน แต่กลับดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่าแผนที่บนนั้นเป็นแผนที่ของสถานที่แห่งใด นอกจากนี้ยังไม่มีคำใบ้ใดๆ เลยแม้แต่น้อยอีกด้วย

“ก็แค่กระดาษขาดๆ แผ่นหนึ่ง บิดาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายโลหิตเอ๋ย อย่างน้อยท่านก็ควรจะบอกข้าสักหน่อยสิว่านี่มันเป็นแผนที่ของที่ไหนกัน ไม่อย่างนั้นข้าเอามาแล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ ไม่รู้ว่าบิดาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายโลหิตจะทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ไปทำไมกัน

สุดท้ายเธอก็หยิบก้อนหินสีดำสนิทขึ้นมาวางบนอุ้งมือแล้วมองดูอย่างละเอียด ก็ยังมองไม่ออกเลยแม้แต่น้อยถึงความเป็นวัตถุเทพโบราณที่เขียนบอกในจดหมาย

“ดูดำสนิทเหมือนตุ้มน้ำหนักอันหนึ่ง เป็นวัตถุเทพโบราณจริงๆ น่ะหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์กะน้ำหนักดูแล้วเอ่ยว่า “บิดาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายโลหิตบอกว่าวัตถุเทพโบราณนี้จะแสดงความเป็นเจ้าของได้ก็ต้องได้รับการยอมรับจากมันก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเราทั้งสองไม่เข้ากัน ดังนั้นข้าจึงยังไม่พบข้อดีของเจ้าเลย”

ซือหม่าโยวเย่ว์วางก้อนหินกลับลงไป จากนั้นก็เก็บหีบขึ้น เตรียมตัวบำเพ็ญ ขอเพียงแค่กลายเป็นผู้ฝึกวิญญาณ เธอก็จะหยดโลหิตแสดงความเป็นเจ้าของกับแหวนเก็บวัตถุได้แล้ว ถึงตอนนั้นเธอก็จะได้เห็นว่าภายในยังมีอะไรอยู่อีกบ้าง เธอยังมีความสนใจใคร่รู้ต่อแหวนที่ท่านพ่อทิ้งเอาไว้ให้วงนี้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว

เธอลูบคลำแหวนมนตร์บนนิ้ว หัวใจบอกว่าแหวนเก็บวัตถุนี้ช่างยุ่งยากนัก จะต้องบำเพ็ญแล้วจึงจะแสดงความเป็นเจ้าของได้ ถ้าหากเป็นเหมือนแหวนมนตร์นี้ได้ก็ดีน่ะสิ!

เวลาผ่านไปหนึ่งวัน เธอก็ยังไม่อาจดูดซับปราณวิญญาณเหล่านั้นเข้าไปในร่างกายได้ แต่ใช้เวลารับสัมผัสปราณวิญญาณมาตลอดหนึ่งวัน คราวนี้เธอสังเกตอย่างละเอียดรอบหนึ่ง สิ่งที่เธอรับสัมผัสได้นั้นเป็นจุดแสงที่มีครบทุกสีจริงๆ เพียงแต่ว่ามีบางสีที่มากหน่อย บางสีน้อยหน่อยเท่านั้นเอง จุดแสงเหล่านั้นเริงระบำอยู่รอบกายไม่หยุดคล้ายกับว่าสามารถสัมผัสถึงซือหม่าโยวเย่ว์ได้ด้วย ดูราวกับว่าอยากจะเจาะเข้ามาในร่างกายเธออย่างไรอย่างนั้น

ก่อนมื้ออาหารเย็น ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ออกจากการเพ่งสมาธิ คาดว่าคงใกล้ถึงเวลาแล้ว ตอนนี้พี่ชายทั้งหลายก็น่าจะกลับมาเรียบร้อยแล้ว

“คุณชายเจ้าคะ คุณชายสี่กลับมาแล้ว กำลังรอท่านอยู่ที่โถงรับแขกเจ้าค่ะ” อวิ๋นเย่ว์พูดอยู่นอกประตู

“ข้ารู้แล้ว บอกเขาทีนะว่าข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วออกคำสั่งกับอวิ๋นเย่ว์

“เจ้าค่ะ” อวิ๋นเยว่รับคำเสียงหนึ่งแล้วก็จากไป

ซือหม่าโยวเย่ว์วางหีบเอาไว้ใต้หมอน เธอที่กำลังรีบร้อนออกไปมิได้สังเกตเห็นเลยว่าภายในหีบเปล่งประกายออกมาจำนวนหนึ่ง

“ท่านพี่สี่ ท่านกลับมาแล้วหรือ” พอซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงโถงรับแขกแล้วก็เห็นซือหม่าโยวเล่อกำลังดื่มชาอยู่ที่นั่น

ซือหม่าโยวเล่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามาจึงวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยว่า “ข้ามาเรียกเจ้าไปกินข้าวน่ะ”

“ท่านให้เด็กมาเรียกข้าสักคำหนึ่งก็พอแล้ว ทำไมต้องอุตส่าห์มาถึงนี่ด้วยตัวเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเขาบอกว่ามาเพื่อเรียกตนไปกินข้าว จึงไม่เดินเข้าไปด้านในอีกแล้วยืนพูดอยู่ตรงหน้าประตูว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเดี๋ยวนี้เลยเถอะ”

ซือหม่าโยวเล่อลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังลานบ้านพร้อมนางพลางเอ่ยว่า “ที่ข้ามาเพราะยังมีอีกเรื่องหนึ่งอยากจะบอกเจ้าด้วย”

“อะไรหรือ”

“ท่านอาจารย์มู่บอกว่าถ้าหากพรุ่งนี้เจ้ายังไม่ไปที่วิทยาลัยอีก ก็จะให้อาจารย์ใหญ่ไล่เจ้าออกแล้วนะ ต่อให้เป็นองค์จักรพรรดิมาขอร้องให้ก็ไม่มีทางให้เจ้าเข้าเรียนอีกต่อไปแล้ว” ซือหม่าโยวเล่อพูด

“ท่านอาจารย์มู่หรือ เป็นท่านอาจารย์มู่คนไหนกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตาปริบๆ แล้วมองซือหม่าโยวเล่ออย่างสงสัย

เห็นท่าทีเช่นนั้นของซือหม่าโยวเย่ว์ ซือหม่าโยวเล่อก็ตบศีรษะของเธอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ก็คืออาจารย์ประจำชั้นของพวกเจ้าอย่างไรเล่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงอาจารย์ประจำชั้นขึ้นมา ก็เหมือนกับครูประจำชั้นในชาติก่อนนั่นแหละ ที่นอกจากจะสอนหนังสือแล้วยังต้องคอยดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ภายในชั้นเรียนอีกด้วย

ซือหม่าโยวเล่อมองดูท่าทีเงียบงันของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็คิดว่านางไม่อยากไป จึงเอ่ยว่า “แต่ถ้าเจ้าไม่อยากไป พรุ่งนี้ข้าจะไปพูดกับท่านอาจารย์มู่ให้เอง เพียงแต่ว่าเช่นนั้นแล้วต่อจากนี้ไปเจ้าจะไปที่วิทยาลัยอีกมิได้แล้วนะ”

“ไม่ต้องหรอก พรุ่งนี้ข้าจะไปเรียนพร้อมกันกับท่าน” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยพลางส่ายหน้า

ก่อนหน้านี้เธอไม่อาจบำเพ็ญได้ ดังนั้นเธอจึงไม่ชอบไปอ้อยอิ่งอยู่ที่โรงเรียน แต่ตอนนี้เธอบำเพ็ญได้แล้ว สองวันมานี้ก็ค้นพบสิ่งที่ศึกษาได้มากพอสมควร ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะค่อนข้างกระชั้นชิดอยู่บ้าง แต่ว่าก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่โตอะไรเลย

ต่อจากนั้น ตอนที่กินอาหารค่ำ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็บอกเรื่องที่จะไปวิทยาลัยกับซือหม่าเลี่ย ซือหม่าเลี่ยเองก็รู้สึกว่าตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์บำเพ็ญได้แล้ว ให้ไปเรียนที่วิทยาลัยก็ถือเป็นเรื่องดีทีเดียว จึงพยักหน้าเห็นด้วย

ขณะนี้เอง พวกซือหม่าโยวฉีทั้งสี่คนจึงได้รู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์บำเพ็ญได้แล้ว แต่ละคนพากันยินดีกับนาง

หลังกินอาหารค่ำเสร็จซือหม่าโยวเย่ว์ก็กลับไปเพ่งสมาธิต่อในห้องของตน แต่คราวนี้เธอไม่เพียงแค่รับสัมผัสจุดแสงเหล่านั้นเท่านั้น แต่ยังทดลองดูดซับจุดแสงเหล่านั้นเข้าไปในร่างกายตนอีกด้วย

ในตอนแรกจุดแสงเหล่านั้นก็ยังต้านทานแรงดึงดูดของเธออยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นไม่นานจุดแสงจุดแรกก็เข้าสู่ร่างกายของเธอ จากนั้นเส้นลมปราณของเธอก็มาถึงยังบริเวณท้องของเธอ แล้วก็หยุดลงตรงท้องของเธอในท้ายที่สุด

มีจุดแรก ก็มีจุดที่สอง จากนั้นก็มีจุดแสงเข้าสู่ร่างกายเธออย่างต่อเนื่อง แล้วก็คงอยู่ในร่างของเธอ

ในขณะเดียวกันกับที่เธอบำเพ็ญอยู่นั้นเอง หีบที่วางอยู่ใต้หมอนของเธอก็เปล่งประกายหลากสีอีกครั้ง ภายใต้ประกายอันระยิบระยับ จุดแสงเหล่านั้นก็ยิ่งมารวมตัวกันอยู่รอบกายซือหม่าโยวเย่ว์มากยิ่งขึ้นแล้วถูกเธอดูดซับเข้าไปภายในร่างกายในที่สุด

มาถึงครึ่งคืนหลัง ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ออกมาจากสภาวะบำเพ็ญ เพราะว่าวันรุ่งขึ้นต้องไปเรียน เธอจึงต้องหยุดเพื่อพักผ่อน เมื่อเธอหยุด ประกายภายในหีบก็หายลับไปเช่นเดียวกัน ทั้งหมดทั้งมวลคล้ายกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นเลยอย่างไรอย่างนั้น…

………………………

Related

“มีครบทุกสีเลยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็คือพหุธาตุแล้วล่ะ!” ซือหม่าเลี่ยพูด “แต่ว่ากันว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาหลายแสนปีแล้วนะ ถ้าหากมีคนเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้เลยว่าจะก่อให้เกิดความโกลาหลเช่นไรขึ้นมาบ้าง! ใช่แล้ว เย่ว์เอ๋อร์ เหตุใดวันนี้เจ้าจึงอยากถามเรื่องเหล่านี้กับข้าขึ้นมาเล่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังวาจาของซือหม่าเลี่ยแล้ว เดิมทีคิดจะบอกเขาว่าตนก็คือคนพหุธาตุผู้นั้น แต่เมื่อคิดไปคิดมาแล้วก็ไม่พูดเรื่องนี้ออกมาจะดีกว่า บอกกับเขาเพียงแค่เรื่องที่ตนรับสัมผัสปราณวิญญาณได้เท่านั้น แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาตื่นเต้นได้แล้ว

“เย่ว์เอ๋อร์ ที่เจ้าพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือ เจ้ารับสัมผัสปราณวิญญาณได้แล้วจริงๆ น่ะหรือ” ซือหม่าเลี่ยโอบกอดซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้ในทันใดพลางถามอย่างตื่นเต้นยินดี

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีตื่นเต้นของซือหม่าเลี่ยแล้วก็ยิ้มและพยักหน้าน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “ใช่แล้วขอรับ ข้าถอนพิษไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อคืนได้ทดลองบำเพ็ญไปรอบหนึ่ง พอเมื่อเช้านี้ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่ามีจุดแสงโอบล้อมตัวเองอยู่ขอรับ”

“อะไรนะ” ซือหม่าเลี่ยนิ่งงันไปในทันใด พลางมองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสีหน้าแปลกพิกล

ซือหม่าโยวเย่ว์ตกตะลึงไปเพราะสีหน้าของซือหม่าเลี่ย หรือว่าก่อนหน้านี้เธอมิได้สัมผัสถึงปราณวิญญาณ ตนเข้าใจผิดไปอย่างนั้นหรือ เธอมองซือหม่าเลี่ยอย่างระมัดระวังพลางเอ่ยว่า “ท่านปู่ ข้าไม่อาจบำเพ็ญได้ใช่หรือไม่ขอรับ นั่นคงมิใช่ปราณวิญญาณกระมัง”

“ฮ่าๆๆๆ…” ซือหม่าเลี่ยมิได้เอ่ยตอบคำซือหม่าโยวเย่ว์ แต่กลับหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมาแล้วพูดว่า “ข้ารู้อยู่แล้วล่ะว่าเย่ว์เอ๋อร์ของข้ามิใช่คนไร้ค่า แต่เป็นผู้มีพรสวรรค์ ฮ่าๆๆ ไม่ใช่สิ เป็นผู้มีพรสวรรค์ในหมู่ผู้มีพรสวรรค์ต่างหาก!”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูท่าทีตื่นเต้นของซือหม่าเลี่ย ถึงแม้ว่าเขาจะมิได้เอ่ยตอบวาจาของตน แต่เธอก็เข้าใจความหมายของเขาแล้ว จึงอดหลั่งเหงื่อเยียบเย็นในใจมิได้

ซือหม่าเลี่ยหัวเราะพอแล้วก็ค่อยๆ สงบท่าทีลงแล้วเอ่ยว่า “เย่ว์เอ๋อร์ เจ้าใช้เวลาเพียงแค่คืนเดียวก็รับสัมผัสปราณวิญญาณได้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่แต่ไหนแต่ไรมิเคยมีผู้ใดทำได้มาก่อนเลยนะ! นึกถึงว่าเมื่อก่อนปู่ถูกคนเรียกว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ ก็ต้องใช้เวลาราวๆ สี่ห้าวันจึงจะสัมผัสถึงจุดแสงได้เล็กน้อย คนทั่วไปอาจต้องเพ่งสมาธิอยู่ครึ่งค่อนเดือน ก็ยังไม่แน่ว่าจะทำได้เลย! พี่ชายทั้งหลายของเจ้า ระยะเวลาที่สั้นที่สุดก็ยังต้องใช้ถึงหนึ่งสัปดาห์เลยทีเดียว ฮ่าๆๆ ตอนนี้เจ้ามิใช่เพียงแค่บำเพ็ญได้แล้วเท่านั้น แต่ยังมีพรสวรรค์อันสูงส่งยิ่งอีกด้วย! ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกคำพูดของซือหม่าเลี่ยทำให้ตะลึงงันไปเสียแล้ว เธอคิดว่าตนเองใช้เวลาไปหนึ่งคืนก็นับว่าเนิ่นนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าที่แท้แล้วนับว่าแสนสั้นนัก!

เช่นนั้นก็พูดได้ว่าความเร็วในการบำเพ็ญของตนรวดเร็วเป็นอย่างยิ่งแล้วใช่หรือไม่!

“เย่ว์เอ๋อร์ ที่เจ้ารับสัมผัสได้ เป็นจุดแสงสีอะไรหรือ” ซือหม่าเลี่ยนึกขึ้นมาได้ว่านางเพิ่งถามเรื่องเกี่ยวกับธาตุไปหมาดๆ จึงเอ่ยถามขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดว่าพลังยุทธ์ของตนไม่แข็งแกร่ง ก่อนหน้านี้จึงยังไม่ได้บอกเรื่องที่ตนเป็นพหุธาตุออกมา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกคนอิจฉาริษยาแล้วใส่ร้ายป้ายสีเหมือนในชาติก่อน นอกจากนี้ซือหม่าเลี่ยเองก็เพิ่งพูดไปว่าคนที่เป็นพหุธาตุนั้นไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาเลยเป็นเวลาหลายแสนปีแล้ว ถ้าหากเรื่องของตนแพร่ออกไป ก็ไม่แน่ว่าอาจจะนำความเดือดร้อนมาสู่ครอบครัวนี้ก็เป็นได้

“ท่านปู่ ข้ารับสัมผัสได้เพียงแค่จุดแสงสีแดงเท่านั้นเองขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ ซือหม่าเลี่ยและพี่ชายทั้งหลายต่างก็เป็นปรมาจารย์วิญญาณธาตุไฟ ดังนั้นเมื่อนางบอกว่าตนเป็นธาตุไฟแล้วจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา

“อืม คนในครอบครัวเราล้วนเป็นธาตุไฟกันหมด ดูท่าทางเจ้าก็คงจะเหมือนกัน” ซือหม่าเลี่ยพยักหน้าพูด “คืนนี้จะต้องเรียกตัวพี่ชายทั้งสี่ของเจ้ากลับมาฉลองกันสักหน่อยแล้วค่อยบอกเรื่องที่เจ้าบำเพ็ญได้แล้วออกไป ต่อจากนี้ก็มาดูกันว่าจะยังมีใครหน้าไหนกล้าบอกว่าเจ้าเป็นคนไร้ค่าอีก!”

“ท่านปู่ ข้ารู้สึกว่าไม่ต้องบอกเรื่องนี้ออกไปจะดีกว่านะขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยขอ

“ทำไมเล่า เย่ว์เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าถึงแม้เจ้าจะไม่บอก แต่ก็ใส่ใจความคิดอ่านของผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ข้ายังเห็นเจ้าแอบซ่อนตัวร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียวอยู่เลย ดังนั้นพอเจ้าไม่ชอบไปเรียนที่วิทยาลัย ข้าจึงมิได้บีบบังคับเจ้า” ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างไม่เข้าใจ

“ข้ามีชีวิตอยู่มาสิบสี่ปี ไม่อาจบำเพ็ญได้มาโดยตลอด อยู่ดีๆ หากมาพูดว่าบำเพ็ญได้แล้ว ผู้อื่นจะคิดว่าเป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้นนะขอรับ นอกจากนี้คนเหล่านั้นอาจจะคอยมาท้าพิสูจน์ว่าข้าบำเพ็ญได้หรือไม่กันตลอดเวลาเลยก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นจะชักพาความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นมาให้แก่ข้านะขอรับ”

ซือหม่าเลี่ยได้ฟังวาจาของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็พูดว่า “แต่ว่าเจ้าเองก็คิดมากเรื่องที่ผู้อื่นเรียกเจ้าว่าเป็นคนไร้ค่าเหมือนกันมิใช่หรือ หลานสาวของข้าซือหม่าเลี่ยจะต้องมาถูกดูแคลนเช่นนี้ด้วยหรือ”

“ก่อนหน้านี้ข้าคิดมากและมิอาจปล่อยผ่านไปได้เลย แต่ที่มิอาจปล่อยวางได้นั้นก็เพราะข้าไม่อาจบำเพ็ญได้จริงๆ มิใช่เพราะคำพูดของผู้อื่น ตอนนี้ข้าบำเพ็ญได้แล้ว ผู้อื่นจะว่าอย่างไรข้าก็ไม่สนใจหรอกขอรับ หรือพูดได้ว่าข้าจะบำเพ็ญได้หรือไม่ นั่นก็ล้วนเป็นเรื่องของข้าทั้งสิ้น ผู้อื่นรู้ไปข้าก็มิได้มีพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว ในทางกลับกันยังอาจจะนำอันตรายมาสู่ครอบครัวได้อีกต่างหาก ท่านปู่เองก็ยังมีศัตรูอยู่อีกมากมิใช่หรือขอรับ ตระกูลน่าหลานนั่นก็ไม่พอใจพวกเรามาโดยตลอด ถ้าหากรู้ถึงพรสวรรค์ของข้าเข้าก็ไม่แน่ว่าอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้นะขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างพึงพอใจ ตั้งแต่หลังจากที่นางถูกคนทำร้ายในตอนนั้นแล้วก็ดูเหมือนว่านางจะเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเลย ไม่เอาแต่ใจตัวเอง รู้เรื่องรู้ราว ความคิดความอ่านก็รอบคอบกว่าก่อนหน้านี้แล้ว

“อืม ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นเก็บเรื่องการบำเพ็ญของเจ้าเอาไว้ ไม่แพร่ออกไปชั่วคราวก่อน แต่ก็ยังต้องเรียกพี่ชายทั้งสี่ของเจ้ากลับมาฉลองสักหน่อยอยู่ดี พวกเราปิดประตูมาฉลองกันเองก็ได้นี่นา!” หลังจากซือหม่าเลี่ยคิดได้แล้วก็กลับมามีสีหน้าเช่นเดิม

“เช่นนั้นข้าก็ขอตัวกลับไปบำเพ็ญก่อน พอคืนนี้พวกพี่ๆ กลับมากันแล้วข้าค่อยออกมานะขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็หมุนกายเตรียมตัวจากไป

“เดี๋ยวก่อนสิ” ซือหม่าเลี่ยเรียกนางเอาไว้

“ว่าอย่างไรขอรับท่านปู่”

“เจ้ามากับข้า” ซือหม่าเลี่ยพูดจบแล้วก็หมุนตัวเดินมายังมุมหนึ่งของห้องหนังสือ เขาใช้มือคลำไปบนกำแพง หลังจากพบจุดที่นูนขึ้นมาแล้วเขาก็กดลงไปแรงๆ ชั้นหนังสือด้านข้างก็เคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ เผยให้เห็นหลุมบนพื้นหลุมหนึ่งซึ่งมีบันไดทอดตัวยาวลงไปด้านล่าง เขาหยิบไข่มุกที่ทอประกายเม็ดหนึ่งออกมาพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “พวกเราลงไปกันเถิด”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูท่าทีลึกลับของซือหม่าเลี่ยแล้วก็เดินตามเขาลงไป เธอค้นพบว่านี่ก็คือสถานที่ที่ดูคล้ายกับห้องใต้ดิน อุโมงค์อันยาวเหยียดไม่รู้ว่านำทางไปสู่ที่ใด

“ถึงแล้ว”

ทั้งคู่เดินอยู่หลายนาทีจึงเดินมาถึงจุดหมาย ซือหม่าโยวเย่ว์มองดู นี่เป็นเพียงแค่ห้องหินธรรมดาๆ ห้องหนึ่ง นอกจากบนแท่นหินตรงกลางห้องจะมีหีบใบหนึ่งวางอยู่แล้วภายในก็ไม่มีอะไรอยู่อีกเลย

ซือหม่าเลี่ยไปตรงหน้าแท่นหินแล้วเอ่ยว่า “นี่คือสิ่งที่บิดาของเจ้าเหลือทิ้งเอาไว้ในตอนนั้น เขาบอกว่ารอให้เจ้าบำเพ็ญได้แล้วค่อยยกให้เจ้า ตอนนี้ข้าก็จะมอบมันให้แก่เจ้า”

ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังคำพูดของซือหม่าเลี่ยแล้วก็รู้สึกแปลกพิกล แต่ก็บอกไม่ถูกว่าแปลกประหลาดที่ตรงไหน เธอเห็นแววตาให้กำลังใจของซือหม่าเลี่ยแล้วก็เดินมาตรงหน้าแท่นหิน ก่อนยื่นมือไปยกหีบลงมาแล้วคิดจะเปิดหีบออก แต่กลับถูกซือหม่าเลี่ยคว้ามือยั้งเอาไว้

“รอเจ้ากลับไปอยู่คนเดียวแล้วค่อยเปิดเถิด”

สายตาของซือหม่าเลี่ยหนักแน่นเป็นอย่างยิ่ง ซือหม่าโยวเย่ว์จึงได้แต่พยักหน้า เตรียมตัวกลับไปแล้วค่อยเปิด

“เอาละ พวกเรากลับกันเถิด” ซือหม่าเลี่ยพูด

หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์ออกจากห้องหนังสือของซือหม่าเลี่ยแล้วก็กลับไปยังห้องของตน ให้อวิ๋นเย่ว์และชุนเจี้ยนออกไป เธอนั่งอยู่บนเตียงคนเดียวแล้ววางหีบลงตรงหน้าตนก่อนจะเพ่งมองหีบตรงๆ

เมื่อครู่ซือหม่าเลี่ยก็บอกกับนางแล้วว่าอวิ๋นเย่ว์และชุนเจี้ยนล้วนเป็นคนที่ไว้ใจได้ เพราะพวกนางเคยให้สัตย์สาบานเอาไว้กับตนว่าจะไม่มีทางทรยศหักหลังตนไปตลอดกาล ถึงแม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่ซือหม่าเลี่ยกำหนดให้พวกนางต้องสาบาน แต่ภายใต้ข้อจำกัดของกฎเกณฑ์ พวกนางก็ไม่อาจหักหลังตนได้  มิฉะนั้นก็อาจถูกพลังของคำสัตย์สาบานส่งให้ไปอยู่ในนรกอเวจีได้

พลังของคำสัตย์สาบานนี้ก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ของโลกแห่งนี้เช่นกัน การสาบานก็เหมือนกับการทำพันธสัญญากับกฎเกณฑ์ฟ้าดิน ถ้าหากผิดคำสัตย์สาบาน เช่นนั้นก็เหมือนกับการทรยศต่อการทำพันธสัญญา ก็จะถูกบีบให้ตกลงไปในนรกอเวจี ไม่อาจออกมาได้ไปตลอดกาล!

ดังนั้นไม่ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะกระทำกับพวกอวิ๋นเย่ว์ทั้งสองคนเช่นไร พวกนางก็ไม่อาจทรยศต่อนางได้อยู่ดี แต่เพราะว่านิสัยของซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนหน้านี้ ซือหม่าเลี่ยจึงไม่เคยบอกเรื่องนี้แก่นางมาโดยตลอด

……………………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์มาที่ห้องหนังสือสะสมอีกครั้ง คราวนี้ก็ไม่ได้ควานหาหนังสือแบบตามืดบอดไปทั่วเหมือนคราวก่อนอีกต่อไปแล้ว คราวก่อนตอนที่เธอมาหาตำราแพทย์ก็ได้จดจำตำแหน่งที่วางตำราการบำเพ็ญเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นคราวนี้เธอจึงตรงไปยังตำแหน่งที่วางหนังสือ ค้นเจอหนังสือ ‘อรรถาธิบายผู้เชี่ยวชาญในดินแดน’ จึงนั่งลงอ่านบนพื้น

เจ้าของร่างเดิมมีความประทับใจต่อหนังสือเล่มนี้ เพราะว่าวันแรกที่นางไปที่วิทยาลัย ทางวิทยาลัยได้หนังสือเล่มนี้ให้แก่นาง น่าเสียดายที่นางในตอนนั้นไม่ได้มีความสนใจในการบำเพ็ญเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงโยนทิ้งเอาไว้บนโต๊ะ ตลอดมาก็ไม่เคยอ่านเลย จนกระทั่งนางไปจากวิทยาลัย หนังสือเล่มนั้นก็ยังคงอยู่ในลิ้นชักโต๊ะเช่นเดิม

ซือหม่าโยวเย่ว์พิงชั้นหนังสือแล้วพลิกอ่านหนังสือในมือหน้าแล้วหน้าเล่า ยิ่งอ่านก็ยิ่งประหลาดใจ โลกใบนี้ช่างน่าพิศวงโดย!

อ้างอิงจากสิ่งที่บอกในหนังสือ ที่มนุษย์ทั้งหลายบำเพ็ญได้ก็เพราะว่าในอากาศมีปราณวิญญาณอยู่ เมื่อดูดซับปราณวิญญาณเข้าไปในร่างกายได้ก็จะแปรเปลี่ยนกลายเป็นพลังวิญญาณ ยิ่งมีพลังวิญญาณมาก พลังยุทธ์ก็จะยิ่งแข็งแกร่ง

ปรมาจารย์วิญญาณก็ถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับขั้นโดยอ้างอิงจากความแตกต่างของพลังยุทธ์ ตามลำดับดังนี้ ผู้ฝึกวิญญาณ ปรมาจารย์วิญญาณ มหาปรมาจารย์วิญญาณ ราชาวิญญาณ บรรพวิญญาณ ราชันวิญญาณ และจ้าววิญญาณ สีของพลังวิญญาณตามลำดับขั้นก็คือ แดง แสด เหลือง เขียว น้ำเงิน ฟ้า และม่วง และทุกระดับขั้นก็ยังแบ่งออกเป็นระดับขั้นย่อยที่หนึ่งถึงเก้าอีกด้วย สัญลักษณ์ระดับขั้นของแต่ละระดับขั้นย่อยก็คือดาวดวงเล็กดวงหนึ่ง ส่วนระดับขั้นใหญ่ขั้นหนึ่งก็คือดวงจันทร์ดวงหนึ่ง อย่างเช่นผู้ฝึกวิญญาณขั้นหก ตอนที่ปลดปล่อยพลังวิญญาณ บริเวณเท้าก็จะมีดาวดวงเล็กๆ ปรากฏขึ้นหกดวง ส่วนปรมาจารย์วิญญาณขั้นหกก็จะมีดวงจันทร์หนึ่งดวง กับดาวดวงเล็กๆ อีกหกดวงปรากฏขึ้นมา มหาปรมาจารย์วิญญาณก็จะมีดวงจันทร์สองดวง เช่นนี้ไปเรื่อยๆ

ถึงแม้ว่าปรมาจารย์วิญญาณจะครอบครองดินแดนนี้ แต่ก็มิได้มีปรมาจารย์วิญญาณให้เห็นมากนัก เพราะว่าไม่ใช่ใครต่อใครก็สัมผัสถึงปราณวิญญาณในอากาศกันได้หมดทุกคน แต่เพราะปรมาจารย์วิญญาณมีพลังยุทธ์แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงได้เสพสุขกับสถานะอันสูงส่งในโลกแห่งนี้

นอกจากปรมาจารย์วิญญาณแล้วก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ อยู่อีก ที่เป็นไปในทางเดียวกันก็คือปรมาจารย์กระบี่ ปรมาจารย์กระบี่หมายถึงผู้ที่ไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณในอากาศเหล่านั้น แล้วอาศัยการบำเพ็ญปราณกระบี่เป็นหลัก นอกจากการฝึกกระบี่แล้วปรมาจารย์กระบี่ก็ยังต้องบริหารร่างกายด้วย เพราะว่าร่างกายที่แข็งแกร่งจึงจะทานทนต่อปราณกระบี่ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ได้

ระดับขั้นของปรมาจารย์กระบี่ได้แก่ ผู้ฝึกกระบี่ ปรมาจารย์กระบี่ มหาปรมาจารย์กระบี่ ราชากระบี่ บรรพกระบี่ ราชันกระบี่ และจ้าวกระบี่ ซึ่งปราณกระบี่ก็มีอยู่เจ็ดสีเช่นกัน ทุกระดับขั้นก็แบ่งออกเป็นระดับขั้นย่อยที่หนึ่งถึงเก้าเช่นเดียวกัน สิ่งที่แสดงถึงหนึ่งระดับขั้นย่อยก็คือกระบี่เล็กอันหนึ่ง ส่วนระดับขั้นใหญ่นั้นจะเป็นดาบเล่มหนึ่ง

ถึงแม้ว่าจะมีปรมาจารย์วิญญาณและปรมาจารย์กระบี่อยู่ที่โลกแห่งนี้เพียงน้อยนิด แต่ว่าเมื่อเทียบกันกับผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ แล้วก็นับว่ามีอยู่มาก เพราะว่าผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ทั้งหลายนั้นหาได้ยากยิ่งกว่า

ผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ทั้งหลายที่ว่านั้นก็ได้แก่นักหลอมยา นักหลอมวัตถุ นักฝึกสัตว์อสูร และปรมาจารย์ค่ายกล ผู้เชี่ยวชาญแต่ละแขนงต่างก็มีพื้นที่อันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองทั้งสิ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์อ่านหนังสือจนจบแล้วก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายอย่างคร่าวๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว

“ที่แท้แล้วหากคิดอยากจะเป็นนักหลอมยาก็ต้องเป็นปรมาจารย์วิญญาณให้ได้เสียก่อน ก่อนหน้านี้ยังอยากจะไปศึกษาการหลอมยาอยู่เลย แต่ดูท่าทางว่าคงจะต้องบำเพ็ญเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ซือหม่าโยวเย่ว์เอาหัวโขกชั้นวางหนังสือเบาๆ แล้วพูดพึมพำกับตนเองว่า “ผู้เชี่ยวชาญประเภทอื่นๆ ดูเหมือนว่าจะไม่เลวเลยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ที่โลกแห่งนี้ยังมีสัตว์ที่พูดได้อยู่อีกด้วย ช่างเป็นโลกที่น่าพิศวงจริงๆ เชียว!”

สัตว์ที่ซือหม่าโยวเย่ว์บอกว่าพูดได้คือสัตว์อสูรวิเศษ ซึ่งสัตว์อสูรวิเศษก็บำเพ็ญได้เช่นเดียวกัน คงเหมือนสัตว์ประหลาดที่พูดถึงกันในชาติก่อนนั่นเอง สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำก็มีระดับขั้นที่สอดคล้องกันอยู่ด้วย ระดับต่ำที่สุดกคือสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำ ถัดมาเป็นสัตว์อสูรทิพย์ สัตว์อสูรเทพ และสัตว์อสูรเหนือเทพ

สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำนั้นเพียงแค่เริ่มมีเชาวน์ปัญญา ฟังภาษามนุษย์รู้เรื่องแล้วตอบสนองได้เท่านั้น ส่วนสัตว์อสูรทิพย์พูดภาษามนุษย์ได้ ในขณะที่สัตว์อสูรเหนือเทพสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่สัตว์อสูรเหนือเทพนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานมาโดยตลอด ที่โลกแห่งนี้แม้แต่สัตว์อสูรเทพก็ยังมิอาจพบเห็นได้บ่อยนัก

ปรมาจารย์วิญญาณทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้ หลังจากทำพันธสัญญาแล้วปรมาจารย์วิญญาณกับสัตว์อสูรวิเศษจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่เพราะสัตว์อสูรวิเศษมีสัญชาตญาณสัตว์ป่าอยู่ ดังนั้นการทำพันธสัญญาโดยตรงอาจจะทำให้ถูกสัตว์อสูรวิเศษทำร้ายเอาได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีนักฝึกสัตว์อสูรถือกำเนิดขึ้น

นักฝึกสัตว์อสูรใช้ทักษะในการฝึกสัตว์ให้เชื่อง ขจัดสัญชาตญาณสัตว์ป่าของสัตว์อสูรวิเศษทิ้งไป จนกลายเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่ทำพันธสัญญากับปรมาจารย์วิญญาณได้ เพราะหลังจากที่สัตว์อสูรวิเศษทำพันธสัญญาแล้วจะเป็นความช่วยเหลืออันแข็งแกร่งของปรมาจารย์วิญญาณ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่านักฝึกสัตว์อสูรมีความสำคัญเป็นพิเศษ แต่หากคิดอยากจะเป็นนักฝึกสัตว์อสูรก็มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นปรมาจารย์วิญญาณก่อนเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้แล้วนักหลอมวัตถุและปรมาจารย์ค่ายกลต่างก็เป็นปรมาจารย์วิญญาณเช่นเดียวกัน สิ่งนี้ทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์อับจนคำพูดอยู่บ้าง

“เฮ้อ… ดูท่าทางก็คงจะต้องบำเพ็ญก่อนเพียงอย่างเดียวแล้วสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นจากพื้น

หลังจากที่เธอค้นหาบนชั้นหนังสืออยู่ครู่หนึ่งก็หาตำราเริ่มต้นการบำเพ็ญที่เป็นพื้นฐานที่สุดพบ

เมื่อมองดูแล้วเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปมากแล้ว เธอนำหนังสือกลับมาที่ห้องของตนเอง หลังจากที่กินอาหารค่ำเรียบร้อยแล้วเธอลงกลอนประตู นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงคนเดียว หลังจากนั้นทดลองรับสัมผัสปราณวิญญาณในอากาศโดยอาศัยวิธีการตั้งสมาธิที่บอกในตำรา

ในตอนแรกเธอไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งใดได้เลย แต่หลังจากนั้นก็ดูคล้ายจะรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนโอบล้อมรอบตัวเธออยู่ จนกระทั่งตอนที่ฟ้าสว่างเธอจึงรู้สึกถึงจุดแสงหลากสีเหล่านั้นได้โดยสมบูรณ์

ซือหม่าโยวเย่ว์ลืมตาขึ้นตัดตอนการตั้งสมาธิ เกิดความประหลาดใจขึ้นมา ในหนังสือไม่ได้บอกว่ามีเพียงแค่สีเดียวหรือไร เพราะเหตุใดตนจึงรับสัมผัสได้ถึงจุดแสงหลากหลายสีเช่นนี้กันเล่า

“ประหลาดนัก!”

เธอไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจุดแสงที่ตนสัมผัสได้นั้นจึงมีหลากหลายสี เห็นได้ชัดว่าหนังสือบอกเอาไว้ว่าตามปกติแล้วจะรับสัมผัสได้เพียงแค่สีเดียวเท่านั้น หรือว่าวิธีการของตนไม่ถูกต้องกันหนอ

เธอเริ่มอ่านหนังสือใหม่ตั้งแต่ต้นอีกรอบหนึ่งแล้วก็พบว่าตนอ้างอิงวิธีการในหนังสือโดยไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นปัญหาเกิดขึ้นที่ตรงไหนกันเล่า

เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจไปถามซือหม่าเลี่ย ตอนนี้ซือหม่าเลี่ยเป็นถึงยอดฝีมือของระดับราชันวิญญาณแล้ว เขาจะต้องรู้ถึงปัญหานี้อย่างแน่นอน

ซือหม่าโยวเย่ว์หาตัวซือหม่าเลี่ยพบแล้วก็ถามสิ่งที่ตนสงสัยออกมา

“อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ง่ายมาก” ซือหม่าเลี่ยมองหลานสาวของตนที่แหงนดวงหน้าน้อยๆ ขึ้นมาถามตนแล้วอมยิ้มเอ่ยว่า “พลังวิญญาณที่บำเพ็ญนี้มีสีแตกต่างกันเพราะว่าธาตุไม่เหมือนกันน่ะสิ”

“ธาตุหรือขอรับ”

“ใช่แล้ว ธาตุนี้ก็คือประเภทของพลังวิญญาณที่เจ้าบำเพ็ญได้ สีของธาตุไฟเป็นสีแดง เวลาบำเพ็ญก็จะดูดซับจุดแสงสีแดง ธาตุไม้เป็นสีเขียว เวลาบำเพ็ญก็จะดูดซับจุดแสงสีเขียว เฉกเช่นเดียวกัน ธาตุน้ำเป็นสีฟ้า ธาตุทองเป็นสีทอง ธาตุดินเป็นสีน้ำตาล ธาตุแสงสว่างเป็นสีขาว ส่วนธาตุความมืดเป็นสีดำ โดยทั่วไปแล้วหากเจ้ารับสัมผัสจุดแสงสีใดได้ก็บำเพ็ญพลังวิญญาณที่เป็นธาตุเดียวกันได้”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแสดงว่าตนเองเข้าใจแล้ว แต่เมื่อนึกถึงจุดแสงหลากสีที่ตนได้เห็นเมื่อเช้านี้แล้วก็เอ่ยถามอีกว่า “ถ้าหากรับสัมผัสจุดแสงได้มากมายหลายสีเลยเล่า”

ซือหม่าเลี่ยไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดวันนี้ซือหม่าโยวเย่ว์จึงได้สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับการบำเพ็ญขึ้นมา แต่ยังตอบอย่างอดทนว่า “ผู้ที่รับสัมผัสจุดแสงได้มากมายหลายสีก็คือปรมาจารย์วิญญาณหลากแขนงที่เล่าลือกันอย่างไรเล่า”

“ปรมาจารย์วิญญาณหลากแขนงหรือ”

“อืม อย่างเช่นผู้ที่รับสัมผัสได้ทั้งจุดแสงสีแดงและสีทอง นั่นคือปรมาจารย์วิญญาณสองแขนง ทั้งแขนงไฟและแขนงทอง ถ้าหากเป็นสามชนิด นั่นคือปรมาจารย์วิญญาณสามแขนง แต่ปรมาจารย์วิญญาณหลากแขนงนั้นมิอาจพบเห็นได้บ่อยนัก ถ้าหากมีขึ้นมาสักคนหนึ่งแล้วละก็ ตามปกติแล้วจะต้องได้รับความสำคัญอย่างยิ่งจากทุกผู้คนเลยทีเดียว”

“เช่นนั้นหากมีจุดแสงหมดทุกสีเลยเล่าขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าเลี่ยพลางถามขึ้นอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง

……………………

Related

“ก่อนหน้านี้ท่านหมอที่เคยมาดูอาการเจ้าต่างก็บอกว่าเส้นลมปราณของเจ้าอุดกั้น ดังนั้นจึงไม่อาจรับสัมผัสปราณวิญญาณในอากาศได้ ด้วยเหตุนี้จึงบำเพ็ญไม่ได้ ปีนั้นตอนที่บิดาของเจ้าอุ้มเจ้ากลับมาก็เคยบอกว่ามารดาของเจ้าได้รับบาดเจ็บตอนที่อุ้มท้องเจ้า อาจจะกระทบถึงเจ้าก็เป็นได้ ทั้งหมดล้วนส่งผลต่อพัฒนาการของเจ้าได้ทั้งสิ้น ทำไมเจ้าถึงอยากจะถามเรื่องนี้ขึ้นมาหรือ” ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างประหลาดใจ

“ท่านปู่ ข้าสงสัยว่าการที่ข้าไม่อาจบำเพ็ญได้นั้นจะมิได้เป็นมาแต่กำเนิด แต่เป็นไปได้ว่ามีสาเหตุที่เกิดขึ้นภายหลังน่ะสิขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้าจะบอกว่า…” ซือหม่าเลี่ยมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ข้าถูกพิษเข้าเสียแล้วขอรับ นอกจากนี้ก็เป็นพิษที่อุดกั้นเส้นลมปราณพอดีเสียด้วย ดังนั้นข้าจึงคิดว่าการที่ข้าไม่อาจบำเพ็ญได้นั้นจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอนเลยขอรับ”

“ตึง!” ซือหม่าเลี่ยผุดลุกขึ้นจากม้านั่งอย่างประหลาดใจ เพราะออกแรงมากเกินไป ม้านั่งจึงพลิกล้มลง

“นี่… นี่เจ้าพูดจริงหรือ” ซือหม่าเลี่ยจ้องมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าแน่ใจเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว ท่านปู่ พิษที่ข้าเจอชนิดนี้แม้จะพบเห็นได้ยากยิ่ง แต่ก็มิได้ตรวจพบได้ยากเลยนะขอรับ นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าพิษชนิดนี้จะอยู่ในร่างกายของข้ามาเนิ่นนานแล้วด้วย ดูคล้ายว่าข้าจะถูกวางยามาตั้งแต่เกิดเลยนะขอรับ”

“ก่อนหน้านี้องค์จักรพรรดิก็เคยส่งคนมาตรวจดูตั้งหลายต่อหลายครั้ง ผู้ที่เชิญมาต่างก็เป็นท่านหมอหรือไม่ก็นักหลอมยาที่มีชื่อเสียง แต่ละท่านต่างก็บอกเพียงแค่ว่าร่างกายของเจ้ามีปัญหา แต่กลับมิได้ค้นพบเลยว่าเจ้าถูกพิษ!” ซือหม่าเลี่ยพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าสิงจั้นเทียน องค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรตงเฉินให้ความเคารพต่อซือหม่าเลี่ยเป็นอย่างยิ่งมาโดยตลอด คนที่เขาส่งมาก็ย่อมมิใช่คนหยาบช้าธรรมดาทั่วไปแน่นอนอยู่แล้ว แม้กระทั่งพวกเขายังไม่อาจค้นพบได้ พิษนี้จะต้องมิได้พบเห็นได้บ่อยในโลกแห่งนี้อย่างแน่นอน

“เป็นไปได้ว่าพิษชนิดนี้เป็นสิ่งที่มิได้พบเห็นบ่อยๆ ในดินแดนแห่งนี้ นอกจากนี้ผู้ที่ถูกพิษ นอกจากเส้นลมปราณถูกอุดกั้นแล้วก็มิได้มีอาการอื่นใดอีก ถ้าหากมิใช่เพราะคลำเจอว่ามีจุดสองจุดอยู่ใต้รักแร้ ข้าก็คงมิอาจค้นพบได้หรอกขอรับ ดังนั้นการที่ท่านหมอคนอื่นๆ มิอาจตรวจพบได้นั้นก็เป็นเรื่องปกติขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ตอนนั้นที่บิดาของเจ้าอุ้มเจ้ามาก็พูดเพียงแค่ว่ามารดาของเจ้าได้รับบาดเจ็บตอนที่ตั้งครรภ์เจ้า ดังนั้นเขาจึงรู้สึกได้ว่าร่างกายของเจ้าไม่ค่อยดีนัก และก็คิดเพียงว่านั่นคือสาเหตุ คิดไม่ถึงว่าที่จริงแล้วจะเป็นเพราะถูกพิษ!” ซือหม่าเลี่ยพูด

“ท่านปู่ ตอนที่ข้าเกิด มิได้เกิดที่นี่หรือขอรับ เหตุใดจึงบอกว่าบิดาข้าอุ้มข้ามาเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าคำพูดของซือหม่าเลี่ยแปลกประหลาดอยู่บ้างจึงเอ่ยถาม

“แค่กๆ… ตอนที่บิดามารดาเจ้าให้กำเนิดเจ้านั้นมิได้อยู่ที่อาณาจักรตงเฉิน เจ้าอายุได้เกินครึ่งปีแล้วจึงถูกอุ้มกลับมา ตอนนั้นมีเพียงแค่บิดาเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น พอเขาทิ้งเจ้าเอาไว้แล้วก็บอกว่าจะไปตามหามารดาเจ้า นับตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย” ซือหม่าเลี่ยเล่าระลึกความหลัง “ใช่แล้ว เย่ว์เอ๋อร์ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรกันว่าตนเองถูกพิษ ใครเป็นผู้ตรวจร่างกายเจ้าพบกันหรือ รีบบอกข้ามาเร็วเข้าสิ ข้าจะได้ไปพบเขาให้เขามาถอนพิษให้เจ้าเสีย”

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านปู่ไม่ต้องรีบร้อนหรอกขอรับ ไม่ได้มีใครตรวจให้ข้าหรอก เป็นตัวข้าที่ตรวจพบเองน่ะขอรับ”

“ตัวเจ้าเองอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างไม่เชื่ออยู่บ้างแล้วพูดว่า “เจ้าอย่ามาหลอกปู่เลย ยังมีอะไรที่มิอาจบอกปู่ได้อีกอย่างนั้นหรือ คนผู้นั้นให้เจ้ารักษาความลับใช่หรือไม่”

“เอ่อ…” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าแต่ไหนแต่ไรเจ้าของร่างเดิมนั้นเป็นคนที่ทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง อยู่ดีๆ มาพูดเช่นนี้ ซือหม่าเลี่ยไม่เชื่อก็เป็นเรื่องปกติ จากนั้นเธอก็หยิบเอาเทียบยาสองแผ่นนั้นออกมาแล้วเอ่ยว่า “ท่านปู่ขอรับ นี่คือเทียบยาถอนพิษ ท่านให้คนไปจัดหายานี่มาสักหลายๆ ชุด จำเอาไว้ว่าต้องให้พวกเขาเก็บเป็นความลับด้วยนะขอรับ ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาหากข้าทำไม่สำเร็จก็คงจะขายหน้าคนอย่างใหญ่โตเลยทีเดียว!”

“อืม ปู่รู้แล้วล่ะ” ซือหม่าเลี่ยพยักหน้า รอจนซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปแล้วก็หยิบเทียบยามาดู ก็เห็นว่าตัวหนังสือบนนั้นถึงแม้ว่าจะไม่น่าดูอยู่บ้าง แต่ตัวอักษรเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เคยรู้จักมาก่อน จึงเอ่ยว่า “ข้าว่าแล้วเชียว จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ใครเข้ามานี่ทีซิ ไปข้างนอกแล้วจัดหายาตามตำรับนี้กลับมาสักหลายๆ ชุด”

“ขอรับท่านแม่ทัพ” ทหารยามสองคนเข้ามาจากด้านนอกแล้วรับตำรับยาในมือซือหม่าเลี่ยมาก่อนจะออกไป

ส่วนซือหม่าโยวเย่ว์เมื่อจัดการธุระเรียบร้อยแล้วก็กลับไปอย่างผ่อนคลาย หลังจากที่กลับไปยังเรือนของตนเองแล้วเธอก็ขังตัวเองอ่านหนังสืออยู่ในห้อง เธอวางแผนเอาไว้ว่าเมื่อมีเวลาก็จะอ่านตำราแพทย์เหล่านี้เพื่อศึกษาอย่างลึกซึ้ง

เพียงไม่นานเครื่องยาที่ซือหม่าโยวเย่ว์ต้องการก็ถูกส่งมาให้ เธอตรวจดูเครื่องยาเหล่านั้นรอบหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาก็ให้อวิ๋นเย่ว์นำชุดหนึ่งไปยังห้องครัวในเรือนตนแล้วต้มมาเป็นยาชามหนึ่ง หลังจากที่ดื่มลงไปแล้วก็ให้พวกนางเตรียมถังอาบน้ำให้ หลังจากนั้นก็ให้คนอื่นออกไปแล้วขังตัวเองอยู่ในห้อง เธอโยนยาอีกชุดหนึ่งลงไปในถังอาบน้ำ รอจนน้ำในถังอาบน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดงสดแล้วเธอจึงค่อยถอดเสื้อผ้า ก่อนจะค่อยๆ แช่ตัวลงไปในน้ำช้าๆ

“โอ๊ย….” ความรู้สึกแสบร้อนห่อหุ้มตัวเธอเอาไว้ในขณะที่แช่ลงไปในน้ำ ความเจ็บปวดแผ่กระจายไปทั่วร่าง

“บ้าเอ๊ย คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจ็บขนาดนี้!” เธอรู้สึกคล้ายกับทั่วทั้งร่างกายถูกแผดเผาอย่างไรอย่างนั้น เส้นประสาททั้งหมดไวต่อความรู้สึกเกินกว่าปกติ ทำให้เธออดที่จะก่นด่าในใจมิได้

ตัวยาภายในร่างกายก็เริ่มต้นออกฤทธิ์แล้วเช่นกัน ภายใต้การผสานรวมกันทั้งสองทาง เธอก็รู้สึกว่าร่างกายของตนคล้ายจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว!

น้ำสีแดงค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นใสแจ๋วอย่างช้าๆ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ รสหวานเจือกลิ่นคาวอย่างหนึ่งเอ่อล้นขึ้นมาที่คอหอย

“พรวด…”

ซือหม่าโยวเย่ว์กระอักโลหิตสีดำออกมาคำหนึ่ง โลหิตเหล่านั้นกระเซ็นออกมาบนพื้นราวกับดอกเหมยที่ถูกย้อมด้วยน้ำหมึก แต่หลังจากที่กระอักโลหิตสีดำออกมาแล้วอาการเวียนศีรษะของเธอก็ค่อยๆ บรรเทาลง

“เล็กลงไม่น้อยเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือไปคลำจุดที่ใต้รักแร้ตนก็รู้สึกได้ว่าเล็กลงไปมากแล้ว “ดูท่าทางจะต้องจัดการเจ้าพิษนี่อีกหลายครั้งกว่าจะขจัดมันออกไปได้หมดเกลี้ยงสินะ!”

เธอออกมาจากถังอาบน้ำ หลังจากสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็เตะถังอาบน้ำครั้งหนึ่ง ถังอาบน้ำถูกกระแทกจนน้ำที่อยู่ข้างในกระฉอกออกมาไม่น้อย ชำระล้างรอยเลือดบนพื้นได้สะอาดพอดี

“คุณชาย เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่เจ้าคะ” อวิ๋นเย่ว์และชุนเจี้ยนถามขึ้นมาจากด้านนอก

“อ้อ… ข้าไม่ระวังเลยสะดุดถังอาบน้ำเข้าทีหนึ่ง น้ำหกเลอะพื้นเลย พวกเจ้าเข้ามาทำความสะอาดทีสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

อวิ๋นเย่ว์และชุนเจี้ยนผลักประตูเข้ามา มองเห็นพื้นที่เปียกปอนแล้วก็รีบเก็บถังอาบน้ำไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็เช็ดคราบน้ำบนพื้นจนสะอาด

ในเวลาต่อมา นอกจากซือหม่าโยวเย่ว์จะไปกินข้าวกับซือหม่าเลี่ยแล้ว เวลาอื่นๆ ก็อ่านหนังสืออยู่ในห้องตลอด ดูเหมือนว่าเธอจะอ่านตำราแพทย์ที่เธอหยิบออกมาจากห้องหนังสือสะสมไปไม่น้อยแล้ว

เวลาเจ็ดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว นี่เป็นการอาบน้ำยาครั้งสุดท้ายแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์แช่ทั้งร่างกายลงไปในน้ำ หลังผ่านไปสิบห้านาทีก็กระอักเลือดพิษที่สีสันแทบจะเหมือนกันกับสีเลือดปกติออกมาคำหนึ่ง เธอเอื้อมมือไปคลำใต้รักแร้ ไม่มีจุดเล็กๆ ที่อยู่ทั้งสองฝั่งนั้นอีกต่อไปแล้ว!

เธอคลำชีพจรตัวเองดูอีกครั้ง พิษในร่างกายถูกขจัดออกไปอย่างสมบูรณ์แล้ว! ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าหลังจากขจัดพิษนี้ออกไปแล้วจะบำเพ็ญได้หรือไม่ แต่ไม่อาจบดบังอารมณ์อันชื่นมื่นในตอนนี้ของเธอได้ซือหม่าโยวเย่ว์ให้พวกอวิ๋นเย่ว์สองคนเข้ามาทำความสะอาดเหมือนกับที่ล้างรอยเลือดมาหลายวันก่อนหน้านี้ ส่วนตนเองก็ถือกุญแจไปยังห้องหนังสือสะสมอีกครั้ง คราวนี้เธอจะหาหนังสือเกี่ยวกับการบำเพ็ญสักกองหนึ่งมาศึกษาดู

เธออยากลองดูสักหน่อยว่าเมื่อตนขจัดพิษออกไปเรียบร้อยแล้วจะบำเพ็ญได้หรือไม่!

………………

Related

“เจ้าอยากอ่านหนังสือหรือ” ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างประหลาดใจ ปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ของเขาทำให้คนในห้องครัวต่างพากันมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างแปลกประหลาด

อันที่จริงแล้วจะติที่พวกเขาตอบสนองอย่างใหญ่โตเช่นนี้ก็มิได้ ซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นชื่อว่าเป็นคนไร้ค่า อีกทั้งยังเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ อย่าว่าแต่อ่านหนังสือเลย นอกจากจะเขี่ยตัวอักษรไม่กี่ตัวแล้ว แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยอ่านหนังสือเลยสักเล่ม อีกทั้งยังไม่เคยไปวิทยาลัยเลยด้วย อยู่ดีๆ คนเช่นนี้มาพูดว่าอยากอ่านหนังสือ ทุกคนไม่ประหลาดใจต่างหากจึงจะแปลก!

“แค่กๆ” ซือหม่าเลี่ยกระแอมสองครั้งก่อนจะเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าอยากอ่าน เช่นนั้นพวกเราก็ไปดูพร้อมกันเถิด”

ซือหม่าเลี่ยพูดจบแล้วก็เดินเอามือไพล่หลังจากไป ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รีบตามไปติดๆ คนทั้งสองมาหยุดตรงหน้าหอสูงสามชั้นที่อยู่กลางลานบ้านแห่งหนึ่ง

อาคารและลานบ้านเรียบง่าย อาคารเช่นนี้ในจวนแม่ทัพช่างไม่สะดุดตาเลยแม้แต่น้อย ย่อมไม่มีใครคาดเดาได้อยู่แล้วว่านี่คือห้องหนังสือสะสม

“นี่ก็คือห้องหนังสือสะสม” ซือหม่าเลี่ยเปิดประตูด้วยกุญแจพลางพูดกับซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่ด้านหลัง

นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหม่าโยวเย่ว์มาที่นี่ ถึงแม้ว่าอาคารแห่งนี้จะอยู่ตรงกลางระหว่างเรือนของเธอกับประตูใหญ่ ทว่าแต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่เคยมาดูที่นี่เลย

“นี่คือกุญแจสำหรับเจ้า” ซือหม่าเลี่ยหยิบกุญแจดอกหนึ่งจากแหวนเก็บวัตถุออกมามอบให้เธอ

พี่ชายทั้งสี่คนของซือหม่าโยวเย่ว์ต่างก็มีกุญแจกันทั้งสิ้น มีเพียงเธอเท่านั้นที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ ดังนั้นตลอดมาจึงไม่เคยมอบให้กับเธอเลย เพราะกลัวว่าเธอจะโยนกุญแจทิ้งไปเสียเปล่าๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์รับกุญแจมาแล้วเก็บเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อของตน ตอนนี้เธอไม่มีพลังวิญญาณ ย่อมใช้งานแหวนเก็บวัตถุไม่ได้อยู่แล้ว

“เอาละ เจ้าอยากจะอ่านหนังสือเล่มใดก็ไปเลือกเอาเองเถิด ปู่ยังมีเรื่องต้องไปจัดการ ขอกลับไปที่ห้องหนังสือก่อนนะ หากเจ้ามีเรื่องอันใดก็ไปหาข้าที่ห้องหนังสือก็แล้วกัน” ซือหม่าเลี่ยเปิดประตูให้เธอพลางพูดขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าให้ซือหม่าเลี่ย เมื่อเห็นเขาเดินไปแล้วจึงค่อยหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องหนังสือสะสม

ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ปัญหาของร่างกายตัวเองแล้ว แต่เครื่องยาต่างๆ ในชาติก่อนและชาตินี้ต่างก็มีความเปลี่ยนแปลงไปบ้าง อย่างน้อยก็มีบางชื่อที่ไม่เหมือนกัน เธอต้องค้นคว้าดูให้รู้แน่ชัด จากนั้นจึงจะจัดยาถอนพิษให้ตนเองได้อย่างถูกต้อง

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปในห้องหนังสือสะสม คิดไม่ถึงว่าด้านในของอาคารที่ภายนอกดูไม่สะดุดตาเลยนั้นจะใหญ่โตโอ่อ่าเช่นนี้ เธอมองดูรอบหนึ่ง ตรงกลางมีบันไดวน หมุนวนขึ้นไปเชื่อมต่อทั้งสี่ชั้นเข้าด้วยกัน ซึ่งทุกชั้นล้วนมีหนังสืออยู่มากมาย

ไม่เพียงเท่านี้ พื้นที่ที่มองจากด้านนอกแล้วดูเหมือนไม่ใหญ่ แต่เมื่อเข้ามางด้านในแล้วชั้นล่างสุดกลับมีขนาดใหญ่พอๆ กับสนามฟุตบอลในชาติก่อนเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าเมื่อขึ้นไปข้างบนแล้วจะเล็กลงเรื่อยๆ แต่ชั้นบนสุดก็ยังใหญ่กว่าสนามบาสเกตบอลเสียอีก

“โอ้แม่เจ้า นี่คืออะไรกัน นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้วนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตกตะลึงเพราะภาพอันอลังการที่เห็นตรงหน้าเสียแล้ว โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่างแต่ละชั้น พอเธอได้สติกลับคืนมาก็เริ่มวิตกกังวลขึ้นมา “หนังสือเยอะแยะขนาดนี้ แล้วจะเริ่มหาจากตรงไหนล่ะ ถ้ารู้ก่อนก็คงถามท่านปู่ไปแล้วล่ะ”

เธอหาที่ชั้นหนึ่งก่อน หลังจากที่ค้นหาอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พบว่าที่นี่จัดวางหนังสือประเภทเดียวกันเอาไว้ด้วยกัน ถ้าหากเป็นชั้นวางเดียวกันก็จะเป็นหนังสือประเภทเดียวกัน เช่นนั้นด้านหลังอีกสิบแถวก็เป็นหนังสือประเภทเดียวกันทั้งสิ้น

“ฮ่า หาเจอแล้ว” หลังจากหาอยู่นานสองชั่วโมง ในที่สุดเธอก็หาตำราที่เกี่ยวข้องกับทักษะการแพทย์เจอท่ามกลางชั้นที่หนึ่งของห้องหนังสือสะสม

เธอหาท่ามกลางแถวหนังสืออยู่ชั่วครู่ก็หาหนังสือที่เกี่ยวกับเครื่องยาพบ และปรากฏว่าทั้งชั้นนี้ล้วนใช่ทั้งสิ้น เธอลูบท้องที่หิวโหยอยู่บ้างก่อนจะหยิบหนังสือออกมาหลายเล่มแล้วหอบเอาไว้ในอ้อมแขนเดินออกมาจากห้องหนังสือสะสม ตอนที่เธอเดินออกมาจากห้องหนังสือสะสม ประตูด้านหลังก็ลงกลอนเองเสียงดังคลิก

เวลานี้ฟ้ามืดลงแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปยังเรือนของตน อวิ๋นเย่ว์และชุนเจี้ยนเห็นหนังสือหอบใหญ่ที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอแล้วก็รีบเข้ามารับอย่างรวดเร็วพลางถามว่า ”คุณชาย อยากรับประทานอาหารค่ำตอนนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”

“อืม ข้าหิวแล้ว ยกข้าวปลาอาหารเข้ามาในห้องข้าเลยก็แล้วกัน อ้อ ยังมีอีก อวิ๋นเย่ว์ เจ้าไปบอกท่านปู่ข้าให้หน่อยสิว่าอีกสองวันต่อจากนี้ข้าจะอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ไม่ออกไปกินข้าวละนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบท้องพลางกลับเข้าไปในห้องของตน

ชุนเจี้ยนเข้าไปเตรียมอาหารค่ำให้ซือหม่าโยวเย่ว์ในห้องครัว ส่วนอวิ๋นเย่ว์นั้นหลังจากที่หอบหนังสือเข้าไปไว้ในห้องให้เธอแล้วก็ไปพบซือหม่าเลี่ย

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วเริ่มต้นอ่าน หนังสือที่เธอหามาล้วนเกี่ยวกับวิชาแพทย์อย่างผิวเผินสำหรับให้คนที่เพิ่งเริ่มต้นอ่าน เครื่องยาด้านในก็ล้วนพบเห็นได้บ่อยและจำแนกได้ง่ายทั้งสิ้น สติปัญญาของเธอในชาติก่อนสูงกว่าคนทั่วไปเกือบเท่าตัว ดังนั้นจึงเรียนรู้อะไรได้อย่างรวดเร็วยิ่ง บวกกับเดิมทีเธอก็คุ้นเคยกับยาแผนจีนโบราณเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ที่อ่านตำราแพทย์เหล่านี้อยู่ในตอนนี้ก็เพื่อเปรียบเทียบกับชาติก่อนเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงอ่านหนังสือได้รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง พอชุนเจี้ยนยกอาหารค่ำเข้ามาให้เธอ เธอก็อ่านหนังสือเล่มแรกไปเกินครึ่งเล่มแล้ว

ชุนเจี้ยนมองเห็นเธออ่านหนังสืออย่างไม่ผ่านการคิดวิเคราะห์แล้วก็อดที่จะส่ายหน้าไม่ได้ ดูท่าทางคุณชายผู้นี้อ่านหนังสือก็คงจะมิได้อ่านให้ดีๆ กระมัง!

“คุณชาย กับข้าวเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนวางกับข้าวลงบนโต๊ะพลางเอ่ยขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์วางหนังสือลงแล้วมายังโต๊ะอาหาร พอเห็นอาหารที่แตกต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิงแล้วก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจพลางเอ่ยว่า “นี่สิถึงจะเรียกว่ากับข้าว”

ซือหม่าโยวเย่ว์กินอาหารค่ำหมดอย่างรวดเร็วแล้วเร่งให้สาวใช้ทั้งสองออกไปนอกห้อง หลังจากนั้นก็ไปยังโต๊ะอ่านหนังสือเพื่ออ่านหนังสือต่อไป

เธออ่านหนังสือเล่มแรกจบแล้วก็พบว่าเครื่องยาธรรมดาทั่วไปของที่นี่กับในโลกของเธอใกล้เคียงกันมาก แต่ก็มีบางอย่างที่แตกต่างกันอยู่บ้าง อย่างเช่นชื่อเรียกไม่เหมือนกัน หรือว่าเครื่องยาที่มีสรรพคุณทางยาเหมือนกันมีหลากหลายชนิดมากกว่า เป็นต้น ทั้งยังมีบางอย่างที่เป็นเครื่องยาที่เธอไม่เคยพบเห็นมาก่อน

แต่เธอก็ค้นพบว่าสิ่งที่ตนหยิบกลับมานั้นเป็นตำราชุดเดียวกัน ด้านในเป็นการสรุปเครื่องยาที่มีสรรพคุณเดียวกันเข้าไว้ด้วยกัน หากรู้เช่นนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ก็คงจะหาเครื่องยาที่ตนเองต้องการโดยอ้างอิงจากสรรพคุณได้อย่างรวดเร็วแล้ว

“ที่แท้แล้วชื่อเรียกส่วนใหญ่ไม่เหมือนกันเลย ยังดีที่ตนหาตำราแพทย์เพื่อเปรียบเทียบเอาไว้ก่อนแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูตำรับยาที่จดเอาไว้แล้วก็บิดขี้เกียจคราหนึ่งจึงค่อยค้นพบว่าตอนนี้ฟ้าใกล้สว่างแล้ว

เพราะว่าเมื่อคืนก็ไม่ได้นอนหลับเพียงพอ คืนนี้ก็ยังอยู่จนดึกดื่นอีก หลังจากที่เธอผ่อนคลายลงแล้วก็รู้สึกว่าดวงตาเกือบจะปิดอยู่แล้ว จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนเตียงนอนของตน เพียงไม่นานก็หลับสนิท

คืนนี้เธอไม่ได้ฝัน หากแต่หลับสนิทรวดเดียวยาวจนเกือบเที่ยง เธอลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือมองดูมุ้งที่มีลวดลายโบราณแล้วก็ยังคิดว่าตนกำลังฝันไปอยู่ชั่วครู่หนึ่ง

“จ๊อกๆ…”

ท้องไส้อันหิวโหยเริ่มส่งเสียงร้องขึ้นมาทำให้สติรับรู้ของเธอกลับคืนมาอย่างช้าๆ ความทรงจำเหล่านั้นค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เธอยกมือขึ้นลูบหน้าผากพลางเอ่ยพึมพำว่า “ที่แท้แล้วนี่มันไม่ใช่ความฝันนี่นา”

เธอลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย อวิ๋นเย่ว์เข้ามาปรนนิบัติให้ล้างหน้าล้างตา ส่วนชุนเจี้ยนก็ยกอาหารเที่ยงที่ตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วเข้ามาให้ หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอก็หยิบเทียบยาสองแผ่นที่เขียนเอาไว้เมื่อคืนไปหาซือหม่าเลี่ย

ตอนที่ซือหม่าเลี่ยมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยังประหลาดใจอยู่บ้าง พูดในใจว่าเมื่อวานเพิ่งจะบอกว่าสองวันนี้จะอ่านหนังสืออยู่แต่ในเรือนของตนเองอยู่เลย เหตุใดวันที่สองก็นั่งไม่ติดเสียแล้ว หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนางกันเล่า

“ท่านปู่ ข้ามีเรื่องอยากถามท่านน่ะขอรับ” ไม่รอให้ซือหม่าเลี่ยถามไถ่ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“ว่าอย่างไรหรือ” ซือหม่าเลี่ยเห็นท่าทีและสีหน้าเคร่งขรึมของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็โบกไม้โบกมือให้ทหารยามถอยออกไปก่อน

ซือหม่าโยวเย่ว์ยกเก้าอี้ย้ายมาตรงหน้าโต๊ะหนังสือของซือหม่าเลี่ยแล้วนั่งลง ก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านปู่ ท่านรู้หรือไม่ขอรับว่าเหตุใดข้าจึงไม่อาจบำเพ็ญได้”

…………………

Related

อวิ๋นเย่ว์และชุนเจี้ยนเพิ่งจะเคยเห็นคุณชายของตนพูดจาน่าฟังเช่นนี้เป็นครั้งแรก ก็รู้สึกว่าสนิทสนมกันไม่น้อย ต่างก็ค้อมกายเอ่ยว่า “ได้เจ้าค่ะ บ่าวจะไปยกมาเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์รอคอยอาหารเลิศรสในจินตนาการของตนอยู่ภายในห้อง แต่เมื่อเห็นอาหารที่พวกอวิ๋นเย่ว์ยกเข้ามาแล้วก็ตะลึงงันไปทั้งร่าง

“นี่… นี่คืออาหารที่พวกเจ้าเตรียมเอาไว้ให้ข้าอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ชี้อาหารที่เพียงแค่ใช้น้ำลวกต้มอย่างง่ายๆ บนโต๊ะเหล่านั้นพลางถามขึ้น

เมื่อวานเธอได้กินแต่โจ๊กเนื้อ ดังนั้นย่อมไม่รู้ว่าอาหารของที่นี่เป็นเช่นไร แวบแรกที่เห็นว่าเพียงแค่ใช้น้ำลวกต้มเท่านั้น เธอก็ตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง

“บ่าวสมควรตายเจ้าค่ะ!” อวิ๋นเย่ว์และชุนเจี้ยนคุกเข่าลงบนพื้นในทันทีพลางโขกศีรษะขอขมาไม่หยุด

“เฮ้ๆๆ นี่พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ ข้ามิได้ตำหนิพวกเจ้าเสียหน่อย! ลุกขึ้นมาเร็วเข้า!” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นคนทั้งสองตอบสนองอย่างใหญ่โตเช่นนี้ก็ส่งเสียงร้อง

ทันใดนั้นเธอก็ได้รู้จากในความทรงจำว่าเจ้าของร่างเดิมของตนนั้นเข้มงวดกับสาวใช้สองคนนี้เป็นอย่างยิ่ง หากไม่ได้ดั่งใจเพียงนิดเดียวก็ทั้งด่าทั้งตบตี ทำให้สาวใช้ทั้งสองคุกเข่าลงกับพื้นโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นตนโมโห

“ขอบคุณคุณชายเจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองลุกขึ้นจากพื้น แต่ในใจก็ยังคงมีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่สนใจคนทั้งสองอีก เธอใช้มือซ้ายกุมท้อง มือขวาหยิบตะเกียบแล้วใช้ตะเกียบควานไปมาในกับข้าว พยายามจะหากับข้าวที่ทำให้ตนปักตะเกียบลงไปได้ แต่หลังจากพยายามอยู่สิบนาทีก็ยอมแพ้เสียแล้ว เธอวางตะเกียบลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “เอาผลไม้มาให้ข้าสักสองลูกเถิด”

หลังจากกินผลไม้ไปสองลูกใหญ่แล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็ก้าวขึ้นเตียงอย่างเศร้าสร้อยพลางลูบท้องที่ยังคงว่างเปล่าก่อนจะเอ่ยพึมพำว่า “ต้องกินข้าวกินปลาสิถึงจะใช้ได้!”

“เจ้านี่ ตะกละตะกลามเช่นนี้อยู่ตลอดเลยนะ ไปถึงระดับเทพแล้ว แต่ก็ยังตัดใจจากกับข้าวกับปลาไม่ได้อยู่ดี” น้ำเสียงที่ทั้งอบอุ่นนุ่มนวลทั้งรักใคร่ทะนุถนอมเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในห้วงสมองของเธอในทันใด คล้ายกับผ่านสิ่งกีดขวางของห้วงเวลา เล็ดลอดออกมาจากความทรงจำอันไกลแสนไกล

“นี่มันเสียงของใครกัน ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดกับตัวเอง ทว่าความรู้สึกกลับไม่เหมือนกัน เธอเป็นคนไร้ค่าทางด้านการบำเพ็ญ แล้วจะบำเพ็ญไปถึงระดับเทพได้อย่างไรกัน

“ถ้าอย่างนั้นที่แท้แล้วใครเป็นคนพูดประโยคนี้กัน แล้วพูดให้ใครฟังกันล่ะ”

ตอนที่ยากจะกลืนกินอาหารค่ำลงไปนั้น ซือหม่าโยวเย่ว์ก็วิ่งไปยังห้องครัว หลังจากที่วุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ผัดกับข้าวง่ายๆ มาให้ตนเองได้สองจานเล็ก

มาที่โลกแห่งนี้ได้สองวันแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้กินอิ่มท้องเช่นนั้น

ตอนที่นอนหลับยามราตรี เธอฝันเช่นเดียวกันกับคราวก่อน น้ำเสียงหวีดแหลมเช่นเดิม พูดคำพูดเดิม

“ซือหม่าโยวเย่ว์ ไปตายเสียเถิด…”

เธอแยกแยะออกมาได้ว่านี่คือเสียงของมืออันดับสองในชาติก่อน

“ซีเหมินโยวเย่ว์ เจ้าไปตายเสียเถิด พอเจ้าตายแล้วข้าก็จะได้เป็นผู้มีพรสวรรค์ของดินแดนแห่งนี้เสียที… ฮ่าๆๆๆ…”

นี่คือใครกัน ทำไมเธอถึงไม่มีภาพในหัวเลยสักนิดเดียว

“ไปตายเสียเถิด…”

เสียงทั้งสองสอดประสานกัน ทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันที เสื้อผ้าบนร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ในดวงตามีความเศร้าโศก

“เพราะอะไรกัน ทำไมมีสองชื่ออีกแล้วล่ะ…”

คืนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ได้เข้านอนอีกต่อไปแล้ว เพียงแค่เธอหลับตาลง ในสมองก็เต็มไปด้วยชื่อสองชื่อนั้น

ซือหม่าโยวเย่ว์ ซีเหมินโยวเย่ว์

แต่ว่าเธอค้นหาดูในความทรงจำทั้งหมดที่มีแล้วก็มีเพียงแค่ร่องรอยที่เป็นของซือหม่าโยวเย่ว์เท่านั้น ส่วนซีเหมินโยวเย่ว์นั้น ไม่ว่าจะเป็นในความทรงจำของชาติก่อนหรือว่าชาตินี้ก็ไม่เห็นเลยแม้แต่เงา

ผลของการที่ไม่ได้นอนมาคืนหนึ่งก็คือเมื่อส่องกระจกในตอนเช้าวันที่สอง เธอก็พบว่าดวงตาทั้งสองกลายเป็นตาแพนด้าไปเสียแล้ว ตอนที่กินข้าวเช้า เธอจึงกลายเป็นความบันเทิงของท่านปู่และบรรดาพี่ชายทั้งหลายของตน

“ท่านพี่สาม ท่านพี่สี่ เหตุใดจึงยังไม่ไปที่วิทยาลัยอีกเล่า แล้ววันนี้ท่านพี่ใหญ่กับท่านพี่รองไม่ออกไปข้างนอกกันหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่ที่โต๊ะแล้วเริ่มกินข้าวเช้า เมื่อมองเห็นอาหารที่ไม่ต่างไปจากเมื่อวานแล้วเธอก็ขมวดคิ้วก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมา

“พวกเรากำลังรอเจ้าอยู่อย่างไรเล่า พอแน่ใจว่าเจ้าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ พวกเราค่อยออกจากบ้านก็ยังไม่สายหรอก” ซือหม่าโยวฉีพูด

“แล้วดวงตาเจ้าเป็นอะไรไป” ซือหม่าโยวหมิงมองดูขอบตาดำคล้ำลึกโหลของเธอแล้วเอ่ยถาม

“เมื่อคืนมียุงยักษ์สองตัวอยู่ในห้อง ส่งเสียงจนข้าหลับไม่ลงทั้งคืนเลยขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดไร้สาระไปเรื่อย

ตอนนี้เป็นต้นฤดูร้อน อันที่จริงก็เริ่มจะไม่มียุงแล้ว ทว่าแม้เธอพูดเช่นนี้ออกไปแต่ทุกคนก็ไม่ได้สงสัย

ซือหม่าโยวเย่ว์กินอาหารเช้าไปครึ่งหนึ่งแล้วก็วางตะเกียบลง

“เหตุใดเจ้าจึงไม่กินต่อ” ซือหม่าเลี่ยถาม

“ไม่อร่อยเลยกินไม่ลงขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดตอบ

“ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้กินเช่นนี้อยู่แล้วหรือ” ซือหม่าโยวหรานมองดูอาหารเช้า ซึ่งมิได้แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้เลยมิใช่หรือ

“ในเมื่อโยวเยว่ไม่อยากกิน เช่นนั้นก็มายกออกไปเสียเถิด” ซือหม่าเลี่ยพูด

สาวใช้ที่คอยอยู่ด้านข้างรีบก้าวเข้ามายกอาหารออกไปจนหมด พวกซือหม่าโยวฉีแต่ละคนก็ไม่ได้แสดงความเห็นอันใด ตอนนี้พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องกินอาหาร ที่กินอยู่ทุกวันนี้ก็เพียงเพื่อกินเป็นเพื่อนซือหม่าโยวเย่ว์เท่านั้น

“เช่นนั้นพวกเราไปที่วิทยาลัยก่อนนะ” พวกซือหม่าโยวหรานพากันลุกขึ้นพูด

“พวกเราไปก่อนนะ” ซือหม่าโยวฉีพูด

“ไปเถิดๆ” ซือหม่าเลี่ยพูดพลางโบกไม้โบกมือ รอหลังจากที่พวกเขาไปกันหมดแล้วจึงค่อยเอ่ยถามซือหม่าโยวเย่ว์ “โยวเยว่ วันนี้เจ้าวางแผนจะทำสิ่งใดหรือ”

เดิมทีซือหม่าโยวเย่ว์คิดจะไปวนเวียนแถวห้องหนังสือสะสม แต่เมื่อนึกถึงว่าอาหารที่ได้กินล้วนเป็นอาหารที่ปรุงอย่างง่ายๆ ทุกครั้งแล้วก็หลุดปากพูดไปว่า “ข้าจะไปดูในห้องครัวสักหน่อย สอนคนครัวผัดกับข้าวน่ะขอรับ!”

“สอน…สอนคนครัวผัดกับข้าวอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าเลี่ยถูกคำตอบของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้ตกใจจนตัวแข็งไปเสียแล้ว

“ถูกต้องแล้วขอรับ วันนี้จักรพรรดิตงเฉินมิได้ทรงเรียกท่านปู่ไปปรึกษาเรื่องราชการหรอกหรือ ข้าจะอยู่ที่บ้านนี่แหละ ไม่ไปไหนทั้งนั้นขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เธอรู้ว่าที่ซือหม่าเลี่ยถามเธอเช่นนี้ก็เพราะไม่วางใจตน กลัวว่าตนจะออกไปแล้วถูกคนรังแกอีก ตอนนี้มีคำรับรองแล้วเขาก็ควรจะออกไปอย่างสบายใจได้

ถึงแม้ว่าซือหม่าเลี่ยจะไม่ค่อยเชื่อคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์สักเท่าใดนัก เพราะก่อนหน้านี้นางก็เคยพูดเช่นนี้มาก่อนแล้ว แต่พอตนก้าวออกไปจากบ้าน เธอก็ก้าวตามออกไปติดๆ ทันที แต่เมื่อเห็นนางเดินมุ่งตรงไปยังห้องครัว เขาก็ทำได้เพียงแค่เลือกที่จะเชื่อนางอีกครั้ง

คราวนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ได้ผิดคำพูด วันนี้เธออยู่ในครัวตลอดทั้งวันจริงๆ เมื่อเห็นซือหม่าเลี่ยที่กลับออกมาจากวังแล้วก็เอ่ยว่า “ท่านปู่ ท่านมาลองชิมกับข้าวที่พ่อครัวเพิ่งผัดใหม่ๆ นี่ดูสิขอรับ!” พูดแล้วเธอก็ยังใช้ตะเกียบคีบอาหารส่งไปถึงปากซือหม่าเลี่ย

ซือหม่าเลี่ยกินผักที่เธอส่งมาให้ลงไป พลางเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “นี่มันอาหารอันใดกัน เหตุใดจึงอร่อยเช่นนี้เล่า”

“นี่คือผักที่ข้าสอนพวกเขาผัด เป็นอย่างไรบ้างขอรับ รสชาติไม่เลวเลยใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ฮ่าๆ อร่อยกว่าก่อนหน้านี้จริงๆ เสียด้วย” ซือหม่าเลี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอนอยู่แล้วขอรับ วันนี้พวกเขาฝึกฝนอยู่ทั้งวันจึงจะผัดออกมาเช่นนี้ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด ถึงแม้ว่าสิ่งที่พวกเขาผัดออกมาจะเทียบกับความต้องการของเธอไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าที่กินมาสองมื้อก่อนมากมายนัก

ต่อมาเธอก็เห็นว่าอวิ๋นเย่ว์และชุนเจี้ยนค่อนข้างจะมีพรสวรรค์ในเรื่องเหล่านี้ จึงลากพวกนางมาฝึกฝนด้วยกัน จานที่อยู่ในมือของเธอตอนนี้เป็นฝีมือการผัดของอวิ๋นเย่ว์นั่นเอง

“อืม ต่อจากนี้ก็ให้พวกนางทำของอร่อยๆ ให้เจ้ากินก็แล้วกัน” ซือหม่าเลี่ยพูด “ถ้าหากเจ้าไม่เป็นไรแล้วก็มาทุ่มเทจิตใจให้กับสิ่งนี้ได้นะ”

“ข้าทราบแล้วขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด ทันใดนั้นเธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงวางตะเกียบลงแล้วพูดว่า “ท่านปู่ ข้าอยากจะไปหาหนังสือที่ห้องหนังสือสะสมของพวกเรามาอ่านสักหน่อยน่ะขอรับ”

……………………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูพี่ชายทั้งสองพลางพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าล้างแค้นของข้าเองได้ พวกพี่ๆ ไม่ต้องเป็นกังวลแทนข้า โยวเย่ว์เติบใหญ่แล้ว ต่อจากนี้จะไม่ทำตัวแบบนั้นอีกแล้ว”

“ดี ดี เย่ว์เอ๋อร์เติบใหญ่แล้ว!” ซือหม่าเลี่ยเอ่ยอย่างตื่นเต้น

“ท่านปู่ขอรับ ก่อนหน้านี้โยวเย่ว์ไม่รู้เรื่องรู้ราว ทำให้ท่านปู่และพวกพี่ๆ เศร้าเสียใจ ล้วนเป็นความผิดของโยวเย่ว์ทั้งสิ้น” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นได้จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมว่าก่อนหน้านี้นางได้ทำเรื่องผิดพลาดลงไปไม่น้อยเลยจริงๆ เพื่อหนุ่มหล่อเหล่านั้นนางได้ทำร้ายคนในครอบครัวไปไม่น้อย แต่ในส่วนลึกของจิตใจนางก็ยังรักทุกคนในครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ให้ตนใช้ชีวิตแทนนางต่อไปหรอก เหตุผลก็คือเพื่อไม่ให้พวกเขาต้องเศร้าเสียใจเพราะรู้ว่านางจากไปแล้ว

“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไปเถิด น้องห้ารู้ข้อผิดพลาดของตนเองก็ใช้ได้แล้ว นอกจากนี้พวกเราก็ไม่เคยคิดตำหนิเจ้าในเรื่องที่ผ่านมาเลย” พี่สามซือหม่าโยวหรานพูด

คนอื่นๆ ก็พากันพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด

“อืม ต่อจากนี้ไปข้าจะต้องปรับปรุงนิสัยในอดีตและใช้ชีวิตให้ดีๆ อย่างแน่นอน”

“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าจะแก้แค้นของเจ้าเอง เช่นนั้นพวกพี่ๆ ก็จะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวาย ทว่าหากเจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกพวกเรามาได้ตลอด พวกพี่รอช่วยอยู่เสมอ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าตนเองน้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอรู้สึกซาบซึ้ง หรือว่าเป็นความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่ในร่างกาย ด้วยความที่พวกเขาปกป้องดูแลตน เธอจึงจดจำพวกเขาเอาไว้ในหัวใจเรียบร้อยแล้ว

“เอาละ พวกเราให้น้องห้าพักผ่อนเถิด ต่อให้ยาวิเศษมีผลลัพธ์ดีเลิศ แต่นางก็อาจจะรู้สึกเหนื่อยได้อยู่ดี” พี่ใหญ่ผู้มีอำนาจตัดสินใจพูดขึ้น

“ก็ได้ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เช่นนั้นพวกเรากลับก่อนนะ น้องห้า ถ้าหากเจ้ามีความต้องการอันใดก็ต้องบอกพวกเราด้วย อย่าได้ออกไปคนเดียวอีกเป็นอันขาด”

“ใช่แล้ว ถ้าหากเจ้าออกไปคนเดียวแล้วถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บอีกจะทำอย่างไร ดังนั้นห้ามออกไปคนเดียวเป็นอันขาด”

“…”

หลังจากเอ่ยกำชับและตักเตือนเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้วสี่พี่น้องและซือหม่าเลี่ยจึงออกไปจากเรือนของซือหม่าโยวเย่ว์

“เฮ้อ…”

รอให้ภายในเรือนเหลือแค่ตนเพียงลำพังแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงเอ่ยอย่างอิจฉาว่า “เจ้าช่างมีญาติพี่น้องทั้งบ้านที่รักใครเจ้าดีจริงๆ ช่างโชคดีเหลือเกิน แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีช่วงเวลาที่ข้าได้รับความรักใคร่เอาใจใส่จากญาติพี่น้องด้วย ดังนั้นต้องขอบคุณเจ้ามาก ข้าจะใช้ชีวิตแทนเจ้าเป็นอย่างดีเลย ซือหม่าโยวเย่ว์”

หลังจากที่จัดการกับอารมณ์ตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ตะโกนเรียกคนด้านนอกประตู “เข้ามาหน่อย!”

“เจ้าค่ะ คุณชาย” สาวใช้สองคนก่อนหน้านี้ผลักประตูเข้ามาพร้อมกับคารวะทำความเคารพ

“ข้าอยากอาบน้ำ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองสาวใช้รูปงามทั้งสองพลางเอ่ยขึ้น

“คุณชายรอสักครู่นะเจ้าคะ พวกบ่าวจะไปจัดเตรียมให้เดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”

พอสาวใช้ทั้งสองพูดจบก็เดินออกไป เพียงครู่เดียวก็กลับมา ทั้งคู่ยกถังไม้ใบหนึ่งเข้ามา หลังจากนั้นก็ออกไปข้างนอกแล้วยกน้ำร้อนเข้ามาเทใส่ถังไม้หลายถัง

“คุณชาย เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

“อืม ออกไปก่อนเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือ สองสาวใช้ก็ออกไป ยามที่ออกไปยังไม่ลืมปิดประตูให้อีกด้วย

ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวลงจากเตียง เดินไปพลางถอดเสื้อผ้าของตนเองทิ้งลงพื้นไปพลาง เมื่อไปถึงตรงหน้าถังอาบน้ำ เธอก็ตัวเปล่าเปลือยแล้ว เธอก้มลงมองทรวงอกที่แบนราบเหมือนลานบิน ก่อนจะมองอวัยวะส่วนล่างของตนแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ดูไปแล้วก็เหมือนผู้ชายจริงๆ นั่นแหละ!”

เธอก้าวเท้าลงไปในถังอาบน้ำแล้วนั่งลงแช่น้ำอุ่น ตนเองในชาติก่อนก็ชื่นชอบการอาบน้ำ เธอรู้สึกว่าการหุ้มห่ออันอ่อนโยนนุ่มนวลเช่นนั้นช่วยขจัดความเจ็บปวดทั้งหมดที่มีอยู่บนร่างกายตนได้ ทำให้เธอแข็งแกร่งต่อไปได้ในยามที่เหนื่อยล้า

ซือหม่าโยวเย่ว์แช่อยู่ในน้ำจนกระทั่งอุณหภูมิน้ำเย็นลงอย่างช้าๆ เธอจึงค่อยยื่นมือของตนมาสำรวจบนนิ้วมือข้างซ้ายที่สวมแหวนวงหนึ่ง ในความทรงจำแหวนวงนี้อยู่บนมือของเจ้าของร่างเดิมมาโดยตลอดนับตั้งแต่จำความได้

ซือหม่าเลี่ยบอกกับนางว่าแหวนวงนี้คือแหวนมนตร์ ช่วยทำให้นางดูเหมือนบุรุษได้ นอกจากนี้ยังกำชับไม่ให้นางถอดแหวนวงนี้ออกมาเป็นอันขาด โดยเฉพาะตอนที่มีคนอื่นอยู่ด้วย

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ตอนที่เจ้าของร่างเดิมอยู่ในห้องคนเดียว ก็มีบางทีที่ถอดแหวนออกมาเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ความลับของตนถูกสาวใช้ค้นพบ นางจึงสั่งสาวใช้เอาไว้ว่าถ้าไม่มีคำสั่งจากตน ผู้ใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในห้อง

ตอนนี้เธอต้องการสำรวจร่างกายของตนเอง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องโยนประโยชน์ของแหวนมนตร์นี้ทิ้งไป เธอยื่นมือไปยังปุ่มกลมปุ่มหนึ่งตรงขอบแหวนแล้วใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางหมุนเบาๆ ก็มีเสียงคลิกเบาๆ เสียงหนึ่ง ร่างกายของตนก็แปรเปลี่ยนไปในทันที

เธอวางนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางขวาลงบนข้อมือข้างซ้าย แล้วสัมผัสชีพจรของตนเองอย่างละเอียด

ถึงแม้ว่าชาติก่อนเธอจะเป็นมือสังหาร แต่ตัวตนฉากหน้ากลับเป็นรองศาสตราจารย์ด้านการแพทย์แผนจีน ที่มหาวิทยาลัยแพทย์ นอกจากนี้ยังเป็นรองศาสตราจารย์ที่อายุน้อยที่สุดในมหาวิทยาลัยอีกด้วย เวลาปกติพวกเธอทำงานตามตำแหน่งหน้าที่ของตน มีเฉพาะเวลาที่ได้รับภารกิจเท่านั้นจึงค่อยออกไป

ยิ่งเวลาที่คลำชีพจรนานขึ้น สีหน้าของเธอก็เคร่งขรึมยิ่งขึ้นไปด้วย จากนั้นเธอก็ปล่อยมือของตัวเองแล้วยกมือขึ้น เธอพบจุดสองจุด จุดหนึ่งแดง จุดหนึ่งดำใต้วงแขนทั้งสองข้าง

ก่อนหน้านี้เธอก็รู้สึกว่าร่างกายมีความผิดปกติบางอย่างอยู่ ดังนั้นจึงสงสัยว่าการที่ตนไม่อาจบำเพ็ญได้นั้นมีสาเหตุอยู่ เธอใช้นิ้วชี้ขวาลูบไฝที่ใต้วงแขนซ้ายแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ร่างกายนี้มีปัญหาจริงๆ เสียด้วยสิ…”

หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์อาบน้ำเสร็จและสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็หมุนแหวนมนตร์กลับที่เดิม เธอมาถึงตรงหน้ากระจกแล้วก็พบว่าตอนนี้รูปลักษณ์ของตนเองดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ยอดชายงามที่เล่าลือกัน แต่ก็นับได้ว่าเป็นคุณชายรูปงามคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าพฤติกรรมยามปกติของเธอทำให้คนพากันคิดว่าเธอเบี่ยงเบนแล้วละเลยรูปลักษณ์ของเธอไปโดยไม่รู้ตัว

เธอเรียกสาวใช้เข้ามายกถังน้ำออกไปแล้วถามชื่อของคนทั้งสองรอบหนึ่ง คนหนึ่งชื่ออวิ๋นเย่ว์ ส่วนอีกคนชื่อชุนเจี้ยน ต่างก็เป็นชื่อที่ราวกับอยู่ในบทกวี ทั้งสองคนเป็นคนที่ดูแลซือหม่าโยวเย่ว์มาตั้งแต่เล็ก จำได้แม่นมั่นอยู่ตลอดว่าหากไม่มีคำสั่งก็ห้ามเข้าไปในห้อง ดังนั้นสาวใช้คนอื่นๆ มาแล้วก็จากไป ส่วนพวกนางสองคนยังคงอยู่มาโดยตลอด นับได้ว่าจงรักภักดีต่อซือหม่าโยวเย่ว์ แต่เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์คนก่อนลงโทษสาวใช้ที่เข้ามาในห้องตามอำเภอใจเหล่านั้นแล้ว พวกนางจึงหวาดกลัวอยู่บ้าง

“อวิ๋นเยว่ ชุนเจี้ยน ข้าหิวแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางมองคนทั้งสอง

ผู้ที่บำเพ็ญหาพลังงานที่จะมาส่งเสริมร่างกายตนจากปราณวิญญาณในอากาศได้ ดังนั้นคนที่ยิ่งมีพลังยุทธ์สูงส่งก็จะยิ่งมีความต้องการในสิ่งต่างๆ น้อยลง เมื่อไปถึงระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณ โดยพื้นฐานก็ไม่จำเป็นต้องกินอาหารแล้ว แต่คนจำนวนไม่น้อยก็ยังกินบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อระงับความต้องการ

แต่คนไร้ค่าที่ไม่อาจบำเพ็ญได้โดยสิ้นเชิงอย่างซือหม่าโยวเย่ว์นั้นมิอาจขาดอาหารได้เลยแม้แต่มื้อเดียว

“บ่าวเตรียมอาหารเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ จะให้ยกมาให้คุณชายเลยดีไหมเจ้าคะ” อวิ๋นเย่ว์พูด

“ดีสิ! เร็วๆ เลยอวิ๋นเย่ว์ พวกเจ้าช่างแสนดีเหลือเกิน!” เมื่อซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินว่ามีของกินก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที

ถึงแม้ว่าศูนย์กลางการใช้ชีวิตของเธอในชาติก่อนจะอยู่กับการฆ่าคนและการค้นคว้าวิจัยทางการแพทย์ แต่อาหารเลิศรสก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตของเธอเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้เธอจึงตั้งใจหาเวลาไปเรียนทำอาหารหลายหลักสูตร ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสฉวน อาหารกวางตุ้ง อาหารหูหนานอะไร ก็นับได้ว่าเธอจัดการได้อยู่หมัดทั้งสิ้น

……………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์กลับมาถึงจวนแม่ทัพแล้วก็ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นในทันที วันนี้ออกไปรอบเดียวก็บาดเจ็บกลับมาเสียแล้ว!

“สวรรค์เอ๋ย เหตุใดคุณชายจึงได้รับบาดเจ็บอีกแล้ว ใครกันที่ทำร้ายท่าน! ให้ข้าดูเร็วเข้าว่าอาการเป็นเช่นไรบ้างแล้ว” เมื่อพ่อบ้านที่อยู่ในลานบ้านได้เห็นซือหม่าโยวเย่ว์ก็รีบเข้ามาตรวจดูอาการของเธอ

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นสายตาเจ็บปวดใจของพ่อบ้านแล้วแย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านอาเฉวียน ข้าไม่เป็นไรหรอก แค่ผิวหนังเป็นแผลไหม้เล็กน้อยเท่านั้นเอง”

“นิดเดียวอันใดกัน เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นแผลใหญ่โตเลย” ท่านอาเฉวียนเอ่ยอย่างเจ็บปวดใจ

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เห็นจะเจ็บตรงไหนเลย ข้ากลับไปให้สาวใช้ทายาทำแผลให้สักหน่อยก็หายแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยปลอบประโลม

ถึงแม้ว่าผู้คนภายนอกจะเรียกนางว่าคนไร้ค่า คนไร้ค่า อยู่ตลอด แต่ว่าคนทั้งจวนแม่ทัพล้วนไม่เคยรังเกียจนาง และยิ่งไม่เคยดูแคลนนางเลย กลับยิ่งเห็นอกเห็นใจและเอาใจนางเพราะนางไม่อาจบำเพ็ญได้ ท่านปู่เป็นเช่นนี้ พี่ชายก็เป็นเช่นนี้ พ่อบ้านและข้ารับใช้ในบ้านก็ล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น แต่เจ้าของร่างเดิมกลับไม่รู้ว่าตนวาสนาดีเพียงใด ทำให้คนรอบตัวนางเสียใจอยู่บ่อยครั้ง

“ก็ได้ ท่านกลับไปให้สาวใช้ดูแลท่านก่อน ข้าจะไปบอกท่านแม่ทัพให้นำยาวิเศษที่ดีหน่อยมาให้ท่าน” ท่านอาเฉวียนพูด

ยาวิเศษที่แพงที่สุดในจวนแม่ทัพให้เธอกินไปหมดแล้ว จะไปหายาวิเศษดีๆ มาจากที่ใดกัน เมื่อคิดเช่นนี้เธอก็พยักหน้าแล้วกลับไปยังเรือนของตน

สาวใช้ที่เรือนของเธอมีจำนวนน้อยมาตลอด นอกจากชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์ที่ตื่นมาในวันแรกแล้วได้ยินเสียงทั้งคู่พูดคุยกันแล้ว ก็มีเพียงแค่คนทำอาหารอีกสองคนเท่านั้น เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ได้รับบาดเจ็บ ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์ก็สะดุ้งโหยง แต่ก็ยังจัดการดูแลบาดแผลให้เธออย่างคล่องแคล่ว

เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวที่คุ้นเคยของพวกนาง ก็รู้ได้ทันทีว่าก่อนหน้านี้เจ้าของร่างเดิมได้รับบาดเจ็บมามากมายเพียงใด!

หลังจากที่จัดการบาดแผลเรียบร้อยแล้ว ชุนเจี้ยนก็หยิบยาเม็ดหนึ่งให้ซือหม่าโยวเย่ว์กิน แต่นี่คือยาวิเศษระดับต้น ส่วนอาการบาดเจ็บที่เธอได้รับคือแผลไหม้จากพลังวิญญาณ ดังนั้นพอกินยาแล้วก็ยังไม่เห็นว่าดีขึ้นแต่อย่างใด

ผ่านไปครู่หนึ่งซือหม่าเลี่ยก็มา เมื่อเห็นแผลไหม้บนแขนของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็เอ่ยขึ้นมาทั้งเจ็บปวดใจทั้งโมโหว่า “เหตุใดเจ้าจึงออกไปคนเดียวเล่า!”

“ท่านปู่…” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นซือหม่าเลี่ยโมโห จึงใช้มือขวาดึงแขนเสื้อของซือหม่าเลี่ยพลางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ข้าก็แค่อยากจะออกไปเดินเล่นสักหน่อยเท่านั้นเองขอรับ คิดไม่ถึงว่าจะไปเจอกับคนที่ตีข้าวันนั้นเข้า ก็เลยสั่งสอนเขายกหนึ่งแล้วทำลายเส้นเอ็นมือของเขาเสีย ทำให้เขากลายเป็นคนไร้ค่าที่ไม่อาจบำเพ็ญได้อีกต่อไป เมื่อเทียบกับเขาแล้วก็นับได้ว่าข้าใจดีแล้วนะขอรับ อันที่จริงแล้วนี่ก็ไม่มีอะไรเลย อีกไม่กี่วันก็หายดีแล้วล่ะขอรับ”

ถึงแม้ว่าในชาติก่อนตนจะไม่เคยถูกไฟลวกมาก่อน แต่ก็เคยได้รับบาดเจ็บอย่างอื่นมาไม่น้อย ทั้งถูกปืนยิงมีดแทงล้วนเคยได้รับมาแล้วทั้งสิ้น แผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่อยู่ในสายตาเธอสักนิด อย่างมากที่สุดก็แค่หลังจากนี้บนแขนอาจจะเหลือรอยแผลเป็นไม่น่าดูเอาไว้ก็เท่านั้นเอง

เห็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่ได้รับบาดเจ็บแต่ไม่ได้ทั้งร้องไห้ทั้งอาละวาดเหมือนเมื่อก่อน ซือหม่าเลี่ยก็รู้สึกปลาบปลื้มใจไม่น้อย เช่นนี้ค่อยเหมือนกับ “คุณชาย” จวนแม่ทัพของเขาหน่อย! เขาหยิบขวดใบหนึ่งมาเทยาวิเศษพลางเอ่ยว่า “นี่คือยาวิเศษที่คราวก่อนไปแลกเปลี่ยนกับปรมาจารย์ศิลามาพร้อมกัน เจ้ารีบกินเสียสิ”

“ท่านปู่ อาการบาดเจ็บของข้ามิได้เป็นอะไรมากเลยขอรับ อีกประเดี๋ยวเดียวก็คงหายดีแล้ว ยาวิเศษล้ำค่าถึงเพียงนี้ เก็บเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินดีกว่าขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางผลักมือซือหม่าเลี่ยออก

“ไม่เป็นอะไรเสียที่ไหนกัน! เป็นแผลไฟลวกใหญ่โตปานนั้นยังจะบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก! ดีร้ายอย่างไรบ้านเราก็เป็นถึงจวนแม่ทัพ ไม่ต้องมานั่งเสียดายยาวิเศษเม็ดเดียวหรอก เอ้า กินมันลงไปเสีย อีกประเดี๋ยวบาดแผลก็จะดีขึ้นแล้ว” ซือหม่าเลี่ยพูดพลางจ้องมองซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์วางยาวิเศษลงในปาก ถึงแม้ว่ารสชาติจะแสนขม แต่ใจเธอกลับแสนหวาน

ตนเองในชาติก่อนเป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่ถูกองค์กรเก็บมาเลี้ยง ต่อมาก็ฝึกฝนตามลำพัง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครใส่ใจเธออย่างแท้จริงมาก่อน คิดไม่ถึงว่ากลับมาเกิดใหม่อีกชาติหนึ่งแล้วเธอจะได้สัมผัสความรู้สึกที่มีคนใกล้ตัวรักใคร่เอาใจใส่กับเขาด้วย

ท่านปู่ ต่อจากนี้ไปท่านก็คือท่านปู่ของข้า! เธอพูดพึมพำในใจ

“ฮ่าๆๆ น้องห้า ตอนนี้เจ้าโตแล้วสินะ รู้จักปลอบประโลมท่านปู่เสียด้วย!”

ขณะนี้เอง น้ำเสียงกระจ่างเสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาจากด้านนอก จากนั้นชายหนุ่มสี่คนก็เดินเข้ามา ซึ่งก็คือคุณชายสี่ท่านแรกของตระกูลซือหม่า ซือหม่าโยวฉี ซือหม่าโยวหมิง ซือหม่าโยวหราน และซือหม่าโยวเล่อนั่นเอง

คนที่เอ่ยวาจาเมื่อครู่คือพี่ใหญ่ซือหม่าโยวฉี

“พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม พี่สี่ พวกท่านกลับมาพร้อมกันได้อย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยขึ้นแล้วมองดูคนทั้งสี่ที่เดินเข้ามา

“พวกเราได้ยินว่าเจ้าถูกทำร้ายก็ต้องรีบกลับมาดูอยู่แล้ว แต่กลับมาในเวลาไล่เลี่ยกันพอดีก็เท่านั้นเอง” พี่ใหญ่พูด จากนั้นก็มองสำรวจซือหม่าโยวเย่ว์คราหนึ่งพลางถามขึ้นว่า “เจ้ายังไม่สบายตรงไหนอยู่อีกหรือไม่”

พวกเขาต่างก็อยู่ข้างนอก แต่พอได้ยินว่านางถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ละคนจึงเร่งกลับมาโดยเร็วที่สุด

เมื่อได้ยินคำพูดของซือหม่าโยวฉี ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ไม่มีแล้ว ยาวิเศษที่ท่านปู่ให้ข้ากินนั้นมีผลลัพธ์ยอดเยี่ยม ตอนนี้ข้าสบายดีแล้ว”

“ท่านปู่ ท่านไปพบนักหลอมยามาแล้วหรือขอรับ” พี่รองซือหม่าโยวหมิงถาม

“อืม ข้าเห็นว่ายาวิเศษที่อยู่ในบ้านเหล่านั้นมีระดับต่ำเกินไป ก็เลยไปพบปรมาจารย์ศิลาว่าต้องการยาปลูกเนื้อขั้นสองสองเม็ด” ซือหม่าเลี่ยพูด

“คนผู้นั้นหมายปองโสมคนอายุสองร้อยปีรากนั้นของบ้านเรามาโดยตลอด ท่านปู่ ท่านคงมิได้ใช้สิ่งนั้นไปแลกเปลี่ยนมาหรอกกระมัง” พี่ใหญ่ซือหม่าโยวฉีเป็นผู้ดูแลจัดการด้านการเงินของบ้านมาตลอด เป็นผู้ที่รู้เรื่องราวในบ้านและนอกบ้านอย่างกระจ่างแจ้งที่สุด

ซือหม่าเลี่ยพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “พอข้าไปพบเขา เขาบอกว่ายาวิเศษขั้นสองหลอมขึ้นมาอย่างยากเย็นเหลือเกิน เขาเองก็มีอยู่เพียงไม่กี่เม็ดเท่านั้น ช่างล้ำค่ายิ่งนัก จึงขอแลกกับโสมคนรากนั้น เวลานั้นข้าร้อนใจเหลือคณาจึงตกปากรับคำไป”

“ยาวิเศษขั้นสองเม็ดหนึ่งมีมูลค่ายี่สิบชั่งทอง โสมคนอายุสองร้อยปีรากหนึ่งอย่างน้อยก็ต้องมีราคาห้าสิบชั่งทอง แต่ใช้สิ่งนี้แลกเปลี่ยนกับการฟื้นฟูร่างกายของน้องห้าก็นับว่าคุ้มค่าแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวหรานพูด ไม่เสียดายโสมคนพันปีอันล้ำค่ารากนั้นแม้แต่น้อย

“ใช่แล้ว ไม่มีโสมก็ช่าง ขอเพียงแค่น้องห้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” พี่สี่ซือหม่าโยวเล่อพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งบนเตียงพลางมองดูคนทั้งห้าที่อยู่รายล้อมตน ได้ฟังพวกเขาพูดถึงมูลค่าของยาวิเศษกับโสมคนอย่างเผินๆ แล้วก็ทอดถอนใจไปกับความรักใคร่ทะนุถนอมที่คนในบ้านมีต่อเจ้าของร่างเดิมคนนี้

โลกในตอนนี้ใช้ชั่งเงินชั่งทองเป็นอัตราแลกเปลี่ยน หนึ่งชั่งทองเท่ากับหนึ่งร้อยชั่งเงิน ซึ่งเท่ากับหนึ่งร้อยล้านชั่งทองแดง การใช้ชีวิตของคนทั่วไปส่วนใหญ่ก็ใช้ชั่งทองแดงและเหรียญเงินเป็นหลัก มีเพียงแค่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่ใช้ชั่งทองเป็นปกติ

ยี่สิบชั่งทองก็เพียงพอให้ครอบครัวห้าปากท้องสามัญธรรมดาครอบครัวหนึ่งดำรงชีวิตไปได้หนึ่งปีแล้ว! ทว่าเพื่อร่างกายของนาง พวกเขากลับไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

“น้องห้า ผู้ที่ทำร้ายเจ้ามีใครบ้าง เจ้าบอกมาสิ พวกเราจะไปล้างแค้นให้เจ้าเอง!” อายุของพี่สี่ซือหม่าโยวเล่อไม่มากนัก ท่าทางดูโตกว่าซือหม่าโยวเย่ว์เพียงแค่สามสี่ปีเท่านั้น นิสัยก็มุทะลุมากที่สุดด้วย

คุณชายทั้งห้าแห่งจวนแม่ทัพ พี่ใหญ่อายุยี่สิบเก้า พี่รองยี่สิบสี่ พี่สามยี่สิบสอง พี่สี่อายุสิบแปด ส่วนน้องห้าอายุสิบสี่ปี สี่คนโตล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งอาณาจักรตงเฉินทั้งสิ้น พี่ใหญ่เป็นปรมาจารย์วิญญาณระดับเก้าแล้ว ส่วนพี่รองและพี่สามนั้นเป็นระดับห้า พี่สี่ก็ไปถึงขั้นปรมาจารย์วิญญาณแล้ว

ถึงแม้ว่าจะอยู่เพียงขั้นนี้ แต่เมื่อเทียบกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันถือว่ามีพรสวรรค์อันชวนให้คนตื่นตะลึงอยู่ดี

มีเพียงแค่คุณชายห้าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นี้เท่านั้นที่แม้แต่พลังวิญญาณก็ยังมิได้ตื่นรู้เลย มิอาจสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณรอบกาย ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งผู้ฝึกวิญญาณเสียด้วยซ้ำ ซึ่งก็เป็นคนไร้ค่าที่ไม่อาจบำเพ็ญได้โดยสมบูรณ์คนหนึ่งนั่นเอง!

เมื่อได้ยินซือหม่าโยวเล่อพูดเช่นนี้ พี่รองที่มีนิสัยค่อนข้างขี้หงุดหงิดก็ก้าวเข้ามาร่วมวงด้วยแล้วเอ่ยถามว่า “น้องห้า บอกมาเถิดว่าผู้ใดกันแน่ที่ทำร้ายเจ้า พวกพี่ๆ จะไปแก้แค้นให้เจ้าเอง!”

…………………

Related

หลี่เฉิงมองดูร้านขายสัตว์อสูรวิเศษที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักแล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสีหน้าเหยียดหยามพลางเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ซือหม่าโยวเย่ว์ ข้าว่านะ หนังหน้าเจ้าหนาถึงเพียงนี้เชียวหรือ ยังคิดจะซื้อสัตว์อสูรวิเศษส่งไปให้มู่หรงอาน หวังจะให้เขาดีกับเจ้าสักหน่อยอย่างนั้นน่ะหรือ เจ้าฝันไปเถิด! เจ้านี่ช่างไม่ดูสารรูปตัวเองเสียบ้างเลย คนเบี่ยงเบนคนหนึ่ง ถึงกับกล้าคิดฝันว่าคุณชายอันดับหนึ่งเขาจะเหมือนกันกับเจ้าหรืออย่างไร คนไร้ค่าเช่นเจ้าควรจะเชือดคอตัวเองตายเพื่อขอบคุณฟ้าดินเสีย! เจ้ามีชีวิตอยู่ไปก็เปลืองอาหารเปล่าๆ นั่นแหละ! ถ้าหากข้าเป็นเจ้าก็คงจะไปตายตั้งนานแล้ว!”

 

“พล่ามพอแล้วหรือยัง” ซือหม่าโยวเย่ว์มองหลี่เฉิงอย่างเย็นชา “คราวก่อนเจ้าร่วมมือกับพวกเขาทุบตีข้า คนที่ทุบตีข้ามากที่สุดก็คงเป็นเจ้านี่แหละ วันนี้ข้าได้มาพบเจ้าก็นับว่าเจ้าโชคร้ายเอง!”

 

“ฮ่าๆๆๆ!” คำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้หลี่เฉิงขบขันนัก จึงหัวเราะเสียงดังหลายครั้ง “ฟังจากวาจาสามหาวของเจ้าแล้ว เจ้าคิดจะชำระแค้นกับข้าหรืออย่างไร ฮ่าๆๆ ข้าคงมิได้ฟังผิดไปกระมัง คนไร้ค่าเช่นเจ้า ยังคิดจะประมือกับข้าอีกหรือ! ในเมื่อวันนั้นมิได้ตีเจ้าจนตาย เช่นนั้นวันนี้ก็ให้ข้าจัดการเจ้าเสีย เจ้าจะได้ไม่ทำให้ชายชาตรีอย่างพวกเราต้องขายหน้าอีก!”

 

พูดจบแล้วหลี่เฉิงก็เริ่มรวบรวมปราณวิญญาณภายในร่างกาย ก่อรูปร่างเป็นทรงกลมสีแดงสว่างกลุ่มหนึ่งบนฝ่ามือ

 

ถึงแม้ว่าถนนเส้นที่ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งเดินเที่ยวมานั้นจะคึกคักเป็นอย่างยิ่ง แต่ตรอกที่เลี้ยวเข้ามานั้นกลับเงียบสงัด ไม่มีผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว หากฆ่าซือหม่าโยวเย่ว์ทิ้งเสียที่นี่ก็คงไม่มีใครพบเห็น ดังนั้นหลี่เฉิงจึงเลือกที่จะลงมือโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

 

เขาไม่ชอบใจชายที่ทำให้บุรุษอื่นขายหน้าผู้นี้มานานแล้ว เหตุใดคนเช่นเขาจึงต้องมีสถานะเช่นนั้นด้วย โลกนี้ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว!

 

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูลูกไฟที่รวมตัวกันอยู่บนฝ่ามือของหลี่เฉิงก็รู้ได้ว่านี่ก็คือพลังของปรมาจารย์วิญญาณ ถึงแม้ว่าพลังของเขาจะไม่ได้สูงส่งมาก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายเธอจะต้านทานได้เลย ดังนั้นจึงบุกโจมตีเข้าไปอย่างรวดเร็วก่อนที่หลี่เฉิงจะรวบรวมลูกไฟได้สำเร็จ มือขวาเงื้อมีดฟันตรงไปยังลำคอของเขา

 

หลี่เฉิงนึกไม่ถึงว่าไม่พบกันแค่วันเดียว ซือหม่าโยวเย่ว์จะเปลี่ยนกลายเป็นคนละคนเช่นนี้ได้ พอเห็นว่าตนจะสังหาร นอกจากจะไม่หลบหนี ยังพุ่งเข้ามาโจมตีตนตรงๆ การเคลื่อนไหวของเขาเหมือนกับกระต่ายจอมเจ้าเล่ห์ มาถึงตรงหน้าตนอย่างรวดเร็ว กระแสลมจากมีดที่เคลื่อนไหวด้วยฝ่ามือทำให้เขารู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง

 

ในขณะที่กำลังจะโดนซือหม่าโยวเย่ว์ฟัน หลี่เฉิงก็ขว้างลูกไฟสีแดงบนฝ่ามือที่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ไปทางซือหม่าโยวเย่ว์ ส่วนตนเองถอยร่นไปด้านหลังหลายก้าวเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีของซือหม่าโยวเย่ว์

 

ถึงแม้ว่าลูกไฟลูกนี้จะยังสร้างไม่สมบูรณ์ แต่ยังมีพลังโจมตีมหาศาลอยู่ดี ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ถึงพลังที่รวมอยู่ในลูกไฟ คิดว่าไม่อาจปะทะด้วยตรงๆ ได้ จึงรีบเบี่ยงหลบไปทางขวา แต่เพราะระยะทางใกล้เกินไป และลูกไฟก็ช่างรวดเร็วเหลือเกิน ถึงแม้ว่าเธอจะหลบเลี่ยงการปะทะกับลูกไฟตรงๆ แล้ว แต่ก็ยังถูกพลังที่เฉียดผ่านหัวไหล่เผาไหม้แขนซ้ายจนบาดเจ็บอยู่ดี

 

“ตึง…” ลูกไฟหล่นลงไปที่พื้นพื้นเผาไหม้ดินจนกลายเป็นหลุมเล็กๆ

 

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูหลุมที่ถูกเผาแล้วก็ตกใจกับความร้ายกาจของพลังวิญญาณนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะร้ายกาจเป็นอย่างยิ่งในโลกเดิมของเธอ แต่เมื่อเทียบกันกับพลังเช่นนี้แล้วก็เหมือนกับแม่มดน้อยพบพญาแม่มดเลยทีเดียว!

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพลังเช่นนี้ออกมาจากร่างกายมนุษย์อีกด้วย!

 

“โอ๊ย…”

 

ความเจ็บปวดบนท่อนแขนดึงให้เธอต้องร้องอุทานแล้วก้มหน้าลงมอง ถึงแม้ว่าจะถูกขอบลูกไฟถากผ่านเบาๆ แต่เสื้อผ้าของเธอก็ยังถูกเผาไหม้ถึงขนาดที่ทั่วทั้งแขนถูกแผดเผาจนบาดเจ็บไปหมด

 

“ฮ่าๆ คราวนี้คงรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของข้าแล้วสินะ!” หลี่เฉิงคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะหลบหลีกไปได้ แต่ก็เห็นว่านางตื่นตระหนกกับผลลัพธ์ของพลังวิญญาณที่ตนสร้างขึ้นมาจึงเกิดความลำพองใจขึ้น “คนไร้ค่าอย่างเจ้าไม่มีทางได้ครอบครองพลังเช่นนี้ไปตลอดกาล! มิสู้ข้าช่วยสงเคราะห์เจ้าสักขั้นตอนหนึ่ง ให้เจ้าไปเกิดใหม่เร็วขึ้นสักหน่อย บางทีชาติหน้าเจ้าอาจจะบำเพ็ญได้ก็ได้นะ”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นหลี่เฉิงวางแผนจะรวบรวมพลังอีกครั้ง มีหรือจะให้โอกาสเป็นครั้งที่สอง จึงวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนว่าท่อนแขนจะเจ็บปวดเพียงใด มีประสบการณ์จากครั้งก่อนแล้ว เธอไม่มีทางปล่อยให้เขามีโอกาสได้รวบรวมพลังออกมาอีก!

 

หลี่เฉิงคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์ได้รับบาดเจ็บแล้วจะยังวิ่งได้รวดเร็วกว่าเมื่อครู่นี้เสียอีก เขาเพิ่งจะรวบรวมพลังวิญญาณได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซือหม่าโยวเย่ว์ก็มาถึงตรงหน้าเขาเสียแล้ว ไม่พูดมากความก็ยกเท้าขึ้นเตะที่ท้องของเขา ทำให้เขากระเด็นไปไกลทีเดียว แล้วจึงร่วงลงกระแทกพื้น

 

“พรวด…” เลือดสดคำหนึ่งกระอักออกมาจากปากของหลี่เฉิง เขามองดูคราบเลือดบนพื้นอย่างตกตะลึงอยู่บ้าง เขาถึงกับถูกคนไร้ค่าคนหนึ่งโจมตีจนเลือดตกยางออกเชียวหรือ! “คนไร้ค่าอย่างเจ้ากล้ามาโจมตีข้าเชียวหรือ! แค่กๆ…”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่พูดไม่จา เธอมาถึงข้างกายหลี่เฉิงก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนแล้วเตะเข้าครั้งหนึ่ง หลี่เฉิงยังไม่ทันยืนให้มั่นก็ถูกเตะกระเด็นลงไปที่พื้นอีกครั้ง

 

สิ่งที่ปรมาจารย์วิญญาณเชี่ยวชาญก็คือรวบรวมพลังวิญญาณออกมา ทว่าร่างกายไม่ได้แตกต่างอะไรกับคนทั่วไป เมื่อถูกซือหม่าโยวเย่ว์เตะไปสองครั้ง หลี่เฉิงก็เจ็บปวดเสียจนลุกไม่ขึ้น ได้แต่ตะเกียกตะกายร้องโอดโอยอยู่บนพื้น

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้ามาพลางหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามิได้ชอบเตะข้าหรืออย่างไร พอถูกผู้อื่นเตะแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างเล่า”

 

เธอในชาติก่อนคุ้นเคยกับโครงสร้างร่างกายมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง รู้ดีว่าเตะตรงไหนแล้วจะทำให้ทวีความเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จึงยกเท้าถีบเขาเข้าให้อีกครั้งหนึ่ง

 

“เจ้าคนชั่วช้า รอให้ข้าหายดีก่อนเถิด ข้าจะต้องสังหารเจ้าทิ้งอย่างแน่นอน!” ความเจ็บปวดบนร่างกายทำให้หลี่เฉิงสูญเสียเหตุผล จึงอ้าปากตะโกนด่าเสียงดัง

 

“เจ้าเตือนข้าขึ้นมาพอดีเลย การไม่ถอนรากถอนโคน พอสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดโชยก็จะงอกขึ้นมาใหม่อีก ข้าควรจะตัดโอกาสแก้แค้นของเจ้าทิ้งเสียดีหรือไม่!”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เตะเขาซ้ำอีกหลายครั้งเหมือนกับที่เขาเตะเจ้าของร่างเดิมในตอนนั้น เธอเตะไปบนร่างเขาอย่างรุนแรง เตะจนกระทั่งเขาหมดสติไป

 

นึกถึงที่เขาบอกเมื่อครู่ว่าพอหายดีแล้วจะมาแก้แค้นตน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่กลัวเขาตามล้างแค้น แต่ก็ไม่อยากจะหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวเอง ไม่ใช่ว่าเขาพูดคำหนึ่งก็ด่าตนว่าคนไร้ค่าคำหนึ่งหรืออย่างไร เช่นนั้นก็ทำให้เขากลายเป็นคนไร้ค่าไปเสียสิ!

 

เธอมองเห็นก้อนหินที่มุมกำแพงแล้วก็แย้มยิ้มอย่างร้ายกาจ

 

“ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นเพียงแค่ผู้ลงมือ แต่ว่าเจ้าก็หมายเอาชีวิตนาง ดังนั้นข้าก็มิอาจปล่อยเจ้าไปได้หรอกนะ! ในเมื่อเจ้าดูแคลนคนไร้ค่ามากถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ให้เจ้าได้ลิ้มรสการเป็นคนไร้ค่าดูสักหน่อยดีไหมเล่า ข้าช่างมีเมตตาเหลือเกิน เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกนะ!”

 

“อ๊ากกก…” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจดังออกมาจากในตรอก ทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์อดที่จะหรี่ตาอยู่ครู่หนึ่งมิได้

 

เธอโยนก้อนหินโชกเลือดในมือทิ้งไปแล้วปัดมือไปมาพลางเอ่ยว่า “เจ้าต้องการชีวิตนาง ข้าทำลายเส้นลมปราณของเจ้า ก็นับได้ว่าแก้แค้นแทนนางแล้ว หลังจากที่เจ้าตื่นขึ้นมาก็ลองลิ้มรสชาติการถูกผู้อื่นเรียกว่าคนไร้ค่าดูบ้างแล้วกัน! โอ๊ย… ช่างเจ็บปวดจริงๆ”

 

พอพูดจบเธอก็กุมแขนออกมาจากตรอกแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังจวนแม่ทัพราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

หลังจากที่เธอจากไปแล้ว ตรงสุดตรอกก็มีเงาร่างคนสองร่างปรากฏขึ้น คนหนึ่งสวมชุดสีม่วงตลอดร่าง  มีใบหน้าอันชั่วร้าย ร่างกายสูงเพรียว อารมณ์บนใบหน้าเรียบเฉย ทว่าในดวงตากลับฉายแววสนใจระยิบระยับ

 

ส่วนอีกคนหนึ่งมีเรือนผมสีแดงเพลิงทั่วทั้งศีรษะ อาภรณ์ทั้งร่างราวกับเปลวเพลิงลุกโชติช่วง มองดูแล้วราวกับมิใช่มนุษย์จริงๆ

 

สัตว์อสูรจำแลง!

 

“คิดไม่ถึงว่าผ่านมาทางนี้แล้วจะได้เห็นละครฉากนี้เข้า เด็กสาวที่ไม่มีแม้แต่พลังวิญญาณ ถึงกับทำให้ปรมาจารย์วิญญาณผู้หนึ่งกลายเป็นคนไร้ค่าไปเสียได้! ช่างร้ายกาจโหดเหี้ยมเสียจริง!” กิเลนเพลิงเอ่ยชม

 

อูหลิงอวี่มองดูคนที่อยู่บนพื้น เมื่อนึกถึงว่าเด็กสาวคนนั้นทำให้คนกลายเป็นคนไร้ค่าได้แบบตาไม่กะพริบแล้วจึงแย้มยิ้มร้ายกาจพลางเอ่ยว่า “ไม่เลวเลยจริงๆ”

 

ถึงแม้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะสวมแหวนมนตร์เพื่อซ่อนเร้นเพศของตน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาทั้งสองก็ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย พวกเขามองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเธอเป็นหญิง

 

“เจ้านายขอรับ ท่านเป็นถึงผู้วิเศษแห่งตำหนักผู้วิเศษ อย่าทำเช่นนี้สิขอรับ!” กิเลนเพลิงมองดูรอยยิ้มเมื่อครู่ของอูหลิงอวี่ที่ราวกับออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับซือหม่าโยวเย่ว์ แล้วก็เอ่ยตักเตือน

 

อูหลิงอวี่เหลือบมองกิเลนเพลิงปราดหนึ่งแล้วก็กลับไปมีท่าทีศักดิ์สิทธิ์น่าเคารพเช่นเดิม จากนั้นก็หายตัวไปจากตรอกพร้อมกับกิเลนเพลิงราวกับไม่เคยปรากฏตัวขึ้นที่นี่เลยอย่างไรอย่างนั้น

 

………………………

Related

“เย่ว์เอ๋อร์เอ๋ย เจ้าอย่าได้เสียใจไปเลยนะ รอให้อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วข้าจะให้บรรดาพี่ชายของเจ้าพาเจ้าไปแก้แค้น ใครกล้าต้านทาน ก็ให้พวกเขาจับตัวเอาไว้แล้วให้เจ้าทุบตีจนหนำใจ!” ซือหม่าเลี่ยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์นิ่งเงียบมาตลอดจึงคิดว่านางยังโกรธอยู่ จึงได้แต่พูดชี้แนะอยู่ข้างๆ

ทว่าท่านปู่คิดว่าการพูดชี้แนะอย่างนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ นี่ไม่ได้ยุยงให้เธอไปก่อปัญหาหรืออย่างไร! ทว่าหลังจากคนที่เป็นเด็กกำพร้าในชาติก่อนอย่างเธอได้ยินคำพูดของซือหม่าเลี่ยแล้ว ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

นี่คือความรู้สึกของคนในครอบครัวสินะ!

หลังจากกินยาวิเศษลงไปไม่กี่นาที ความเจ็บปวดบนร่างกายก็หายไป เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง อาการบาดเจ็บบนร่างกายก็มลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งจะมีประสบการณ์กับเรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้เป็นครั้งแรก ในใจจึงรู้สึกว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความน่าอัศจรรย์

“ท่านปู่ ของสิ่งนี้ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน!” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นนั่ง ตอนนี้เธอเปี่ยมพลังและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

“ฮ่าๆ ไม่เลวนี่” ซือหม่าเลี่ยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยปากก็พยักหน้าชื่นชม จากนั้นก็ทอดถอนใจอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “เฮ้อ น่าเสียดายที่คนบ้านเราล้วนไม่อาจหลอมยาได้ มิฉะนั้นตอนเจ้าบาดเจ็บในครั้งนี้ ข้าก็ไม่ต้องลำบากลำบนขนาดนี้เพื่อให้ได้ยาวิเศษเม็ดนี้มาหรอก”

“บ้านเราไม่มียาวิเศษหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม ดีร้ายอย่างไรก็เป็นถึงจวนแม่ทัพเชียวนะ หลอมยาวิเศษไม่ได้ก็ไม่มีติดบ้านบ้างเลยหรือไร

“ยาวิเศษที่บ้านเราเก็บสะสมไว้ล้วนเป็นขั้นหนึ่งแทบทั้งหมด ยาวิเศษขั้นสองที่มีอยู่บ้างเล็กน้อยก็ไม่ได้เอาไว้รักษาแผล ไม่อาจทำให้เจ้าดีขึ้นมาได้โดยเร็ว ดังนั้นข้าจึงได้ไปพบใต้เท้าศิลาเพื่อร้องขอยาวิเศษ เฮ้อ ต้องตำหนิปู่เองที่ยามปกติมีนิสัยมุทะลุเกินไป จึงมีความสัมพันธ์ไม่ใคร่ดีนักกับนักหลอมยาของเมืองหลวง ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้หรอก” ซือหม่าเลี่ยเอ่ยตำหนิตนเอง

“ท่านปู่อย่าได้น้อยใจไปเลย นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก เป็นเพราะนักหลอมยาพวกนั้นเย่อหยิ่งจองหองเทียมฟ้า ทำให้คนไม่ชอบขี้หน้า ข้าเองก็ไม่ชอบพวกเขาเหมือนกัน!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากมีวันหนึ่งที่ข้ากลายเป็นนักหลอมยา ข้าจะฟาดพวกเขาให้หน้าหงายเป็นแน่!”

“ฮ่าๆ ดี ปู่จะรอให้เจ้าไปนำทางพวกเขานะ!” ซือหม่าเลี่ยเอ่ยพลางหัวเราะเสียงดังลั่น

คนทั้งสองต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาคอย พากันลืมไปแล้วว่าเงื่อนไขก่อนที่จะกลายเป็นนักหลอมยาได้นั้นคือต้องเป็นปรมาจารย์วิญญาณก่อน! เพราะตอนผนึกยาจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณที่นักหลอมยาใส่เข้าไปในเตา ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางผนึกยาได้ ส่วนซือหม่าโยวเย่ว์นั้นไม่ได้เป็นแม้แต่ปรมาจารย์วิญญาณด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นนักหลอมยาเลย

เพราะผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ของยาวิเศษทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์หายดีอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวา พอเช้าวันที่สองก็ออกไปเดินเล่นตามลำพังได้แล้ว

ถึงแม้ว่าในสมองจะมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอยู่ แต่ว่าเธอก็ยังนึกอยากจะเห็นกับตาตนเองว่าโลกแห่งนี้เป็นอย่างไรบ้าง

“โลกใบนี้ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน!” หลังจากที่เดินเตร็ดเตร่ไปบนถนนสองสาย ซือหม่าโยวเย่ว์ก็หยุดลงหน้าประตูร้านค้าแห่งหนึ่งพลางมองดูสรรพสัตว์นานาชนิดที่วางเรียงรายอยู่ด้านใน เมื่อมองเห็นสัตว์ที่พูดได้ เธอก็อดที่จะถอนหายใจมิได้

“ไอ้หยา… นี่มิใช่คุณชายห้าหรอกหรือ! คุณชายห้าเชิญเข้ามาเร็วเขอรับ วันนี้ต้องการสินค้าอันใดหรือ พวกเรามีสัตว์จำแลงที่เพิ่งเข้ามาใหม่ฝูงหนึ่ง ท่านอยากชมดูสักหน่อยหรือไม่ขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ในร้านมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่หน้าประตูแล้วรีบออกมาต้อนรับ ดูท่าทางจะคุ้นเคยกับเจ้าของร่างเดิมเป็นอย่างดี

ซือหม่าโยวเย่ว์ค้นหาดูในความทรงจำครู่หนึ่ง เจ้าของร่างเดิมสนิทสนมกับร้านนี้จริงๆ เสียด้วย เพราะว่านางมักจะซื้อสัตว์อสูรวิเศษไปให้บรรดาพี่ชายเหล่านั้นอยู่บ่อยๆ นับได้ว่าเป็นวิธีหนึ่งในการเอาอกเอาใจพวกเขา

เพราะว่ามาอุดหนุนที่นี่อยู่เป็นประจำ ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับทั้งเจ้าของและเสี่ยวเอ้อร์ร้านนี้เป็นอย่างมาก

“คุณชายห้า ท่านดูสิ นี่คือสัตว์อสูรวิเศษฝูงใหม่ที่เพิ่งเข้ามาของพวกเรา จิ้งจอกเพลิง สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นห้า ยังมีตัวนี้ด้วย หมาป่าพายุ สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นหก เป็นอย่างไรบ้าง ไม่เลวเลยใช่ไหมเล่าขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์นำทางซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามาภายในร้าน มาตรงหน้ากรงสองกรง แล้วชี้ไปยังหมาป่าตัวหนึ่งในกรงพลางเอ่ยแนะนำ

“อืม ดูไม่เลวเลยจริงๆ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูหมาป่าพายุที่อยู่ในกรง ถึงแม้ว่าสองตาจะไร้แวว แต่เส้นขนบนร่างก็สว่างไสวเป็นอย่างยิ่ง มองดูแล้วรู้ว่าคุณภาพไม่เลวเลยทีเดียว “แต่ว่าวันนี้ข้ามิได้พกเงินออกมาด้วย ไม่ได้คิดจะซื้อ แล้วข้าก็ยังทำพันธสัญญามิได้อีกด้วย จะซื้อสัตว์อสูรวิเศษไปทำไมกัน”

ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าคุณชายห้าแห่งจวนแม่ทัพนั้นเป็นคนไร้ค่า ย่อมทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษไม่ได้อยู่แล้ว ทุกครั้งที่ซื้อก็นำไปให้คนอื่นทั้งสิ้น แต่เพราะต้องการทำกำไร เสี่ยวเอ้อร์จึงมิได้สนใจว่านางจะเอาไปทำอะไร ขอเพียงแค่ดูดเงินจากนางมาก็ใช้ได้แล้ว

“คุณชายห้าอยากจะติดเงินร้านเราไว้ก่อนก็ได้นะขอรับ ถ้าหากคุณชายห้าพอใจ ท่านก็นำสัตว์อสูรวิเศษนี่ไปก่อน พอกลับไปแล้วค่อยให้คนส่งเงินมาก็ได้นี่ขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์พูด “เฮ้อ เสียดายที่คราวก่อนคุณชายมู่หรงอานบอกไว้ว่าอยากได้หมาป่าพายุสักตัวหนึ่ง น่าเสียดายที่ตอนนั้นไม่มีของ หากคุณชายห้าพบคุณชายมู่หรงอานเมื่อใดก็ช่วยบอกเขาทีนะขอรับว่าเจ้าหมาป่าพายุนี่มาแล้ว แต่ช่วยรีบมาให้เร็วหน่อย เพราะเพียงไม่นานก็น่าจะไม่มีของแล้วล่ะขอรับ”

หากเปลี่ยนเป็นก่อนหน้านี้ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ต้องพูดว่าเธอต้องการสัตว์อสูรวิเศษตัวนี้อย่างแน่นอน ขอเพียงได้เอาใจมู่หรงอาน ซื้อสัตว์อสูรวิเศษที่เขาต้องการให้ สิ้นเปลืองเงินสักหน่อยจะเป็นอะไรไปเล่า

แต่ว่าเธอในตอนนี้ไม่ใช่เธอคนเดิมอีกแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวเอ้อร์แล้วก็พยักหน้ารับ “ได้สิ คราวหน้าถ้าข้าพบเขาข้าจะบอกเขาให้อย่างแน่นอน”

พูดจบแล้วเธอก็หมุนตัวเดินออกไปจากร้านขายสัตว์อสูรวิเศษ

“…”

เสี่ยวเอ้อร์ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ออกไปจากร้านแล้ว เขาแตะหน้าผากตนเองพลางเอ่ยว่า “ก็มิได้เป็นไข้เสียหน่อย เหตุใดจึงเกิดภาพหลอนได้เล่า คราวนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้ได้ยินว่าเป็นสิ่งที่มู่หรงอานชมชอบ ไม่เพียงแต่ไม่ซื้อเท่านั้น แต่ยังเดินจากไปอย่างเฉยเมยอีกด้วย หากนี่มิใช่พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ก็เป็นตัวข้าเห็นภาพหลอนแล้วล่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เดินอยู่บนถนนใหญ่ นึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของเสี่ยวเอ้อร์แล้วก็ทอดถอนใจ เรื่องที่เจ้าของร่างเดิมผู้นี้ชมชอบมู่หรงอานเป็นเรื่องที่ชาวบ้านรู้กันทั่วจริงๆ แม้กระทั่งจะขายของก็ยังรู้จักใช้เรื่องนี้มาเป็นจุดขาย

เมื่อนึกถึงหมาป่าพายุที่ได้เห็นในกรงเมื่อครู่ ไม่เพียงแต่ทอดถอนใจในความมหัศจรรย์ของโลกแห่งนี้เท่านั้น ถึงแม้ว่าเจ้าของร่างเดิมจะไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับการฝึกฝนมากนัก แต่เพราะมู่หรงอาน จึงทำให้นางมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสัตว์อสูรวิเศษอยู่บ้าง

โลกแห่งนี้มีสัตว์พูดได้ที่เรียกว่าสัตว์อสูรวิเศษ ซึ่งสัตว์อสูรวิเศษก็ฝึกฝนได้เช่นกัน คล้ายกับอสูรในชาติก่อน และสัตว์อสูรวิเศษยังมีระดับที่สอดคล้องกัน โดยสัตว์อสูรวิเศษนั้นเป็นระดับต่ำสุด ถัดมาคือสัตว์อสูรทิพย์และสัตว์อสูรเทพ

สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำนั้นเพียงแค่เปิดเชาวน์ปัญญา ฟังคำพูดของมนุษย์รู้เรื่องและตอบสนองตามได้เท่านั้น ส่วนสัตว์อสูรทิพย์นั้นสำรอกคำพูดของมนุษย์ได้ด้วย ช่างมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง

ปรมาจารย์วิญญาณทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้ หลังจากทำพันธสัญญาแล้ว ปรมาจารย์วิญญาณกับสัตว์อสูรวิเศษจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่เพราะสัตว์อสูรวิเศษมีสัญชาตญาณป่าเถื่อน ดังนั้นหากทำพันธสัญญาเฉยๆ อาจถูกสัตว์อสูรวิเศษทำร้ายเอาได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีนักฝึกสัตว์อสูรถือกำเนิดขึ้นมา

นักฝึกสัตว์อสูรใช้ทักษะความสามารถในการเลี้ยงให้เชื่อง ทำให้สัญชาตญาณป่าเถื่อนของสัตว์อสูรวิเศษถูกขจัดออกไป กลายเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่ทำพันธสัญญากับปรมาจารย์วิญญาณได้ เพราะหลังจากสัตว์อสูรวิเศษทำพันธสัญญาเรียบร้อยแล้วก็จะกลายเป็นตัวช่วยอันแข็งแกร่งของปรมาจารย์วิญญาณ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่านักฝึกสัตว์อสูรมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

หมาป่าแสนเชื่องที่เธอเห็นในกรงเมื่อครู่คือหมาป่าพายุที่ถูกฝึกมาแล้ว ช่วงระยะเวลาหลังจากถูกฝึกจนถึงก่อนที่จะทำพันธสัญญานั้นพวกมันจะสงบเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีสัญชาตญาณป่าเถื่อน และไม่อาจโจมตีใครได้ จนกระทั่งทำพันธสัญญากับปรมาจารย์วิญญาณแล้วความดุร้ายของมันจึงจะถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง

ระยะเวลาที่ออกมาค่อนข้างนานแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงคิดจะกลับไปยังจวนแม่ทัพ เพราะว่ากำลังค้นหาความทรงจำเกี่ยวกับนักฝึกสัตว์อสูรอยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้ระวังถนนตรงหน้า ขณะที่กำลังเลี้ยวจึงได้ชนเข้ากับคนที่เดินตรงมา

“ใครกันที่ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือเช่นนี้! อยากตายสินะ!” คนที่ถูกชนลูบบริเวณที่ตนถูกชนพลางด่าทอ เมื่อเห็นว่าเป็นซือหม่าโยวเย่ว์ อีกฝ่ายก็ยิ้มหยันแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นเจ้าคนไร้ค่าผู้นี้นี่เอง เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ตาย ดูท่าทางวันนั้นคงจะลงมือเบาไปสินะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เถูกชนจนร่างกายโงนเงน เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายจึงเงยหน้าขึ้นมอง กลิ่นอายบนร่างเยียบเย็นขึ้นมาในทันใด

คนผู้นี้ก็คือหนึ่งในกลุ่มคนที่ทุบตีตนในวันนั้นนั่น ในเมื่อลั่นวาจาเอาไว้ว่าจะแก้แค้นแทนเจ้าของร่างเดิม เช่นนั้นก็เริ่มจากคนผู้นี้ก็แล้วกัน

……………………

Related

ซือหม่าโยวเย่ว์เอนกายอยู่บนเตียง คำว่าอับจนคำพูดก็ยังไม่อาจใช้อธิบายความรู้สึกของเธอได้เลย

“เฮ้อ…”

หลังจากถอนหายใจครั้งที่ยี่สิบแปดแล้ว ในที่สุดเธอก็ยอมรับตัวตนและร่างกายอันไร้ค่านี้ มือสังหารตัวแม่แห่งศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอย่างเธอ นอกจากจะฝึกฝนตัวเองไม่ได้ แล้วยังต้องกลัวว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบใหม่ไม่ได้อีกหรือ

เพียงแค่นึกถึงลักษณะนิสัยของเจ้าของร่างเดิมของตนและเหตุผลที่ตายไป ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรงแล้ว

จะว่าไปแล้ว การตายของเจ้าของร่างเดิมนั้นก็นับได้ว่าน่าอนาถ ทั้งๆ ที่นางถูกส่งตัวไปให้มู่หรงอานซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นคุณชายอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงเขมือบ แต่กลับถูกเข้าใจผิดว่าอยากจะไปสร้างปัญหาให้เขา จนถูกบ่าวรับใช้ของเขาทุบตีอย่างทารุณยกหนึ่ง ด่าทอใหญ่โตว่านางไม่เพียงแต่เป็นคนไร้ค่าเท่านั้น แต่ยังเป็นพวกจิตวิปริตอีกด้วย

ส่วนคุณชายอันดับหนึ่งที่ว่ากันว่าแสนอบอุ่นอ่อนโยนผู้นั้นเพียงแค่มองดูนางถูกคนทุบตีอยู่ข้างๆ ทั้งยังเอาแต่หัวร่อต่อกระซิกกับสาวงามข้างกายอีกด้วย

เจ้าของร่างเดิมถูกคนกลุ่มหนึ่งทุบตีจนเหลือเพียงแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น เมื่อถูกแบกกลับจวนแม่ทัพก็เห็นซือหม่าเลี่ย ท่านปู่ของตนเอ่ยประโยคนั้นว่าจะแก้แค้นให้ หลังจากนั้นพอหมดสติไปไม่นานก็สิ้นลมเสียแล้ว

ถึงแม้ว่าเจ้าของร่างเดิมจะบอกกับตนว่าต้องการให้ช่วยแก้แค้นแทนนาง แต่ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ ใครใช้ให้อยู่ดีๆ ไปเกาะแกะผู้อื่นกัน ไม่ใช่ว่าไปเกาะแกะเสียจนเขารำคาญสุดขีดหรอกหรือ ดังนั้นพอนางไปปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง ไม่ถูกเขาทุบตีเอาสิถึงจะแปลก!

“แต่มู่หรงอานผู้นั้นถึงขนาดมองดูเธอถูกทุบตีจนตายได้หน้าตาเฉย ส่วนคนที่ทุบตีเธอพวกนั้นก็ตั้งใจตีให้ถึงตาย หึ เธอวางใจได้เลย ฉันจะล้างแค้นคราวนี้ให้เธอเอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพึมพำ “แต่ร่างกายฝึกฝนไม่ได้จริงๆ หรือ คนพวกนั้นล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ของวิทยาลัย ถ้าฝึกฝนไม่ได้แล้วจริงๆ การแก้แค้นก็คงจะยุ่งยากแล้ว แต่ตอนนี้ฉันก็หมดหนทางตรวจดูร่างกายของเธอด้วยสิ บ้าเอ๊ย แผลบนตัวนี่อีกนานแค่ไหนถึงจะหายนะ!”

ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์บ่นอุบอยู่ครู่หนึ่งจึงผล็อยหลับไป แต่คราวนี้เธอหลับไม่สนิทสักเท่าไร หัวคิ้วขมวดมุ่นอยู่ตลอดเวลา เหงื่อเยียบเย็นหลั่งไหลออกมาไม่หยุด

“ซีเหมินโยวเย่ว์ ต่อให้เจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์ของโลกทิพย์แล้วอย่างไรเล่า วันนี้ก็ยังต้องตายในเงื้อมมือข้าอยู่ดี วันนี้ตระกูลซีเหมินของพวกเจ้าจะได้ไปรวมตัวกันในนรกแล้ว!”

“ซีเหมินโยวเย่ว์ เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือสิ่งใด นี่คือตะเกียงกักวิญญาณ วัตถุเทพขั้นสูง เพียงแค่สูบวิญญาณของเจ้าเข้ามาไว้ในนี้ เจ้าจะมิอาจไปเกิดใหม่ได้ตลอดกาล ต่อให้เจ้าอยากให้วิญญาณแหลกสลายก็ทำมิได้! มิใช่ว่าเจ้าชอบข่มข้าอยู่ตลอดเวลาหรอกหรือ วันนี้เจ้าก็เสพสุขกับรสชาติของการกักวิญญาณนี่ไปก็แล้วกัน! ฮ่าๆๆๆ…”

เสียงบาดแหลมของผู้หญิงดังขึ้นมาในทันใด หญิงสาวที่ถือตะเกียงดวงหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในความฝันของซือหม่าโยวเย่ว์

“วิญญาณขาดหายไปส่วนหนึ่งอย่างนั้นหรือ เช่นนี้หากไปเกิดใหม่ก็จะจดจำเรื่องราวในชาตินี้มิได้แล้ว พลังยุทธ์ก็มิอาจฟื้นฟูขึ้นมาได้ จะซ่อมแซมวิญญาณของตนเองแล้วสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาใหม่ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้าแล้วล่ะ!” น้ำเสียงที่มิอาจแยกแยะชายหญิงได้อีกเสียงหนึ่งกระจายไปทั่วหมอกหนาทึบ

“ซือหม่าโยวเย่ว์ ใครใช้ให้เธอเก่งกาจขนาดนี้กัน วันนี้พี่ใหญ่ไม่อยู่ เธอก็ไปร้องไห้กับพญายมเถอะ! นี่คือระเบิดรุ่นใหม่ล่าสุดที่องค์กรพัฒนาขึ้นมา  เธอตายด้วยสิ่งนี้ก็นับว่าเป็นโชคดีของเธอแล้ว! ซือหม่าโยวเย่ว์ เธอตายไปซะเถอะ…”

“ซีเหมินโยวเย่ว์ เจ้าตายไปเสียเถิด…”

“ว้ายยย…”

ซือหม่าโยวเย่ว์ผุดลุกจากเตียงขึ้นนั่งทันที พลางอ้าปากกว้างเพื่อหอบหายใจ ชุดนอนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ปอยผมทั้งสองฝั่งแนบติดแก้ม ร่างกายของเธอสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าเพราะเศร้าใจหรือเพราะเดือดดาล

“คุณชาย เกิดเรื่องอันใดขึ้นเจ้าคะ” สาวใช้คนหนึ่งเคาะประตูถามขึ้นจากด้านนอก

ซือหม่าโยวเย่ว์พยายามทำให้ตนเองสงบลงแล้วพูดกับคนที่อยู่ข้างนอกว่า “ข้าไม่เป็นไร เจ้าไปเถอะ”

“เจ้าค่ะ” คนที่อยู่ข้างนอกรับคำเสียงหนึ่ง หลังจากนั้นนอกประตูก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก

ซือหม่าโยวเย่ว์ทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ฝืนทนต่อความเจ็บปวด ก้าวลงจากเตียงไปรินน้ำให้ตนเองหนึ่งถ้วย มือสั่นเทาทำให้กาน้ำชาสั่นไหวไปด้วย จนกระทั่งดื่มน้ำเย็นไปสามถ้วยแล้วจึงค่อยนิ่งขึ้นบ้าง

นึกย้อนกลับไปถึงความฝันเมื่อครู่ ทำไมจึงมีสองชื่อปรากฏขึ้นมาได้กันเล่า

“ซือหม่าโยวเย่ว์ ซีเหมินโยวเย่ว์…” เธอพึมพำสองชื่อนี้ออกมา “ซีเหมินโยวเย่ว์ นี่คือใครกันนะ”

ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อนึกถึงชื่อนี้ขึ้นมาแล้วในใจของเธอพลันเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบสายหนึ่งขึ้นมา…

หลังจากกลับขึ้นไปบนเตียงแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เบิกตาโตจ้องมองมุ้งกันยุงที่มีกลิ่นอายโบร่ำโบราณ สิ่งที่สมองนึกย้อนไปถึงล้วนเป็นภาพอันเลือนรางของความฝันเมื่อครู่ทั้งสิ้น รวมถึงน้ำเสียงที่เอ่ยวาจาแปลกหู หญิงสาวแปลกหน้าคนนั้นเป็นใครกัน แล้วซีเหมินโยวเย่ว์ที่เธอพูดถึงคือใคร

ในขณะนี้เอง ข้างก็มีเสียงของสาวใช้ดังขึ้น

“ท่านแม่ทัพ”

“คุณชายห้าฟื้นหรือยัง” น้ำเสียงแก่ชราเล็กน้อยเอ่ยถาม

“เรียนท่านแม่ทัพ คุณชายเพิ่งจะหวีดร้องขึ้นมาเมื่อครู่ แต่พอข้าน้อยเข้าไปไถ่ถาม คุณชายกลับบอกว่าไม่มีอะไร ต่อมาภายในห้องก็ไม่มีเสียงอันใดอีกแล้ว เป็นไปได้ว่าจะหลับไปอีกแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ

“เอาละ ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าไปเถิด”

“เจ้าค่ะ”

จากนั้นก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น ตอนที่ประตูเปิดออกซือหม่าโยวเย่ว์หลับตาลงอีกครั้ง ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้ามุ่งหน้าเข้ามาทางตนช้าๆ หลังจากนั้นก็หยุดลงข้างเตียง

“พอที เลิกแกล้งทำได้แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นแล้ว” ซือหม่าเลี่ยพูดพลางมองคนที่นอนหลับตาสนิทอยู่บนเตียง

ความแตกเสียแล้ว!

ซือหม่าโยวเย่ว์ลืมตา มองดูคนที่อยู่ข้างเตียงโดยไม่พูดอะไร

นี่คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรตงเฉิน ท่านปู่ของตนนั่นเอง เขาสวมเสื้อผ้าสีดำทั้งร่าง ไรผมเป็นสีดอกเลาเล็กน้อย เหมือนกันกับในความทรงจำ แต่สองตาที่มองดูตนกลับแฝงไว้ด้วยความรักใคร่ทะนุถนอมและความเจ็บปวดใจอันไร้ขีดจำกัด

“เจ็บปวดมากใช่หรือไม่” ซือหม่าเลี่ยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ไม่พูดไม่จาจึงนั่งลงข้างเตียงแล้วเอ่ยถามขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า เจ็บมากจริงๆ จนเธอรู้สึกว่ากระดูกทั่วร่างของเธอแทบแยกออกจากกันอยู่แล้ว

ซือหม่าเลี่ยหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาราวกับเล่นมายากล จนซือหม่าโยวเย่ว์ที่มองอยู่ตกตะลึง ถึงแม้เธอจะรู้ว่าที่โลกแห่งนี้มีสิ่งของอย่างมิติเก็บวัตถุอยู่ด้วย แต่เมื่อเห็นด้วยตาตนเองแล้วก็ยังตื่นตาตื่นใจมากอยู่ดี นี่มันยอดเยี่ยมกว่ากระเป๋าในชาติที่แล้วมากมายเหลือเกิน!

ขวดหยกในมือของซือหม่าเลี่ยเป็นสิ่งที่เขาหยิบออกมาจากแหวนเก็บวัตถุ

“นี่คือยาวิเศษขั้นสองที่ข้าไปหามาจากปรมาจารย์ศิลา ทำให้ร่างกายเจ้าฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว มาสิ กินเสียเจ้าจะได้หายเจ็บปวด” ซือหม่าเลี่ยเทยาลูกกลอนสีดำเม็ดหนึ่งออกมาจากขวดแล้วใส่เข้าไปในปากของซือหม่าโยวเย่ว์

หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์กลืนยาวิเศษลงไปแล้ว รสชาติฝาดขมชนิดหนึ่งก็แผ่ซ่านไปทั่วปากของเธอ เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร ซือหม่าเลี่ยก็ป้อนน้ำตาลให้เธอก้อนหนึ่ง

“ปรมาจารย์ศิลาบอกว่ายาวิเศษชนิดนี้ออกจะขมอยู่สักหน่อย แต่ว่านี่คือยาวิเศษขั้นสอง เห็นผลอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเจ้าก็ทนเอาหน่อยเถิดนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่ามีสิ่งของที่มหัศจรรย์อย่างยาวิเศษอยู่ด้วย ก็เหมือนกับยาเม็ดของทางฝรั่งในชาติก่อนนั่นเอง แต่เมื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์กันแล้วยาเม็ดเหล่านี้ดีกว่าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า นอกจากนี้ยังมีมากมายหลายชนิด ใช้ประโยชน์ได้สารพัด อย่างเช่นรักษาอาการบาดเจ็บอย่างที่เธอกินอยู่ตอนนี้ แล้วยังมีพวกที่ช่วยให้ดวงวิญญาณฟื้นฟูพลังวิญญาณ ช่วยให้ปรมาจารย์วิญญาณฟื้นฟูพลังวิญญาณ ช่วยให้ปรมาจารย์กระบี่ฟื้นฟูพลังกาย เป็นต้น

ยาวิเศษยังแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ สามขั้น ขั้นหนึ่งถึงสามถูกเรียกว่าเป็นยาวิเศษระดับต้น ขั้นที่สี่ถึงหกคือยาวิเศษระดับกลาง และขั้นที่เจ็ดถึงเก้าคือยาวิเศษระดับสูง ในทางเดียวกัน นักหลอมยาก็แบ่งเป็นระดับต่างๆ ตามตัวยาที่พวกเขาหลอมได้ เช่นนักหลอมยาระดับต้น นักหลอมยาระดับกลาง นักหลอมยาระดับสูงเช่นกัน

เมื่อระดับขั้นของยาวิเศษเพิ่มขึ้น ประสิทธิผลของยาก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วย นอกจากนี้ต่อให้เป็นยาวิเศษขั้นเดียวกัน แต่มีระดับสูง ระดับกลาง ระดับต่ำ ความแตกต่างของระดับขั้น ยิ่งระดับสูง ผลของยาก็ยิ่งดี ราคาขายก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย

โอ๊ย พูดไปเจ้าของร่างเก่านางก็ไม่ได้เข้าใจอะไรในโลกมากนัก  เพราะจิตใจมัวแต่ฝักใฝ่แต่เรื่องอันหาสาระไม่ได้ พอเห็นคนหล่อก็ลืมเลือนทุกอย่างชนิดไม่รู้เหนือใต้ จะมานึกถึงสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน แล้วยังเป็นเพราะว่านางไม่อาจฝึกฝนได้ ดังนั้นนางจึงไปเข้าชั้นเรียนที่วิทยาลัยได้แค่สองครั้งก็ไม่ไปอีกเลย ซือหม่าเลี่ยก็ตามใจนางเหลือเกิน นางไม่อยากไป พวกเขาก็ไม่บังคับเลย จนทำให้นางกลายเป็นคนไม่รู้หนังสือโดยสมบูรณ์!

…………………

Related

“เวรเอ๊ย! เวรเอ๊ย! ปู่แกสิไอ้เวร!”

ภายในเคหสถานใหญ่หลังหนึ่งในเมืองหลวงของอาณาจักรตงเฉิน น้ำเสียงขุ่นเคืองสายหนึ่งดังขึ้นมา

“คุณชายฟื้นแล้วใช่หรือไม่”

เงาร่างสองสายวิ่งเข้ามาจากนอกเรือนด้วยความร้อนรน แต่เมื่อเข้ามาในเรือนแล้วเงี่ยหูฟังกลับไม่มีความเคลื่อนไหวแต่อย่างใด คล้ายกับว่าประโยคเมื่อครู่เป็นเพียงหูแว่วไปเองเท่านั้น

“เช่นนั้นพวกเราเข้าไปดูในห้องเสียหน่อยดีหรือไม่” น้ำเสียงสั่นเครืออีกเสียงหนึ่งถามขึ้น ราวกับหวาดหวั่นที่จะต้องเข้าไปในห้องนั้น

“มะ…ไม่ต้องจะดีกว่า” สาวใช้พูด “หากคุณชายฟื้นขึ้นมาเมื่อใด ก็ย่อมต้องเรียกหาพวกเราอยู่แล้ว หากเข้าไปในห้องคุณชายเองโดยพลการ พวกเราจะถูกลงโทษเอาได้นะ”

“แต่หากคุณชายฟื้นขึ้นมาแล้วพวกเราไม่อยู่ข้างกาย ก็ต้องถูกลงโทษเช่นกัน! ถ้าเกิดคุณชายฟื้นขึ้นมาแล้วแต่ไม่มีแรงเรียกหาใคร จะทำเช่นไรเล่า”

“เช่นนั้น…เช่นนั้นพวกเราก็เข้าไปดูกันสักหน่อยเถิด หากคุณชายยังไม่ฟื้น พวกเราก็ค่อยออกมาดีหรือไม่”

“ก็ได้”

หลังจากทั้งสองคนปรึกษาหารือกันเป็นอย่างดีแล้ว ทั้งคู่ก็มายังห้องนอนหลักของเรือนอย่างเงียบเชียบแล้วค่อยๆ เปิดประตูออกช้าๆ ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างแผ่วเบา เมื่อเห็นว่าคนบนเตียงยังคงหลับตาสนิทจึงผ่อนลมหายใจยาวด้วยความโล่งอกแล้วค่อยถอยออกไปช้าๆ

“เฮ้อ ยังดีที่คุณชายยังไม่ฟื้น”

“เช่นนั้นพวกเราก็เฝ้าอยู่หน้าประตูเถิด”

“อื้ม คิดไม่ถึงว่าคราวนี้คุณชายจะหมดสติไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้”

“ได้ยินมาว่าเดิมทีท่านแม่ทัพคิดการใหญ่ วางแผนจะไปคิดบัญชีกับฝ่ายตรงข้าม แต่กลับถูกคำพูดของคุณชายขัดขวางเอาไว้เสียก่อน”

“เฮ้อ ตอนนั้นคุณชายยังกล่าวว่า ‘ไอ้ระยำ รอข้าฟื้นขึ้นมาจะไปเก็บกวาดมัน!’ อยู่เลยนะ”

“ช่างน่าสงสาร คุณชายของพวกเราถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ หากเรื่องนี้ไปถึงหูคุณชายท่านอื่นๆ เข้า จะต้องพากันเจ็บปวดใจแน่”

“ได้ยินมาว่าพวกคุณชายใกล้จะกลับมาแล้วนี่นา”

“จริงหรือ”

“…”

หลังจากสาวใช้ทั้งสองออกไปแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าความแค้นเคืองนัก พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวกับนึกอยากจะขบกัดคนอย่างไรอย่างนั้น

“แควก…”

บาดแผลบนใบหน้าพาลถูกดึงรั้งไปด้วย  ซือหม่าโยวเย่ว์เจ็บปวดเสียจนต้องสูดลมหายใจหนาวเหน็บเข้าไป

“ให้ตายสิ นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกอยากจะยื่นมือไปลูบบาดแผลบนใบหน้าตน แต่ผลปรากฏว่าเพียงแค่ขยับก็ทำให้บาดแผลบนร่างขยับตามให้เจ็บปวดไปด้วย จนต้องล้มเลิกการกระทำนี้ไปอย่างเสียไม่ได้

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินสาวใช้ด้านนอกสนทนากันเสียงดังเจื้อยแจ้ว  คำก็คุณชาย สองคำก็คุณชาย ทำให้อดกลอกตาไม่ได้

ซือหม่าโยวเย่ว์เป็นสาวเป็นนางแท้ๆ กลับถูกปู่ของตนขอร้องให้ทำตัวเป็นผู้ชาย สวมเสื้อผ้าผู้ชาย และเลียนแบบกิริยาวาจาของผู้ชายเสียอย่างนั้น

“แกมันนักขุดหลุมพราง!” ซือหม่าโยวเย่ว์ก่นด่า

นึกดูว่ามือสังหารตัวแม่แห่งศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอย่างเธอถูกองค์กรหักหลังครั้งหนึ่งก็แล้วไปเถิด  แต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะมาถึงที่นี่ก็ตกหลุมที่แม่นางน้อยวัยสิบสี่ปีผู้นี้ขุดเอาไว้เสียแล้ว!

และก็ใช่ คำด่าที่ว่าปู่แกสิไอ้เวรเมื่อครู่นี้ก็โพล่งออกมาจากปากของเธอเช่นกัน เป็นเพราะเธอถูกลากลงหลุมพรางถึงสองครั้งติดกัน

ก่อนหน้านี้ เธอคือเจ๊ใหญ่ มือสังหารฝีมือดีที่สุดขององค์กร ตั้งแต่เข้าสู่เส้นทางนี้มาก็จัดการตัวปัญหาให้กับองค์กรไปไม่น้อย ด้วยเหตุที่ไม่เคยลงมือพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว จึงเป็นตัวแม่ขององค์กรมาตลอด

แต่เธอคิดไม่ถึงว่าผู้รับผิดชอบอันดับสองขององค์กรจะฉวยโอกาสตอนที่ลูกพี่ใหญ่ไม่อยู่ ส่งเธอไปทำภารกิจชิ้นหนึ่งเพราะความอิจฉาที่ลูกพี่ใหญ่ให้ความสำคัญกับเธอ จนกระทั่งเธอไปถึงที่นั่นแล้วจึงได้รู้ว่านั่นเป็นแค่หลุมพรางเท่านั้น องค์กรทอดทิ้งเธอเพื่อแลกกับราคาที่สูงถึงพันล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งยังช่วยจัดเตรียมระเบิดรุ่นใหม่ล่าสุดเอาไว้ เพื่อส่งเธอและอาคารหลังนั้นไปโลกหน้าด้วยกันอีกต่างหาก

กระบวนการตายช่างแสนสั้น จนทำให้เธอด่าในใจว่าแม่มันได้ทันเพียงคำเดียวเท่านั้น ก็ตกลงสู่ห้วงแห่งความมืดมิด สูญสิ้นสติรับรู้ไปเสียแล้ว

จนกระทั่งตอนที่ฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับอยู่ในห้วงมิติอันเวิ้งว้างขาวโพลนแห่งหนึ่ง ข้างกายมีเงาร่างเลือนราง ดูแล้วน่าจะมีสถานะเป็นวิญญาณเหมือนกันกับตน แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็เอ่ยปากขึ้นก่อน

“ตอนนี้เจ้าอยู่ในร่างของข้า”

เพียงประโยคเดียวของอีกฝ่ายก็เกือบจะทำให้เธอกระทืบเท้าเร่าๆ เธอควรจะอยู่ในนรกไม่ใช่หรือ แล้วอยู่ดีๆ จะวิ่งเข้าไปอยู่ในร่างคนอื่นได้อย่างไรกัน

อีกฝ่ายจึงพูดขึ้นราวกับอ่านใจของเธอออกว่า  “ข้าเองก็ไม่รู้ว่านี่มันเรื่องอันใดกัน  ข้าเห็นวิญญาณของเจ้า ดึงเพียงคราเดียวเท่านั้น เจ้าก็เข้ามาเสียแล้ว”

“เอ่อ…”

“ตอนนี้ข้าสิ้นอายุขัยแล้ว ในเมื่อวิญญาณเจ้าเข้าร่างของข้าได้ เช่นนั้นก็น่าจะใช้ชีวิตแทนข้าต่อไปได้เช่นกัน เพียงแต่เจ้าต้องรับปากข้านะว่าจะรับช่วงต่อทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไป แล้วข้าจะยอมสละร่างให้เจ้า” เงาร่างสายนั้นกล่าว

“จริงหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม พูดแบบนี้ก็แปลว่าตนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้น่ะสิ

“ใช่แล้ว แต่เจ้าต้องให้สัตย์สาบานว่าต่อจากนี้ไปเจ้าก็คือข้า จงมีชีวิตอยู่ต่อไปแทนข้า แล้วก็ต้องเก็บกวาดเศษสวะพวกนั้นให้ข้าด้วยล่ะ!”

“ได้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์รับคำอย่างสบายๆ หากมีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง ทั้งยังหลุดพ้นจากวิถีชีวิตแบบมือสังหารได้ จะรับปากเธอคนนี้ไปก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร หรือไม่แน่ว่าซือหม่าโยวเย่ว์อาจมีโอกาสได้ล้างแค้นมือวางอันดับสองอีกครั้ง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะทิ้งความทรงจำของข้าไว้ให้กับเจ้า จำเอาไว้ว่าเจ้ารับปากแล้วนะว่าจะช่วยแก้แค้นแทนข้า! เจ้าต้องทำตัวดีๆ กับท่านปู่และบรรดาพี่ชายของข้าด้วยล่ะ นอกจากนี้ยังต้องตามหาท่านพ่อท่านแม่ข้าให้พบด้วย ข้าเชื่อว่าพวกท่านต้องยังอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้แน่” เงาร่างนั้นเลือนรางลงพร้อมกับเสียงที่แผ่วเบาลงไปเรื่อยๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีตัดใจไม่ได้ของนางก็ทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า “เธอสบายใจได้ ฉันจะช่วยเธอหาพ่อแม่จนเจอแน่นอน”

“ข้าเห็นว่าเจ้าน่าจะไม่ใช่พวกคนไม่รักษาคำพูดพวกนั้น เจ้ารับปากแล้ว ข้าก็จะได้จากไปอย่างวางใจสักที” เงาร่างนั้นพูดจบแล้วก็กลายเป็นจุดแสงระยิบระยับก่อนมลายหายไป

ซือหม่าโยวเย่ว์พลันรู้สึกว่าแรงดึงดูดระลอกหนึ่งฉุดรั้งตนอย่างต่อเนื่อง ศีรษะก็เจ็บปวดอย่างรุนแรง จากนั้นเธอก็สิ้นสติไปอีกครั้ง

เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็นอนอยู่บนเตียงนี้แล้ว คิดไม่ถึงว่าตนจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งจริงๆ แต่เมื่อเธอมองเห็นห้องที่มีสีสันและกลิ่นอายโบร่ำโบราณ แต่แรกเธอยังไม่คิดอะไรมาก นึกว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ ทว่าเรื่องราวในสมองกลับทำลายมโนภาพของเธอจนแตกยับ

“แม่เอ๊ย ที่แท้แล้วแกมันก็แค่นักขุดหลุม แถมยังเป็นหลุมลึกอีกด้วย!” หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์ตระหนักถึงความจริงในตอนนี้อย่างชัดเจนจึงสบถด่าออกมา “นี่ไม่ใช่โลกใบนั้นของฉันเลยสักนิด ถึงฉันจะมีชีวิตต่อไปก็กลับไปแก้แค้นไม่ได้อยู่ดี!”

หลังจากดูความทรงจำต่อไปแล้ว เธอก็ถากถางอย่างหมดแรงว่า ร่างกายนี้ใช่หลุมลึกเสียที่ไหนกัน นี่มันหลุมยักษ์ต่างหากเล่า!

ที่นี่ไม่ใช่โลกยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แต่เป็นดินแดนที่มีชื่อว่าอี้หลิน ที่นี่ไม่มีเครื่องบิน ไม่มีปืนใหญ่ และไม่มีตึกสูงระฟ้า แต่เป็นสถานที่ที่ผู้แกร่งกล้าได้รับการยอมรับนับถือ ในอากาศของที่นี่มีพลังทิพย์หลากหลายลักษณะ ผู้คนฝึกฝนโดยดูดซับพลังทิพย์ในอากาศไปและทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้น

คำกล่าวที่ว่า ผู้แกร่งกล้าได้รับการยอมรับ หรือปลาใหญ่กินปลาเล็กนั้นสะท้อนออกมาในที่แห่งนี้อย่างชัดเจน ผู้แกร่งกล้ามีเกียรติ มิอาจถูกเหยียบย่ำได้ง่ายๆ หากผู้ที่อ่อนแอกล้าลบหลู่ผู้แกร่งกล้า ผู้แกร่งกล้าก็สังหารคนผู้นั้นได้ในทันที!

หากเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกก็จะได้รับความเคารพนับถือจากทั่วสารทิศ หากเป็นเศษสวะที่ไม่อาจฝึกฝนได้ก็จะถูกทุกคนดูแคลน

ส่วนร่างกายอันอ่อนด้อยที่ซือหม่าโยวเย่ว์ได้มานี้ ถือเป็นเศษสวะชั้นยอดในบรรดาเศษสวะทั้งหลาย! เพราะร่างนี้ไม่มีพื้นฐานการฝึกฝนเลยสักนิด ตอนนี้อายุตั้งสิบสี่แล้ว แต่กลับสัมผัสพลังทิพย์ไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดึงพลังเข้ามาฝึกฝนในร่างกายเลย!

ไม่เพียงเท่านี้ ท่านปู่รู้ทั้งรู้ว่านางเป็นผู้หญิง แต่กลับให้นางปลอมตัวเป็นผู้ชายอยู่ได้ แม้จะบอกว่าทำไปเพื่อปกป้องนาง แต่ต่อให้นางปลอมตัวอย่างไร ก็ยังคงชอบผู้ชายอยู่ดี ทั้งยังเป็นพวกบ้าผู้ชายอีกด้วย วันๆ เอาแต่วนเวียนอยู่กับชายรูปงาม ทั้งยังเอาอกเอาใจสารพัด

ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงพากันร่ำลือว่า คุณชายห้าแห่งจวนแม่ทัพนั้น…วิปริตผิดเพศ

…………………………

Related

สลับชะตา ชายามือสังหาร

สลับชะตา ชายามือสังหาร

Score 10
Status: Completed
เมื่อ ซือหม่าโยวเย่ว์ นักฆ่าสาวจากยุคปัจจุบันตายลง วิญญาณกลับมาเข้าร่างคุณชายห้าแห่งจวนแม่ทัพใหญ่ที่ถูกตราหน้าว่าเป็น ‘คนไร้ค่า’ ผู้ชมชอบไม้ป่าเดียวกัน! เพื่อบรรลุเป้าหมายที่เจ้าของร่างเดิมไหว้วานไว้นางจึงต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่งของโลกใบนี้ โลกที่ตัดสินกันด้วยพลังบำเพ็ญ! ถอนพิษในร่าง ฝึกวิชา แก้แค้นและตามหาบิดามารดาของร่างนี้ ในขณะที่นางมาถึงโลกนี้บางสิ่งที่หลับใหลในร่างของนางกลับ ‘ตื่นขึ้น’ พร้อมความฝันประหลาดที่เอ่ยถึงชื่อ ซีเหมินโยวเย่ว์ ความรู้สึกนั้นช่างสมจริงจนยากจะเชื่อว่าเป็นเพียงความฝันจนนางเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่า สิ่งที่ตนเห็นนั้นเป็นเพียงอดีตหรือความทรงจำที่ถูกปิดผนึกเอาไว้กันแน่…

Options

not work with dark mode
Reset