เปิดเทอมสองมาเกือบสัปดาห์เข้าไปแล้ว
แม้ผมจะชอบบ่นว่าเคสแต่ละอย่างที่มีมาให้ทำนั้น ล้วนมีแต่เรื่องไร้สาระ และต้องทำอย่างเสียไม่ได้เพราะเป็นหน้าที่
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น อย่างน้อยก็ได้ทำงานที่สมกับเป็นสภานักเรียน
…เปิดเทอมสองมาเกือบสัปดาห์เข้าไปแล้ว
ที่ต้องย้ำถึงสองรอบ นั่นก็เพราะ…
“ว่างสุดๆเลยนะเนี่ย…”
ผมเท้าคางพลางมองสมาชิกสภาที่ประกอบด้วย ผีนางรำ ปอบ และผีกระหัง ด้วยแววตาเหนื่อยหน่าย
ส่วนอีกสองหน่อก็หายหัวเช่นเดิม
พลอยเย็บผ้า ดิวกินขนม พี่ต้นเล่นโทรศัพท์พลางหันมองประตูเป็นระยะๆ
…ไม่มีใครมาขอให้สภานักเรียนช่วยเลยสักคน
ผมก็ลองดูหน้าประตูสภาแล้ว ก็ไม่ได้ลืมเอาป้ายว่าปิดทำการออกนี่นา แถมยังประกาศไว้แต่เนิ่นๆแล้วว่าเปิดทำการอีกทีเทอมสอง
หรือเทอมนี้ไม่มีนักเรียนคนไหนต้องการให้สภานักเรียนช่วยงั้นเหรอ? ขอทีเถอะ เคสที่ผ่านมาส่วนใหญ่ก็มีแต่เรื่องไร้สาระทั้งนั้น ตอนนี้ต่อให้มีเรื่องไร้สาระเพิ่มมาอีกหนึ่งผมก็ไม่ว่าหรอก
เผลอๆจะดีใจกว่าด้วย
อีกสักพักกว่าจะหมดเวลาชมรม ไร้วี่แววลูกเคสอย่างทุกวัน
“พลอย…”
“ว่าไงคะ? ประธาน”
“…มีวิธีอะไรมั้ย?”
เด็กสาวรองประธานมองอย่างฉงน
“อะ เอ่อ…วิธีของอะไรเหรอคะ?”
“วิธีให้มีลูกเคสเข้ามาน่ะสิ”
อีกฝ่ายได้ยินผมพูดเสียงเหนื่อยๆเช่นนั้น ก็วางของในมือลง
“ไม่มีหรอกค่ะ แล้วถ้าไม่มีนักเรียนต้องการความช่วยเหลือ ก็หมายความว่าไม่มีนักเรียนคนไหนมีปัญหา นับเป็นเรื่องดีนี่คะ?”
“แล้วสภานักเรียนจะมีไว้ทำไมกันเล่า”
“เอ…ก็…ช่วยเหลือนักเรียน?”
แล้วจะให้ช่วยใครกันฮึ? พูดอยู่หยกๆว่าไม่มีใครมาขอให้ช่วยน่ะ
ดูเหมือนจะหวังพึ่งพลอยไม่ได้
ไม่สิ…จะใครที่อยู่ในห้องก็คงพึ่งไม่ได้เหมือนกัน
แต่แล้ว แสงสว่างท่ามกลางความมืดอันดำปี๊ก็เกิดขึ้น
พี่ต้นเอ่ยด้วยเสียงเรียบๆ
“พี่ขอพูดหน่อยได้มั้ย? น้องประธาน”
“ถ้ามีวิธีล่ะก็ ผมรอฟังอยู่ครับ”
จากนั้น พี่ต้นก็ลุกขึ้นมายืนด้านหน้าโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ อารมณ์เหมือนพนักงานบริษัทโดนหัวหน้าเรียกคุย
“บ้านพี่เป็นร้านขายของน่ะ”
“หะ?”
“งานสภาก็คือช่วยเหลือนักเรียน มองอีกนัยหนึ่ง พี่คิดว่านักเรียนเหล่านั้นก็นับเป็นลูกค้า”
พอพี่ต้นพูดถึงตรงนั้น ผมก็ยกมือเบรกพี่แกไว้แป๊บนึง และหันไปส่งสายตาให้พลอย
สายตาที่ส่งคำถามประมาณ ‘วันนี้พี่ต้นเขาปกติดีรึเปล่า?’
พลอยพยักหน้าพร้อมยกนิ้วโป้ง โอเค…แสดงว่าวันนี้ไม่ต้องกังวลว่าพี่ต้นจะทำหรือแนะนำอะไรแปลกๆล่ะนะ
“ว่าต่อเลยครับพี่”
“อืม ก่อนจะเปิดร้าน บ้านพี่…ไม่สิ น่าจะหลายร้านๆเลยล่ะ มีธรรมเนียมที่ว่า จะเอาเงินตบๆตามอุปกรณ์สำหรับการค้าขายเพื่อเรียกลูกค้าให้เข้ามาตลอดทั้งวันน่ะ”
“เอาเงินตบเพื่อเรียกลูกค้า? งั้นก็เหมือนกับที่ตะโกนเวลาขายลูกชิ้นงั้นรึเปล่าครับ?”
“ไม่ใช่ นั่นแค่วิธีขายของเฉยๆ ส่วนวิธีที่พี่บอก…มันเป็นเรื่องของความเชื่อว่าจะทำให้ค้าขายดี …น้องประธานพอเข้าใจมั้ย?”
ไม่ต่างจากอิทธิฤทธิ์ของเจ้ากุมารทองสินะเนี่ย…
แต่ว่าถ้าแค่เอาเงินตบๆแล้วทำให้มีลูกเคสเข้ามาล่ะก็ ลองไปก็ไม่เสียหาย
ผมควักแบงก์พันออกมา
“พอเข้าใจแล้วครับ งั้นในกรณีของสภา ก็ต้องเอาเงินตบที่ประตูสินะครับ?”
“คงงั้นนะ”
พี่ต้นก็ตอบอย่างไม่แน่ใจ เพราะเป็นเรื่องความเชื่อจึงไม่มีหลักการตายตัวสินะ
เมื่อมาถึงประตูห้อง พันกำแบงก์พันแน่น
“ย้าก!!!”
ง้างมือเตรียมหวดใส่เต็มแรง ถ้าใช้คำว่า ‘ตบ’ แล้ว คงต้องใช้แรงกว่าการตีเบาๆ
เพราะงั้นทุบแม่*ให้เต็มแรงเลยนี่แหละ!
“สวัสดีค่า! แอ๊ฟ!!!”
ก่อนที่แบงก์พันจะกระทบเข้ากับประตู มันกลับถูกเปิดโดยไม่มีการเคาะขึ้นเสียก่อน และคนที่รับแรงตบจากเงินตราเพราะพยายามเข้ามาในสภาก็คือสาวรุ่นน้องของสภานักเรียน
สไปรท์นั่นเอง…
สไปรท์ก้มหน้านิ่ง
ผมถามเสียงสั่น
“หะ เฮ้…โทษที เจ็บมากมั้ย?”
สไปรท์เงยหน้าขึ้น มือกุมหัว
“จู่ๆ เอาเงินฟาดหัวหนูทำไมเนี่ย!?”
“ก็ขอโทษไปแล้วไง! แล้วปกติไม่เห็นจะโผล่หน้ามาสภาเลยไม่ใช่หรือไง! เธอน่ะ!”
“บู้วๆ ช่างเตอะ ไม่ได้เจ็บเท่าไหร่ด้วย แต่ถ้าเอาเงินนั่นให้หนู หนูจะหายโกรธเร็วกว่าเดิมนะ?”
“ไม่ล่ะ ถึงฉันจะเงินเหลือก็เถอะ”
เงินตรามันไม่เข้าใครออกใคร ผมรู้ดีว่าไม่ควรเอาเงินให้ใครส่งๆโดยไม่มีเหตุผล ต่อให้จะเป็นสมาชิกสภาด้วยกัน
สไปรท์พยักหน้ายิ้ม
“อืมๆ สมเป็นพี่คริสโตเฟอร์”
“โอ้ว? เธอก็เข้าใจอะไรง่ายเหมือนกันนี่?”
“ขี้งกสุดๆ”
“หุบปากไปเลย”
สไปรท์ที่เหมือนจะหายข้องใจแล้ว ก็หันซ้ายหันขวา
“อ๊ะ! เจอแล้ว!”
และว่าแบบนั้น
เธอเดินเข้ามาในห้อง ขณะที่สายตาทั้งสี่จ้องมอง
แต่ละคนคงมีคำถามเหมือนกัน นั่นคือ ‘กำลังหาอะไรอยู่กันนะ?’
สไปรท์ก้มลงพื้นก่อนจะหยิบอะไรสักอย่างขึ้นมา
“งั้นหนูไปแล้วนะ! เจอกันค่า พวกพี่ๆ!”
และก็กลับไปเลยทั้งๆ แบบนั้น
พวกผมกะพริบตาปริบๆ ให้เด็กสาวที่มาไวไปไว อีกทั้งยังไม่รู้เลยว่ามาทำบ้าอะไรด้วย
ผมหันไปถามดิว
“ดิว เธออยู่ใกล้สุด ยัยนั่นเก็บอะไรไปเหรอ?”
“อือ…ดูเหมือนจะเป็นเศษด้ายน่ะ”
“……”
คำถามที่ว่ามาทำหล่นไว้ตอนไหนคงไม่ต้องสนใจ ที่ควรสนใจคือไอ้เศษด้ายนั่นมันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ?
ช่างมัน กลับมาที่เรื่องเดิมดีกว่า
ผมประจันหน้ากับประตูห้องสภาอีกครั้ง
นับหนึ่งถึงสามในใจ เพื่อให้ชัวร์ว่าจะไม่มีใครเปิดเข้ามาขัดจังหวะอีก
อีกทั้งยังหันไปพยักหน้าให้พี่ต้นเป็นการยืนยันอีกหนึ่งที
และผมก็ง้างแบงก์พัน
“ย้าก!!!”
“น้องคริส~ อยู่รึเปล่า …อุ๊ย?”
คราวนี้ไม่ใช่สไปรท์ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่มีคนพยายามเข้ามาห้องสภา ผมถูกขัดจังหวะอีกแล้ว
แบงก์ที่ผมฟาดไปนั้น โดนแรงกระแทกจากหน้าอกพี่น้ำเด้งกลับมา
อืม ผมฟาดลงไปกลางหน้าอกพี่เขาเลยนั่นแหละ
พี่น้ำกุมหน้าอก
“แหม…ถ้าอยากจับก็ขอพี่ดีๆสิคะ? ถ้าเป็นน้องคริสล่ะก็…”
“เอ้าๆ หยุดพูดไร้สาระได้แล้วครับพี่น้ำ มาหาอะไร? เศษด้าย เศษผ้า?”
พี่น้ำทำหน้าฉงน …คงกำลังทำหน้าแบบนั้นอยู่นั่นแหละ
“ไม่ค่อยเข้าใจเลยค่ะ พี่แค่มาหาน้องคริสเฉยๆเอง”
“ตอนนี้ผมไม่ว่าง ถ้าไม่ได้จะมาเข้างานก็กลับไปเถอะครับ”
“แต่พี่มีเรื่องสำคัญเลยน้า?”
เรื่องสำคัญ คำนั้นทำผมต้องกลั้นใจรอฟัง
พี่น้ำที่เห็นผมเงียบก็พูดขึ้น
“พี่ว่าจะขอยืมเสื้อคลุมน้องคริสหน่อยน่ะ จะเอาไปคอสเพ…”
“พี่ต้นครับ ช่วยลากพี่น้ำออกไปให้หน่อยครับ”
“หว๋าย! ขอโทษๆ พี่ไม่กวนแล้วก็ได้ ไว้เจอกันนะคะ! ทุกคน”
สิ้นเสียง พี่น้ำก็ออกไปจากห้อง
ผมมองแบงก์ในมือจนตาแทบถลน
…ถึงคนที่มาจะเป็นสมาชิกสภาก็เถอะ แต่ขนาดยังไม่ได้สัมผัสโดนประตู ยังแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ขนาดนี้เชียวรึ?
อืมๆ สงสัยแค่ใบเดียวจะไม่พอ …บ้าจริง ในกระเป๋าตังค์ไม่มีแล้วเรอะ!
ผมเปลี่ยนเป้าหมายจากที่จะทำให้ไว้ตอนแรก เป็นเปิดประตูห้องสภาแทน
พี่ต้นถามทันที
“จะ จะไปไหนน่ะ! น้องประธาน”
“ว่าจะไปกดเงินเพิ่มสักหน่อยน่ะครับ”
“หะ…หือ???”
“คงเพราะเงินน้อยไป คนที่มาเลยไม่ใช่ลูกเคส เพราะงั้นถ้าเอามาฟาดสักหมื่นล่ะก็ ต้องมีลูกเคสมาไม่หวาดไม่ไหวแน่”
“พี่ว่าน้องประธานกำลังเข้าใจผิดอยู่นะ…”
ถึงพี่ต้นจะว่าแบบนั้น แต่ผมก็ตัดสินใจแล้ว จึงได้ออกจากห้องสภาไปทั้งๆแบบนั้น…
…และไม่รู้เพราะอะไร พลอยถึงได้ตามมาด้วยซะงั้น
ผมหรี่ตาถาม
“แล้วเธอจะตามมาเพื่อ?”
“มาห้ามไม่ให้ประธานทำอะไรประหลาดๆค่ะ”
“แค่กดตังค์เฉยๆ มันจะไปมีเรื่องแบบนั้นได้ไงเล่า”
“แค่เผื่อไว้น่ะค่ะ”
ระหว่างทาง เหล่านักเรียนที่เห็นพวกผมเดินผ่านก็มองตาม หลักๆก็น่าจะมองพลอยแบบที่ผมเข้าใจนั่นล่ะ
ตู้ATMจะอยู่ในโรงอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่นักเรียนก็ไม่ได้ใช้กันบ่อย และยิ่งเป็นหลังเลิกเรียนเลยไม่ต้องรอต่อคิว
ผมกุมคางใช้ความคิด ขณะที่หน้าจอระบุให้ใส่จำนวนเงิน
“จะกดเท่าไหร่เหรอคะ?”
“นั่นสิ… ฉันว่าจะสักแสนนึง ไม่รู้พอรึเปล่า”
“เกือบไม่พอ แต่คิดว่าโอเคค่ะ”
“เข้าใจล่ะ งั้นก็แสนนึง…”
พริบตาที่จะกดถอนนั่นเอง พลอยก็จับข้อมือผมอย่างแรง
“นี่จะกดมาแสนนึงจริงๆเหรอคะ!?”
“เอ้า ก็เธอบอกว่าโอเคไม่ใช่หรือไง?”
“ประธานเข้าใจที่ดิฉันจะสื่อคลาดเคลื่อนไปเยอะเลยนะคะนั่น!”
“อะไร? นั่นคือประชดหรอกเรอะ? เออๆ งั้นจะให้กดเท่าไหร่?”
เมื่อผมถาม พลอยก็ใช้ความคิดไปสักพัก
“…เดี๋ยวสิ! ฉันจะคิดทำไมเนี่ย!? จริงๆไม่ต้องกดเพิ่มก็ได้อยู่แล้วนี่คะ!?”
“จะไปรู้มั้ย? สรุปยังไง? ต้องกดเพิ่มหรือไม่ต้อง”
“ไม่ต้องค่ะ!”
“แน่ใจนะ?”
“แน่ใจสุดๆเลยค่ะ!”
….และก็กลายเป็นว่ากลับมาห้องสภามือเปล่า ไม่ได้สิ่งใดติดมือมาเลยสักชิ้น
ดิวเคี้ยวขนมตุ้ยๆมอง ส่วนพี่ต้นก็เอ่ย
“น้องพลอยห้ามไว้สินะ…ดีแล้วล่ะ”
ดูเหมือนเห็นแค่นั้น พี่ต้นก็พอเดาเรื่องที่เกิดขึ้นออก
ผมปัดมือไล่พลอยให้กลับไปนั่งโซฟา และผมก็ประจันหน้ากับประตูห้องสภาอีกครั้ง
คราวนี้ต้องทำให้สำเร็จ
“ฟู่…”
เอาล่ะ มั่นใจว่ารอบนี้ต้องไม่มีมารมาผจญแน่นอน
ผมง้างมือ
“ย้าก!!!”
หวดประตูห้องเต็มแรง
ปึก…!
“เยี่ยม!”
สำเร็จจริงๆไม่จกตา แบงก์ที่ยับยูยี่ในมือผม สามารถสัมผัสประตูห้องได้สักที
ผมเงยหน้าอ้าแขนกว้าง ท่าทางเหมือนคนกำลังยืนรับลมริมหาด
จนพี่ต้นขมวดคิ้ว
“นะ น้องประธาน?”
“ผมกำลังรอรับลูกเคสที่จะถาโถมเข้ามาอยู่น่ะครับ”
“เข้าใจผิดจริงด้วย…”
ผมหันคอกลับไป
“เข้าใจผิด? อ๋อ…ทีเดียวคงไม่พอสินะครับ?”
“เข้าใจผิดสุดๆเลยด้วย!?”
ผมไม่สนใจพี่ต้นที่ตะโกน ลงมือตบประตูอีกหลายครั้ง
เมื่อทำจนพอใจ ผมก็กลับมานั่งที่โต๊ะประธาน
ผสานมือรอรับลูกเคส
…โดยที่มีพี่ต้นกับพลอยจ้องด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ…ส่วนดิวกินขนมเหมือนเดิม
แม้จะรอจนหมดเวลาชมรม ลูกเคสก็ไม่มีมาสักคน
คนอื่นๆเก็บกระเป๋า ขณะที่ผมยังคงจ้องไปที่ประตู
“น้องประธาน…พี่ว่าไม่มีใครมาแล้วล่ะ กลับบ้านกันเถอะ”
“ใช่ค่ะ กลับกันเถอะค่ะ ประธาน”
ผมลุกขึ้นหยิบกระเป๋า เดินผ่านพวกเขาไปอย่างเงียบเชียบ
ต่อให้จะโดนมองด้วยสายตาแสดงความรู้สึกผิด แต่ว่านะ ผมไม่ได้คิดว่าพี่ต้นโกหกหรืออะไรหรอก ผมเข้าใจดีว่าความเชื่อของประเทศไทยมันไปไกลถึงเลเวลไหน
เพราะงั้น วิธีที่พี่ต้นเสนอมา ผมว่าไม่ผิดพลาด
แค่จำนวนเงินมันน้อยไปก็เท่านั้น
ให้ตายสิ มารที่แท้จริงคือพลอยเองสินะ
ถ้ายัยนี่ไม่ห้ามผมล่ะก็ เอาเงินจำนวนนั้นมาตบทีเดียวก็รู้เรื่องแล้ว
พลาดไปแล้วสินะ แต่ชีวิตยังมีสิ่งที่เรียกว่าวันพรุ่งนี้อยู่…
ใช่แล้ว ผมคิดจะมาลองใหม่พรุ่งนี้นั่นแหละ เพราะงั้นรีบๆข้ามไปพรุ่งนี้เลยดีกว่า…
พรุ่งนี้
ช่วงเย็น เวลาชมรม
ผมที่รีบร้อนอยากมาลองของ จึงได้มาถึงห้องสภาเร็วกว่าทุกคน
แต่ตามจริงก็ดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงพักเที่ยงแล้ว แหม…กว่าจะทำของ ‘พวกนี้’ เสร็จไม่ใช่ง่ายๆนี่นะ
อืมๆ มองไปทางไหนก็รู้สึกว่าสุดยอดจริงๆ
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตู
แต่ผมนิ่งเกินกว่าจะโลดเต้นดีใจ
รู้ดีว่านี่ก็แค่สถานการณ์กลั่นแกล้งเบาๆให้ผมตกใจเล่นก็เท่านั้น คนที่เคาะประตูนี่ต้องเป็นสมาชิกสภาสักคนแน่นอน
และคนที่เปิดประตูก็คือสมาชิกสภาจริงๆด้วย หึหึหึ ก็บอกไปแล้วไงเล่า
จะหลอกผมน่ะเร็วไปร้อยปี
เด็กสาวที่สวมชฎาจนชินตาเข้ามาในห้อง
“สวัสดีค่ะ ประธาน… …กริ๊ดดด!?”
เมื่อพลอยมองไปยังผลงานที่ผมทำก็กรีดร้องแบบนั้น
ผมยิ้มเยาะ
“หึหึ ตกใจเลยใช่มั้ยล่ะ?”
“เดี๋ยวๆ! ทำไมทำหน้าภูมิใจแบบนั้นคะเนี่ย!?”
ผมผายมือให้กับผลงานชิ้นโบว์แดง
“ฉันเชื่อวิธีของพี่ต้น ความเชื่อนั่นน่ะ พ้อยท์หลักๆอยู่ที่เอาเงินตบประตู”
“อะ เอ๋?”
พลอยงง ขณะที่ผมพูดต่อ
“ต่อให้จะใช้เงินมากแค่ไหน บางที…ผลลัพธ์คงไม่ต่างกัน เพราะงั้น การที่จะยกระดับของความเชื่อนั้นโดยที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับจำนวนเงินที่เอามาตบ สิ่งนั้นคือการคิดนอกกรอบ”
“เอาแล้วไง…”
เธอกุมคางด้วยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว
แต่ผมก็ยังไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองทำผิดพลาด
พร้อมนำเสนอสิ่งที่ผมทำอย่างภาคภูมิใจ
“ฉันเลยเอาเงินมาแปะที่กำแพงให้ทั่วเลยไงล่ะ!”
ตอนนี้กำแพงห้องสภา ถูกประดับประดาด้วยเงินสดจนมองไม่เห็นสิ่งอื่น
โอ๊ะๆ ผมไม่ได้ไร้รสนิยมขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ามองดีๆ จะเห็นว่าผมมีการใช้แบงก์ร้อย แบงก์ห้าร้อย ในการสรรค์สร้างเป็นภาพกราฟฟิตี้อันแสนสวยงามด้วย
นี่แหละคือผลงานชิ้นโบว์แดง!
แค่เอาเงินตบๆ มันไว้ให้พวกระดับบีกินเนอร์เขาทำกัน! ระดับอย่างผมน่ะ! ของยังงี้ต่างหากถึงจะเรียกลูกค้าได้จริง!
ให้ตายสิ เมื่อไหร่พี่ต้นจะมานะ อยากรีบอวดให้พี่เขาเห็นจัง
“จริงสิ! ไม่ใช่แค่กำแพงนะพลอย ลองหันไปดู!”
เมื่อพลอยหันคอกลับไป ผมพูดทันที
“ฉันแปะที่ประตูด้วย!!!”
“แกะออกเดี๋ยวนี้เลยนะคะ!!!”
…สุดท้าย หลังจากเถียงกันสักพัก พี่ต้นที่ผมเฝ้ารอก็มาสภาพร้อมกับดิว ผมที่ภูมิใจนำเสนอสุดๆนั้น ก็ได้แต่รอถมถุยใส่พลอยที่ริอาจมาแข็งข้อกับผม
เพราะยังไง พี่ต้นก็ต้องเห็นดีเห็นงามกับผมแน่นอน!
ทว่า สิ่งที่พี่ต้นพูดออกมาหลังจากเห็นผลงานของผมนั้น…
“เดี๋ยวพี่ช่วยแกะนะ…”
เคสที่ 25 เรียกลูกค้า /จบ